ธปท. เตรียมตรวจสอบธนาคารหากขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยไม่ถูกต้อง ยันห้ามกำหนด KPI กับเป้าหมายการขายผลิตภัณฑ์ ตามหลักเกณฑ์บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม หรือ market conduct ปี 61 พร้อมติดตามใกล้ชิด วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกรณีที่มีข่าวพนักงานสาขาธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ถูกกดดันให้ขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย นั้น ธปท. ขอย้ำว่า ธปท. ให้ความสำคัญและส่งเสริมให้ผู้ให้บริการทางการเงิน (ผู้ให้บริการ) ทุกแห่ง ในการยกระดับธรรมาภิบาลของการเสนอขายผลิตภัณฑ์และการให้บริการแก่ลูกค้า โดยเฉพาะการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย ซึ่ง ธปท. ได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ ธัญญนิตย์ นิยมการ ธปท. กำหนดหลักเกณฑ์การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (market conduct) และกำกับดูแลเข้มข้นตั้งแต่ปี 2561 โดยเฉพาะเรื่องการจ่ายค่าตอบแทน ที่ผู้ให้บริการต้องไม่กำหนดตัวชี้วัดผลงาน (KPI) ที่ให้น้ำหนักกับเป้าการขายผลิตภัณฑ์หรือกดดันพนักงาน จนนำไปสู่การเสนอขายที่ขาดคุณภาพและขาดความรับผิดชอบต่อลูกค้า รวมทั้งต้องนำข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการบังคับขายมาเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาค่าตอบแทนด้วย นอกจากนี้ หลักเกณฑ์ด้านกระบวนการขาย ยังกำหนดเรื่องการให้ข้อมูลครบถ้วน ถูกต้อง ชัดเจน ไม่บิดเบือน และไม่รบกวนลูกค้า รวมทั้งมีกระบวนการตรวจสอบคุณภาพการขาย เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการหลอก บังคับ เอาเปรียบลูกค้า และไม่บังคับขายผลิตภัณฑ์พ่วงเป็นเงื่อนไขในการใช้ผลิตภัณฑ์หลัก ธปท. ได้ติดตามและประเมินการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเข้มงวด และเปรียบเทียบปรับผู้ให้บริการที่บังคับขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยที่ผ่านมา ธปท. ได้เน้นตรวจสอบและประเมินการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อย และได้ลงโทษอย่างจริงจัง โดยได้เปรียบเทียบปรับผู้ให้บริการที่บังคับขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยจำนวน 2 แห่ง ในปี 2561 นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการกำกับดูแลการขายผลิตภัณฑ์หลักทรัพย์และประกันภัยผ่านธนาคารพาณิชย์ (cross selling) แบบองค์รวมและสอดคล้องกัน ส่งผลให้ผู้ให้บริการตระหนักและควบคุมการเสนอขายผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด ทำให้เรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการบังคับขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2562-2564 (9 เดือนแรก) อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่ามีผู้ให้บริการบางแห่งเริ่มกลับมาเน้นการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยมากขึ้น โดยกำหนดเป้าหมายการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยเชิงรุก หรือขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยพ่วงกับการให้สินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง ธปท. ได้กำชับผู้ให้บริการในทันที และเน้นย้ำให้ควบคุมดูแลคุณภาพการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยอย่างเคร่งครัดและจริงจัง โดยเฉพาะการเร่งทำเป้าการขายในช่วงระยะเวลาใกล้ปิดรอบการประเมินผลงาน ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวอย่างเข้มงวดต่อเนื่อง และพร้อมดำเนินการตามมาตรการกำกับดูแลที่มีความเข้มข้นขึ้นต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-804549
Person read: 1578
18 November 2021
Photo by Jack TAYLOR / AFP บทบรรณาธิการ การเปิดประเทศ การผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงักกลับมาเดินหน้าต่อได้ตามปกติ ผลลัพธ์อาจยังไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง แต่กระแสตอบรับทั้งจากภายในและนอกประเทศ กับบรรยากาศช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ที่เริ่มดีขึ้น เป็นสัญญาณบวกชัด แม้ต้องใช้เวลากว่าเศรษฐกิจจะฟื้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่า หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย หากภาครัฐควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดได้ผล จะช่วยให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2564 ทั้งปีขยายตัวที่ 1.2% เทียบกับ GDP ปี 2563 ขยายตัวติดลบ 6.1% ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2565 คาดว่าจะเติบโต 3.5-4.5% โดยรัฐบาลต้องบริหารนโยบายเศรษฐกิจด้วยการโฟกัสประเด็นหลัก ๆ ได้แก่ การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดให้อยู่ในวงจำกัด การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ การหนุนแรงขับเคลื่อนการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การท่องเที่ยวในประเทศ ส่งออก การลงทุนภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ พร้อมรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจต่างประเทศ และเสถียรภาพทางการเมือง แม้หลายเรื่องจะอยู่นอกเหนือการควบคุม แต่สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ที่คุกรุ่นและเริ่มทวีความรุนแรง ความขัดแย้งแตกแยกมีเพิ่มขึ้น อยู่ที่นโยบายรัฐว่าจะบริหารจัดการอย่างไร จะใช้ไม้แข็งซึ่งเหมือนเติมเชื้อไฟ หรือเลือกใช้ไม้นวมเป็นทางออก จากนี้ไปจึงน่าห่วงปัจจัยแทรกซ้อนการเมืองร้อนทั้งในสภา บนท้องถนน ขณะที่ในสภามีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนักการเมือง กับฉบับของประชาชน นอกสภาก็มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องของม็อบหลายกลุ่ม ถ้ารัฐคุมสถานการณ์โดยไม่ใช้หลักรัฐศาสตร์ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย แทนที่จะมีหนทางประนีประนอมก็อาจเกิดการเผชิญหน้า เสี่ยงที่เหตุการณ์จะบานปลายกลายเป็นความรุนแรง ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยปัจจัยลบรอบด้าน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่อาจวางใจ ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม สถานประกอบการจำนวนมากยังซมพิษไข้ หนี้ท่วม ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ภารกิจหลักที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำให้เห็นผล อย่างการลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน การส่งออก การท่องเที่ยว ปลุกการบริโภคให้ฟื้นจึงต้องเร่งสปีดเต็มที่ ช่วงรอยต่อหลังวิกฤต การดำเนินธุรกิจ การใช้ชีวิต ต้องปรับแนวทางใหม่ ให้อยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างปลอดภัยว่ายากแล้ว ถ้าบรรยากาศไม่เอื้อ ความไม่แน่นอนบั่นทอนความเชื่อมั่น เพราะการเมืองยังมีความสุ่มเสี่ยง โอกาสที่เศรษฐกิจทั้งระบบจะขับเคลื่อนต่อได้ราบรื่น ฟื้นคืนกลับมาดังเดิม จะยิ่งยากและต้องใช้เวลานานขึ้น ศบค. จี้ 11 ล้านคน “ยังไม่ฉีดวัคซีน” ไล่บี้ 10 จังหวัดเร่งฉีด-โควิดระบาด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/columns/news-803506
Person read: 1570
18 November 2021
คอลัมน์ เช้านี้ที่ซอยอารีย์ พงศ์นคร โภชากรณ์ pongnakornp@fpo.go.th เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ตัดสินใจดำเนินมาตรการเปิดประเทศเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย ไล่เลี่ยกันก็ลดจำนวนจังหวัดสีแดงเข้มจาก 29 จังหวัด เหลือเพียง 6 จังหวัด เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงไปมากในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ประกอบกับจำนวนคนที่รับการฉีดวัคซีนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 ทั้งประเทศมีผู้ได้รับวัคซีน 1 เข็ม 45.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 68.6 ของประชากร ส่วน 2 เข็ม 36.9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 55.7 ของประชากร และหากดูอัตราการได้รับวัคซีนครบแล้ว 10 จังหวัดแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 96.6 ภูเก็ต ร้อยละ 80.5 ชลบุรี ร้อยละ 75.7 สมุทรสาคร ร้อยละ 68.6 ปทุมธานี ร้อยละ 65.8 สมุทรปราการ ร้อยละ 63.4 พังงา ร้อยละ 62.7 ฉะเชิงเทรา ร้อยละ 61.1 ระนอง ร้อยละ 59.4 และพระนครศรีอยุธยา ร้อยละ 56.1 ส่วนจังหวัดที่เหลือก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะขยับเข้าไปใกล้ร้อยละ 70 ในเวลาไม่นาน อย่างไรก็ตาม หลายจังหวัดยังมีอัตราการได้รับวัคซีนในระดับต่ำมาก เช่น แม่ฮ่องสอน ร้อยละ 30.9 บึงกาฬ ร้อยละ 30.9 หนองบัวลำภู ร้อยละ 31.0 เป็นต้น จากการวิเคราะห์และคาดการณ์ของหลาย ๆ หน่วยงาน มองคล้าย ๆ กันว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ช้าหรือเร็ว ตัวแปรหนึ่งที่สำคัญมาก คือ จำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งหมายถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก โดยปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาประมาณ 2-3 แสนคน ส่วนปีหน้าประมาณ 6-8 ล้านคน ซึ่งยังห่างไกลจากก่อนวิกฤตโควิด-19 ที่เข้ามามากถึง 40 ล้านคน คำถามที่เกิดขึ้นคือ เมื่อไหร่จะเท่าเดิม ? ผมก็ตอบไม่ถูก แต่ส่วนตัวคิดว่าในระยะ 4-5 ปีนี้ คงยากพอสมควร ฉะนั้น การหันกลับมาพึ่งพา “ไทยเที่ยวไทย” ให้มากขึ้น การส่งเสริมกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศ สนับสนุน MSMEs ด้านการท่องเที่ยว สนับสนุนการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ เช่น เป๋าตัง ถุงเงิน เป็นต้น จะทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัว การบริโภคก็ดีด้วย ผู้ประกอบการก็อยู่ได้ เกิดการจ้างงานต่อเนื่อง เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวอย่างทั่วถึง (inclusive growth) มากขึ้น ผมจะพาย้อนไปดูข้อมูลเศรษฐกิจ 3 ตัวของปี 2562 เพื่อจะได้เห็นโครงสร้างเศรษฐกิจก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ตัวที่ 1 โครงสร้างเศรษฐกิจด้านอุปทานสาขาท่องเที่ยว ในปี 2562 พบว่า ร้อยละ 85 ของการท่องเที่ยวทั้งประเทศ กองรวมกันอยู่ใน 10 จังหวัดเท่านั้น ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ภูเก็ต ชลบุรี สุราษฎร์ธานี พังงา เชียงใหม่ กระบี่ ระยอง และสงขลา ข้อมูลนี้ทำให้เราจะเห็นภาพการกระจุกตัวของการท่องเที่ยวชัดมากขึ้น ตัวที่ 2 จำนวนผู้เยี่ยมเยือน ทั้งหมด 304 ล้านคนครั้ง ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 227 ล้านคนครั้ง เป็นคนต่างประเทศ 77 ล้านคนครั้ง สัดส่วนไทย : เทศ จึงอยู่ที่ 75% : 25% แปลว่า “ในแง่จำนวนคน” เศรษฐกิจไทยพึ่งพาผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยมากกว่าชาวต่างประเทศ สัดส่วนนี้ในแต่ละจังหวัดจะไม่เหมือนกัน ตัวที่ 3 รายได้จากการเยี่ยมเยือน ทั้งประเทศมีรายได้จากการเยี่ยมเยือนมูลค่า 2.8 ล้านล้านบาท เป็นรายได้ที่มาจากคนไทย 1.1 ล้านล้านบาท มาจากคนต่างประเทศ 1.7 ล้านล้านบาท สัดส่วนไทย : เทศ จะอยู่ที่ 39% : 61% แปลว่า “ในแง่รายได้” เศรษฐกิจไทยพึ่งพารายได้จากคนต่างประเทศมากกว่าคนไทย สัดส่วนนี้ในแต่ละจังหวัดจะไม่เหมือนกัน จากข้อมูลพบว่า จังหวัดที่พึ่งพาเม็ดเงินจากชาวต่างประเทศมากกว่าเม็ดเงินของคนไทย 10 จังหวัดแรก ประกอบด้วย กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ สุราษฎร์ธานี สงขลา และพังงา ฉะนั้น จังหวัดเหล่านี้ยิ่งต้องการเม็ดเงินจากไทยเที่ยวไทยเข้าไปทดแทน ยกตัวอย่างเช่น จ.ภูเก็ต จากข้อมูลจำนวนและรายได้ จะพบว่า การใช้จ่ายต่อหัวของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 13,400 บาท ส่วนของคนต่างประเทศอยู่ที่ 39,400 บาท ต่างกัน 3 เท่า ดังนั้น หากเราจะรักษาระดับรายได้จากการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ตให้เท่าเดิม ต้องให้คนไทยเดินทางไปเที่ยวภูเก็ตเพิ่มจากเดิมอีก 3 คน จึงจะทดแทนคนต่างประเทศ 1 คน หรือเรียกว่า “อัตราการทดแทนกันของการใช้จ่ายต่อหัว” อยู่ที่ ไทย 3 คน : เทศ 1 คน เป็นต้น ส่วนกรุงเทพฯ อยู่ที่ 3 : 1 จ.ชลบุรี อัตราส่วนนี้อยู่ที่ 3.4 : 1 (สูงที่สุดในประเทศไทย) จ.กระบี่ อยู่ที่ 1 : 1 จ.สุราษฎร์ธานี อยู่ที่ 2.9 : 1 จ.สงขลา อยู่ที่ 1.6 : 1 และ จ.พังงา อยู่ที่ 3.0 : 1 ดังนั้น ในช่วงปลายปี 2564 และตลอดปี 2565 หากเราควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี ฉีดวัคซีนให้ครบทุกช่วงวัย เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างระมัดระวัง แล้วทยอยออกมาตรการสนับสนุนไทยเที่ยวไทยเพิ่มเติม เพื่อชักชวนจูงใจให้คนออกไปเที่ยวมากขึ้น ยิ่งไปเที่ยวกันมากเท่าไร ยิ่งทดแทนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศได้มากเท่านั้น ที่สำคัญนอกจากจะเป็นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศแล้ว ยังทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านบริการต่าง ๆ MSMEs เล็ก ๆ จิ๋ว ๆ ในต่างจังหวัด จะสามารถอยู่รอดได้ ผมจึงเสนอให้ปี 2565 เป็น “ปีไทยเที่ยวไทย” ครับ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-803362
Person read: 1573
18 November 2021
