ข่าวประชาสัมพันธ์

กรมชลฯ เตือนรับมือพายุฤดูร้อน 1-4 เม.ย.นี้

กรมชลประทานสั่งทุกโครงการชลประทานทุกแห่ง ประชาชน เตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน โดยเฉพาะพื้นที่ตอนบนของประเทศ ส่วนในช่วงวันที่ 7 – 10 เม.ย. และ 25 – 29 เม.ย. จะเกิดภาวะน้ำทะเลหนุนสูง กำชับวางมาตรการในการป้องกันน้ำเค็มรุกล้ำ โดยการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 70 ลบ.ม./วินาที นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 1 (46/2563) ลงวันที่ 30 มีนาคม 2563 เรื่อง “พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 1 – 4 เมษายน 2563)” ในช่วงวันที่ 1 – 4 เมษายน 2563 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่ากับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะได้รับผลกระทบก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป ทั้งนี้ สถานการณ์น้ำในพื้นที่ตอนบนของประเทศไทย โดยรวมปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ แหล่งน้ำธรรมชาติ และแม่น้ำสายหลักต่างๆ ยังคงมีน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย ทำให้มีพื้นที่รองรับปริมาณน้ำฝนที่จะตกลงมาบริเวณเหนืออ่างฯได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อปริมาณน้ำเก็บกักที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง กรมชลประทาน จะบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าแม้ในระยะที่ผ่านมาจะมีฝนตกลงมาบ้างในหลายพื้นที่ แต่ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแม่น้ำสายหลักต่างๆ ยังคงอยู่ในเกณฑ์น้อย ซึ่งหากเป็นไปตามที่กรมอุตุนิยมคาดการณ์ไว้ว่า ในช่วงต้นเดือนเมษายนจะมีฝนตกลงทางตอนบนของประเทศ คาดว่าจะทำให้สถานการณ์ภัยแล้งบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง นอกจากนี้ ในช่วงวันที่ 7 – 10 เม.ย. และ 25 – 29  เมษายนนี้ จะเกิดภาวะน้ำทะเลหนุนสูง กรมชลประทาน ได้วางมาตรการในการป้องกันน้ำเค็มรุกล้ำ โดยการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 70 ลบ.ม./วินาที สำหรับใช้ในการเจือจางค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะไม่กระทบต่อแผนการใช้น้ำที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม กรมชลประทาน ได้แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมฉับพลัน ให้เตรียมรับมือและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดแล้ว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-440811  

จำนวนผู้อ่าน: 1977

31 มีนาคม 2020

เพิ่มเงินคนพิการ 1,000 บาท 2 ล้านคน – พักชำระหนี้

เคาะเงินช่วยเหลือผู้พิการ รายละพันบาท สองล้านคน พักหนี้ 1 ปีลูกหนี้กองทุนส่งเสริมคนพิการ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ที่ประชุมมีความห่วงใยผู้พิการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงมีมติเห็นชอบ 4 มาตราการช่วยเหลือ คือ 1) การจ่ายเงินเยียวยาผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ สองล้านกว่าคนทั่วประเทศ รายละ 1,000บาท เพิ่มเติมจากเบี้ยผู้พิการที่ให้ทุกเดือนอยู่แล้ว โดยใช้เงินจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยจะประสานกรมบัญชีกลางเพื่อให้เงินโอนตรงเข้าบัญชีในเมษายนนี้ 2) พักชำระหนี้คนพิการที่กู้เงินจากกองทุนฯ เป็นระยะเวลา 1 ปี นับจากเมษายน มีจำนวนลูกหนี้ 1.34 แสนราย มูลหนี้ 3.8 พันล้านบาท 3) เสนอ ครม.ให้ทบทวนมติในการเพิ่มเบี้ยผู้พิการเป็น 1,000 บาท แก่ผู้ที่มีบัตรผู้พิการทุกคนทั่วถึงสองล้านคน แม้ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ 4) ให้อนุกรรมการฯปรับระเบียบการกู้เงินกองทุนฯ ให้ผู้พิการกู้ได้ รายละไม่เกิน 10,000 บาท โดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ไม่มีดอกเบี้ย ระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ 1 ปี วงเงิน 2,000 ล้านบาท   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-440804

จำนวนผู้อ่าน: 1967

31 มีนาคม 2020

หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้ -11.94 จุด ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1,088 จุด

การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (30 มี.ค.) ดัชนี SET Index ปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,087.82 จุด ปรับลง -11.94 จุด หรือคิดเป็น -1.09% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 41,188 ล้านบาท โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,073.37-1,094.12 จุดตลอดช่วงตลาดเปิดทำการวันนี้ หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 1. PTT มูลค่าซื้อขาย 2,817.54 ล้านบาท ราคาหุ้น -1.00 (-3.33%) 2. BAM มูลค่าซื้อขาย 2,632.02 ล้านบาท ราคาหุ้น +0.20 (+1.08%) 3. ADVANC มูลค่าซื้อขาย 1,776.11 ล้านบาท ราคาหุ้น -1.00 (-0.50%) 4. KBANK มูลค่าซื้อขาย 1,769.71 ล้านบาท ราคาหุ้น -4.25 (-4.76%) 5. AOT มูลค่าซื้อขาย 1,603.85 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.75 (-1.49%) 6. CPALL มูลค่าซื้อขาย 1,463.25 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 7. GULF มูลค่าซื้อขาย 1,157.79 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 8. PTTEP มูลค่าซื้อขาย 1,091.87 ล้านบาท ราคาหุ้น -1.50 (-2.33%) 9. SCC มูลค่าซื้อขาย 934.84 ล้านบาท ราคาหุ้น -8.00 (-2.50%) 10. SCB มูลค่าซื้อขาย 919.93 ล้านบาท ราคาหุ้น -1.75 (-2.64%) ขณะที่ดัชนี SET50 ปรับลง -10.14 จุด หรือ -1.37% อยู่ที่ 729.91 จุด ส่วนตลาด mai ปรับลง -2.46 จุด หรือ -1.15% อยู่ที่ระดับ 212.14 จุด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-440795

จำนวนผู้อ่าน: 1992

31 มีนาคม 2020

‘เมษาชี้ชะตาประเทศ’ บทความโดย ธีรยุทธ บุญมี เสนอทัศนะสู้สงคราม ‘โควิด’

ธีรยุทธ บุญมี (แฟ้มภาพ) ผู้เขียน ศ.ธีรยุทธ บุญมี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต   ช่วงที่คนไทยเรากำลังเคร่งเครียด วิตกกังวล ในฐานะผู้ร่วมชะตากรรมผมขอเสนอแง่คิดมุมมอง ที่มุ่งจะสร้างความหวัง ความเข้าใจต่อกันและกัน ปัญหาโควิด 19 ต้องเข้าใจความเป็นสังคมของมนุษย์ สังคมไทยกำลังทำสงคราม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ร่วมกันทำกิจกรรมหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ ความเชื่อ กีฬา บันเทิง ฯ แต่โรคระบาดแบบโควิด 19 เป็นการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับเชื้อโรค ในภาวะสงครามเช่นนี้สิ่งพื้นฐานที่ต้องรักษาไว้ 3 ระดับ คือ 1. การดำรงชีวิตอยู่ในกลุ่มสังคมเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 2. การรักษาพื้นฐานการเป็นมนุษย์ และ 3. คือความเป็นรัฐชาติเพื่อแก้ปัญหาใหญ่ ๆ เพื่อติดต่อสัมพันธ์กับชาติอื่น มิติอื่น ๆ บางอย่างถูกตัดทิ้งไปก่อนหรือลดความสำคัญลงไป แต่บางอย่างก็ไม่ใช่เป็นการบังคับเด็ดขาด เช่น ความเห็นต่างทางมาตรการนโยบายการเรียกร้องให้มาตรการเป็นธรรมทั่วถึงจากฝ่ายค้านหรือผู้คนทั่วไปก็ยังทำได้ เชื้อโรคโจมตีความเป็นสังคมของคน ต้องอาศัยพลังทางสังคม การปรับกระบวนทัศน์ใหม่ และการจัดระเบียบ การจัดการสังคมใหม่ เป็นมาตรการตอบโต้ ในอดีตมนุษย์อยู่เป็นกลุ่มขนาดเล็ก เวลาเกิดโรคระบาดมนุษย์อาจเลือกสลายสังคม แยกเป็น 2-3 ครอบครัว หนีขึ้นเขาเข้าป่า หรืออพยพทั้งกลุ่ม เช่น พระเจ้าอู่ทองโยกย้ายคนไปตั้งกรุงศรีอยุธยาฯ แต่ปัจจุบันเราเป็นสังคมใหญ่ มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ตั้งแต่การรวมกลุ่มขนาดใหญ่ด้วยความเชื่อ อารมณ์ ความตื่นเต้น เช่น การรวมกลุ่มทางศาสนา การแข่งขันมวย ฟุตบอล คอนเสิร์ต ฯ การรวมกลุ่มทางการ เช่น องค์กร บริษัท หน่วยราชการ กึ่งทางการ เช่น การไปตลาด งานแสดงสินค้า นั่งรถสาธารณะ งานปาร์ตี้ ไวรัสจะโจมตีได้ทุกจุด เรามีทางเลือกเดียวคือต้องร่วมกันสู้ โดยทุกคนเป็นนักรบหมด ในช่วงที่เราใช้มาตรการสังคมคือการเก็บตัวอยู่ในบ้าน ที่จริงคือการเป็นแนวหน้าสุดในการต่อสู้กับศัตรู แต่ละวันที่เราอยู่บ้านเท่ากับช่วยกันเปิดเผยตัวตนของเชื้อโรคได้ทุก ๆ วัน เมื่อครบ 14 วันตามทฤษฎีเชื้อโรคก็จะถูกเผยตัวได้หมด แต่ในความเป็นจริงก็จะมีอีกส่วนหนึ่งซึ่งหลุดรอดไปได้ ถ้าใช้เวลา 1 เดือนก็ถือว่าน่าจะหลงเหลืออยู่น้อยมาก โดยมีแพทย์ พยาบาล สาธารณสุข เป็นปราการแข็งแกร่งที่ทั้งสู้รบและบัญชาการและปกปักรักษาทุกคนด้วย การเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ มามองว่าเราเป็นฝ่ายกระทำมีความจำเป็น เพราะแทนที่จะรู้สึกเป็นฝ่ายรับ หดหู่ หมดหวัง โกรธเคืองแพทย์ พยาบาล หรือรัฐ เราจะมองในมุมกลับเป็นฝ่ายกระทำที่มีความมุ่งมั่น ความมั่นใจ และภูมิใจในการต่อสู้ร่วมกันของประชาชน แพทย์ พยาบาล สาธารณสุข และทุกหน่วยงาน มาตรการ Social Distancing หัวใจสู้โควิด 19 โดยปกติมนุษย์จะจัดระยะห่างทางสังคมว่าควรใกล้ชิด/ห่าง ทางการ/ไม่ทางการ เป็นกันเอง/ไม่เป็นกันเอง เป็นกติกามารยาททางสังคมที่กำหนดไว้แล้ว การสร้างระยะห่างทางสังคมขึ้นใหม่ (social distancing) นี้เป็นการขอเปลี่ยนความสัมพันธ์เดิมให้ห่างขึ้นเป็นแบบระมัดระวัง ไม่ใช่เพราะรังเกียจเดียดฉันท์ วัตถุประสงค์ของ Social Distancing ก็คือไม่ให้เชื้อโรคมีโอกาสกระโดดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ที่ได้ผลสูงสุดก็คือการอยู่บ้าน การปิดห้าง ร้านอาหาร ออฟฟิสบางส่วน เพราะเท่ากับปิดไม่ให้มีการพบปะกันของผู้คนจำนวนมาก จากนั้นคือการเว้นระยะ 2 เมตรหรือการสร้างอุปสรรคสกัดเชื้อโรค (social barrier) ไม่จับมือ ใช้หน้ากากอนามัย การตรวจสอบอุณหภูมิ หรือการใช้แอพติดตามตัว (tracing) การลดการพบปะทางสังคมโดยตรง (contact) เช่น การประชุม การรับประทานอาหารร่วมกัน ทั้งหมดเป็นการปิดล้อมบังคับศัตรูเปิดเผยตัวเพื่อทำลายล้างโรคในที่สุด เมษาชี้ชะตาประเทศ ต้องเข้มข้นขึ้น เจ้าหน้าที่บังคับใช้มาตรการจริงจัง 100% การต่อสู้กับโรคระบาดมี 3 มาตรการตามลำดับความร้ายแรง ความรุนแรงน้อยสุดใช้วิธีติดตาม ตรวจสอบ รักษา (contact tracing, testing และ treat) ซึ่งไทย สิงคโปร์ เกาหลี จีน เก่งมาก และได้ผลสูง แต่เมื่อการติดต่อขยายตัวเกินกำลังการติดตาม ก็ต้องเพิ่มและยกระดับมาตรการรวมพลังทางสังคมกำหนดระยะห่าง social distancing แต่ถ้าคนในสังคมยังไม่ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหา ไม่ร่วมมือกันพอ ก็จำเป็นต้องใช้มาตรการที่ 3 คือการบังคับทางสังคม (social sanction) ซึ่งก็คือการบังคับใช้กฎหมาย ออก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ใช้ พ.ร.บ. สงครามบางด้าน เช่นการบังคับภาคเอกชนให้ทำกิจกรรมช่วยเหลือการสู้โรค ในปัจจุบันนี้เราใช้มาตรการที่ 3 มาได้ครึ่งทาง ตัวเลขผู้ป่วยที่รายงานกันมาก็สะท้อนว่ากำลังเกิดผล แต่เมษายนเป็นเดือนที่ทุกฝ่ายต้องทุ่มเททำงานอย่างหนักที่สุด ต้องเลี่ยงการระบาดแบบ super cluster หรือ super spreader ที่เกิดกรณีสนามมวย การชุมนุมศาสนา เพราะมันเสริมการระบาดแบบข้ามชนชั้น (cross sectorial) ลงสู่ชนชั้นล่าง และข้ามภูมิศาสตร์ ที่ต้องแก้ปัญหาจริงจังคือเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งคนหลายแสนอาจฝ่าฝืนกลับบ้านและจะมีส่วนกระจายเชื้อไปทุกชนชั้นและทุกภูมิภาคอย่างแท้จริง ต้องหาวิธีแก้อย่างเด็ดขาด ที่ต้องระวังเพิ่มเติมคือตลาดขนาดใหญ่ ชุมชนแออัดในทุกจังหวัด จังหวัดส่วนใหญ่มีผู้ติดเชื้อจังหวัดละไม่กี่ราย ขณะนี้มีมาตรการทั้ง 3 ขั้นให้ใช้แล้ว ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ละเลยควรจะควบคุมได้ แต่มีบางจังหวัด เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี นนทบุรี สมุทรปราการ 4 จังหวัดภาคใต้ อยู่ในสภาพคล้ายกรุงเทพ ฯ ก่อนตัวเลขจะข้ามหลักร้อยมาเป็นหลักพัน ต้องใช้มาตรการเข้มข้นและบังคับใช้จริงจังจึงจะสำเร็จ คำสั่งต้องเข้าใจสภาพรูปธรรม มี logistics และผู้ปฏิบัติรองรับให้สำเร็จ เช่น จะจัดระยะห่างบนรถสาธารณะในเมืองและต่างจังหวัด แต่รถไม่พอก็จะปฏิบัติไม่ได้ สู้อีกระยะ เราชนะได้แน่ ที่ผ่านมาแพทย์ พยาบาล สาธารณสุขของเราทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ทันกาล รัฐบาลก็ปรับตัวอย่างถูกต้องที่ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์เป็นผู้นำทางความคิด ตัวเองหันไปพิจารณาภาพรวมและดำเนินมาตรการต่าง ๆ รองรับ ถือว่าทำได้ถูกทางไม่สายเกินไป มีโอกาสควบคุมไม่ให้คนติดโรคกันเกือบทั้งเมืองเหมือนอิตาลี อังกฤษ สเปน อเมริกา ซึ่งถือว่าปัจจุบันประสบความล้มเหลวในการควบคุมโรค ทั้งนี้นอกจากปัจจัยผู้นำ มีปัญหาเรื่องวัฒนธรรมของประเทศ ซึ่งประชาชนมีความเป็นปัจเจก มั่นใจตัวเอง ไม่คล้อยตามผู้อื่นง่าย ๆ กลุ่มยุโรปใต้รักความสนุกสนาน ส่งผลให้การติดเชื้อยังเพิ่มทะยานตลอดเวลา แม้หลายประเทศจะสั่งปิดเมืองแล้วก็ยังล้มเหลว จำนวนผู้ป่วยโควิด 19 ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันของประเทศอิตาลี ยังควบคุมโรคไม่ได้ ที่มา E. Lascelles, (2020), MacroMemo – March 16 – March 20 2020: All about Covid-19, https://www.rbcgam.com/en/ca/article/macromemo-march-16-march-20-2020/detail. สำหรับคนไทยมีพวกวัยรุ่นหนุ่มสาว หรือพวกนอกขอบ พวกปฏิเสธขัดขืนลองดีสุดโต่งจำนวนหนึ่ง ซึ่งนับรวมก็คงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ คนไทยในช่วงที่ 1 คือ ม.ค. – ก.พ. ได้ปรับพฤติกรรมส่วนตัวด้วยการตื่นตัว “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” พอสมควร ตามมาการใช้หน้ากากอนามัยมากขึ้น กระจายไปสู่ชาวบ้านและต่างจังหวัดชัดเจนตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ของเดือน มี.ค. ในช่วงปัจจุบันจนถึงการประกาศภาวะฉุกเฉิน (26 มี.ค.) คนไทยร่วมมือกับการรณรงค์การสร้างระยะห่างทางสังคมได้ดีพอสมควร ซึ่งโดยการสังเกต (ไม่ใช่การสำรวจหรือวิจัย) ก็น่าจะถือได้ว่าคนไทยได้ร่วมแรงร่วมใจในเรื่องนี้ในระดับราว 70% ขึ้นไป แต่ยังจำเป็นที่จะต้องติดตามดูพัฒนาการอย่างใกล้ชิด ถ้าดูจากกรณีของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกการเลือกเส้นทางที่เข้มข้นและบังคับจริงจังดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด จากงานวิจัยของนักวิชาการชาวจีน (D. He และ Dushoff 2013 – งานสร้างโมเดลการศึกษาการระบาดของไข้หวัดใหญ่ปี 1913 และ Q. Lin และคณะอีก 10 คน 1 เม.ย. 2020) ได้ชี้ว่าการร่วมมือทั้งของภาคประชาชนและรัฐบาลทั้งสองปัจจัยช่วยให้การระบาดของไวรัสโควิด 19 ในจีนสงบลงได้ (กราฟสีฟ้า) ที่มา Q. Lin et al. (2020), “A conceptual model for the coronavirus disease 2019 (COVID-19) outbreak in Wuhan, China with individual reaction and governmental action” in International Journal of Infectious Diseases 93 (2020), p. 215. ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มของไทยในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา คือ 122, 106, 107, 111, 91, 109, 143, 136 สะท้อนว่าความตื่นตัวและมาตรการ “ควบคุมการเคลื่อนย้ายระหว่างเมือง” ของรัฐบาลเริ่มได้ผล เพราะกราฟเหวี่ยงตัวไปด้านข้างคล้ายใกล้จุดสันเขา จะแกว่งตัวเช่นนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ในมณฑลหูเป่ยหลังจากการ “ปิดเมือง” อย่างเต็มที่ จำนวนผู้ป่วยทางการยังเพิ่มขึ้นต่อไปอีกประมาณไม่ถึง 2 สัปดาห์เศษ จากนั้นก็ลดลงอย่างฮวบฮาบชัดเจน การชะลอตัวของการแพร่ระบาดโควิด 19 ในประเทศจีน ที่มา E. Lascelles, (2020), MacroMemo – March 16 – March 20 2020: All about Covid-19, https://www.rbcgam.com/en/ca/article/macromemo-march-16-march-20-2020/detail. งานวิจัยของนักวิชาการมหาวิทยาลัยปักกิ่งของจีน คือ Y. Zhang และผู้ร่วมวิจัยอีก 5 ท่าน ได้สรุปว่า มาตรการที่เข้มข้นของจีนได้ผลในการหยุดและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้ทุกเมือง ได้มีการค้นพบสำคัญ เช่น มาตรการสอบสวน ติดตามผู้ป่วยทุกราย มีความสำคัญมาก ซึ่งจีน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ รวมทั้งไทย ทำได้ผลดีมาก และผู้ป่วยซึ่งไม่สำแดงอาการมีอยู่เป็นจำนวนพอสมควร (แต่ศักยภาพการแพร่กระจายเชื้อเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของพวกที่สำแดงอาการ) แต่สะท้อนว่าเรายังมีความจำเป็นต้องมีการสุ่มตรวจหรือติดตามเคสต่าง ๆ อย่างเต็มที่ต่อไป แม้ในอนาคตที่การระบาดดูสงบลง ข้อสรุปสุดท้ายที่สำคัญมากคือ ผลจากการควบคุมเข้มข้นของจีนทำให้ตัวเลขการแพร่กระจายตัว R0 ของโควิด 19 จาก 1 คนไปได้กี่คนลดลงอย่างรวดเร็ว จากค่าเฉลี่ยประมาณ 2-3 (คนป่วย 1 คนแพร่เชื้อออกไปได้อีก 2-3 คน ถ้าตัวเลขน้อยกว่า 1 แสดงว่าโรคกำลังสงบลง) ลดลงเหลือเพียงประมาณ 0.2 ภายในเวลาเพียง 10 วัน ซึ่งถือว่าดีมาก ถ้าคนไทยทำได้เพียงใกล้เคียงกับ 1.0 ซึ่งเป็นค่าที่การระบาดจะคงตัวหรือใกล้กับ 1 ก็ถือว่าโชคดี เป็นกำลังใจให้เราตื่นตัวป้องกันต่อไปจนกว่าการระบาดในโลกจะสงบลง และต้องป้องกันอย่างที่สุดไม่ให้เกิดเหตุการณ์ super spreader ขึ้นอีก กราฟแสดงค่า R0 ของเมืองต่าง ๆ ของจีน ที่มา Y. Zhang, et al., (2020), Prediction of the COVID-19 outbreak based on a realistic stochastic model, https://doi.org/10.1101/2020.03.10.20033803. อ้างอิง Lascelles, (2020), MacroMemo – March 16 – March 20 2020: All about Covid-19, https://www.rbcgam.com/en/ca/article/macromemo-march-16-march-20-2020/detail. Lin et al. (2020), “A conceptual model for the coronavirus disease 2019 (COVID-19) outbreak in Wuhan, China with individual reaction and governmental action” in International Journal of Infectious Diseases 93 (2020). Zhang, et al., (2020), Prediction of the COVID-19 outbreak based on a realistic stochastic model, https://doi.org/10.1101/2020.03.10.20033803. ที่มา:มติชนออนไลน์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-441030

จำนวนผู้อ่าน: 1974

31 มีนาคม 2020

นายกสมาคมโรงแรมไทยยื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯภูเก็ต ขอให้สั่งปิดรร.เพิ่ม ลดการแพร่เชื้อโควิด

ก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30มี.ค.) ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พักในจังหวัดภูเก็ต 6 องค์กร ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต สมาคมโรงแรมหาดป่าตอง สมาคมโรงแรมหาดกะตะกะรน และสมาคมที่พักบูติคจังหวัดภูเก็ต นำโดย นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ นายมโนสิทธิ์ แจ้งจบ นายกสมาคมที่พักบูติคจังหวัดภูเก็ตได้ยื่นหนังสือต่อ นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ในฐานะผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอให้พิจารณามาตรการปิดสถานประกอบการโรงแรมและที่พักทุกประเภทเป็นเวลา 60 วัน หรือตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ กล่าวว่า การเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต โดยผู้ประกอบการได้พิจารณาเห็นว่าถึงเวลาที่จะปิดกิจการโรงแรมต่างๆ เป็นการชั่วคราว เนื่องจากขณะนี้โรงแรมที่พักต่างๆ ยังคงเปิดให้บริการกันอย่างเสรี อาจทำให้การควบคุมโรคระบาดเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะสถานประกอบการโรงแรมถือเป็นสถานที่หนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากมีคนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก โดยบางโรงแรมมีพนักงานยังคงมาทำงานมากถึง 100 คน ขณะที่จำนวนลูกค้ามาใช้บริการน้อยมาก อยู่ที่ประมาณ 5% เท่านั้น ประกอบกับมีพนักงานต้อนรับของโรงแรมติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 2 ราย โดยไม่ทราบสาเหตุว่าติดจากลูกค้าหรือติดจากสถานที่ใด จากการสอบถามไปยังโรงแรมต่างๆ พบว่าประมาณ 80% ได้มีการปิดบริการไปแล้ว แต่มีบางโรงแรมยังมีนโยบายเปิดให้บริการอยู่ เมื่อลูกค้าน้อย ขณะที่พนักงานมีจำนวนมากจะมีการจับกลุ่มพูดคุยกัน ซึ่งเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง และด้วยทางการมีข้อมูลในเรื่องตัวเลขของนักท่องเที่ยว จึงอยากให้นำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาในคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต ด้านนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากมาตรการยกระดับการปิดทางเข้า-ออกจังหวัดภูเก็ต ทั้งทางบก และทางน้ำ เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เวลา 00.01 น.ที่ผ่านมา ของวันที่ 30 มี.ค. นี้ อาจจะทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกบ้าง เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อของการรับข้อมูลข่าวสารที่พี่น้องประชาชนอาจจะยังรู้ไม่ทั่วถึง โดยด่านตรวจท่าฉัตรไชย อ.ถลาง ทางคณะทำงานได้มีการหารือร่วมกันกับนายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด และว่าที่ร้อยตรี วิกรม จากที่ ปลัดจังหวัดภูเก็ต เพื่อออกข้อกำหนดเป็นข้อๆ โดยจะนำข้อเรียกร้องหรือปัญหาขัดข้องมากำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติ วันนี้จะได้ความชัดเจนมากขึ้น ภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต “สาเหตุที่ทำให้จังหวัดภูเก็ตพบผู้ติดเชื้อโรคโควิด19 เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว มีการหมุนเวียนของผู้คนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก การไปมาหาสู่เข้ามาทั้ง 3 ช่องทาง ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ เป็นความเสี่ยงประการแรก ความเสี่ยงประการที่สองในส่วนของสถานบันเทิงสถานบริการในจังหวัดภูเก็ต ที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในจังหวัดภูเก็ต อยู่ที่ป่าตอง อ.กะทู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนสายบางลา จะมีสถานบันเทิง สถานบริการที่ผู้คนรวมกลุ่มกันจำนวนมาก จากการติดตามสอบสวนโรคส่วนใหญ่ จะได้รับเชื้อหรือมีการติดต่อมาจากสถานบันเทิง ณ ซอยบางลา ป่าตอง เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่มาของการปิดพื้นที่บางลา ซึ่งวันนี้ได้ปิดทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคตามทางเท้าและสถานบันเทิง บริเวณซอยบางลาแล้ว ขณะนี้ทางจังหวัดได้ตั้งคณะทำงานโดยโฟกัสไปยังกลุ่มเสี่ยง บริเวณสถานบันเทิงซอยบางลา ได้แจ้งให้ผู้ประกอบการนำทะเบียนของพนักงานทั้งหมดมาให้เพื่อจะได้ติดตามสอบสวนโรค จะทำให้สามารถควบคุมการแพร่เชื้อได้ เพราะรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ไหน ดังนั้น ประชาชนต้องให้ความร่วมมือ เพราะว่าบุคคลผู้มีความเสี่ยงที่จะเป็นผู้แพร่เชื้อหรือติดโรคยังไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะยังอยู่ในช่วงฟักตัว ยังไม่แสดงอาการ และวิธีการที่จะไม่ให้การแพร่ระบาดเกิดขึ้น ทุกคนต้องทิ้งระยะห่างไม่ไปรวมกลุ่มกัน ปฏิบัติตามคำแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการใส่หน้ากากอนามัย แล้วล้างมือให้บ่อยๆ” นายภัคพงศ์กล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-441042

จำนวนผู้อ่าน: 2142

31 มีนาคม 2020

“ปลัดมหาดไทย”สั่งผู้ว่าฯทุกจังหวัด ตั้งด่านตรวจ-จุดสกัด โควิด-19 มีผล 26 มี.ค. เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มีคำสั่งด่วนที่สุดถึงผู้ว่าราชการทุกจังหวัด หลังจากที่รัฐบาลได้มีประกาศสถานการณ์สถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้ทุกจังหวัดปฏิบัติตามประกาศอย่างเคร่งครัด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-438082

จำนวนผู้อ่าน: 2061

26 มีนาคม 2020

กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ แจกมาตรการเพียบอุ้มผู้มีรายได้น้อย

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า พม.ได้จัดทำรายงานผลดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ จาก 2% เหลือ 0.01% และค่าธรรมเนียมการจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์รูปแบบที่ดินพร้อมอาคาร หรืออาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถวหรือทาวน์เฮาส์ และอาคารชุดในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 1 ล้านบาท มีผลบังคับใช้ 1 ปี (24 มิถุนายน 2562-23 มิถุนายน 2563) สำหรับเป้าหมายมาตรการลดค่าโอน-จดจำนองผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ทางการเคหะแห่งชาติ (กคช.) รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวง พม. ได้จัดทำแผนประมาณการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีว่า ตามแผน 12 เดือนของการประกาศใช้มาตรการ คาดว่ามีผู้ขอรับสิทธิ์ลดค่าโอนและจดจำนองที่เป็นกลุ่มเป้าหมายประเภทละ 58,340 ราย รวม 116,680 ราย, คิดเป็นวงเงินตามสิทธิ์รวม 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินรับสิทธิ์ลดค่าโอน 1,133 ล้านบาท วงเงินลดค่าจดจำนอง 567 ล้านบาท ในขณะที่ผลดำเนินงาน 3 เดือนแรก (24 มิถุนายน-30 กันยายน 2562) ข้อมูลจากกรมที่ดินมีผู้ใช้สิทธิ์ลดค่าโอนแล้ว 37,515 ราย ลดภาระค่าโอนทั้งหมด 405 ล้านบาท มีผู้ใช้สิทธิ์ลดค่าจดจำนอง 17,731 ราย สามารถลดภาระค่าจดจำนองรวม 95 ล้านบาท รวมทั้ง 2 รายการเป็นวงเงิน 500 ล้านบาท และสัดส่วนการดำเนินงานจริง 3 เดือนเทียบกับประมาณการผลดำเนินงาน 12 เดือน พบว่า ในแง่จำนวนรายมีผู้ใช้สิทธิ์ลดค่าโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 64.3% ผู้ใช้สิทธิ์ลดค่าจดจำนอง 30.39% จากผู้มีรายได้น้อย-ปานกลางที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดของแต่ละประเภท ส่วนในแง่วงเงินจากการขอรับสิทธิ์พบว่า 3 เดือนแรกมีสัดส่วนรับสิทธิ์ลดค่าโอนแล้ว 35.74% และลดค่าจดจำนอง 16.81% ด้านนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวง พม. กล่าวเพิ่มเติมว่า พม.จัดทำโครงการ “สธค. โรงรับจำนำของรัฐสู้ภัยโควิด-19” คิดดอกเบี้ยจำนำในอัตราต่ำ และขยายเวลาตั๋วจำนำปลอดดอกเบี้ย โดยสถานธนานุเคราะห์ในฐานะโรงรับจำนำของรัฐได้ตระหนักถึงผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มีต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ประสบปัญหาทางการเงิน มอบสิทธิพิเศษ 3 ฟรี ได้แก่ ฟรีที่ 1 ขยายเวลาตั๋วรับจำนำเพิ่มอีก 90 วัน วงเงินไม่เกิน 10,000 บาท ที่มีตั๋วรับจำนำตั้งแต่ 3 มกราคม-31 มีนาคม 2563 ขยายเวลาจากเดิม 4 เดือน 30 วัน เป็น 4 เดือน 120 วัน โดยไม่คิดดอกเบี้ยในช่วงขยายเวลา เงื่อนไขต้องมาลงทะเบียนที่สถานธนานุเคราะห์ทุกแห่ง ตั้งแต่ 1 เมษายน-31 พฤษภาคม 2563 จำกัด 1 คนต่อ 1 สิทธิ์ ฟรีที่ 2 รับของที่ระลึกครบรอบ 65 ปี สธค.สำหรับผู้มาใช้บริการในวันพุธ 29 เมษายน 2563 ที่สถานธนานุเคราะห์ทุกแห่ง และฟรีที่ 3 กิจกรรมอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องทองคำและการบริหารเงินในเดือนพฤษภาคม 2563 อนึ่ง สถานธนานุเคราะห์ภายใต้การดูแลของ พม. มีทั้งสิ้น 39 สาขาทั่วประเทศ ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 29 สาขา จังหวัดปริมณฑล 4 สาขา ได้แก่ นนทบุรี 2 แห่ง, ปทุมธานี และสมุทรปราการ ที่เหลือกระจายอยู่ในส่วนภูมิภาคอีก 6 แห่ง ได้แก่ จังหวัดระยอง 2 แห่ง, ลำพูน, สุราษฎร์ธานี, อุดรธานี และพิษณุโลก ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-438076

