ว่ากันว่าการที่คนเรานั้นจะมีเงินใช้หรือไม่มีเงินใช้นั้น ขึ้นอยู่กับนิสัยทางการเงินของคนนั้น หากว่ามีนิสัยการเงินที่ดีก็จะช่วยให้ไม่มีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ แถมจะยังมีเงินเหลือเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินอีกด้วย แต่กลับกันหากว่ามีนิสัยการเงินที่ไม่ดี ก็จะทำให้เรามีปัญหาเรื่องเงินทองอยู่บ่อยครั้ง รวมอาจจะไม่มีเงินใช้สอยจนถึงขั้นเป็นหนี้ก็ได้ ดังนั้นพวกเราจึงควรที่จะสร้างนิสัยทางการเงินที่ดีให้ติดตัวไว้เพื่อที่จะได้ไม่ลำบาก และ MoneyGuru.co.thก็มี นิสัยทางการเงินที่ดี ที่ควรมีติดตัวไว้เพื่อไม่ให้ลำบาก มาฝากกันเพื่อที่จะได้เป็นแนวทางให้กับทุกคนๆ ได้สร้างนิสัยการเงินที่ดีเหล่านี้ไว้ติดตัวกัน นิสัยทางการเงินที่ดี ที่ควรมีติดตัวไว้เพื่อไม่ให้ลำบาก นิสัยวางแผนการเงิน ถึงจะฟังดูแล้วว่าจะยุ่งยากและใช้เวลามากในการทำ แต่หากเราค่อยๆ ทำไปอย่างตั้งใจ ไม่นานก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยาก รวมถึงจะทำให้การเงินของเราดีขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย ยิ่งเริ่มวางแผนตั้งแต่อายุยังน้อยก็ยิ่งดีครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่มีอายุมากแล้วจะเริ่มไม่ได้นะ เพราะไม่มีคำว่าสายหากเราตั้งใจที่จะทำให้มันดีขึ้น และสิ่งแรกๆ ที่เราจะได้รับจากการรู้จักวางแผนการเงินก็คือ เงินของเราในแต่ละเดือนจะเริ่มพอใช้มากขึ้น เพราะเรามีการวางแผนการใช้จ่ายและเก็บออมไว้แล้วนั่นเอง เป็นต้น รวมถึงการมีเงินเก็บออมนี่แหล่ะที่จะเป็นตัวเปิดโอกาสในชีวิตให้กับเรา เนื่องจากเราสามารถนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนทำธุรกิจเพื่อสร้างผลกำไรกลับมาให้เราได้ นิสัยเก็บออมก่อนใช้จ่าย ถือว่าสำคัญมากๆ สำหรับนิสัยนี้ เพราะหากไม่รู้จักเก็บออม ย่อมไม่มีทางเข้าใกล้ความร่ำรวยได้ เพราะนิสัยรู้จักการเก็บออมเงินนี้คือนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จจนร่ำรวยหลายๆ คน และหากใครยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ก็ให้ลองหักเงินออก 10% ทันทีเมื่อได้รับเงินเดือนมา เพื่อนำไปเก็บออม จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ ตามความเหมาะสมที่เราสามารถทำได้ นิสัยใช้จ่ายอย่างประมาณตน “จ่ายให้น้อยกว่าที่หามาได้” และ “ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น” ถือเป็นหลักสำคัญของการที่จะมีเงินเหลือเก็บออมและเหลือไว้ใช้เลยทีเดียว เพราะการที่เรารู้จักใช้จ่ายให้ไม่เกินจากที่ตัวเองมีนี้ ก็จะทำให้เราห่างไกลจากหนี้สิน และเมื่อเราห่างไกลจากหนี้สินเงินทองที่เรามีก็จะไม่จากไปไหนได้ง่ายๆ แน่ และก่อนการใช้จ่ายทุกครั้งเรานั้นต้องมีการคิดให้ดีอยู่เสมอว่าสิ่งที่เราจะใช้จ่ายนั้นจำเป็นหรือไม่ หากไม่จำเป็นก็อย่าพึ่งใช้จะดีกว่าครับ นิสัยไม่ค้างชำระหนี้สิน คงไม่มีใครอยากเป็นหนี้ใช่ไหมล่ะครับ แต่หากว่าเรามีความจำเป็นที่ต้องมีหนี้สิน ก็ควรที่จะมีนิสัยรีบจัดการหนี้สินที่มีด้วย เพราะว่าหากปล่อยไว้นานๆ ดอกเบี้ยของหนี้สินที่เรามีก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหนี้สินจากบัตรเครดิตที่มีดอกเบี้ยค่อนข้างสูง หากเราปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจจะบานปลายได้ ดังนั้นเป็นหนี้ก็ต้องรีบใช้คืนครับ จ่ายครบ จ่ายตรง ดีที่สุดครับหากว่าเราต้องการเคลียร์หนี้สินที่เรามี แต่จะดีกว่าถ้าเราหลีกเลี่ยงที่จะไม่มีหนี้สินได้ นิสัยวางแผนการใช้จ่าย เราทุกคนนั้นย่อมมีค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิต แต่หากเรารู้จักวางแผนและบริหารจัดการให้ดี ก็จะทำให้การใช้จ่ายของเรานั้นไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพการเงินของเรา เพราะเราได้มีการวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าที่จะใช้จ่ายแล้วนั่นเอง เราจึงรู้ว่าเราจะต้องมีการใช้จ่ายเท่าไหร่ และเราจะเหลือเงินอยู่เท่าไหร่ เมื่อลองวางแผนและเห็นตัวเลขของเงินแล้ว ก็อาจจะทำให้เราตัดสินใจลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงเพื่อทำให้มีเงินเหลือเก็บมากขึ้นก็เป็นได้ หากว่าเรานั้นไม่ต้องการให้สภาพการเงินของตัวเราย่ำแย่จนถึงขั้นไม่มีเงินใช้ ก็ควรที่จะหัดสร้างนิสัยทางการเงินที่ดีเหล่านี้ติดตัวไว้ เพื่อเป็นการสร้างสภาพการเงินที่ดีให้กับตัวเราเอง รวมถึงนิสัยการเงินที่ดีนี้ยังเป็นก้าวแรกสู่ความร่ำรวยอีกด้วย ที่มา : prachachat.net/finance/news-135901
จำนวนผู้อ่าน: 5780
30 มีนาคม 2018
เคล็ดลับในการลดน้ำหนักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากดูตามรายละเอียดแล้ว บางคนเลือกที่จะงดนั่น งดนี่ หันมาทานอาหารพิเศษๆ ที่ปกติไม่เคยทานมาก่อน (แต่รู้มาว่าดีต่อสุขภาพ) หรือออกกำลังกายแบบนั้น แบบนี้ไปตามข้อมูลที่รับมาจากคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก เรื่องมื้ออาหารก็สำคัญ บางคนเลือกที่จะทานให้น้อยลง แต่ทานให้ถี่ขึ้น ตามตำราในอินเตอร์เน็ตว่าให้ทาน 6 มื้อ แบ่งทานทีละน้อยๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายรู้สึกหิวจนทานมากเกินไป แต่บางก็เลือกที่จะงดมื้ออาหารลง จากปกติ 3 มื้อ เหลือ 2 มื้อ โดยงดมื้อเย็นที่คิดกันว่าน่าจะเป็นมื้อที่ทำให้อ้วนได้ง่ายที่สุด แต่ตกลงแล้ว.... วิธีไหนที่เป็นผลดีต่อร่างกายมากที่สุดกันล่ะ 6 มื้อเล็ก การแบ่งทานอาหารเป็นมื้อย่อยๆ ถึง 6 มื้อ เมื่อวัดกันที่การเผาผลาญพลังงานในแต่ละวันแล้ว กลายเป็นว่าไม่ได้ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานไปมากกว่าการทานอาหารครบ 3 มื้อเลย (หากวัดกันที่ปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่ทานเข้าไปทุกมื้อรวมกันเท่ากัน) แต่การแบ่งทานเป็นมื้อย่อยไปตลอดทั้งวัน อาจทำให้เราไม่รู้สึกหิวระหว่างวัน และในมื้อสุดท้ายของวัน เราก็จะไม่รู้สึกอดโซจนทานเข้าไปมากจนเกินไปได้ อดมื้อเย็น ใครที่เลือกทานเพียง 2 มื้อต่อวัน แล้วอดมื้อเย็นยาวๆ ไปจนถึงตอนนอน จริงๆ แล้วหากเราไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่มื้อกลางวัน ไปจนถึงมื้อเช้าของอีกวัน เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากเกินไป ร่างกายขาดพลังงานจนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอื่นๆ ตามมา เช่น โรคกระเพาะอาหาร จากการทานอาหารไม่ตรงเวลา การขาดสารอาหาร เพราะขาดมื้อสำคัญของวันไปอีก 1 มื้อเต็มๆ ระบบการย่อยอาหารแปรปรวน หรือแม้กระทั่งอาการอ่อนเพลีย จากระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำเกินไป สรุปคือ อาจจะไม่ได้ผลทั้งคู่ แต่การงดมื้อเย็นส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่า ทานอย่างไร ให้ลดน้ำหนักอย่างได้ผล ไม่ว่ายังไง เราก็ไม่แนะนำให้งดมื้อเย็นเด็ดขาด ยังควรที่จะต้องทานอาหารให้ครบ 3 มื้ออยู่ดี แต่เราควรเลือกทานมื้อเย็นในช่วงเวลาที่เหมาะสม นั่นคือ ไม่ควรน้อยกว่า 3-4 ชั่วโมงก่อนนอน ใครที่จะนอน 5 ทุ่ม ก็ควรทานเข้าดึกสุดไม่เกิน 1-2 ทุ่ม เพื่อให้ร่างกายได้ย่อยอาหารก่อนที่จะล้มตัวลงนอน นอกจากนี้ มื้อเย็นสามารถเลือกทานอาหารที่ให้พลังงานต่ำได้ เน้นผัก ผลไม้ และโปรตีนที่ไขมันต่ำ เช่น ไก่ (ไม่มีหนัง) และปลา ใครที่อยากลองทานมื้อย่อย 6 มื้อ ก็สามารถลองทานได้ แต่อย่าลืมว่า หากอาหารที่ทานก็เหมือนๆ กับตอนทาน 3 มื้อตามปกติ ก็ไม่ได้ให้ผลดีไปกว่ากันในแง่ของการเผาผลาญพลังงาน เพียงแต่จะช่วยไม่ให้เราหิวโซมากจนทานเยอะกว่าเดิมเท่านั้น แล้วอย่าลืม ทานเข้าให้น้อยกว่าเอาออก ออกกำลังกายเบิร์นพลังงานที่ทานเกินออกไปกันด้วย เล่นทั้งคาร์ดิโอ และเวทเทรนนิ่งสลับกันจะให้ผลดีที่สุด ใครถนัดวิธีไหน ก็ลองเอาไปใช้กันดูนะ บทความจาก : sanook.com
จำนวนผู้อ่าน: 6126
24 พฤศจิกายน 2017
ห้ามกินยากับน้ำอะไรบ้าง เชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่มีความรู้มาก่อนว่าการกินยากับน้ำบางชนิด อาจส่งผลเสียต่อร่างกายมากขึ้น หรืออาจขัดขวางการออกฤทธิ์ของยา แทนที่ตัวยาจะได้ไปรักษา กลับเป็นการกินยาฟรี ๆ เมื่อร่างกายเกิดอาการป่วยไข้ หากเป็นอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ เราก็มักจะหาซื้อยามารับประทานเอง หรือแม้แต่ในกรณีที่ไม่ได้แอดมิท ไปพบแพทย์แล้วรับยากลับมาที่บ้าน บ่อยครั้งที่เราก็มักจะลืมใส่ใจวิธีกินยาที่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดผลกระทบตั้งแต่ระดับเบา ๆ อย่างยาไม่ออกฤทธิ์ต่อร่างกาย หรือบางกรณีการกินยาคู่กับเครื่องดื่มบางอย่าง ก็อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มโอกาสการเสียชีวิต ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ กระปุกดอทคอมมีเกร็ดความรู้เรื่องวิธีกินยาที่ได้ประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยวันนี้เราจะมาดูกันว่า ห้ามกินยากับน้ำอะไรบ้าง 1. นม นมมีโปรตีนชนิดที่ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจขัดขวางการดูดซึมยา ทำให้ตัวยาไม่สามารถออกฤทธิ์รักษาได้ นอกจากนี้แคลเซียมในนมก็ยังมีผลต่อการดูดซึมของยาอีกด้วย โดยเฉพาะการกินยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อ กับนม ที่แคลเซียมจากนมจะเข้าไปจับตัวยาปฏิชีวนะ ทำให้ยาปฏิชีวนะที่เรากินเข้าไปเพื่อหวังผลในการรักษาอาการอักเสบในส่วนต่าง ๆ ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ควรได้รับการรักษาด้วยตัวยาได้ เท่ากับการกินยาปฏิชีวนะในครั้งนี้มีผลเป็นโมฆะนั่นเอง หรือแม้แต่การกินยาลดกรดกับนมก็ตาม ซึ่งบางคนอาจคิดว่า ในเมื่อยาลดกรดก็ช่วยเคลือบกระเพาะ และนมก็มีโปรตีนช่วยเคลือบกระเพาะ ทำไมจะกินพร้อมกันไม่ได้ คำตอบก็คือในนมนั้นมีแคลเซียมอยู่ในปริมาณไม่น้อย และแคลเซียมในนมนี่แหละที่อาจไปขัดขวางการออกฤทธิ์ของยาลดกรด หรืออาจไปเพิ่มสารบางในร่างกายที่ทำให้ยาลดกรดถูกดูดซึมเข้าไปในระบบลำไส้ คราวนี้คำถามคือ เมื่อยาลดกรดถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย อันตรายยังไง เราก็ขอเคลียร์ให้เข้าใจตรงกันก่อนค่ะว่า ยาลดกรดเป็นยาที่จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพราะยาลดกรดมีหน้าที่เคลือบกระเพาะอาหาร เพื่อไม่ให้กรดหรือน้ำย่อยมากัดกระเพาะได้ ดังนั้นหากแคลเซียมในนมเปิดทางให้ตัวยาในยาลดกรดถูกดูดซึมเข้าไป ก็อาจเป็นการสะสมพิษหรือยาในร่างกายโดยไม่จำเป็น ซึ่งการที่ตัวยาไม่ถูกขับออกจากร่างกายแบบนี้ ยังไงก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ ค่ะ 2. กาแฟ เชื่อว่าหลายคนเคยกินยาคู่กับกาแฟอย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะไม่ส่งผลกระทบอะไร หากคุณไม่ได้กินกาแฟคู่กับแคลเซียมในรูปแบบวิตามินหรืออาหารเสริม เพราะหากคุณดื่มกาแฟคู่กับแคลเซียม ก็จะเหมือนกินแคลเซียมเล่น ๆ เสียเงินไปฟรี ๆ เพราะกาแฟมีฤทธิ์ขับแคลเซียมออกจากร่างกายนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ในกรณีที่อันตราย ก็คือ การดื่มกาแฟกับยากลุ่มแก้หวัด หรือขยายหลอดลม (ซึ่งอาจได้ยาชนิดนี้มาตอนเป็นหวัด คัดจมูก หรือในคนที่เป็นโรคหอบหืดที่ต้องกินยาขยายหลอดลมเป็นประจำ) ต้องขอเตือนว่าอย่ากินยาขยายหลอดลมพร้อมกาแฟเด็ดขาดค่ะ เนื่องจากกาแฟมีฤทธิ์ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เช่นเดียวกับยาขยายหลอดลมที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อกินพร้อมกันอาจเกิดอาการใจสั่น รวมทั้งภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ หรือในคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว เคสนี้อันตรายมากเลยทีเดียวค่ะ 3. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน นอกจากกาแฟแล้ว เครื่องดื่มอย่างโกโก้ ช็อกโกแลต เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มเหล่านี้ก็มีคาเฟอีนอยู่เช่นกัน ดังนั้นอย่ากินยาขยายหลอดลมคู่กับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกชนิดจะดีกว่า เพราะอาจส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะได้ 4. น้ำอัดลม น้ำอัดลมมีทั้งกรดและคาเฟอีน ดังนั้นเราจึงไม่ควรกินยากับน้ำอัดลม โดยเฉพาะยาขยายหลอดลม ที่คาเฟอีนในน้ำอัดลมจะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ รวมไปถึงคนที่เป็นโรคกระเพาะ การกินยาลดกรดกับน้ำอัดลมอาจทำให้ตัวยาไม่สามารถลดกรดในกระเพาะอาหารได้ เนื่องจากในกระเพาะอาหารมีกรดจากน้ำอัดลมมาให้ยาจัดการจนหมดฤทธิ์ยาไปซะก่อน ส่งผลให้กระเพาะอาหารไม่ได้รับยาลดกรดไปช่วยเคลือบกระเพาะนั่นเอง หรือหากใครทานยาที่มีผลในการกระตุ้นประสาทอยู่แล้ว การทานยาพร้อมน้ำอัดลมผสมคาเฟอีน จะยิ่งทำให้การดูดซึมและระยะเวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์ช้าลง มีผลให้ฤทธิ์ของยาลดลง และอาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์และผลข้างเคียงของยามากขึ้น 5. น้ำผลไม้ น้ำผลไม้ที่เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ก็ไม่ควรกินคู่กับยานะคะ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว อย่างน้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำมะเขือเทศ หรือน้ำผลไม้รสเปรี้ยวชนิดอื่น ๆ ไม่ควรกินคู่กับยาลดกรดเด็ดขาด เนื่องจากคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารที่ต้องกินยาลดกรด จะมีภาวะร่างกายหลั่งกรดเกินปกติอยู่แล้ว ดังนั้นหากดื่มน้ำผลไม้ที่มีกรดเพิ่มไปอีก ตัวยาเคลือบกระเพาะอาหารหรือยาลดกรดอาจต้านทานไม่ไหว หรือออกฤทธิ์ลดกรดได้แต่ในส่วนของน้ำผลไม้มีกรดที่เราดื่มเข้าไป กลายเป็นว่ากระเพาะอาหารต้องเผชิญกับกรดโดยลำพังอย่างไร้ซึ่งผู้ช่วยใด ๆ 6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับยาเป็นสิ่งที่ไม่ควรกินคู่กัน แต่อย่างน้อยเราก็เชื่อว่าหลายคนคงไม่กินยากับเหล้า เบียร์ ไวน์ หรือค็อกเทลแน่ ๆ ทว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับยาที่อาจส่งผลให้เกิดอันตรายกับร่างกายก็คือในกรณีของคนที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ มีภาวะพิษสุราเรื้อรัง หากดื่มมาอย่างหนักแล้วเช้าขึ้นมาปวดหัว จัดยาพาราเซตามอลเข้าไป บอกเลยว่ายิ่งเป็นการทำร้ายตับซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรืออาจเพิ่มความเสี่ยงถึงภาวะตับวายได้เลยล่ะค่ะ ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนที่ดื่มเป็นประจำ ตับอาจมีการสูญเสียไปบางส่วน นั่นก็หมายความว่า ประสิทธิภาพในการกำจัดของเสียจากตับจะลดลงไปด้วย ดังนั้นการกินยาพาราเซตามอลเพื่อแก้เมาค้าง ก็จะยิ่งทำให้ยาพาราเซตามอลเข้าไปสะสมอยู่ในตับเรื่อย ๆ กระทั่งก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง นอกจากนี้ ด้วยความที่แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาท ดังนั้นคนที่กินยาที่มีกดฤทธิ์ประสาท อย่างยาแก้แพ้ ยานอนหลับ ยาแก้โรคซึมเศร้า ก็ต้องระวังให้มาก เพราะหากไปดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับทานยาด้วย จะยิ่งเสริมฤทธิ์กดประสาทให้รู้สึกง่วงซึม และขาดสมาธิมากขึ้น ถ้ารุนแรงก็อาจถึงขั้นหมดสติและหยุดหายใจได้เลย สรุปแล้วการกินยาอย่างปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคและอาการป่วยที่ดีที่สุด ก็คือการกินยาคู่กับน้ำเปล่านั่นเองค่ะ เพราะน้ำเปล่าคือตัวละลายยาที่ดีที่สุด และทางที่ดีควรกินยากับน้ำในอุณหภูมิห้อง โดยเฉพาะคนที่เป็นหวัด มีอาการเจ็บคอ ซึ่งน้ำเย็นอาจส่งผลให้ระคายคอมากยิ่งขึ้นได้ นอกจากนี้ก่อนกินยาอะไรก็ตาม ควรสอบถามวิธีกินยากับเภสัชกรทุกครั้ง และควรอ่านฉลากกำกับยาให้ชัดเจนทุกครั้งด้วยนะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มหิดล แชนแนล บทความจาก : kapook.com
จำนวนผู้อ่าน: 4685
24 พฤศจิกายน 2017
ใครอยากหน้าในอ่อนกว่าวัย ไม่ต้องไปฉีดฟิลเลอร์ โบท๊อกซ์ ให้เปลืองเงิน แต่หันมาออกกำลังกายให้สม่ำเสมอจะทำให้คุณนั้น สมบูรณ์ทั้งภายในและภายนอก เพราะ ผลการศึกษาล่าสุดจากสถาบัน Preventive Medicine รายงานว่าผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ดูร่างกายทั้งภายในและภายนอกนั้นเสื่อมสภาพช้าลงถึง 9 ปีเมื่อเปรียบกับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย ซึ่งนั่นหมายความว่าคนที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำจะดูอ่อนกว่าวัยที่เป็นจริงนั่นเอง โดยผลการวิจัยของสถาบัน Preventive Medicine นั้นระบุว่าได้มีการศึกษาผู้ใหญ่จำนวน 6,000 รายในรอบสองถึงสามปีที่ผ่านมา โดยเจาะกลุ่มผู้ที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ และ ผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย จากนั้นทางสถาบันได้นำเอาดีเอ็นเอ ของทั้งสองกลุ่มมาตรวจในห้องแลป และพบว่า เทโลเมียร์ อันได้แก่ ดีเอ็นเอที่อยู่ส่วนปลายสุดของโครโมโซม ทำหน้าที่กำหนดอายุขัยของเซลล์ และเป็นตัวกำหนดอายุขัยของชีวิตมนุษย์ ซึ่งจากการทดลอง และตรวจสอบพบว่า ผู้ที่ออกกำลังอยู่เป็นประจำนั้นจะมี เทโลเมียร์ ที่บ่งบอกอายุขัยที่ยืนยาวกว่าคนที่ไม่เคยออกกำลังเลย และ เมื่อทำการเปรียบเทียบ คนในวัยเดียวกันจะพบว่า ผู้ที่ออกกำลังอยู่เป็นประจำดีเอ็นเอ เทโลเมียร์ จะมีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่ไม่เคยออกกำลังเลยถึง 9 ปี ซึ่งการออกกำลังกายให้เป็นประจำนั้นต้องอยู่ในช่วงเวลา 30 – 40 นาทีต่อวัน และทำให้ได้อย่างน้อยติดต่อกัน 3 วันต่อสัปดาห์ ขอบคุณบทความจาก : sanook.com
จำนวนผู้อ่าน: 3204
29 ตุลาคม 2017
การมีสุขภาพที่ดี เก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยใหหน้าที่การงานของท่านดีขึ้น เรามาดูกันว่าการดูแลสุขภาพในที่ทำงานนั้นควรทำอย่างไรบ้าง 1. ล้างมือบ่อยๆ ล้างมือบ่อยๆ หมายถึงการล้างมือทุกครั้งหลังจากเข้าห้องน้ำ ก่อนรับประทานอาหารเที่ยง หรือในเวลาที่มือของท่านเปื้อนสิ่งต่างๆจากการทำงาน และควรมีเจลล้างมือติดไว้ที่โต๊ะของท่านเพื่อใช้ในการทำความสะอาดมือ 2. ทำความสะอาดโต๊ะทำงานและอุปกรณ์ต่างๆเป็นประจำ การทำความสะอาดโทรศัพท์, คอมพิวเตอร์, คีบอร์ดและสิ่งของต่างๆบนโต๊ะทำงานของท่าน รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆที่ท่านใช้ เป็นการฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียต่างๆที่สะสมอยู่บนอุปกรณ์เหล่านั้น ไวรัสหวัด 3. รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ อาหารเช้าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกๆคน ผู้ที่ต้องรีบตื่นมาทำงานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้า ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงการอดอาหารเช้าเพื่อลดน้ำหนักก็เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ควรจัดหาเมนูอาหารเช้าง่ายๆที่ท่านรับประทานได้สะดวก เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารชดเชยหลังจากตื่นนอน 4. หลีกเลี่ยงการทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่มีอาการป่วย คงไม่มีใครอยากติดโรคหวัด หรือโรคติดต่อต่างๆจากเพื่อนร่วมงานแน่นอน หากเห็นว่าเพื่อนร่วมงานไม่สบาย ควรแนะนำให้เค้าพักผ่อนอยู่บ้านหรือไปพบแพทย์เพื่อรักษา การหลีกเลี่ยงเพื่อนร่วมงานที่มีอาการป่วยไม่ได้หมายความว่าจะต้องรังเกียจ เพื่อนร่วมงานที่ป่วย แต่เป็นการแนะนำให้เขาพักผ่อนหรือพบแพทย์จะดีกว่า 5. ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน การชงกาแฟดื่มในที่ทำงานสามารถช่วยให้ท่านหายง่วงนอนขึ้นมาได้ แต่การดื่มกาแฟมากๆก็ไม่ดีต่อสุขภาพของท่านเช่นกัน การลุกเดินไปเติมน้ำเปล่ามาดื่มเป็นประจำเป็นการช่วยให้ท่านได้ขยับตัวจาก ท่านั่งเดิมๆ แก้ง่วงไปในตัว และยังช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีมากขึ้น และที่สำคัญการดื่มน้ำสะอาดเกิน 8 แก้วต่อวัน สามารถช่วยให้ท่านมีสุขภาพดีได้ 6. พยายามเปลี่ยนท่าทางการทำงานบ่อยๆ หากท่านรู้สึกเหนื่อยหรือเพลียจากการนั่งทำงานนานๆ ควรลุกเดินไปข้างนอกบ้าง หรือพยายามบิดตัวเปลี่ยนท่าทางในการนั่งบ่อยๆ การหลับตา 5-10 วินาทีพร้อมเปลี่ยนท่าทางในการนั่งบ่อยๆ เป็นการพักระหว่างการนั่งทำงานได้ดีทีเดียว 7. ใช้สิทธิในการลาพักร้อนให้เกิดประโยชน์ การหยุดพักเรื่องงาน และไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆและลืมเรื่องานไปให้หมด เป็นการช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี และการทำงานก็จะดีขึ้นหลังจากท่านได้พักผ่อนจากความเครียด 8. เลิกสูบบุหรี่ ทุกท่านคงทราบกันดีแล้วว่าการสูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ การสูบบุหรี่ในช่วงเวลาพักเป็นประจำ เมื่อสะสมเป็นเวลานาน ก็จะทำให้สุขภาพของท่านแย่ลงมากถ้าเทียบกับคนที่ไม่สูบบุหรี่ และสารนิโคตินจริงๆแล้วมาฤทธิ์ที่เพิ่มความเครียดให้กับร่างกายและสมอง มิได้ช่วยคลายความเครียดได้แต่อย่างใด ที่มา:www.108health.com