เครดิตภาพ : สำนักอนามัย กทม. ศบค.พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่วันนี้ (18พ.ย.) เพิ่ม 6,901 ราย เสียชีวิต 55 คน หายป่วยกลับบ้านเพิ่ม 7,556 ราย ผลตรวจ ATK ติดเชื้อเพิ่ม 2,106 คน วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 ศูนย์ข้อมูล COVID-19 ของรัฐบาลและศูนย์ EOC กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รายงานข้อมูลเบื้องต้นสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 6,901 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 6,423 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 319 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 144 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 15 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,015,262 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) วันนี้มีผู้ป่วยหายป่วยกลับบ้านเพิ่ม 7,556 ราย หายป่วยสะสม 1,905,773 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 90,672 ราย และเสียชีวิต 55 ราย ทางด้านกรมควบคุมโรครายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ป่วยกำลังรักษาตัว 90,672 ราย อยู่ในรพ. 44,038 คน อยู่ในรพ.สนามและอื่นๆ 46,634 คน ในจำนวนนี้มีอาการหนัก 1,742 คน ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 496 คน ส่วนผลตรวจ ATK วันนี้พบผู้ติดเชื้อเข้าข่ายเพิ่ม 2,106 คน รวมสะสม 316,047 คน โดยร้อยละของการตรวจพบเชื้ออยู่ที่ 10.80% (ตรวจ 100 คน จะเจอผู้ป่วยโควิดประมาณ 10 คน) ขณะที่ความคืบหน้าของการฉีดวัคซีน ฉีดได้เพิ่มอีก 511,970 โดส โดยเข็มที่ 1 ครอบคลุมประชากรไปแล้ว 63.70% และเข็มที่ 2 ครอบคลุมประชากร 52.47% ศบค. จี้ 11 ล้านคน “ยังไม่ฉีดวัคซีน” ไล่บี้ 10 จังหวัดเร่งฉีด-โควิดระบาด สรุปยอดผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิตย้อนหลัง ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 8,165 ราย : เสียชีวิต 55 ราย วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,574 ราย : เสียชีวิต 78 ราย วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,679 ราย : เสียชีวิต 56 ราย วันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,982 ราย : เสียชีวิต 68 ราย วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 8,148 ราย : เสียชีวิต 80 ราย วันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 8,467 ราย : เสียชีวิต 69 ราย วันที่ 7 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,960 ราย : เสียชีวิต 53 ราย วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,592 ราย : เสียชีวิต 39 ราย วันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 6,904 ราย : เสียชีวิต 61 ราย วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 6,978 ราย : เสียชีวิต 62 ราย วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,496 ราย : เสียชีวิต 57 ราย วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,305 ราย : เสียชีวิต 51 ราย วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,057 ราย : เสียชีวิต 55 ราย วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,079 ราย : เสียชีวิต 47 ราย วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 6,343 ราย : เสียชีวิต 45 ราย วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 5,947 ราย : เสียชีวิต 62 ราย วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 6,524 ราย : เสียชีวิต 56 คน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-804503
Person read: 1503
18 November 2021
กทม.เตรียมกดปุ่มเมกะโปรเจ็กต์ เคลียร์งบฯลงทุน 1.1 หมื่นล้าน ก่อนเลือกตั้งผู้ว่าฯ ต้นปี’65 ขีดเส้นเบิกจ่ายจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือน ธ.ค. “บิ๊กวิน” สั่งเร่ง 7 โครงการ สำนักโยธาจ่อประมูลสะพานเกียกกายเฟส 3 ปิดจ็อบ “พรานนก-พุทธมณฑลสาย 4” ดันอีก 2 เส้นทางรวด เปิดเอกชนลงทุน PPP รถไฟฟ้า “บางนา-สุวรรณภูมิ” และ “วัชรพล-ทองหล่อ” สัญญาณการจัดการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ชัดเจนขึ้น หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 7 ก.ย. 2564 เห็นชอบตามที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เสนอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นของ อปท. ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยา และกำหนดไทม์ไลน์การเลือกตั้ง 28 พ.ย.-12 ธ.ค. 2564 โดยในส่วนของ กทม. การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และสมาชิกสภา กทม. (ส.ก.) จะอยู่ช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. 2565 ทำให้หลายฝ่ายจับตามองว่า ผู้บริหาร กทม.ชุดปัจจุบันจะเร่งสปีดลงทุนโครงการขนาดใหญ่ก่อนการเมืองจะผลัดใบเปลี่ยนขั้ว แม้ 1-2 ปีที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์เศรษฐกิจจะทำให้ กทม.มีงบฯลงทุนจำกัด เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ลดลงมาก อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2565 กทม.มีแผนประมูลก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ และศึกษาและเตรียมแผนลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ 2 เส้นทาง นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปี 2565 แม้จะมีสัญญาณการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ แต่ กทม.จะเดินหน้าลงทุนโครงการสาธารณูปโภคสาธารณูปการต่าง ๆ ตามแผนปกติ ขณะที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. คนปัจจุบัน ยังไม่ได้สั่งเร่งรัดโครงการใดเป็นพิเศษ แต่เน้นย้ำให้แต่ละโครงการทำตามกรอบและระยะเวลาที่กำหนดไว้ ขีดเส้นจัดซื้อจบสิ้นปี โครงการส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่อยู่ในข้อบัญญัติ กทม. เรื่อง งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2565 ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือน ก.ย. 2564 ซึ่งได้กำชับทุกหน่วยงานให้เร่งจัดทำรายการเบิกจ่ายงบประมาณตามขั้นตอน พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 ให้แล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 2564 และจะต้องเร่งลงนามในสัญญาจ้างกับเอกชนในแต่ละโครงการให้ได้ในช่วงต้นปี 2565 ส่วนการดำเนินการร่างข้อบัญญัติ กทม. เรื่อง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ปัจจุบันได้เริ่มต้นกระบวนการแล้ว โดยแต่ละสำนักงานเขต และสำนักต่าง ๆ ของ กทม. อยู่ระหว่างรวบรวมแผนงานและโครงการที่จำเป็นอยู่ คาดว่าจะทยอยรวบรวมแล้วเสร็จช่วงต้นปี 2565 จากนั้นจะเร่งเสนอสภา กทม.พิจารณาตามขั้นตอนในช่วงกลางปี 2565 แหล่งข่าวจากสำนักการคลัง กทม.เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2565 กทม.มีงบประมาณในส่วนงบฯลงทุนรวม 11,462 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าครุภัณฑ์ 520.339 ล้านบาท และค่าที่ดิน และการก่อสร้าง 10,941.786 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้แบ่งเป็น ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง 872,505 ล้านบาท, โครงการผูกพันงบประมาณต่อเนื่อง 9,805.45 ล้านบาท และโครงการผูกพันงบประมาณใหม่ 263.82 ล้านบาท เร่ง 7 โครงการ สำหรับโครงการใหม่ที่คาดว่าจะเริ่มลงทุนในปี 2565 และเป็นโครงการเร่งด่วนตามนโยบายของ พล.ต.อ.อัศวิน ประกอบด้วย 7 โครงการ วงเงินรวม 1,557.8 ล้านบาท ดังนี้ โครงการของสำนักการโยธา 6 โครงการ วงเงินรวม 1,403.2 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการก่อสร้างบ้านพักผู้สูงอายุ บึงสะแกงาม ระยะที่ 2 วงเงิน 255 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี (2565-2566) 2.โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองช่องนนทรี ช่วงที่ 3 ซ.นราธิวาสฯ 7-ถ.จันทน์ วงเงิน 370 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี (2565-2566) 3.โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองช่องนนทรี ช่วงที่ 4 ถ.จันทน์-ถ.รัชดาภิเษก วงเงิน 250 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี (2565-2566) 4.โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองช่องนนทรี ช่วงที่ 5 ถ.รัชดาภิเษก-ถ.พระราม 3 วงเงิน 200 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี 5.โครงการปรับปรุง ถ.แสมดำ ช่วง ถ.พระราม 2-คลองสนามชัย วงเงิน 268.99 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการต่อเนื่อง 4 ปี (2562-2565) และ 6.โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ ถ.สีลม ช่วง ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ทั้งสายทาง วงเงิน 59.21 ล้านบาท ดำเนินการในปี 2565 และสำนักสิ่งแวดล้อม มี 1 โครงการ คือ โครงการปรับปรุงสวนลุมพินี ในโอกาสครบ 100 ปี ระยะที่ 1 วงเงิน 154.6 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี (2565-2566) ดัน “สะพานเกียกกาย” แหล่งข่าวจากสำนักการโยธาเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในส่วนของสำนักการโยธา ในปี 2565 จะดำเนินการก่อสร้างโครงการสำคัญ 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณแยกเกียกกาย ตอนที่ 2 เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ จาก ซ.จรัญสนิทวงศ์ 93-วัดแก้วจุฬามณี ระยะทาง 480 เมตร วงเงิน 1,350 ล้านบาท ซึ่งได้ตัวผู้รับจ้างแล้ว แต่อยู่ระหว่างการดำเนินการตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้างโดยกรมบัญชีกลาง และตอนที่ 3 เป็นทางยกระดับ และ ถ.ฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยา-สะพานแดง ระยะทาง 1.350 กม. วงเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท กำลังประเมินมูลค่าโครงการใหม่ เพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอน คาดว่าจะเริ่มต้นกระบวนการประมูลได้ต้นปี 2565 ส่วนความคืบหน้าการเวนคืนที่ดิน อยู่ระหว่างรอ พ.ร.ฎ.เวนคืนสิ่งปลูกสร้าง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลมาแล้วบางส่วน คิดเป็นวงเงินประมาณ 10% ของงบประมาณในการเวนคืน 7,490 ล้านบาท ซึ่งงบฯดังกล่าว รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนทั้งหมด โดยได้ทยอยจ่ายค่าเวนคืนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งในฝั่งธนบุรีและฝั่งพระนครเรียบร้อยแล้วเกือบ 50% เวนคืน 7.5 พันล้าน ทั้งนี้ โครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย และถนนต่อเชื่อม ใช้เงินก่อสร้างประมาณ 12,717.4 ล้านบาท แยกเป็น ค่าก่อสร้าง 5,225 ล้านบาท ซึ่งรัฐและ กทม.ออกค่าก่อสร้าง 50 : 50 ค่าเวนคืน 7,490 ล้านบาท รัฐอุดหนุน 100% งานก่อสร้างแบ่งได้ 5 ตอน ประกอบด้วย 1.ทางยกระดับและถนนฝั่งธนบุรี จาก ถ.เลียบทางรถไฟสายใต้-ถ.จรัญสนิทวงศ์ ระยะทาง 1.05 กม. วงเงิน 4,015 ล้านบาท 2.สะพานข้ามแม่น้ำ จาก ซ.จรัญสนิทวงศ์ 93-วัดแก้วจุฬามณี ระยะทาง 480 เมตร วงเงิน 1,350 ล้านบาท 3.ทางยกระดับและ ถ.ฝั่งพระนครจากแม่น้ำเจ้าพระยา-สะพานแดง ระยะทาง 1.350 กม. วงเงิน 1,000 ล้านบาท 4.ทางยกระดับและ ถ.ฝั่งพระนคร จากแยกสะพานแดง-ถ.กำแพงเพชร ระยะทาง 1.4 กม. วงเงิน 1,100 ล้านบาท และ 5.ทางยกระดับและ ถ.ฝั่งพระนคร จาก ถ.กำแพงเพชร-ถ.พหลโยธิน ระยะทาง 1.6 กม. วงเงิน 1,025 ล้านบาท และ 2.โครงการก่อสร้างถนนพรานนก-ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ช่วงที่การก่อสร้างยังคั่งค้างล่าช้า ช่วงถนนพุทธมณฑลสาย 2-ถนนพุทธมณฑลสาย 3 ระยะทาง 3.4 กม. วงเงิน 1,532 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 จากนั้นจะเริ่มประมูลและดำเนินโครงการเดียวกันนี้ ในช่วงถนนพุทธมณฑลสาย 3-ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ระยะทางประมาณ 3 กม. วงเงิน 1,300 ล้านบาทต่อไป ดันรถไฟฟ้า 2 สาย ขณะที่แหล่งข่าวจากสำนักการจราจรและขนส่ง กทม.เปิดเผยว่า สำนักจราจรและขนส่งได้จัดสัมมนาปฐมนิเทศโครงการรถไฟฟ้าภายใต้การผลักดันของ กทม. 2 เส้นทาง ประกอบด้วย 1.โครงการรถไฟฟ้ารางเบา (Light Rail Transit : LRT) สายบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะทาง 19.7 กม. วงเงินลงทุน 27,892 ล้านบาท ซึ่งเพิ่งมีการจ้างที่ปรึกษาศึกษาโครงการใหม่ช่วงกลางปี 2564 คาดว่าจะสรุปผลการศึกษาแล้วเสร็จช่วงต้นปี 2565 จากนั้น กทม.จะนำเสนอโครงการตามขั้นตอนให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในปี 2566 และ 2.โครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) สายสีเทา ระยะที่ 1 ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ ระยะทาง 19 กม. วงเงินลงทุน 30,000 ล้านบาท สถานะปัจจุบันได้ตัวบริษัทที่ปรึกษาและวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาศึกษา 2 ปี ดึงเอกชนร่วมทุน PPP ทั้ง 2 โครงการเป็นโครงการที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก แนวทางดำเนินการอาจต้องเลือกลงทุนในลักษณะ PPP เปิดให้เอกชนเข้าร่วมทุน อย่างไรก็ตาม จากที่การดำเนินกิจการรถไฟฟ้าของ กทม.ยังติดพันกับเรื่องสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งมีหนี้ทั้งการเดินรถ และการจ้างก่อสร้างวงเงินรวมเกือบ 40,000 ล้านบาท ประกอบกับการจัดเก็บรายได้ของ กทม.ช่วงการแพร่ระบาดของโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจลดลงมาก ทำให้แผนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ต้องเลื่อนระยะเวลาออกไป อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ กทม.จะเร่งดำเนินการศึกษาให้แล้วเสร็จไว้ก่อน เมื่อมีความพร้อมการผลักดันขั้นตอนการลงทุนจะทำได้โดยง่าย เศรษฐกิจไทยผ่านวิกฤต แต่คนไทยส่วนใหญ่กำลังวิกฤต ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-803809
Person read: 1526
18 November 2021
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รับโอนเงินช่วยเหลือคืนค่าน้ำ ค่าไฟ กรณีใช้ไม่เกิน 315 บาท วันนี้ (18 พ.ย.) วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) เตรียมโอนเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้า และค่าน้ำประปา ให้ผู้ถือบัตรฯ วันนี้ (18 พ.ย.) โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ เงินคืนค่าไฟฟ้า ใช้ไม่เกิน 315 บาท ถึงเดือนกันยายน 2565 กดเป็นเงินสดได้ เงินคืนค่าน้ำประปาใช้เกิน 100 บาท แต่ไม่เกิน 315 บาท ได้รับในวงเงิน 100 บาท และต้องชำระส่วนที่เกิน 100 บาทเอง สามารถกดเป็นเงินสดได้ที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย ผู้ถือบัตรฯ จะได้รับโอนเงินอีกครั้งในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ตามรายการดังนี้ เพิ่มเงินเบี้ยความพิการ จำนวน 200 บาท ถึงกันยายน 2565 จากจำนวน 800 บาทต่อคนต่อเดือน รวมเป็นเงิน 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ และต้องผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเท่านั้น สามารถกดเป็นเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทยได้ เพิ่มเงินให้อีก 300 บาท สำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียง) สำหรับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มกำลังซื้อ ระยะที่ 3 คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณวงเงิน 54,506 ล้านบาท โดยมีกำหนดการจ่ายเงินให้ผู้ถือบัตรฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา 1. เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าเพิ่มเติมอีกจำนวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2564 รวมเป็น 500 บาท และรวมเป็น 1,800 บาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2. เพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ช่วยเหลือวงเงินค่าซื้อสินค้า จำนวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2564 รวมเป็น 500 บาทต่อคน ในเดือน และรวมเป็น 1,800 บาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ บัตรคนจน รับโอนเงินเดือนพฤศจิกายน ได้ทั้งหมดเท่าไร-เงินเข้าวันไหน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-804313