จำนวนผู้อ่าน: 2615

26 มีนาคม 2020

ข้าว-ไข่ไก่ เพียงพอยันล็อกดาวน์ 6 เดือน-1ปี วอนอย่ากักตุน ปิดช่องโหว่ฉวยโอกาสค้ากำไร

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กระจายไปทั่วโลก ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การตื่นกลัวต่อภาวการณ์ขาดแคลนอาหาร และการกักตุนอาหาร นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ติดตามสถานการณ์การผลิตสินค้าและการบริหารสินค้าเกษตรอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้เพิ่มช่องทางการนำสินค้าเกษตรสู่ตลาดออนไลน์​ให้มากขึ้น ประสานสหกรณ์จังหวัด อำเภอ เป็นศูนย์กระจายสินค้า และเตรียมความพร้อมรองรับแรงงานคืนถิ่นสู่ภาคเกษตร จากการปิดสถานประกอบการต่าง ๆ โดยกรมชลประทานเป็นหลักในการดำเนินการจ้างงาน สำหรับกรณีที่ประชาชนเริ่มกักตุนไข่ไก่นั้น จากการคาดการณ์ซัพพลายเชน และสถานการณ์ผลผลิตการเกษตร ยืนยันว่าไข่ไก่ไม่ขาดแคลนสินค้าเพื่อการบริโภคภายในประเทศ และหากกรณีมีการล็อกดาวน์ 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี เชื่อมั่นว่าสินค้าเกษตรที่สำคัญ ในปี 2563 มีกำลังการผลิตที่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศอย่างแน่นอน โดยปัจจุบันปริมาณไข่ไก่ คาดว่าการผลิตไข่ไก่ของไทยจะมีปริมาณ 15,147.50 ล้านฟอง โดยการผลิตส่วนใหญ่ใช้สำหรับเพื่อบริโภคในประเทศ คิดเป็น 98.31% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยืนยันว่าสถานการณ์ปริมาณไข่ไก่ในประเทศมีเพียงพอต่การบริโภคในประเทศ โดยปัจจุบันไทยสามารถผลิตไข่ไก้ได้ประมาณ 41 ล้านฟองต่อวัน มีความต้องการบริโภคประมาณ 40 ล้านฟองต่อวัน และยังสามารถส่งออกได้ประมาณ 1 ล้านฟองต่อวัน เพื่อรักษาสมดุลของการผลิตและราคา และอุปสงค์ในประเทศ ส่วนในเรื่องของราคายังอยู่ในระดับที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในกำหนด หากพบว่ามีผู้ประกอบการรายใดที่ค้ากำไรเกินควรจะต้องได้รับโทษตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ จะมีการประสานกับกรมปศุสัตว์ ในเรื่องของการชะลอการปลดแม่ไก่ออกไปก่อน เพื่อให้ไข่ได้ต่อไป ทางภาครัฐจะต้องหามาตรการสำรองไว้ทุกมาตรการ เพื่อรองรับไม่ให้เกิดการขาดแคลน และควบคุมไม่ให้ราคาสูงกว่าภาวะปกติ ซึ่งอยากของความร่วมมือจากประชาชน โดยไม่อยากให้มีการกักตุนสินค้า เนื่องจากอาจเป็นการเปิดช่องทางให้กลุ่มที่ต้องการฉวยโอกาสเข้ามาเก็งกำไรได้ สำหรับ ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มเบอร์ 3 ปัจจุบันอยู่ที่ 2.80 บาทต่อฟอง ขณะที่ ปริมาณ​ข้าวปี 2562/63 คาดว่ามีผลผลิตข้าวรวม 28.375 ล้านตันข้าวเปลือก ความต้องการใช้ข้าวคาดการณ์ ปี 2562/63 จำนวน 32.48 ล้านตัน แบ่งเป็น การบริโภคภายในประเทศ 13.320 ล้านตันข้าวเปลือก ส่งออกต่างประเทศ 15.38 ล้านตันข้าวเปลือก ใช้ทำเมล็ดพันธุ์ 1.37 ล้านตันข้าวเปลือก ใช้ในอุตสาหกรรม 2.4 ล้านตันข้าวเปลือก “ไทยมีปริมาณผลผลิตข้าวที่เหลือสต๊อกในปีที่ผ่านมาบางส่วน จึงเพียงพอเพื่อบริโภค รวมทั้งอาจจะส่งผลดีต่อการส่งออก เนื่องจากทั่วโลกมีความกังวล และตื่นตัวต่อสถานการณ์ดังกล่าว มีการกักตุนสินค้าและอาหารมากขึ้น มีการนำเข้าข้าวเพื่อสำรองไว้สำหรับความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ จึงอาจจะส่งผลให้ไทยส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น” นายระพีภัทร์กล่าว นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ประสานไปยังสหกรณ์การเกษตรในทุกจังหวัด ซึ่งมีสหกรณ์การเกษตรกว่า 1,300 แห่ง เป็นผู้ผลิตสินค้า ทั้งข้าวสาร นม ไข่ไก่ ผักผลไม้ และอาหารแปรรูปเปิดจุดจำหน่ายสินค้าราคายุติธรรมให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ หลังรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อข้าวสาร อาหารแห้งไปเก็บไว้บริโภคระหว่างอาศัยอยู่ในบ้านพัก ซึ่งนอกจากการจำหน่ายสินค้าของสหกรณ์การเกษตรแล้ว ยังมีศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์อีก 120 แห่งทั่วประเทศ สหกรณ์ร้านค้า 100 แห่ง และซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ซึ่งขณะนี้มีอยู่ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอีก 10 แห่ง ที่จะประสานกับสหกรณ์ผู้ผลิตสินค้าต้นทางส่งข้าวสาร นม ไข่ไก่ ผักผลไม้ รวมถึงจัดหาสินค้าอุปโภค ทั้งปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กาแฟ น้ำปลา น้ำมันพืช น้ำตาล น้ำดื่ม และหน้ากากอนามัย มาบริการเพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภคด้วย “ขบวนการสหกรณ์ทั่วประเทศพร้อมเป็นกองหนุนส่งเสบียงอาหาร ทั้งข้าวสาร ไข่ไก่ นม ผักผลไม้ และอาหารแปรรูปให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ ระหว่างหลบภัยไวรัสโควิด – 19 ระบาด เพื่อรอสถานการณ์คลี่คลาย ขณะที่ทางชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจับมือสหกรณ์รถแท็กซี่ เปิดรับออเดอร์ผ่านแอป Co-op Click สั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งข้าวสาร นม UHT ปลากระป๋อง กาแฟ น้ำปลา น้ำตาลและน้ำดื่ม พร้อมจัดส่งถึงหน้าบ้าน ทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล หรือติดต่อสหกรณ์ทั่วประเทศโดยตรง” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-438033

จำนวนผู้อ่าน: 3149

26 มีนาคม 2020

ด่วน! ม.หอการค้าไทย พบบุคลากรติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นรายแรก

วันที่ 26 มีนาคม 2563  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยแจ้งว่า พบบุคลากรติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นรายแรก โดยได้รับการยืนยันผลตรวจจาห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ขณะนี้บุคลากรคนดังกล่าวอยู่ในการดูแลของกรมควบคุมโรคเพื่อยืนยันผลการตรวจ และทำการรักษตามขั้นตอนของแพทย์ต่อไป บุคลากรคนดังกล่าว ได้เข้ามายังมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 ดังนั้นมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ดำเนินการปฏิบัติตามแนวทางที่มหาวิทยาลัยได้กำหนดไว้ในกรณีที่พบผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้มหาวิทยาลัย ได้มีการเก็บข้อมูลสถานที่ที่ไป กิจกรรมที่ทำ รวมถึงผู้ใกล้ชิดในช่วง 14 วัน ก่อนแสดงอาการ อีกทั้งได้แจ้งให้บุคลากรและนักศึกษาที่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคลากรคนดังกล่าวมาสังเกตอาการตามขั้นตอนทางการแพทย์แล้ว ในด้านของการทำความสะอาด มหาวิทยลัยหอการค้าไทยได้ทำความความสะอาดตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2563 ตามแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงจะทำความสะอาดทั่วพื้นที่ทั้งหมดของมหาวิทยาลัยซ้ำอีกครั้งในที่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-438028

จำนวนผู้อ่าน: 2049

26 มีนาคม 2020

“บลจ.ทหารไทย” ประกาศยกเลิกกองทุนตราสารหนี้ “ธนเพิ่มพูน-ธนไพบูลย์” เหตุนักลงทุนแห่ไถ่ถอนถือเงินสด

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย (TMBAM Eastspring) แจ้งกับสื่อมวลชน เรื่อง ขอยกเลิกธุรกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดสำหรับรายการที่มีผลในวันที่ 25 มีนาคม 2563 และยกเลิกโครงการกองทุนเปิดทหารไทย ธนเพิ่มพูน และกองทุนเปิดทหารไทย ธนไพบูลย์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ สืบเนื่องจากภาวะวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างรุนแรง โดยปรากฏในตลาดการเงินตลาดทุนทั่วโลกรวมถึงตลาดตราสารหนี้ด้วยนั้น สำหรับกองทุนหุเปิดทหารไทย ธนเพิ่มพูน และกองทุนเปิดทหารไทย ธนไพบูลย์ ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ที่มีความแตกต่างจากกองทุนตราสารหนี้อื่นๆ ในอุตสาหกรรม โดยมีสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศสูงตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวนโครงการ (ไม่เกินร้อยละ 79 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน) ซึ่งแม้ว่าสินทรัพย์ที่กองทุนทั้งสองลงทุนจะอยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และมากกว่าร้อยละ 70 มีอันดับเครดิตในระดับ A (-) ขึ้นไป แต่การเร่งตัวขึ้นของวิกฤตการณ์ไวรัสในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดแรงเทขายอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจากผู้ถือหน่วยลงทุนไทยในทั้งสองกองทุนเพื่อถือเงินสดโดยเร็ว โดยยอดการไถ่ถอนหน่วยลงทุนของทั้งสองกองทุนนับแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีจำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของแต่ละกองทุน ขณะที่สภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้โดยเฉพาะในประเทศที่เกิดการระบาดรุนแรงของไวรัสโควิด-19 กลับเบาบาง และเป็นที่เชื่อได้ว่าการเทขายอย่างรุนแรงจะยังคงมีได้ต่อเนื่องซึ่งการเร่งการขายสินทรัพย์ในตลาดตราสารหนี้ต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ ในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ลงทุน อาทิ การชะลอระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุน จาก T+1 และ T+2 ของทั้งสองกองทุนตามลำดับเป็น T+5 เพื่อให้ทางผู้จัดการกองทุนสามารถรักษาประสิทธิภาพในการซื้อ-ขาย ตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีคุณภาพในพอร์ตการลงทุนภายใต้สภาวะที่ตลาดไม่ปกติเช่นนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านราคาแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน แต่ก็ยังคงไม่สามารถชะลอแรงขายกองทุนได้ เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน ตามข้อกำหนดของประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และโครงการจัดการกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (TMBAM Eastspring) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุน จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน ได้แก่ 1.ยกเลิกธุรกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดสำหรับรายการที่มีผลในวันที่ 25 มีนาคม 2563 โดยไม่ขาย ไม่รับซื้อคืน หรือไม่รับสับเปลี่ยน หน่วยลงทุนตามคำสั่งซื้อ คำสั่งขายคืน หรือคำสั่งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนที่ได้รับไว้ ทั้งหมดของ กองทุนเปิดทหารไทยธนเพิ่มพูน และกองทุนเปิดทหารไทย ธนไพบูลย์ ตามประกาศที่ผ่านมา โดยคำสั่งและรายการที่มีผลในวันก่อนหน้าทั้งหมดจะยังคงได้รับการดำเนินการ และได้รับเงินค่าขายคืนตามกำหนด ทั้งนี้ การยกเลิกคำสั่งโดยการไม่ขาย ไม่รับซื้อคืน หรือไม่รับสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนตามคำสั่งซื้อ คำสั่งขายคืน หรือคำสั่งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน โดยบริษัทฯ ได้รับความเห็นชอบของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนแล้ว 2.เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุน และเป็นไปตามโครงการจัดการกองทุนรวมข้อ 22.1 ข้อ 6 ซึ่งระบุว่า บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิในการพิจารณาเลิกโครงการในกรณีที่บริษัทจัดการไม่สามารถนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุนตามที่ระบุไว้ในโครงการได้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด จึงมีความจำเป็นต้องเลิกกองทุนเปิดทหารไทย ธนเพิ่มพูน และกองทุนเปิดทหารไทย ธนไพบูลย์ โดยบริษัทจัดการดำเนินการตามขั้นตอนการเลิกกองทุนรวม ระยะเวลาการเลิกกองทุน และการชำระบัญชีกองทุนทั้งสองกอง ซึ่งเป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ อนึ่งการดำเนินการดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (TMBAM Eastspring) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนเป็นไปเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน และสำหรับกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอื่นที่เน้นลงทุนตราสารหนี้ในประเทศยังคงมีสภาพคล่องสูง และยังอยู่ภายใต้มาตรการดูแลสภาพคล่องในตลาดตราสารหนี้ที่ภาครัฐออกมา นอกจากนั้น ธนาคารพาณิชย์เองยังมีมาตรการเฉพาะที่จะช่วยรองรับอีกด้วย   บริษัทจัดการขออภัยเป็นอย่างยิ่งสำหรับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น และใคร่ขอขอบพระคุณท่านที่ให้ความไว้วางใจ และใช้บริการด้วยดีเสมอมา หากท่านมีข้อสงสัย หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ ส่วนลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1725 ในวันทำการ เวลา 8.30-17.30 น. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-438029

จำนวนผู้อ่าน: 2101

26 มีนาคม 2020

มทร.อีสาน โพล โอดหน้ากากอนามัยยังแพง หายาก แนะรัฐบาลจัดสรรงบให้ประชาชนตรวจหาเชื้อโควิด-19 ฟรี

ผศ.ดร.วิโรจน์ ลิ้มไขแสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ที่แพร่ระบาดอย่างหนักในประเทศจีน และอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานของประชาชนคนไทย ศูนย์บริการวิชาการด้านบริหารธุรกิจ โดย ดร.ณัชชา ลิมปศิริสุวรรณ โพลไดเร็กเตอร์ จากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จึงได้ทำการสำรวจประชาชน จำนวน 896 คน เรื่องการรับมือวิกฤตการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 69.5 อายุระหว่าง 21-30 ปี ร้อยละ 42.5 มีอาชีพเป็นนักเรียน นักศึกษา ร้อยละ 39.1 และรับราชการหรือพนักงานของรัฐ ร้อยละ 29.5 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 30,000 บาท ร้อยละ 78.5 “ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ความกังวลที่มีต่อสถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบันมากที่สุดคือ การแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ร้อยละ 31.6 รองลงมาคือปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องประชาชน ร้อยละ 25.2 และปัญหาการบริหารงานของรัฐบาล ร้อยละ 15.2 ส่วนความกังวลที่มีต่อการระบาดไวรัส COVID-19 อันดับที่ 1 ได้แก่ ความกังวลเรื่องหน้ากากอนามัยมีราคาสูง และขาดแคลนในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ร้อยละ 32 รองลงมาคือมาตรการรับมือของภาครัฐ ร้อยละ 20.7 และการแจ้ง/การปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาดของรัฐบาล ส่วนการป้องกันการแพร่ระบาดโรคของประชาชนนั้น อันดับ 1 ได้แก่ การล้างมือบ่อยๆ ร้อยละ 26.4 รองลงมาคือ ใส่หน้ากากอนามัย ร้อยละ 24.1 อยู่บ้าน ร้อยละ 22.8 และพกเจลแอลกอฮอล์ ร้อยละ 18.9 ในส่วนประเภทหน้ากากอนามัยที่ใช้ อันดับ 1 คือหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ราคาเฉลี่ย 17 บาทต่อชิ้น ร้อยละ 43.5 รองลงมาคือ หน้ากากผ้า ราคาเฉลี่ย 29 บาทต่อชิ้น ร้อยละ 25.4 และอีก ร้อยละ 25.2 นั้นไม่ได้ใช้ เนื่องจากหาซื้อไม่ได้” ผศ.ดร.วิโรจน์ กล่าวต่อว่า ผลการสำรวจด้านความเหมาะสมในมาตรการรับมือการแพร่ระบาดของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ การจัดรูปแบบการสอนออนไลน์ของสถาบันการศึกษา ร้อยละ 87 ประชาชนและแอดมินเพจร่วมบริจาคหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาล ร้อยละ 75.8 และโครงการจำหน่ายหน้ากากอนามัยร้านธงฟ้า ร้อยละ 64.8 ในส่วนของการเปิดกองทุนสนับสนุนการแก้ไขปัญหาแพร่ระบาดของภาครัฐ มีความคิดเห็นว่าไม่เหมาะสม ร้อยละ 70.5 “ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจจากประชาชนผู้ตอบแบบสอบถาม คือ อยากให้รัฐบาลมีมาตรการที่เด็ดขาดและฉับไว ประชาชนทุกคนต้องรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคม ให้ความร่วมมือยับยั้งการแพร่ระบาด และขอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาด เช่น การจัดหาเครื่องมือแพทย์ การให้ประชาชนตรวจหาเชื้อฟรี” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-438024

จำนวนผู้อ่าน: 1929

26 มีนาคม 2020

ซุปเปอร์ริช สีเขียว ปิดแลกเงิน 13 สาขา เปิดให้บริการบางสาขาเฉพาะสาขา

ซุปเปอร์ริช สีเขียว ประกาศปิดสาขาแลกเงิน 13 สาขา ตามนโยบายรัฐช่วยระงับการแพร่เชื้อโควิด-19 เปิดให้บริการบางสาขาเฉพาะสาขาสำนักงานใหญ่ ราชดำริ 1, วิภาวดี 22 และเมกา บางนา สำนักงานใหญ่ ราชดำริ 1, วิภาวดี 22 และเมกา บางนา บริษัท ซุปเปอร์ริช (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ ซุปเปอร์ริช สีเขียว ผู้นำด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ พร้อมให้ความร่วมมือและร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยระงับวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตามประกาศกรุงเทพมหานคร บริษัทฯ จึงขอประกาศปิดให้บริการ “ซุปเปอร์ริช สีเขียว” ชั่วคราว 13 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม, อาคารจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์, ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ, พาราไดซ์ พาร์ค, เซ็นทรัล พระราม 9, เซ็นทรัล เวสต์เกต, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล พระราม 2, ศูนย์การค้าสยามพารากอน, ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต, เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ราชประสงค์, เดอะ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์ และ เดอะ พรอมานาด ทั้งนี้จะเปิดให้บริการเฉพาะ 3 สาขาคือ สำนักงานใหญ่ ราชดำริ 1, วิภาวดี 22 และศูนย์การค้าเมกา บางนา ตั้งแต่วันนี้ – 12 เมษายน 2563 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง สำหรับซุปเปอร์ริช สีเขียวที่เปิดให้บริการตามปกติ ทางบริษัทฯ ได้มีการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่นำเข้าจากประเทศอังกฤษที่มีคุณสมบัติพิเศษ โดยนำพ่นใส่ธนบัตรที่รับแลกเข้ามาจากทุกสาขาที่นำส่งไปรวมที่สำนักงานใหญ่ ก่อนกระจายไปยังสาขาต่าง ๆ อีกครั้ง พร้อมทำความสะอาดสาขา ฉีดพ่นฆ่าเชื้อทุกวันและให้พนักงานปฏิบัติหน้าที่ โดยสวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างกับลูกค้า ตลอดจนจัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลไว้บริการที่หน้าเคาน์เตอร์ทุกสาขา บริษัทฯ มีความห่วงใยสุขภาพของลูกค้าทุกท่าน ตลอดจนพนักงานในบริษัททุกคนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนองค์กรและครอบครัว บริษัทฯ จะดำเนินทุกวิถีทางเพื่อร่วมฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของลูกค้าและพนักงานอย่างเต็มความสามารถ บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทุกท่านอีกครั้งหลังจากที่สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02 254 4444 หรือ facebook.com/superrichth ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-438017

จำนวนผู้อ่าน: 2031

26 มีนาคม 2020

วิกฤตแอร์ไลน์บีบTGเพิ่มทุน “แอร์เอเชีย”อยู่ได้แค่6เดือน

ล็อกน่านฟ้าทั่วโลก ! สายการบินกระอัก แห่หยุดบินระหว่างประเทศชั่วคราว ลดความถี่เที่ยวบินในประเทศ มีฝูงบินมากยิ่งเจ็บหนัก จับตาหลังวิกฤตบริษัทแอร์ไลน์ลดวูบ “ธรรศพลฐ์” นายใหญ่ไทยแอร์เอเชีย ยอมรับแบกต้นทุนอ่วมได้แค่ 6 เดือน “การบินไทย” วิกฤตหนัก รับภาระเดือนละ 1.15 หมื่นล้านบาท นักวิเคราะห์ชี้ต้องเร่งเพิ่มทุน วัดใจคลัง “อุ้ม” หรือ “ปล่อยล้ม” แหล่งข่าวในธุรกิจสายการบินเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรงทั่วโลกทำให้ทุกประเทศใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์” สกัดการแพร่ระบาด โดยห้ามคนต่างประเทศเดินทางเข้า-ออก รวมถึงห้ามคนในประเทศของตัวเองเดินทางออกนอกประเทศ หรือใช้มาตรการการคัดกรองอย่างเข้มเข้น ทำให้ทั่วโลกหยุดการเดินทาง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจสายการบินทั่วโลกต้องหยุดการให้บริการชั่วคราว และน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุดสำหรับธุรกิจสายการบินทั่วโลก รวมถึงธุรกิจการบินในประเทศไทย หยุดบินระหว่างประเทศ ในส่วนของสายการบินของไทยพบว่าทุกบริษัทตกอยู่ในภาวะยากลำบาก โดยสายการบินได้ทยอยประกาศยกเลิกเส้นทางบินระหว่างประเทศไปแล้วตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ประกอบด้วยไทยแอร์เอเชีย, ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์, ไทยสมายล์, บางกอกแอร์เวย์ส, นกแอร์, และไทยเวียตเจ็ท รวมถึงลดเส้นทางบินและความถี่สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศอีกหลายเส้นทางขณะที่สายการบิน “ไทยไลอ้อนแอร์”ได้ประกาศหยุดบินทั้งเส้นทางระหว่างประเทศและภายในประเทศตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.นี้ โดยระบุว่า จะกลับมาให้บริการอีกครั้ง 1 พ.ค.นี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับ “การบินไทย” ได้แจ้งไปยังสถานฑูตไทยในต่างประเทศว่าจะหยุดให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศชั่วคราวเช่นกัน โดยจะยกเลิกบินเส้นทางยุโรปตั้งแต่ 1 เม.ย.-31 พ.ค.นี้ และยกเลิกบินเส้นทางภูมิภาคทั้งหมดตั้งแต่ 25 มี.ค.-31 พ.ค.นี้ นอกจากนี้มีรายงานข่าวว่า ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ปฏิบัติหน้าที่กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา จะมีการประกาศเรื่องการหยุดบินเส้นทางต่างประเทศทั้งหมด รวมถึงการให้พนักงานหยุดงาน และจ่ายเงินเดือน 75% ค่ายใหญ่-ฝูงบินมากเจ็บหนัก แหล่งข่าวในธุรกิจการบินอีกรายวิเคราะห์ว่า สายการบินที่มีฝูงบินและเส้นทางบินจำนวนมากจะเจ็บมาก เช่น กรณี “การบินไทย” จะได้รับผลกระทบมากสุดเนื่องจากมีภาระต้นทุนเครื่องบินในปัจจุบัน 100 ลำ ขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานสูงมาก จากรายงานงบการเงินปี 2562 ระบุว่า การบินไทยมีต้นทุนดำเนินงาน (ไม่รวมค่าน้ำมัน) 1.37 แสนล้านบาท เฉลี่ยราว 1.15 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แม้ว่าจะไม่ได้ทำการบิน ขณะที่สายการบินไทยแอร์เอเชียปัจจุบันมีฝูงบินรวม 62 ลำ ปิดเส้นทางการบินระหว่างประเทศไปทั้งหมด 59 เส้นทางบิน ตั้งแต่ 22 มี.ค.-25 เม.ย. 2563 ขณะที่เส้นทางบินในประเทศก็ได้ปรับลดความถี่ซึ่งทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดหมุนเวียนลดน้อยลง ขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานยังคงอยู่เหมือนเดิม บางแอร์ไลน์อาจหายจากน่านฟ้า แหล่งข่าวระบุว่า ธุรกิจการบินของไทยได้รับผลกระทบจากที่นักท่องเที่ยวจีนชะลอการเดินทางมาไทยจากเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตตั้งแต่กลางปี 2561 และปี 2562 ธุรกิจท่องเที่ยวไทยก็ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลให้สายการบินหลายแห่งขาดทุน เมื่อมาเจอกับวิกฤตไวรัสโควิดจึงทำให้สายการบินของไทยได้รับผลกระทบหนัก ทั้งเชื่อว่าหลังการแพร่ระบาดของไวรัสยุติอาจมีสายการบินบางแห่งไม่กลับมาทำการบินได้ตามปกติเหมือนเดิม “สายการบินที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดขณะนี้คือสายการบินที่มีเน็ตเวิร์กการบิน และมีเครื่องบินในเครือข่ายจำนวนมาก อาทิ ไทยไลอ้อนแอร์, ไทยแอร์เอเชีย, ไทยเวียตเจ็ท เนื่องจากเครือข่ายการบินเหล่านี้มียอดคำสั่งซื้อฝูงบินใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก เพราะต้นทุนหลักของสายการบินคือเครื่องบิน” แหล่งข่าวกล่าว “แอร์เอเชีย” รับไหวแค่ 6 เดือน ด้านนายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทไทยแอร์เอเชีย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หากรัฐบาลใช้มาตรการเข้มข้นแบบที่ทำอยู่เชื่อว่าน่าจะควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้ภายใน 2-3 เดือน หรือในเดือนมิถุนายนนี้ และใช้เวลาอีก 2-3 เดือน ในการปลุกตลาดฟื้นการท่องเที่ยว จึงคาดว่านักท่องเที่ยวน่าจะเริ่มกลับมาใกล้เคียงภาวะปกติได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ “หลังการแพร่ระบาดยุติลง ผู้ประกอบการทุกรายจะกลับมาได้เต็มที่เหมือนเดิมหรือไม่ ไม่มีใครประเมินได้ เพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติเมื่อไหร่ แต่ยอมรับว่าขณะนี้ทุกคนอ่อนแรงกันหมด อย่างของไทยแอร์เอเชียตอนนี้ปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศทั้งหมด เหลือเฉพาะเส้นทางภายในประเทศ แต่เงินสดที่เข้ามาก็น้อยลง แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดยังคงอยู่เหมือนเดิม ทำให้กระแสเงินสดเราลดลงเรื่อย ๆ ถ้าทุกอย่างจบภายในมิถุนายนนี้เรายังพอรับไหว แต่ถ้าเกินจากนั้นเราก็คงรับไม่ไหวเหมือนกัน” นายธรรศพลฐ์กล่าวและว่า ปัจจุบันไทยแอร์เอเชียต้องใช้กระแสเงินสดหมุนเวียนอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อเดือน และไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ราว 1,000 ล้านบาทต่อเดือน รวมทั้งกลุ่มประมาณ 2,500 ล้านบาทต่อเดือน หากผลกระทบยาว 6 เดือน บริษัทต้องใช้กระแสเงินสดไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท สายการบินเสี่ยงปิดกิจการ นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังภาครัฐของไทยประกาศนโยบายให้นักท่องเที่ยงต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยต้องถือใบรับรองแพทย์ก่อนเดินทางเข้ามาในประเทศ รวมถึงต้องทำประกันไม่ต่ำกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐ จากข้อมูลของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) พบว่านักท่องเที่ยวจากต่างประเทศหายไปถึง 75% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ถือว่าเป็นยาแรงในการป้องกันไม่ให้ชาวต่างชาติเข้ามาได้ง่าย ๆ ทำให้ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาหลาย ๆ สายการบินเริ่มประกาศหยุดบินเส้นทางต่างประเทศ เช่น กรณี บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) หรือสายการบินแอร์เอเชียประกาศหยุดบิน 1 เดือน ขณะที่การบินกรุงเทพ (BA) หรือบางกอกแอร์เวย์สหยุดให้บริการชั่วคราว 6 เดือน ส่วนการบินไทย (THAI) ปัจจุบันยังไม่ประกาศหยุดบินชั่วคราว แต่เชื่อว่าเร็ว ๆ นี้จะประกาศหยุดบินเช่นกันจนกว่าโรคระบาดจะคลี่คลาย “โดยมีความเสี่ยงที่สายการบินในประเทศอาจถึงขั้นล้มหายตายจาก หากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยืดเยื้อเกินปี 2563 ซึ่งจะเห็นว่าหลังการระบาดทำให้มีสายการบินต่างประเทศประกาศปิดกิจการหรือยื่นล้มละลายกันแล้วหลายราย อย่างไรก็ตามธุรกิจสายการบินของไทยมีประสบการณ์ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้ว จึงมีการสำรองเงินไว้ในมือพอสมควร ซึ่งคาดว่าจะสามารถประคองธุรกิจไปได้อีกราว 1 ปี” บินไทยเสี่ยงสูงทุนเหลือน้อย นายสุวัฒน์กล่าวว่า ถ้าไวรัสไม่จบ ทุกสายการบินก็มีความเสี่ยง สายการบินที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็จำเป็นต้องอัดฉีดเงินเข้ามา โดยเฉพาะการบินไทยที่ปัจจุบันสัดส่วนของผู้ถือหุ้นเหลือน้อย ซึ่งหากปรับลดลงไปติดลบจะต้องมีการเพิ่มทุนตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้ เนื่องจากปีที่ผ่านมาการบินไทยได้ขอมติผู้ถือหุ้นโอนทุนสำรองตามกฎหมาย 2,691 ล้านบาท และสำรองส่วนล้ำมูลค่าหุ้นจำนวน 25,546 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 28,237 ล้านบาท เพื่อไปล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 26,374ล้านบาท ทำให้ผลขาดทุนสะสมยกมา ณ วันที่ 1 ม.ค. 2562 คงเหลือเป็นศูนย์ ขณะที่ส่วนเกินมูลค่าหุ้นคงเหลือเพียง 1,863 ล้านบาท ในส่วนของสายการบินนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก เช่น สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ ซึ่งจากข้อมูลจากงบการเงินที่รายงานกระทรวงพาณิชย์จะเห็นได้ว่าขาดทุนหนักตั้งแต่เริ่มเข้ามาดำเนินงานในประเทศไทย โดยสามารถประคองธุรกิจได้จากเงินกู้ของบริษัทแม่ วัดใจคลัง “เพิ่มทุน/ปล่อยล้ม” ด้านนายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ผลกระทบของโควิด-19 รวมถึงการบังคับใช้มาตรฐานทางบัญชี TFRS16 เป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของธุรกิจสายการบินในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้ง AAV BA และ THAI โดยพบว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) สิ้นปี 2562 ของทั้ง 3 บริษัทอยู่ที่ 0.3 เท่า 0.7 เท่า และ 10.7 เท่าตามลำดับ “โดยเฉพาะการบินไทยพบว่ามีหนี้สินต่อทุนสูงสุด หรือมีสัดส่วนของผู้ถือหุ้น 11,800 ล้านบาท รวมถึงมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (Net Debt to EBITDA) สูงถึง 36.4 เท่า ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะต้องเพิ่มทุนสูงสุด โดยขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังว่าจะตัดสินใจอย่างไร ระหว่างเพิ่มทุนหรือปล่อยล้ม” นายภาสกรกล่าว อย่างไรก็ตาม หากโควิด-19 ยุติลงได้ในปีนี้ ธุรกิจสายการบินอาจไม่ถึงขั้นต้องปิดกิจการ รวมถึงยังมีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมาอยู่ระดับต่ำ ส่งผลบวกต่อต้นทุนของสายการบิน ทั้งนี้จากงบการเงินของการบินไทยปี 2562 ระบุว่า บริษัทมีรายได้รวม 184,046 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 196,470 ล้านบาท และมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 244,899 ล้านบาท ขอใช้อู่ตะเภาจอดเครื่องบิน และจากที่สายการบินต่าง ๆ หยุดบิน ทำให้ต้องหาที่จอดเครื่องบินจำนวนมาก นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กพท.อยู่ระหว่างรอหนังสือตอบกลับจากกองทัพเรือ (ทร.) ในฐานะหน่วยงานกำกับสนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือสายการบิน 6 ข้อไปก่อนหน้านี้ เรื่องที่ยังต้องขอให้กองทัพเรืออนุญาตคือ มาตรการลดค่าใช้หลุมจอดภายในสนามบินอู่ตะเภา เป็นที่จอดเครื่องบินของสายการบินต่าง ๆ เป็นการชั่วคราว พร้อมลดค่าจอด 50% “สายการบินที่จะขอใช้หลุมจอดในพื้นที่ดังกล่าวหากไม่ได้รับอนุมัติให้ใช้ได้ สามารถติดต่อไปยังกรมท่าอากาศยาน (ทย.) และ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ในการขอใช้หลุมจอดในสนามบินต่าง ๆ แทนได้ เพราะทั้ง 2 หน่วยงานได้ผ่านการอนุมัติจาก ครม.แล้ว” ด้านนายสมนึก รงค์ทอง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวว่า ตัวเลขไฟลต์บินในประเทศ ขณะนี้ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 2,900 เที่ยวบิน/วัน เหลือเพียง 1,200-1,400 เที่ยวบิน/วัน หรือลดลง 50% สำหรับมาตรการที่ บวท.ช่วยเหลือผู้ประกอบการสายการบินคือ มาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการการจราจรทางอากาศลง 50% ตั้งแต่ 1 เม.ย.-31 ธ.ค. 2563 ยกเลิกแล้ว 3.2 หมื่นเที่ยวบิน รายงานข่าวจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยอย่างรุนแรง ทำให้ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งคือ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง (เชียงราย), ภูเก็ต, หาดใหญ่ (สงขลา) ได้รับผลกระทบจากจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่ลดลงเป็นจำนวนมาก โดยตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค.-28 มี.ค. 2563 มีสายการบินยกเลิกเที่ยวบินและแจ้งยกเลิกทำการบินล่วงหน้ารวม 32,991 เที่ยวบิน เป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 26,648 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 6,343 เที่ยวบินคาดว่าจะส่งผลให้ ทอท.ได้รับผลกระทบในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมการขึ้น-ลงอากาศยาน (landing charges) ลดลง 20.69% และค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินลดลง 32.94% หรือมีรายได้ในช่วงระหว่างเดือน ก.พ.-มี.ค.2 563 ลดลง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ยังไม่รวมส่วนที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (non aero) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-437945