จำนวนผู้อ่าน: 3242
09 ตุลาคม 2017
ปัจจุบันความเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ เกิดขึ้นกับคนไทยเป็นจำนวนมาก จากการสำรวจภาวะสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 5 ปี 2557 พบว่า คนไทยมีอัตราการป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุดถึง 14 ล้านคน เพราะวิถีของการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการกินผักผลไม้ที่น้อยลง กินอาหารหวาน มัน เค็ม ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่ลดลงด้วย เพราะ "ผัก - ผลไม้" คือคำตอบของการมีสุขภาพที่ดี เราควรกินผักผลไม้สด ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ซึ่งผ่านการแปรรูปและดัดแปลงน้อยที่สุด อุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์ เอนไซม์ กากใย พรีไบโอติกส์ สิ่งเหล่านี้เหล่านี้ได้จากผักผลไม้ และธัญพืชเท่านั้น เพราะช่วยต้านการอักเสบ มีผลพรรณสดใส สดชื่น ชะลอวัย ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ดูแลปรับสมดุลในระบบภูมิคุ้มกัน สำนักงานกองทุนสนับสนุการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. จึงตั้งเป้าให้ประชาชนบริโภคผักผลไม้ที่มีความปลอดภัยอย่างเพียงพอ 400 กรัมต่อวัน ตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง (NCDs) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25.9 ในปี 2557 เป็นร้อยละ 50 ในปี 2564 สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการประกาศเป็นปีแห่งการบริโภคผักผลไม้ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีและกระทรวงสาธารณสุขประกาศ ให้ปี 2560 เป็น “ปีแห่งการบริโภคผัก-ผลไม้ปลอดภัย” โดยผนึกกำลังกระทรวงเกษตรฯ สสส. และภาคีเครือข่าย ดูแลการผลิตผักผลไม้ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ เพื่อควบคุมการผลิตให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล ปราศจากสารเคมี ไฟเบอร์ ดีอย่างไร ไฟเบอร์ หรือใยอาหาร เป็นส่วนประกอบของพืช ที่พบใน ธัญพืช ผัก ผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง ช่วยให้ระบบขับถ่ายมีการขับถ่ายของเสียอย่างง่ายดาย ปัดกวาดลำไส้ให้สะอาด ลดการเกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ดักจับสารพิษต่างๆ มีช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ช่วยรักษาป้องกันอาการท้องผูก ทำให้เยื่อบุผิวของลำใส้แข็งแรง ป้องกันมะเร็งลำใส้ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต ของแบคที่เรียตัวที่ดีในลำใส้ใหญ่ เห็นได้ว่าไฟเบอร์ในผักผลไม้ มีผลดีต่อร่างกายเรามากทีเดียว ดังนั้นการกินผักผลไม้ จึงปกป้องเราให้ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้องรัง จำพวก หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ ฯลฯ รู้จักกับไฟเบอร์ หรือใยอาหาร สามารถแบ่งเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำ (soluble fiber) และไม่ละลายน้ำ (insoluble fiber) เส้นใยที่ละลายน้ำได้ ปนอยู่กับส่วนที่เป็นแป้งในพืช ในผักและผลไม้เกือบทุกชนิด และพืชตระกูลถั่ว ข้าวโอ็ต รำข้าวโอ็ต และข้าวบาร์เลย์ เป็นต้น เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ พบมากในอาหารประเภทธัญพืช เช่น ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด ข้าวสาลี รำข้าวสาลีรำข้าวเจ้า พืชตระกูลถั่ว ถั่วเปลือกแห้งและผักต่างๆ ผักผลไม้อะไรให้ไฟเบอร์สูง 1.ถั่ว (Nut) เช่น ถั่งแดง ถั่วเขียว ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง 2.ธัญพืช (Grain) ธัญพืชไม่ขัดสีทุกชนิด ข้าวกล้องดอย ข้าวหอมนิล ข้าวสินเหล็ก 3.ผัก (Vegetable) แครอท ข้าวโพด บล็อคโคลี ผักโขม 4.ผลไม้(Fruit) มะละกอ กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล อะโวคาโด ฝรั่ง มะม่วง การกินผักผลไม้ที่ปลอดภัยอย่างน้อยวันละ 400 ซึ่งเท่ากับ ผัก 3 ส่วน ผลไม้ 2 ส่วน หรือไม่ต่ำกว่า 5 ทัพพี (วัดง่ายๆ คือ 1 อุ้งมือ เท่ากับ 1 ทัพพี) จะทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง ห่างไกลโรคต่างๆ แต่ผักผลไม้ในปัจจุบันนั้นมาจากหลากหลายที่ ซึ่งไม่อาจรู้แหล่งที่มา การล้างผักผลไม้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะช่วยลดสารเคมีตกค้างได้ ล้างผักอย่างไรให้ถูกต้อง การล้างผักสามารถล้างได้หลายวิธีด้วยกัน คือ 1.น้ำส้มสายชู ใช้ 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ลดสารพิษตกค้างได้ 60-84% 2.แช่ในน้ำที่ผสมด้วยผงฟู (Baking powder) โดยใส่ครึ่งช้อนโต๊ะต่อน้ำเปล่า 10 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ลดสารพิษตกค้างได้ 90-95% 3.น้ำก๊อกไหลผ่าน โดยนำผักผลไม้ใส่ในตระกร้าหรือตระแกรง แล้วเปิดน้ำไหลด้วยความแรงพอประมาณ นาน 2 นาที ช่วยลดสารตกค้างได้ 25-65% สามารถดูวิธีล้างผักให้ถูกได้ที่ ที่มา: www.thaihealth.or.th
จำนวนผู้อ่าน: 3510
02 ตุลาคม 2017
บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โดยมากมักจะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุ ความประมาท ขาดความระมัดระวัง ซึ่งกลไกการบาดเจ็บจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใดขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาที่ผิวหนังสัมผัสกับความร้อน อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ ดีกรีความลึกของบาดแผล และขนาดความกว้างพื้นที่ของบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกนั้น ๆ บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แบ่งเป็น 3 ระดับ โดยดูจากดีกรีความลึกของบาดแผล ดีกรีความลึกระดับ 1 คือ บาดแผลอยู่แค่เพียงผิวหนังชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น โดยปกติจะหายเร็วและไม่เกิดแผลเป็น ดีกรีความลึกระดับ 2 คือ บาดเจ็บในบริเวณชั้นหนังแท้ บาดแผลประเภทนี้ถ้าไม่มีภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน มักจะหายภายใน 2-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความลึกของบาดแผลจากอุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดร่องรอยผิดปกติของบริเวณผิวหนัง หรืออาจมีโอกาสเกิดแผลเป็นแผลหดรั้งตามได้ หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง *กรณีถูกไฟไหม้ หากบาดเจ็บไม่ลึกมากก็จะพบว่าบริเวณผิวหนังจะมีตุ่มพองใส เมื่อตุ่มพองนี้แตกออกบริเวณบาดแผลเบื้องล่างจะเป็นสีชมพู และผู้ป่วยจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนมาก แต่ถ้าพยาธิสภาพค่อนข้างลึกจะพบว่าสีผิวหนังจะเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองหรือขาว ไม่ค่อยเจ็บ ดีกรีความลึกระดับ 3 คือ ชั้นผิวหนังทั้งหมดถูกทำลายด้วยความร้อน บาดแผลเหล่านี้มักจะไม่หายเอง มีแนวโน้มการติดเชื้อของบาดแผลสูง และมีโอกาสเกิดแผลหดรั้งตามมาสูงมาก ถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง สิ่งแรกที่ควรทำ เมื่อโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก - ล้างด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิปกติ ซึ่งเชื่อว่าจะมีผลช่วยลดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณบาดแผลได้ - หลังจากนั้นซับด้วยผ้าแห้งสะอาด แล้วสังเกตว่าถ้าผิวหนังมีรอยถลอก มีตุ่มพองใส หรือมีสีของผิวหนังเปลี่ยนไป ควรรีบไปพบแพทย์ * แต่ถ้าไฟไหม้ น้ำร้อนลวกบริเวณใบหน้า จะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะบริเวณใบหน้ามักจะเกิดอาการระคายเคืองจากยาที่ใช้ ห้ามใส่ยาใด ๆ ก่อนถึงมือแพทย์ เพราะผู้ป่วยแต่ละคนมีอาการตอบสนองต่อตัวยาไม่เหมือนกัน จะต้องขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ ข้อห้าม เมื่อโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก - ไม่ควรใส่ตัวยา/สารใด ๆ ทาลงบนบาดแผล ถ้าไม่แน่ใจในสรรพคุณที่ถูกต้องของยาชนิดนั้น โดยเฉพาะ”ยาสีฟัน” “น้ำปลา” เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อบาดแผล เพิ่มโอกาสการเกิดบาดแผลติดเชื้อ และทำให้รักษาได้ยากขึ้น โดยการรักษาเริ่มตั้งแต่... - การใช้ยาทาในระยะเริ่มต้น - การใส่ชุดผ้ารัดในกรณีที่รอยแผลจากไฟไหม้น้ำร้อนลวกมีแนวโน้มที่จะนูนมากขึ้น และไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาทา - ฉีดยาลบรอยแผลเป็น ซึ่งจะทำได้ในกรณีที่เกิดรอยแผลนูนและไม่ตอบสนองต่อการใส่ชุดผ้ารัด - ผ่าตัดแก้ไข โดยแพทย์จะต้องทำการประเมินลักษณะและความรุนแรงของบาดแผล ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของบาดแผลหดรั้งเหล่านั้น.... * โดยทั่วไปช่วงอายุของผู้ป่วยไม่เป็นอุปสรรคในการรักษาบาดแผล และวิทยาการการรักษา ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปมาก เมื่อผ่านขั้นตอนการรักษาแล้ว อย่าละเลยที่จะดูแลตนเอง โดย.... 1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นผล หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้ระคายเคือง 2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ทุกชนิด เพราะหากโดนบริเวณแผล ก็อาจทำให้คันหรือมีการติดเชื้อได้ง่าย 3. รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ เพื่อเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่บริเวณบาดแผลให้บาดแผลสมานปิดเร็วขึ้น 4. หมั่นทายา/รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญต้องรักษาความสะอาดแผลให้ดี อุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากความประมาทแทบทั้งสิ้น ถ้าต้องทำอาหารและอาจต้องสัมผัสของร้อน ควรระมัดระวังและป้องกันตนเองให้ดี ในบ้านที่มีเด็กเล็กควรระมัดระวังและจัดหาสถานที่ ๆ วางวัสดุที่มีความร้อนให้เหมาะสมให้ห่างจากมือเด็กเอื้อมถึงได้ ส่วนบุคลากรที่ต้องทำงานกับเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องทำความร้อนต่าง ๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับเปลวไฟหรือเปลวเพลิงสูง ควรมีการป้องกันตนเองให้เหมาะสมด้วย เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติภัยไฟไหม้ น้ำร้อนลวกนี้ครับ. ที่มา: www.si.mahidol.ac.th
