ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (21 ต.ค.) ที่ระดับ 30.28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 30.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยกรอบเงินบาทวันนี้อยู่ระหว่าง 30.25 ถึง 30.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้อยู่ที่ 30.00 ถึง 30.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยปัจจัยล่าสุด นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยื่นจดหมายบขอเลื่อนการพิจารณาข้อตกลง Brexit ระหว่างสหราชอาณาจักร (UK) กับสหภาพยุโรป (EU) ออกไปถึงวันที่ 31 มกราคมปีหน้าส่งผลให้ความไม่แน่นอนเรื่อง Brexit จะกลับมากดดันเงินปอนด์อีกครั้ง โดยเชื่อว่าจุดสูงสุดของเงินปอนด์ครั้งนี้จะเป็นแนวต้านใหม่ ขณะที่ในระยะยาว ข้อตกลงล่าสุดที่ทาง UK และ EU กำลังต่อรองอยู่ ถือว่าไม่ดีกับเศรษฐกิจ ขณะที่หลายบริษัทในอังกฤษก็เข้าสู่โหมดเตรียมพร้อมรับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นแล้ว
ขณะเดียวกัน ก็จะมีการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB ในวันที่ 24 ตุลาคม เป็นครั้งสุดท้ายของนายมาริโอ ดรากี้ โดยรวม เชื่อว่า ECB จะ “คง”นโยบายการเงินทั้งหมดในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่า ECB จะไม่ใช้เพียงนโยบายการเงิน แต่จะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรปด้วยนโยบายทางการคลังระหว่างประเทศ
นอกจากนั้น ระหว่างสัปดาห์ก็ต้องระวังการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา แม้กำไรส่วนใหญ่จะออกมาดีกวาคาดแต่กลับเป็นการกดดันให้ตลาดปรับฐาน เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรเมื่อดัชนี S&P500 เข้าใกล้จุดสูงสุดเก่า
ดร.จิติพล กล่าวอีกว่า ส่วนของเงินบาท ช่วงสั้นมีแรงขายจากผู้ค้าต่างประเทศกลับมากดดัน เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่มีความชัดเจนในเรื่องนโยบายที่คาดว่าจะใช้ในการควบคุมความเคลื่อนไหว ขณะเดียวกันสกุลเงินเพื่อนบ้านก็เริ่มปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์แล้ว
“ในสัปดาห์นี้เรามองความผันผวนของตลาดทุนสหรัฐเป็นปัจจัยหลักที่จะกำหนดทิศทางเงินบาท ถ้าผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐยังแข็งแกร่ง ก็อาจเห็นดอลลาร์ทรงตัวได้พร้อมกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สหรัฐอายุ 10ปีที่จะไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับ 1.75% แต่ในทางกลับกัน ถ้าบริษัทเทคโนโลยีเริ่มแสดงให้เห็นถึงกำไรที่ชะลอตัว ก็อาจมี แรงเทขายดอลลาร์ตามมาเพราะความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐจะต้อง”ลด”ดอกเบี้ยทันทีในการประชุมสิ้นเดือนนี้” ดร.จิติพลกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-382573
Person read: 3042
21 October 2019