จำนวนผู้อ่าน: 1907

26 มีนาคม 2020

“ออมสิน” ลดดอกเบี้ย 2 ขา เงินฝากเผื่อเรียกเหลือ 0.375% ฟาก ธอส.หั่นดอกกู้ 0.1-0.35%

ชาติชาย-พยุหนาวีชัย แบงก์รัฐปรับลดดอกเบี้ยตามดอกเบี้ย กนง. “ออมสิน” ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.10-0.25% ผ่อนภาระลูกค้ารายย่อยบรรเทาผลกระทบโควิด-19 พร้อมดอกเบี้ยเงินฝากลดลง 0.00-0.25% “เงินฝากเผื่อเรียก” ลดเหลือ 0.375% จาก 0.5% มีผล 26 มี.ค. เป็นต้นไป ฟาก ธอส. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR-MRR 0.1-0.35% ยันต่ำสุดในระบบสถาบันการเงิน มีผล 27 มี.ค.เป็นต้นไป นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ด้วยภารกิจหลักของธนาคารออมสินในการเป็นกลไกส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้สถานการณ์และสอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รวมถึงมุ่งให้ความสำคัญต่อสภาวะการดำรงชีพในการช่วยแบ่งเบาภาระลูกค้าและประชาชน ธนาคารฯ จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับลด 0.10-0.25% ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำประเภทเงินกู้ที่มีระยะเวลา หรือ MLR (Minimum Lending Rate) ปรับลดลงจาก 6.375% เป็น 6.275% (ปรับลด 0.10%) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือ MOR (Minimum Overdraft Rate) ปรับลดลงจาก 6.495% เป็น 6.245% (ปรับลด 0.25%) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR (Minimum Retail Rate) ปรับลดลงจาก 6.495% เป็น 6.370% (ปรับลด 0.125%) สำหรับดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารฯ ได้ปรับลดในอัตรา 0.00-0.25% ทุกประเภท ได้แก่ ประเภทบุคคลธรรมดา ปรับลดจาก 0.50-1.875% เป็น 0.375-1.625% (อัตราดอกเบี้ยตามวงเงินฝาก) ประเภทนิติบุคคลทั่วไป ปรับลดจาก 0.37-0.925% เป็น 0.25-0.675% ประเภทส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรของรัฐ ปรับลดจาก 0.37-0.925 เป็น 0.25-0.725% ผู้ฝากประเภทสถาบันการเงิน สหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์การเกษตร ปรับลดจาก 0.37-0.925% เป็น 0.25-0.675% ทั้งนี้ ผู้ฝากประเภทนิติบุคคลไม่แสวงหากำไร ซี่งเป็นผู้ฝากองค์กรปฏิบัติงานเชิงสังคม-เพื่อสาธารณกุศล เช่น วัด องค์การศาสนา มูลนิธิ สมาคม สภากาชาดไทย สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เป็นต้น ธนาคารฯ ไม่ปรับลดดอกเบี้ย โดยยังคงดอกเบี้ยที่อัตรา 0.50-1.475% “ปัจจัยการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ และส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ธนาคารออมสินจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนและลูกค้าของธนาคารฯ ได้ไม่มากก็น้อย” ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าว ด้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แจ้งว่า ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้านลงสู่ระดับที่ต่ำที่สุดในระบบสถาบันการเงิน โดยลดดอกเบี้ย MRR ลง 0.1% เหลือ 6.275% และ ลดดอกเบี้ย MOR ลง 0.35% เหลือ 6.150% ส่วนอัตราดอกเบี้ย MLR ยังคงไว้ที่ 5.875% ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค.เป็นต้นไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-438012

จำนวนผู้อ่าน: 2312

26 มีนาคม 2020

แบงก์ชาติยืนยันพร้อมให้ความช่วยเหลือกองทุนรวมตราสารหนี้ทุกกอง ในภาวะตลาดการเงินขาดสภาพคล่อง

นางสาววชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.พร้อมให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่กองทุนรวมทุกกอง ที่เป็นกองทุน Money Market Fund และกองทุนรวมตราสารหนี้ที่เป็นกองเปิดทุกกอง ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องของตลาดการเงิน โดยได้จัดตั้งกลไกพิเศษเพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่กองทุนรวมตราสารหนี้ (Mutual Fund Liquidity Facility: MFLF) ซึ่งกองทุนรวมทุกกองจะขอรับสภาพคล่องผ่านธนาคารพาณิชย์ โดยการกู้ยืมผ่านการธุรกรรม repo หรือการกู้ยืมเงินโดยมีหลักประกันและมีสัญญาว่าจะซื้อคืน ซึ่งธนาคารพาณิชย์ที่ให้ความช่วยเหลือจะสามารถกู้ยืมสภาพคล่องผ่านธุรกรรม repo จาก ธปท.ได้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย -0.5%) นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ สามารถรับซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนตามเกณฑ์และสามารถใช้หน่วยลงทุนมาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมสภาพคล่องจาก ธปท.ได้เช่นกัน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีธนาคารพาณิชย์ได้เริ่มทดลองใช้กลไกพิเศษดังกล่าว แต่ปริมาณการขอรับความช่วยเหลือมีจำนวนไม่มากซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากตลาดการเงินไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น สภาพคล่องของกองทุนรวมปรับดีขึ้นจากสัปดาห์ก่อน หลังจากผู้ถือหน่วยลงทุนลดความตื่นตระหนก ได้ศึกษาทำความเข้าใจทรัพย์สินที่กองทุนรวมลงทุนมากขึ้น รวมถึงเข้าใจว่าการไถ่ถอนหน่วยลงทุนในภาวะที่ตลาดการเงินไม่ปกตินั้น อาจทำให้ได้รับผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรโดยไม่จำเป็น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-438007

จำนวนผู้อ่าน: 1977

26 มีนาคม 2020

กทม.สกัดไวรัสโควิด-19 งดจัดงานแถลงข่าวทุกกรณี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางกองประชาสัมพันธ์กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ปรับการทำข่าวและแถลงข่าวของผู้บริหาร เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยไม่ให้มีการรวมกลุ่มกันของประชาชน จึงขอปรับเปลี่ยนการเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ของ กทม. 1.สำนักงานประชาสัมพันธ์ จะแจ้งกำหนดการของผู้บริหารตามปกติ พร้อมจัดทีมทำข่าว ถ่ายภาพนิ่ง/วิดีโอ เพื่อส่งให้ผู้สื่อข่าวทุกภารกิจ 2.เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ กทม.จะงดการแถลงข่าวทุกกรณี หากสำนักข่าวใดมีประเด็นข้อสงสัยสอบถาม สามารถส่งคำถามของท่านไปยังทีมงานของสำนักงานประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า ก่อนการประชุมใดๆ ของกทม. ทางสำนัก ปชส.จะถ่ายทำคลิปสัมภาษณ์ผู้บริหาร ตามประเด็นที่สำนักข่าวต้องการ เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมส่งให้ แทนการส่งทีมข่าวมาทำข่าวที่ กทม. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-433319

จำนวนผู้อ่าน: 1906

18 มีนาคม 2020

ประกาศแล้ว! ศธ.สั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศ หนีไวรัสโควิด-19 มีผล 18 มี.ค.นี้เป็นต้นไป

(แฟ้มภาพ)ประเสริฐ บุญเรือง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) วันที่ 17 มีนาคม 2563 นายประเสริฐ บุญเรือง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะโฆษกศธ. เปิดเผยว่า ตามที่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด -19 นั้น เพื่อเป็นการป้องกัน นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามในประกาศศธ. เรื่อง ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มีการแพร่ระบาดในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ศธ. ตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตของนักเรียนนักศึกษาที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าว จึงอาศัยอำนาจตามความในข้อ 9 ของระเบียบศธ.ว่าด้วยปีการศึกษาการเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ.2549 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2 ) พ.ศ.2558 จึงให้สถานศึกษาทุกแห่งของรัฐและเอกชนทั้งในระบบและนอกระบบ ซึ่งอยู่ในสังกัดและในกำกับของศธ.ปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ในระหว่างที่สถานศึกษาต้องปิดเรียนด้วยพิเศษดังกล่าว หากมีความจำเป็นให้ส่วนราชการต้นสังกัดกำหนดแนวทางแก้ปัญหาให้สถานศึกษาจัดให้มีการเรียนในรูปแบบอื่นโดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียน ขอบคุ๊ข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/education/news-433320

จำนวนผู้อ่าน: 2010

18 มีนาคม 2020

“อนุทิน” แจง 15 มาตรการคุมเชื้อ “โควิด-19” เข้า-ออกประเทศไทย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์จากโรคติตเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 จำนวน 15 มาตรการ ดังนี้ มาตรการการป้องกันและสกัดกั้นการนำเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย ประกอบด้วย 1.ให้ผู้เดินทางมาจากประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดต่อเนื่อง (ยังไม่ประกาศเป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย) ตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการด้านวิชาการภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติกำหนด ถูกคุมไว้สังเกตตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน 2.พัฒนาระบบและกลไกการกักกันผู้ที่เป็นหรือผู้ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตราย ณ ที่พำนักตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 3.กำหนดมาตรการลดความเสี่ยงสำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดต่อเนื่อง เช่น มีใบรับรองแพทย์ มีประกันสุขภาพอย่างน้อย 100,000 USD มีที่พำนักที่สามารถติดต่อได้ในประเทศไทย หากไม่ปฏิบัติตามจะไม่สามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยได้ รวมทั้งคนไทยที่พำนักอาศัยต่างประเทศ ให้ชะลอการเดินทางกลับประเทศไทยจนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคในประเทศจะดีขึ้น 4.ห้ามข้าราชการ พนักงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจเดินทางไปต่างประเทศ ยกเว้นมีเหตุจำเป็นสำคัญและเตือนประชาชนให้งดการเดินทางไปในประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดต่อเนื่อง นายอนุทินกล่าวว่า มาตรการยับยั้งการระบาดภายในประเทศ ประกอบด้วย 1.เลื่อนวันหยุดสงกรานต์ (13-15 เมษายน) 2.ปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดที่มีคนแออัดเบียดเสียด แบ่งออกเป็น ปิดชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย สำหรับสนามมวย สนามกีฬา สนามม้า ในพื้นที่กรุงเทพๆ และปริมณฑล ปิดชั่วคราว 14 วัน สำหรับ ผับ สถานบันเทิง สถานบริการ นวดแผนโบราณ และโรงมหรสพในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3.กำหนดมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 4.งดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย โรงเรียนนานาชาติ สถาบันกวดวิชา และทุกสถาบัน หรือปรับวิธีการเรียนการสอนเป็นทางออนไลน์ ให้ปิดชั่วคราวตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ และให้สถานศึกษาดำเนินการป้องกันโรคตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด 5.งดกิจกรรมรวมคนจำนวนมากที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เช่น การจัดคอนเสิร์ต การจัดงานแสดงสินค้าต่าง ๆ กิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรม และกีฬา เว้นแต่เป็นกิจกรรมที่มีความจำเป็นสำคัญ 6.งดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้ายคนข้ามจังหวัดของหน่วยงานที่มีคนจำนวนมาก ได้แก่ ค่ายทหาร เรือนจำ โรงเรียน หรือหากจำเป็นต้องเคลื่อนย้าย ต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ของโรค เช่น การตรวจคัดกรองคนก่อนเคลื่อนย้าย รวมถึงจำกัดการเคลื่อนย้ายของแรงงานต่างด้าว 7.ให้สถานที่ทำงาน ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน ลดความแออัด โดยเหลื่อมเวลาทำงาน เหลื่อมเวลาพักรับประทานอาหาร และจัดที่นั่งให้ห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร โดยให้หน่วยราชการทุกหน่วยทำแผนการเหลื่อมเวลาการทำงานและรายงานผลการปฏิบัติต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) 8.ส่งเสริมให้ใช้ระบบอินเตอร์เน็ต เช่น ประชุมทางไกลเพื่อให้บุคลากรทำงานที่บ้านทดแทนภาวะปกติประชุมทางไกลผู้ถือหุ้นของตลาดหลักทรัพย์ และส่งเสริมระบบธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และการซื้อขายออนไลน์สำหรับประชาชนทั่วไป โดยให้หน่วยราชการทุกหน่วยทำแผนการทำงานจากบ้านและรายงานผล 9.ลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ ในสถานที่ที่มีประชาชนใช้บริการจำนวนมาก ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ตลาด สถานที่ราชการ และรัฐวิสาหกิจ เช่น คัดกรองอุณหภูมิก่อนเข้าอาคาร การวางเจลล้างมือในจุดที่มีการใช้ร่วมกัน การทำความสะอาดพื้นผิวและห้องสุขา จำกัดจำนวนคนเข้าใช้บริการในแต่ละช่วงเวลา 10.ร้านค้า ร้านอาหาร ให้มีมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อ เช่น การทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัส ห้องสุขา การคัดกรองอุณหภูมิก่อนเข้าร้าน การดูแลสุขภาพและป้องกันการติดเชื้อของพนักงาน เช่น ใช้หน้ากากผ้า การจัดเจลล้างมือ การจัดการขยะ 11.ลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในระบบขนส่งสาธารณะภายในประเทศ และเพิ่มความถี่ของการเดินรถ 12.ส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปใช้หน้ากากผ้าเมื่อเดินทางเข้าสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก และเร่งผลิตหน้ากากผ้าให้เพียงพอ 13.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 เพื่อจำกัด ดูแล การเคลื่อนย้ายที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาด หรือกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการจำกัด พื้นที่เสี่ยงตามข้อมูลที่มีการแพร่ระบาด และแจ้งมาตรการที่จะดำเนินการต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด 19) ทราบและให้ความเห็นชอบโดยเร็ว พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานเป็นประจำทุกวัน 14.ให้มีการกำหนดให้ชาวต่างประเทศ รวมทั้งคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ให้มีการใช้แอปพลิเคชั่น Application ติดตามตัว  15.ให้เร่งดำเนินการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคในทุกอำเภอ เขต หมู่บ้าน ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่โดยด่วนและให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยในการดำเนินการเฝ้าระวัง ทั้งนี้ การควบคุมการระบาดของโรค อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้มีอำนาจ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัดและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวซ้อง ดำเนินการกักกัน คุมไว้สังเกต การปิดสถานที่ เลื่อนหรืองดกิจกรรม อันมีผลต่อการแพร่ระบาดของโรค โดยเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ทั้งในระดับจังหวัด และกรุงเทพมหานคร ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-433283

จำนวนผู้อ่าน: 2011

18 มีนาคม 2020

ทั่วโลกผวาไวรัสโควิด-19 ออกมาตรการเข้ม-ทยอยปิดประเทศ

SPIAN - file. Photo by Pau Barrena / AFP) (Photo by PAU BARRENA/AFP via Getty Images ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทั่วโลกต่างกำลังผวา ทำให้หลายประเทศต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว โดยที่โควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบสั่นสะเทือนโลกอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายประเทศประกาศต้องประกาศปิดเมือง ปิดพรหมแดน รวมไปถึงปิดประเทศ ล่าสุดตัวเลข เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 กระทรวงสาธารณสุขของไทย รายงานสถานการณ์ทั่วโลกใน 160 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสำราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 17 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 179,188 ราย เสียชีวิต 7,066 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,880 ราย เสียชีวิต 3,213 ราย “ประชาชาติธุรกิจ” ชวนอ่าน มีประเทศใดบ้าง ขณะนี้ได้ทำการปิดประเทศเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ไปบ้างแล้ว ROME, ITALY – file. Photo by Ernesto Ruscio/Getty Images) ประเทศอิตาลี วันที่ 9 มีนาคม 2563 รัฐบาลอิตาลีประกาศเพิ่มมาตรการปิดเมืองเป็นทั่วประเทศ จากเดิมที่บังคับใช้มาตรการดังกล่าวเพียงแค่พื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศเท่านั้น เพื่อจำกัดการระบาดของไวรัสโควิด -19  ภายหลังยอดผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นสูงส่งผลให้อิตาลีกลายเป็นประเทศที่มีการระบาดหนักที่สุดรองจากจีนเท่านั้น “จูเซปเป คอนเต” นายกรัฐมนตรีของอิตาลี ระบุ ประชาชนทั่วประเทศราว 60 ล้านชีวิตไม่สามารถเดินทางออกนอกบ้านเว้นแต่จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานหรือมีเหตุฉุกเฉินเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีคำสั่งห้ามการจัดกิจกรรมการชุมนุมสาธารณะต่าง ๆ โดยมาตรการนี้มีผลนับตั้งแต่ 10 มีนาคม 2563 ไปจนถึง 3 เมษายน 2563 อย่างไรก็ดี ระบบขนส่งสาธารณะจะยังคงเปิดให้บริการตามปกติ White House in Washington, D.C., U.S., file. Photographer: Chris Kleponis/Polaris/Bloomberg via Getty Images ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 11 มีนาคม 2563 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศว่า สหรัฐจะระงับการเดินทางจากยุโรปเข้าสู่ประเทศเป็นเวลา 30 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2563 แถลงการจากประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่า การระงับการเดินทางดังกล่าวเป็นมาตรการที่จำเป็น หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในยุโรปทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 22,000 ราย ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า ประกาศห้ามเดินทางดังกล่าวจะไม่รวมถึงพลเมืองสหรัฐ และผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอังกฤษ พร้อมแนะนำให้ชาวอเมริกันหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น “นี่ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจ มันเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว ณ ตอนนี้ ที่ประเทศและโลกของเราจะก้าวผ่านไปได้” ทรัมป์ระบุ MUMBAI, INDIA – file. Photo by Pramod Thakur/ Hindustan Times via Getty Images) ประเทศอินเดีย วันที่ 12 มีนาคม 2563 มติชนรายงาน สำนักสื่อสารองค์กร พระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล ได้โพสต์ข้อความพร้อมประกาศว่า อินเดียประกาศปิดประเทศเป็นการชั่วคราว ห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าระหว่างวันที่ 13 มีนาคม – 15 เมษายน 2563 SPAIN – file. Photo by Burak Akbulut/Anadolu Agency via Getty Images) ประเทศสเปน วันที่ 14 มีนาคม 2563 มติชนรายงาน รัฐบาลสเปน ประกาศใช้นโยบายปิดประเทศเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในยุโรป คำสั่งดังกล่าวถือว่ามีผลบังคับใช้ในทันที โดยนับจากนี้ชาวสเปนทุกคนจะต้องอยู่ภายในบ้านพัก เว้นแต่ออกมาซื้อยา อาหาร ไปทำงาน ไปโรงพยาบาล หรือมีเหตุฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้นตร์ “เปโดร ซานเชส” นายกรัฐมนตรีสเปน ย้ำว่า “ในท้ายที่สุดพวกเราจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ กลับไปทำงาน ไปเยี่ยมเพื่อน และบุคคลอันเป็นที่รักได้ แต่จนกว่าจะถึงเวลานั้น เราต้องอย่าเสียเวลาซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง และเราต้องไม่หลงทาง” ปัจจุบันสเปนเป็นประเทศที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในยุโรปเลวร้ายเป็นอันดับ 2 รองจากอิตาลี ขณะเดียวกันหลังการประกาศปิดประเทศสเปนไม่นาน มีรายงานข่าวยืนยันว่า มารีอา ซานเชส ภรรยาของนายกรัฐมนตรีสเปน ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 ด้วย Muhyiddin Yassin – file. Photographer: Joshua Paul/Bloomberg via Getty Images ประเทศมาเลเซีย วันที่ 16 มีนาคม 2563 ประกาศโดย มูห์ยิดดิน ยัสซิน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย สั่งห้ามพลเมืองเดินทางไปต่างประเทศ และห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ โดยเริ่มจากวันที่ 18 มีนาคม จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 “กฎดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ มาตรการจำกัดการเดินทาง ออกโดยรัฐบาลมาเลเซีย เพื่อปกป้องและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัวโควิด-19 ส่วนชาวต่างประเทศจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาเลเซีย ในช่วงเวลาดังกล่าว” นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าว Justin Trudeau – file. Photographer: David Kawai/Bloomberg via Getty Images ประเทศแคนาดา วันที่ 16 มีนาคม 2563  จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีของแคนาดาได้ประกาศปิดกั้นพรมแดนของแคนาดา โดยห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศทั้งหมด ยกเว้นลูกเรือ นักการทูต สมาชิกในครอบครัวของพลเมืองแคนาดา และพลเมืองสหรัฐอเมริกาในเวลานี้ โดยนายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุว่า “ถึงเวลาที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชน” GERMANY – file. Photographer: Krisztian Bocsi/Bloomberg via Getty Images ประเทศเยอรมนี วันที่ 16 มีนาคม 2563 เยอรมนี ที่ตัดสินใจประกาศปิดพรมแดนที่ติดต่อกับฝรั่งเศส ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลา 30 วัน เริ่มจากวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา โดยจะยกเว้นเฉพาะการขนส่งสินค้า และการเดินทางของผู้พำนักถาวรในสหภาพยุโรป สมาชิกครอบครัวของผู้ถือสัญชาติสมาชิกยุโรป นักการทูต รวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด้วย An Airbus airplane of Qatar – file. photo by JOE KLAMAR / AFP) (Photo by JOE KLAMAR/AFP via Getty Images) ประเทศกาตาร์ วันที่ 16 มีนาคม 2563 ประกาศโดย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา ระบุว่า ระงับการเข้าเมืองชั่วคราวเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้น โดยผู้ที่เดินทางออกจากกาตาร์ และจะแวะผ่านเพื่อเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินกรุงโดฮา โดยไม่ออกจากสนามบิน และการขนส่งสินค้ายังดำเนินการได้ตามปกติ สำหรับบุคคลสัญชาติกาตาร์สามารถเข้ากาตาร์ได้แต่จะต้องได้รับการกักตัวเป็นเวลา 14 วันที่สถานที่ที่ทางการกาตาร์จัดไว้ Emmanuel Macron – File. (Photo by Ludovic Marin / AFP) (Photo by LUDOVIC MARIN/AFP via Getty Images) ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 17 มีนาคม 2563 ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ประกาศขอความร่วมมือให้ประชาชนงดเดินทางออกจากที่พักอาศัยโดยไม่จำเป็น เป็นเวลา 15 วัน เริ่มตั้งแต่เวลาเที่ยงของวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่นเป็นต้นไป เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้นในยุโรปและอเมริกา  ทั้งนี้ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็นทั้งหมด เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัส นอกจากนี้ นายมาครงยังมีคำสั่งเลื่อนการเลือกตั้งท้องถิ่นของฝรั่งเศสรอบที่ 2 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยกล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในสงครามด้านสาธารณสุข” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-433139

จำนวนผู้อ่าน: 2198

18 มีนาคม 2020

ออกประกาศ ให้ทุกมหาวิทยาลัย เลื่อนงานรับปริญญา ป้องกันการแพร่ระบาด”โควิด-19″

กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ออกประกาศ ให้ทุกมหาวิทยาลัย พิจารณา เลื่อนงานรับปริญญา ออกไปก่อน แก้วิกฤต “โควิด-19” วันที่ 17 มีนาคม 2563 ข่าวสดรายงานว่า นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ตนได้ลงนามใน ประกาศ อว. เรื่อง มาตรการและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด -19(ฉบับที่ 4) : การพิจารณาเลื่อนพิธีประสาทปริญญาบัตร ตามที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดการระบาดขนาดใหญ่และยืดเยื้อยาวนาน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ สามารถปฏิบัติงานเพื่อป้องกัน ชะลอ และบรรเทาผลจากการระบาด ลดความตื่นตระหนกของคนในสังคม และสร้างความเชื่อมั่น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/education/news-433491

จำนวนผู้อ่าน: 2164

18 มีนาคม 2020

บาทยังผันผวนจากความกังวลเรื่อง COVID-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย

ภาพ: Visual China Group via Getty Images ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 17 มีนาคม 2563 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (17/3) ที่ระดับ 32.19/21 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากเล็กน้อยระดับปิดตลาดในวันจันทร์ (16/3) ที่ระดับ 31.15/16 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทยังค่อนข้างผันผวนท่ามกลางความกังวลของตลาดเรื่องการระบาดของ COVID-19 ในส่วนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นั้น มีรายงานเพิ่มเติมว่า เฟดจะทำการซื้อคืนพันธบัตรวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ระบบการเงิน ทั้งนี้ ดำเนินการดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่เฟดประกาศว่าจะอัดฉีดเม็ดเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบธนาคารในสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมกับเพิ่มประเภทของหลักทรัพย์ในการซื้อพันธบัตรของเฟดเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในส่วนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นั้นมีรายงานเพิ่มเติมว่า เฟดจะทำการซื้อคืนพันธบัตรวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ระบบการเงิน ทั้งนี้ ดำเนินการดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่เฟดประกาศว่าจะอัดฉีดเม็ดเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบธนาคารในสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมกับเพิ่มประเภทของหลักทรัพย์ในการซื้อพันธบัตรของเฟดเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยในคืนวันอาทิตย์ (15/3) เฟดยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1.00% จากระดับ 1.00-1.25% สู่ระดับร้อยละ 0.00-0.25% และยังได้ประกาศซื้อพันธบัตรมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่าการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ย ติดลบนั้นยังไม่มีความจำเป็น นอกจากนี้ เฟดยังได้ประกาศยกเลิกการจัดประชุม FOMC ในวันที่ 17-18 มีนาคม ซึ่งเป็นกำหนดการเดิมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจดัชนี Empire State Manufacturing ถูกเปิดเผยที่ระดับ -21.5 ลดลงมากกว่าคาดการณ์ที่ 5.1 ทางด้านประเทศไทย นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงว่าเทศกาลสงกรานต์ปีนี้จะถูกเลื่อนไปจัดเดือนกรกฎาคมแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้วันที่ 13-15 เมษายน นี้ถือเป็นวันทำงานปกติ สำหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศไทย ล่าสุด ณ เวลา 08.00 น. กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่ามีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 108 ราย กลับบ้านแล้ว 38 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 147 ราย และมีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม-15 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 6,545 ราย ทั้งนี้ ระหว่างวันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 31.02-32.32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 32.30/32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (17/3) ที่ระดับ 1.1165/69 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (16/3) ที่ระดับ 1.1193/95 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สหรัฐวานนี้ (16/3) นางเออร์ซูลา ฟอน เดอ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) เสนอให้ประเทศสมาชิก EU ออกคำสั่งห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ รัฐบาลของประเทศสมาชิก EU รวมทั้งอังกฤษและไอร์แลนด์จะต้องให้การรับรองข้อเสนอดังกล่าวเสียก่อน อย่างไรก็ดี นักการทูต และผู้ที่ขนส่งสินค้าและเวชภัณฑ์ที่มีความจำเป็นจะได้รับการยกเว้นจากคำสั่งดังกล่าว ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1093-1.1188 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1097/99 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (17/3) ที่ระดับ 106.86/89 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวอ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (16/3) ที่ระดับ 105.87/90 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยล่าสุดธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติให้ใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมในการประชุมฉุกเฉินโดยปรับเพิ่มเป้าหมายในการซื้อพันธบัตรเพิ่มเติมอีก 2 ล้านล้านเยน และใช้กลยุทธ์ในการปล่อยเงินกู้ใหม่สำหรับบริษัทเอกชน โดยในการประชุมฉุกเฉินของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ผ่านมา มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.1% ซึ่งธนาคารกลางญี่ปุ่นเลี่ยงที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้อยู่ในแดนลบมากกว่าที่เป็นอยู่ เนื่องจากการดำเนินนโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบต่อกำไรของธนาคารพาณิชย์ สำหรับรายงานตัวเลขยอดคำสั่งซื้อเครื่องจักรเมื่อเทียบเป็นรายเดือนนั้น อยู่ที่ 2.9% ซึ่งเป็นระดับที่ดีกว่าคาดการณ์ที่ -1.00% ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 105.85-107.18 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 106.56/59 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ สถาบัน ZEW เตรียมเปิดเผยความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือน มี.ค.ของอียูและเยอรมนี ทางด้านสหรัฐเตรียมเปิดเผย ยอดค้าปลีกเดอน ก.พ., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.พ., ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน ม.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือน มี.ค. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) และสต๊อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือน ม.ค. สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -1.5/-0.5 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -1.70/-0.2 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-433339