จำนวนผู้อ่าน: 3717
25 กันยายน 2017
สาวๆหนุ่มๆคะ คุณคิดว่าคุณกินอาหารสุขภาพดีเท่าที่คุณคิดหรือไม่? หากว่าคุณกินผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนมากเพียงพอ ก็จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ตรงกันข้าม หากคุณมัวแต่กินอาหารที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อร่างกาย แถมยังจะสร้างอนุมูลอิสระภายในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ เต็มไปด้วยน้ำตาลส่วนเกินและโซเดียมมากมายที่พร้อมจะทำให้คุณดูบวมกว่าที่คิด และนี่ก็คือ 8 อาหารที่แย่ที่สุด และ 12 อาหารที่ดีที่สุด! ผักที่ดีที่สุด: ผักใบเขียวเข้ม บรอกโคลี ผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารมากที่สุดคือ ผักโขม ผักคะน้า ผักกาดเขียวปลี และบร็อคโคลี่ เนื่องจากเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด เต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารพฤกษเคมีที่ช่วยปกป้องเซลล์และสร้างระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดให้กับร่างกาย ที่สำคัญคือแคลอรี่น้อยมาก ซึ่งนักวิชาการแนะนำว่า ควรกินผักใบเขียวประเภทนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ถึง 2 ถ้วย จะกินแบบนำไปห่อกับสลัดหรือนำไปทำแซนวิชก็ไม่เลว ใครอยากจะกินแบบเป็นน้ำปั่นสมูทตี้เพื่อสุขภาพที่กำลังเป็นที่นิยมก็สามารถนำปั่นผสมกับกรีกโยเกิร์ต เติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย แค่นี้ก็อร่อยแล้ว ผักที่แย่ที่สุด: ผักอะไรก็ได้ที่อยู่ในกระป๋อง อาหารกระป๋องมักจะเป็นอาหารที่ค่อนข้างไม่มีคุณค่าทางสารอาหารมากเท่าไหร่นัก และผักที่มาในรูปแบบของกระป๋อง เช่น ผักกาดดองน้ำเกลือ ข้าวโพดกระป๋อง แครอทกระป๋อง มักจะไม่มีคุณค่าทางอาหารหรือไฟเบอร์หลงเหลืออยู่เลย และเต็มไปด้วยโซเดียมมากมายที่เมื่อกินเขาไปแล้วจะทำให้ร่างกายบวมน้ำมากกว่าได้สารอาหารดีๆ แต่ถ้าไลฟ์สไตล์ของคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ไปเดินตลาดหรือเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตมากมายอะไรอยู่แล้ว ให้ลองซื้อผักแช่แข็งแทนจะดีกว่า เนื่องจากเป็นการฟรีซผักในอุณหภูมิต่ำ สารอาหารจึงอยู่ครบถ้วนกว่า และไม่มีโซเดียมมาให้กวนใจ ผักที่ดีที่สุด: คะน้า กะหล่ำดอก กะหล่ำ และผักอื่นๆ กะหล่ำดอก ผักคะน้าไม่ได้เป็นผักที่โดดเด่นในเรื่องคุณค่าทางโภชนาการจนได้ชื่อว่าเป็น ซุปเปอร์ผัก (cruciferous) เพียงอย่างเดียว ยังมีผักอื่นๆในตระกูลกะหล่ำปลีอย่าง กะหล่ำดาว กะหล่ำดอก และผักอื่นๆอีกมากมาย ผักเหล่านี้จะเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและได้รับการยืนยันจากนักโภชนาการแล้วว่าช่วยลดการเกิดมะเร็งและไขมันหน้าท้องได้ อีกทั้งสารซีแซนทีน แคโรทีนอยด์ และลูทีน ที่พบในผักตระกูล cruciferous นี้ จะช่วยปกป้องดวงตาจากรังสี UV ที่เป็นอันตรายจากแสงแดดและสารอนุมูลอิสระในสิ่งแวดล้อมที่ต้องพบเจอในแต่ละวันด้วย ผักที่แย่ที่สุด: ผักที่เต็มไปด้วยแป้ง ผักที่เต็มไปด้วยแป้งนั้นส่วนมากแล้วจะมีรสชาติอร่อย อย่างข้าวโพด ถั่ว มันฝรั่ง ฟักทอง สควอช และมันเทศ ผักประเภทนี้มักจะมีวิตามินน้อย รวมไปถึงแร่ธาตุและเส้นใยที่น้อยกว่าผักชนิดอื่น ถั่วที่ดีที่สุด: ถั่วปรุงสุก ถั่วชิกพี ถั่วชิกพี ถั่วดำ ถั่วลาย เป็นธัญพืชที่ดีต่อสุขภาพและกระดูกสันหลังของคุณ อุดมไปด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและโรคอ้วน สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายเมนูทั้งของคาวและของหวาน ถั่วที่แย่ที่สุด: ถั่วกระป๋อง ผลิจภัณฑ์อะไรก็ตามที่มาในรูปแบบกระป๋องนั้นมักจะไม่ค่อยมีสารอาหารใดๆมากเท่าที่ควรอยู่แล้ว ถั่วกระป๋องนั้นขึ้นชื่อเรื่องความสะดวกสบายในการใช้ เพราะมีชิ้นที่เล็กและได้ในปริมาณเยอะ แต่หลายต่อหลายครั้งที่ถั่วกระป๋องมักเป็นอาหารที่สาวๆสายเฮลตี้เค้าไม่คิดจะกินกัน เพราะมันเต็มไปด้วยโซเดียมที่ทำให้ร่างกายบวมน้ำ แต่นานๆจะหยิบขึ้นมากินคู่กับแซนด์วิชก็ไม่เลว ผลไม้ที่ดีที่สุด: อะโวคาโด อาโวคาโด อะโวคาโดอาจมีไขมันสูง แต่ก็เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) และมีโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพและหัวใจ รวมทั้งไฟเบอร์ วิตามินอี วิตามินบี และโพแทสเซียม ลองหั่นอะโวคาโดสักสี่ชิ้นลงในแซนด์วิชมื้อเช้า หรือนำไปคลุกกับสลัดผักนตอนกลางวันก็จะช่วยเพิ่มพลังงานให้คุณได้เป็นอย่างดี ผลไม้แย่ที่สุด: เครื่องดื่มผลไม้แปรรูป ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มักจะวางขายตามท้องตลาดให้ดูเสมือนว่าเป็นน้ำผลไม้แท้ๆ แต่จริงๆแล้วเป็นน้ำผลไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและแคลอรี่ที่พุ่งปรี๊ด โดยการเพิ่มสารให้ความหวานเทียมที่ช่วยลดปริมาณของน้ำตาลบนฉลาก (แต่ไม่ลดความหวานที่กินเข้าไปในร่างกายได้) และไม่ใช่น้ำผลไม้ชนิดบรรจุขวดเท่านั้นที่คุณควรหลีกเลี่ยง การต้มผลไม้ทั้งตัวจะข้นน้ำตาลและมักจะขจัดเส้นใยออก ผลไม้ที่ดีที่สุด: เบอร์รี่ เบอร์รี่ ผลไม้ในตระกูลนี้อย่างบลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และสตรอเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระ สารโพลีฟีนอล และแอนโทไซยานิน ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและภาวะสมองเสื่อม ผลเบอร์รี่มักจะมีวิตามินซีสูงและแคลอรีต่ำเพียง 80 แคลอรี่เท่านั้น แน่นอนว่ามันดีกับคนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่แน่นอน อีกทั้งยังมีคอลลาเจนที่นับว่าเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมการดูดซึมวิตามินซีและแมงกานีสซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยให้การเผาผลาญสารอาหารกลายเป็นพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ ผลไม้ที่แย่ที่สุด: ผลไม้กระป๋องหรือผลไม้อบแห้ง ผลไม้มันมีรสหวานตามธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีน้ำตาลเพิ่ม ซึ่งผลไม้กระป๋องหรือผลไม้อบแห้งนั้นมักเต็มไปด้วยน้ำตาล แน่นอนว่ามันเป็นที่มาของแคลอรี่ที่ไม่จำเป็นและมันก็หมายถึงความอ้วนที่จะตามมา ผลไม้ที่ดีที่สุด: ผลไม้แช่แข็ง องุ่นแช่แข็ง ผลไม้แช่แข็งนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีของคนที่อยากดื่มสมูทตี้จากผลไม้นอกฤดู ความสดใหม่ของผลไม้แช่แข็งจะยังคงคุณค่าทางสารอาหารเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน และสะดวกกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เป็นอย่างดี ธัญพืชที่ดีที่สุด: โฮลเกรน ธัญพืชเต็มเมล็ด เพื่อนที่ดีที่สุดของคนที่กำลังลดน้ำหนัก จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากโฮลเกรนค่ะ เพราะเต็มไปด้วยเส้นใยโปรตีนจากพืชวิตามิน แร่ธาตุ และพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ธัญพืชที่แย่ที่สุด: ขนมปังขาวและพาสต้า ขนมปังขาว พาสต้า ข้าว แครกเกอร์ อาหารเหล่านี้มักเต็มไปด้วยกลูเต็นและสารอาหารที่จำเป็นมักจะถูกลดทอนลงไป เมื่อกินเข้าไปแล้วจึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นได้ และนำไปสู่การดูดซึมแป้งและน้ำตาลที่รวดเร็วมากกว่าเดิม ทางที่ดีควรเปลี่ยนไปกินขนมปังโฮลวีทหรือเส้นพาสต้าที่ทำมาจากธัญพืชไม่ขัดสีจะดีกว่า อาหารเช้าที่ดีที่สุด: ข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ตอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 โฟเลต ไฟเบอร์ และโพแทสเซียม ทำให้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลและเผาผลาญไขมันภายในร่างกายได้ดี อาหารเช้าที่แย่ที่สุด: ซีเรียล อาหารเช้าอย่างซีเรียลรสชาติต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยน้ำตาลและมีแคลอรี่สูงมาก แต่มันก็ยังเป็นที่นิยมเนื่องจากความสะดวกสบาย เทนมใส่ชามก็กินได้เลย เราขอแนะนำให้คุณกินน้อยๆ แล้วเติมผลไม้ประเภทบลูเบอร์รี่ลงไปด้วยก็จะดีมาก โปรตีนที่ดีที่สุด: ปลา ปลาแซลมอน โดยเฉพาะปลาทะเลที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ควบคุมความดันโลหิต และลดความเสี่ยงต่อสภาวะสุขภาพ เช่น โรคลำไส้แปรปรวน หืดหอบ หรือแม้แต่มะเร็งบางชนิด โปรตีนที่แย่ที่สุด: เนื้อแดง เนื้อแดงนั้นเต็มไปด้วยไขมันและคอเลสเตอรอล หากกินมากเกินไปจะทำให้มีปัญหาสุขภาพเรื้อรังหลายอย่าง เช่นโรคหัวใจ โรคเบาหวานประเภท 2 โรคถุงอัณฑะอักเสบ ภาวะลำไส้อักเสบ และเพิ่มอัตราการเสียชีวิตในคนที่เป็นมะเร็งเต้านมด้วย โปรตีนที่ดีที่สุด: เต้าหู้ เต้าหู้นั้นมีโปรตีนมากถึง 10 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค เป็นโปรตีนมากพืชที่มีประโยชน์สำหรับทุกคน อีกทั้งยังดีต่อสุขภาพหัวใจและคนที่เป็นมะเร็งก็สามารถกินโปรตีนจากเต้าหู้ได้อย่างเต็มที่ โปรตีนที่ดีที่สุด: ถั่ว ถั่วนั่นเต็มไปด้วยไขมัน(ที่ดี) โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่ดีต่อสุขภาพ แนะนำว่าให้กินถั่วที่คั่วแบบไม่ใช้น้ำมันและไม่ใส่เกลือเยอะเกินไป จะดีต่อสุขภาพมากกว่าค่ะ โปรตีนที่ดีที่สุด: ไข่ ไข่ ไข่แดงอุดมไปด้วยวิตามินอี และไข่ขาวก็อุดมไปด้วยโปรตีนดีๆ ที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักและสร้างกล้ามเนื้ออย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าอาหารบางชนิดจะมีรสชาติอร่อยและเมื่อได้กินเข้าไปแล้วมันยั้งปากไม่ได้จริงๆ แต่ก็ควรจะมีสติเอาไว้แล้วลองนึกถึงผลเสียที่กำลังจะตามมา ก็จะทำให้คุณได้สติ หันกลับมากินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้นค่ะ ที่มา: www.health-th.com
