ปลัดพาณิชย์นำทีมลงพื้นที่ตรวจหน้ากากอนามัย ก่อนส่งตรง22 จังหวัด

กระทรวงพาณิชย์ นำทีมลงพื้นที่โรงงานผลิตหน้ากากอนามัย พร้อมกระจายลงพื้นที่ 22 จังหวัด หลังรีเซ็ทจัดสรรหน้ากากอนามัยใหม่

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวระหว่างลงพื้นที่ พร้อมด้วย นายธีรภัทร ประยูรสิทธิปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพงษ์ทร วิเศษสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด และ นายนพร เกษจรัล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็น เอ็น สกายเทรด จำกัด เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานการขนส่งหน้ากากอนามัยจากโรงงานผู้ผลิตสู่การกระจายไปยังภูมิภาคของกระทรวงมหาดไทย โดยใช้บริการขนส่งของบริษัทไปรษณีย์ไทย ในการกระจายรูปแบบใหม่นี้ ว่า จะมีคณะอนุกรรมการบริหารศูนย์บริหารจัดการสินค้าหน้ากากอนามัย พิจารณาจัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย โดยจัดสรรจากปริมาณการผลิต ณ ปัจจุบันที่ 2.3 ล้านชิ้นต่อวัน จากทั้งหมด 9 โรงงาน

ทั้งนี้ ปริมาณหน้ากากอนามันจะออกจากโรงงานโดยรถขนส่งไปรษณีย์ ไปยังปลายทาง คือกระทรวงสาธารณสุข และจะขนส่งไปยังปลายทางที่สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ส่วนของกระทรวงมหาดไทยจะขนส่งไปยังศาลากลางจังหวัด เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ จะได้นำไปจัดสรรให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง เช่น เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง อสม. พนักงานทำความสะอาดและเก็บขยะ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจในจุดตรวจพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อ COVIC-19

โดยวันนี้ 30 มีนาคม 2563 จะมีการขนส่งหน้ากากอนามัยออกจากโรงงาน บริษัท เอ็น.เอ็น.สกายเทรด จำกัด ซึ่งเป็น 1 ในโรงงานผู้ผลิตหน้ากาก 9 โรง จำนวน 200,000 ชิ้นเพื่อจัดสรรให้จังหวัดในภาคกลางทั้งหมด 22 จังหวัด โดยคาดว่าในวันพรุ่งนี้ (31 มีนาคม 2563) จะส่งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เพื่อที่จะกระจายไปยังกลุ่มเสี่ยงหรือมีความจำเป็นที่ต้องกา อย่างไรก็ดี หากหน้ากากอนามัยเหลือจากการจัดสรร และเพียงพอสำหรับกลุ่มเสี่ยง ก็อาจจะพิจารณานำมาจัดสรรเพื่อจำหน่ายให้ประชาชนต่อไป แต่ต้องให้หน่วยงานทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยงเพียงพอในการใช้งานทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้ นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มาติดตามการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย

สำหรับปริมาณการผลิตหน้ากากอนามัยปัจจุบันมีอยู่ที่ประมาณ 2.3 ล้านชิ้นต่อวันโดยในจำนวนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.3 ล้านชิ้นจะกระจายให้กับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อจัดสรรให้กับหน่วยงานในสังกัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่อีก 1 ล้านชิ้นจะกระจายให้กับกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้จัดสรรให้กับพื้นที่แต่ละจังหวัดที่มีความต้องการหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ จำเป็นต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-440909


จำนวนผู้อ่าน: 2131

31 มีนาคม 2020