1 สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ
ความกังวลจากประเด็นความขัดแย้งทางการค้าของ 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก สร้างความวิตกมากขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์หลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ “โกลด์แมน แซคส์” ที่ประเมินว่าสหรัฐและจีนไม่น่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าได้ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า พร้อมได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ลง 0.2% สู่ระดับ 1.8% จากที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ 2.0% ด้วยเหตุผลว่าสงครามการค้าจะฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้นอีก
ขณะที่นักลงทุนก็มีความกังวลมากขึ้นว่าสงครามการค้าจะส่งผลทำให้เกิด“ภาวะเศรษฐกิจถดถอย”ขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนส่อแววว่าจะรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ทั่วโลกกำลังนับถอยหลังสู่วันที่ 1 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 10% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2562 สหรัฐประกาศเลื่อนการเก็บภาษี 10% ต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีนบางรายการ จากกำหนดการเดิมที่จะเริ่มเก็บ ในวันที่ 1 ก.ย ที่จะถึงนี้ออกไป
ทั้งนี้รอยเตอร์ส ระบุว่า สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากจีนถูกชะลอการเก็บภาษีไปเป็นวันที่ 1 ธ.ค.นี้ และอย่างช้าที่สุด คือ 15 ธ.ค.นี้ ตัวอย่างเช่น แล็ปท็อป, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่นวิดีโอเกม, จอคอมพิวเตอร์ รวมถึงไปสินค้าอื่นๆ อาทิ เสื้อผ้า และ รองเท้า เป็นต้น
แต่นั้นก็เป็นเพียงการเลื่อนระยะเวลาออกไปเท่านั้น
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังของสหรัฐเอง ได้ประกาศด้วยว่า “จีนเป็นประเทศที่ปั่นค่าเงิน” ซึ่งสร้างความบาดหมางระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นอีก และถึงแม้ว่าทางการจีนจะยืนยันว่าไม่ได้แทรกแซงค่าเงินตามที่สหรัฐกล่าวหา แต่ก็ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจน ที่สะท้อนว่าทางการจีนพยายามอุ้มเงินหยวนไม่ให้อ่อนค่าลงไปมากกว่านี้ ซึ่งขณะนี้ค่าเงินหยวนอยู่ระดับต่ำกว่า 7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้ตอบโต้สหรัฐด้วยการสั่งให้บริษัทของภาครัฐระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ ตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้กับนายทรัมป์ ระหว่างเวทีการประชุม G20 ที่นครโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น
REUTERS/Damir Sagolj/File Photo
2 ข้อพิพาทแคชเมียร์ ระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน
ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศเพื่อนบ้าน “อินเดีย-ปากีสถาน” ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ ความไม่สงบในพื้นที่ “แคชเมียร์” เกิดขึ้นมานานแต่ไม่ได้รุนแรงขนาดที่สั่นคลอนความสัมพันธ์ทางการค้าและการทูตระหว่างกันเป็นเวลานาน จนกระทั่งล่าสุด รัฐบาลชาตินิยมของอินเดียได้ประกาศยกเลิกสถานะเขตปกครองตนเองพิเศษของเเคว้นเเคชเมียร์ ซึ่งใช้สถานะดังกล่าวมานานหลายสิบปี จนทำให้ฝั่งปากีสถานโกรธเคืองและไม่พอใจ
อันเป็นเหตุให้รัฐบาลปากีสถานประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับอินเดีย สั่งขับไล่เอกอัครราชทูตอินเดียออกจากประเทศ นอกจากนี้ยังสั่งให้ระงับการค้าระหว่างสองประเทศ จากนั้นก็ยุติเส้นทางรถไฟที่เชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ และล่าสุด คือ การยกเลิกรถบัสเส้นทางกรุงนิวเดลี-ลาฮอร์ของปากีสถาน