จำนวนผู้อ่าน: 1985

18 มีนาคม 2020

10 รับเหมาฝ่าวิกฤตโกยรายได้ปี”62 ITD ยืนหนึ่ง “ซิโน-ไทยฯ” แซงหน้า “ช.การช่าง”

เข้าสู่ปี 2563 มาได้ 3 เดือน เศรษฐกิจประเทศไทยดูจะเข้าสู่ภาวะ “เผาจริง” ดังที่โหราจารย์หลายสำนักทำนายไว้ ตัวกระตุ้นที่ทำให้คำทำนายมาเร็วขึ้นคงหนีไม่พ้นไวรัสโควิด-19 นอกจากสร้างความหวาดผวาให้ประชาชนแล้ว ยังกระหน่ำซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้โตต่ำ หากโฟกัสเครื่องยนต์เศรษฐกิจ “การลงทุน” ยังถือเป็นพระเอกที่หลายฝ่ายตั้งหน้าตั้งตารอให้เกิดการผลักดันจากรัฐบาล “ประยุทธ์ 2/1” เพื่อให้เม็ดเงินที่ตุนเอาไว้ กระจายลงสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาถึงต้นปี 2563 นี้ สถานการณ์ก็ยังดูเงียบไม่ขยับไปไหน แม้ว่าปีที่แล้วจะปิดดีลใหญ่อย่าง “ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน” มหากาพย์ค่าเวนคืน “มอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี” เพื่อหมุนเงินเข้าระบบ แต่ถ้ามองภาพรวมยังมีโครงการค้างท่อรอกดปุ่มอีกเพียบ โดยเฉพาะเมกะโปรเจ็กต์ที่บริษัทรับเหมารายใหญ่ของประเทศต่างรอคอยมานาน “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมผลประกอบการ 10 บริษัท รับเหมารายใหญ่ของประเทศ เพื่อดูถึงสถานการณ์ตลอดปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ยังกินบุญเก่าเป็นหลัก อิตาเลียนไทยขาดทุน 37 ล้าน เริ่มจากพี่ใหญ่ของวงการ “บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์” ของเจ้าสัวเปรมชัย กรรณสูต ในปี 2562 ยังครองรายได้รวมเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 63,213.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,318.95 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 61,894.09 ล้านบาท เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่มีความคืบหน้ามากขึ้น เช่น โครงการ One Bangkok, รถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา-จิระ, ท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวหนองแฟบ, โรงไฟฟ้าบางปะกง และจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ แต่มีภาวะขาดทุน 37.34 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีกำไร 305.62 ล้านบาท เนื่องจากในปีที่ผ่านมาประสบภาวะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นการกู้ยืมของบริษัทย่อยในต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการอ่อนตัวของค่าเงินรูเปียห์อินโดนีเซีย เปรมชัย กรรณสูต ซิโน-ไทยพุ่ง-ช.การช่างร่วง รองลงมาเป็น “บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น” ธุรกิจใต้ปีก ตระกูลชาญวีรกูล ในปี 2562 มีรายได้รวม 33,614.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,613.78 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 28,000.91 ล้านบาท มีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,483.64 ล้านบาท ลดลง 133.32 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีกำไร 1,616.86 ล้านบาท “ภาคภูมิ ศรีชำนิ” กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซิโน- ไทยฯ กล่าวว่า ในปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 33,614 ล้านบาท เป็นรายได้จากการก่อสร้าง 98-99% จากงานในมือที่คืบหน้ามากขึ้น เช่น รถไฟฟ้าสายสีชมพู สายสีเหลือง รถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร “ปัจจุบันมีงานในมือกว่า 90,000 ล้านบาท สามารถรับรู้ได้อีก 4 ปี เฉลี่ยปีละกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งปีที่แล้วรับรู้งานใหม่เข้ามาเพิ่ม 15,000 ล้านบาท ทำให้ในปี 2563 จะรับรู้รายได้อยู่ที่ 35,000 ล้านบาท หากปีนี้มีงานใหม่เข้ามาเพิ่ม อาจจะแตะ 40,000 ล้านบาท” ภาคภูมิ ศรีชำนิ นายภาคภูมิกล่าวอีกว่า โดยบริษัทสนใจเข้าประมูลหลายโครงการ เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์, สายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ, สายสีแดง 3 เส้นทาง ตลิ่งชัน-ศิริราช, ตลิ่งชัน-ศาลายา และรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์, รถไฟทางคู่เฟส 2 รวมสายใหม่ 9 เส้นทาง และงานของเอกชนบางส่วน และรอสัญญาเมืองการบินอู่ตะเภาด้วย หล่นลงไปอยู่อันดับ 3 สำหรับ “บมจ.ช.การช่าง” ของ ตระกูลตรีวิศวเวทย์ ซึ่งปี 2562 มีรายได้รวม 26,602.76 ล้านบาท ลดลง 4,572.81 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 31,175.57 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการก่อสร้างลดลง บวกกับมีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น และโครงการขนาดใหญ่ ประกอบด้วย รถไฟทางคู่ช่วงจิระ-ขอนแก่น และโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ได้ส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว ส่วนผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,777.78 ล้านบาท ลดลง 716.53 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 2,494.91 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการก่อสร้างลดลง ปลิว ตรีวิศวเวทย์ อันดับที่ 4 ตกเป็นของ บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ในปี 2562 มีรายได้รวม 12,137.94 ล้านบาท ลดลง 845.38 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 12,983.32 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 729.92 ล้านบาท ลดลง 66.72 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีกำไร 796.64 ล้านบาท เพาเวอร์ไลน์ใกล้แตะหมื่นล้าน อันดับที่ 5 บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง ปี 2562 มีรายได้รวม 9,644.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,666.62 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 7,977.51 ล้านบาท เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเพิ่มขึ้น ส่วนผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 221.04 ล้านบาท ลดลง 2.69 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีกำไร 223.73 ล้านบาท เป็นผลมาจากมีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น อันดับที่ 6 บมจ.ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น ปี 2562 มีรายได้รวม 8,562.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,133.92 ล้านบาท จากปี 2561มีรายได้รวม 7,428.31 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ในส่วนธุรกิจบริการห้องพักเพิ่มขึ้นเป็น 461 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจก็เพิ่มขึ้นเป็น 7,922 ล้านบาท ขณะที่ผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 294.17 ล้านบาท ลดลง 328.04 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีกำไร 622.21 ล้านบาท เนื่องจากกำไรจากธุรกิจบริการห้องพักลดลง 20.63% ส่วนกำไรจากการก่อสร้างก็เหลือเพียง 11.32% เนาวรัตน์ขาดทุนอ่วม 515 ล้าน อันดับที่ 7 บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ มีรายได้รวม 7,871.06 ล้านบาท ลดลง 2,573.39 ล้านบาท จากปี 2561 มีรายได้รวม 10,444.45 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการก่อสร้างลดลง 27.18% เป็นผลจากการปรับประมาณการต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการส่งมอบพื้นที่ล่าช้าของผู้ว่าจ้าง เช่นเดียวกับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง 48.75% จากการที่บริษัทลูกอย่าง บจ.มานะพัฒนาการ มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวและห้องชุดลดลง เป็นผลกระทบจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และลูกค้าต่างประเทศมีสัดส่วนลดลง ขณะที่ปีนี้มีผลขาดทุน 515.22 ล้านบาท จากปีที่แล้วมีกำไร 418.04 ล้านบาท อันดับที่ 8 บมจ.คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) มีรายได้รวม 7,347.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 211.95 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 7,135.91 ล้านบาท เป็นผลจากการบริหารจัดการโครงการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับมีการชำระหนี้จากหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 64 ล้านบาท ขณะที่ผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 73.09 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 423.07 ล้านบาท จากปีที่แล้ว เป็นผลมาจากในปี 2561 มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 213 ล้านบาท แต่ในปี 2562 ไม่มีการตั้งสำรองหนี้ดังกล่าวแล้ว บวกกับมีกำไรขั้นต้นจากการบริหารโครงการที่ดีขึ้นจำนวน 154 ล้านบาท “พรีบิวท์” ชี้การเมือง-ศก.กระทบ อันดับ 9 บมจ.พรีบิลท์ กับรายได้รวม 4,368.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 447 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีรายได้ 3,921.37 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการรับเหมาเพิ่มขึ้น ซึ่งมาจากการตัดสินใจชะลอเปิดโครงการพัฒนาอสังหาฯในปีที่ผ่านมา เนื่องจากความไม่แน่นอนจากสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศ เป็นผลให้มียอดส่งมอบงานเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า อีกทั้งรายได้จากการจำหน่ายแผ่นรองพื้นเพิ่มขึ้น 90 ล้านบาท ขณะที่ปี 2562 มีกำไรสุทธิ 271.79 ล้านบาท ลดลง 112.63 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีกำไร 384.42 ล้านบาท เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ทำให้กระทบต่อธุรกิจรับเหมาและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลง  ปิดท้าย อันดับที่ 10 กับ บมจ.ซีฟโก้ มีรายได้รวม 3,062.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 272.34 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 2,789.72 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 409.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.3 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีกำไร 368.21 ล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-433402

จำนวนผู้อ่าน: 2008

18 มีนาคม 2020

ข่าวดี! ปตท.ผนึกศิริราชและพันธมิตร เปิดตัว”ชุดตรวจไวรัสโควิด-19″ รู้ผลภายใน 30-45 นาที

VISTEC – ศิริราช – กลุ่ม ปตท. ธนาคารไทยพาณิชย์ และภาคีเครือข่าย ร่วมวิจัยชุดตรวจ COVID-19 ประสิทธิภาพสูง ใช้ง่ายแม่นยำ ลดระยะเวลาการวินิจฉัยโรคแค่ 30-45 นาทีรู้ผล ต้นทุนต่ำประชาชนเข้าถึงได้ง่าย วันที่ 17 มีนาคม 2563 ผู้สื่อข่าว”ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ศ.ดร.จำรัส ลิ้มตระกูล อธิการบดีสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าวสืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ทั่วโลกในขณะนี้ ที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะคลี่คลายในเร็ววัน สถาบันวิทยสิริเมธี เร่งพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัย COVID-19 โดยความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีจาก สถาบัน Broad Institute, Massachusetts Institute of Technology and Harvard, USA และความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล และโรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี ในการวิจัยเพื่อพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ให้สามารถตรวจโรคได้ภายใน 30 – 45 นาที ซึ่งรวดเร็วกว่าวิธีการตรวจในปัจจุบันที่ใช้เวลา 4 – 6 ชั่วโมงในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ โดยการสนับสนุนงบประมาณการวิจัยจาก กลุ่ม ปตท. และ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ผศ.ดร. ชยสิทธิ์ อุตมาภินันท์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล (Biomolecular Science and Engineering : BSE) สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) กล่าวว่า สถาบันฯ ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ภาควิชาจุลชีววิทยา เริ่มทดลองกับตัวอย่างจากคลินิกแล้ว และ อยู่ระหว่างการเตรียมแผนผลิตชุดทดสอบเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการในขั้นตอน Clinical Trial ในเดือนเมษายนนี้ ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร นายกสภาสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) กล่าวว่า “สถาบันฯ ขอขอบคุณ กลุ่ม ปตท.และธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้สนับสนุนงบประมาณ รวมทั้งโครงการ ExpresSo ซึ่งเป็นหน่วยงานนวัตกรรม ของ ปตท. ที่สนับสนุนบุคลากรเข้าร่วมดำเนินการเพื่อเตรียมแนวทางในการขยายชุดทดสอบไปยังโรงพยาบาลในภาคีเครือข่ายอย่างเร่งด่วน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชุดตรวจโรคดังกล่าวจะเพิ่มความรวดเร็ว ในการวินิจฉัยเชื้อไวรัสนี้ของหน่วยงานสาธารณสุขและโรงพยาบาลในประเทศไทยได้อย่างทันท่วงที และทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 คลี่คลายลงในเร็ววัน “VISTEC พร้อมมีส่วนร่วมสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนคนไทย ตลอดจนส่งกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ และขอส่งความปรารถนาดีให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและหายอย่างรวดเร็ว” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-433469

จำนวนผู้อ่าน: 1974

18 มีนาคม 2020

4 เอกชนใจป้ำ! ซื้อประกันโควิดเมืองไทยประกันภัยให้บุคลากรการแพทย์ 5 หมื่นกรมธรรม์

“เมืองไทยประกันภัย” ผนึกกำลัง 4 กลุ่มบริษัทเอกชน ได้แก่ สโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, มูลนิธิ วิชัย ศรีวัฒนประภา, กลุ่มบริษัท ช. การช่าง และ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) รวมพลังซื้อประกันภัยไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) จากเมืองไทยประกันภัย ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งต่อให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันรวม 26,000,000,000 บาท โดยรายละเอียดของประกันภัยไวรัสโคโรน่า คุ้มครองในกรณีที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และพยาบาลติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) จะได้รับเงินทันที 20,000 บาท และในกรณีพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อดังกล่าวจะได้รับเงินชดเชยรายได้ 500 บาทต่อวัน (สูงสุด 15 วัน หรือ 7,500 บาท) โดยหากผู้ป่วยมีอาการโคม่าจะมอบเพิ่มเติม 500,000 บาท โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เมืองไทยประกันภัยออกแบบประกันโควิด-19 เพื่อเป็นหลักประกันทางสุขภาพให้กับคนไทย เช่นเดียวกับภาคเอกชนจำนวนมากที่รวมพลังต่อสู้กับสถานการณ์ในขณะนี้ “เมืองไทยประกันภัยรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ 4 กลุ่มบริษัทเอกชนดังกล่าว ในการออกกรมธรรม์ประกันภัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า เพื่อยกระดับมาตรการรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดให้กับประเทศ รวมถึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และเป็นกำลังใจต่อคนทำงานด้านการแพทย์” ทั้งนี้ เมืองไทยประกันภัยขอเป็นกำลังหนุนเพิ่มเติม ด้วยการมอบกรมธรรม์อุบัติเหตุส่วนบุคคลฟรี (กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ) ให้แก่บุคลากรที่มีรายชื่อทั้ง 50,000 ท่าน วงเงินคุ้มครอง 100,000 บาทต่อคน มูลค่าทุนประกันรวม 5,000,000,000 บาท (คุ้มครอง 6 เดือน) โดยมี คุณวาสิต ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และคุณนวลวรรณ ล่ำซำ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ส่วนขายลูกค้าองค์กร 1 เป็นผู้มอบกรมธรรม์ให้กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รับมอบที่ทำเนียบรัฐบาล  นางนวลพรรณ ยังกล่าวอีกว่า บริษัทเมืองไทยประกันภัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาจะคลี่คลายโดยเร็ว เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจเป็นอีกหนึ่งกำลังในการรับมือและเยียวยาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อที่พวกเรา คนไทยทุกคนจะก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยกัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-433419

จำนวนผู้อ่าน: 2105

18 มีนาคม 2020

ประกันชีวิตอ่วมไวรัสลามไม่เลิก เบี้ยปีแรกติดลบ/รัฐหั่นเกณฑ์ดอกเบี้ยอุ้มธุรกิจ

ธุรกิจประกันชีวิตอ่วม “โควิด-19” ทุบซ้ำ เบี้ยปีแรก Q1/63 ส่อหดตัว “กรุงเทพประกันชีวิต” โอดไวรัสระบาดกระทบช่องทางการขายผ่าน “แบงก์แอสชัวรันซ์” เหตุคนไม่เข้าสาขาแบงก์-ชะลอเดินห้าง แถมธนาคารปล่อยสินเชื่อไม่ได้ฉุดเบี้ย MRTA หวังสถานการณ์คลี่คลายหนุนไตรมาส 2-3 เบี้ยฟื้น ด้าน คปภ.ช่วยประคองธุรกิจลดผลกระทบภาวะดอกเบี้ยต่ำ เร่งออกประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยใช้คำนวณอัตราเบี้ยประกันลดลงจากไม่ต่ำกว่า 2% เหลือ 1% ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงภัยแล้ง มีผลกระทบทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้น ขณะที่หนี้ครัวเรือนและหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนภาวะดอกเบี้ยต่ำ ปัจจัยเหล่านี้มีผลกระทบต่อธุรกิจประกันปี 2563 นี้ โดยในไตรมาสแรก เบี้ยประกันปีแรกน่าจะหายไปมาก สอดคล้องกับที่มีการประเมินกันว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้จะเติบโต 0% ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ โดยเฉพาะสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 จะกระทบต่อช่องทางการขาย โดยเฉพาะช่องทางการขายประกันผ่านธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันซ์) เนื่องจากคนเข้าสาขาธนาคารน้อยลงกว่า 50% รวมถึงเข้าศูนย์การค้าลดลง ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารทำได้ยากขึ้น มีผลกระทบต่อประกันคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) ที่จะหายไปราว 50-60% ส่วนช่องทางตัวแทนยังพอไปได้ เนื่องจากยังสามารถส่งกรมธรรม์ผ่านแอปพลิเคชั่นได้ แต่ก็ได้รับผลกระทบ เพราะลูกค้าบางส่วนยังต้องการพูดคุยกับตัวแทนแบบซึ่งหน้า “ไตรมาสแรกถูกกระทบแน่นอน แต่ยังเชื่อว่าพอเข้าสู่ไตรมาส 2 และ 3 สถานการณ์จะดีขึ้น หากการระบาดของโควิด-19 ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มแบบมีนัยสำคัญ ก็อาจจะทำให้คนคลายความกังวล และออกมาใช้ชีวิตได้บ้าง ซึ่งน่าจะทำให้ช่องทางการขายผ่านแบงก์แอสชัวรันซ์ปรับดีขึ้น” ม.ล.จิรเศรษฐกล่าวอีกว่า ภาวะดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าประกัน ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีมาตรการที่จะปรับปรุงแก้ไขอัตราดอกเบี้ยที่ใช้ในการคำนวณอัตราเบี้ยประกัน (pricing) โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ ลดลงเหลือไม่น้อยกว่า 1% จากเดิมกำหนดว่าต้องไม่ต่ำกว่า 2% “ตอนนี้หลายบริษัทยังคงให้ผลตอบแทนที่ 3% อยู่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจะมีการปรับสินค้าและราคาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการปรับพอร์ตลงทุน แต่การปรับพอร์ตการลงทุน อาจจะใช้ระยะเวลา ซึ่งในส่วนของบริษัทได้เริ่มทยอยปรับผลิตภัณฑ์ไปแล้วเป็นบางส่วน เช่น ผลิตภัณฑ์บางส่วนที่ให้ผลตอบแทนคงที่ เป็นต้น และจะทยอยปรับในส่วนผลิตภัณฑ์ที่เหลือต่อไป” นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รวมถึงมีผลให้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง คปภ.จึงได้ออกคำสั่งนายทะเบียนเพื่อปรับปรุงการแก้ไขอัตราดอกเบี้ยที่ใช้ในการคำนวณอัตราเบี้ยประกันใหม่ โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำต้องไม่น้อยกว่า 1% ซึ่งได้แจ้งให้บริษัทประกันชีวิตคำนึงถึงประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงให้ผู้เอาประกันภัยทราบก่อนที่ทำประกันชีวิต รวมถึงให้กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนถึงต้นทุนของบริษัทอย่างแท้จริง นายอาภากร ปานเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย คปภ. กล่าวว่า คาดว่าจะเสนอให้เลขาธิการ คปภ.ลงนามออกคำสั่งนายทะเบียนได้ในสัปดาห์นี้ และให้มีผลทันที โดยกรมธรรม์ใหม่จะต้องยื่นเรื่องขอความเห็นชอบก่อน จึงจะวางขายผลิตภัณฑ์ในตลาดได้ นายนิติพงษ์ ปรัชญานิมิต ประธานอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัย สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า หลังจากนี้ภาคธุรกิจคงต้องปรับแบบประกันใหม่ โดยดอกเบี้ย 1% น่าจะใกล้เคียงความเป็นจริง เพราะบริษัทประกันลงทุนผ่านพันธบัตรรัฐบาลค่อนข้างมาก ซึ่งปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) อายุ 10 ปี หรือระยะยาวกว่านั้น ก็ลดลงมาอยู่ระดับ 1% ทั้งสิ้น “การลดดอกเบี้ยลงมาเหลือ 1% จะทำให้เพดานเบี้ยสูงขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจชาร์จเบี้ยประกันได้เหมาะสม และผลตอบแทนลูกค้าจะได้ใกล้เคียงกับตลาด” นายนิติพงษ์กล่าว  นายสาระ ล่ำซำ อุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่ 1% น่าจะยังไม่พอ เนื่องจากปัจจุบันบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี ปรับตัวลงต่ำกว่า 1% ไปแล้ว เฉลี่ยอยู่ราว 0.8-0.9% และมีโอกาสลงต่ำทำนิวโลว์ได้อีก และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็น่าจะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในวันที่ 25 มี.ค.นี้ ซึ่งมองว่าควรจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการคำนวณขั้นต่ำให้ลงไปได้มากกว่านี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-433396

จำนวนผู้อ่าน: 1986

18 มีนาคม 2020

ราคาทองวันนี้ร่วงแรง! ปรับขึ้น-ลง 11 รอบ รูปพรรณขายออกเหลือบาทละ 23,100 บาท

แฟ้มภาพ วันที่ 17 มีนาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ราคาทองคำปรับลดลงแรง ล่าสุดเมื่อเวลา 16.49 น. ปรับลดลงเป็นครั้งที่ 11 ของวัน และปรับลดลงอีกบาทละ50บาท เบ็ดเสร็จทั้งวันราคาทองปรับลง 6 ครั้ง โดยปรับลงมากสุดบาทละ 500 บาท ทันทีที่เปิดตลาดช่วงเช้า และปรับขึ้นรวม 5 ครั้ง ทำให้ล่าสุดทองคำแท่งขายออกอยู่ที่บาทละ 22,600 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกเหลือบาทละ 23,100 บาท ทางด้านวาย แอล จี บุลเลี่ยน ออกบทวิเคราะห์ราคาทองในช่วงเย็นว่า จาการที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลของเยอรมนีเห็นพ้องต่อแนวนโยบายสําหรับ 16 รัฐของประเทศในการปิดสถานที่สาธารณะต่างๆเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 ซึ่งจะรวมถึงบาร์, คลับ, โรงภาพยนตร์, พิพิธภัณฑ์, งานแสดงสินค้า, ฟิตเนส และสระว่ายน้ำทั่วประเทศ ประเด็นดังกล่าว สร้างแรงกดดันต่อราคาทองคําให้อ่อนตัวลงตามสกุลเงินยูโร นอกจากนี้สกุลเงินปอนด์ถูกกดดันจากความวิตกไม่เพียงแต่เกี่ยวกับการแยกตัวของอังกฤษจากสหภาพยุโรป (EU) แต่ยังเกี่ยวกับยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจํานวนมากของประเทศ ประกอบกับนักลงทุนหลีกเลี่ยงสกุลเงินตลาดเกิดใหม่หลายสกุล จนดัชนี MSCI สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ร่วง 0.2% โดยอยู่ที่ระดับต่ำาสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2018 ท่ามกลางสัญญาณบ่งชี้ว่า รัฐบาลจะเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง ซึ่งกดดันสกุลเงินของกลุ่มประเทศนั้นๆ จนเป็นแรงหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จนสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคําเพิ่มเติม ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาราคาทองคําแกว่งตัวผัวผวน แนะนํารอดูว่าราคาจะผ่านแนวต้านบริเวณ 1,504-1,537 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้หรือไม่ หากไม่ผ่านอาจพิจารณาแบ่งทองคําออกขายบริเวณแนวต้านดังกล่าว หากรับความเสี่ยงได้อาจรอเข้าซื้อเก็งกําไรจากการดีดตัวขึ้นหากการอ่อนตัวลงและสามารถยืนเหนือโซน 1,451-1,445ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ นอกจากนี้นักลงทุนที่มีสถานะจํานวนมากจําเป็นต้องพิจารณาความเสี่ยงจากการที่ราคาแกว่งตัวในระดับสูง ช่วงเวลา ทองแท่ง ทองรูปพรรณ   เวลา ครั้งที่ รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) Gold Spot Baht / US$ ขึ้น / ลง 17/03/2563 16:49 11 22,500.00 22,600.00 22,088.12 23,100.00 1,473.50 32.35 -50 17/03/2563 16:36 10 22,550.00 22,650.00 22,148.76 23,150.00 1,477.00 32.34 -100 17/03/2563 14:18 9 22,650.00 22,750.00 22,239.72 23,250.00 1,490.00 32.21 50 17/03/2563 13:03 8 22,600.00 22,700.00 22,194.24 23,200.00 1,491.00 32.14 -100 17/03/2563 12:51 7 22,700.00 22,800.00 22,285.20 23,300.00 1,496.00 32.14 -50 17/03/2563 12:38 6 22,750.00 22,850.00 22,345.84 23,350.00 1,499.50 32.14 -50 17/03/2563 12:11 5 22,800.00 22,900.00 22,391.32 23,400.00 1,503.50 32.16 50 17/03/2563 11:20 4 22,750.00 22,850.00 22,345.84 23,350.00 1,502.00 32.13 50 17/03/2563 10:49 3 22,700.00 22,800.00 22,285.20 23,300.00 1,499.00 32.10 50 17/03/2563 09:47 2 22,650.00 22,750.00 22,239.72 23,250.00 1,494.50 32.13 50 17/03/2563 09:27 1 22,600.00 22,700.00 22,194.24 23,200.00 1,490.50 32.12 -500   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-433358

จำนวนผู้อ่าน: 1997

18 มีนาคม 2020

เปิดงาน‘บางกอกเจมส์’กร่อย ลูกค้าจีนหายเกลี้ยงกลัวไวรัสโควิด-19

เปิดงาน Bangkok Gems วันแรกลูกค้าหดหาย บางตา เหตุกังวลการระบาดของไวรัส COVID-19 ด้าน ส.เครื่องประดับเงินชี้ ผู้ซื้อชาวจีนหายไปจากงานเกือบ 100% ขณะที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เจ้าของงาน ตั้งเป้าผู้เข้าชมงานไว้แค่ 13,000 ราย ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานการเปิดงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 65 ระหว่างวันที่ 25-29 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ว่า บรรยากาศการเปิดงานวันแรกหลายบูทเต็มไปด้วยความเงียบเหงา ผู้เข้าชมงานบางตา สอดคล้องกับยอดผู้ลงทะเบียนล่วงหน้ามีประมาณ 3,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าการจัดงานหลายครั้งที่ผ่าน ๆ มาที่จะมียอดผู้ลงทะเบียนมากกว่า 10,000 รายขึ้นไป โดยเป็นผลมาจากความกังวลเรื่องของไวรัส COVID-19 จากการสอบถามผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานแสดงสินค้าส่วนใหญ่ยอมรับว่า มีลูกค้าเข้ามาค่อนข้างบางตา ลูกค้าใหม่แทบจะไม่มีมา ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำที่ตอบรับจะเข้าชมงาน แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกของการเจรจาค้าขาย (25-27 ก.พ.) คงต้องติดตามสถานการณ์อีก 2 วันก่อนที่จะเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมงานในวันที่ 28 ก.พ. “เราจำเป็นต้องมาออกงาน เราไม่มีออฟฟิศในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัดเพื่อจะมาหาลูกค้าใหม่ ๆ พร้อมกับประสานติดต่อลูกค้าเดิม” ผู้ประกอบการที่เป็น SMEs กล่าว ด้านนายสุริยน ศรีอรทัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทบิวตี้เจมส์ กล่าวว่า การเดินหน้าจัดงาน Bangkok Gems ถือเป็นสิ่งที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ส่งออกและผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี แม้ทั่วโลกจะเจอปัญหาเรื่อง COVID-19 โดยวันนี้ลูกค้าของบริษัทโดยเฉพาะในกลุ่มตลาดสหรัฐและยุโรปยังให้การตอบรับและร่วมเข้างานได้เป็นอย่างดีและมีมูลค่าการซื้อขายและการสั่งซื้อสินค้าในวันแรกเข้ามาแล้ว “ลูกค้าให้ความสนใจและเข้าเยี่ยมชมบูทอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมการส่งออกในอุตสาหกรรมนี้น่าจะขยายตัวอยู่ที่ 5% จากค่าเงินมาเฉลี่ยอยู่ที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ” นายกิตติศักดิ์ อุดมแดงอร่าม นายกสมาคมผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินไทย กล่าวยอมรับว่า COVID-19 ยังส่งผลกระทบอยู่ โดยเฉพาะผู้ซื้อจากชาวจีน “หายไปเกือบ 100%” จากการห้ามเดินทางออกนอกประเทศเพื่อป้องกันปัญหาไวรัสแพร่ระบาด โดยผู้ซื้อที่หายไปส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ซื้อค้าปลีก ซึ่งเห็นได้ว่ามีจำนวนน้อยลง แต่อย่างไรก็ดี ผู้ซื้อหลักที่เป็นผู้นำเข้าเพื่การค้าภายในประเทศยังตอบรับเข้าร่วมงาน “จากการจัดงานครั้งนี้ให้ความสำคัญในกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และกลุ่มเครื่องประดับเงิน ทำให้ผู้ประกอบการให้ความสนใจและตอบรับเข้าร่วมงาน แต่เพื่อให้การส่งออกอัญมณีเครื่องเงินมีการเติบโตตามเป้าหมายที่ 5% เรายังต้องการให้ภาครัฐผ่อนปรนทางด้านภาษีอยู่” นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ตัวเลขผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานประมาณ 3,000 รายถือเป็นจำนวนตัวเลขที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก ผู้เข้าร่วมงานแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและศักยภาพของประเทศไทยในการดูแลและป้องกัน COVID-19 อย่างเต็มที่ แต่ยังจำเป็นต้องติดตามการเข้าร่วมงานในช่วงการขายปลีกใน 2 วันสุดท้ายของการจัดงานว่า จะยังให้การตอบรับจากผู้ซื้อโดยเฉพาะผู้ซื้อคนไทยหรือไม่อย่างไร “ผมเชื่อว่า ตลอดการจัดงาน Bangkok Gems จะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานประมาณ 10,000-13,000 ราย ซึ่งอาจจะลดลงจากการจัดงานที่ผ่านมาก็ด้วยปัจจัยจากความกังวลในเรื่องของCOVID-19” นายสมเด็จกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก :https://www.prachachat.net/economy/news-425106