Person read: 1590
18 November 2021
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมันวันนี้ (18 พ.ย.) ตามข้อมูลจากบางจาก แก๊สโซฮอล์ 95 จำหน่ายที่ราคาลิตรละ 32.35 บาท ส่วนแก๊สโซฮอล์ 91 จำหน่ายที่ราคาลิตรละ 32.08 บาท รายงานราคาดีเซลล่าสุด จำหน่ายที่ราคา 29.59 บาท ดีเซล B7 ราคา 29.74 บาท และดีเซลพรีเมี่ยม (Hi Premium Diesel S B7) อยู่ที่ 35.36 บาท ส่วนราคาน้ำมันพรุ่งนี้ ยังไม่มีประกาศเปลี่ยนแปลง ตามข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 07.03 น. ที่ผ่านมา สรุปราคาน้ำมันวันนี้ เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ • แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 32.35 บาท • แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 32.08 บาท • แก๊สโซฮอล์ E20 ลิตรละ 30.84 บาท • แก๊สโซฮอล์ E85 ลิตรละ 24.44 บาท ดีเซล • ดีเซล B7 ลิตรละ 29.74 บาท • ดีเซล B10 ลิตรละ 29.59 บาท • ดีเซล B20 ลิตรละ 29.49 บาท • ดีเซลพรีเมี่ยม ลิตรละ 35.36 บาท หมายเหตุ : ราคาอ้างอิงจาก บมจ.บางจากฯ ควรตรวจสอบราคา ณ สถานีเติมน้ำมันอีกครั้ง ราคาข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่ กทม. ราคาพรุ่งนี้จะมีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-804505
Person read: 1467
18 November 2021
เงินเฟ้อดัน “ทองคำ” ขาขึ้น กููรูในวงการประสานเสียงคาดราคายืนเหนือ 1,800 เหรียญถึงสิ้นปี แถมมีโอกาสแตะ 1,900 เหรียญ พร้อมลุ้นทองในประเทศเข้าใกล้ 3 หมื่นบาท “บล.โกลเบล็ก” แนะนักลงทุนรอจังหวะย่อค่อยเข้าซื้อเก็งกำไร นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ราคาทองคำต่างประเทศ (spot) น่าจะสามารถยืนเหนือ 1,800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้ไปจนถึงสิ้นปี 2564 นี้ จากปัจจัยด้านเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะลดวงเงินมาตรการคิวอี แต่เงินเฟ้อยังไม่ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นเหตุให้ทองคำยังคงไปได้ต่อ และน่าจะไปแตะ 1,900 เหรียญได้ โดย บล.โกลเบล็ก ให้กรอบราคาทองคำระยะยาวจนถึงสิ้นปีที่ 1,680-1,900 เหรียญ ส่วนราคาทองคำในประเทศ มีโอกาสแตะ 30,000 บาทต่อบาททองคำได้ “ปัจจัยที่ต้องจับตา คือ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งหากออกมาแย่ แต่เงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้น รวมถึงหากเงินบาทอ่อนค่าอีก ก็มีโอกาสที่ทองคำในประเทศจะขึ้นไปถึงระดับ 30,000 บาทได้”นายณัฐวุฒิกล่าว นายณัฐวุฒิกล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ นักลงทุนที่จะซื้อทองคำให้รอจังหวะย่อลงมา โดยแนะนำซื้อและถือเอาไว้ได้จนถึงต้นปีหน้า เนื่องจากช่วงไตรมาสแรกทองคำมักจะราคาขึ้น เมื่อถึงช่วงนั้นก็อาจจะเป็นช่วงขายทำกำไรได้ นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ราคาทองคำในประเทศ ปัจจุบันอยู่แถว ๆ 28,900 บาท โดยโอกาสไปแตะ 30,000 บาทในปีนี้คงยาก แต่ก็มีลุ้นหรืออาจเกิดขึ้นได้ในปีหน้า ซึ่งในระยะสั้นทองคำมีการปรับลงมาเล็กน้อย จากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ ทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 7 วันติดต่อกันทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 เดือน และราคาทองคำน่าจะยืนเหนือ 1,800 เหรียญไปได้ถึงสิ้นปี “ปัจจัยหลัก ๆ ที่จะหนุนราคาทองคำไปจนถึงสิ้นปี ยังเป็นเรื่องของเงินเฟ้อ ส่วนปัจจัยทางเทคนิคก็ยังมองว่า เป็นขาขึ้น โดยฮั่วเซ่งเฮงให้กรอบไว้ที่ 1,850-1877 เหรียญ และมีแนวต้านถัดไปที่ 1,880 เหรียญ ส่วนทองคำในประเทศน่าจะอยู่ที่ประมาณ 29,100 บาท อาจจะยังขึ้นไปไม่ถึง 30,000 บาทในช่วงนี้” นายธนรัชต์กล่าว อย่างไรก็ดี นายธนรัชต์กล่าวว่า มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นมา เป็นภาวะชั่วคราว ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลังจากซบเซาไปนานก็จะเป็นอีกปัจจัยที่จะเข้ามากดดันราคาทองคำ ดังนั้น นอกจากเงินเฟ้อแล้ว ยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของหลาย ๆประเทศที่เริ่มคลี่คลายและฟื้นตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐด้วย นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ในระยะสั้นราคาทองในประเทศมีโอกาสปรับขึ้นไปได้ถึงระดับกว่า 29,000 บาท แต่คงไปถึงระดับ 30,000 บาทได้ยาก แต่ระยะยาว ก็ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ เช่น เงินเฟ้อ เศรษฐกิจสหรัฐ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นกะทันหัน จนเป็นเหตุที่ดันราคาทองคำให้พุ่งขึ้นไปอีกได้ ส่วนราคา gold spot เชื่อว่าจะขึ้นยืนเหนือ 1,800 เหรียญไปถึงสิ้นปีได้ เนื่องจากทองคำตอนนี้เป็นขาขึ้น ซึ่งกรอบราคาทองคำช่วงนี้คาดว่าจะอยู่แถว 1,875-1820 เหรียญ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-803371
Person read: 1593
18 November 2021
ราคาบิตคอยน์วันนี้ (18 พ.ย.) ขยับขึ้น +0.53% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อยู่ที่ 60,409.90 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,970,903.19 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 38.97 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อ 6:52 น. ขณะที่เหรียญดิจิทัลคริปโทเคอร์เรนซีชนิดอื่น Ethereum ขยับขึ้น 2.% Binance Coin ปรับลง 1.89% และ Dogecoin ขยับขึ้น .31% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี 1. Bitcoin (BTC) ราคา 60,409.90 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.53% 2. Ethereum (ETH) ราคา 4,292.13 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +2.00% 3. Binance Coin (BNB) ราคา 577.80 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.89% 4. Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.02% 5. Solana (SOL) ราคา 218.64 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.20% 6. SHIBA INU (SHIB) ราคา0.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.65% 7. XRP (XRP) ราคา 1.10 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.86% 8. Polkadot (DOT) ราคา 42.54 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +4.16% 9. USD Coin (USDC) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.02% 10. Dogecoin (DOGE) ราคา 0.24 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.31% หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-804498
Person read: 1504
18 November 2021
ศบค.พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่วันนี้ (16 พ.ย.) เพิ่ม 5,947 ราย เสียชีวิต 62 คน หายป่วยกลับบ้านเพิ่มอีก 7,943 ราย เผยยอดผู้ป่วยอาการหนัก-ใส่ท่อช่วยหายใจลด ส่วนผลตรวจ ATK พบผู้ติดเชื้อเข้าข่ายเพิ่ม 2,073 คน วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ศูนย์ข้อมูล COVID-19 ของรัฐบาลและศูนย์ EOC กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รายงานข้อมูลเบื้องต้นสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 5,947 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 5,662 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 221 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 53 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 11 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,001,837 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) วันนี้มีผู้ป่วยหายป่วยกลับบ้านเพิ่ม 7,943 ราย หายป่วยสะสม 1,891,026 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 92,105 ราย และเสียชีวิต 62 ราย ทางด้านกรมควบคุมโรครายงานเพิ่มเติมว่า วันนี้มีผู้ป่วยกำลังรักษาตัว 92,105 คน อยู่ในรพ. 43,115 คน ระ.สนามและอื่นๆ 48,990 คน ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 1,775 คน ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 411 คน ซึ่งตัวเลขลดลง ขณะที่ผลตรวจ ATK วันนี้พบผู้ติดเชื้อเข้าข่ายเพิ่มอีก 2,073 คน รวมสะสม 311,912 คน ร้อยละของการติดเชื้ออยู่ที่ 10.99% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลง กล่าวคือตรวจพบการติดเชื้อน้อยลง จากก่อนหน้าซึ่งอยู่ประมาณ 13-14% ส่วนความคืบหน้าของการฉีดวัคซีน ฉีดได้เพิ่มขึ้นอีก 557,425 โดส ทำให้ตัวเลขสะสมขึ้นไปอยู่ที่ 85.47 ล้านโดส โดยเข็มที่ 1 ฉีดไปแล้ว 45.51 ล้านคน ครอบคลุม 63.18 ของจำนวนประชากร สรุปยอดผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิตย้อนหลัง ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 8,165 ราย : เสียชีวิต 55 ราย วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,574 ราย : เสียชีวิต 78 ราย วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,679 ราย : เสียชีวิต 56 ราย วันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,982 ราย : เสียชีวิต 68 ราย วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 8,148 ราย : เสียชีวิต 80 ราย วันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 8,467 ราย : เสียชีวิต 69 ราย วันที่ 7 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,960 ราย : เสียชีวิต 53 ราย วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,592 ราย : เสียชีวิต 39 ราย วันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 6,904 ราย : เสียชีวิต 61 ราย วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 6,978 ราย : เสียชีวิต 62 ราย วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,496 ราย : เสียชีวิต 57 ราย วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,305 ราย : เสียชีวิต 51 ราย วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,057 ราย : เสียชีวิต 55 ราย วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 7,079 ราย : เสียชีวิต 47 ราย วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 : ผู้ติดเชื้อ 6,343 ราย : เสียชีวิต 45 ราย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-802930
Person read: 1528
16 November 2021
จับตาวาระครม.สัญจร กระบี่ ก.พลังงาน ชงกู้เงิน 2 หมื่นล้านบาท ใส่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตรึงน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ไฟเขียว นักลงทุน-เศรษฐีต่างชาติพำนักในไทย ยกเว้นค่าธรรมเนียมต่ออายุใบบัตรอนุญาตธุรกิจนำเที่ยว-มัคคุเทศก์ ต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคมไทย-เยอรมนี วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.) สัญจร ครั้งที่ 1/2564 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) ที่จังหวัดกระบี่ โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุม แต่งกายชุดผ้าไทยแขนยาว มีวาระสำคัญ ดังนี้ เรื่องเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นเรื่องที่ ครม. เห็นชอบ/อนุมัติ อาทิ ขอเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย เทศบาลนครหาดใหญ่จังหวัดสงขลา เรื่องเพื่อพิจารณา อาทิ ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อจัดให้รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเช่าพื้นที่ราชพัสดุเพื่อเป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดสงขลา ขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียครั้งที่ 21 การขออนุมัติกู้ยืมเงินของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เรื่องวาระสำคัญของรัฐบาล การพัฒนาพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) อาทิ การนำเสนอแหล่งมรดกทางธรรมชาติ พื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดซื้อที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 และ 2563 ในท้องที่จังหวัดชายฝั่งทะเล 21 จังหวัด เรื่องการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) อาทิ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..) ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุบัตรอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. …. ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯเพิ่มเติม พ.ศ.2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 14/2564 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-802978
Person read: 1557
16 November 2021
กรมอุตุฯเตือน บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ส่งผลตอนบนมีหมอกในตอนเช้า ระวังอันตรายในการสัญจร ส่วนภาคใต้ยังมีฝนตกหนักใน 8 จังหวัด วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้าว่า ลักษณะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อน ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็นในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ มีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งทางตอนบนของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 9-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคกลาง มีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ภาคตะวันออก เมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆบางส่วน กับมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-802967