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของ บลูมเบิร์ก ระบุว่า มีโอกาสที่ความขัดแย้งของสองประเทศนี้จะลากยาวออกไปอีก ซึ่งหากมองในแง่ของผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังจากที่ระงับการค้าระหว่างกัน อาจส่งผลเสียต่อปากีสถานมากกว่าอินเดีย เพราะมูลค่าการค้า 2 ทางของทั้ง 2 ประเทศ ราว 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2018 คิดเป็นสัดส่วนการค้ารวมของปากีสถานราว 3% แต่เป็นสัดส่วนเพียง 0.3% ของการค้าทั้งหมดของอินเดีย
ดังนั้น อีกหนึ่งวิธีการตอบโต้ที่ปากีสถานสามารถทำได้ ก็คือ การสั่งปิด “น่านฟ้า” เหมือนตอนที่เคยสั่งปิดในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากที่มีการปะทะกันทางอากาศระหว่างกัน จนส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุตสาหกรรมการบิน โดยเส้นทางบินที่บินออกจากภูมิภาคเอเชียไปทวีปอื่น ต่างได้รับผลกระทบทั้งหมดจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
REUTERS/Fabrizio Bensch
3 การประท้วงในฮ่องกง
เหตุการประท้วงในฮ่องกงยังคงบานปลายและเข้าสู่สัปดาห์ที่ 11 จากชนวนความไม่พอใจต่อรัฐบาลฮ่องกง หลังจากที่ประกาศว่ากำลังพิจารณาใช้ร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยัง “จีนแผ่นดินใหญ่” ถึงแม้ว่านางแคร์รี ลัม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ได้ประกาศยุติการพิจารณากฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่กลุ่มผู้ชุมนุมยังประท้วงต่อเนื่อง เพื่อกดดันให้ผู้นำสูงสุดของฮ่องกงลาออกจากตำแหน่ง
สถานการณ์ในฮ่องกงกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงต่อภาคธุรกิจว่าอาจจะถูก “ชัตดาวน์” เนื่องจากการประท้วงกำลังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของฮ่องกง ในฐานะที่เป็น “ศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลก”นอกจากนี้ การประท้วงยังลุกคืบมาถึงธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการอื่นๆ หลังจากที่ผู้ประท้วงหลายพันคนปักหลักอยู่ที่ท่าอากาศยานอาคารขาเข้า เพื่อต้องการส่งสารไปถึงผู้มาเยือนว่า ฮ่องกงต้องได้รับการปลดปล่อยจากแผ่นดินใหญ่ และอิสรภาพในการปกครองตนเอง เป็นต้น
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจทั้งการเงิน อย่าง ธนาคาร HSBC ที่ประกาศระงับให้บริการในบางสาขาในฮ่องกงแล้ว ยังมีภาคธุรกิจอื่นๆ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า ที่แสดงความคิดเห็นตรงกันว่า การประท้วงในฮ่องกงกำลังทำลายเศรษฐกิจของฮ่องกงเอง เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวกำลังลดลง ไม่มีลูกค้าเดินห้าง ขณะที่นักลงทุนเริ่มระงับแผนการลงทุนชั่วคราว โดยสภาหอการค้าอเมริกา และยุโรป ยืนยันว่า นักลงทุนชะลอแผนการลงทุนในฮ่องกง และมองว่าสถานการณ์การประท้วงไม่ได้เป็นแค่ “ระยะสั้น” แต่จะยาวนานมากกว่านี้
REUTERS/Issei Kato
4 ความขัดแย้งเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น
ประเด็นความไม่พอใจระหว่างสองเพื่อนบ้าน เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น อันที่จริงก็มีความแคลงใจกันมานาน ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนลุกลามใหญ่โตอีกครั้ง หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นประกาศถอดเกาหลีใต้ออกจาก “บัญชีสีขาว” ซึ่งเป็นรายชื่อสำหรับคู่ค้าที่ไว้ใจได้และใกล้ชิดกับญี่ปุ่น โดยจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ 28 ส.ค.นี้
และล่าสุด รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศเมื่อวานนี้ (12 ส.ค.) เตรียมตัดขาดญี่ปุ่นถอดออกจากรายชื่อประเทศคู่ค้าที่ได้รับความไว้วางใจ เรียกว่า “บัญชีขาว” เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลว่าญี่ปุ่นละเมิดหลักการสากล ด้วยการควบคุมการส่งออกวัตถุดิบที่มีความสำคัญต่อเกาหลีใต้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่จะถูกใช้มาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าบางอย่างมายังเกาหลีใต้