จำนวนผู้อ่าน: 2787

26 กุมภาพันธ์ 2020

“COVID-19” ระบาดมะกัน-ยุโรป เสี่ยงกระทบหุ้นไทยดิ่งทดสอบ 1,415 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นเช้าวันที่ 26 ก.พ.63 ว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นลบ โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะปรับตัวลงทดสอบ 1,415 – 1,420 จุด ตามความกังวลเชื้อไวรัส COVID-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยล่าสุดศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) ออกมาเตือนให้ชาวอเมริกันเตรียมพร้อมรับมือกับเชื้อไวรัสที่อาจแพร่ระบาดอย่างหนักในสหรัฐ รวมถึงพบผู้ติดเชื่อเพิ่มขึ้นในฝั่งยุโรปทั้งสเปน สวิตเซอร์แลนด์ โครเอเชียและออสเตรีย ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงแรงจากความกังวลความต้องใช้ที่หดตัวตามภาวะเศรษฐกิจจะเป็นแรงกดดันต่อกลุ่มพลังงานและดัชนีอีกด้วย จึงแนะนำรอซื้อช่วงอ่อนตัวโดยเน้นเข้าลงทุนในกลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) ในกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA และ DELTA กลุ่มส่งออกอาหาร ได้แก่ CPF และ TU อานิสงส์ทิศทางเงินบาทอ่อนค่า กลุ่มไฟแนนซ์ แนะนำ MTC, SAWAD และ KTC ได้อานิสงส์ต้นทุนการเงินลดลงหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ย 0.25% หุ้นกลุ่มปลอดภัย (Defensive) ที่จ่ายปันผลระดับสูง ได้แก่ ADVANC, INTUCH และ TTW รวมถึงหุ้นที่ได้รับการเพิ่มน้ำหนักในดัชนี MSCI ได้แก่ AWC, BTS และ BDMS มีผลวันที่ 28 ก.พ.63 ส่วนหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ ADVANC (ปิด 207.00 บาท ซื้อ/เป้า 247.00 บาท) โดย ADVANC ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 น้อยสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกจากนี้ ADVANC เริ่มเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์เป็นรายแรกของไทยช่วยหนุนกิจกรรมการตลาดและช่วยดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการเครือข่ายของ ADVANC มากขึ้น ถัดมา TU (ปิด 15.90 บาท ซื้อ/เป้า 17.50 บาท) ได้บรรยากาศเชิงบวกหลังจากที่ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินยูโร โดยประเมินว่า TU ได้ประโยชน์มากสุดเพราะมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกมากที่สุดของกลุ่มคิดเป็น 75% ของรายได้รวม ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/63 มีโอกาสโตต่อเนื่องจากมาร์จิ้นและปริมาณขายเพิ่มขึ้น หลังจากราคาทูน่ากลับมาเร่งตัวขึ้นจาก 900 ดอลลาร์/ตัน ในช่วงไตรมาส 3/62 เป็น 1,300 ดอลลาร์/ตัน ในปัจจุบัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-425167

จำนวนผู้อ่าน: 2872

26 กุมภาพันธ์ 2020

ยอดติดเชื้อไวรัส ‘โควิด-19’ พุ่ง 80,421 ราย ‘โครเอเชีย-ออสเตรีย-สวิส’ เจอรายแรก

จำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ในช่วงเช้าวันที่ 26 กุมภาพันธ์อยู่ที่ 2,709 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นผู้เสียชีวิตเฉพาะในมณฑลหูเป่ย์ 2,563 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตนอกประเทศจีนในหลายประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย อิหร่าน 16 อิตาลี 11 เกาหลีใต้ 10 ผู้โดยสารเรือไดมอนด์ ปรินเซส 3 ฮ่องกง 2 ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ที่ละ 1 ราย ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 80,421 คน โดยเป็นผู้ติดเชื้อในจีนแผ่นดินใหญ่ 77,661 คน เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่มีคนติดไวรัสโควิด-19 สูงที่สุดนอกประเทศจีนที่ 977 คน บนเรือไดมอนด์ ปรินซ์เซส 691 อิตาลียอดผู้ติดเชื้อทะลุสามร้อยมาอยู่ที่ 322 ญี่ปุ่น 170 อิหร่าน 95 สิงคโปร์ 91 ฮ่องกง 84 สหรัฐ 57 ไทย 37 ไต้หวัน 31 บาห์เรน 23 ออสเตรเลียและมาเลเซีย 22 เยอรมนี 18 เวียดนาม 16 ฝรั่งเศส 14 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอังกฤษที่ละ 13 แคนาดาและคูเวตที่ละ 11 มาเก๊า 10 สเปน 6 ฟิลิปปินส์และอินเดียที่ละ 3 รัสเซีย โอมาน และออสเตรียที่ละ 2 อัฟกานิสถาน คูเวต อิรัก เลบานอน เนปาล กัมพูชา อิสราเอล แอลจีเรีย โครเอเชีย สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม ฟินแลนด์ สวีเดน อียิปต์ และศรีลังกาที่ละ 1 ซึ่ง ส่วนผู้ที่หายจากการติดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อยู่ที่ 27,960 คน สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในยุโรปยังคงกระจายไปอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดผู้ติดเชื้อรายแรกในหลายประเทศ อาทิ ออสเตรีย โครเอเชีย และสวิตเซอร์แลนด์ โดยส่วนใหญ่เป็นกรณีของผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากอิตาลี และยังมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อในประเทศแอลจีเรียที่ตั้งอยู่แอฟริกาตอนเหนืออีกด้วย ขณะที่ในสเปนมีรายงานพบผู้ติดเชื้อครั้งแรกในแผ่นดินใหญ่ โดยเป็นหญิงที่เพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวทางตอนเหนือของอิตาลี เช่นเดียวกับในฝรั่งเศสและเยอรมนีที่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่งเดินทางกลับจากอิตาลีด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-425162

จำนวนผู้อ่าน: 2025

26 กุมภาพันธ์ 2020

ค่าเงินบาท​อ่อน​ค่า​ที่​ 31.82 บาท/ดอลลาร์​ ระยะ​สั้นผันผวนตาม​ปัจจัย​การเมืองในประเทศ​

แฟ้มภาพ ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักวิเคราะห์ตลาดการเงินและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์  เปิดเผย​ว่า​ เงินบาทเปิดเช้าวันนี้​ (26​ ก.พ.)​ ที่ระดับ 31.82 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 31.70 บาทต่อดอลลาร์ ส่วน​กรอบเงินบาทวันนี้อยู่​ที่​ 31.70-31.85 บาทต่อดอลลาร์ โดยในคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินฝั่งตะวันตกผันผวนต่อเป็นวันที่​ 4 ดัชนีตลาดหุ้น​ S&P500 ของสหรัฐปรับตัวลงต่อ3.03% ขณะที่ Euro Stoxx 50 และ FTSE 100 ในยุโรปก็ร่วงลง 2.07% และ 1.94% ตามลำดับ มีเพียงพันธบัตร​ (บอนด์)​ ที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เห็นได้จากล่าสุด อัตรา​ผลตอบแทน​ (ยีลด์)​ สหรัฐอายุ 10ปี ทรงตัวใกล้เคียงระดับต่ำที่สุดในประวัติการที่ 1.36% แม้ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อย 0.22% มาที่ระดับ 1638 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ราคาน้ำมันดิบก็ดิ่งลงต่อเนื่องโดยในช่วงสองวันที่ผ่านมา น้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลงไปแล้วถึง 6.07% สะท้อนภาพความกังวลเศรษฐกิจ และการจับจ่ายใช้สอยที่กำลังชะลอตัวหนัก ฝั่งตลาดเงิน เริ่มเห็นว่าดอลลาร์อ่อนค่าลงบ้างเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังจากที่หุ้นสหรัฐปรับตัวลงไม่ต่างกับทั่วโลก อย่างไรก็ดี สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ปรับตัวลงตามราคาน้ำมันที่ตกต่ำเช่นกัน จึงยังไม่ถือเป็นสัญญาณการอ่อนค่าของดอลลาร์ที่ชัดเจน ด้านเงินบาท ระยะสั้นกลับมาเคลื่อนไหวตามข่าวการเมืองในประเทศที่วุ่นวาย ผสมกับภาพเศรษฐกิจเอเชียที่ชะลอตัวทำให้มีความผันผวนของสกุลเงินเพื่อนบ้านผสมโรงกดดันเงินบาทอยู่ด้วย ในช่วงถัดไป ต้องจับตามุมมองของตลาดทุนฝั่งเอเชียเป็นหลักว่าจะถึงจุดที่แย่ที่สุดในเร็วๆ นี้หรือไม่ ทั้งในแง่ของการระบาดของไวรัส และความกังวลกับภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากทั้งเงินบาทและสกุลเงินเอเชีย จะไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นได้ถ้านักลงทุนยังมีความกังวลกับความเสี่ยงหลักเหล่านี้อยู่   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-425158

จำนวนผู้อ่าน: 2089

26 กุมภาพันธ์ 2020

TCAP โชว์ปี’62 กำไรโต 38% ผลพวงขายหุ้น “ธนาคารธนชาต” ให้ TMB

บมจ.ทุนธนชาต หรือ “TCAP” โชว์ผลการดำเนินงานปี 2562 มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมอยู่ที่ 16,760 ล้านบาท บวก 6% จากปีก่อน เฉพาะส่วนของบริษัทฯ กำไรสุทธิ 10,807 ล้านบาท บวก 38% จากปีก่อน ชี้กำไรโตกระโดดผลพวงขาย “ธนาคารธนชาต” ให้ “TMB” พร้อมเปิดแผนการลงทุนปี 2563 หนุน ROE ไม่น้อยกว่า 12% นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP กล่าวว่า TCAP และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับปี 2562 จำนวน 16,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6% ในขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ มีจำนวน 10,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 38% โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานของธนาคารธนชาต (TBANK) และบริษัทย่อยที่เติบโตขึ้น รวมถึงกำไรจากการขาย TBANK ให้แก่ธนาคารทหารไทย (TMB) ซึ่ง TCAP เข้าไปถือหุ้นใน TMB 20.11% โดย TMB ถือเป็นเงินลงทุนในบริษัทร่วม และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย โดยการย้ายไปถือหุ้นใน TMB ที่รวม TBANK เข้าไปเป็นธนาคารที่ใหญ่ขึ้นเท่าตัว เป็นการปรับยุทธศาสตร์ของเรา ซึ่งธนาคารที่ใหญ่ขึ้นจะมีความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ส่งผลดีต่อ TCAP ในอนาคต ประกอบกับการ ถือหุ้นในบริษัทลูก ๆ โดยตรง เป็นการกระจายตัวของแหล่งรายได้ที่ดีขึ้นของ TCAP นอกจากนี้ ธุรกิจเช่าซื้อยังคงเป็นธุรกิจที่ TCAP ให้ความสำคัญ ด้วยการถือหุ้นโดยอ้อมใน TBANK ที่เป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ผ่าน TMB และถือหุ้นโดยตรงใน THANI ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างมากในสินเชื่อรถบรรทุก ซึ่งครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ “จากการปรับยุทธศาสตร์ดังกล่าว ส่งผลให้ TCAP มีเงินสดคงเหลือประมาณ 14,000 ล้านบาท คณะกรรมการจึงได้อนุมัติวิธีการบริหารเงินสดส่วนเกินดังกล่าว โดยจะจัดสรรไปซื้อหุ้นคืน ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผลพิเศษให้แก่ผู้ถือหุ้น TCAP ในอัตราหุ้นละ 4.00 บาท ซึ่งได้จ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา นอกจากนี้ เรายังมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจที่เรามีความเชี่ยวชาญ อาทิ ธุรกิจการเงิน และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดที่กล่าวมาคาดว่าจะส่งผลให้ในปี 2563 นี้ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท (ROE) ของ TCAP ยังจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจและไม่น้อยกว่า 12%” นายสมเจตน์กล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-425128

จำนวนผู้อ่าน: 1960

26 กุมภาพันธ์ 2020

ราชกิจจาฯเผยแพร่ประกาศยกเลิกล้มละลาย “เปมิกา” คดีดัง ฉ้อโกง‘หมอเผ่า’

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง ยกเลิกการล้มละลายของจําเลยที่ ๑ และจําเลยที่ ๒ ในคดีหมายเลขแดงที่ ล. ๑๓๐๐/๒๕๖๑ กองบังคับคดีล้มละลาย ๖ ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ของ นางสาวศิวพร หรือเปมิกา หรือสิริรัษสิริ หรือละออง เหลืองเรณูกุล หรือวีรชัชรักษิต หรือโอโนเฟร่ จําเลยที่ ๑  และนางสาวฤทัย หรือบาลิกา รุ่งสิริเมธากุลหรือเมณีลิปิการ์ จําเลยที่ ๒ ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ น.ส.เปมิกา หรือชื่อ ศิวพร หรือชื่อสิริรัษสิริ วีรชัชรักษิต หรือเหลืองเรณูกุล เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีดังร่วมกันฉ้อโกง นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ ฟิสิกส์ โดยอาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง และศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน ไม่รอการลงโทษ เมื่อปี 2559 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-425116

จำนวนผู้อ่าน: 2134

26 กุมภาพันธ์ 2020

ย้ายอนาคตใหม่ป่วน จาก “ปิยบุตร” ถึง “พี่หนู” ในปฏิบัติการล่อซื้อ 9 งูเห่า

ควันหลงจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญ ยุบ “พรรคอนาคตใหม่” ยังไม่ทันจาง และอดีตพรรคอนาคตใหม่ สตาร์ตอัพ “คณะอนาคตใหม่” เดินเกมนอกสภายังไม่ถึง 60 ชั่วโมง อดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ที่ยังมีตำแหน่งเป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ยังตกค้างอยู่ในสภา 65 คน ได้แตกตัวออกมาซบพรรคใหม่ – ภูมิใจไทยถึง 9 คน เหลือ ส.ส.ในสภาแค่ 56 คน เมื่อทั้ง 9 คน ไปนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับที่นั่ง ส.ส.พรรคภูมิใจไทย รวมทั้งบางคนยังไปร่วมรับประทานอาหารที่ห้องพรรคภูมิใจไทย พร้อมคว่ำบัตร ส.ส.ที่ติดอยู่บนหน้าอกปิดชื่อตัวเองไว้ ชื่อทั้ง 9 คน ประกอบด้วย 1.นายโชติพิพัฒน์ เตชะโสภนมณี ส.ส.กทม. เขต 23 2.ร.ต.ต.มณฑล โพธิ์คาย ส.ส.กทม เขต 20 3.นายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ ส.ส.กทม. เขต 21 4.นายเอกการ ซื่อทรงธรรม ส.ส.แพร่ เขต 1 5.นายอนาวิล รัตนสถาพร ส.ส.ปทุมธานี เขต 3 6.นายกิตติชัย เรืองสวัสดิ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 1 7.นายฐิตินันท์ แสงนาค ส.ส.ขอนแก่น เขต 1 8.นายวิรัช พันธุมะผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ 9.นายสำลี รักสุทธี ส.ส.บัญชีรายชื่อ @ ภูมิใจไทย อัพเกรดอำนาจต่อรอง ไม่ถึง 24 ชั่วโมง เฟซบุ๊กของ กิตติชัย เรืองสวัสดิ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา 1 ใน 9 คนที่ซบภูมิใจไทยได้โพสต์ชี้แจงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ท่ามกลางการถูก “รุมจวก” จากบรรดาแฟนคลับพรรคอนาคตใหม่ ตอนหนึ่งว่า “ผมขอน้อมรับ คำติชม คำปรามาส ไว้เพียงแต่ผู้เดียว และผมจะตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ เพื่อจังหวัดฉะเชิงเทรา #กราบขอโทษทุกๆ ท่านในการตัดสินใจครั้งนี้ ขอขอบคุณในความเข้าใจและไม่เข้าใจ รวมถึงการกระทำที่ทำให้ท่านผิดหวังและไม่ผิดหวัง ซึ่งทุกๆ ท่านสามารถแนะนำ การผลักดันการพัฒนาเมืองฉะเชิงเทรา ได้เหมือนเดิมครับ” กิตติชัย เรืองสวัสดิ์ “กิตติชัย เรืองสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดฉะเชิงเทรา พรรค… (กำลังอยู่ในขั้นตอนการสมัคร) ด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ และด้วยใจ” ที่ จ.ฉะเชิงเทรา ไม่ต่างกับ จ.แพร่ ปรากฏความเคลื่อนไหว เมื่อมีผู้นำพวงหรีดมาวางไว้ที่หน้ารูปของ นายเอกการ ซื่อทรงธรรม ส.ส.แพร่ เขต 1 ที่หน้าที่ทำการสาขาพรรค และยังติดป้าย “ประชาชนชาวแพร่ที่ถูกทรยศ 72,016 คะแนน ขอไว้อาลัย”….. อีกด้าน ปฏิบัติการ 9 งูเห่า ย้ายขั้วแบบสายฟ้าแล่บก็ได้รับการตอบสนองแบบทันวัน “ศุภชัย ใจสมุทร” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิไทย ทำหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 25 ก.พ. เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามี ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ 9 คน ได้ขาดจากความเป็นสมาชิกภาพของพรรคอนาคตใหม่ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ และจำเป็นต้องสังกัดพรรคใหม่ภายใน 60 วัน จาก 65 เสียง “อดีตอนาคตใหม่” ที่เหลืออยู่ บัดนี้เหลือเพียง 56 คน สวนทางกับ “ภูมิใจไทย” ที่มี ส.ส.มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ที่มี ส.ส.ในมือ จากเดิมมี ส.ส.52 คน กระโดดขึ้นไปเป็น 61 คน ผลทางการเมือง เท่ากับว่า “ภูมิใจไทย” ได้อัพเกรดอำนาจการต่อรองในบัดดล @ คำถามจาก “ปิยบุตร” ถึง “พี่หนู” เก่งกาจมาจากไหน การยุบพรรคอนาคตใหม่ อาจสร้างความสะเทือนใจให้กับแฟนนานุแฟนของพรรค และแกนนำอย่าง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แต่การที่ ส.ส.ของพรรค 9 คน ชิ่งหนีจากพรรคสับขั้วไปอยู่ฝ่ายรัฐบาลแบบฉับพลัน อาจสะเทือนใจยิ่งกว่า เมื่อเขาโพสต์เฟซบุ๊กระบายความในใจ “ผมเป็น ส.ส. สมัยแรก เจอนักการเมืองอาวุโสรุ่นพี่ ก็ยกมือไหว้ทักทายให้เกียรติกัน ทั้ง พี่หนู อนุทิน พี่ศักดิ์สยาม พี่สรอรรถ พี่ชาดา พี่บุญลือ สัปดาห์ที่แล้ว หลายคนจากภูมิใจไทย ก็ให้กำลังใจผมเต็มไปหมด แต่สุดท้าย ก็ “ดูด” ส.ส .อนค. ไป ช่วยกันถามหน่อยครับว่าเก่งมาจากไหนได้ไปทีเดียว 9 คน” ทั้งที่ก่อนหน้านี้คนในพรรคอนาคตใหม่ ประเมินกันว่าอาจมี ส.ส.ผึ้งหนีรัง ไปอยู่รังใหม่แค่ 2-3 คน เท่านั้น ด้าน “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ปฏิเสธว่า นี่ไม่ใช่การ “ดูด” ส.ส.“ได้พูดคุยกันกับทุกฝ่ายว่าทำงานร่วมกันได้หรือไม่ และเราเปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย เพื่อทำงานตอบแทนให้ประชาชน หากมีคนที่มีแนวทางทำงานร่วมกันได้ ไม่เล่นการเมืองอย่างเดียว เข้ามาแล้วช่วยทำงานให้กับประชาชน พรรคภูมิใจไทยยินดีต้อนรับทุกคน” “หากคนที่สมัครรับแนวทางของเราได้ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยรับแนวคิดของเขาได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปโน้มน้าว หรือโฆษณาชวนเชื่อให้มาอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีการคุยกันมากกว่านี้ แต่ทำไมเหลืออยู่แค่นี้ ทั้งนี้ต้องคุยกันก่อนว่าทำงานร่วมกันได้หรือไม่ ยืนยันว่าเราใช้งานเป็นตัวดูดทั้ง 9 คน รวมทั้งโอกาสและวิสัยทัศน์ ทำให้เขาเห็นว่าคนที่ได้ประโยชน์คือประเทศชาติและประชาชน” @ พปชร.ถูกล่อซื้องูเห่า 23 ล้าน แต่อีกด้าน ส.ส.อนาคตใหม่ ที่ไม่คิดตีจากพรรคยามคับขัน แถมยังเอา “คลิปเสียง” มาแฉกลางสภาว่ามีข้อเสนอเป็นเงิน 23 ล้านบาท แลกกับการพลิกขั้วไปอยู่ฝ่ายรัฐบาล แม้ไม่เปิดเผยผ่านสื่อว่า เป็นเสียงของใคร จากพรรคไหน แต่คลิปเสียงคลิปเดียวกันนี้ที่ส่งผ่านไลน์ต่อๆ กันในหมู่ ส.ส. ได้บอกชื่อครบถ้วน เสร็จสรรพ ชื่ออะไร – พรรคอะไร “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟชบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “น้อยคนในประเทศนี้ ทั้งชีวิตจะมีเงิน 23 ล้านบาทได้ ดังนั้น จำนวนเงินที่หอมหวนเช่นนี้ย่อมสามารถชักจูงโน้มน้าวใจคนหลายคนได้ เหตุผลคือผู้ยื่นข้อเสนอต้องการรวบรวม ส.ส. ให้ครบจำนวนหนึ่งเพื่อต่อรองรัฐบาลให้ตนได้ตำแหน่งรัฐมนตรี ผมสงสัยว่าหาก ส.ส. คนใดมีพฤติกรรมเช่นนี้ หากได้เป็นรัฐมนตรี ย่อมต้องการถอนทุนคืน ด้วยภาษีประชาชน” เป็นชนวนให้ แกนนำในพรรคพลังประชารัฐต้องออกตัวปฏิเสธ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงษ์” รมว.พลังงาน และฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ทราบข่าวเมื่อคืนว่า มีคลิปเสียงคล้าย ส.ส. ของ พปชร. มีคนส่งมาให้ แต่ยังไม่ได้เปิดฟัง เบื้องต้นยังเป็นเพียงการกล่าวอ้าง ต้องขอไปตรวจสอบก่อนว่า เป็นใคร ยังไง เป็นข่าวจริงหรือไม่ ซึ่งจะจริงหรือไม่นั้นค่อยว่ากัน “พรรคเราไม่มีนโยบายเรื่องเงิน เรื่องทอง และยังไม่มีการคุยในพรรคเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถ้าใครจะเข้าพรรคสิ่งสำคัญต้องมีใจที่อยากจะทำงานร่วมกับพรรค เพราะว่าการทำงานในพรรค ไม่เพียงแต่อยากจะเข้ามาเป็นลูกพรรคเท่านั้น แต่ต้องทำงานและเติบโตไปกับพรรค สร้างความมั่นคงกับพรรคต่อไป” @ บิ๊กป้อมปัดตอบ ด้าน “ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ตอบคำถามนักข่าวถึงเสียงที่ปรากฏในคลิปคล้าย ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ที่ชักชวนให้ชวนไปร่วมงาน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่รู้ ไปถามเขาดูเอง” @ กลิ่นตุๆ ตั้งแต่ปลายปี 62 ก่อนหน้านี้ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” เผยแพร่บทสัมภาษณ์เมื่อ วันที่ 28 ธันวาคม 2562 ถึงสถานการณ์ “งูเห่า” ในฝ่ายค้านเวลานั้นว่า “เท่าที่ฟังดูก็เริ่มกระจัดกระจาย พรรคอนาคตใหม่ไปคุยกับกลุ่มฝ่ายรัฐบาลทีละ 5 คน 7 คน ไม่รู้คุยอะไรกัน แต่เห็นว่าเริ่มคุยกันแล้ว แต่ผมไม่เกี่ยวข้องกับ 4 งูเห่าของเขานะ เราต้องยอมรับ ก็น่าเสียดาย อย่าว่าแต่อนาคตใหม่ ของเพื่อไทยก็มี ขณะนี้ให้คณะกรรมการตรวจสอบอยู่ เรากำลังพิจารณาว่าจะทำอย่างไร” การเมืองก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-425076

จำนวนผู้อ่าน: 2084

26 กุมภาพันธ์ 2020

ราคาทองวันนี้ผันผวนหนัก! ปรับขึ้น-ลง 13 รอบ รูปพรรณขายออก 25,300 บาท

แฟ้มภาพ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมค้าทองคำแจ้งปรับเปลี่ยนราคาทองคำในประเทศล่าสุดของวันนี้เมื่อเวลา 16.38 น. เป็นการปรับเปลี่ยนครั้งที่ 13 ของวัน (ตามตาราง) เบ็ดเสร็จตลอดทั้งวันราคาทองปรับลดลง 7 ครั้ง หรือลดลงบาทละ 750 บาท และปรับขึ้น 6 ครั้ง รวม 300 บาท ทำให้ล่าสุดราคาทองคำแท่งขายออกอยู่ที่บาทละ 24,800 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกอยู่ที่บาทละ 25,300 บาท ช่วงเวลา ทองแท่ง ทองรูปพรรณ   เวลา ครั้งที่ รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) Gold Spot Baht / US$ ขึ้น / ลง 25/02/2563 16:38 13 24,700.00 24,800.00 24,256.00 25,300.00 1,651.00 31.73 -50 25/02/2563 16:15 12 24,750.00 24,850.00 24,301.48 25,350.00 1,655.00 31.73 50 25/02/2563 15:56 11 24,700.00 24,800.00 24,256.00 25,300.00 1,652.00 31.72 50 25/02/2563 15:30 10 24,650.00 24,750.00 24,210.52 25,250.00 1,648.50 31.72 50 25/02/2563 15:14 9 24,600.00 24,700.00 24,149.88 25,200.00 1,645.00 31.72 50 25/02/2563 14:30 8 24,550.00 24,650.00 24,104.40 25,150.00 1,640.00 31.73 50 25/02/2563 13:32 7 24,500.00 24,600.00 24,058.92 25,100.00 1,637.00 31.72 -50 25/02/2563 13:26 6 24,550.00 24,650.00 24,104.40 25,150.00 1,640.00 31.71 -50 25/02/2563 13:20 5 24,600.00 24,700.00 24,149.88 25,200.00 1,645.00 31.71 -50 25/02/2563 12:49 4 24,650.00 24,750.00 24,210.52 25,250.00 1,648.00 31.72 -50 25/02/2563 12:41 3 24,700.00 24,800.00 24,256.00 25,300.00 1,651.50 31.72 -50 25/02/2563 10:13 2 24,750.00 24,850.00 24,301.48 25,350.00 1,657.50 31.68 50 25/02/2563 09:25 1 24,700.00 24,800.00 24,256.00 25,300.00 1,655.50 31.66 -450   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-425060

จำนวนผู้อ่าน: 1988

26 กุมภาพันธ์ 2020

ก.ล.ต.เอาจริง! งัด “เอไอ” วิเคราะห์ปั่นหุ้น

ก.ล.ต.เผยแนวคิดใช้ “เอไอ” วิเคราะห์ปั่นหุ้น เตรียมชงเรื่องเข้าบอร์ด ก.ล.ต. 5 มี.ค.นี้ พร้อมประกาศแผน 3 ปี มุ่งปั้นตลาดทุนยั่งยืน-ขยายฐานนักลงทุน-เปิดทางรายย่อยระดมทุน เล็งแก้ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ หนุนการทำธุรกิจยุคดิจิทัล นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. มีแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยในอีก 3 ปีข้างหน้า (ปี 2563-2565) โดยจะให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงาน เบื้องต้น จะมีการนำ AI (artificial intelligence) เข้ามาตรวจสอบพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสม และป้องกันความเสี่ยงของระบบ โดยในวันที่ 5 มี.ค.63 นี้ จะมีการประชุมบอร์ด ก.ล.ต. และจะมีการหารือในเรื่องดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ก.ล.ต.จะทำให้ตลาดทุนไทยเกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับนักลงทุน ซึ่งระยะต่อไปอาจมีการเสนอแก้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์ และมีกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจในยุคดิจิทัลมากขึ้นด้วย พร้อมกันนี้ ก.ล.ต.ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยจะสร้างให้สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาตลาดทุนไทยให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) มากขึ้น และจะทำให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนมากขึ้น โดยมุ่งให้ประชาชนมีการออมและการลงทุนระยะยาวเพื่อรองรับการเกษียณอายุ เนื่องจากต่อไปไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ทั้งนี้ จะสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยเครื่องมือที่หลากหลายให้ผู้ประกอบการเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสุดท้ายนี้ จะสร้างกลไกและกติกาที่เป็นธรรมให้กับผู้ลงทุน โดยจะนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ยกระดับการประกอบธุรกิจและมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุน เพื่อช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ นางสาวรื่นวดี กล่าวว่า ก.ล.ต.ได้ตั้งเป้าหมายที่ต้องบรรลุภายในปี 2565 โดยจะต้องมี Ecosystem ที่เอื้อให้มีบริษัทที่ได้คะแนน ESG ดี จำนวนมูลค่า ESG product เพิ่มขึ้น 20% และมีจำนวนสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ Provident Fund (PVD) เพิ่มขึ้น 8% ขณะเดียวกันตั้งเป้าหมายผู้ลงทุนในกองทุนรวม เพิ่มขึ้น 15% พร้อมกันนี้ จะทำให้เอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพ สามารถเข้าถึงการระดมทุนในตลาดทุน และจะทำให้ regulatory guillotine สามารถลดระยะเวลากระบวนการต้นทุนที่ไม่จำเป็นได้จริง รวมทั้งจะลดระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินการ enforcement case อย่างน้อย 5% ด้านนายศักรินทร์ ร่วมรังษี รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า สำหรับการนำ AI เข้ามาวิเคราะห์และตรวจสอบพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสมนั้น เบื้องต้น ก.ล.ต.ได้มีการทดลองใช้ระบบแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประมวลผลข้อมูลต่างๆ เบื้องต้น ก.ล.ต.จะใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลตลาดหุ้น เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานนำมาพิสูนจ์ข้อเท็จจริง และดำเนินคดีสำหรับคนปั่นหุ้นต่อไป   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-425062

จำนวนผู้อ่าน: 1996

26 กุมภาพันธ์ 2020

หวั่นขาดแคลนแรงงาน! ผลวิจัยชี้ผู้หญิงจบปริญญาตรี แต่งงานลดลง 14%

นักวิจัยชี้ผู้หญิงไทยโสดมากขึ้นและมีลูกน้อยลง ผลการศึกษาเผยผู้หญิงไทยระดับการศึกษาปริญญาตรีแต่งงานลดลง 14% และทุกระดับการศึกษาเพิ่มขึ้น 1 ปี มีลูกลดลง 10% กระทบการเกิดของไทย แนะภาครัฐควรเพิ่มนโยบายกระตุ้นการแต่งงานและการมีลูกอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นระบบ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในอนาคต งานวิจัยของ ผศ.ดร.ศศิวิมล วรุณศิริ ปวีณวัฒน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ Ms.Lusi Liao นักศึกษาปริญญาเอก คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ศึกษารูปแบบการตัดสินใจแต่งงานและมีลูกของผู้หญิงไทยในช่วงระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา (1985-2017) โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ระดับการศึกษาของผู้หญิงไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้หญิงไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นโสดมากขึ้นและมีลูกน้อยลง   ดร.ศศิวิมล ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ “Marriage strike” ที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ผู้หญิงที่มีการศึกษาสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะชะลอการแต่งงานให้ช้าลง เนื่องจากระดับการศึกษาที่สูงขึ้นทำให้ผู้หญิงได้รับค่าจ้างในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น และทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการแต่งงานและการลาคลอดบุตรเพิ่มสูงขึ้น  ซึ่งในงานวิจัยชิ้นนี้ คณะผู้วิจัยก็พบปรากฏการณ์ “Marriage strike” ในประเทศไทยเช่นกัน โดยพบว่าสัดส่วนของผู้หญิงโสดในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ดร.ศศิวิมล ยังกล่าวอีกว่า สำหรับผู้หญิงไทยที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปนั้น ไม่เพียงแค่จะชะลอการแต่งงานให้ช้าลงเท่านั้น แต่มีแนวโน้มที่จะอยู่เป็นโสดตลอดไปเพิ่มขึ้นอีกด้วย  โดยงานวิจัยที่ผ่านมาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Gold miss” และพบว่าเกิดปรากฏการณ์นี้ในประเทศพัฒนาแล้วในทวีปเอเชียหลาย ๆ ประเทศ เช่น เกาหลีใต้ หรือ ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์ “Gold miss” นี้มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากรูปแบบทางสังคมและวัฒนธรรมของประเทศในทวีปเอเชียเหล่านี้ ที่คาดหวังให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องรับผิดชอบทั้งการดูแลครอบครัวในฐานะแม่บ้าน และการทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้ไปพร้อม ๆ กัน  โดยความคาดหวังของสังคมที่มีต่อผู้หญิงนี้ ทำให้ผู้หญิงในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการศึกษาสูงเลือกที่จะให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัวมากกว่าการแต่งงานมีครอบครัว และมีแนวโน้มที่จะอยู่เป็นโสดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบอีกว่า ผู้หญิงไทยที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีโอกาสที่จะแต่งงานลดลง 14% เมื่อเทียบกับผู้หญิงไทยที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมหรือต่ำกว่า และหากผู้หญิงไทยกลุ่มนี้แต่งงานจะมีจำนวนลูกที่น้อยกว่ากลุ่มอื่น โดยผู้หญิงไทยที่มีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น 1 ปี มีแนวโน้มที่จะมีลูกลดลง 10% ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งของอัตราการเกิดที่ลดลงในประเทศไทย และปัญหาที่จะตามมาในอนาคต คือ การขาดแคลนกำลังแรงงานของประเทศ ดังนั้น ภาครัฐควรเพิ่มนโยบายสนับสนุนสถาบันครอบครัวอย่างเร่งด่วนและจริงจัง ผ่านนโยบายกระตุ้นการแต่งงานและการมีลูกอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นระบบดังเช่นในบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ที่ให้ความสำคัญตั้งแต่การเริ่มต้นชีวิตคู่ การมีลูก การเลี้ยงดูลูก โดยมีมาตรการสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเงินทุนสนับสนุนและการลดหย่อนภาษี เป็นต้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-425040

