คอลัมน์ จับกระแสตลาด
การเติบโตของร้าน “มัลติแบรนด์ความงาม” ที่รวบรวมแบรนด์ต่าง ๆ เอาไว้ให้ผู้บริโภคได้ช็อปครบทุกสิ่งในที่เดียว กลายเป็นโมเดลร้านที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาด้วยรูปแบบของสินค้าและบริการที่ตอบจริตคนรุ่นใหม่ ตลอดจนราคาและโปรโมชั่นที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคแวะเวียนมาที่ร้าน แถมยังได้สินค้าชิ้นอื่น ๆ ติดไม้ติดมือกลับไปเพิ่มอีกหลายรายการ ทำให้สมรภูมิแห่งนี้มีผู้ที่สนใจและเข้ามาไม่หยุด
ล่าสุด กลุ่มค้าปลีกอันดับท็อป ๆ ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล เดอะมอลล์ โรบินสัน ต่างก็พร้อมใจกันพัฒนาโมเดลร้านรูปแบบดังกล่าว รวมทั้งมีการจับมือกับพาร์ตเนอร์ต่างประเทศ เพื่อดึงเชนร้านเหล่านั้นเข้ามาทำตลาด ซึ่งแต่ละรายก็มีจุดแข็งแตกต่างกันไป
ข้อได้เปรียบของการที่ห้างผันตัวมาทำร้านเอง คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “พื้นที่” ทั้งในแง่ของโลเกชั่นและต้นทุน หรือการโคฐานข้อมูลจากบัตรสมาชิกห้าง สะสมคะแนนได้ทันที ไม่ต้องสมัครใหม่ และมีสิทธิพิเศษอื่น ๆ ที่จะส่งมาให้เรื่อย ๆ ซึ่งจะช่วยต่อยอดและช่วยให้ห้างมีรายได้เพิ่มอีกทางหนึ่ง
“ภัทรพร เพ็ญประพัฒน์” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ระบุว่า ล่าสุด ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ได้ปรับพื้นที่ใหม่เพื่อเปิดโมเดลร้านมัลติแบรนด์ความงาม “ลุคส์” (Looks) รูปแบบช็อปอินช็อป ที่อยู่ภายในท็อปส์ โดยนำร่องสาขาแรกที่เซ็นทรัล พระราม 3 และเตรียมจะเปิดเพิ่มอีก 10 สาขาภายในสิ้นปี
พร้อมกันนี้ยังอธิบายว่า ลุคส์ เป็นร้านประเภทออลอินวันเดสติเนชั่น รวบรวมแบรนด์กว่า 1 หมื่นรายการ ร้านดีไซน์ในแบบโมเดิร์น เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มคนทำงานและวัยรุ่นให้เข้าถึงสินค้าง่ายขึ้น และตอบโจทย์พฤติกรรมการบริโภคของคนทุกเพศทุกวัย ในการดูแลตัวเองด้านสุขภาพและความงาม
โดยก่อนหน้านี้ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ได้จับมือกับบริษัท มัทสึโมโตะ คิโยชิ โฮลดิ้ง จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ตั้งบริษัทร่วมทุน “บริษัท เซ็นทรัลและมัทสึโมโตะ คิโยชิ จำกัด” เพื่อดึง “มัทสึโมโตะ” เชนร้านค้าปลีกสุขภาพและความงามอันดับต้น ๆ จากญี่ปุ่น เข้ามารุกตลาดเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมี 27 สาขา เน้นสินค้าแบรนด์ดังและหายาก ตลอดจนบริการสไตล์ญี่ปุ่น เพื่อสร้างจุดต่างให้กับร้าน
ด้าน “อุสรา ยงปิยะกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง ระบุถึงการจับมือกับกลุ่มทุนจากญี่ปุ่น “ไอสไตล์ อิงก์” เจ้าของเว็บไซต์รีวิว อีคอมเมิร์ซเครื่องสำอาง และร้านสเปเชียลตี้สโตร์ “แอทคอสเม่” (@Cosme) เปิดบริษัท ไอสไตล์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด นำร้านแอทคอสเม่เข้ามาเปิดในไทย โดยจะเปิดสาขาแรกที่ไอคอนสยาม และมีแผนจะเปิดให้ครบ 5 สาขาภายใน 3 ปี ทั้งในพื้นที่ของสยามพิวรรธน์และพื้นที่อื่น ๆ