Person read: 1541
16 November 2021
ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด วันที่ 16 พ.ย.64 วันนี้เป็นวันแรกที่รัฐบาลจะโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ ให้กลุ่มคนขับรถแท็กซี่และวินมอเตอร์ไซค์ ที่มีอายุเกิน 65 ปี และไม่เป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33, 39 และ 40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน 65 ปี และไม่เป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33, 39 และ 40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา การแบ่งจ่ายเงินเยียวยา 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ใน 13 จังหวัด ช่วยเหลือ 10,000 บาทต่อราย แบ่งจ่ายเดือนละ 5,000 บาท ระยะเวลา 2 เดือน ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา กลุ่มที่ 2 ใน 16 จังหวัด ช่วยเหลือ 5,000 บาทต่อราย ระยะเวลา 1 เดือน ประกอบด้วย กาญจนบุรี ตาก นครนายก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง ยอดลงทะเบียน ทางกระทรวงคมนาคมได้เปิดให้ลงทะเบียนขอรับสิทธิช่วยเหลือด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 18 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2564 ณ กรมการขนส่งทางบก สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-4 และสำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ ต่อมา กรมการขนส่งทางบกรายงานว่า มียอดลงทะเบียนขอรับสิทธิช่วยเหลือทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 10,789 ราย แบ่งเป็น ผู้ขับรถแท็กซี่ จำนวน 5,921 ราย ผู้ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะจำนวน 4,868 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่ตรวจสอบแล้วว่ามีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือ 7,017 ราย และรอผลการตรวจสอบ 3,772 ราย กำหนดการโอนเงิน ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยกำหนดดำเนินการโอนเงินให้กับผู้ที่ได้รับสิทธิรอบแรกในวันที่ 16 พฤศจิกายน นี้ ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกบัญชีกับเลขบัตรประจำตัวประชาชนตามที่ได้ระบุไว้ในเอกสารการลงทะเบียน สำหรับผู้ขับรถแท็กซี่ในกรณีรถเช่าขับ กรมการขนส่งทางบกจะตรวจสอบข้อมูลจากผู้ให้เช่าก่อนพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขเป็นผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือหรือไม่ และจะกำหนดวันสำหรับโอนรอบที่ 2 ต่อไป ครม. อนุมัติ 167 ล้าน จ่ายเยียวยาวิน-แท็กซี่ คนละ 10,000 บาท แท็กซี่ วินมอไซค์ จองคิวรับเงิน 5,000-10,000 บาท อย่างไร ? แท็กซี่-วินมอไซค์ พื้นที่สีแดง จองคิวรับเงิน 10,000 บาทวันแรก 18 ต.ค. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-783617
Person read: 1528
16 November 2021
คอลัมน์ สถานีลงทุน สวภพ ยนต์ศรี บลจ.ทิสโก้ เหลือระยะเวลาอีกเพียงไม่ถึง 2 เดือนการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนรวม SSF และ RMF ในปีนี้ก็จะหมดลงพร้อมกับปี 2021 ที่จะหมดไป ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสและความผันผวนของตลาดการลงทุนทั่วโลก ทำให้หลายคนอาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจลงทุนใน SSF หรือ RMF แต่เมื่อเข้าถึงช่วงระยะเวลาปลายปี ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายแบบนี้คงจะต้องถึงเวลาแล้วในการพิจารณาลงทุนในกองทุน SSF และ RMF วันนี้เราจึงมี 5 เคล็ดลับการลงทุนใน SSF และ RMF เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจมาฝากกัน 1.มองภาพการลงทุนระยะยาวเป็นหลัก กองทุนรวม SSF และ RMF นั้นเป็นการลงทุนในระยะยาว คือกองทุน SSF ต้องถือครองอย่างน้อย 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ ส่วน RMF ก็ต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี และยาวไปจนถึงอายุครบ 55 ปี นั่นหมายความว่า การตัดสินใจในการเลือกลงทุนในกองทุน SSF และ RMF ควรพิจารณาถึงผลตอบแทนระยะยาวและภาพการลงทุนที่เกิดขึ้นในอนาคตเป็นหลัก ตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัด คือ ภาพในระยะสั้นตั้งแต่ต้นปีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่ม growth ในต่างประเทศ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี มีความผันผวนและบางช่วงระยะเวลามีผลตอบแทนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่ม old economy เช่น กลุ่มการเงิน แต่หากจะลงทุนระยะยาวเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีนั้น แน่นอนว่ากลุ่มที่มีโอกาสเติบโตสูงอย่างเทคโนโลยียังมีโอกาสเติบโตได้ดีมากเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่น ๆ 2.กระจายความเสี่ยงในการลงทุน ย้อนกลับไปในอดีตที่เรายังสามารถลงทุนในกองทุนรวม LTF ซึ่งมีข้อจำกัดคือทุกกองทุนต้องมีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ส่งผลให้การกระจายความเสี่ยงอาจจะทำได้ไม่มากนัก แต่ในปัจจุบันกองทุน SSF ที่มาแทนที่ได้มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย ทั้งหลายสินทรัพย์และหลายภูมิภาค ดังนั้น เราสามารถเลือกลงทุนกระจายความเสี่ยงได้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับกองทุน RMF ที่กำหนดให้นโยบายการลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ได้หมายความว่า เราก็สามารถที่จะกระจายความเสี่ยงได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศทั้ง SSF และ RMF มีทางเลือกค่อนข้างหลากหลาย การพิจารณาลงทุนนอกเหนือจากการลงทุนในหุ้นไทยเพียงอย่างเดียวก็ถือเป็นตัวเลือกที่ควรกระจายมาลงทุน 3.พิจารณาผลตอบแทนย้อนหลัง จากกองทุนเดิมที่นโยบายการลงทุนเหมือนกัน การพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังกองทุนเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนนั้น สำหรับกองทุน SSF ที่พึ่งมีขึ้นในปี 2020 ที่ผ่านมา ทำให้แต่ละกองทุนอาจจะไม่มีผลตอบแทนย้อนหลังให้ใช้พิจารณา แต่ที่จริงแล้วกองทุน SSF ของแต่ละ บลจ.มักจะเป็นการออกกองทุน SSF อ้างอิงจากกองทุนทั่วไปเดิมที่เคยมีอยู่ หรือแยก class (ชนิดหน่วยลงทุน) ของกองทุนออกมาเป็น class SSF เราจึงสามารถดูผลตอบแทนย้อนหลังจากกองทุนทั่วไปเดิมที่เคยมีอยู่แล้วในการประกอบการตัดสินใจ นอกจากนี้ กองทุน SSF ที่มีนโยบายการลงทุนในต่างประเทศยังสามารถใช้กองทุนหลักในต่างประเทศ หรือ master fund ในการใช้พิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อีกวิธีหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องอย่าลืมด้วยว่าผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งที่ยืนยันผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 4.เมื่อต้องเลือกลงทุนระหว่าง SSF และ RMF อาจต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่สามารถขายกองทุนได้ แน่นอนว่าหากใครต้องการลดหย่อนภาษีโดยใช้สิทธิอย่างเต็มที่ก็สามารถลงทุนได้ทั้งกองทุน SSF และ RMF แต่เมื่อนำการลงทุนของทั้งสองกองทุนมารวมกันกับการลงทุนเพื่อสิทธิลดหย่อนภาษีในหมวดการเกษียณอื่น ๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันแบบบำนาญ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการนั้นจะต้องไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งอาจจะต้องพิจารณาเลือกลงทุนเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยปัจจัยที่น่าจะนำมาพิจารณาคือช่วงอายุในการขายคืนกองทุนเมื่อครบกำหนด เช่น หากเป็นผู้มีอายุ 50 ปีและใกล้เกษียณแล้ว การลงทุนใน SSF ต้องรออีก 10 ปี ถึงจะขายกองทุนได้ หมายความว่าเราต้องมีอายุ 60 ปี ในขณะที่การลงทุนใน RMF ใช้ระยะเวลาถือครองสั้นกว่าคือ 5 ปี และอายุครบ 55 ปีเท่านั้น 5.วางแผนการลงทุนแบบ DCA ในปีหน้า การวางแผนลงทุนสำหรับปีต่อไปตั้งแต่เนิ่น ๆ ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยการลงทุนถัวเฉลี่ยในแต่ละเดือน หรือ DCA (dollar-cost-averaging) ทั้งในกองทุน SSF และ RMF ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดความผันผวนด้านราคาที่เกิดขึ้นกับกองทุนได้ ทั้งยังเป็นการสร้างวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอให้เกิดขึ้นอีกด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-801687
Person read: 1528
16 November 2021
Photo by Ivan Babydov ราคาบิตคอยน์ประจำวันนี้ (16 พ.ย.) ปรับลง -2.62% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อ 24 ชั่วโมงก่อน โดยมีราคา 63,795.10 เหรียญสหรัฐ หรือราว 2,089,927.48 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 30.83 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อเวลา 6:55 น. ขณะที่เหรียญดิจิทัลคริปโทเคอร์เรนซีชนิดอื่นๆ Ethereum ปรับลง 1.2% Binance Coin ปรับลง 2.61% และ Dogecoin ปรับลง 2.08% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี 1. Bitcoin (BTC) ราคา 63,795.10 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.62% 2. Ethereum (ETH) ราคา 4,569.89 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.20% 3. Binance Coin (BNB) ราคา 633.83 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.61% 4. Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.02% 5. Solana (SOL) ราคา 238.29 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.16% 6. SHIBA INU (SHIB) ราคา0.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +1.77% 7. XRP (XRP) ราคา 1.17 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.11% 8. Polkadot (DOT) ราคา 44.87 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.22% 9. USD Coin (USDC) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.01% 10. Dogecoin (DOGE) ราคา 0.26 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.08% หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-802963
Person read: 1502
16 November 2021
นักลงทุนต่างชาติโหมซื้อบอนด์สั้น-เข้าหุ้นไทย เก็งเงินบาทปลายปีแข็งค่าแตะ 32.50 บาท “กรุงไทย” ประเมินฟันด์โฟลว์ทะลักปลายปี คาด 2 เดือนสุดท้ายเข้า “หุ้น-บอนด์” รวม 4 หมื่นล้านบาท จับตาเฟดประชุมรอบเดือนธันวาคม หากขึ้นดอกเบี้ยเร็วอาจมีการเทขายบอนด์ ฟาก ธปท.ระบุยังไม่เห็นสัญญาณทุนเคลื่อนย้ายผิดปกติ ด้าน “ทีทีบี” ชี้ปลายปีเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น ช่วยลดปัญหานำเข้าน้ำมันแพง นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ต่างชาติเข้าซื้อพันธบัตรไทยระยะสั้นค่อนข้างมาก ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นจนหลุด 33 บาทต่อดอลลาร์ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะมาจากปัจจัยค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าด้วยก็ตาม แต่ประเด็นสำคัญมาจากนักลงทุนต่างชาติปรับมุมมองค่าเงินบาทปลายปีนี้ ว่าจะมีทิศทางแข็งค่าไปอยู่ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ จึงมีการตัดขาดทุน (cut loss) และปรับสถานะ หันมาถือครองบอนด์ระยะสั้นมากขึ้น “แนวโน้มกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เราประเมินว่า ยังคงเห็นสัญญาณไหลเข้าในตลาดบอนด์ โดยปัจจัยหลักมาจากแนวโน้มสัญญาณเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นของไทย จากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์และเปิดประเทศ ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาส่งสัญญาณคอนเฟิร์ม ส่งผลให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น” นายพูนกล่าว ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) พบว่า นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิตลาดบอนด์ราว 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งหากดูไส้ในจะพบว่าบอนด์ระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี มีการเข้ามาซื้อสุทธิสูงถึง 9.5 หมื่นล้านบาท และบอนด์ระยะยาว อายุมากกว่า 1 ปี ซื้อสุทธิราว6.5 หมื่นล้านบาท โดยจะเห็นสัญญาณเข้ามาซื้อบอนด์สั้นมากในช่วงที่มีการประมูล ซึ่งในปีนี้มีการประมูลบอนด์ค่อนข้างบ่อย เนื่องจากรัฐบาลมีความจำเป็นในการกู้เงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ นายพูนกล่าวว่า ขณะที่ตลาดหุ้นก็เริ่มเห็นสัญญาณเก็งกำไรของนักลงทุนต่างชาติ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา หลังรัฐบาลทยอยประกาศคลายล็อกดาวน์ โดยเฉลี่ยมีโฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้น 2,000-3,000 ล้านบาทต่อวัน ทั้งนี้ ภาพรวมโฟลว์นับตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม-10 พฤศจิกายน 2564 มีโฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นรวม 4.8 หมื่นล้านบาท ถือว่าค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับที่ผ่านมาที่มีสถานะขายออกต่อเนื่องเป็นแสนล้านบาท ซึ่งหลังผ่อนคลายล็อกดาวน์กระแสเงินไหลเข้ามากกว่าที่คาดการณ์ และมองว่ามีโอกาสเห็นโฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นเพิ่มเติม หากดัชนี SET ย่อตัวลงไปที่ 1,600 จุด “เราเห็นสัญญาณเข้ามาเก็งกำไรในบอนด์ระยะสั้นช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ตลาดหุ้นเข้ามาตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคมแล้ว ซึ่งคงต้องดูภาพโฟลว์หลังจากนี้ โดยเรามองว่ายังคงเห็นนักลงทุนเข้ามาซื้อบอนด์สั้น ส่วนบอนด์ยาวอาจเห็นการเทขายทำกำไรได้บ้าง แต่โดยรวมถึงสิ้นปีจะเห็นไหลเข้าอีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาท” “ส่วนหุ้นคาดว่าจะเห็นจังหวะเข้ามาของโฟลว์หากตลาดหุ้นย่อตัวไปอยู่ที่ 1,600 จุด คาดว่าน่าจะเข้ามาพอ ๆ กับบอนด์ที่ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมต่างชาติซื้อสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท” “โดยภาพรวมทั้งปีหุ้นจะยังเป็นต่างชาติขายสุทธิ 4 หมื่นล้านบาท ส่วนบอนด์ซื้อสุทธิ 1.8 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนธันวาคมอีกครั้ง หากเฟดบอกว่าจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น อาจเห็นฝรั่งเทขายบอนด์ได้” นายพูนกล่าว นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนมานี้ ต่างชาติเข้าซื้อบอนด์ไทยเพิ่มขึ้นมาก โดยซื้อสุทธิมากถึง 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเข้ามาเก็งกำไร เนื่องจากมองว่าเงินบาทช่วงปลายปีจะแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ดี แม้เงินบาทช่วงปลายปีจะแข็งค่าขึ้น น่าจะเป็นผลดีกับการนำเข้าน้ำมันที่ราคาจะไม่สูงมากเกินไป เพราะหากบาทอ่อน ต้องนำเข้าน้ำมันแพงมาก ๆ จะยิ่งกระทบเงินเฟ้อ ขณะที่ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ช่วง 11 วันแรกของเดือนพฤศจิกายน ต่างชาติซื้อสุทธิบอนด์ไทยเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะช่วงวันที่ 9-10 พฤศจิกายน โดยวันที่ 9 พ.