จำนวนผู้อ่าน: 2254

26 กุมภาพันธ์ 2020

ราชกิจจาฯเผยแพร่ประกาศ ตั้ง ‘คุณหญิงพรทิพย์’ นั่งกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ประกาศวุฒิสภา ตั้ง ‘คุณหญิงพรทิพย์’ เป็น กรรมาธิการสิทธิมนุษยชน วันที่ 30 มกราคม 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศวุฒิสภา เรื่อง ตั้งกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการสามัญประจําวุฒิสภา แทนตําแหน่งที่ว่าง จำนวน 3 ราย โดยมี คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รวมอยู่ด้วย ซึ่งลงนามท้ายประกาศคำสั่งประกาศโดย ศาสตราจารย์พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา โดยมีรายละเอียดดังนี้ ประกาศวุฒิสภา เรื่อง ตั้งกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการสามัญประจําวุฒิสภาแทนตําแหน่งที่ว่าง ด้วยในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจําปีครั้งที่ 2 ) วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 ที่ประชุมได้มีมติตั้งกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการสามัญประจําวุฒิสภา แทนตําแหน่งที่ว่างจํานวน 3 คณะ ตามนัยแห่งข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2562 ข้อ 103 ดังต่อไปนี้ 1. คณะกรรมาธิการ การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ 2. คณะกรรมาธิการ การสาธารณสุข พลอากาศเอก มานัต วงษ์วาทย์ 3. คณะกรรมาธิการ สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-416242

จำนวนผู้อ่าน: 2218

31 มกราคม 2020

บอร์ด “ช.การช่าง-กสิกรฯ” เคาะด่วนซื้อหุ้นคืนพยุงราคาวงเงินรวม 7.6 พันล้านบาท

แฟ้มภาพ ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า บมจ.ช.การช่าง (CK) และบมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงมติการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วันนี้ (30 ม.ค.63) เรื่องโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยโครงการซื้อหุ้นคืนของ CK มีวงเงินสูงสุดที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 3,000 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 169,389,000 หุ้น (คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 10 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด) โดยวิธีการในการซื้อหุ้นคืนจะซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนภายในระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค. – 1 ก.ย.63 ขณะที่ KBANK จะซื้อหุ้นของธนาคารคืนในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ สูงสุดไม่เกิน 23.93 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 1% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ในวงเงินไม่เกิน 4,600 ล้านบาท ช่วงระยะเวลาในการซื้อหุ้นคืน 10 วันทำการ ระหว่างวันที่ 14 – 27 ก.พ.63 ราคาเสนอซื้อจะไม่เกินราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนวันซื้อหุ้นคืน บวกด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ย โดยเงินที่ใช้ซื้อหุ้นคืนจะเป็นเงินสดจากสภาพคล่องภายในของธนาคาร ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-416267

จำนวนผู้อ่าน: 2123

31 มกราคม 2020

ธ.ก.ส. รับขึ้นรางวัลลอตเตอรี่ เริ่ม มี.ค.’63 นี้

ธ.ก.ส. จับมือสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ลงนามเป็นตัวแทนรับขึ้นรางวัลสลาก ยกเว้นรางวัลที่ 1 คิดค่าธรรมเนียม 1% เริ่มมี.ค.63 ทุกสาขาทั่วประเทศ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า การลงนามร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อเป็นตัวแทนรับขึ้นรางวัลในครั้งนี้ จะทำให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนผู้ซื้อสลากที่ถูกรางวัลมีความสะดวกในการรับเงินรางวัลในทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 โดยเสียค่าธรรมเนียมเพียงร้อยละ 1 ของมูลค่ารางวัลแต่ละรางวัล และค่าอากรแสตมป์/ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามที่กฎหมายกำหนด ในอัตราร้อยละ 0.5 – 1 ของมูลค่าเงินรางวัล ตามประเภทสลาก ทั้งนี้ ธ.ก.ส. จะทำการจ่ายเงินรางวัลเฉพาะงวดปัจจุบันที่ออกรางวัลเพียงงวดเดียว สำหรับบริการดังกล่าวจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล อีกทั้งสามารถฝากเงินเข้าบัญชีหรือทำธุรกรรมอื่น ๆ ที่ ธ.ก.ส. สาขาได้ทันที นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการออมให้กับลูกค้าปัจจุบันและประชาชนทั่วไปที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้า ให้สามารถฝากเงินกับ ธ.ก.ส. ได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ ธนาคารได้มีการเตรียมความพร้อมในการให้บริการผ่านการจัดอบรมหลักสูตร “การให้บริการจ่ายเงินรางวัลสลากของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล” ให้กับพนักงานประจำสาขา เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ทักษะต่าง ๆ เกี่ยวกับการจ่ายเงินรางวัลและการตรวจพิสูจน์สลาก โดยจะเริ่มเปิดให้บริการในงวดการออกรางวัล งวดประจำวันที่ 1 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ณ ธ.ก.ส. สาขา 1,272 สาขาทั่วประเทศ พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้นอกจากช่วยให้ผู้ซื้อสลากฯ ได้รับความสะดวกในการขึ้นรางวัลและลดรายจ่ายค่าขึ้นรางวัลจากพ่อค้ารับซื้อรางวัลแล้ว ที่สำคัญยังช่วยบรรเทาปัญหาการนำสลากฯปลอมมาขึ้นรางวัลด้วย เนื่องจากสาขาของ ธ.ก.ส.มีการตรวจสอบสลากด้วยเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน และเจ้าหน้าที่ซึ่งผ่านการอบรมในเรื่องการให้บริการจ่ายเงินรางวัลโดยเฉพาะ ​ผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ กล่าวต่อไปอีกว่า ตามกฎหมายผู้ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล จะต้องมาขึ้นรางวัลภายใน 2 ปี ไม่เช่นนั้นจะขาดอายุและไม่สามารถขึ้นรางวัลได้อีก ซึ่งสำนักงานฯจะต้องนำเงินรางวัลเหล่านี้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป และขอแนะนำให้ผู้ซื้อสลาก ตรวจสอบรางวัลอย่างรอบคอบเพื่อรักษาประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันสำนักงานสลากฯ ก็ได้มีการพัฒนาช่องทางการตรวจสอบรางวัลผ่านระบบออนไลน์ให้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น ทั้งผ่านทางเว็บไซต์ www.glo.or.th แอพพลิเคชันของสำนักงานฯ GLO Lottery Official สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งในระบบ Android และ Ios เพียงกรอกตัวเลข หรือสแกนคิวอาร์โค้ดก็สามารถตรวจรางวัลได้ทันที ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-416276

จำนวนผู้อ่าน: 2552

31 มกราคม 2020

“ศักดิ์สยาม” แจงรอจีนไฟเขียวรับคนไทยที่ ”อู่ฮั่น” สั่งเข้มทุกสนามบินฝ่าวิกฤตโคโรนา

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม “ศักดิ์สยาม”กำชับ ทอท.-กรมท่าฯ เข้มวิกฤตโคโรนา ติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิ-แจกหน้ากากอนามัย ยันพร้อมเดินทางไปรับคนไทยที่อู่ฮั่น รอแค่จีนไฟเขียว ชี้”บิ๊กตู่”สั่งสถานฑูตดูแลเต็มที่ ส่วนแนวคิดเลิก Visa Arrival คนจีน ยังต้องรอหารือ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กำชับทั้ง บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) และกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ในการกำกับดูแลและป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา (Novel Coronavirus) โดยได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณภูมิร่างกาย, แจกหน้ากากอนามัยให้กับผู้โดยสาร และการทำความสะอาดอาคารสถานที่และพ่นยาฆ่าเชื้อ เป็นต้น ซึ่งจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ และจะขอความเห็นของประชาชนว่า ทีผ่านมากระทรวงมีข้อบกพร่องอะไรหรือไม่ แต่มั่นใจว่ากระทรวงสามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดได้  ขอให้ประชาชนเชื่อมั่น ส่วนการเดินทางไปรับคนไทยที่ติดค้างอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เตรียมความพร้อมตั้งแต่มีข่าวกรระบาดที่เมืองอู่ฮั่นแล้ว โดยกระทรวงประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเครื่องบินและบุคลากรทางการแพทย์ไว้แล้ว เหลือเพียงรอทางการจีนอนุมัติให้เข้าประเทศ แต่จะได้เร็วกว่าวันที่ 4 ก.พ.นี้หรือไม่ คงตอบเองไม่ได้ ต้องรอทางการจีนอนุมัติ ซึ่งทางการไทยทำเรื่องขอไปแล้ว “แต่ในระหว่างนี้ ยืนยันว่าประชาชนที่ยังอยู่ที่นั่นได้รับการดูแลอย่างสมบูรณ์และเรียบร้อย นายกรัฐมนตรีก็ได้โทรไปที่สถานฑูตไทยที่นั่นให้มีการดำเนินการดูแลประชาชนที่ยังอยู่ที่อู่ฮั่นให้ดี“ ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ยังขอแก้ข่าวที่ว่า กำลังพลของกองทัพเรือ 20 นาย เดินทางออกจากเมืองอู่ฮั่นว่า จริงๆแล้วเป็นการเดินทางออกมาก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ และเป็นการเดินทางจากเมืองอื่น ไม่ใช่อู่ฮั่น ส่วนการแชร์ภาพนายกฯใส่หน้ากากอนามัยผิดนั้น เป็นการลดหน้ากากลงมา เพราะกำลังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอยู่ “ท่านรองอนุทินได้อธิบายแล้วว่า สถานการณ์ในประเทศไทยยังไม่มีใครเสียหาย เราควบคุมกันเต็มที่ จะให้รัฐทำฝ่ายเดียวทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เราต้องช่วยกัน เพราะเราจะมาระวังแต่โคโรนาไม่ได้ แต่ที่ระบาดแรงเพราะโลกโซเชียล ยืนยันว่าหน่วยงานรัฐรับสถานการณ์นี้ได้” นอกจากนี้ ไม่ควรเหมารวมว่าผู้ที่เดินทางมาจากจีนจะเป็นตัวแพร่เชื้อทั้งหมด เพราะประเทศไทยมีอุปกรณ์และบุคลากรทางการแพทย์พร้อมช่วยคัดกรองและดูแลรักษา และนายกฯเองก็กำชับให้แจกหน้ากากอนามัยให้นักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมทั้งหมดแล้ว อย่าไปคิดว่าต้องปิดกั้นนักท่องเที่ยวเหล่านี้ทั้งหมด หากปิดกั้นแล้วอนาคตพวกเขาไม่มาท่องเที่ยวจะทำอย่างไร การสร้างความเชื่อมั่นและการจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมามันยาก ส่วนที่นายอนุทินจะเสนอให้ยกเลิก “Visa On Arrival” เพื่อจำกัดนักท่องเที่ยวจีน ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องหารือกัน มองว่าสมควรทำในเวลานี้ แต่ต้องดูเงื่อนไขด้านเวลาด้วย บวกกับสถานการณ์โดยรอบด้วย เพราะไทยไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-416284

จำนวนผู้อ่าน: 2052

31 มกราคม 2020

ทัพเรือประกาศกลุ่ม “หมอเสริฐ” ชนะขาดประมูลอู่ตะเภา เตรียมทำสัญญา มี.ค.63

ภาพ: การท่าอากาศยานอู่ตะเภา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ได้กล่าวถึงการดำเนินงานของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ว่าสืบเนื่องจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ในส่วนที่ปฏิเสธไม่รับข้อเสนอกล่องที่ 6 (ข้อเสนอด้านเทคนิคและแผนธุรกิจ) และกล่องที่ 9 (ข้อเสนอด้านราคา) ของกลุ่มกิจการค้าร่วม บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้กำหนดการเปิดเอกสารข้อเสนอซองที่ 3 (ข้อเสนอด้านราคา) ของกลุ่มกิจการค้าร่วม บริษัท ธนโฮลดิ้งฯ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา โดยการดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยแล้วนั้น อนึ่ง การเปิดเอกสารข้อเสนอซองที่ 3 (ข้อเสนอด้านราคา) ของกลุ่มกิจการค้าร่วม บริษัท ธนโฮลดิ้งฯ เป็นเอกสารที่คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้จัดเก็บไว้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นกำหนดวันยื่นซองเอกสารข้อเสนอของผู้ที่ยื่นข้อเสนอทุกราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันยื่นข้อเสนอดังกล่าว เอกสารข้อเสนอทั้งหมดของผู้ยื่นข้อเสนอทุกรายได้ถูกนำไปจัดเก็บไว้ที่ห้อง Navy Club ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด มีการติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดและมีสารวัตรทหารเรือประจำการตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดมา ดังนั้น ข้อเสนอกล่องที่ 6 และกล่องที่ 9 ดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นข้อเสนอที่มีการยื่นใหม่แต่อย่างใด ภาพ: การท่าอากาศยานอู่ตะเภา การประชุมคณะกรรมการคัดเลือกฯ  ได้มีการพิจารณารายละเอียดข้อเสนอซองที่ 3 (ข้อเสนอด้านราคา) ของผู้ยื่นข้อเสนอทั้ง 3 ราย และพบว่า กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส หรือกลุ่มที่นำโดย นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้เป็นผู้เสนอราคาสูงสุด ตัวเลข 3.05 แสนล้าน เป็นผู้ยื่นข้อเสนอที่ให้ผลตอบแทนให้แก่ภาครัฐดีที่สุด ซึ่งต่อจากนี้คณะกรรมการคัดเลือกฯ จะมีหนังสือแจ้งผลการประเมินข้อเสนอซองที่ 3 (ข้อเสนอด้านราคา) ให้แก่ผู้ยื่นข้อเสนอทั้ง 3 รายทราบ และเชิญกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส จัดทำรายละเอียดร่างสัญญา และรายละเอียดด้านเทคนิค ทั้งนี้ คาดว่ากระบวนการจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2563 คณะกรรมการคัดเลือกฯ ขอยืนยันในความมุ่งมั่นและสุจริต ที่จะดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานโครงการที่ได้กำหนดไว้ โดยยึดในผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ เพื่อให้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาสามารถช่วยขับเคลื่อนและสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนของประเทศอันนำไปสู่การเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจและสังคมได้ในระยะยาว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-416222

จำนวนผู้อ่าน: 2076

31 มกราคม 2020

ธ.ก.ส. ขยายเวลาชำระหนี้ 2 ปี-ออกสินเชื่อวงเงิน 5 พันล้าน ช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตภัยแล้ง

ธ.ก.ส. ออกมาตรการช่วยเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง ขยายเวลาชำระหนี้เดิมออกไป 2 ปี พร้อมจัดวงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 0% ใน 2 ปีแรก ชี้ช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยธรรมชาติแล้วกว่า 90,507 ราย เป็นเงิน 5,950 ล้านบาท ​นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ทำให้หลายพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร โดยมีพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพของเกษตรกร ซึ่งเบื้องต้นมีประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉินแล้ว 20 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน นครพนม มหาสารคาม บึงกาฬ หนองคาย บุรีรัมย์ กาฬสินธุ์ กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ อุทัยธานี นครราชสีมา อุตรดิตถ์ ชัยนาท นครสวรรค์ สุโขทัย สุพรรณบุรี พะเยา และสกลนคร ​เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและคลายความกังวลในเรื่องภาระหนี้สินของเกษตรกร คณะกรรมการ ธ.ก.ส. ซึ่งมี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้ ธ.ก.ส. เร่งดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง ประกอบด้วยการแก้ไขปัญหาหนี้สินเดิม โดย ธ.ก.ส.ขยายเวลาชำระหนี้ต้นเงินกู้ที่ถึงกำหนดชำระออกไปอีก 2 ปี ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2564 นอกจากนี้ ยังได้จัดทำโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง ปี 2563 เพื่อเป็นเงินทุนสนับสนุนในการจัดหา สร้าง/พัฒนา และปรับปรุงแหล่งน้ำไว้ใช้ในยามวิกฤต และลดผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งวงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท โดยเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้งสามารถกู้เพื่อนำไปลงทุนได้รายละไม่เกิน 200,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี ใน 2 ปีแรก ส่วนปีที่ 3 เป็นต้นไป คิดดอกเบี้ยในอัตรา MRR-2 (ปัจจุบัน MRR= 6.875) กำหนดชำระคืนไม่เกิน 10 ปี ระยะเวลาสนับสนุนสินเชื่อ ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2563 ​นายอภิรมย์กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารได้มอบหมายให้พนักงานในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งออกเยี่ยมเยียนให้กำลังใจเกษตรกรลูกค้า และสำรวจความเสียหาย พร้อมจัดหาน้ำอุปโภคบริโภค จัดหาถุงยังชีพในรายที่จำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และในกรณีที่เกษตรกรทำประกันภัยพืชผล จะได้รับชดเชย ข้าวนาปี 1,260 บาทต่อไร่ ข้าวโพด 1,500 บาทต่อไร่ นอกจากนั้นยังมีมาตรการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เช่น สินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ซึ่งผลการดำเนินงาน ณ 27 มกราคม 2563 จ่ายสินเชื่อไปแล้วเป็นเงิน 3,890 ล้านบาท จำนวนเกษตรกร 79,676 ราย สินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ประสบภัย จ่ายสินเชื่อไปแล้ว เป็นเงิน 2,060 ล้านบาท จำนวนเกษตรกร 10,831 ราย หากเกษตรกรท่านใดได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและมีความประสงค์ต้องการใช้สินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพหรือเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินในครัวเรือน วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปีใน 6 เดือนแรก ส่วนเดือนที่ 7 คิดดอกเบี้ยในอัตรา MRR (ปัจจุบัน MRR= 6.875) และสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ประสบภัย วงเงินไม่เกิน 500,000 บาท วงเงินกู้ 5,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา MRR-2 (ปัจจุบัน MRR= 6.875) กำหนดชำระไม่เกิน 15 ปี สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขาในพื้นที่ประสบภัย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-416281

จำนวนผู้อ่าน: 2372

31 มกราคม 2020

ปีหนูเสี่ยง “ซัพพลายใหม่-แบ็กล็อกล้น” สต๊อกทะลัก6แสนล้านกดดันหนักแนะเร่งโอนกำเงินสด

โหรอสังหาฯ “เอเซีย พลัส” ชี้ไตรมาส 1/63 มีตัวช่วยมาตรการรัฐอุ้มยอดโอนบ้าน-คอนโดฯ ลุ้นฟื้นตัวในไตรมาส 4/63 เผยสต๊อกท่วม 6 แสนล้านแต่ยอดพรีเซลดิ่งเหลือครึ่งเดียว มีผลทำให้ใช้เวลาระบายสต๊อกนานขึ้น 2 ปีเต็ม เปิดจุดเสี่ยงแบ็กล็อกสูงบวกซัพพลายใหม่กดดันตลาด แนะดีเวลอปเปอร์กำเงินสด-ไม่ก่อหนี้เพิ่ม ด้าน “AREA” สรุปปี 2562 ยอดพรีเซลต่ำแสนยูนิต หวั่นสต๊อกล้นตลาด นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เทรนด์การลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 20 บริษัทคาดว่ายังชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2562 โดยภาพที่เห็นมีทั้งชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่และลดจำนวนโครงการลง มาตรการรัฐอุ้มไตรมาส 1/63 โดยภาพรวมตลาดปี 2563 มองว่าแนวโน้มปีนี้ทั้งปี สถานการณ์ไตรมาส 1/63 ดูดีที่สุด ตลาดจะมีความคึกคักในการจัดแคมเปญโปรโมชั่นระบายสต๊อก เนื่องจากรับอานิสงส์มาตรการรัฐเป็นตัวช่วยถึง 2 โครงการ คือ ที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท รัฐบาลลดค่าโอน-จดจำนอง 3% เหลือ 0.01% หรือล้านละ 3 หมื่น เหลือล้านละ 300 บาท หมดอายุสิ้นปีนี้ บวกกับมาตรการบ้านดีมีดาวน์ รัฐบาลช่วยจ่ายค่าดาวน์ 50,000 บาท จำนวน 1 แสนราย ซึ่งหมดอายุ 31 มีนาคม 2563 “ไตรมาส 1/63 น่าจะเป็นอะไรที่เห็นแอ็กทิวิตี้ค่อนข้างจะร้อนแรงหน่อย อาจจะเป็นจุดสูงสุดก็ได้ เพราะว่าจุดศูนย์รวมมาตรการบ้านดีมีดาวน์ แล้วก็ยังมีลดค่าธรรมเนียมการโอน จดจำนองบ้านไม่เกิน 3 ล้านก็ยังค้างอยู่ ดีเวลอปเปอร์ก็พยายามออกแคมเปญระบายสต๊อก ทำให้เป็นไตรมาสที่ตัวเลขยังดูดีอยู่” หลังจากนั้นประเมินว่าเมื่อหมดอายุมาตรการบ้านดีมีดาวน์ ทำให้ไตรมาส 2/63-ไตรมาส 3/63 อาจชะลอตัวลง เพราะมีการดึงดีมานด์อนาคตไปโอนในไตรมาสแรก เมื่อเข้าไตรมาส 4/63 ตลาดอสังหาฯมีโอกาสเห็นยอดขายคึกคักอีกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามช่วง seosonal ที่คนตัดสินใจซื้อและโอนอยู่แล้ว พรีเซลต่ำสุดรอบ 2 ปี นายเทิดศักดิ์กล่าวต่อว่า คาดการณ์ยอดโอนหรือยอดรับรู้รายได้ 16 บริษัทในปี 2562 อยู่ที่ 270,937 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 2 ปีเมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มียอดโอน 354,341 ล้านบาท และยอดโอนปี 2560 จำนวน 321,305 ล้านบาท ในขณะที่ยอดโอนปี 2559 อยู่ที่ 244,405 ล้านบาท รายละเอียดการสำรวจผลประกอบการ 16 บริษัท ประกอบด้วย ค่ายแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, ควอลิตี้เฮ้าส์, เอพี (ไทยแลนด์), แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์, เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์, มั่นคงเคหะการ, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, ปริญสิริ, พฤกษา เรียลเอสเตท, เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น, แสนสิริ, ศุภาลัย, เสนา ดีเวลลอปเม้นท์, ไรมอนแลนด์ และออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โจทย์หินแบ็กล็อก-สต๊อกท่วม นายเทิดศักดิ์กล่าวถึงโจทย์หลักธุรกิจอสังหาฯปีนี้ว่า จุดเน้นอยู่ที่การเคลียร์สต๊อกออกไปให้ได้มากที่สุด ล่าสุด ณ สิ้นไตรมาส 3/62 มีการสำรวจสต๊อกของผู้ประกอบการรายใหญ่ 12 บริษัท พบว่ามียูนิตสะสมรวมกัน 598,728 ล้านบาท นับรวมจากหน่วยสร้างเสร็จ, อยู่ระหว่างเปิดขายและอยู่ระหว่างก่อสร้าง ทั้งนี้ สต๊อกเกือบ 6 แสนล้านบาทเมื่อนำมาคำนวณกับยอดพรีเซลปี 2562 ที่คาดว่าไม่เกิน 3 แสนล้านบาท เท่ากับว่าต้องใช้เวลาระบายอย่างน้อย 2 ปี ถ้าหากไม่สามารถระบายออกไปได้เร็วจะส่งผลกระทบทำให้ผู้ประกอบการต้องทำงานเหนื่อยหนักแน่นอนในปีนี้ ประเด็นอยู่ที่สต๊อก 6 แสนล้านบาท ยังไม่นับรวมไตรมาส 4/62 และซัพพลายใหม่ในปี 2563 ซึ่งตัวเลขการโอนมีทั้งมาจากยอดขายใหม่สร้างเสร็จและโอนจบในปี กับยอดแบ็กล็อก (ยอดขายรอโอน) ที่สร้างเสร็จและพร้อมโอนในปีนี้ ถ้าหากแบ็กล็อกพร้อมโอนปีนี้มาบวกกับซัพพลายใหม่เกิดขึ้นในภาวะที่ระบายสต๊อกเก่าได้ช้า อาจเป็นอุปสรรคในการทำแผนธุรกิจของผู้ประกอบการในปีนี้ “สต๊อกสะสมในปี 2560 อยู่ที่ 5 แสนกว่าล้าน ข้ามมาปี 2562 เพิ่มเป็น 6 แสนล้าน แสดงให้เห็นว่าสต๊อกในตลาดเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งธรรมชาติสต๊อกบ้าน-คอนโดฯ ยิ่งค้างนานก็ยิ่งระบายยากขึ้น ถือเป็นโจทย์ยากในการทำธุรกิจปีนี้” แนะกำเงินสด-ไม่ก่อหนี้เพิ่ม สำหรับข้อแนะนำผู้ประกอบการ นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า ปี 2563 เป็นปีชี้วัดความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันที่ชัดเจนอีกปีหนึ่ง ทิศทางตลาดชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2562 เป้าหมายหลักทุกคนเห็นอยู่แล้วต้องเน้นระบายสต๊อกเป็นหลัก ขณะเดียวกันไม่ควรก่อหนี้เพิ่ม คุมวินัยการเงิน-การลงทุนให้รัดกุม เรื่องสำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ คือ ต้องหันมาควบคุมคุณภาพแบ็กล็อก กล่าวคือลูกค้าซื้อไปแล้ว เมื่อโครงการก่อสร้างเสร็จต้องสามารถโอนได้ด้วย เพราะถ้าลูกค้าไม่รับโอนจะย้อนกลับมาเป็นยูนิตเปิดขายใหม่ หรือยูนิตรีเซล แต่ถ้าลูกค้ารับโอนจะทำให้ยอดแบ็กล็อกถูกเปลี่ยนเป็นยอดโอนและกระแสเงินสดนำไปใช้หมุนเวียนในการทำธุรกิจ “ดูโครงสร้างการเงินถ้าเป็นภาวะแบบนี้มันก็ไม่เหมาะที่จะไปก่อหนี้เพิ่ม ธุรกิจจำเป็นต้องมีกระแสเงินสดก็ต้องดูที่คุณภาพ backlog เพราะ backlog สุดท้ายต้องแปรเป็นเงินสด ถ้า backlog คุณภาพดีกระแสเงินสดก็น่าจะยังโอเคอยู่ แต่ถ้าใครมีสัญญาณว่า backlog เริ่มคุณภาพไม่โอเค อันนั้นก็ถือเป็นสัญญาณที่ต้องระวังแล้ว” จับตากลุ่มผู้ซื้อนักเก็งกำไร สอดคล้องกับ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยว่า สรุปภาพรวมปี 2562 มีการเปิดตัว 480 โครงการ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเทียบกับปี 2561 ที่เปิดตัว 457 โครงการ แต่จำนวนหน่วยลดลง -5% อยู่ที่ 118,975 ยูนิต ส่วนมูลค่าโครงการลดลง -16% อยู่ที่ 476,911 ล้านบาท ขณะที่ราคาต่อหน่วยลดลงเช่นกัน ปี 2561 ค่าเฉลี่ยต่อหน่วย 4.6 ล้านบาท ลดเหลือ 4 ล้านบาทในปี 2562 ข้อสังเกตคือการเปิดตัวใหม่จำนวนโครงการลดลง -5% แต่มีข้อน่าวิตกคือหน่วยขายได้ หรือยอดพรีเซลในปี 2562 มีจำนวน 99,862 ยูนิต ลดลง -17% เทียบกับปี 2561 ที่มีจำนวน 120,577 หน่วย ตัวเลขที่ต้องจับตายังมีหน่วยรอการขายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 218,881 ยูนิต ที่จะเข้ามาขายในปี 2563 เทียบกับปี 2562 มีหน่วยรอขาย 199,768 หน่วย เพิ่มขึ้น 10% จำนวน 19,113 หน่วย หากเฉลี่ยต่อปีมีการดูดซับ 110,000 หน่วย เท่ากับต้องใช้เวลา 2 ปีในกรณีไม่มีซัพพลายใหม่มาเติม สำหรับแนวโน้มปี 2563 คาดว่า มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ทั้งการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV-loan to value บังคับเงินดาวน์ 20% ในการขอสินเชื่อซื้อบ้าน-คอนโดฯหลังที่ 2 และมาตรการรัฐลดค่าโอน-จำนอง, บ้านดีมีดาวน์ มีผลทำให้ซัพพลายที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การเปิดใหม่ในปี 2563 อาจไม่น้อยกว่าปี 2562 แม้เศรษฐกิจไม่ดีก็ตาม เพราะมีแรงซื้อจากนักเก็งกำไร “สิ่งที่น่าห่วงก็คือซัพพลายรอการขายจะมีมากขึ้น บ้านว่างหรือบ้านสร้างเสร็จและขายไปแล้ว แต่ไม่มีผู้เข้าอยู่อาศัยจะเพิ่มขึ้นจากที่พบในปี 2562 จำนวน 525,000 ยูนิต สัดส่วนนักเก็งกำไรอาจเกิน 40% หนี้เสียอาจมีมากขึ้น” ดร.โสภณกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-415980

