กฎหมายใหม่ของเมียนมาซึ่งปลดล็อกให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นใหญ่ในกิจการค้าปลีกได้ ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นการแข่งขันดุเดือดในวงการธุรกิจ ที่บริษัทยักษ์ต่างชาติจากหลายประเทศต่างจับจ้องหาโอกาสเจาะเข้าสู่ตลาดนี้มานาน แต่ต้องเผชิญอุปสรรคหลายด้าน รวมถึงข้อกฎหมายเดิมซึ่งบังคับให้ต้องร่วมทุนกับชาวเมียนมา
ความเสี่ยงที่จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ บีบให้ “ซิตี้มาร์ท โฮลดิ้ง” เจ้าตลาดค้าปลีกเมียนมา ซึ่งครองบัลลังก์มานานนับสิบปีต้องรีบปรับตัวรับมือ โดยล่าสุดยักษ์ค้าปลีกได้เสริมแกร่งซัพพลายเชนและไลน์อัพสินค้าของตนเอง ด้วยการเข้าซื้อกิจการผลิตผักไฮโดรโปนิกส์ หลังจากก่อนหน้านี้ จับมือ “โซจิส ลอจิสติกส์” บริษัทขนส่งสัญชาติญี่ปุ่น เพื่อใช้ระบบขนส่งด้วยรถบรรทุกห้องเย็นไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ทั้งนี้ เป็นไปตามแผนโฟกัสเซ็กเมนต์ของสดอย่างผักและผลไม้ที่ยังเป็นจุดอ่อนของโมเดิร์นเทรนด์เมียนมา
สำนักข่าวนิกเคอิ รายงานว่า ซิตี้มาร์ท โฮลดิ้ง ร่วมกับกลุ่มทุนญี่ปุ่นเข้าซื้อกิจการผู้ผลิตผักไฮโดรโปนิกส์ “ยูนิ เวก” (Uni Vege) ซึ่งมีฐานผลิตอยู่ในย่านเศรษฐกิจสำคัญอย่างกรุงย่างกุ้ง เพื่อเสริมไลน์อัพสินค้าเจาะเซ็กเมนต์ของสด ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคชาวเมียนมายังนิยมหาซื้อในตลาดสดอยู่ ขณะเดียวกันจุดขายด้านสุขภาพของผักไฮโดรโปนิกส์ยังตอบโจทย์ความต้องการอัพเกรดไลฟ์สไตล์ของชนชั้นกลางตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นโดยช่วง 2-3 ปีนี้มีแผนลงทุนหลายร้อยล้านเยน เพื่อขยายกำลังผลิตเป็น 3 เท่า
ด้านซิตี้มาร์ทเองเดินแผนโปรโมตผัก-ผลไม้ปลอดสาร อาทิ ตั้งจุดขายบริเวณทางเข้าในสาขาขนาดใหญ่ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ผู้บริโภคยอมรับราคาสินค้าที่สูงกว่าซื้อในตลาดสด
ทั้งนี้ เดิมยูนิ เวก ส่งผลผลิต 80% หรือประมาณ 48 กิโลกรัมต่อวันให้กับซิตี้มาร์ท เพื่อขายในรูปแบบสลัดพร้อมทานอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน ซิตี้มาร์ทยังเดินหน้าหาซื้อของสดจากเกษตรกรในพื้นที่รอบย่างกุ้งเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยระบบขนส่งด้วยรถห้องเย็นของโซจิส ลอจิสติกส์ เพื่อรองรับดีมานด์
ต้องรอดูกันว่ายักษ์ค้าปลีกเมียนมาจะสามารถปั้นตลาดอาหารสุขภาพได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ได้หรือไม่
ที่มา : https://www.prachachat.net/marketing/news-204958
จำนวนผู้อ่าน: 2395
16 สิงหาคม 2018