ย. ซื้อสุทธิไปกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนวันที่ 10 พ.ย. ซื้อสุทธิไปกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ก่อนหน้านี้ นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า แนวโน้มค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า มองว่าเป็นการแข็งค่าระยะสั้น ยังไม่มีผลกระทบกับภาคการส่งออก เพราะหากดูตั้งแต่ต้นปี 2564 ถึงปัจจุบัน เงินบาทยังคงอ่อนค่า 6-7% แต่จะเห็นผลกระทบในแง่ผลกำไร-ขาดทุนของผู้ประกอบการได้ ทั้งนี้ กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย มีทั้งไหลเข้า-ไหลออก แต่ในช่วงหลังจะเห็นไหลเข้า สะท้อนจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แต่มองไประยะข้างหน้ายังไม่เห็นสัญญาณผิดปกติ “ในช่วงการปรับนโยบายการเงินและการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสำคัญ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หากมีการปรับขึ้นเร็วกว่าคาด จากเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้นปลายปี 2565 นั้น อาจสะท้อนความไม่แน่นอนสูง จะเห็นตลาดการเงินผันผวน ซึ่งจะมีผลต่อฟันด์โฟลว์ได้” “โดยอาจกระทบอัตราแลกเปลี่ยนและผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) และต้นทุนของผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม อย่างไรก็ดี เรามองว่าเฟดคงจะพยายามไม่เซอร์ไพรส์ตลาด เพื่อทำให้ความเสี่ยงต่อตลาดการเงินโลกน้อยลง” นายปิติกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-801593
Person read: 1479
16 November 2021
REUTERS/Leonhard Foeger ออสเตรียบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ ตำรวจปรับเงินคนไม่ฉีดวัคซีน เข้าใช้บริการสถานที่ต่าง ๆ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 บลูมเบิร์กรายงานว่า ตำรวจออสเตรียได้รับคำสั่งให้สกัดและตรวจสอบประชาชนตามท้องถนน เพื่อบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์กับผู้ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่เข้มงวดขึ้นทั่วยุโรป เพื่อรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้น กระทรวงมหาดไทยออสเตรีย เผยว่า มาตรการล็อกดาวน์ดังกล่าวเริ่มใช้ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป โดยผู้ที่ไม่สามารถแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน ก่อนเข้าใช้บริการโรงหนัง โรงยิม และร้านค้าปลีก จะถูกปรับอย่างน้อย 500 ยูโร หรือราว 18,000 บาท ส่วนผู้ประกอบการที่ให้บริการคนกลุ่มนี้อาจถูกปรับ 3,600 ยูโร หรือราว 134,000 บาท “ออสเตรียต้องเร่งฉีดวัคซีน เนื่องจากมีอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำจนน่าอัปยศอดสู” อเล็กซานเดอร์ แชลเลินแบร์ค นายกรัฐมนตรีออสเตรียกล่าวในงานแถลงข่าวที่กรุงเวียนนา พร้อมกับบอกด้วยว่า “เราจะไม่ใช้มาตรการนี้อย่างเบามือ โชคไม่ดีที่มันเป็นเรื่องจำเป็น” เอพี รายงานว่า มาตรการล็อกดาวน์คนไม่ฉีดวัคซีนที่บังคับใช้ทั่วประเทศออสเตรีย ห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนอายุ 12 ปีขึ้นไปออกจากบ้าน เว้นแต่การทำกิจวัตรพื้นฐาน เช่น การทำงาน ซื้อของชำ เดินเล่น หรือเดินทางไปรับวัคซีน มาตรการที่เข้มงวดนี้ส่งผลต่อประชาชนประมาณ 2 ล้านคน จากทั้งหมด 8.9 ล้านคน อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้จะไม่บังคับใช้กับเด็กอายุไม่ถึง 12 ปี เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้ยังไม่สามารถรับวัคซีนจากทางการได้ เบื้องต้น รัฐบาลออสเตรียประกาศบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ 10 วัน มาตรการควบคุมโควิดของออสเตรียนั้น เกิดขึ้นหลังจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งยุโรปเตือนว่า ผู้ป่วยโควิดกำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้น และยุโรปกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาด หลายรัฐบาลในยุโรปกำลังเร่งควบคุมโรคเพื่อรักษาระบบสาธารณสุข ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-802959
Person read: 1453
16 November 2021
ธนาคารกสิกรไทย แจ้งตลท.จัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งในประเทศสิงคโปร์ ภายใต้ชื่อ “KASIKORN VISION FINANCIAL PTE. LTD.” ทุนจดทะเบียน 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ โดยกสิกรไทยถือหุ้น 100% วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)โดยนายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารได้มีมติอนุมัติการจัดตั้ง KASIKORN VISION FINANCIAL PTE. LTD. โดยธนาคารกสิกรไทยถือหุ้นในสัดส่วน 100% ทั้งนี้ ธนาคารได้รับอนุญาติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธ ปท.)ให้จัดตั้ง KASIKORN VISION FINANCIAL PTE. LTD.ในประเทศสิงคโปร์ให้อยู่ภายในกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยแล้วเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2564 และได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ KASIKORN VISION FINANCIAL PTE. LTD. มีทุนจดทะเบียน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบธุรกิจโฮลดิ้ง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-802953
Person read: 1498
16 November 2021
REUTERS/Lintao Zhang/Pool//File Photo ความตึงเครียดของไต้หวัน มีแนวโน้มจะถูก “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ “สี จิ้นผิง” หยิบยกขึ้นมาหารือ ขณะที่ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯยัน สหรัฐฯกับพันธมิตรจะปกป้องไต้หวันจากจีน วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 อัลจาซีรา รายงานว่า ความตึงเครียดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในไต้หวัน คาดว่าจะกลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในการประชุมเสมือนจริงระหว่าง “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน ควบคู่กับประเด็นอื่น ๆ ตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ไปจนถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2022 “หวัง หยาง” รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เน้นย้ำว่า ประเด็นเรื่องไต้หวันเป็นจุดสำคัญของความขัดแย้ง ระหว่างการพูดคุยของเขากับ “แอนโทนี บลิงเคน” รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก่อนหน้าการประชุมเสมือนจริงของไบเดนและสี ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเย็นวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น มีรายงานว่า หวังได้เตือนสหรัฐฯว่าอย่าสนับสนุนเอกราชของไต้หวัน ขณะที่สื่อทางการจีนอย่าง “ไชน่าเดลี” เรียกร้องให้สหรัฐฯยึดถือในหลักการจีนเดียว (One China Principle) ซึ่งเป็นนโยบายของทางการจีนที่ระบุว่า ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน ส่วนสื่อจีนอีกสำนักอย่าง “โกลบอลไทม์ส” รายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้ข้ามเส้นแดง และสมคบกับ “ไช่ อิงเหวิน” ประธานาธิบดีไต้หวัน หลังเข้ารับตำแหน่งในทำเนียบขาวเมื่อเดือนมกราคม ฝ่ายบริหารของไบเดนแสดงท่าทีชัดเจนว่าสนับสนุนไต้หวัน เมื่อเทียบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯคนอื่น ๆ จากพรรคเดโมแครต บลิงเคนกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐฯและพันธมิตรจะดำเนินการเพื่อปกป้องไต้หวัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคำเตือนที่รุนแรงที่สุดของทางการสหรัฐฯ สหรัฐฯและไต้หวันยังคงไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ แต่สหรัฐฯเคยให้คำมั่นว่าจะให้การสนับสนุนเพื่อให้ไต้หวันสามารถปกป้องตนเองภายใต้ข้อตกลง 1979 แม้จะเป็นปัญหาที่ดำเนินมายาวนานระหว่างสหรัฐฯกับจีน แต่ความตึงเครียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับไต้หวันเริ่มร้อนระอุขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากจีนส่งเครื่องบินรบเกือบ 140 ลำ ซึ่งรวมถึงการส่งเครื่องบินรบ 56 ลำภายในวันเดียว ไปยังเขตป้องกันภัยทางอากาศของไต้หวัน (ADIZ) เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม รายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วระบุว่า มีการส่งเครื่องบินรบเข้าไปยังเขต ADIZ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ประธานาธิบดีไช่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2559 และเพิ่มขึ้นอีกในปีที่ผ่านมา รายงานระบุด้วยว่า จีนอาจสามารถโจมตีไต้หวันได้ภายในปี 2570 “ไจ ไมเคิล โค” นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันแมคโดนัลด์-ลอรีเอะ ประเทศแคนาดา ให้สัมภาษณ์อัลจาซีราว่า ทางการจีนกำลังพยายามโดดเดี่ยวไต้หวัน “สหรัฐฯมีแนวโน้มรับประกันความปลอดภัยให้ไต้หวันมากขึ้น ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับจีน ที่กำลังโน้มน้าวไต้หวันว่า ไต้หวันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการยอมจำนน” เขากล่าว การละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม ไต้หวัน เป็นเพียงหนึ่งในหลายประเด็นที่คาดว่าสีกับไบเดนจะนำมาหารือ เนื่องจากทั้งสองประเทศยังเผชิญข้อพิพาททางการค้าระหว่างกัน ตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” นอกจากนี้ยังมีความไม่ลงรอยกันในประเด็นอื่น ๆ เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการปราบปรามทางการเมืองของจีน ที่มีต่อเขตปกครองตนเองซินเจียง, ทิเบต และฮ่องกง ความกังวลต่าง ๆ เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของจีน ทำให้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะแตะประเด็นเรื่องการคว่ำบาตรการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งเรื่องนี้อาจสร้างความไม่สบายใจให้กับไบเดน เพราะมีการคาดการณ์ว่าสีอาจเชิญเขาเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน ตามรายงานของซีเอ็นบีซี “การติดต่อส่วนตัวระหว่างผู้นำประเทศจะมีผลต่อนโยบายสหรัฐฯ-จีนหรือไม่นั้น เรื่องนี้ยังคงไม่ชัดเจน” แมทธิว กู๊ดแมน อดีตที่ปรึกษาด้านทวีปเอเชียของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ส ในระยะสั้น ทั้งจีนและสหรัฐฯได้แสดงให้เห็นว่า ทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือกันในประเด็นต่าง ๆ ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จะมีความตึงเครียดทางการเมืองอื่น ๆ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทั้งสองประเทศได้ลงนามในข้อตกลงที่สร้างความประหลาดใจ ในการประชุมสุดยอดด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติในสกอตแลนด์ COP26 : จีน สหรัฐ สร้างเซอร์ไพรส์ จับมือแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ สี จิ้นผิง – โจ ไบเดน นัดประชุมสัปดาห์หน้า ฟื้นสัมพันธ์สหรัฐ-จีน สนามรบใหม่ “B3W-BRI” สหรัฐเดินเกมคานอำนาจจีน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-802920
Person read: 1528
16 November 2021
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2564 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (15/11) ที่ระดับ 32.66/68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (12/11) ที่ระดับ 32.72/74 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครและอัตราเงินหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลงสู่ระดับ 10.44 ล้านตำแหน่งในเดือนกันยายน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.46 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 10.63 ล้านตำแหน่งในเดือนสิงหาคม ส่วนอัตราการเปิดรับสมัครงานอยู่ที่ระดับ 6.6% ในเดือนกันยายน ตัวเลขการลาออกจากงานโดยสมัครใจพุ่งขึ้น 164,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 4.43 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อัตราการลาออกจากงาน โดยสมัครใจอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งเป็นระดับสุงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ตัวเลขการปลดออกจากงานอยู่ที่ระดับ 1.4 ล้านตำแหน่งในเดือนกันยายน ขณะที่อัตราการปลดออกจากงานทรังตัวที่ระดับ 0.9% ทั้งนี้ตัวเลข JOLTS นับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 66.8 ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2554 จากระดับ 72.8 ในเดือนกันยายน สำหรับปัจจัยภายในประเทศนั้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผย เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3/64 หดตัว 0.3% จากที่ขยายตัว 7.5% ในไตรมาสที่ 2/64 จากผลกระทบวิกฤตโรคโควิด-19 ที่ยัคงแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทบต่อทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของประชาชน ขณะที่เศรษฐกิจไทย 9 เดือนแรกของปี 2564 ขยายตัว 1.3% เทียบกับการหดตัว 6.8% ใน 9 เดือนแรกของปี 2563 โดยภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมแะภาคบริการขยายตัว 2.3% 3.6% และ 0.0% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงเฝ้าติดตามกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 32.66-32.74 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 32.70/73 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (15/11) ที่ระดับ 1.1457/59 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (12/11) ที่ระดับ 1.1443/45 