จำนวนผู้อ่าน: 3291
25 กันยายน 2017
เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีต่างๆ ก้าวหน้า อะไรๆ ก็ดูสะดวกสบายและรวดเร็วไปเสียหมด แม้กระทั่งการทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งฝาก ถอน ชำระค่าสินค้า โอนเงิน ฯลฯ ก็สามารถจัดการได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสด้วยบริการ ธนาคารบนอินเตอร์เน็ต (Internet Banking) ที่สามารถทำรายการง่ายๆ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือ แต่ภายใต้ความง่ายก็แฝงไปด้วยอันตรายต่างๆ มากมาย ที่อาจทำให้เงินในบัญชีของเราหายวับไปกับตาได้ อันตรายที่ว่านี้ได้แก่ ไวรัสคอมพิวเตอร์ อย่างไวรัสโทรจันอันเลื่องชื่อที่จะนำผู้ใช้บริหารไปสู่เว็บไซต์ปลอม ลวงให้กรอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเข้าระบบ ทำให้เจ้าของบัญชีหลายธนาคารถูกโจรกรรม เงินออกจากบัญชีสูญเสียเงินไปมากมาย ในกรณีนี้ผู้ใช้บริการจะต้องทำการอัปเดตซอฟแวร์ใหม่อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซอฟแวร์แอนตี้ไวรัส (antivirus) ที่อาจป้องกันได้ในระดับหนึ่ง อีกกรณีที่พบบ่อยๆ คือการส่งอีเมล์ลวง จำลองว่าเป็นเมล์จากธนาคารที่มีน่าตาลิงก์ (Link) ให้ผู้ใช้บริการกดเข้าไปใช้งาน ซึ่งลิงก์ดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับของธนาคารมากจนแทบจะแยกกันม่ออก ส่งผลให้ลูกค้าเข้าไปป้อนข้อมูลที่เป็นความลับ อย่าง Username Password รหัส OTP ทำให้มีการโจรกรรมเงินจากบุคคลที่สามได้ในที่สุด ดังนั้นก่อนการเข้าไปใช้บริการธนาคารบนอินเตอร์เน็ต ควรเพิ่มความระมัดระวัง เพราะท่านอาจตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว เริ่มจากพิมพ์ Address ของเว็บไซต์ธนาคารบนอินเตอร์เน็ตด้วยตนเอง ไม่หลงเชื่ออีเมล์แปลกปลอมที่ส่งเข้ามาอ้างให้ทำธุรกรรมต่างๆ บนอินเตอร์เน็ต หากไม่แน่ใจให้แจ้งที่คอลเซนเตอร์ของธนาคารที่ท่านใช้บริการ ก่อนการทำรายการทุกครั้ง เก็บข้อมูลเกี่ยวกับ Username Password และรหัส OTP ให้ดี อย่าบอกให้คนอื่นรู้เป็นอันขาด ที่สำคัญที่สุด คือความละเอียดรอบคอบของตัวท่านเอง อย่ารีบร้อน ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ โดยละเอียด เพื่อความปลอดภัยจากการใช้บริการธนาคารบนอินเตอร์เน็ตนะครับ ที่มา: www.bejame.com
จำนวนผู้อ่าน: 3049
20 กันยายน 2017
ทุกวันนี้ วิธีการสื่อสารของเรานั้นดูเหมือนจะไม่ใช้การโทรศัพท์หากันอีกต่อไป แต่กลายเป็นการส่งข้อความผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือที่เรียกว่า Social Network นั่นเอง ซึ่งแนวโน้มความนิยมใช้ Social Network ทำให้เห็นว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นสื่อหลักในการสื่อสารอย่างแน่นอน เรียกว่าเป็น “ยุคของการแพร่หลายทางสังคมออนไลน์ (Social Ubiquity)” ดังจะเห็นจากรายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตประเทศไทยปี 2556 ของ ETDA พบว่า มีผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ถึงร้อยละ 93.8 จากจำนวนคนที่ทำการสำรวจ ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก Social Network มีข้อดีมากมาย โดยเฉพาะในการแสดงออกทางความคิด และกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการรับรู้ข้อมูลจากผู้อื่น ด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซก็เช่นกัน Social Network ทำให้ผู้ขายได้ประชาสัมพันธ์สินค้าง่ายขึ้น ผู้ซื้อก็มีโอกาสเข้าถึงสินค้าได้ง่ายเช่นกัน แต่การที่ผู้ใช้งาน Social Network มีโอกาสเผยแพร่ข้อมูลได้ง่าย รวมทั้งทุกคนสามารถใช้งานได้ ก็ทำให้ข้อมูลใน Social Network อาจจะเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งมีโอกาสที่จะสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่เสมอไปที่เราจะเจอกับปัญหาต่างๆ ใน Social Network แต่การรู้ทันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็เป็นการดีที่เราจะได้ป้องกันและระวังภัยต่างๆ ได้ ดังนี้ 1. คิดให้รอบคอบก่อนโพสต์ข้อมูลใดๆ เพราะอย่าลืมว่าข้อมูลเหล่านี้จะเปิดเผยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโพสต์ข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงก็อาจจะส่งผลร้ายต่อตัวเราเองก็เป็นได้ 2. ใช้ความระมัดระวังในการคลิกลิงก์ต่างๆ ที่มากับการแชร์หรือข้อความ หลีกเลี่ยงลิงก์แปลกปลอม หรือมาจากคนที่ไม่รู้จัก หรือแม้แต่เพื่อนซึ่งใช้ภาษาในการสื่อสารที่ดูแปลกไปจากปกติ เพราะอาจเป็นลิงก์ที่นำไปสู่ไวรัสหรือช่องทางขโมยข้อมูลของเหล่าแฮกเกอร์ 3. พิมพ์ที่อยู่ URL ของเว็บไซด์โซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นๆ โดยตรง โดยบนเบราว์เซอร์ให้หลีกเลี่ยงการเข้าเครือข่ายทางสังคมผ่านทางคลิกลิงก์จากผลแสดงการค้นหา หรือจากอีเมล เพราะอาจเป็น URL ปลอมที่นำเราไปยังเว็บไซต์ปลอม เพื่อหลอกเอาบัญชีผู้ใช้และ Password ได้ เช่น www.facebook.com อาจมี URL หลอกเป็น www.faeebook.com เป็นต้น 4. คัดกรองคนที่ขอเป็นเพื่อน หรือขอเชื่อมโยงกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ของเรา หลีกเลี่ยงการตอบรับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะผู้ไม่หวังดีอาจแฝงมากับคนที่ขอเข้ามาเป็นเพื่อนเรา และหากพบคนที่เป็นเพื่อนซึ่งเราไม่รู้จักและน่าสงสัยก็ควรลบออกไป 5. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ผู้ให้บริการแต่ละรายจะกำหนดการตั้งค่าส่วนตัวไว้เพื่อไม่ให้ข้อมูล หรือสิ่งที่เราทำ หลุดออกไปยังคนที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น เราควรตั้งค่าให้เพื่อนเท่านั้นที่เห็นกิจกรรมของเรา และหลีกเลี่ยงการตั้งค่าสิ่งที่เราทำให้เป็นสาธารณะ หรือคนทั่วไปเห็นได้ 6. ไม่แสดงข้อมูลส่วนตัวที่เป็นความลับ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตรเครดิตลงในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบข้อความ หรือรูปภาพ เพราะแฮกเกอร์และผู้ไม่หวังดีสามารถแฝงตัวมากับกลุ่มเพื่อนที่เราอนุญาตให้เข้าชมได้ 7. เปิดใช้งาน Do Not Track เพื่อป้องกันการติดตามและการเก็บข้อมูลของผู้ให้บริการ ซึ่งอาจรวมไปถึงผู้ไม่หวังดีที่ลักลอบเข้ามาขโมยข้อมูลด้วย ซึ่งปัจจุบันมีเว็บเบราว์เซอร์ที่เปิดใช้งาน Do Not Track ได้แล้ว เช่น Internet Explorer 10 8. ใช้วิจารณญาณอย่างสูงในการรับข่าวสาร และอย่าปักใจเชื่อข้อมูลที่เผยแพร่เข้ามาในทันที รวมทั้งการกล่าวอ้างถึงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ เพราะอาจมีการสวมรอย หรือสมอ้างจากผู้ไม่หวังดีเพื่อสร้างข่าว หรือสร้างความเสื่อมเสียต่อแหล่งที่มานั้นได้ 9. ดูแลและควบคุมการใช้งานของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด สอนให้เด็กรู้จักวิเคราะห์ข้อมูล และรู้จักเล่นอย่างถูกวิธี เพราะความรู้ในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็มีอยู่มากมาย และปัจจุบันครูอาจารย์ก็ทันสมัยจนแจ้งเรื่องต่างๆ แก่ลูกศิษย์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook หรือ Twitter กันแล้ว นอกจากนี้ อาจหาเครื่องมือในการควบคุมการใช้งานของบุตรหลายได้ เช่น โปรแกรม Windows Live Family Safety ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ไมโครซอฟต์เปิดให้ใช้งานได้ฟรีๆ นอกจากจะใช้ควบคุมการเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมได้แล้ว ยังสามารถกำหนดช่วงเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ และป้องกันการใช้โปรแกรม หรือเล่นเกมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ได้รับอนุญาตได้อีกด้วย 10. ตระหนักว่ามันเป็นสังคมเสรี แม้ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น แต่ทุกคำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็สามารถเป็นเหตุในการฟ้องร้องได้ และศาลก็อาจจะรับฟังคำร้องด้วย การหลบหลีกภัย Social Network คงไม่ใช่การเลิกใช้งานไปเลย เพราะยังมีประโยชน์ดีๆ อีกมากมายในเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้ แต่ถ้ารู้จักใช้อย่างระมัดระวังก็จะช่วยให้เราสามารถสนุกสนานกับสังคมออนไลน์อย่างมั่นใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวทางปฏิบัติเหล่านี้ก็อาจมีขั้นตอนที่แตกต่างกันไปตามแต่ละ Social Network ที่เราสามารถศึกษาได้จากคำแนะนำบนเว็บไซต์เหล่านั้น ที่มา: www.etda.or.th
จำนวนผู้อ่าน: 3103
19 กันยายน 2017
ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เราใช้อยู่ในครัวเรือนนั้น มีส่วนผสมของสารเคมี ซึ่งก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ ขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ และฮอร์โมนในร่างกาย องค์การอนามัยโลกบอกว่า สารเคมีเหล่านี้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้คน ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่เกิดกับคนในโลก Thomas Zoeller ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งแมซซาชูเสท บอกว่า แม้เราจะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า สารเคมีต่าง ๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันไปขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธว่าสารเคมีส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกาย มีรายงานด้วยว่า ทุกวันนี้มีสารเคมีราว ๆ 80,000 ชนิด ที่ถูกนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กับอยู่ในชีวิตประจำวัน และสารเคมีประมาณ 1,300 ชนิด ก็ถูกพิจารณาว่าขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ และสารเคมี 12 ชนิดต่อไปนี้ นับว่าเลวร้ายมากที่สุด ซึ่งเราควรจะต้องหลีกเลี่ยง 1.Bisphenol A หรือ BPAเป็นสารที่พบในบรรจุภัณฑ์พลาสติก ในปี 1930 มีการใช้เพื่อสังเคราะห์เอสโตรเจนให้กับผู้หญิง ดังนั้นแน่นอนว่า สารเคมีดังกล่าวมีผลต่อฮอร์โมน มีการศึกษาพบว่า มันทำหน้าที่เหมือนเอสโตรเจน ทำให้การผลิตเสปิร์มของผู้ชายลดลง ทำให้เด็กหญิงแตกวัยสาวเร็วกว่ากำหนด และยังส่งผลกระทบต่อภาวะการเจริญภัณฑ์ของทั้งชายและหญิง ในสัตว์ก็มีการศึกษาพบว่า สารเคมีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการแท้งลูก นอกจากนั้น สาร BPA นี้ ยังรบกวนระบบการเผาผลาญอาหารและมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ โรคอ้วน และโรคเบาหวาน เราพบสาร BPA ในอาหารกระป๋อง ผลิตภัณฑ์พลาสติก สารเคลือบใบเสร็จ ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการลดการรับประทานอาหารกระป๋อง เลือกหาอาหารสดมาทำรับประทานเอง หลีกเลี่ยงการใช้ขวดหรือภาชนะพลาสติก และหากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องรับใบเสร็จ เมื่อเวลาช้อปปิ้ง 2.Dioxins หรือไดอ๊อกซิน เป็นสารประกอบทางเคมีที่เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง และยังเป็นสารเคมี ที่มีผลกระทบต่อฮอร์โมน ลดภาวะการเจริญพันธุ์ ทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคเยื่อบุโพรงมดลูก มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน ลดระดับฮอร์โมนเทสทอสเทอร์โรน ก่อให้เกิดการแท้ง ลดปริมาณและคุณภาพของฮอร์โมน สารเคมีนี้เกิดจากการเผาขยะในปริมาณมาก และปนเข้าไปอยู่ในกระดาษ เยื่อไม้ อากาศ และน้ำ จากนั้นก็ไปก่อตัวอยู่นำไขมันของสัตว์ ซึ่งเป็นอาหารของเรา การที่จะลดปริมาณการรับสารพิษนี้ก็คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมัน และนมเนยให้น้อยลง 3.Atrazine หรืออาทราซิน สารชนิดนี้ เคยมีการวิจัยพบว่ามีผลกระทบต่อฮอร์โมนของปลาและกบ โดยทำให้ปลา และกบเพศผู้ มีความเป็นเพศเมีย ส่วนการวิจัยในมนุษย์พบว่าสารดังกล่าว ไปเพิ่มการทำงานของยีนที่เกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ สารชนิดนี้นำมาใช้กันมากในการกำจัดศัตรูพืช โดยมากจะนำมาใช้กับข้าวโพด วิธีการหลีกเลี่ยงสารพวกนี้ก็คือ การเลือกบริโภคผัก ผลไม้ จากฟาร์มออร์แกนิค และลดปริมาณการรับประทานเนื้อ เพราะสารดังกล่าวปนเปื้อนอยู่ในข้าวโพด และข้าวโพดก็เป็นอาหารหลัก ๆ ที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ 4.Phthalates หรือพาทาเล็ท สารนี้เคยมีการนำมาศึกษา และพบว่า เด็กชายที่เกิดจากมารดาที่มีระดับสารพาทาเล็ทมาก มีความผิดปกติที่อวัยวะเพศ สารเคมีดังกล่าวไปรบกวนฮอร์โมนเทสทอสเทอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้มีการพัฒนาของหน้าอก นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม ก็มีระดับสารชนิดนี้สูงกว่าหญิงที่ไม่เป็นมะเร็ง สารพาทาเล็ท เป็นสารที่เราพบได้มากมายในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ ทั้งพื้นบ้าน ม่านห้องน้ำ หนังสังเคราะห์ และผลิตภัณฑ์พวก PVC ไวนิล สารพาทาเล็ท ทำให้พลาสติกมีความยืดหยุ่น นอกจากนั้น ยังเป็นสารที่นำไปใช้ในผลิตภัณฑ์จำพวกสี เช่น ยาทาเล็บ สี น้ำยาเคลือบเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งยังพบสารพวกนี้ ในบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นจำนวนมากด้วย วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือการไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ไวนิล และเก็บอาหารไว้ในภาชนะแก้ว หรือสแตนเลสสตีล 5.Perchlorate หรือพอร์เชอเรต เป็นสารที่รบกวนการทำงานของไทรอยด์ ส่งผลต่อฮอร์โมน และการเผาผลาญอาหารของร่างกาย สารเคมีชนิดนี้ เป็นส่วนประกอบของเชื้อเพลิงจรวด ขีปนาวุธ ดอกไม้ไฟ รวมทั้งแบตเตอรี่ สารชนิดนี้ จะปนเปื้อนอยู่ในดิน และน้ำใต้ดิน และไม่มีใครทราบว่า เมื่อไหร่ที่สารเคมีนี้จะสลายตัวไป สารนี้สามารถปนเปื้อนในอาหาร เช่นไข่ นมเนย ผลไม้ และผัก การหลีกเลี่ยงก็คือ การเลือกหาอาหารจากแหล่งที่ปลอดภัยมารับประทาน 6.Flame retardants หรือสารหน่วงการติดไฟ เป็นสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อไทรอยด์ และการเจริญพันธุ์ของเพศหญิง และเนื่องจากไทรอยด์นั้น มีผลต่อสมอง ดังนั้น สารชนิดนี้ จึงมีผลกระทบต่อระดับไอคิวของเด็กด้วย สารชนิดนี้ พบได้ในเฟอร์นิเจอร์ พรม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้กับเด็ก เช่นหมอนให้นม ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า ผลิตภัณฑ์หลาย ๆ อย่างในบ้าน ที่ทำงาน และในรถ มีสารชนิดนี้เป็นส่วนประกอบ อีกทั้งยังพบว่า สารดังกล่าวนี้มีอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ อย่างคอมพิวเตอร์ ทีวี โทรศัพท์มือถือ และเครื่องเล่นวีดีโอเกม วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือ ดูดฝุ่น ทำความสะอาดบ่อย ๆ จริง ๆ แล้วเราแทบไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารนี้ได้ จึงควรพยายามลดการแพร่กระจายของมัน เพราะสารนี้ จะออกมาจากฝุ่นในเฟอร์นิเจอร์ พรมปูพื้นรถ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีการชำรุด 7.Lead หรือสารตะกั่ว เป็นเวลานานแล้วที่สารตะกั่วนั้นส่งผลต่อสุขภาพของเรา และทุกวันนี้ ก็มีการวิจัยพบว่าอันตรายจากสารตะกั่วนั้นเพิ่มมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อฮอร์โมน และความเครียดของคนเราด้วย สารตะกั่วนั้นเป็นโลหะพิษที่ปนเปื้อนอยู่ทั้งในน้ำดื่มที่ไหลผ่านท่อน้ำเก่า และน้ำในแทงก์น้ำ แม้จะผ่านการกรองแล้วก็ตาม การหลีกเลี่ยงนั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่า ซึ่งดูดซับสารตะกั่วไว้ในปริมาณน้อย และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยนั้น หากเป็นบ้านเก่า ก็ควรได้รับการปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องใช้ เพื่อการอุปโภคและบริโภค 8.Arsenic หรือสารหนู เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้อีกหลายอย่าง รวมทั้งทำให้เกิดปัญหากับต่อมไร้ท่อ รบกวนการทำงานของเอสโตรเจร โปรเจสเตอโรน รวมทั้งฮอร์โมนเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันโรค สารหนูนี้ มีอยู่ทั้งในน้ำและอาหาร ทั้งเนื้อสัตว์ และผลไม้อย่างแอปเปิล และองุ่น ที่อยู่ในฟาร์มซึ่งไม่มีคุณภาพ ดังนั้น แนวทางในการหลีกเลี่ยงก็คือ กรองน้ำผ่านระบบการกรองที่ได้มาตราฐาน เลือกรับประทานอาหารจากแหล่งผลิตที่มีคุณภาพ หรืออาหารออแกนนิค 9.Mercury หรือสารปรอท เป็นสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อไอคิวของเด็กเช่นกัน อีกทั้งยังส่งผลต่อฮอร์โมน และวงจรการมีประจำเดือนและการตกไข่ของผู้หญิง สารปรอทนี้ ยังทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดด้วย สารปรอทนี้พบในอาหารทะเล เพราะสามารถปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อยู่ใกล้กับแหล่งอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพวกโรงงานถ่านหิน เราสามารถหลีกเลี่ยงสารปรอทได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารทะเล ที่มีปริมาณสารปรอทต่ำเช่นปลาแซลมอนอลาสก้า ปลาเทราท์ ปลาซาดีน และแอนโชวี่ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วปลาเล็ก ๆ จะมีการปนเปื้อนน้อย 10.Perfluorinated chemicals สารเปอร์ฟลูออโรเนท หรือ PFCs สารนี้มีการศึกษาพบว่ามีผลกระทบต่อการทำงานของไทรอยด์ และมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ อีกทั้งยังมีผลต่อภาวะการเจริญพันธุ์ของทั้งชายและหญิง รวมทั้งการผลิตไข่ของเพศหญิง เราพบสารชนิดนี้ในหม้อ กระทะ ที่มีการเคลือบสารกันการเกาะติด รวมทั้งยังมีอยู่ในเสื้อผ้าพวก ผ้าหุ้มเบาะ พรม กระเป๋าเป้ และพวกผลิตภัณฑ์ป้องกันน้ำ ป้องกันคราบสกปรกต่าง ๆ รวมทั้งยังพบในกล่องพิซซ่า ห่ออาหาร ถุงป๊อบคอร์นแบบไมโครเวฟ รวมทั้งถุงอาหารสัตว์ด้วย เราสามารถหลีกเลี่ยงสารดังกล่าวได้ด้วยการไม่ใช้ผลิตภัณฑ์พวก กอร์เท็ค ป้องกันคราบ และเทฟล่อน เพราะสิ่งเหล่านี้ มีการผสมสาร PFCs เข้าไปในการผลิต 11.Organophosphate pesticides หรือยากำจัดแมลงพวกฟอสเฟต สารพวกนี้ทำให้ระดับเทสทอสเทอโรน และฮอร์โมนเพศต่ำลง หากได้รับสารนี้ระหว่างการตั้งครรภ์ ก็มีความเสี่ยงต่อการแท้งลูก และมีผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ เราพบว่ามีสารพวกนี้ในยาฆ่าแมลง ดังนั้นการหลีกเลี่ยงก็คือ การเลือกอาหารจากฟาร์มออร์แกนิค 12.Glycol ethers หรือไกลคอล อีเทอร์ มีผลกระทบต่อฮอร์โมน ทำให้สเปิร์มของเพศชายด้อยคุณภาพ เคลื่อนตัวช้าสารพวกนี้ใช้กันมากมายในวงการอุตสาหกรรม รวมทั้งพวกบริการซักแห้ง และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือ ผ้าที่มีความบอบบาง ให้ซักด้วยมือแทนการซักแห้ง และทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมใช้เองที่บ้าน ขอบคุณบทความจาก : sanook.com
จำนวนผู้อ่าน: 5190
11 สิงหาคม 2017