จำนวนผู้อ่าน: 2053

31 มกราคม 2020

“ไวรัสอู่ฮั่น”ลากยาว6เดือน ธุรกิจช็อกทั่วโลกหยุดเดินทาง

พิษไวรัสอู่ฮั่นเขย่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก หวั่นสถานการณ์แพร่ระบาดลากยาว 3-6 เดือน กระทบทัวร์ “อินบาวนด์-เอาต์บาวนด์” ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง “โรงแรม-สายการบิน” เจ็บหนัก “เชียงใหม่” เผยกรุ๊ปทัวร์จีนยกเลิกห้องพักถึงสิ้น ก.พ.กว่า 5 หมื่นห้อง “ภูเก็ต” เจอภาวะเดียวกัน ผวานักท่องเที่ยวหนีเอเชีย เอกชนถกด่วน ททท.ชง 3 มาตรการ ครม.เศรษฐกิจ 31 ม.ค.นี้ “นกแอร์-ไทยแอร์เอเชีย” ปรับแผนรับตลาดจีนหายเกลี้ยง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางการจีนยืนยันล่าสุด (28 ม.ค. 63) ว่า มียอดผู้เสียชีวิตไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV)หรือไวรัสอู่ฮั่น ทั้งหมด 106 ราย และผู้ติดเชื้อในจีนจำนวน 4,515 คน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากวันก่อนหน้ามีรายงานผู้เสียชีวิต 81 คน และผู้ติดเชื้อกว่า 2 พันคน ขณะที่ผู้ติดเชื้อไวรัสนอกประเทศจีนกว่า 65 ราย ในพื้นที่ต่าง ๆ กว่า 15 ประเทศทั่วโลก โดยมีการพบผู้ติดเชื้อในเยอรมนี และกัมพูชา เพิ่ม 2 ประเทศ คาดระบาดยาว 6 เดือน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า พบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นรายที่ 14 แต่ 8 รายแรกหายแล้ว กลับจีนไปแล้ว 3 คน กำลังรอส่งกลับ 2 คน แต่ไม่มีไฟลต์บินกลับ ส่วนอีก 3 รายผลการตรวจเป็นลบ แต่ยังต้องรอการตรวจซ้ำว่าหายป่วย “ระยะเวลายาวนานของโรค ผู้ทรงคุณวุฒิที่เชิญมาร่วมทำงานบอกว่าวางไว้ 6 เดือน เพราะโรคซาร์สใช้ระยะเวลา9 เดือน แต่ปัจจุบันประเทศจีนมีมาตรการเข้มข้น ปิดเมือง น่าจะทำให้การควบคุมโรคในประเทศไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น” หวั่นกระทบท่องเที่ยว 6 เดือน แหล่งข่าวจากธุรกิจท่องเที่ยวรายหนึ่งเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กระแสการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า จากอู่ฮั่นประเทศจีน ครั้งนี้ถือว่ารุนแรง และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับประเทศจีน และในอีกหลายประเทศที่พบมีคนติดเชื้อ รวมถึงประเทศไทยที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบคิดเป็นมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะภาคธุรกิจท่องเที่ยวและซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ ทั้งกลุ่มทัวร์อินบาวนด์ (ข้าเข้า) ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านบาท,ทัวร์เอาต์บาวนด์ มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท รวมทั้งท่องเที่ยวภายในประเทศ (โดเมสติก)ที่มีมูลค่าราว 1 ล้านล้านบาท สำหรับธุรกิจทัวร์อินบาวนด์ซึ่งเป็น 1 ในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยนั้น ในปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเกือบ 30% สร้างรายได้รวมประมาณ 5.5 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีหลายองค์กรคาดการณ์ว่า ปัญหานี้น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดจีนเที่ยวไทยยาวนานราว 6 เดือนซึ่งหากเป็นไปตามคาดการณ์ น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนปีนี้หายไปว่า 2 ล้านคน “นับตั้งแต่ 28 ม.ค.เป็นต้นไป กรุ๊ปทัวร์จีนจะหยุดการเดินทางออกนอกประเทศไปทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะทำให้นักเที่ยวจีนมาไทยหายไปราว 90-95% โดยยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางเอง และกลุ่มนักธุรกิจที่ยังสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ โดยประเมินว่าหากสถานการณ์ลากยาวไป 3 เดือน ตลาดจีนเที่ยวไทย 5.5 แสนล้านบาท ก็น่าจะหายไปกว่า 1 แสนล้านบาท ถ้าลากยาว 6 เดือนก็ไม่มั่นใจว่า ตัวเลขเสียหายจะมากแค่ไหน” แหล่งข่าวกล่าวและว่า และไม่เพียงแต่ตลาดจีนเท่านั้น กระแสดังกล่าวยังส่งผลกระทบถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวในทุกภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งบางส่วนอาจชะลอการเดินทางไประยะหนึ่ง ซึ่งน่าจะรวมถึงการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยด้วย ซึ่งธุรกิจซัพพลายเชนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในครั้งนี้ คือ กลุ่มสายการบิน และโรงแรม ที่พัก ท่องเที่ยวกระทบทั้งระบบ สอดรับกับนายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพรประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ครั้งนี้ ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยทั้งระบบได้รับผลกระทบสูงมาก ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยลำบากถ้วนหน้าแน่นอน ทั้งกลุ่มบริษัททัวร์อินบาวนด์, ทัวร์เอาต์บาวนด์ และทัวร์ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ยังไม่สามารถประเมินออกมาเป็นมูลค่าได้ เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าจีนจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เมื่อไหร่ “หากจีนใช้เวลานานในการจัดการ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีจะยิ่งเหนื่อยมาก ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าไม่น่าต่ำกว่า 3 เดือน หากจบได้ภายใน 3 เดือน ก็ยังพอมีเวลาในการกระตุ้นตลาดทำตัวเลขกันต่อ แต่ถ้าสถานการณ์ลากยาวถึง 6 เดือน ทุกภาคส่วนจะยิ่งเหนื่อยอย่างหนัก เพราะผลกระทบรอบนี้ตลาดจีนหายไปทั้งหมด 100% กลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องทั้งระบบก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะคนไม่เดินทางท่องเที่ยว” นายชัยรัตน์กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณชะลอการเดินทางชัดเจนแล้ว ตอนนี้ดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ที่ได้สำรวจมาไม่สามารถนำมาคาดการณ์อะไรได้อีกต่อไป เพราะดัชนีความเชื่อมั่นเปลี่ยนไปหมดแล้วและไม่เฉพาะตลาดจีนเท่านั้น ตลาดประเทศอื่นก็ได้รับผลกระทบทั้งหมด สทท.ประชุมทั่ว ปท. 5 ก.พ.นี้ นายชัยรัตน์กล่าวว่า เมื่อค่ำวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา สทท.ได้เชิญตัวแทนสมาคมท่องเที่ยวต่าง ๆ อาทิ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า), สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA), สมาคมท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.), สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย (สปข.), สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพฯ ฯลฯ ร่วมประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการรับมือ สร้างความมั่นใจ และช่วยเหลือเยียวยากลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยการประชุม สทท.มีมติจะจัดประชุมวิสามัญทั่วประเทศ ในวันที่ 5 ก.พ.นี้ ทั้งในส่วนที่เป็นสาขาอาชีพ และเขตพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเปิดรับความคิดเห็นว่า ผู้ประกอบการในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศได้รับผลกระทบอย่างไร รวมถึงเรื่องมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการภาคเอกชนว่า ภาครัฐจะสนับสนุนอย่างไรได้บ้าง ชงรัฐออกมาตรการช่วยเยียวยา นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา ภาคเอกชนท่องเที่ยวได้ประชุมร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อประเมินสถานการณ์ รวมถึงทำแผนเสนอมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยนำเสนอ 3 ประเด็นหลัก คือ 1.หาแหล่งเงินทุนเพื่อกู้ยืม ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการไทยนำมาทุนหมุนเวียน 2.เลื่อนเวลาการจ่ายภาษีรายได้ประจำปี 2562 และ 3.ขอให้แบงก์ชาติอนุมัติผ่อนผันเรื่องการชำระหนี้ หรือหยุดพักชำระหนี้ชั่วคราว ประมาณ 6 เดือน “แผนทั้งหมด ททท.ได้รับเรื่องไปแล้ว และคาดว่าน่าจะนำไปเสนอเข้าที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจต่อไป ในวันที่ 31 มกราคมนี้” กระตุ้นเที่ยวในประเทศ-CLMV นายวิชิตกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ในเบื้องต้นให้หันมากระตุ้นตลาดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเงินในประเทศ และเร่งทำตลาดท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ เนื่องจากเป็นตลาดระยะใกล้ เดินทางสะดวก รวมถึงอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และกลุ่มประเทศในโซนยุโรป อมเริกา ในเวลาต่อไปด้วย เพื่อนำมาแทดแทนตลาดจีนส่วนหนึ่งที่หายในในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายเดิมที่เราวางไว้ (40.78 ล้านคน) “สิ่งสำคัญขณะนี้คือการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมิน ตั้งรับ และปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าในภาพรวมจะดีขึ้น เนื่องจากจีนประกาศปิดประเทศและห้ามคนเดินทางออกไปทั่วโลกแล้ว ทั้งที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ และกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง ถ้าควบคุมได้เร็ว ๆ นี้ หรือไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยแล้ว ก็จะทำให้สามารถเดินหน้ากระตุ้นตลาดได้เต็มที่ คาดว่าอีกประมาณ 10-14 วัน น่าจะประเมินสถานการณ์ได้ชัดเจนขึ้น” นายวิชิตกล่าว ทัวร์ไทยไปจีนสูญกว่าหมื่นล้าน ด้านนายธนพล ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) กล่าวว่า สำหรับตลาดคนไทยเที่ยวจีนถือว่าได้รับผลกระทบแบบ 100% ในช่วง 2 เดือนนี้ และคาดว่าน่าจะกลับมาได้ในช่วงต้นเดือนเมษายน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันตลาดไทยเที่ยวจีนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของตลาดเอาต์บาวนด์ทั้งระบบ มูลค่า 3.3 แสนล้านบาท “สำหรับตลาดอื่น ๆ ที่คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบ น่าจะรวมไปถึงฮ่องกง, มาเก๊า ซึ่งปกติจะมีเส้นทางเชื่อมต่อจากทางจีน โดยในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา เส้นทางฮ่องกง มาเก๊า ก็หายไป 50% เพราะผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง พอเจอการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าก็น่าจะหายไปอีกครึ่งหนึ่ง ตลาดก็จะเหลือแค่ประมาณ 1 ใน 4 ของภาวะปกติเท่านั้น” นานธนพลกล่าว สายการบินเข้า-ออกจีนป่วน รายงานข่าวธุรกิจสายการบินรายหนึ่งกล่าวว่า ผลจากการประกาศปิดเมืองของรัฐบาลจีนครั้งนี้ส่งผลให้สายการบินต่าง ๆ ต้องปรับแผนธุรกิจและเส้นทางการบินเข้า-ออก ระหว่างไทย-จีนเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้เลย ต้องประเมินกันแบบวันต่อวัน เนื่องจากยังมีบางเมืองของจีนที่ยังอนุญาตให้เครื่องบินสามารถบินเข้า-ออกได้อยู่ ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2562 พบว่าจำนวนเที่ยวบินที่ให้บริการเส้นทางระหว่างไทย-จีนทั้งหมด มีจำนวน 142 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ รวม 28,113 ที่นั่งต่อสัปดาห์ (ไม่รวมเที่ยวบินเช่าเหมาลำ) “แอร์เอเชีย-นกแอร์” ปรับแผน นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า สายการบินไทยแอร์เอเชียต้องหยุดบินในเส้นทางกรุงเทพฯ-อู่ฮั่น 2 เที่ยวบินต่อวัน และเส้นทางภูเก็ต-อู่ฮั่น 1 เที่ยวบินต่อวัน ไปจนกว่าเมืองอู่ฮั่นจะเปิดให้ทำการบิน โดยหลังจากรัฐบาลจีนสั่งบริษัททัวร์ทั่วประเทศให้หยุดให้บริการ ก็คาดว่าไตรมาสแรกปีนี้ผู้โดยสารของแอร์เอเชียจะหายไปราว 30-35% หรือประมาณ 240,000-250,000 คน และจะส่งผลต่อผู้โดยสารในเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีนอีกราว 80,000 คนเช่นกัน รวมไตรมาสแรกหายไปกว่า 300,000 คน และส่งผลให้รายได้ลดลงไป 3% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับปี 2562 โดยคาดว่าอัตราการบรรทุกจะหายไปในช่วงระหว่างปลายเดือน ม.ค.นี้ ไปจนถึงเดือน มี.ค. ก่อนจะค่อย ๆ ดีขึ้นในอีก 2-3 เดือนให้หลัง เช่นเดียวกับ นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทันทีที่เกิดประเด็นเชื้อไวรัสโคโรน่า ทำให้บริษัทต้องปรับแผนธุรกิจและกลยุทธ์ในภาพรวมทั้งหมดใหม่ โดยเฉพาะตลาดจีน พร้อมทั้งจัดพอร์ตธุรกิจใหม่ เลิกพึ่งพาตลาดจีนในสัดส่วนที่มากเกินไป โดยได้วางเป้าหมายระยะยาวว่าจะกระจายพอร์ตธุรกิจให้เกิดความสมดุลทั้งระหว่างตลาดในประเทศและต่างประเทศ ททท.อัดแคมเปญเร่งด่วน นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดนี้ในเบื้องต้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างมีนัยสำคัญ หรือมีจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดจีนหายไปไม่น้อยกว่า 1.89 ล้านคน แต่หากรัฐบาลจีนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ภายใน 3 เดือน ททท.ก็พร้อมเริ่มต้นมาตรการกระตุ้นได้ทันที ทั้งนี้ หลังจากประชุมร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว ททท.ได้จัดเตรียมมาตรการระยะสั้นและระยะยาว ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อชดเชยความเสียหายจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป พร้อมทั้งเตรียมที่จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจ คณะรัฐมนตรี ในวันศุกร์ที่ 31 ม.ค.นี้ “ททท.ยังคงเป้าหมายรายได้ของปี 2563 ไว้ที่ 3.16 ล้านล้านบาท ตลาดต่างชาติ 40.78 ล้านคน ไว้เหมือนเดิม” “ภูเก็ต” ชี้ยุโรปหนีเอเชีย นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผู้ประกอบการโรงแรมเริ่มได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโคโรน่า 2019 ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจว่ามีผลกระทบมากน้อยเพียงใดเนื่องจากประเทศจีนห้ามทัวร์จีนออกนอกประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์จีนหายหมด แต่ยังคงมีนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง (FIT) ที่ยังมีเข้ามา ส่วนชาติอื่นรอดูผลฟีดแบ็กว่าเป็นอย่างไร ขณะนี้เริ่มมีการยกเลิกจองห้องพักเข้ามาบ้างแล้ว ทั้งจีนและชาติอื่น ๆ ด้วย คาดว่ารุนแรงทั่วโลก รวมถึงคาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวยุโรปเริ่มหลีกหนีเอเชีย “ขณะนี้ที่ชัดเจน คือ ธุรกิจท่องเที่ยวไฮซีซั่นนี้กระทบแน่นอน ลูกค้าเลื่อนไป จะกลับมาช่วงหน้าโลว์ซีซั่น ส่วนตลาดประชุมสัมมนาจะเซนซิทีฟมาก กลุ่มนี้จะยกเลิกก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนใหญ่จะย้ายสถานที่ทันที ถ้าพื้นที่ไหนมีความเสี่ยงก็จะไม่เข้ามาจัดประชุมสัมมนา อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูอีกประมาณ 5-10 วัน นับจากนี้จึงจะทราบตัวเลขที่แท้จริงของการยกเลิกห้องพัก และยกเลิกประชุมสัมมนาของโรงแรมต่าง ๆ” โดยขณะนี้ทางการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดได้นัดประชุม เพื่อหารือในการออกมาตรการต่าง ๆ ในการสร้างความเชื่อมั่น เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือทางสาธารณสุขต้องสร้างความมั่นใจว่า ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพื่อให้ทั่วโลกมั่นใจในการกลับเข้ามาเที่ยวเมืองไทย ยกเลิก รร.เชียงใหม่ 5 หมื่นห้อง นางละเอียด บุ้งศรีทอง นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ได้รับการรายงานข้อมูลจาก 4 บริษัททัวร์รายใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ ที่เน้นตลาดกรุ๊ปทัวร์จีนว่า ล่าสุดลูกค้าจีนทั้งหมดได้ทำการยกเลิกกรุ๊ปทัวร์ที่จะเดินทางมาเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค.-29 ก.พ. 2563 ส่งผลให้จำนวนห้องพักได้ถูกยกเลิกไปมากถึง 55,000 ห้อง คิดเป็นมูลค่าราว 55 ล้านบาท ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ที่ถูกยกเลิกการเดินทางมาเชียงใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว มีราว 110,000 คน เมื่อคิดมูลค่าการใช้จ่าย (ค่าอาหารต่อ 4 วัน) เฉลี่ยต่อคนราว 4,000 บาท มีมูลค่าถึง 440 ล้านบาท ขณะที่จากการสอบถามข้อมูลสมาชิกสมาคมโรงแรมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่พบว่า มีโรงแรม 35 แห่งถูกยกเลิกการจองห้องพักในช่วงระยะ 4 วัน (24-27 มกราคม 2563) ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางด้วยตัวเอง (FIT) มีการยกเลิกราว 3,000 ห้อง คิดเป็นมูลค่าราว 9 ล้านบาท ซึ่งหากร่วมความเสียหายจากการถูกยกเลิกของทั้งกรุ๊ปทัวร์ และตลาด FIT ของตลาดจีน ในช่วง 24 มกราคม-29 กุมภาพันธ์ 2563 รวมมูลค่าราว 504 ล้านบาท สำหรับในส่วนของนักท่องเที่ยวชาติอื่น และคนไทยยังไม่ได้มีการยกเลิกห้องพัก นายมานพ แซ่เจีย นายกสมาคมมัคคุเทศก์เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค.-7 ก.พ. 2563 กรุ๊ปทัวร์จีนจากทุกเมืองที่จะเดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่หายไป 100% ซึ่งสัดส่วนของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามายังจังหวัดเชียงใหม่ 40% เป็นกรุ๊ปทัวร์ และ 60% เป็นกลุ่ม FIT แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาก่อนวันที่ 27 ม.ค 2563 มีบางส่วนที่ทยอยเดินทางกลับ และบางส่วนที่อยู่ในพื้นที่ต่อ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมตัวเลข ยังไม่สามารถประเมินภาพรวมได้ โดยมาตรการกระตุ้นเร่งด่วนที่จะมีออกมาเน้นทำตลาดภายในประเทศด้วยการดึงคนไทยที่นิยมท่องเที่ยวต่างประเทศให้หันมาเดินทางในประเทศไทย โดยเน้นเพิ่มวันพักค้างและกระตุ้นความถี่ในการเดินทาง เลือกโปรโมตระยะทางใกล้ไม่เกิน 300 กิโลเมตร หรือเที่ยวในภาค พร้อมร่วมกับ OTA กระตุ้นท่องเที่ยวข้ามภาค ฯลฯ สำหรับตลาดต่างประเทศนั้นจะเร่งหาตลาดทดแทนในพื้นที่ศักยภาพให้ภาพรวมกลับมาตามเป้าหมาย โดยจะเน้นทำตลาดอาเซียน, เอเชียเหนือ, เอเชียใต้ และตลาดยุโรป และอเมริกา ส่วนตลาดจีนจะเน้นทำการตลาดและสื่อสารแบบ Emotional ประสานผู้ประกอบการเรื่องผ่อนผันค่าปรับจากการยกเลิกการเดินทางเตรียมการสำหรับการกลับมา โดยการคงสลอตเที่ยวบินเอาไว้ กกร.จ่อปรับตัวเลขจีดีพี ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) อาจต้องมีการทบทวนตัวเลขประมาณการทางเศรษฐกิจใหม่ จากเดิมที่คาดว่าปี 2563 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2.5-3.0% ซึ่งประเมินจากรายได้การท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทย 40 ล้านคน แต่หลังการระบาดของไวรัสโคโรน่าอาจทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด หรือราว 10 ล้านคน เดินทางมาไทยลดลง และยังต้องประเมินอีกด้านว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลกจะมีการเปลี่ยนเป้าหมายจากการเดินทางหรือไม่ “ตอนนี้มองว่ายังไม่ควรห้ามสายบินจากจีน เพราะไทยยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และนักท่องเที่ยวคงอยากไปประเทศอื่น และนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาด้วยตัวเอง หรือ FIT ไม่ได้ผ่านบริษัททัวร์ก็ยังสามารถมาเที่ยวได้” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-415825

จำนวนผู้อ่าน: 2014

31 มกราคม 2020

ไบโอดีเซล B10-B20 ป่วน CPOขาดต้นทุนพุ่ง5เท่า

ไบโอดีเซลป่วน ผู้ค้าน้ำมันโอดน้ำมันปาล์มดิบขาดตลาด ต้นทุนผลิตพลังงานพุ่ง 5 เท่า แนะรัฐบาลานซ์สร้างความชัดเจน ด้านสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันฯ ชี้สต๊อกลดปลายฤดู แนะเตรียมรับมือผลผลิตรอบใหม่ออกเดือน มี.ค. ราคาปาล์มสะวิงร่วงจาก 8 เหลือ 6 บาทแล้ว ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า จากนโยบายสนับสนุนการใช้น้ำมันไบโอดีเซล 10 เป็นน้ำมันหลัก ที่เริ่มมีการจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค. 2562 เป็นต้นมา ทำให้ปี 2562 มีปริมาณการใช้เฉลี่ย 1 แสนลิตร/วัน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 22.5 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 ที่ส่งเสริมให้จำหน่ายตั้งแต่เดือน ก.ค. 2561 มีปริมาณการใช้ในปี 2562 เฉลี่ยที่ 4.5 ล้านลิตร/วัน และคาดว่าปี 2563 จะเพิ่มเป็น 7.1 ล้านลิตรต่อวัน โดยภายในไตรมาส 1/2563 จะเพิ่มสถานีบริการ B10 เพิ่มเป็น 7,000 แห่ง จากปัจจุบัน 800 แห่ง ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดปรับสูงขึ้นเท่าตัว จากราคาผลปาล์ม เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2563 กก.ละ 6.50-7.60 บาท สูงกว่าเดือนมกราคม 2562 ที่เฉลี่ยราคา กก.ละ 2.80 บาท รายงานข่าวจากกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันระบุว่า ขณะนี้เริ่มปัญหาวัตถุดิบน้ำมันปาล์มดิบที่ใช้สำหรับผลิตไบโอดีเซลขาดตลาดและมีราคาสูงขึ้นตามราคาผลปาล์มที่ขยับขึ้นไป กก.ละ 7-8 บาท ต้นทุนการผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เดิมน้ำมันลิตรละ 10 เพิ่มเป็น 40-50 บาท “หลายบริษัทร่วมกับกระทรวงพลังงานจัดจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล B20 และกำลังจะต้องเริ่มจำหน่าย B10 เป็นน้ำมันพื้นฐานตามนโยบายกระทรวง แต่ด้วยเป็นจังหวะที่ราคาผลปาล์มปรับสูงขึ้นเป็นดับเบิล ซึ่งแม้ว่าในแง่ของกำลังการผลิตจะมีปริมาณเพียงพอ แต่เอกชนกังวลเรื่องต้นทุนปาล์มราคาสูง และหวังว่านโยบายรัฐต้องชัดว่าจะดูแลอย่างไร หากความต้องการเพิ่ม แต่อนาคตผลผลิตไม่นิ่ง ผู้บริโภคก็โดนกระทบด้วย รัฐต้องดูแลถ้าราคาสูงขึ้น เอามาเผา (ทำพลังงาน) มากน้ำมันปาล์มขวดก็หายหมด เกิดปัญหาเดิม คนโค่นพืชอื่นแห่ปลูกปาล์มราคาก็ตก เป็นวัฏจักร รัฐบาลต้องค่อย ๆ บาลานซ์” มนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย ต่อประเด็นนี้ นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มลดลง เพราะเป็นช่วงปลายฤดู คาดว่าจะมีผลผลิตใหม่ออกมาในช่วงเดือนมีนาคมนี้ทั้งนี้ เท่าที่ทราบปริมาณผลผลิตจะออกมามากพอสมควร เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง เนื่องจากปลูกและเก็บก่อนที่จะแล้ง สำหรับปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO:Crude Palm Oil) ล่าสุด มีปริมาณ 3.4 แสนตัน ซึ่งสูงกว่าสต๊อกเพื่อความมั่นคงที่ต้องมีไว้ 2.5 แสนตัน โดยเป็นสต๊อกในส่วนของน้ำมันไบโอดีเซล B100 และน้ำมันปาล์มขวด 200,000 ตัน “ราคาปาล์มอ่อนตัวลงมาแล้วจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ขยับไปที่ กก.ละ 8 บาท ตอนนี้ในพื้นที่เหลืออยู่ กก.ละ 6 บาทต้น ๆ ภาครัฐกำหนดราคาน้ำมันปาล์มขวดไม่ให้เกินขวดละ 42 บาท ที่จริงแล้วน้ำมันสำหรับบริโภคมีให้เลือกหลายชนิด น้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันรำข้าวก็มี และที่สำคัญครัวเรือนหนึ่งบริโภคไม่เกิน 2 ขวด แล้วอย่างจะเอาเรื่องกลไกตลาดมาอ้างได้อย่างไร เพราะที่ทำเรียกว่ามาตรการควบคุมตลาด เวลาราคาปาล์มต่ำบอกว่าเป็นไปตามกลไกตลาด” รายงานข่าวผลการตรวจสอบสต๊อกของกรมการค้าภายใน เมื่อเดือน ธ.ค. 2562จาก 35 พื้นที่ พบว่า สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) รวมปริมาณ 334,745 ตันแบ่งเป็นสต๊อกที่โรงสกัด 129 ราย รวม 134,920 ตัน โรงกลั่น 19 ราย ปริมาณ 58,544 ตัน คลัง 9 ราย ปริมาณ 130,447 ตัน และผู้ผลิตไบโอดีเซล 9 ราย ปริมาณ 10,834 ตัน ทั้งนี้ จะเห็นว่าปริมาณ CPO ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณ 362,423 ตัน ทั้งในส่วนของโรงสกัดปีก่อนเคยมี 142 ราย (หายไป 13 ราย) สต๊อกปริมาณ 164,582 ตัน โรงกลั่น 19 ราย ปริมาณ 103,444 ตัน คลัง 8 แห่ง รวม 85,752 ตัน และผู้ผลิตไบโอดีเซล 14 ราย (หายไป 5 ราย) ปริมาณ 8,645 ตัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-415950

จำนวนผู้อ่าน: 2182

31 มกราคม 2020

แถลงสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 30 ม.ค. ไทยพบ”ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวัง”เพิ่ม 44 ราย

กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย แถลงข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ประจำวันที่ 30 มกราคม 2563 ว่า ในวันที่ 29 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่จำนวน 44 ราย เนื้อหารายละเอียดในการแถลงข่าว มีดังนี้ 1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 30 มกราคม 2563 ณ เวลา 08.00 น.         -พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจากต่างประเทศ 14 ราย (กลับบ้านแล้ว 6 ราย อีก 8 รายนอนโรงพยาบาล) ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย – มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง 29 มกราคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 202 ราย คัดกรองจากสนามบิน 31 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 171 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 67 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 135 ราย โดยในวันที่ 29 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่จำนวน 44 ราย – สถานการณ์ทั่วโลกใน 17 ประเทศ และ 2 เขตปกครองพิเศษ ข้อมูล ตั้งแต่ 5 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 6,066 ราย ส่วนประเทศจีน ข้อมูล ณ วันที่ 27 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 5,974 ราย เสียชีวิต 132 ราย – ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” งดแชร์ข้อมูลผู้ป่วยทางสื่อออนไลน์ และมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ และ Line@/เฟสบุ๊ค: รู้กันทันโรค,Coronavirus2019, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประชาชนสามารถตรวจสอบข่าวลวงได้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม www.antifakenewscenter.com 2.สธ.แนะใช้หน้ากากผ้าป้องกันโรค เป็นทางเลือกสำหรับประชาชนที่ไม่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคปอดติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในหลายประเทศสร้างความกังวลให้กับประชาชน แม้ในประเทศไทยจะยังไม่พบการระบาดของโรค ส่วนกรณีที่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Face Mask) หาซื้อยากนั้น กระรวงสาธารณะสุขแนะนำให้ประชาชนที่ไม่ได้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจสามารถใช้หน้ากาดอนามัยที่ทำจากผ้ามาใช้แทนได้ ซึ่งหน้ากากผ้ามีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคได้เช่นเดียวกัน และยังสามารถซักทำความสะอาดนำมาใช้ซ้ำได้ เป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย ส่วนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Face Mask) แนะนำให้ใช้สำหรับผู้ที่มีอาการป่วย เช่น ไอ จาม น้ำมูก ในส่วนกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดประชุมระดมสมองห้องปฏิบัติการ โรงพยาบาลในเครือข่ายทั้งมหาวิทยาลัยกรมควบคุมโรค และกรมการแพทย์ ได้แก่ ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลรามาธิบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์โรคติดต่ออุบัติใหม่ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลเลิดสิน สถาบันบำราศนราดูร ปรับปรุงแนวทางการตรวจทางห้องปฏิบัติการรับมือสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นมาตรฐานเดียวกัน ประชาชนได้รับผลการตรวจที่รวดเร็ว น่าเชื่อถือ และสามารถนำมาใช้ประเมินสถานการณ์ในการควบคุม ป้องกันโรค ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดเตรียมชุดตัวอย่างสำหรับการประเมินความสามารถห้องปฏิบัติการแจกจ่ายไปยังห้องปฏิบัติการเครือข่ายทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข และขณะนี้มีตัวอย่างส่งมาตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประมาณ 30-40 ตัวอย่าง/วัน 3.ผลการดำเนินงานที่ด่านควบคุมโรค -จากการตรวจคัดกรอง 5 สนามบิน ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ ได้ตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิ สะสมตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563  ถึง วันที่ 25 มกราคม 2563 จำนวน 137 เที่ยวบิน  จำนวน 21,522 คน วันที่ 24-29 มกราคม 2563 ท่าอากาศยานเชียงราย ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยาน ภูเก็ต ท่าอากาศยานกระบี่ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คัดกรองผู้โดยสารสายการบิน จากสาธารณรัฐประชาชนจีน 92 เที่ยวบิน ผู้เดินทางและลูกเรือได้รับการคัดกรอง จำนวน 6,953 ราย ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดเจ้าหน้าที่หมุนเวียนไปสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่ด่าน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง – นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคำแนะนำสุขภาพ (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค 4.ข้อแนะนำประจำวันในการป้องกันตนเองจากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ย้ำเตือนประชาชนหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น และปฏิบัติตามคำแนะนำ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อย่างเคร่งครัด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-416004

จำนวนผู้อ่าน: 2325

31 มกราคม 2020

องค์การอนามัยโลกประกาศ “ไวรัสโคโรน่า” เป็นภัยพิบัติฉุกเฉิน “อนุทิน” ชงเงื่อนไขกั้นจีนเข้าไทย

องค์การอนามัยโลกประกาศยกระดับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็น ‘ภัยพิบัติฉุกเฉินระดับโลก’ หลังยอดผู้เสียชีวิตในจีนเพิ่มต่อเนื่อง ทั้งยังพบผู้ติดเชื้อใน 18 ประเทศและเขตปกครองทั่วโลก ที่ประชุมองค์การอนามัยโลก (WHO) ลงมติให้ประกาศว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019-nCoV เป็นภัยพิบัติฉุกเฉินระดับโลก เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ตามเวลาท้องถิ่นนครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ภายหลังจากผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อดังกล่าวเพิ่มเป็น 170 รายในประเทศจีน และมีผู้ติดเชื้อราว 7,800 คนในจีนและประเทศอื่นๆ รวม 18 แห่งทั่วโลก การประกาศภัยพิบัติฉุกเฉินระดับโลกจะทำให้ประเทศต่างๆ ต้องเพิ่มความเข้มงวดมาตรการกักกันและควบคุมโรค รวมถึงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของ WHO อย่างเคร่งครัด ทั้งยังจะต้องแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเสนอยกเลิก voa จากจีนชั่วคราว เหตุ WHO ประกาศเป็นภัยพิบัติระดับโลกแล้ว และจะให้เพิ่มเงื่อนไขการขอวีซ่าเข้าไทยจากจีนด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-416318

จำนวนผู้อ่าน: 2088

31 มกราคม 2020

ค่าเงินบาท​อ่อนค่าที่​ 31.15 บาท/ดอลลาร์​ ชี้คนตื่น “ไวรัสโคโรน่า” ฉุดบาทอ่อนเกินคาด