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อในแถบยูโรโซนจะปรับตัวลดลงในปีหน้า เนื่องจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อขณะนี้เป็นเพียงแค่ระยะชั่วคราว ทาง ECB จึงมองว่ายังไม่มีความจำเป็นในการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1437-1.1464 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1448/51 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (15/11) ที่ระดับ 113.80/82 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (12/11) ที่ระดับ 113.90/92 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2564 หดตัวลง 3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 2 ไตรมาส และหดตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะหดตัวลงเพียง 0.8% เนื่องจากการแพร่ระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด-19 และปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นทั่วโลกที่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจญี่ปุ่น หากเทียบเป็นรายไตรมาสตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นหดตัวลง 0.8% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะหดตัวเพียง 0.2% ข้อมูลของสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นยังระบุด้วยว่า การอุปโภคบริโภคในภาคเอกชนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้น ปรับตัวลง 1.1% ในไตรมาส 3 ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 0.5% ส่วนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจปรับตัวลง 3.8% ในไตรมาส 3 ขณะที่การส่งออกลดลง 2.1% ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 113.75-114.04 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 113.91/94 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐ (16/11) ตัวเลขเงินเฟ้ออังกฤษ (17/11) ตัวเลขเงินเฟ้อยูโรโซน (17/11) ตัวเลขสร้างบ้านสหรัฐ (17/11) จำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐ (18/11) ยอดค้าปลีกอังกฤษ (19/11) สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ +0.60/+0.80 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -1.40/-0.50 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-802863
Person read: 1492
16 November 2021
รองปลัดพลังงานเตรียมรับขบวนม็อบรถบรรทุก 500 คันบุกแสดงพลัง Truck Power ซีซั่น 2 ยื่นหนังสือ “สุพัฒนพงษ์” กดดันตรึงราคาดีเซล ประสานตำรวจจราจร รับมือ 4 เส้นทางรถติด ด้าน ปตท.-บางจาก ปรับลดราคาน้ำมัน 20 สตางค์ มีผลพรุ่งนี้ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 นายสมบูรณ์ หน่อแก้ว รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้กระทรวงได้ประสานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ซึ่งจะจัดกิจกรรมแสดงพลังของคนรถบรรทุก (Truck Power) ซีซั่น 2 ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 โดยใช้ 4 เส้นทาง เพื่อเคลื่อนขบวนเดินทางมามอบหนังสือที่กระทรวง เวลาประมาณ 13.30 น. “เบื้องต้นประสานไปแล้วการจัดกิจกรรมนี้จะไม่ค้างคืนปักหลัก แต่จะมาเพื่อยื่นหนังสือเท่านั้น และตนจะเป็นผู้รับมอบหนังสือจากสหพันธ์ฯ เพื่อเสนอต่อระดับนโยบาย เพราะข้อเสนอที่ทางสหพันธ์เรียกร้องนั้นเป็นประเด็นที่ทางกระทรวงไม่สามารตัดสินใจเองได้ต้องหารือในระดับนโยบายต่อไป” นอกจากนี้ได้ประสานกับทางตำรวจจราจรเพื่อดูแลอำนวยความสะดวกไม่เพื่อไม่กระทบต่อการจราจร สำหรับการเคลื่อนไหวของสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ที่จะจัดกิจกรรมแสดงพลังของคนรถบรรทุก (Truck Power) ซีซั่น 2 จากครั้งแรกที่จัดขึ้น วันที่ 19 ตุลาคม 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 500 คัน เป้าหมายเพื่อสะท้อนผลกระทบความเดือดร้อนของประชาชน ผู้บริโภคน้ำมัน และผู้ประกอบการขนส่ง จากการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นน้ำมันที่ใช้ในภาคขนส่ง ทางสหพันธ์เสนอให้รัฐลดภาษีสรรพสามิต 1-2 บาทตาลิตร และลดการใช้น้ำมันไบโอดีเซล อีก 1-2 บาทต่อลิตร เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบช่วยให้ราคาดีเซลลดลงเหลือลิตรละไม่เกิน 25 บาท สำหรับเส้นทาง 4 เส้นทาง ประกอบด้วย 1. ถนนสายเอเซีย เริ่มต้นจากสถานีตรวจสอบน้ำหนักบางปะอิน ขาเข้า-ผ่านแยกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์-รังสิต-ดอนเมือง-แยกหลักสี่-เซ็นทรัลลาดพร้าว-ยูเทิร์นห้าแยกลาดพร้าว-กระทรวงพลังงาน 2. ถนนสุขุมวิท เริ่มต้นจากลานหน้าประตู 2 ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เส้นทางสุขุมวิทมุ่งหน้า อ.ศรีราชา เลี้ยวขวาทางเลี่ยงเมืองหนองมน เส้นทางถนนข้าวหลามมุ่งหน้าบายพาสชลบุรี ใช้ทางลาดเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 34 บางนา-ตราด และมุ่งหน้าสมทบที่จุด กม.ที่ 15 3. ถนนบางนา-ตราด รวมพล ณ บางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 12-วิ่งขึ้นทางด่วนบางนา-กระทรวงพลังงาน ถนนวิภาวดีรังสิต 4. ถนนกาญจนาภิเษก เริ่มต้นจากแมคโคร จ.นครปฐม ถนนเพชรเกษม เข้าถนนบรมราชชนนี เลี้ยวซ้ายที่แยกบางพลัด เพื่อเข้าสู่ถนนจรัญสนิทวงศ์ ผ่านวงศ์สว่าง ถนนรัชดาภิเษก เลี้ยวซ้ายเข้าห้าแยกลาดพร้าว เลี้ยวซ้ายเข้าแคราย และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนกาญจนาภิเษก รายงานข่าว ระบุว่า ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและผู้บริหารกระทรวงพลังงาน เดินทางไปประชุมครม.สัญจร ที่จังหวัดกระบี่ จุงได้มอบหมายให้นายสมบูรณ์ หน่อแก้ว รองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 พ.ย.64 บมจ.ปตท.น้ำมัน และการค้าปลีก (OR) และ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ประกาศปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิด 20 สตางค์ ยกเว้น E85 คงราคาเท่าเดิม มีผล 16 พ.ย.64 เวลา 05.00 น.เป็นต้นไป ทั้งนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องถิ่นวันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ – ดีเซล B7 ลิตรละ 29.74 บาท – E85 ลิตรละ 24.44 บาท – E20 ลิตรละ 30.84 บาท – แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 32.08 บาท – แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 32.35 บาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-802901
Person read: 1406
16 November 2021
ราช กรุ๊ป โกยกำไร 9 เดือนกว่า 5,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากขายไฟฟ้ากลุ่มโรงไฟฟ้าในออสเตรเลียและส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมทุน แง้มลงทุนโรงไฟฟ้าอีก 2 แห่งส่งท้ายปี กำลังผลิตรวม 1,054 เมกะวัตต์ ต่อยอดธุรกิจในอนาคต พร้อมมีแผนเพิ่มทุนธุรกิจ 30,000 ล้านบาท ลั่นปีหน้า 2565 รายได้เติบโต10-20% วางงบลงทุน 15,000 ล้านบาท วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานที่ผ่านมามีความก้าวหน้าตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ทั้งผลประกอบการที่มีผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ และการลงทุนเพิ่มกำลังผลิตใหม่ก็มีแนวโน้มดีกว่าเป้าหมาย 8,874 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะรับรู้กำลังผลิตประมาณ 1,054 เมกะวัตต์ ซึ่งทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 9,346.35 เมกะวัตต์ ทั้งนี้เป็นผลจากการเข้าซื้อหุ้น 45.515% จากบริษัท PT Paiton Energy ประเทศอินโดนีเซียที่ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้า 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 2,045 เมกะวัตต์ ซึ่งที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่ผ่านมา ให้ความเห็นชอบแล้ว และการซื้อหุ้นสามัญและหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ. สหโคเจน (ชลบุรี) สัดส่วน 51% ซึ่งดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าเอสพีพีระบบโคเจนเนอเรชั่น กำลังผลิตรวม 214 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 17.10 เมกะวัตต์ รวมทั้งธุรกิจโซลาร์รูฟด้วย ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาส 1 ปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนลงทุนโครงการพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ซึ่งบริษัทฯ มุ่งเน้นการลงทุนด้วยวิธีเข้าซื้อหุ้นกิจการที่ดำเนินงานแล้วเพื่อให้รับรู้รายได้ทันที และยังสานต่อความเป็นพันธมิตรในการต่อยอดการลงทุนที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย นอกจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าแล้ว บริษัทฯ ยังมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันมีมูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้น 11,689 ล้านบาท โดยการลงทุนในปีนี้ ประกอบด้วย การเข้าซื้อหุ้นบมจ. บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ โครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอัดแท่ง ในสปป.ลาว การเข้าซื้อหุ้นบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ และบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมไฟฟ้าและพลังงาน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดสัดส่วนการลงทุนธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและอื่นๆ ไว้ 20% ซึ่งจะเข้ามาช่วยผลักดันมูลค่ากิจการของบริษัทฯ ให้บรรลุเป้าหมาย 200,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 สำหรับภาพรวมธุรกิจผลิตไฟฟ้า บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการผลิตจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก รวม 6,874.14 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 84% และกำลังโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวม 1,305.21 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 16% ในปีนี้ บริษัทฯ จะรับรู้กำลังการผลิตเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็น 7,321.44 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากโรงไฟฟ้าสหโคเจน ที่รับรู้กำลังการผลิตจากการลงทุนรวม 123.33 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว อินโดนีเซีย กำลังผลิต 145.15 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าปลายปีนี้ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรกปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 29,824.13 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการขายและบริการและรายได้ตามสัญญาเช่าการเงินของโรงไฟฟ้าที่บริษัทฯ ควบคุมจำนวน 24,931.08 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 83.59% ส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนและเงินปันผล จำนวน 4,318.05 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 14.48% และรายได้จากดอกเบี้ยและอื่นๆ จำนวน 575 ล้านบาท สำหรับกำไรสำหรับงวด 9 เดือน มีจำนวน 5,648.81 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.90 บาท นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2564-2565 คาดว่ารายได้จะเติบโตปีละ 10-20% โดยรายได้จะเติบโตสอดคล้องกับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ปีละ 700 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ บริษัทฯ จะมีรายได้มั่นคงในระยะยาว อีกทั้งยังมีแผนจะออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิม ซึ่งยังมีกรอบที่จะสามารถออกหุ้นกู้ได้อีก 1,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด ส่วนแผนเพิ่มทุนที่วางไว้ 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2564 ทั้งนี้ แผนดำเนินงานปี 2564-2568 หรือ ระยะ 5 ปี บริษัท วางเป้าหมายพอร์ตการลงทุนจะเป็นธุรกิจไฟฟ้าสัดส่วน 80% และอีก 20% เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยธุรกิจไฟฟ้าจะเน้นเพิ่มพลังงานหมุนเวียน 25% หรือ 2,500 เมกะวัตต์ ในปี2568 ส่วนอีก 40% ตั้งเป้าในปี2573 จากปัจจุบันอยู่ที่ 16% โดยจะเป็นก๊าซธรรมชาติ อยู่ที่ 5,500 เมกะวัตต์ และถ่านหินจะไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเมื่อรวมโครงการไพตัน อินโดนีเซีย แล้ว จะทำให้สัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเดิมอยู่ที่ 888 เมกะวัตต์ขึ้นไปแตะประมาณ 1,900 เมกะวัตต์ “บริษัทจะคงเหลือการลงทุนเชื้อเพลิงถ่านหินไว้สัดส่วนเท่านี้ และไม่มากไปกว่านี้ เพื่อมุ่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นที่เคยกำหนดไว้ไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ อีกทั้งเพื่อเดินหน้ามุ่งสู่นโยบายสิ่งแวดล้อมภายหลังประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 หรือ COP26 ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศบนเวทีโลกด้วย” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-802880
Person read: 1472
16 November 2021