แม้บริษัทชื่อดังในซิลิคอนวัลเลย์หลายแห่งจะมีจุดเริ่มต้นมาจากผู้ก่อตั้งที่ออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน แต่สำหรับใครก็ตามที่ต้องการสมัครเข้าทำงานในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านี้ ขอให้ทราบไว้ว่า ดีกรีปริญญาโทเป็นอย่างน้อย จึงจะทำให้คุณดูโดดเด่นโดนใจพวกเขาได้ โดยบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Paysa ทำการศึกษาจากการโพสต์รับสมัครงานของบริษัทต่าง ๆ เหล่านี้จำนวน 8,200 ตำแหน่ง และเรซูเม่กว่า 70,000 ฉบับ พบว่า “ดีกรีระดับปริญญาโทขึ้นไป” และตำแหน่ง “Data Scientist” เป็นที่ต้องการจากบริษัทชื่อดังเหล่านี้อย่างมาก โดย Paysa ได้แบ่งบริษัทในหัวข้อการวิจัยครั้งนี้ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกได้แก่กลุ่ม “ยักษ์ใหญ่” (Titan) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าอย่างน้อย 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และอยู่ในตลาดหุ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ปี เช่น Amazon, Google, Microsoft, Apple และ Oracle อีกกลุ่มหนึ่งคือ “น้องใหม่จอมทำลายล้าง” (Tech Disruptors) ซึ่งเป็นบริษัทที่เติบโตมากับยุค Disruption ที่มีมูลค่าอย่างน้อย 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีการเสนอขายหุ้นภายในปีที่่ผ่านมา ได้แก่ Facebook, Airbnb, Uber, Snap และ Twitter การสำรวจในครั้งนี้พบว่า เฉพาะพนักงานที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ในบริษัทอย่าง Airbnb, Twitter และ Facebook มีกว่า 20% ส่วน Amazon และ Snap มีสัดส่วนมากถึง 36% ขณะที่ Google นั้นเป็นบริษัทที่มีพนักงานสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกมากที่สุด โดยคิดเป็น 16% ของพนักงานทั้งหมด ตามมาด้วย Airbnb ที่ 12% และ Facebook ที่ 11% อย่างไรก็ตาม อเมริกันชนที่อายุมากกว่า 25 ปีนั้น มีคนจบปริญญาโทเพียง 9.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้จะเรียกร้องให้รัฐบาลลดความเข้มงวดเรื่องวีซ่า H-1B อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ผลการศึกษานี้ยังเผยด้วยว่า คนที่จบปริญญาโทและเข้าทำงานในบริษัท Snap นั้น มีประสบการณ์ในการทำงานต่ำที่สุดในบรรดาบริษัทที่มีการสำรวจเลยทีเดียว นั่นคือไม่ถึง 2 ปี ขณะที่พนักงานจากบริษัท Airbnb, Twitter และ Uber นั้นมีประสบการณ์ในการทำงานอย่างต่ำ 6 – 10 ปี นอกจากนี้ผลสำรวจดังกล่าวยังได้จัดอันดับทักษะและประสบการณ์ที่จะทำให้ผู้สมัครโดนใจบริษัทในกลุ่ม Tech Disruptor มากขึ้นมา 15 หมวด โดย 3 ทักษะแรกที่ควรมีมากที่สุดคือ ทักษะด้าน Computer Science, Infrastructure และด้านบริหารจัดการ ส่วนอันดับที่ 4 – 15 สามารถพิจารณาได้จาก Infographic ด้านล่างนี้ ที่มา : http://thumbsup.in.th
จำนวนผู้อ่าน: 3944
07 สิงหาคม 2017
ช่วงนี้มีข่าวงูเข้าบ้านกันบ่อย แต่ขึ้นชื่อว่า "งู" แล้วไม่ว่าจะมีพิษหรือไม่มีพิษ ก็เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เข้ามาปะปนในบ้านเป็นแน่ แต่จะทำอย่างไรหากบ้านเราเป็นทางผ่านของพวกมัน จะด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวย เพราะอยู่ใกล้ห้วย หนอง คลอง บึง หรือป่าละเมาะที่เป็นแหล่งกบดานของเจ้าสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้ หากโชคร้ายพวกมันแอบกบดานอยู่ในละแวกใกล้เคียงบ้านอยู่แล้ว หลายคนคงอยากรู้ว่าทำอย่างไร ถึงจะไม่ให้งูทุกชนิดหลบเลื้อยเข้ามาในบ้านเรา สูตรสำเร็จในการป้องกันไม่มี แต่ก็มีวิธีป้องกันที่ใช้ได้ผลดี ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ คือ การทำสภาพแวดล้อมของบ้านให้งูไม่ชอบ โดยจัดการบริเวณบ้านให้ไม่เหมาะสมในการอยู่อาศัยของสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด นายธนพงษ์ ตวัน นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ สวนงู สถานเสาวภา สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลและมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องงู ให้คำแนะนำเบื้องต้นว่า สิ่งสำคัญที่สุด ในการป้องกันงูเข้าบ้าน คือ ต้องหมั่นสังเกตลักษณะบริเวณบ้านว่า มีความเสี่ยงที่งูจะเข้ามาหลบซ่อน หรือหาอาหารหรือไม่ เช่น ที่ตั้งของบ้านเป็นพื้นที่ใกล้พงป่ารกทึบ หรือมีบึงน้ำให้งูหลบซ่อนหรือไม่ ถ้ามีพื้นที่เหล่านี้อยู่ในบริเวณที่ต่อเนื่องกับบ้าน ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษต้องมีอุปกรณ์ปิดกั้นพื้นที่ป่ากับบริเวณบ้านไม่ให้เข้าถึงกันได้ง่าย อาจใช้ลวด หรือตาข่ายขึงปิดกั้นไว้ ต้องทำให้บริเวณบ้านไม่มีอาหารของงู เช่น หนู กบ คางคก อึ่งอ่าง ฯลฯ ดูแลบริเวณบ้านให้สะอาด ไม่ให้มีเศษอาหารสะสม เพื่อป้องกันไม่ให้หนูมากินเศษอาหาร จากนั้นก็ลดพื้นที่เสี่ยงบริเวณที่งูจะเข้ามาอยู่อาศัย เช่น หากบ้านมีโพรง หรือรอยร้าวทรุด เป็นช่องระหว่างตัวบ้านกับพื้นดิน ก็ให้ทำการถม หรือเทปูนปิดรอยทรุดใต้ตัวบ้านให้เรียบร้อย ไม่ให้มีโพรงหรือช่องว่างระหว่างตัวบ้านกับพื้นดิน นอกจากนี้ก็ให้กำจัดกองวัสดุต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้งาน พร้อมป้องกันช่องทางที่งูอาจใช้เป็นหนทางเข้าสู่ตัวบ้าน เช่น ตัดกิ่งไม้ที่ยื่นเข้ามาในบริเวณบ้านให้เรียบร้อย ติดตะแกรงที่ฝาท่อระบายน้ำ ติดมุ้งลวดประตูหน้าต่าง อุดช่อง อุดรู หรือรอยแตกบริเวณบ้านให้เรียบร้อย อาจใช้ตาข่ายตาถี่ๆ ขึงโดยรอบบริเวณที่ไม่อยากให้งูผ่าน เพราะโดยส่วนใหญ่ เมื่องูเลื้อยมาเจอวัตถุที่ขวางหน้า มันจะพยายามเลื้อยออกไปทางด้านข้างมากกว่าเลื้อยขึ้นไปทางด้านบน ส่วนวิธีป้องกันที่มีคนแนะนำเรื่อง การใช้ น้ำมันเครื่องเก่า หรือการใช้น้ำมันกลิ่นฉุน ไล่งู นายธนพงษ์ กล่าว่าทางสวนงูได้มีการทดสอบพิสูจน์แล้วพบว่าไม่ได้ผล รวมทั้งการใช้สารเคมีต่างๆ นอกจากไม่ได้ผลในการป้องกันงูแล้ว ยังจะเป็นพิษกับผู้อยู่อาศัยในบ้านด้วย วิธีป้องกันที่ได้ผล คือการป้องกันทางกายภาพดังกล่าวมาแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การใช้ตัวช่วยอย่างการเลี้ยงสุนัข ก็อาจช่วยขับไล่สัตว์ไม่พึงประสงค์ได้ เพราะสุนัขมักจะไม่นิ่งเฉยหากมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาใกล้ ส่วนงูก็เป็นสัตว์ที่ตกใจง่าย ดังนั้น หากงูเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้บ้าน สุนัขก็จะส่งเสียงเห่าทำให้งูตกใจและเลื้อยหนีไปเอง “หัวใจของการป้องกัน คือการทำความสะอาดบ้าน และบริเวณบ้านอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ไม่เป็นที่เหมาะสมในการอยู่อาศัยของสัตว์มีพิษ หมั่นกำจัดหนู และสัตว์ต่างๆ ที่เป็นห่วงโซ่อาหาร และกำจัดสิ่งสกปรกในบ้าน จะช่วยไม่ให้งูมีแหล่งอาหารและที่พักพิง เป็นการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง” หากบ้านมีบริเวณสวน มีต้นไม้ ก็ควรหมั่นตัดหญ้าและดูแลสวนอย่างสม่ำเสมอ งูจะได้ไม่ใช้เป็นที่แฝงตัว ควรหาวัสดุมาปิดรูท่อ หรือใส่ตะแกรงท่อระบายน้ำเอาไว้ด้วย งูจะได้ไม่เลื้อยเข้าบ้านทางท่อระบายน้ำ หรือท่อน้ำทิ้ง นอกจากการป้องกันเบื้องต้นดังกล่าวแล้ว มีผู้แนะนำการใช้อุปกรณ์ในการป้องกัน เช่น แผ่นกันงู ซึ่งเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับติดไว้ที่ผนัง หรือเสาไฟ เพื่อดักไม่ให้งูเลื้อยผ่าน โดยแผ่นกันงูทำจากพลาสติกที่มีความลื่นสูง จึงทำให้เป็นอุปสรรคในการเลื้อย อาจทำให้งูตกลงมาหรือหมดแรงไปก่อน ตาข่ายป้องกันงู การติดตั้งตาข่ายเอาไว้รอบบริเวณที่คาดว่าจะเป็นทางเดินของงู เพื่อเข้าสู่ตัวบ้าน ก็จะช่วยดักงูไว้ได้อีกทาง ซึ่งตาข่ายที่นำมาติดตั้งนั้น ควรเลือกที่มีตาชิด ให้งูไม่สามารถลอดผ่านได้ หรือใช้ตาข่ายดักปลาแทนก็ได้ มุ้งลวดป้องกันงูเข้าบ้าน ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันงูได้ในกรณีที่อยากใช้ในการปิดทางเดิน ไม่ให้งูเลื้อยผ่าน ซึ่งมุ้งลวดอาจมีความแตกต่างที่ไม่สามารถดักให้งูติดอยู่ได้ แต่ก็สามารถป้องกันขวางทางเอาไว้ได้ หลายคนอาจสงสัยว่าจะหาซื้ออุปกรณ์ป้องกันงูได้ที่ไหนแนะนำให้หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ค้นหา “อุปกรณ์ป้องกันงู” จะพบว่ามีจำหน่ายอยู่บ้างไม่มากนัก หรือหากเป็นวัสดุพื้นฐาน เช่น ตะแกรง ลวดตาข่าย มุ้งลวด ก็หาซื้อได้ตามร้านขายวัสดุก่อสร้างทั่วไป แจ้งจับงูสายด่วน 199 แต่ถ้าโชคร้ายมีงูเข้ามาเยือนถึงบ้านก็อย่าพึ่งตื่นตระหนกไป และอย่าใช้วิธีไล่ตีหรือทำร้ายงู เพราะเสี่ยงที่จะถูกแว้งกัด แต่ให้ปิดบริเวณที่พบงู ไม่ให้คนหรือสัตว์เลี้ยงเข้าใกล้ แล้วรีบติดต่อสายด่วน 199 เป็นสายด่วนดับเพลิง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้พื้นฐานในการจับงูพร้อมให้บริการในแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว หรือง่ายที่สุดเรียกรปภ.หน้าบ้าน หรือเพื่อนบ้านใกล้เคียง มาช่วยในเบื้องต้น ที่มา : thansettakij.com พยายามหาอุปกรณ์ ตะแกรง หรือลวดตาข่ายมาปิดอุดช่องทางที่งูมีโอกาสเลื้อยเข้าบ้านได้ เช่น ท่อระบายน้ำ ท่อน้ำทิ้ง เหล่านี้ ควรมีตะแกรงป้องกันงูเลื้อยเข้ามา และต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณบ้าน เก็บของไม่ให้รกรุงรังเป็นที่หลบซ่อนของงู และพยายามทำบ้านให้ปลอดหนู เพื่อจะไม่เป็นอาหารล่องู มั่นตรวจตราร่องต่างๆ ของบ้าน เช่น ร่องประตูกับพื้นบ้าน หรือร่องบานเกล็ด ควรติดมุ้งลวดป้องกัน ทั้งหมดนี้เน้นป้องกันทางกายภาพของพื้นที่เป็นหลัก
จำนวนผู้อ่าน: 3161
20 กรกฎาคม 2017
