“ราช กรุ๊ป” กำไร 9 เดือน 5 พันล้าน แง้มปี’65 งบลงทุน 1.5 หมื่นล้าน

ราช กรุ๊ป โกยกำไร 9 เดือนกว่า 5,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากขายไฟฟ้ากลุ่มโรงไฟฟ้าในออสเตรเลียและส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมทุน แง้มลงทุนโรงไฟฟ้าอีก 2 แห่งส่งท้ายปี กำลังผลิตรวม 1,054 เมกะวัตต์ ต่อยอดธุรกิจในอนาคต พร้อมมีแผนเพิ่มทุนธุรกิจ 30,000 ล้านบาท ลั่นปีหน้า 2565 รายได้เติบโต10-20% วางงบลงทุน 15,000 ล้านบาท

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานที่ผ่านมามีความก้าวหน้าตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ทั้งผลประกอบการที่มีผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ และการลงทุนเพิ่มกำลังผลิตใหม่ก็มีแนวโน้มดีกว่าเป้าหมาย 8,874 เมกะวัตต์  โดยคาดว่าจะรับรู้กำลังผลิตประมาณ 1,054 เมกะวัตต์ ซึ่งทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 9,346.35 เมกะวัตต์

ทั้งนี้เป็นผลจากการเข้าซื้อหุ้น 45.515% จากบริษัท PT Paiton Energy ประเทศอินโดนีเซียที่ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้า 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 2,045 เมกะวัตต์ ซึ่งที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่ผ่านมา ให้ความเห็นชอบแล้ว และการซื้อหุ้นสามัญและหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ. สหโคเจน (ชลบุรี) สัดส่วน 51% ซึ่งดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าเอสพีพีระบบโคเจนเนอเรชั่น กำลังผลิตรวม 214 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 17.10 เมกะวัตต์ รวมทั้งธุรกิจโซลาร์รูฟด้วย

ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาส 1 ปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนลงทุนโครงการพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ซึ่งบริษัทฯ มุ่งเน้นการลงทุนด้วยวิธีเข้าซื้อหุ้นกิจการที่ดำเนินงานแล้วเพื่อให้รับรู้รายได้ทันที และยังสานต่อความเป็นพันธมิตรในการต่อยอดการลงทุนที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย นอกจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าแล้ว บริษัทฯ ยังมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันมีมูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้น 11,689 ล้านบาท

 

โดยการลงทุนในปีนี้ ประกอบด้วย การเข้าซื้อหุ้นบมจ. บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ โครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอัดแท่ง ในสปป.ลาว  การเข้าซื้อหุ้นบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ และบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมไฟฟ้าและพลังงาน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดสัดส่วนการลงทุนธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและอื่นๆ ไว้ 20% ซึ่งจะเข้ามาช่วยผลักดันมูลค่ากิจการของบริษัทฯ ให้บรรลุเป้าหมาย 200,000 ล้านบาท ภายในปี 2568

สำหรับภาพรวมธุรกิจผลิตไฟฟ้า บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการผลิตจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก รวม 6,874.14 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 84% และกำลังโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวม 1,305.21 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 16%  ในปีนี้ บริษัทฯ จะรับรู้กำลังการผลิตเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็น 7,321.44 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากโรงไฟฟ้าสหโคเจน ที่รับรู้กำลังการผลิตจากการลงทุนรวม 123.33 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว อินโดนีเซีย กำลังผลิต 145.15 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าปลายปีนี้

ส่งผลให้ผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรกปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 29,824.13 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการขายและบริการและรายได้ตามสัญญาเช่าการเงินของโรงไฟฟ้าที่บริษัทฯ ควบคุมจำนวน 24,931.08  ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 83.59% ส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนและเงินปันผล จำนวน 4,318.05 ล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วน 14.48% และรายได้จากดอกเบี้ยและอื่นๆ จำนวน 575 ล้านบาท สำหรับกำไรสำหรับงวด 9 เดือน มีจำนวน 5,648.81 ล้านบาท  คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.90 บาท

นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2564-2565 คาดว่ารายได้จะเติบโตปีละ 10-20% โดยรายได้จะเติบโตสอดคล้องกับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ปีละ 700 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ บริษัทฯ จะมีรายได้มั่นคงในระยะยาว อีกทั้งยังมีแผนจะออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิม ซึ่งยังมีกรอบที่จะสามารถออกหุ้นกู้ได้อีก 1,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด ส่วนแผนเพิ่มทุนที่วางไว้ 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2564

ทั้งนี้ แผนดำเนินงานปี 2564-2568 หรือ ระยะ 5 ปี บริษัท วางเป้าหมายพอร์ตการลงทุนจะเป็นธุรกิจไฟฟ้าสัดส่วน 80% และอีก 20% เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยธุรกิจไฟฟ้าจะเน้นเพิ่มพลังงานหมุนเวียน 25% หรือ 2,500 เมกะวัตต์ ในปี2568

ส่วนอีก 40% ตั้งเป้าในปี2573 จากปัจจุบันอยู่ที่ 16% โดยจะเป็นก๊าซธรรมชาติ อยู่ที่ 5,500 เมกะวัตต์ และถ่านหินจะไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเมื่อรวมโครงการไพตัน อินโดนีเซีย แล้ว จะทำให้สัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเดิมอยู่ที่ 888 เมกะวัตต์ขึ้นไปแตะประมาณ 1,900 เมกะวัตต์

“บริษัทจะคงเหลือการลงทุนเชื้อเพลิงถ่านหินไว้สัดส่วนเท่านี้ และไม่มากไปกว่านี้ เพื่อมุ่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นที่เคยกำหนดไว้ไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ อีกทั้งเพื่อเดินหน้ามุ่งสู่นโยบายสิ่งแวดล้อมภายหลังประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 หรือ COP26 ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศบนเวทีโลกด้วย”

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-802880


จำนวนผู้อ่าน: 1477

16 พฤศจิกายน 2021