สุพัฒนพงษ์ นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน และสื่อมวลชน ลงพื้นที่จังหวัดกระบี่ ตรวจติดตามความสำเร็จ โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนเกาะฮั่ง และโครงการเพิ่มสมรรถนะการบริหารจัดการและจัดการพลังงานชุมชนครบวงจร วิสาหกิจชุมชนบ้านไหนหนัง วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การลงพื้นที่จังหวัดกระบี่ครั้งนี้ มีภารกิจตรวจราชการก่อนการเข้าร่วมประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดกระบี่ คือติดตามการดำเนินโครงการด้านพลังงาน 2 โครงการ คือ โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับที่พักอาศัย ณ เกาะฮั่ง ตำบลเกาะศรีบอยา อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับงบประมาณกว่า 9 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานปี 2564 เพื่อติดตั้งระบบ Solar home ขนาด 600 วัตต์ พร้อมแบตเตอรี่ ให้กับชาวบ้านจำนวน 161 ครัวเรือน ที่ประสบปัญหาไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยมั่นใจว่าหลังการดำเนินการโครงการแล้วเสร็จประชาชนในพื้นที่โครงการจะมีพลังงานเพียงพอในการดำเนินชีวิตประจำวัน สร้างประโยชน์ด้านการศึกษาของเยาวชน การประกอบอาชีพและการต่อยอดในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สร้างงาน สร้างรายได้นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน ส่วนอีกโครงการคือโครงการเพิ่มสมรรถนะการบริหารจัดการและจัดการพลังงานชุมชนครบวงจรในวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์บ้านไหนหนัง ตำบลเขาคราม อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม จากงบแผ่นดินปี 2562 วงเงินประมาณ 100,000 บาท จากการใช้เทคโนโลยี โรงอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ อาทิ ปลาแดดเดียว กะปิ ปลาเค็ม และชาใบขลู่ ซึ่งสามารถลดระยะเวลาในการแปรรูปผลิตภัณฑ์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์สามารถออกสู่ตลาดได้ในวงกว้าง เช่น ปลาทูสด จากเดิมจำหน่ายได้เพียงกิโลกรัมละ 20 บาท แต่หลังจากนำมาแปรรูปเป็นปลาแดดเดียวสามารถจำหน่ายได้ในราคา 130-150 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจุบันทางกลุ่มมีรายได้จากการแปรรูปผลิตภัณฑ์จาก โรงอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์นี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 12,000-13,000 บาท/เดือน “นโยบายของรัฐบาลให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนพลังงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงพลังงาน จึงได้ขับเคลื่อนภาคพลังงานให้สอดรับกับนโยบายดังกล่าว ด้วยการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงานต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการแปรรูปและการผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชน ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มรายได้ของชุมชน โดยทั้ง 2 โครงการ ถือเป็นการขับเคลื่อนที่คู่ขนานกัน ทั้งการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การเพิ่มศักยภาพทางด้านอาชีพ และยกระดับรายได้ครัวเรือนของคนในชุมชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมด้านพลังงานทดแทนให้เข้าถึงชุมชนในพื้นที่เกาะฮั่งด้วยการมีไฟฟ้าใช้จากพลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนได้เป็นอย่างดีช่วยให้ชุมชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและมีความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันมากขึ้น ขณะเดียวกันการพัฒนาดังกล่าวก็ยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดั้งเดิมของชุมชนด้วยเช่นกัน” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-802844
Person read: 1507
16 November 2021
BAFS เปิดตัวรถเติมน้ำมันอากาศยานขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า 100% หรือ EV Hydrant Dispenser คันแรกในไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 170 กิโลเมตร ให้บริการเติมน้ำมันได้เฉลี่ย 8 เที่ยวบินต่อการชาร์จไฟฟ้าเต็มหนึ่งครั้ง วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ผู้นำด้านการบริการน้ำมันอากาศยานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ร่วมเปิดตัวรถเติมน้ำมันอากาศยานขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า (BEV : Battery Electric Vehicle) โดย BAFS ได้ให้บริการเติมน้ำมันเครื่องบินของสายการบิน Air Asia เที่ยวบินที่ FD3029 เดินทางจากดอนเมือง – ภูเก็ต ณ พื้นที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 นับเป็นเที่ยวบินแรกที่มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในธุรกิจบริการน้ำมันอากาศยานในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยรถเติมน้ำมันอากาศยานขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า (BEV : Battery Electric Vehicle) ประเภท Hydrant Dispenser ผลิตโดย ITURRI ประเทศสเปน ผู้นำการผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานระดับโลก ร่วมกับบริษัท บาฟส์ อินเทค จำกัด ผู้ผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานชั้นนำของไทย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ BAFS ใช้นวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและพลังงานไฟฟ้า 100% จึงไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเครื่องยนต์ สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 170 กิโลเมตร และให้บริการเติมน้ำมันได้เฉลี่ย 8 เที่ยวบินต่อการชาร์จไฟฟ้าเต็มหนึ่งครั้ง สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 90% เมื่อเทียบกับรถเติมน้ำมันอากาศยานที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันดีเซล “ด้วยความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านการบริหารจัดการและการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานตามขั้นตอนและมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกและธุรกิจด้านพลังงานมามากกว่า 30 ปี BAFS มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน โดยการพัฒนาและสรรหาเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สามารถเสริมศักยภาพด้านการบริการน้ำมันอากาศยาน พร้อมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคมโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา BAFS ได้เริ่มให้บริการด้วยรถเติมน้ำมันอากาศยานพลังงานไฟฟ้าแบบ Electric Hydrant Cart หรือหัวรถลากขับเคลื่อนไฟฟ้า ที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ในครั้งนี้ BAFS เปิดตัวรถเติมน้ำมันอากาศยานพลังงานไฟฟ้าแบบ Electric Hydrant Dispenser หรือ รถเติมน้ำมันที่มีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าครบวงจร ซึ่งนับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การเติมนำมันด้วยรถเติมน้ำมันอากาศยานไฟฟ้า และต่อยอดการดำเนินธุรกิจที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ตามปณิธานของกลุ่มบริษัท BAFS GROUP ว่า เติมพลังก้าวหน้า นำพาโลกยั่งยืน (Uplift and Power the World to a New Height)” หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ กล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-802836
Person read: 1591
16 November 2021
อัยการสั่งฟ้องแล้ว อดีตผู้กำกับโจ้ และพวก เจอ 4 ข้อหาหนัก ค้านปล่อยตัวชั่วคราว โทษประหารสถานเดียว จากกรณี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ หรืออดีตผกก.โจ้ และลูกน้องรวม 7 คน ซ้อมทรมานนายจิระพงศ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต ส่งให้ให้พนักงานอัยการ พิจารณาคดีสั่งฟ้อง นั้น วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการ ข่าวสด รายงาน นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกฯ และ นายวรินทร สาสนัส รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ร่วมแถลงข่าว ความคืบหน้าการสั่งฟ้องคดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ กับพวกรวม 7 คน คดีร่วมกันใช้ถุงดำคลุมศีรษะ นายจิระพงษ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาคดียาเสพติด เสียชีวิตใน “บ้านกาแฟ” ภายใน สภ.เมืองนครสวรรค์ นายอิทธิพร เปิดเผยว่า ช่วงบ่ายวันนี้อัยการได้นำสำนวนยื่นฟ้องคดีของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ กับพวกรวม 7 คน เป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางแล้วรวม 4 ข้อหาในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,157,288,289(5), 309 วรรค 2 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4,172 โดยคดีดังกล่าวอัยการสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาและมีคำสั่งตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา 143 วรรคท้าย สืบเนื่องจาก นายจิระพงษ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิต ซึ่งถูกจับและควบคุมไว้ในคดียาเสพติดและถูกฆ่าถึงแก่ความตาย ขณะอยู่ในความความควบคุมของเจ้าพนักงาน เมื่อช่วงระหว่างวันที่ 4 – 6 สิงหาคม พ.ศ.2564 ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ ด้าน นายวรินทร รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต เปิดเผยว่า จากการตรวจรายละเอียดพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว ทางพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ไว้ค่อนข้างละเอียด ครบถ้วน ซึ่งตนมั่นใจในพยานหลักฐานทั้งหมดที่จะนำสืบต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ จะพิจารณาพิพากษาลงโทษพวกจำเลยได้ โดยอดีต ผกก.โจ้ กับพวกนั้นไม่ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาให้อัยการพิจารณา และวันนี้อัยการฝ่ายคดีอาญาทุจริต 3 ได้นำสำนวนพร้อมพยานหลักฐานต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนส่งให้อัยการพิจารณารวม 7 แฟ้ม ได้เสนอต่อศาลพิจารณาด้วย โดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้ประทับฟ้องไว้ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.180/2564 ไว้พิจารณา อย่างไรก็ตามในท้ายคำฟ้องอัยการได้ยื่นคัดค้านการปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งหมดเนื่องจากเป็นคดีร้ายแรง โทษสูงสุดคือประหารชีวิต หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่าพวกจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานในคดี ขณะที่ นายประยุทธ รองโฆษกฯ กล่าวว่า คดีนี้อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นผู้มีอำนาจสั่งคดีตามที่กฎหมายระบุไว้ว่าคดีวิสามัญฆาตกรรม หรือการตายระหว่างการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ให้เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด พิจารณาสั่งคดีเพียงคนเดียว ซึ่งอสส.ได้พิจารณาสำนวนคดีอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จึงมีคำสั่งฟ้องครบทุกข้อหา โดยเฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน ทารุณโหดร้าย ตามป.อาญามาตรา 289(5) โทษประหารชีวิตสถานเดียว ทั้งนี้เมื่ออัยการสูงสุดสั่งฟ้องแล้ว คณะพนักงานอัยการที่ได้รับมอบหมายก็ได้ดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯเรียบร้อยแล้ว จากนั้นกระบวนการก็จะเข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตฯต่อไป โดยอัยการสูงสุดได้ตั้งคณะทำงานขึ้นรับผิดชอบคดีนี้รวม 6 คน โดยมี นายวุฒิรัตน์ มีผดุง รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เมื่อถามว่า การสั่งฟ้องข้อหาตามกฎหมาย ป.อาญา มาตรา 289(5) เจตนาฆ่าผู้อื่นโดยทารุณโหดร้าย นั้นได้ยื่นฟ้องต่อ ผกก.โจ้ กับพวกเป็นคดีแรกหรือไม่ นายอิทธิพร เผยว่า คดีนี้ไม่ใช่คดีแรกที่อัยการได้สั่งฟ้องข้อหาดังกล่าว ที่ผ่านมาอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยอื่นๆ ในความผิดฐานนี้ อาทิ ไอซ์ หีบเหล็ก คดีฆ่ายกครัวที่ภาคใต้ คดีตั้งใจที่จะฆ่าและจุดไฟเผาทั้งเป็น เมื่อถามว่า ที่ผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่ ไม่ได้เจตนาฆ่าผู้ตายนั้น ทางอัยการมีความเห็นอย่างไร โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ และข้ออ้างการต่อสู้คดีของผู้ต้องหาทั่วไป ขึ้นอยู่กับพิจารณาของศาล ส่วนที่มีข่าวปรากฎต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมานั้น เป็นเอกสารที่อื่น ไม่ใช่ของสำนักงานอัยการสูงสุด สิ่งที่อัยการสูงสุดท่านมีคำสั่งและดำเนินการเป็นไปตามที่แถลงในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการสอบเพิ่มเติมในบางประเด็น เพิ่งส่งมาถึงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ก่อนที่คณะพนักงานอัยการที่รับผิดชอบคดีจะประชุมในช่วงเช้าเพื่อทำคำฟ้องและยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรับผิดชอบดำเนินคดีนี้ 6 คน ประกอบด้วย นายวุฒิรัตน์ มีผดุง รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน นายรชต พนมวัน อัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 นายครรชิต หุตะกมล อัยการผู้เชี่ยวชาญ นายอรินทัต ศรีขจรลาภ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าที่พ.ต.อ.ธงชัย กีรติธรรมากร อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด คณะทำงาน และนางธารณี โกญจนาท เดวิสัน อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด คณะทำงานและเลขานุการ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-802826
Person read: 1534
16 November 2021
