“บิทคับ” เร่งเกมตลาดขาขึ้น ผนึก SCB โต 10 เท่า

เน็กซ์สเต็ป “บิทคับ” เร่งเกมขยายฐานลูกค้าเจาะตลาดแมสย้ำเทรนด์ขาขึ้นสินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งเป้ารักษาสปีดโตต่อ 10 เท่า ทั้งรายได้-ฐานลูกค้า หลังปิดดีล “เอสซีบี” กระหึ่มวงการพิสูจน์ฝีมือสตาร์ตอัพไทยไม่แพ้ใครในโลกจุดพลุลงทุน สร้างโอกาสใหม่ พร้อมเดินหน้าผนึกพันธมิตรต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจ เชื่อมโลกการเงินดิจิทัลกับธุรกิจ “อีสปอร์ต” พร้อมอัดฉีดเงินปั้น “โกลบอลคอมปะนี” ดึง “เทคทาเลนต์ทั้งไทยและเทศ” สานฝัน “คริปโทอีโคโนมิก”

นายสกลกรย์ สระกวี หนึ่งในผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้แบรนด์บิทคับ (Bitkub) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเข้ามาร่วมลงทุนในบิทคับของกลุ่มเอสซีบี (กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์) เป็นบิ๊กมูฟที่สำคัญ เป็นความหวังของประเทศไทยที่จะทำให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ อีกมาก เชื่อว่าจะทำให้ทุกวงการสั่นสะเทือนในการร่วมกันสร้างอีโคซิสเต็มนี้ไปด้วยกัน แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้มากนักจนกว่าดีลจะเสร็จเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายและแผนธุรกิจในปีหน้าของบริษัทยังมุ่งไปยังการสร้างการเติบโตให้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศไทย โดยรักษาการเติบโตกว่า 10 เท่า ทั้งในแง่จำนวนลูกค้า และรายได้ไว้ให้ได้ต่อไป ปัจจุบันมีนักลงทุนเปิดบัญชีกับบิทคับราว 3 ล้านบัญชีแล้ว เพิ่มขึ้น 1,000% จากเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ที่มี 1 ล้านบัญชี

ขยายฐานเจาะตลาดแมส

“ปลายปีที่แล้วราคาบิตคอยน์อยู่ที่ 3 แสนกว่าบาท ตอนนี้พุ่งไปกว่า 2 ล้านบาทแล้ว ขณะที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 2.87 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กว่า 43.27% มาจากบิตคอยน์ (ข้อมูล ณ วันที่ 12 พ.ย 2564) และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในตลาดโลกและในไทย เนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม ถามว่าจะโตไปถึงไหนคงไม่สามารถบอกได้ แต่เชื่อว่าจะโตขึ้นอีก ที่ผ่านมาเราเองก็โตได้ปีละ 1,000% ปีต่อไปอาจยากขึ้น แต่อย่างน้อย ๆ ปีละ 300-500% เชื่อว่าน่าจะได้ ซึ่งจะโชว์ให้เห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเทรนด์ที่กำลังมาจริง”

การสร้างการเติบโตทำได้โดยการขยายฐานไปยังกลุ่มคนทั่วไปมากขึ้น ไม่จำกัดแต่ในกลุ่มคนที่มีความรู้ด้านไอที เพราะเมื่อฐานลูกค้ากว้างขึ้น ตลาดก็จะใหญ่ขึ้นตามมา ทำให้มูลค่าการซื้อขายสูงขึ้นตามไปด้วย

 

“เดิมการเทรดคริปโทจะอยู่ในคนกลุ่มเนิร์ด กลุ่มไอทีเท่านั้น แต่ความตั้งใจของเราคือทำให้คนทั่วไปเข้ามา มองว่านี่คือ โอกาส เราทำให้คนไทยซื้อบิตคอยน์ในราคาที่ต่ำ ทุกคนจะจดจำบิทคับได้เหมือนไลน์ เราก็คาดหวังว่า ในอนาคตแม้จะมีรายใหม่ ๆ เข้ามามาก อย่างน้อยคนก็คุ้นเคยกับแอปพลิเคชั่นนี้ว่าเป็นอะไรที่สามารถลงทุนแล้วได้ผลตอบรับและกำไรที่ดี เราไม่ซีเรียสที่มีคู่แข่งเยอะขึ้น แต่ซีเรียสว่าจะทำอย่างไรให้ตลาดใหญ่มากขึ้นมากกว่า”

นายสกลกรย์กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทจะจับมือกับพันธมิตรในธุรกิจเกมออนไลน์ โดยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนเล่นเกมกับคนที่มีคริปโทเคอร์เรนซีในการแลกเปลี่ยนระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลกับโลกของเงินจริง

เชื่อมโลกเงินดิจิทัล

“ปีหน้าจะได้เห็นการใช้บิตคอยน์ในเกมออนไลน์ต่าง ๆ รวมถึงการซื้อบริการเอ็นเตอร์เทนเมนต์ต่าง ๆ ผมอยู่ในวงการเกมออนไลน์มาก่อน เห็นชัดเจนว่าเทรนด์นี้มาแน่ ตลาดเกมใหญ่มาก ตอนเริ่มทำการีนาปี 2557 ตลาดอีสปอร์ตในไทยมีมูลค่าปีละ 2,000 ล้านบาท ตอนนี้มากกว่า 2-3 หมื่นล้านบาทแล้ว และบิทคับจะเปลี่ยนให้คนเล่นเกมออนไลน์มาใช้คริปโทเคอร์เรนซีในการซื้อขายของในเกม ซึ่งในอนาคตจะไม่ใช่แค่นั้น กระแสเมตาเวิร์สที่พูดถึงกันก็จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้ต้องเปลี่ยนทุกอย่างเป็นดิจิทัลก่อน บิทคับก็จะเป็นสะพานให้ทุกคนทรานส์ฟอร์มไปสู่โลกเมตาเวิร์สเช่นกัน”

ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนสร้างเครือข่าย และมีบริษัทย่อยที่พร้อมจะขยายธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับสินทรัพย์ดิจิทัลแล้วในทุกมิติ โดยบริษัทในกลุ่มบิทคับมี 4 แห่ง ภายใต้บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ประกอบด้วยบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล, บริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี จำกัด พัฒนาระบบบล็อกเชน และเหรียญ Bitkub Coin (KUB), NFT (Non-Fungible Token), บริษัท บิทคับ แล็ปส์ จำกัด หรือบิทคับ อะคาเดมี ธุรกิจการศึกษาด้านบล็อกเชน ให้ความรู้กับธุรกิจ และบริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด ลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัพ

“ในอดีตบริษัทไทยมักเป็นเบอร์ 2 หรือเบอร์ 3 แต่ครั้งนี้ในโลกการเงินดิจิทัลเรามูฟเร็วมาก เป็นจังหวะที่ทุกคนจะไม่พลาดอีกแล้ว อนาคตต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะมีเทคโนโลยีอะไรจะเป็นเมตาเวิร์สหรืออะไรก็แล้วแต่ บริษัทใหญ่จะอยากเข้ามาลงทุนกับสตาร์ตอัพไทย อยากทำอะไรที่เป็นของคนไทย เพราะไม่อยากพลาดโดยมีดีลนี้เป็นมูฟที่สำคัญ”

ปั้น บ.ไทยทาบโกลบอล

นายสกลกรย์ย้ำว่า ดีลระหว่างเอสซีบีและบิทคับ “วิน-วินทุกฝ่าย” และเกิดขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างมีแพสชั่นเดียวกัน นั่นคือต้องการสร้างอีโคซิสเต็มคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศไทยให้แข็งแกร่ง และคาดว่าจะเกิดดีลในลักษณะนี้มากขึ้น เนื่องจากการขยายตัวของสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทใหญ่ ๆ ของไทยปรับตัวได้เร็วขึ้น ทุกรายจะไม่ยอมพลาดโอกาสนี้อีกแล้ว เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลที่เติบโตขึ้นเข้ามาสนับสนุนให้การขยายธุรกิจ หรือพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น จะได้เห็นบริษัทใหญ่ ๆ เข้าไปร่วมมือกับสตาร์ตอัพหรือบริษัทเล็ก ๆ มากขึ้น”

นายสกลกรย์ย้ำว่า ที่ผ่านมาบิทคับเติบโตก้าวกระโดด ขณะที่ราคาคริปโทเคอร์เรนซีมีขึ้นมีลงตามสภาพตลาด และคริปโทไม่ได้มีแค่ “บิตคอยน์” แต่ในอนาคตจะมีดิจิทัลบาท มีโทเค็นอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย บริษัทจึงจะมีการลงทุนต่อเนื่องทั้งในแง่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ การพัฒนาบริการใหม่ ๆ รวมถึงจ้างทีมงานที่มีความรู้ความสามารถทั้งคนไทยและต่างชาติ รองรับกับการเติบโตที่จะเกิดขึ้น ทำให้เกิด “คริปโทอีโคโนมิก” ของเมืองไทย

“next step จริง ๆ คือสร้างโปรดักต์ที่เป็นโกลบอล ที่ผ่านมาคนไทยสมองไหล อยากไปทำงานกับกูเกิล, เฟซบุ๊ก ไม่ค่อยมีที่อยากทำงานกับบริษัทคนไทย แต่จากนี้หลายอย่างจะเปลี่ยนไป เราพร้อมจ่ายเงินเดือนมากที่สุด สำหรับคนที่เก่งจริง ๆ หรือแม้แต่การจ้างต่างชาติมาทำงานให้ จะไม่มีคำว่าประหยัดที่สุดให้ได้เติบโต เราเชื่อว่าเราเป็นโกลบอลได้ แต่ต้องให้เวลา”

“ไม่ต่างจากกีฬาฟุตบอลที่ต้องนำนักเตะต่างชาติมาแข่งที่เมืองไทย เพื่อให้นักเตะไทยเก่งขึ้น เมืองไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่ก้าวหน้าเรื่องคริปโทมาก ตอนนี้แม้แต่จีนยังช้ากว่า ไทยสร้างคริปโทดีไฟน์ และ NFT ได้เร็วกว่าคนอื่น มีเหรียญออกใหม่เป็นเหรียญโกลบอลของคนไทย สิ่งที่เรากำลังจะทำต่อไปคือขยายไปประเทศอื่นไม่อยู่แค่ประเทศไทย”

 

นายสกลกรย์ทิ้งท้ายว่า จะได้เห็นความร่วมมือระหว่างบิทคับกับพันธมิตรรายใหญ่ในประเทศไทยจากหลากหลายวงการ เพื่อช่วยกันสร้างอีโคซิสเต็มสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-803839


จำนวนผู้อ่าน: 1289

18 พฤศจิกายน 2021