คอนโดไดมอนด์เชพ ประกาศตัวเป็นแลนด์มาร์คแห่งพร้อมพงษ์

Marque Sukhumvit ไม่ได้เป็นเพียงคอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่ราคาเฉลี่ย 3 แสนบาทต่อตารางเมตร หรือเพนท์เฮาส์ราคาเริ่มต้น 400 ล้านบาท เแต่ยังถูกออกแบบให้เป็นไอคอนนิคบิลดิ้งในย่านพร้อมพงษ์ด้วยรูปทรงอาคารสูง 222 เมตรที่จำลองมาจากเพชร

มาร์ค สุขุมวิท (Marque Sukhumvit) ไม่ได้เป็นเพียงคอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่ราคาเฉลี่ย 3 แสนบาทต่อตารางเมตร หรือห้องเพนท์เฮาส์ราคาเริ่มต้น 200 ล้านบาท เแต่ยังถูกออกแบบให้เป็นสัญลักษณ์ ไอคอนนิคบิลดิ้งหรือแลนด์มาร์กในย่านพร้อมพงษ์หรือสุขุมวิทส่วนกลางด้วยรูปทรงอาคารสูง 222 เมตรที่จำลองมาจากเพชร

คอนโดมาร์คฯ 50 ชั้น ประกอบด้วย 147 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 4 ยูนิต แบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ เลกาซี่และเฮอร์ริเทจ ราคาห้องเริ่มต้น 37.5 ล้านบาทและ 200 ล้านบาทสำหรับโซนเพนต์เฮาส์ ซึ่งมีพื้นที่ 279-615 ตารางเมตร

“ทำเลที่ตั้งของมาร์คฯ อยู่ในย่านพร้อมพงษ์ซึ่งถือเป็นไพร์มโลเคชั่นดีที่สุดในตอนนี้ ยิ่งนานวันก็จะยิ่งมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ตรงกับคอนเซปต์ของเครื่องประดับเพชรที่มีค่าและมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นที่มาของตัวอาคารที่ไม่สมมาตร มีเหลี่ยมมุมความไม่เท่ากัน หากมองไกลๆ จะเห็นรูปทรงคล้ายเพชร ซึ่งทีมงานตั้งใจให้เป็นแลนด์มาร์กในพื้นที่นี้ด้วย” สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็มเจดี กล่าว

มาร์คฯ มีจุดเริ่มเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว เมื่อเมเจอร์ฯ ได้ที่ดินแปลงประมาณ 3 ไร่ย่านพร้อมพงษ์ติดถนนสุขุมวิทซึ่งทำเลดีมากระดับเอบวก อีกทั้งโซนนี้ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดที่เป็นสัญลักษณ์ ทางเมเจอร์ฯ จึงสนใจใช้เป็นไอคอนนิคบิลดิ้งที่มีความแตกต่างจากอาคารทรงขาวๆ สูงๆ ที่เคยมีมา

เมเจอร์ฯ ส่งโจทย์ความท้าทายนี้ให้กับบริษัท ปาล์มเมอร์แอนด์เทอร์เนอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาด้านงานออกแบบสถาปัตย์ซึ่งมีผลงานอาคารสูงหลายแห่งและทำงานร่วมกับเมเจอร์ฯ มาตลอด กระทั่งออกมาเป็นสิ่งปลูกสร้างรูปทรงเหลี่ยมเพชรและตกแต่งสไตล์เมโทรโพลิแตน ลักซ์ ซึ่งสะท้อนความทันสมัยของเมือง ไอเดียนี้นอกจากจะปรากฏอยู่ในงานสถาปัตยกรรมแล้ว ยังสะท้อนเข้ามาในส่วนของพื้นที่อินทีเรียดีไซน์และแลนด์สเคปดีไซน์ ที่เน้นความโปร่งโล่ง ด้วยฝ้าเพดานสูง 3-3.4 เมตร พร้อมกำแพงกระจกที่สูงจากพื้นจรดฝ้าเพดาน

เมื่อคอนเซปต์ตัวอาคารเป็นไดมอนด์เชพ มีหักมุมเข้าออกตลอด การก่อสร้างจึงต้องอาศัยความรู้และเทคนิคใหม่ อีกทั้งใช้วัสดุก่อสร้างหลักเป็นกระจกรวมเกือบ 3 หมื่นตารางเมตร โดยเลือกใช้กระจกคุณสมบัติพิเศษที่ป้องกันแสงแดดและความร้อนสะสม ทั้งยังป้องกันยูวี เสียงรบกวนและแรงสั่นสะเทือนเข้าภายในตัวอาคารอีกด้วย 

“กระจกทุกแผ่นที่ใช้จะผ่านการออกแบบจากสถาปนิก แล้วสั่งผลิตจากโรงงานที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ มีการทดสอบแรงลมโดยส่งโมเดลตัวอาคารพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยรอบ ฝังเซนเซอร์ทุกจุดของโมเดลแล้วนำเข้าอุโมงค์ลมของบริษัท RWDI ที่แคนาดา ซึ่งเป็นอุโมงค์ลมดีที่สุดในโลก เพื่อดูแรงลมที่มาปะทะในองศาต่างๆ จากนั้นนำมาประมวลผล จะได้ค่าแรงลมที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริงและแม่นยำเพื่อความมั่นใจในการออกแบบ” สุริยา กล่าว

เมเจอร์ฯ มีโครงการอสังหาฯระดับพรีเมียม รวมกว่า 30 โครงการ หรือเฉลี่ย 3-4 โครงการต่อปี เน้นโลเคชั่นกรุงเทพชั้นใน เช่น เส้นสุขุมวิท ลาดพร้าว เอกมัย พหลโยธิน สำหรับมาร์คสุขุมวิทเป็นโครงการแรกของเมเจอร์ฯ ที่ออกแบบมาจับตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ ซึ่ง สมัยที่เปิดตัวเมื่อปี 2556-2557 มีเพียง 2-3 รายที่เล่นในเซกเมนต์นี้ แต่ปัจจุบันรายใหญ่ให้ความสนใจตลาดกลุ่มวีไอพีมากขึ้น หรือราคา 3 แสนบาทต่อตารางเมตรมีให้เลือกหลายราย

“เพราะราคาที่ดินสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทำผลิตภัณฑ์แบบเดิมอาจไม่คุ้มค่าที่ดิน ดังนั้น จึงต้องขายของแพงขึ้นโดยทำโปรดักพรีเมียมมากขึ้น ประกอบกับยังมีความต้องการซื้อในกลุ่มเศรษฐี เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดเงิน จะเห็นว่าผลตอบแทนไม่สูงมาก แต่การลงทุนในคอนโดจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าขายไม่ได้ ปล่อยเช่าไม่ได้ ก็สามารถเข้าอยู่อาศัยเองได้” สุริยา กล่าว และว่า นอกจากนี้ เทรนด์วงการสถาปนิกและนักลงทุนอยากได้สถาปัตย์ที่เป็นไอคอนนิคบิลดิ้ง ซึ่งจะพบมากขึ้นในประเทศไทยเช่นเดียวกับในต่างประเทศ ดังนั้น เทรนด์ต่อไปจะเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ออกแบบซับซ้อนหรือมีรูปทรงแปลกใหม่มากขึ้น เพื่อแสดงถึงความสำเร็จและความสามารถของวงการก่อสร้าง และที่สำคัญคือเพื่อสร้างการจดจำให้กับแบรนด์

 

ขอบคุณที่มาข่าวจาก : bangkokbiznews.com

 

 

 

 

 

 

 

 

 


จำนวนผู้อ่าน: 2147

31 มกราคม 2018