1. คุณลักษณะที่ดีต้องมาก่อนความรู้ ระบบการศึกษาในญี่ปุ่นจะไม่มีการจัดสอบใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าจะถึงชั้นเกรด 4 (อายุประมาณ 10 ขวบ) เพราะเขาเชื่อว่า ช่วง 3 ปีแรก ยังไม่ควรมอบความรู้อันหนักอึ้งให้แก่เด็กๆ แต่เน้นไปที่การสอนให้เด็กรู้จักเคารพผู้อื่น มีความเป็นมิตรที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม การรู้จักรับผิดชอบตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ และยังสอนให้รู้จักกับความยุติธรรมอีกด้วย 2. โรงเรียนในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่มีภารโรงหรือผู้ดูแล นักเรียนทุกคนจะต้องช่วยกันทำความสะอาด ห้องเรียน โรงอาหาร หรือแม้แต่ห้องน้ำ โดยการสลับกันแบ่งกลุ่มออกไปทำ ด้วยแนวคิดที่เชื่อว่าจะสามารถช่วยสอนให้นักเรียนรู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 3. นักเรียนทุกคนจะได้รับประทานอาหารมื้อเที่ยง พร้อมกันในห้องเรียนของตัวเอง การจัดแจงอาหารมื้อเที่ยงให้ครบ 5 หมู่สำหรับเด็กๆแล้ว นักเรียนทุกคนจะได้รับประทานร่วมกันในห้องเรียน พร้อมทั้งคุณครูประจำชั้นด้วย และนี่คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ นักเรียน และคุณครู มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน 4. โรงเรียนญี่ปุ่นในหลายๆที่ มีกฏให้นักเรียนต้องเดินทางไปโรงเรียนด้วยตนเอง โรงเรียนหลายๆ แห่งบังคับให้นักเรียนต้องเดินทางไปเรียนด้วยตนเอง ไม่ว่าจะมีฐานะใดก็ตาม ส่วนประโยชน์ที่ได้ก็มีมากมาย ทั้งลดปัญหาการจราจร สอนให้เด็กรับผิดชอบตนเอง แบ่งเบาภาระหน้าที่ผู้ปกครอง แถมยังส่งเสริมให้เด็กๆ ในละแวกเดียวกันได้รู้จักกันอีกด้วย 5. มีการสอนให้เขียนบทกวี และการเขียนอักษรโบราณด้วยพู่กัน เปรียบเหมือนดั่งการเรียนวิชาศิลปะในอีกแขนงหนึ่ง ที่นี่เด็กๆ จะได้เรียนการเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันลงบนกระดาษสา สำหรับการสอนบทกวี ก็จะเน้นไปที่การให้นักเรียน แต่งบทกวีเพื่ออธิบายความรู้สึกหรือสิ่งที่คั่งข้างอยู่ในใจของตนออกมา ทั้งสองวิชาเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นยังคงสืบทอดต่อไป และได้เรียนรู้ที่จะเคารพในความคิดที่แตกต่างของคนอื่นอีกด้วย 6. ปีการศึกษาเริ่มต้นที่ 1 เมษายน ขณะที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในโลก เริ่มต้นปีการศึกษาในเดือนกันยายนหรือตุลาคม แต่ในญี่ปุ่นมักเริ่มต้นการศึกษาในเดือนเมษายน วันแรกของโรงเรียนมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุด นั้นคือ การเบ่งบานของดอกเชอร์รี่ ปีการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ภาค การศึกษา: 1 เมษายน – 20 กรกฎาคม, กันยายน 1 – 26 ธันวาคมและเดือนมกราคมที่ 7 – 25 มีนาคม นักเรียนญี่ปุ่นได้รับ วันหยุดในช่วงฤดูร้อน 6 สัปดาห์ และยังมีการแบ่งสัปดาห์ในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ 7. หลังเลิกเรียน จะมีการ workshops เด็กนักเรียน และนิยมมากในญี่ปุ่น ในช่วงเย็น กลุ่มเด็กเล็ก ๆ นักเรียนญี่ปุ่นจะมีการเรียนพิเศษ หรือ workshops เพิ่มเติม ไม่น่าแปลกใจว่านักเรียนในประเทศนี้แทบจะไม่เคยซ้ำชั้นในระดับประถมศึกษามัธยมศึกษาตอนต้นหรือโรงเรียนมัธยม 8. นักเรียนต้องสวมเครื่องแบบ เกือบทุกโรงเรียนมัธยมต้องการให้นักเรียนของพวกเขาสวมใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียน ในขณะที่บางโรงเรียนมีเครื่องแต่งกายของตัวเองแบบดั้งเดิม 9. อัตราการเข้าเรียน 99.99% ทุกคนอาจเคยเหลวไหลสักครั้งในชีวิต แต่นักเรียนญี่ปุ่นจะไม่ซ้ำชั้นเรียน และไม่มาโรงเรียนสาย 10.วิทยาลัยถือว่าเป็นปีที่ดีที่สุดของนักเรียน นักเรียนญี่ปุ่นมักจะใช้เวลาพักสักหน่อยในช่วงเรียนวิทยาลัย โดยส่วนใหญ่จะเรียกเวลานี้ว่า ‘วันหยุด’ ก่อนที่จะทำงาน ขอบคุณบทความจาก : sanook.com
จำนวนผู้อ่าน: 4439
20 กรกฎาคม 2017
E-Book บนเว็บของ SCG ชื่อ “ร้อยคนร้อยเรื่องราว 100 ปี SCG” ซึ่งทาง SCG จ้างให้คุณหนุ่ม เมืองจันท์เขียน หนังสืออ่านง่าย อ่านสนุก และมีหลักคิด หลักบริหาร และภาวะผู้นำ มากมาย มีขนาด 308 หน้า เป็น หนังสือฟรีและดีที่มีตัวอย่าง Best Practices ในบริบทของไทย ซึ่งหาได้ยากมาก ส่วนใหญ่เราจะมีแต่ตำราที่แปลจากเคสต่างชาติ ใครสนใจสามารถดาวโหลด ไฟล์ PDF ได้ฟรีจากเว็บของเขาที่นี่ครับ http://www.scghrknowledge.com/content/upload/file/book/HR_Book_100_years.PDF
จำนวนผู้อ่าน: 4204
13 กรกฎาคม 2017
คนทุกคนต้องการการพักผ่อนนอนหลับ แต่นานแค่ไหนจึงจะพอดี พ่อแม่มือใหม่อาจสงสัยว่าจะให้เด็กทารกนอนหลับนานแค่ไหนดี กังวลว่าลูกวัยรุ่นอาจนอนไม่เพียงพอ หรือผู้สูงอายุไม่สามารถหยุดสัปหงกในระหว่างวันได้ บทความนี้จะกล่าวถึงความต้องการนอนหลับในช่วงอายุต่าง ๆ ของชีวิตเรา การนอนหลับที่ดี ระยะเวลาและชนิดของการนอนหลับที่เราต้องการเปลี่ยนไปกับอายุ อย่างไรก็ตาม อายุมิใช่เพียงปัจจัยเดียวที่เป็นตัวตัดสิน แต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน บางคนมากและบางคนน้อยกว่าความต้องการของคนโดยเฉลี่ย ระยะเวลาการนอนหลับอาจมีความสำคัญน้อยกว่าคุณภาพของการหลับ ความต้องการในการนอนหลับแต่ละวันก็อาจเปลี่ยนไปวันต่อวันขึ้นกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ข้อมูลที่เรากำลังนำเสนอ คือ การเปลี่ยนแปลงของความต้องการนอนตลอดห้วงอายุขัยของชีวิต อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังรู้สึกสดชื่นและตื่นตัวในวันรุ่งขึ้น นั่นบ่งบอกว่า ได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอแล้ว วัยทารก ทารกมีพัฒนาการที่รวดเร็วมาก ต้องการ 17 ชั่วโมงของการนอนหลับแต่ละวันเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ และช่วยให้พวกเขามีเวลาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เมื่อเกิดมาใหม่ ๆ นาฬิกาชีวิตของทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่ จะใช้เวลา 6 เดือนแรกในการปรับตัวให้นอนหลับกลางคืนมากกว่ากลางวัน มันจะเป็นการดีที่จะกำหนดกิจวัตรประจำให้กับทารก เมื่อเขาอายุ 6 ถึง 8 สัปดาห์ เพื่อช่วยเตรียมให้เขาหลับได้ดี ทารก เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ มีการสลับแบบการนอนระหว่างการนอนหลับไม่สนิท และการนอนหลับสนิท อย่างไรก็ตามทารกมีสัดส่วนของเวลาที่นอนหลับไม่สนิทสูงกว่าการนอนหลับสนิท ดังนั้นจึงตื่นง่ายกว่าผู้ใหญ่ และมีการสลับแบบการนอนสองแบบนี้ถี่กว่าผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้มีการตื่นตอนกลางคืนบ่อย อย่างไรก็ตาม ทารกมักจะหลับต่อด้วยตนเองภายในไม่กี่นาทีหลังตื่นตอนกลางคืน วัยเด็กหัดเดิน เด็กวัยหัดเดิน อยู่ไม่ค่อยนิ่ง ดังนั้นต้องการการพักผ่อนมาก เด็กอายุหนึ่งถึงสองปี ต้องการนอนหลับระหว่าง 10 และ 13 ชั่วโมงต่อวัน พ่อแม่บางคนชอบที่จะให้ลูกตัวเองนอนหลับยาวไปเลยในตอนกลางคืน ขณะที่บางคน ชอบให้เด็กหลับสั้น ๆในเวลากลางวันและนอนหลับกลางคืนสั้นลงกว่าเดิม พ่อแม่ของเด็กวัยนี้ คงต้องหารูปแบบการนอนที่ดีที่สุดสำหรับทั้งตัวเองและลูกแล้วทำให้มันกลายเป็นรูปแบบกิจวัตรประจำสำหรับครอบครัว วัยเด็กโต เด็กโต ก็อยู่ไม่ค่อยนิ่ง มีการเรียนรู้ และการพัฒนา ในอัตราที่สูงมาก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการการพักผ่อนมากมาย สำหรับวัยนี้ ความต้องการในการนอนอาจแตกต่างกันไป โดยทั่วไป ต้องการประมาณ 90-10 ชั่วโมง ของการนอนหลับตอนคืน และจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อโตขึ้น เช่นเดียวกับวัยอื่น ๆ เราไม่สามารถกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมลงไปตายตัว แต่ในฐานะพ่อแม่ เราพิจารณาได้ว่าลูกนอนหลับเพียงพอไหม และเขาควรต้องการนอนนานเท่าใด วัยรุ่น วัยรุ่น โดยทั่วไปต้องการนอนประมาณ 9 ชั่วโมงในแต่ละคืน - แต่ พวกเขามักจะนอนไม่เพียงพอ มันไม่ใช่เรื่องแปลก สำหรับวัยรุ่นที่ต้องการที่จะนอนดึกแล้วบ่นเกี่ยวกับการตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลทางชีววิทยาที่อาจอธิบายเรื่องนี้ รูปแบบการนอนหลับตามธรรมชาติเปลี่ยนไปในวัยรุ่น ฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเชื่อว่า ช่วยให้เกิดความง่วง จะถูกสร้างขึ้นมาช้ากว่าที่เคยในตอนเย็นสำหรับวัยรุ่น – ทำให้รู้สึกง่วงนอนตอนดึกมาก ๆ เรียกว่า โรคนาฬิกาชีวภาพเดินช้า นอกจากนั้น หากวัยรุ่นใช้อุปกรณ์บางอย่างก่อนนอน เช่น คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ การสัมผัสกับแสงและการกระตุ้นต่อจิตใจทำให้ชะลอความง่วง จะดีที่สุดคือไม่ให้มี เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ โทรทัศน์ ในห้องนอนของวัยรุ่น การพยายามให้วัยรุ่นนอนและตื่นเป็นเวลาเดิมทุกวันจะช่วยให้วัยรุ่นได้รับการนอนหลับที่พวกเขาต้องการ วัยผู้ใหญ่ โดยทั่วไปผู้ใหญ่ต้องการการนอนหลับ 7 – 8 ชั่วโมง แต่บางคน สามารถทำงานได้หลังจากนอนหลับเล็กน้อย เราสามารถอดนอนได้เป็นครั้งคราว – ซึ่งทำให้เพียงแค่รู้สึกเหนื่อยล้าในวันถัดไป การขาดการนอนหลับอย่างต่อเนื่อง ( นอนไม่หลับ ) อาจส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในบางกิจกรรม เช่น การขับรถอย่างปลอดภัย ควรพบแพทย์หากมีปัญหาการนอนหลับและส่งผลต่อความสามารถในการทำงานในระหว่างวัน แพทย์อาจจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเพื่อให้นอนหลับได้ดีขึ้น หรือส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญ ผู้สูงอายุ อายุที่มากขึ้นไม่ทำให้ความต้องการนอนหลับลดลง ผู้สูงอายุยังคงต้องการนอนหลับแปดชั่วโมง อย่างไรก็ตาม การหลับสนิทจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ตื่นง่ายขึ้นหลังจากนอนไปได้3 – 4 ชั่วโมง และหลับต่อได้ยากขึ้น ปัญหาสุขภาพ อื่น ๆ เช่น ต่อมลูกหมาก โรคข้อเสื่อม ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพของการนอนหลับ หากนอนหลับไม่เพียงพอในเวลากลางคืนก็จะรู้สึกง่วงนอนในระหว่างวัน นอกจากนั้นผู้สูงอายุมักจะหลับเร็วขึ้นและตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม การปรับเปลี่ยนรูปแบบการนอนหลับ เช่น หลังการเดินทางโดยเครื่องบิน ก็รู้สึกจะยากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ที่มาบทความ : http://www.bupa.co.th/
จำนวนผู้อ่าน: 4334
03 กรกฎาคม 2017