ทั้งนี้ การตอบโต้ไปมาระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ พูดได้ว่าแลกกันคนละหมัด ซึ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเกาหลีใต้แน่ๆ คือ วัสดุที่สำคัญในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากญี่ปุ่นทั้งหมด เช่น วัสดุในการผลิตจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และชิปหน่วยความจำ เป็นต้น ที่สำคัญคือ วัตถุดิบที่เกาหลีใต้พึ่งพาญี่ปุ่นยังไม่สามารถหาสิ่งทดแทนจากประเทศอื่นได้โดยเร็ว ๆ นี้
ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ก็ตอบโต้ญี่ปุ่นอย่างสาหัสเช่นกัน โดยภาคประชาชนชาวโสมขาวต่างแห่ “แบน”สินค้าญี่ปุ่นทุกรายการ ตั้งแต่ชิ้นเล็กๆ อย่าง ปากกา เบียร์ ขนมคบเขี้ยว ไปจนถึง เสื้อผ้าแบรนด์เนม สินค้าหรู และรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น
ทั้งนี้ นายไทเมอร์ เบก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก ดีบีเอส กรุ๊ป รีเสิร์ช มองว่า บริษัททั้งของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างก็ต้องใช้เวลาเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ ยิ่งสถานการณ์ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ตึงเครียดมากเท่าไหร่ ก็ย่อมส่งผลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของโลกมากเท่านั้น ในฐานะที่เป็นผู้ส่งออกชิพและจอสมาร์ทโฟนรายใหญ่ ขณะที่ผู้บริโภคอาจจะต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าแพงขึ้น ถือเป็นการผลักภาระมาให้ผู้บริโภค
REUTERS/Kim Hong-Ji
5 เบร็กซิท
โลกกำลังเค้าดาวน์ก่อนถึงวันครบกำหนดการ “เบร็กซิท” หรือ การถอนตัวออกจากประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) ในวันที่ 31 ต.ค.ที่จะถึงนี้ หลังจากที่เคยเลื่อนวันเบร็กซิทมาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือ วันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา
บวกกับความไม่แน่นอนของการเมืองอังกฤษที่เพิ่มขึ้น หลังจากในวันที่ 7 มิ.ย. นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งอังกฤษประกาศลาออกจากตำแหน่ง และเปลี่ยนผ่านตำแหน่งไปสู่ “บอริส จอห์นสัน”นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งเสียงตอบรับต่างเรียกขานเขาว่าเป็น “ทรัมป์แห่งลอนดอน”
ท่ามกลางคาดการณ์จากหลายแห่งกังวลว่า มีโอกาสที่จะเกิด “โนดีลเบร็กซิท” ในสมัยการบริหารของนายจอห์นสัน ขณะที่ล่าสุด นักการทูตรายหนึ่งในกรุงบรัสเซลส์ กล่าวกับ “ดิ การ์เดียน” เผยว่า เขาได้รับรายงานว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษไม่มีความประสงค์จะกลับมาเจรจาข้อตกลงถอนตัวใหม่อีกครั้งขณะที่นักวิเคราะห์จากหลายๆ ประเทศสมาชิกอียู ต่างชี้ว่า “โนดีล” เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของเขา เนื่องจากเขาเป็นหัวหอกในการเรียกร้องให้มีประชามติเบร็กซิทจากประชาชน
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนกับการเบร็กซิทแบบไร้ข้อตกลงที่มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อ “เงินปอนด์” ให้อ่อนค่าลงเรื่อยๆ โดยเมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 1.0724 ต่อยูโร เป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี นับจากเดือน ส.ค. 2017 ขณะที่ปีที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์เทียบเงินบาทอยู่ที่ราว 40 บาท/ปอนด์ แต่ ณ วันที่ 13 ส.ค.อยู่ที่ 37.27 บาท/ปอนด์
REUTERS/Toby Melville
คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่!! …ช็อกตลาดโลก! สหรัฐเลื่อนเก็บภาษี 10% สินค้าจีนบางรายการ
คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่!! …จีนตอบโต้อเมริกา “ระดับ 11” โลกจ่อ “รีเซสชั่น” ในอีก 9 เดือน
คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่!! …จาก “สงครามการค้า” ลามสู่ “สงครามค่าเงิน”
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-360204
จำนวนผู้อ่าน: 2028
14 สิงหาคม 2019