ททท.เผยต่างชาติจ่อเข้าไทยกว่าพันคน หลัง “วีซ่าเกษียณอายุ-STV” เดินทางสูงสุด ชี้ช่องประเทศเสี่ยงสูงให้ใช้วีซ่า TR เดินทางแทน STV เล็งพิจารณายกเลิก fit-to-fly ลดความซ้ำซ้อน ย้ำพร้อมเปิดบับเบิลสเต็ปบายสเต็ป ดันแพ็กเกจซับซิไดซ์-เสริม HappyQ ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลัง ครม.ผ่อนคลายการออกวีซ่าให้กับนักเดินทางที่ต้องการจะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีนักเดินทางที่ได้รับใบอนุญาตเดินทาง (certificate of entry : COE) และเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยสูงสุด 6 อันดับ ได้แก่
1.nonimmigrant visa “O-A” (O-A) วีซ่าพำนักระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 55 ปี ระยะพำนักสูงสุดไม่เกิน 1 ปี จำนวน 501 คน
2.special tourist visa (STV) วีซ่านักท่องเที่ยวสำหรับประเทศความเสี่ยงต่ำเท่านั้น ระยะพำนัก 90 วัน สูงสุดไม่เกิน 270 วัน จำนวน 331 คน
3.privilege entry visa (PE) วีซ่านักท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือบัตร Thailand Elite Card อายุ 5-20 ปี จำนวน 296 คน
4.nonimmigrant visa “B” (non B) วีซ่านักธุรกิจหรือคนทำงานมีจุดประสงค์เพื่อทำงานและมีใบอนุญาตการทำงานถูกต้อง จำนวน 113 คน
5.tourist visa (TR) วีซ่านักท่องเที่ยวทั่วไป ระยะพำนัก 60 วัน ต่อสูงสุดได้ไม่เกิน 90 วัน หลังโควิด-19 ต้องวางวงเงินการันตี 500,000 บาท จำนวน 86 คน และ
6.APEC Business Travel Card (ABTC) บัตรเดินทางสำหรับนักธุรกิจเอเปก (APEC) ที่ได้รับอนุญาตรวม 19 ประเทศ จำนวน 84 คน (ดูตารางประกอบ)
โดยล่าสุดยังคงมีนักเดินทางแสดงความประสงค์จะเดินทางเข้าไทยผ่าน STV อย่างต่อเนื่องจำนวนกว่า 1 พันราย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาจากแถบสแกนดิเนเวีย อาทิ กลุ่มนอร์ดิก 4 ประเทศ มีนักท่องเที่ยวขอใบอนุญาตการเดินทางเข้าประเทศผ่านแล้วกว่า 163 ราย โดยเดินทางด้วยวีซ่า O-A กับ TR สูงสุด
“ที่ผ่านมาอีลิตการ์ดถือเป็นหนึ่งในสินค้าขายดีและเป็นจุดขายของ ททท. โดยหลังจากการคลายล็อกก็เห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาต่อเนื่อง จากสมาชิกกว่า 1 หมื่นใบมีนักท่องเที่ยวที่แสดงความประสงค์จะเข้าไทย 900 ราย ได้ใบอนุญาตแล้ว 200 ราย เดินทางมาถึงไทยและกักตัว 103 ราย และกักตัวแล้วเสร็จกว่า 107 ราย”
สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนนั้น นางสาวฐาปนีย์กล่าวว่า ททท.ได้ดำเนินการเจรจาเพื่อชี้แจงแล้วว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่นักท่องเที่ยวกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ แต่เป็นนักท่องเที่ยวอิสระที่จำต้องเดินทางด้วยเที่ยวบินเดียวกันเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ไทยก็อยู่ระหว่างการพิจารณาถอนใบรับรองแพทย์ (fit-to-fly health certificate) ออกจากเงื่อนไขในการเดินทางเข้าประเทศไทย คงไว้เพียงการตรวจสอบการติดเชื้อโควิด-19 ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง เพื่อลดความซ้ำซ้อนในขั้นตอนดำเนินการในอนาคตด้วย
นางสาวฐาปนีย์กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการเปิดบินตรงสู่ภูเก็ตก็เป็นหนึ่งในแผนที่ ททท.วางแผนจะดำเนินการในอนาคต โดยมีสายการบินสนใจที่จะใช้ภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทาง และสายการบินอาหรับเอมิเรตส์ได้ทดสอบการบินแล้ว
เช่นเดียวกันกับที่คณะรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ตรวจประเมินแล้วเช่นกัน โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจากยุโรปจะเป็นลูกค้าของสายการบินตะวันออกกลางที่ต้องการเดินทางมาประเทศไทย และสายการบินอาจจะแบ่งเที่ยวบินสู่ไทยลงตรงสู่ภูเก็ต 1-2 วันต่อสัปดาห์
“คู่แข่งของประเทศไทยอย่างสิงคโปร์ก็เริ่มเปิดโครงการ Air Travel Pass เปิดให้นักท่องเที่ยวจากบรูไน นิวซีแลนด์ เวียดนาม ออสเตรเลีย และจีน เดินทางเข้าสู่สิงคโปร์พร้อมงดเว้นการกักตัว 14 วัน ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเดินทางแล้ว 22 คน
ในขณะที่การเปิดการเดินทางอย่างจำกัดระหว่างประเทศหรือว่าบับเบิลของไทยยังเป็นส่วนหนึ่งของแผน โดย ททท.เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในทุก ๆ ด้าน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาความต้องการของประเทศที่เราต้องการจะจับคู่ด้วยว่าพร้อมหรือไม่” นางสาวฐาปนีย์กล่าว
ทั้งนี้ ททท.ได้เตรียมจัดทำโครงการสนับสนุนการเดินทาง Amazing Thailand Plus Package ที่เปิดเผยไปก่อนหน้านี้ และโครงการ HappyQ กิจกรรมสำหรับช่วงกักตัว 14 วันให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ทั้งการช็อปปิ้ง ทำกิจกรรมผ่อนคลาย ไปจนถึงการรับชมโชว์จากระเบียงในโรงแรมที่มีพื้นที่เหมาะสม เพื่อสร้างความประทับใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาประเทศไทย ส่วนการเปิดให้เข้ากักตัวในสนามกอล์ฟยังอยู่ระหว่างดำเนินการเช่นกัน
“เชื่อว่าในปีหน้าภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะดีกว่าในปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อมีการผ่อนคลายการออกวีซ่าประเภทต่าง ๆ แม้จะมีมาตรการกักตัวอย่างเข้มงวด เช่นเดียวกับที่ผ่านมา แต่ยังยากที่จะประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติ ณ เวลานี้” นางสาวฐาปนีย์กล่าว
และว่านอกจากนั้น ททท.ยังมีแผนเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มเฉพาะ อาทิ กลุ่มดิจิทัลโนแมด กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มอาหาร กลุ่มศรัทธา กลุ่มดาราศาสตร์ รวมถึงกลุ่มผ่อนคลายและบำบัดรักษา โดยคาดแล้วเสร็จและเริ่มให้บริการได้ไม่เกินพฤษภาคมปีหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-553484
จำนวนผู้อ่าน: 2095
13 พฤศจิกายน 2020