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ หัวหน้า​นักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า​ เงินบาทเปิดเช้านี้​ (31​ ม.ค.)​ ที่ระดับ 31.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ 31.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ ทั้ง​นี้​ กรอบเงินบาทวันนี้อยู่​ที่​ 31.05-31.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ “ค่าเงินบาท หลังจากผันผวนหนักเมื่อวานนี้​ (30​ ม.ค.)​ เชื่อว่าวันนี้จะแกว่งตัวในกรอบที่แคบลงบ้าง หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และตลาดกลับมารับได้กับความเสี่ยงบ้างแล้ว” ด​ร.จิ​ติ​พล​กล่าว​ อย่างไรก็ตาม จุดที่ต้องระวังต่อสำหรับเงินบาท คือสภาพคล่องที่อยู่ในระดับต่ำมาก ขณะที่ก็มีแรงขายเก็งกำไรว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤตไวรัสโคโน่า​ 2019​ ระบาดครั้งนี้ และเมื่อราคาอ่อนค่าเร็ว นักลงทุนที่ต้องการซื้อดอลลาร์เพื่อไปลงทุนต่างประเทศ ก็เกิดอาการวิตกกังวลว่าเงินบาทจะอ่อนค่าต่อจึงไล่ซื้อดอลลาร์ซ้ำเติม ในระยะสั้นทิศทางของเงินบาทจึงมีโอกาสที่จะอ่อนค่าได้มากกว่าปกติ “ตอนนี้ถือว่าบาทอ่อน​ค่า​เกินระดับที่คาดว่าจะอ่อนจากไวรัสไปแล้ว แต่อยู่ในภาวะ panic อยู่ไม่มีคนขายดอลลาร์​ เพราะผู้​ส่ง​ออกก็รอ” ด​ร.จิ​ติ​พล​กล่าว​ ด​ร.จิ​ติ​พล​ กล่าวอีก​ว่า​  ในคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินฝั่งสหรัฐพลิกกลับเป็นบวกได้ หลังจากที่องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้ไวรัสโคโรน่าเป็นภาวะฉุกเฉินระดับประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ทั่วโลกต้องยกระดับการป้องกันขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ไวรัสลดการแพร่กระจายลงในอนาคต หุ้นสหรัฐ จึงกลับไปซื้อขายตามผลประกอบการที่หลายบริษัทยังสามารถสร้างสถิติกำไรใหม่ได้อยู่ ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 0.3% อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องจากวิกฤตไวรัสระบาด ส่งผลให้ล่าสุด ราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงมาที่ระดับ 52.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน ฝั่งตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ มีรายงานการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายที่ระดับ 2.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (ปรับเป็นรายปี) เนื่องจากการบริโภคของภาคครัวเรือนชะลอตัวลงเหลือเพียง 1.8% แต่ GDP สหรัฐยังขยายตัวดีกว่าเศรษฐกิจพัฒนาแล้วอื่นๆ เนื่องจากมีการขาดดุลการค้าที่น้อยลง นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานใหม่ในฝั่งสหรัฐ ก็ปรับตัวลงมาที่ระดับ 2.16 แสนตำแหน่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แปลความได้ว่าแม้จะแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไม่ดีเหมือนช่วงสองปีก่อน แต่ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายไปกว่าที่ตลาดคาดไว้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-416321

จำนวนผู้อ่าน: 2129

31 มกราคม 2020

7 ปรากฏการณ์ “อนาคตใหม่” ที่สุดทางการเมืองในรอบ 2 ปี 6 เดือน

อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ก็จะได้ทราบชะตากรรมของ “พรรคอนาคตใหม่” ในคดีแรก โดยศาลรัฐธรรมนูญ ที่มี นุรักษ์ มาประณีต เป็นประธาน จะออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัย กรณีที่ “ณฐพร โตประยูร” ยื่นคำร้องให้ยุบพรรค ข้อหาที่หัวหน้าพรรค – กรรมการบริหารพรรค มีการกระทำล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ชาวอนาคตใหม่เรียกว่า “คดีอิลลูมินาติ” และยังมีอีก 1 คดี ที่ “จ่อคอหอย” รอยุบ – ไม่ยุบพรรค อยู่คือ คดีเงินกู้ 191 ล้านบาท ที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค ให้พรรคกู้เงินไปใช้ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตีความว่าเข้าข่าย “นิติกรรมอำพราง” สำหรับความเคลื่อนไหวของ “พรรคอนาคตใหม่” แกนนำทั้งหมดจะประจำการอยู่ที่พรรค รอฟังคำวินิจฉัยของ 9 ตุลาการ ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่า “อนาคต” ของ “พรรคอนาคตใหม่” จ่อปากเหว แต่ต้องยอมรับว่า “พรรคส้มหวาน” พรรคนี้สร้างปรากฏการณ์ – สีสันทางการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย นับตั้งแต่เปิดตัวพรรค 15 มี.ค.2561 จากบรรทัดนี้ไปคือ 7 ที่สุดของ “อนาคตใหม่”   1.กระแสแรงที่สุด หลังการเปิดตัว 15 มี.ค.2561 ปฏิเสธไม่ได้ว่า “พรรคอนาคตใหม่” สามารถเรียก “เรตติ้ง” จากบรรดา “ติ่ง” วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ กระตุ้นให้ดึงโลกโซเชียลมาเป็นจุดขาย ผลิตแฮชแทคทางโซเชียลมีเดียมากมาย Disrupt พรรคการเมืองเก่าในสารบบ ให้ปรับตัวชูแคมเปญเน้น “คนรุ่นใหม่” ตามหลังอนาคตใหม่กันเป็นแถว อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็น “จุดพลิก” ให้พรรคอนาคตใหม่ ทะยานได้ ส.ส.มากถึง 80 ที่นั่ง แม้เป็นการเลือกตั้งครั้งแรก “ไกลก้อง ไวทยากร” นายทะเบียนพรรคอนาคตใหม่ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคตั้งแต่วันแรก อธิบายปรากฏการณ์ #futurista ที่กลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ทำพรรคและเพื่อนของเขา คว้าได้ถึง 80 ที่นั่ง ว่า ความนิยมของพรรคเกิดจาก 1.ตัวบุคคลน่าสนใจ โดยเฉพาะตัวนายธนาธร หัวหน้าพรรค เป็นหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ยิ่งพูดยิ่งมีคนฟัง และความมุ่งมั่นของธนาธรออกมาจากอินเนอร์ ใครได้ฟังแค่ครั้งเดียวก็สนใจ 2.อุดมการณ์ ชัดเจนว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับการสืบทอดอำนาจ ในส่วนที่พบ แน่นอนคนบอกว่า เศรษฐกิจไม่ดี แต่การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นการพูดอ้อมๆ ว่าไม่เอาทหาร ไม่เอาเผด็จการอีกต่อไป ไม่อยากอยู่กับเผด็จการต้องการกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตย ส่วนอุดมการณ์ต้านรัฐประหารกระแทกใจคนรุ่นใหม่หรือไม่…คนรุ่นใหม่อาจจะไม่บอกว่าเผด็จการหรือประชาธิปไตยล้วนๆ แต่อยากจะหลุดจากสังคมที่ตีกรอบและกดเขาไว้ ว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องคิดแบบนี้ ปฏิบัติตามกฎระเบียบ แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ บริโภคสื่อหลากหลาย ความคิดกว้างขวาง อยู่บนโลกดิจิทัลที่คนรุ่นก่อนหน้าเขา 20 ปี ก็ตามไม่ทันแล้ว 3.นโยบายที่ชัดเจน 4.กระแสโซเชียล #ฟ้ารักพ่อ มาจากเพจน้อง เป็นกลุ่มเพศหลากหลาย ซึ่งก็คือ New voter ที่อยากได้การเมืองแบบใหม่ ซึ่งกระแสฟ้ารักพ่อ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยน เพราะเป็นการ “ให้คำนิยาม” ของธนาธร ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ ทั้งการงาน สังคม ครอบครัว มีเสน่ห์ที่จะดึงดูดคนให้มาเสน่หา “ฟ้ารักพ่อเป็นตัวเร่ง ฟ้ารักพ่อถึงจะเกิดขึ้นแต่จะไม่ผลักเราให้มาถึงจุดนี้ได้ ถ้าเราไม่ทำพื้นฐานให้ดี หรือเป็นของจริงที่มีเนื้อหานโยบาย พูดชัดเจนเรื่องอุดมการณ์ มีวิธีการทำงานในพื้นที่เครือข่ายจริง เมื่อกระแสผลักก็เหมือนคลื่นที่ผลักแล้ว ถ้าเราฝึกโต้คลื่นมาดี มีทักษะโต้คลื่นที่ดี มีกระดานโต้คลื่นที่ดี ก็ทำให้เราไปข้างหน้า อยู่บนยอดคลื่นได้นาน ส่งให้อนาคตใหม่ทะยาน” 2.นโยบายก้าวหน้าที่สุด ในการประกาศนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง “ธนาธร” สร้างกระแสฮือฮา คิดแคมเปญ “คนไทยเท่าเทียมกัน ประเทศไทยเท่าทันโลก” ประกาศก้าวข้าม “รถไฟความเร็วสูง” แซงหน้าพรรคการเมืองอื่น ด้วยการเสนอ เทคโนโลยี “ไฮเปอร์ลูป (Hyperloop)” “ธนาธร” กล่าวเมื่อ 14 มี.ค.2562 ก่อนเลือกตั้ง 24 มี.ค.เพียง 10 วัน ว่า “ถือเป็นหนึ่งในหลายความเป็นไปได้ที่ทำให้เรามุ่งสู่เส้นทางใหม่ในการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้เสนอนโยบายให้สร้างไฮเปอร์ลูปทันที แต่จะเสนอนโยบายตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน และวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับไฮเปอร์ลูปทั้งหมด เพื่อเตรียมความพร้อมในการสร้างอุตสาหกรรมไฮเปอร์ลูป” อย่างไรก็ตามหากพบว่าผลการศึกษาหรือการวิจัยพัฒนานั้นไม่สามารถทำได้จริง ก็ยังมีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีกมากมายที่ได้องค์ความรู้ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยีไฟฟ้า อวกาศ เกษตร คมนาคม ระบบการขึ้นรูปโลหะ ระบบปรับแรงดันอากาศ ฯลฯ แต่หากเทคโนโลยีไฮเปอร์ลูปประสบความสำเร็จ ไทยจะเป็นประเทศที่ขยับจากผู้ตามไปเป็นผู้นำ สามารถผลิตเพื่อใช้ในประเทศและส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ได้ สามารถขยับที่ทางของประเทศไทยไปเป็นแนวหน้าของประเทศอุตสาหกรรมโลกได้ ตามแนวทาง Path-skipping Strategy และ Path-creating Strategy และนี่คือวิสัยทัศน์ของพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมประเทศไทยของพรรคอนาคตใหม่ ภายหลังการเลือกตั้ง 1 เม.ย.2562 ธนาธร – พรรคอนาคตใหม่ แม้กลายเป็นฝ่ายค้าน ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ประกาศมอบผลการศึกษา Hyperloop ให้เป็นสมบัติสาธารณะ 3.ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากที่สุด ด้วยระบบเลือกตั้งแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ปฏิเสธไม่ได้ว่า “พรรคอนาคตใหม่” สามารถอาศัยกลไก จุดแข็งของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เนรมิตคะแนนเลือกตั้งทุกๆ 7 หมื่นคะแนนในระบบเขต จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน ซึ่ง “พรรคอนาคตใหม่” ได้พลิกกระแสให้เป็นคะแนนโหวตในการเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 ได้ถึง 6.3 ล้านคะแนน ส่งผลต่อยอด ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคที่ได้มากถึง 50 คน มากกว่าทุกพรรคที่ลงแข่งในสนามเลือกตั้ง เมื่อบวกกับ ส.ส.เขตที่ชนะเลือกตั้ง 30 คน ทำให้ได้ ส.ส.รวมกันถึงกัน 80 เสียง กลายเป็นพรรคอันดับ 3 บนกระดานการเมืองไทยทันที ผลักพรรคประชาธิปัตย์ – ภูมิใจไทย พรรคใหญ่ พรรคเก่าแก่ กลายเป็นพรรคขนาดกลาง อันดับ 3 และ 4 ทันที   4.สร้างกระแสดราม่าที่สุด หลังนำพลพรรค #futurista เข้าสู่สภาได้สำเร็จ เกิดกระแสดราม่ากับชาว ส.ส.อนาคตใหม่ หลายเรื่อง หลายเฉด ทั้งเรื่องการแต่งกายของ ส.ส.หญิง พรรคอนาคตใหม่ ที่นัดกันสวมชุดผ้าไทยซึ่งเป็นชุดพื้นเมืองเข้าสภา ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าเวทีสภา กลายเป็นแคทวอล์ค เดินแบบ และถามถึงความเหมาะสม กลุ่มความหลากหลายทางเพศ พรรคอนาคตใหม่ จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ นายณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ และน.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ยื่นหนังสือถึงนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาอนุญาตให้สามารถแต่งกายตามเพศวิถีได้ กระทั่ง 11 ก.ค.2562 ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ที่ประชุมได้มีการอภิปรายเกี่ยวกับการแต่งกายในสภา เนื่องจากก่อนหน้านี้มีประเด็นการวิพากษ์วิจารณ์ ส.ส.หญิงพรรคอนาคตใหม่สวมชุดผ้าไทยซึ่งเป็นชุดพื้นเมืองเข้าสภา ทำให้มีข้อถกเถียงกัน จึงต้องการให้มีการออกระเบียบการแต่งกายไว้ในข้อบังคับ เรื่องการแต่งกายของสภาผ่านมา 87 ปี ไม่มีปัญหา ใช้มาตรฐานทั่วไป แต่มีข้อบังคับข้อหนึ่งบอกว่านอกจากชุดสากล ยังอนุญาตให้ประธานสภาฯ กำหนดชุดอื่นได้ แต่ก็ไม่ต้องเคร่งครัดว่าต้องสากลทุกคน อะไรที่เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรม ประธานก็จะอะลุ่มอล่วยอยู่แล้ว แต่ขอให้เป็นเรื่องภายในหลังจากนี้ ใจของตนในฐานะที่อยู่กับข้อบังคับการประชุมมานาน ไม่อยากเห็นข้อบังคับที่ยาวเกินไป นอกจากดราม่า “การแต่งตัว” ยังมี ดราม่าเรื่อง “พรรคแตก” เป็นประปราย อย่างกรณี ที่พรรคอนาคตใหม่ มีคำสั่งให้ผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการกรรมการเครือข่ายเยาวชน-คนรุ่นใหม่ (New Gen Network – NGN) ยุติการปฏิบัติหน้าที่ทั้งคณะ เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการบริหารพรรคว่า ผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการเครือข่ายเยาวชน-คนรุ่นใหม่ ใช้จ่ายงบประมาณในทางที่ไม่เหมาะสม กระทั่งกลายเป็นเรื่องดราม่า “วิภาพรรณ วงษ์สว่าง” หรือ นานา คือ 1 ใน 26 ผู้ก่อตั้งพรรค แกนนำกลุ่ม NGN ตอบโต้เรื่องดังกล่าวในโซเชียลมีเดียจนไฟลุก   5.มีคดีติดตัวเยอะที่สุด 25 คดี ย้อนกลับไป เมื่อ 6 ต.ค.2562 “ธนาธร” กล่าวระหว่างงาน จัดกิจกรรม ”มาสิครับผมจะเล่าให้ฟัง” ว่า “ผมเพิ่งรู้ว่าเป็นคนเลวแค่ไหนก็ตอนตั้งพรรคนี่ละ แต่ผมคิดว่าคนที่อยู่ที่นี่น่าจะเข้าใจ เพราะสิ่งที่เราพยายามทำคือการท้าทายอำนาจ และระบอบที่ไม่เป็นธรรม ฉะนั้นไม่แปลกใจที่ระบอบนี้พยายามจะล้มเรา เพราะหมายความว่าการมีเราอยู่ทำให้พวกเขาสั่นคลอน และจำเป็นต้องจัดการกับเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทุกคนดีที่เกิดขึ้นเกิดจากแรงจูงใจที่จะทำลายกันทางการเมือง มากกว่าที่จะอาผิดตามตัวบทกฎหมาย” ผ่านมาเดือนเศษ ขณะที่บนเวที “อยู่ไม่เป็น” ที่จัดโดยอนาคตใหม่ เมื่อ 16 พ.ย.2562 “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค กล่าวตอนหนึ่งถึงคดีความของพรรคว่ามี 25 คดี “เรื่องเปลี่ยนไป หลัง 24 มี.ค.2562 ผลการเลือกตั้งออกมา 6.3 แสนเสียง ได้ ส.ส. 89 คน แต่โดนขโมยไปเหลือ 81 เสียง ได้แรงสนับสนุนจากคนทุกกลุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นำมาสู่คดีความ จนบัดนี้ทะลุยอด 25 คดีแล้ว หลังเลือกตั้งเร่งเหลือเกินอย่างน่าผิดสังเกต นักร้องเต็มประเทศไทย บางเรื่องอยู่ในชั้นตำรวจ อยู่ใน กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ อยู่ดีๆ มีเพจแปลกใหม่ๆ เกิดขึ้นและพูดความเท็จปนจริงทำลายล้างอนาคตใหม่” ดังนั้น เปิดบัญชีแนบท้ายคดีสำคัญของอนาคตใหม่ ที่มีการร้องและมีความคืบหน้าของคดี อาทิ คดีที่ พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรค ถูกแจ้งข้อหาในคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากเผยแพร่-ส่งต่อภาพ-ข้อความ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ดื่มกาแฟในราคาแก้วละ 12,000 บาท รวมเป็นยอดเงินกว่า 80,000 บาท อยู่ในชั้นอัยการ คดีที่นายปิยบุตร แถลงข่าวหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ เป็นการดูหมิ่นศาล คดีที่ “ธนาธร” ให้พรรคกู้ยืมเงิน 191 ล้านบาท ศาลรัฐธรรมนูญให้ส่งเอกสารชี้แจง คดีที่ “ธนาธร” ต้องพ้นจาก ส.ส.เพราะถือหุ้นบริษัท วี- ลัคมีเดีย ซึ่งเข้าข่ายบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อ คดีที่ “ธนาธร” และพวก โดนแจ้งข้อหาคดีอาญา กรณีการชุมนุมแฟลชม็อบ บริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน ช่วงเย็นวันที่ 14 ธ.ค.2562 ที่ผ่านมา และยังมีอีกหลายคดีที่ยังไม่มีความคืบหน้า…. “ปิยบุตร” กล่าวเพิ่มเติมนอกเวที “อยู่ไม่เป็น” ว่า “คดีของพรรคเกิน 2 หลัก จนนับไม่ถ้วน แต่ยากที่จะทำให้สังคมเข้าใจ คือ ไม่มีคดีที่สุ่มเสี่ยงถึงขั้นยุบพรรค เหตุแห่งการยุบพรรคคืออะไรต้องไปดู อยากชวนให้เปิดกฎหมายดู อย่าใช้ความเชื่อ ใช้กระแสสื่อ ที่ผ่านมาเป็นความเชื่อกับกระแสสื่อ ผมถามกลับไปหลายครั้ง ตกลงเชื่อว่าอนาคตใหม่โดนยุบเพราะพวกเราทำผิด หรือไปต่อต้านบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบัน” “แสดงว่าคิดว่าอนาคตใหม่โดนยุบทุกคน ถ้าคิดจากอดีตใครแหลมโดนยุบ จึงอยากถามง่ายๆ ว่า อนาคตใหม่ทำผิดจริงหรือเราแหลมถึงโดนยุบ” 6.สร้างญัตติสาธารณะได้แหลมคมที่สุด ก็เพราะวาระ “แหลมคม” ที่สุด หลังทำงานในสภาผู้แทนราษฎร คือกรณีที่ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ 70 เสียง ลงมติโหวตไม่รับร่างกับพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ 2562 เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2562 อันเป็นไปตามมติของพรรค นำมาสู่การปรากฏตัวของ “งูเห่า” อนาคตใหม่เป็นครั้งแรก 4 คน คือ กลุ่มที่โหวต “เห็นชอบ” คือ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี พรรคอนาคตใหม่ นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี พรรคอนาคตใหม่, พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี พรรคอนาคตใหม่ ส่วนคนที่งดออกเสียง “น.ส.ศรีนวล บุญลือ” ส.ส.เชียงใหม่ พรรคอนาคตใหม่ และกลายเป็น “วิกฤต” แพแตก 10 วันถัดมา นายนิพนธ์ แจ่มจำรัส อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี เขต 2 พรรคอนาคตใหม่ พร้อมอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ 30 คน และสมาชิกพรรคกว่า 90 คน ทยอยเข้ายื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง 7. มีปรากฏการณ์ “งูเห่าการเมือง” จำนวนมากที่สุด และหลังจาก “แพแตก” ก็พัฒนามาเป็น “งูเห่า” เมื่อ 4 ส.ส.อนาคตใหม่ ประกอบด้วย น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ ถูกพรรคมีมติขับออก บัดนี้ น.ส.กวินนาถ และ นายจารึก ไปเป็นสมาชิกพรรคพลังท้องถิ่นไท น.ส.ศรีนวล เข้าบ้านภูมิใจไทยไปเรียบร้อย ส่วน พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ก็ไปสวมเสื้อคลุมของพรรคพลังประชารัฐ นี่คือ 7 ที่สุด พรรคอนาคตใหม่ ในรอบ 2 ปี 10 เดือน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-412771

จำนวนผู้อ่าน: 2088

21 มกราคม 2020

‘รถไฟฟ้าสายสีทอง’ เปิดทดลองนั่ง มิ.ย. 63 ‘ไอคอนสยาม’ เร่งเฟส 2

รถไฟฟ้าสายสีทองคืบหน้า 60% ขบวนถึงไทย ก.พ.-มี.ค.นี้ ตั้งเป้าเปิดให้ประชาชนร่วมทดลองเดินรถ มิ.ย.ก่อนเก็บค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย ราคาที่ดินติดเจ้าพระยาพุ่งวาละ 5 แสนบาท “ไอคอนสยาม” ทุ่ม 4 พันล้าน ลุยเฟส 2 ผุดโรงแรม ซูเปอร์มาร์เก็ต เปิดปี’64 เพิ่มมูลค่าตึกแถวสูงลิ่ว ประกาศขาย 3 คูหา 130 ล้าน เจ้าสัวเจริญนำที่ดินโกดังเป๊ปซี่เก่า 10 ไร่ ปล่อยเช่าจัดอีเวนต์ ถ่ายโฆษณา นายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ KT เปิดผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้รถไฟฟ้าสายสีทอง เฟสแรก จากกรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน ระยะทาง 1.7 กม. งานก่อสร้างมีความคืบหน้าแล้วกว่า 60% ยังล่าช้าจากแผนงานประมาณ 13% รถไฟฟ้ามาถึงไทย ก.พ.นี้ ส่วนขบวนรถที่จ้าง บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) เป็นผู้ติดตั้งระบบ และจัดหารถไฟฟ้า พร้อมรับจ้างเดินรถให้เป็นระยะเวลา 30 ปี แจ้งว่าจะมาถึงประเทศไทยปลายเดือน ก.พ. ถึงต้น มี.ค.นี้ เป็นระบบรถไฟฟ้าของบอมบาร์ดิเอร์ รุ่นอินโนวา 300 จำนวน 2 ขบวน ขบวนละ 3 ตู้ รวม 6 ตู้ เป็นระบบขนส่งมวลชนนำทางอัตโนมัติ (AGT) ระบบล้อยาง ควบคุมการเดินรถด้วยระบบคอมพิวเตอร์แบบไร้คนขับ ซึ่งรถ 1 ตู้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 80-100 คน และต่อพ่วงได้ถึง 6 ตู้ วิ่งด้วยความเร็ว 3 นาทีต่อขบวน จากนั้นในเดือน เม.ย.เริ่มทำการทดสอบ จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แต่ตั้งเป้าจะเปิดให้ประชาชนร่วมใช้บริการในช่วงทดสอบเสมือนจริงในเดือน มิ.ย. นี้ เร็วขึ้นจากแผนงานที่จะเปิดให้บริการในเดือน ต.ค. 2563 มี 3 สถานี ได้แก่ 1. สถานีกรุงธนบุรี เชื่อมต่อรถไฟฟ้าบีทีเอส 2. สถานีเจริญนคร (ไอคอนสยาม) อยู่บริเวณเจริญนคร 6 บริเวณสะพานข้ามคลองวัดทองเพลง 3. สถานีคลองสาน อยู่เยื้องกับโรงพยาบาลตากสิน มีทางเดินหรือ sky walk เดินทางเข้าสู่โรงพยาบาลตากสินได้ และจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า คืบหน้า 60% – งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีทองจากบีทีเอสกรุงธนบุรี-คลองสาน ขณะนี้งานโยธามีผลงานคืบหน้าเกินครึ่งทางแล้ว เตรียมทดสอบระบบรถ เม.ย.นี้ ปัจจุบันมีการพัฒนารองรับการเปิดบริการคึกคัก ทั้งไอคอนสยามที่กำลังสร้างเฟส 2 ฝั่งตรงข้าม และที่ดินโกดังเป๊ปซี่เก่าของเจ้าสัวเจริญที่ซื้อไปเมื่อปี 2557 ปัจจุบันยังไม่ได้พัฒนา แต่เปิดให้เช่ารายวันเพื่อสร้างรายได้ ค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย จะเก็บค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย แต่ใช้ร่วมกับระบบบีทีเอสที่สถานีกรุงธนบุรี จะต้องเสียค่าแรกเข้าระบบ 16 บาท คาดว่าเปิดบริการจะมีผู้โดยสารอยู่ที่ 47,300 เที่ยวคนต่อวัน เนื่องจากย่านนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวริมน้ำ เช่น ไอคอนสยาม, ล้ง 1919 อนาคตจะมีหอชมเมืองอยู่ใกล้กับไอคอนสยาม และสถานีรถไฟฟ้า จะเป็นตึกสูงที่สุดและเป็นแลนด์มาร์กใหม่ จะทำให้คนมาใช้บริการจำนวนมาก “งานก่อสร้างที่ล่าช้าเป็นเพราะติดรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค ตอนนี้เคลียร์เรียบร้อยแล้ว จะเร่งการก่อสร้างให้เร็วขึ้นเพื่อให้เปิดบริการได้ตามแผน เพื่อช่วยบรรเทาการจรจรบนถนนเจริญนคร” สำหรับแนวเส้นทางจะต่อเชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสกรุงธนบุรี ไปตามแนวถนนกรุงธนบุรี จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปตามแนวถนนเจริญนคร ถนนเจริญรัถ ผ่านแยกคลองสานไปสิ้นสุดที่ถนนสมเด็จเจ้าพระยาที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลตากสิน คอนโดฯหรูเพียบ “ประชาชาติธุรกิจ” ลงสำรวจพื้นที่พบว่า ตลอดแนวเส้นทางยังเป็นตึกแถวเก่า มีการประกาศขายและเช่าอยู่ประปราย มีโรงแรมเพนนินซูล่า ขณะที่การลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมยังมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะไปกระจุกตัวอยู่ตรงสถานีกรุงธนบุรีของรถไฟฟ้าบีทีเอส เช่น บมจ.ศุภาลัยซื้อที่ดิน 5 ไร่ ติดถนนเจริญนคร ทำเลติดสถานีคลองสาน พัฒนาคอนโดฯ “ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร” มูลค่า 2,800 ล้านบาท เป็นอาคารพักอาศัยสูง 26 ชั้น 1 อาคาร มีห้องชุดพักอาศัย 578 ยูนิต โครงการ “เดอะริเวอร์ เจริญนคร” จาก บมจ.ไรมอนแลนด์ เป็นคอนโดฯสูง 41 และ 71 ชั้น 2 อาคาร และอาคารร้านค้า 1 อาคาร ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 95,000-420,000 บาท/ตร.ม. บมจ.เนอวานา ไดอิ ร่วมกับบันยันทรีกรุ๊ป เชนโรงแรมระดับโลก พัฒนาคอนโดฯระดับซูเปอร์ลักเซอรี่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา “บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ” บนที่ดิน 5 ไร่ บนถนนเจริญนคร 130 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท โครงการ “เดอะ ไลท์เฮ้าส์” ของ บมจ.รสา พร็อพเพอร์นี้ ดีเวลลอปเมนท์ เป็นคอนโดฯสูง 30 ชั้น 1 อาคาร 322 ยูนิต สร้างเสร็จปี 2553 และเป็นคอนโดฯหรูแห่งแรกของย่านสาทร-เจริญนคร ที่ดินพุ่งวาละ 5 แสน นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บจ.ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2560 ในแนวถนนเจริญนคร มีคอนโดฯเปิดขายใหม่ 1,236 ยูนิต จากมีสะสมในพื้นที่ 4,488 ยูนิต ปัจจุบันมีการขายไปแล้ว 88% และปี 2563 คาดว่าจะมีเปิดขายใหม่หลายโครงการในพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีทอง หลังสร้างคืบหน้าไปมาก “ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องช่วงหลายปีที่ผ่านมา จาก 300,000 บาทต่อตารางวา สำหรับที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 500,000 บาทต่อตารางวา ถ้าเป็นที่ดินไกลจากแม่น้ำก็ไม่ต่ำกว่า 300,000 บาทต่อตารางวา” ทุ่ม 4 พัน ล.ขึ้นไอคอนสยาม เฟส 2 ขณะที่โดยรอบ “ศูนย์การค้าไอคอนสยาม” ซึ่งมีสถานีจอดประชิดอยู่หน้าห้าง นอกจากจะทุ่มกว่า 5 หมื่นล้านบาท เนรมิตพื้นที่ 50 ไร่ ให้ครบครันทั้งศูนย์การค้า โรงแรม 5 ดาว คอนโดฯหรู ศูนย์ประชุมแล้ว ทางกลุ่มสยามพิวรรธน์ได้ลงทุนลุยก่อสร้าง “ไอคอนสยาม เฟส 2” บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ อยู่ฝั่งตรงข้ามติดกับสถานี จะสร้างเสร็จในปี 2564 ใช้เงินลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงแรมฮิลตัน การ์เดน อินน์ กรุงเทพฯ ในเครือฮิลตัน มีห้องพัก 244 ห้อง ห้องอาหารรูฟท็อปบาร์ ห้องประชุม สระว่ายนํ้า ฟิตเนสเซ็นเตอร์, โคเวิร์กกิ้งสเปซ, ร้านค้า และซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น ขายตึกแถว 76 ตร.ว. 130 ล้าน ขณะที่ฝั่งตรงข้ามมีตึกแถวเก่าเรียงรายอยู่หลายคูหา ทั้งนี้ มีตึกแถว 4 ชั้นครึ่ง จำนวน 3 คูหา ปัจจุบันเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว ทางเจ้าของประกาศขายพร้อมที่ดิน 37 ตารางวา อยู่ด้านหลัง รวมเป็น 76 ตารางวา ในราคา 130 ล้านบาท ส่วนทางด้านข้างไม่ไกลจากไอคอนสยามมาก จะมีโครงการ “คลองสานพลาซ่า” ที่ปัจจุบันเป็นพื้นที่ให้เช่าทำตลาด เจ้าสัวเจริญให้เช่าที่ดินทำอีเวนต์ ทั้งนี้จากการสำรวจยังพบว่า ที่ดินโกดังเป๊ปซี่เก่า เนื้อที่ 10 ไร่ ของบริษัท เสริมสุข จำกัด อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และติดถนนเจริญนคร ซอย 15 อยู่ห่างจากสถานีเจริญนคร ของรถไฟฟ้าสายสีทอง ประมาณ 400-500 เมตร ที่เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ชนะประมูลซื้อมาด้วยวงเงิน 1,809 ล้านบาท ไปเมื่อปี 2557 ล่าสุดยังไม่มีการพัฒนาแต่อย่างใด และได้มีการนำที่ดินแปลงดังกล่าวติดป้ายประกาศให้เช่าระยะสั้น มีบริษัท โกลเด้นท์ เวลธ์ จำกัด ในเครือทีซีซี กรุ๊ป ซึ่งดำเนินธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นผู้ดำเนินการปล่อยเช่า เพื่อจัดงานอีเวนต์ คิดค่าเช่าอยู่ที่ 280,000 บาทต่อวัน และถ่ายทำโฆษณา คิดค่าเช่าอยู่ที่ 100,000 บาทต่อวัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-412724

จำนวนผู้อ่าน: 3069

21 มกราคม 2020