“จุดเด่นของร้านคือ การมีฐานข้อมูลจากรีวิวผู้ใช้ทั่วโลก ครอบคลุมกว่า 3 แสนแบรนด์ โดยจะคัดเลือกสินค้าเข้ามาจำหน่ายจากการจัดอันดับรีวิว ทุกระดับราคาและสินค้าเกือบทั้งหมดจะมีตัวอย่างให้ทดลอง พร้อมบริการให้คำปรึกษาจากพนักงานที่มีความรู้ในผลิตภัณฑ์หลายตัว ไม่เฉพาะแค่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง”
ขณะที่ “อนวัช สังขะทรัพย์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายการตลาด บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทได้พัฒนาโมเดลร้าน “เฮลโล บิวตี้” เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักช็อปที่ต้องการสินค้าด้านสุขภาพและความงามที่หลากหลาย นอกเหนือจากที่วางขายในแผนกเครื่องสำอางปกติ โดยเฮลโล บิวตี้ มีสินค้าให้เลือกกว่า 500 แบรนด์ และบริการด้านความงามอื่น ๆ อาทิ บริการตกแต่งคิ้ว บริการทำเล็บ ฯลฯ ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 18 สาขา และเตรียมขยายเพิ่มไปยังทำเลอื่น ๆ ที่มีศัยภาพอย่างต่อเนื่อง
“ร้านแบบมัลติแบรนด์สโตร์ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักช็อปในปัจจุบันได้ดี เพราะส่วนใหญ่มักหาข้อมูลสินค้าจากอินเทอร์เน็ต และซื้อจากหน้าร้านหรือเคาน์เตอร์ ซึ่งการได้เห็นหรือทดลองก่อนจะทำให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เชื่อว่าโมเดลนี้จะช่วยเพิ่มทราฟฟิกและยอดขายสินค้าให้กับแบรนด์ต่าง ๆ”
ผู้สื่อข่าวระบุเพิ่มเติมว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ค่ายเดอะมอลล์ได้เปิดตัวร้าน “บิวตี้ เพลย์กราวด์” มัลติแบรนด์ความงามที่พัฒนาขึ้นเอง สาขาแรกที่เดอะมอลล์ บางกะปิ เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่น 18-25 ปี เน้นสินค้าหลากหลายรวมกว่า 500 แบรนด์ ในราคาเข้าถึงง่าย บรรยากาศร้านทันสมัย มีมุมให้เซลฟีและทดลองแต่งหน้า เพื่อต่อยอดจากฐานลูกค้าผู้ใหญ่ และแผนกเคาน์เตอร์แบรนด์เดิม และมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มสิ้นปี
ขณะเดียวกันกลุ่มค้าปลีก “ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต” ของบริษัท ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด ก็พัฒนารูปแบบของร้านมัลติแบรนด์ความงาม “นายน์ บิวตี้” เปิดในร้านซีเจ ลักษณะช็อปอินช็อป เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างความแตกต่างจากซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 280 สาขา และภายใน 3 ปีจากนี้ ตั้งเป้าขยายเพิ่มขึ้นเป็น 500 แห่ง
เชื่อว่าความหอมหวนของตลาดความงามมูลค่า 1.68 แสนล้านบาท ที่เติบโตถึง 7.8% ในปีที่ผ่านมา จะเชิญชวนให้มีผู้เล่นใหม่ ๆ เข้ามาอีกหลายแบรนด์ ส่วนรายเก่าก็ต้องเร่งปรับตัวสู้กันสุดฤทธิ์
ที่มา : https://www.prachachat.net/marketing/news-209202
จำนวนผู้อ่าน: 2650
24 สิงหาคม 2018