ศบค. เปิด 11 ประเภทคลัสเตอร์ “เรือนจำ” มากสุด กระจาย 13 จังหวัด “ศรีสะเกษ” ติดเชื้อพุ่ง 105 ราย ที่ประชุม EOC เสนอแผนเร่งรัดฉีดวัคซีน จาก 5 หน่วยงาน สธ. จัดสัปดาห์ฉีดวัคซีน 27 พ.ย.- 5 ธ.ค. ศบค. ชงแจก “คนละครึ่ง-ส่วนลดพิเศษ” จูงใจฉีดวัคซีน วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศ ประจำวัน สถานการณ์การติดเชื้อในประเทศวันนี้ ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 พบผู้ป่วยรายใหม่ และเสียชีวิต 45 ราย ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 พบผู้ป่วยรายใหม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รวม 6,343 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยในประเทศ 6,143 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 12 ราย จากระบบเฝ้าระวังฯ 5,926 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 217 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 188 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,995,890 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 94,163 ราย แบ่งเป็นรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 44,917 ราย โรงพยาบาลสนามและอื่น ๆ 49,244 ราย ป่วยอาการหนัก 1,776 ราย ใส่เครื่องช่วย 417 ราย และเสียชีวิต 45 ราย เสียชีวิตสะสม 19,987 คน เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 20,081 คน ขณะที่ยอดผู้ป่วยรักษาหายอยู่ที่ 7,663 ราย ทำให้ขณะนี้มีผู้หายป่วยสะสมอยู่ที่ 1,883,083 ราย หายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 อยู่ที่ 1,910,509 ราย เสียชีวิต 45 ราย กระจาย 27 จังหวัด สำหรับรายละเอียดผู้เสียชีวิตในวันนี้ จาก กทม. 1 ราย, สมุทรปราการ 2 ราย, สมุทรสาคร 2 ราย, ชัยภูมิ 2 ราย, นครราชสีมา 2 ราย, อุบลราชธานี 2 ราย, เชียงใหม่ 3 ราย, นครสวรรค์ 3 ราย, อุตรดิตถ์ 1 ราย, อุทัยธานี 1 ราย, สงขลา 3 ราย, พัทลุง 2 ราย, ชุมพร 2 ราย, ปัตตานี 2 ราย, ภูเก็ต 1 ราย, สตูล 1 ราย, ยะลา 1 ราย, ตรัง 1 ราย, พังงา 1 ราย, กระบี่ 1 ราย, นครศรีธรรมราช 1 ราย, ชลบุรี 2 ราย, ลพบุรี 2 ราย, เพชรบุรี 1 ราย, กาญจนบุรี 1 ราย, ปราจีนบุรี 1 ราย และตราด 1 ราย เป็นชาย 24 ราย หญิง 21 ราย สัญชาติไทย 43 ราย สัญชาติเมียนมา 2 ราย แบ่งเป็นอายุ 60 ปีขึ้นไป 31 ราย อายุน้อยกว่า 60 ปี มีโรคเรื้อรัง 12 ราย และไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 2 ราย ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค จาก HT 10 ราย, DM 22 ราย, HPL 11 ราย, โรคอ้วน 4 ราย, โรคไต 8 ราย, และผู้ป่วยติดเตียง 3 ราย โดยปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อยังมาจากการติดเชื้อในพื้นที่ทั้ง 45 คน จากคนรู้จัก 20 ราย, ครอบครัว 6 ราย, อาศัย 19 ราย นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวว่า จากรายงานจำนวนผู้เสียชีวิต จะพบว่า จำนวนผู้เสียชีวิต ที่มีอายุ 60 ปี และกลุ่มเสียงรวมแล้วถึง 96% และกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ติดเชื้อแล้วจึงเสียชีวิต แต่หากย้อนสถิติจะพบว่ากลุ่มเหล่านี้มีการฉีดวัคซีน ในแต่ละพื้นที่ดังนี้ กลุ่ม 608 ต่ำที่สุด 10 จังหวัด แม่ฮ่องสอน มีจำนวนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว 50,385 ราย เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 22,876 คน คิดเป็นร้อยละ 45.4 เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 18,040 คน คิดเป็นร้อยละ 36.5 นครนายก มีจำนวนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว 82,128 ราย เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 38,128 คน คิดเป็นร้อยละ 46.3 เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 36,682 คน คิดเป็นร้อยละ 44.5 สุพรรณบุรี มีจำนวนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว 247,848 ราย เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 127,084 คน คิดเป็นร้อยละ 51.3 เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 113,802 คน คิดเป็นร้อยละ 45.9 ราชบุรี มีจำนวนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว 234,650 ราย เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 120,633 คน คิดเป็นร้อยละ 51.4 เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 121,602 คน คิดเป็นร้อยละ 51.8 อ่างทอง มีจำนวนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว 89,346 ราย เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 46,122 คน คิดเป็นร้อยละ 451.6 เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 42,773 คน คิดเป็นร้อยละ 47.9 ขอนแก่น มีจำนวนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว 491,029 ราย เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 260,303 คน คิดเป็นร้อยละ 53.0 เเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 221,644 คน คิดเป็นร้อยละ 45.1 ลพบุรี มีจำนวนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว 199,375 ราย เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 105,973 คน คิดเป็นร้อยละ 53.2เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 100,435 คน คิดเป็นร้อยละ 50.4 กาญจนบุรี มีจำนวนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว 194,518 ราย เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 104,574 คน คิดเป็นร้อยละ 53.8 เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 18,040 คน คิดเป็นร้อยละ 52.3 ปัตตานี มีจำนวนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว 134,906 ราย เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 73,060 คน คิดเป็นร้อยละ 54.2 เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 18,040 คน คิดเป็นร้อยละ 41.0 สระบุรี มีจำนวนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว 181,795 ราย เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก 100,046 คน คิดเป็นร้อยละ 55.0 เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 100,046 คน คิดเป็นร้อยละ 52.5 “นี่คือ 10 จังหวัดที่มีการฉีดวัคซีนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด ที่เสียชีวิต ขอได้โปรดเอาตัวเลขต่าง ๆ เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ ในจังหวัดของท่านทั้งหลายนะครับ” นพ.ทวีศิลป์ ระบุ ท็อป 10 ป่วยใหม่ “ทรงตัว” หลักร้อย นายแพทย์ทวีศิลป์ เปิดเผยภาพรวมของการติดเชื้อในวันนี้ว่า ภาพรวมของประเทศขณะนี้ ลดระดับความรุนแรงแรงลงมาอย่างน่าดีใจ แต่หากระดับความรุนแรงลงมาอีกจะดีกว่า ขณะที่ระดับความรุนแรงใน 67 จังหวัด ยังคงทรงตัว ส่วนจังหวัดชายแดนใต้มีระดับการลดตัวบ้าง เช่นเดียวกับในกรุงเทพฯและปริมณฑล อยู่ในระดับที่เริ่มคงที่ สำหรับ 10 จังหวัดติดเชื้อรายใหม่สูงสุดในวันนี้ มีดังนี้ กทม. 790 ราย สงขลา 462 ราย นครศรีธรรมราช 428 ราย เชียงใหม่ 376 ราย ปัตตานี 318 ราย สุราษฎร์ธานี 231 ราย ยะลา 207ราย นราธิวาส 193 ราย ชลบุรี 185 ราย สมุทรปราการ 168 ราย พบ 11 คลัสเตอร์ใหม่ เรือนจำพุ่ง นายแพทย์ทวีศิลป์ระบุว่า ในการประชุม EOC ของกระทรวงสาธารสุข ศบค ศปก. ในช่วงเช้าที่ผ่านมา มีการประชุมอย่างเข้มข้น มีการสรุปในส่วนของของคลัสเตอร์ใหม่ ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่ต้องการสื่อสารไปยังทุกจังหวัดว่า มีกลุ่มที่มีความเสี่ยง ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ในกรุงเทพฯและปริมฑล 6 ราย และต่างจังหวัดอีก 31 ราย ในเรือนจำ กระจายหลายจังหวัด โดยเฉพาะที่ศรีษะเกษ 105 ราย, นครราชสีมา 29 ราย, สระแก้ว 6 ราย, เพชรบูรณ์ 5 ราย, กทม. 4, ราย, กาญจนบุรี 20 ราย,สมุทรปราการ 5 ราย, ประจวบคีรีขันธ์ 3 ราย, สงขลา 4 ราย, ปัตตานี 3 ราย, เชียงใหม่ 1 ราย, ขอนแก่น 1 ราย นครสวรรค์ 1 ราย “ต้องยอมรับว่า พื้นที่จำกัดเหล่านี้ มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ทำไมเราจึงต้องห้ามไปในพื้นที่แออัด โดยเฉพาะในเรือนจำ เราไม่สามารถให้เขาอยู่ได้อย่างสะดวกสบายเหมือนที่อยู่ที่บ้านได้ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อในตรงนี้ถึง 2 บรรทัดในพื้นที่เดียว จึงเน้นย้ำว่าเรื่องความแออัดเป็นเรื่องสำคัญ” นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า คลัสเตอร์แรงงานประมง จากประจวบคีรีขันธ์ 14 ราย จากแคมป์ก่อสร้าง เชียงใหม่ 20 ราย, อุดรธานี 6 ราย, สระบุรี 8 ราย จากค่าย/ศูนย์ฝึกทหาร-ตำรวจ ชลบุรี 5 ราย จากโรงงาน/สถานประกอบการ เชียงใหม่ 8 ราย, อุดรธานี 5 ราย, สระแก้ว 3 ราย จากตลาด ที่เชียงใหม่ 27 ราย, สระแก้ว 16 ราย, อุดรธานี 11 ราย รวมไปถึงพิธีกรรมทางศาสนา งานบุญ จากงานทอดกฐิน ที่ยโสธร 6 ราย และงานศพ ที่เชียงใหม่ 8 ราย พะเยา 46 ราย, ศรีสะเกษ 19 ราย จากสถานศึกษา เชียงใหม่ 6 ราย, อุบลราชธานี 6 ราย จาก ชุมชน กาญจนบุรี 13 ราย และจากโรงพยาบาล ลพบุรี 6 ราย “นำเรียนว่า ทุกพื้นที่มีความเสี่ยง จึงเกิดคำว่า Universal Invention หรือการป้องกันตัวแบบครอบจักรวาล ไปทุกที่ ต้องป้องกันทั้งหมด แต่ละที่แต่ละแห่งมีความเสี่ยงที่เราจะติดโรคได้ทั้งสิ้น ขอให้มีสุขภาพอนามัยของการใส่หน้ากาก ทานอาหารให้ห่างกัน ไม่ให้ละอองฝอยสัมผัสกับคนอื่น ๆ ได้” นายแพทย์ทวีศิลป์ระบุ ฉีดวัคซีนทะลุ 85 ล้านโดส เข็มที่ 1 จำนวน 169,641 ราย รวมสะสมตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 จำนวน 45.3 ล้านราย คิดเป็น 63.0% ของจำนวนประชากร เข็มที่ 2 จำนวน 351,591 ราย รวมสะสมตั้งแต่ 7 มิ.ย. 64 มีจำนวน 36.50 ล้านราย คิดเป็น 51.2% ของจำนวนประชากร เข็มที่ 3 จำนวน 23,942 ราย รวมสะสม 2.7 ล้านราย คิดเป็นวัดส่วน 3.9% ของจำนวนประชากร นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวว่า ปัญหาในตอนนี้ จากการประชุม EOC กระทรวงสาธารณสุข ตอนนี้ คือ การฉีดวัคซีน เริ่มมีระดับลดลง ซึ่งอาจมีหลายสาเหตุ คนที่อยากฉีด ได้ฉีดไปแล้ว คนที่ยังลังเล ยังไม่ได้ตัดสินใจ คนที่เลือกวัคซีน ยังรอแล้วรออีก แต่ขณะนี้มีวัคซีนเพียงพอ ชนิดของวัคซีนมีให้เลือกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์ นายแพทย์กล่าววอีกว่า การปรับสูตรวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า + ไฟเซอร์ มีประชาชนเข้ารับการฉีดมากยิ่งขึ้น และอาจจะต้องมีแรงจูงใจในการแจกของรางวัลด้วย สำหรับข้อเสนอมาตรการเร่งรัดการฉีดวัคซีน จากที่ประชุม EOC กระทรวงสาธารณสุขในช่วงเช้าที่ผ่านมา ตามการรายงานของศบค. ในวันนีั มีดังนี้ กระทรวงสาธารสุข จัดกิจกรรมสัปดาห์แห่งการฉีดวัคซีน 27 พ.ย.- 5 ธ.ค. 2564 จัดทีมฉีดวัคซีนเชิงรุก ผู้สูงอายุ ผู่ป่วยติดเตียง และขยายให้กลุ่มต่างด้าว กระทรวงมหาดไทย ค้นหากลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเชิงรุกและนำมาฉีดวัคซีน กระทรวงอุดมศึกษาฯ มหาวิทยาลัย โรงเรียนแพทย์ สื่อสาร ทำความเข้าใจ ข้อมูลวัคซีนให้ประชาชนรับทราบ ภาคเอกชน จัดส่วนลดค่าโดยสารรถสาธารณะ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ศบค. เสนอออกประกาศเหมือนที่ต่างประเทศ เมื่อไปสถานที่สาธารณะ ต้องแสดงผลการฉีดวัคซีน สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด บริหารจัดการกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเชิงรุกให้ผู้มาฉีดวัคซีน จูงใจประชาชนฉีดวัคซีน ระดับพื้นที่ : สิ่งของรางวัล ฯลฯ ขณะที่ระดับประเทศ : ของรางวัล คนละครึ่ง ส่วนลดพิเศษ ฯลฯ ยุโรปติดเชื้อพุ่ง หลักหมื่น! สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ข้อมูล ณ วันที่ 23 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 น มียอดผู้ติดเชื้อรวม 254,026,295 ราย อาการรุนแรง 77,491 ราย รักษาหายแล้ว 229,679,935 ราย และเสียชีวิต 5,115,131 ราย 5 อันดับประเทศติดเชื้อสูงสุดในโลก สหรัฐอเมริกา จำนวน 47,916,190 ราย : ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 24,193 ราย เสียชีวิต 126 คน อินเดีย จำนวน 34,437,307 ราย : ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 0 ราย เสียชีวิต 0 คน บราซิล จำนวน 21,957,967 ราย : ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4,129 ราย เสียชีวิต 63 คน สหราชอาณาจักร จำนวน 9,561,099 ราย : ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 36,517 คน เสียชีวิต 180 คน รัสเซีย จำนวน 9,070,674 ราย : ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 38,823 ราย ผู้เสียชีวิต 1219 คน นายแพทย์ทวีศิลป์ระบุว่า อันดับการติดเชื้อทั่วโลกในวันนี้ มีการปรับขึ้น ปรับลง เล็กน้อยเท่านั้น แต่ไฮไลต์สำคัญในวันนี้คือ พบผู้ป่วยติดเชื้อหลักหมื่น ใน 20 อันดับแรก เช่น สหรัฐอเมริกา ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 24,193 ราย สหราชอาณาจักร ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 36,517 คน รัสเซีย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 38,823 ราย ตุรกี 21,624 ราย และเยอรมนี 29,048 ราย นายแพทย์ทวีศิลป์ ระบุว่า ประเทศรัสเซียมีผู้เสียชีวิตหลักพัน องค์การอนามัยโลกแสดงความกังวลอย่างมาก ประเทศในกลุ่มยุโรปมีการติดเชื้อจำนวนมาก ทั้งที่เป็นกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนสูงแล้ว พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นเพราะในช่วงนี้มีการผ่อนปรนมาตรการ รวมถึงมีการเข้าชมกีฬาโดยไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย หากย้อนดูตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ จะพบว่า อันดับของโลกที่เกิดขึ้นในวานนี้ (14 พ.ย.) ใน 15 อันดับแรก จะพบว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่ เป็นประเทศในแถบยุโรป ถึง 11 ประเทศ รวมประเทศรัสเซียคือ รัสเซีย มีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 38,823 ราย สหราชอาณาจักร ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 36,517 ราย เยอรมนี ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 29,048 ราย สหรัฐอเมริกา ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 29,048 ราย ตุรกี ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,624 ราย ยูเครน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,490 ราย โปแลนด์ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,448 ราย ฝรั่งเศส ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 12,496 ราย เนเธอร์แลนด์ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 12,024 ราย ออสเตรีย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,552ราย เช็กเกีย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,199 ราย เวียดนาม ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8,176 ราย อิตาลี ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,569 ราย ไทย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,079 ราย อิหร่าน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6,143 ราย เปิดประเทศครบ 2 สัปดาห์ นักท่องเที่ยวติดเชื้อ 56 ราย นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย หลังมีมาตรการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา ที่เดินทางเข้ามายังราชอาณาจักรไทยรวมทุกท่าอากาศยาน ตั้งแต่วันที่ 1 -14 พฤศจิกายน 2564 ทั้งสิ้น 50,074 ราย ติดเชื้อ 56 ราย คิดเป็นอัตราการติดเชื้อ 0.11% สำหรับประเภทของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา คือ Test & Go มาแล้วตรวจ ตรวจแล้วไปเที่ยวได้ทุกจังหวัด ขณะที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาใหม่ 4,378 ราย สะสมรวม 36,066 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ติดเชื้อสะสม 27 ราย ถัดมา Sandbox เดินทางเข้ารายใหม่วันนี้ 577 ราย สะสมรวม 11,714 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย ติดเชื้อสะสม 20 ราย และ Quarantine รวม 2,049 ราย ติดเชื้อ 9 ราย ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ จำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศ จำแนกตามประเทศต้นทาง 10 ประเทศแรก ตั้งแต่วันที่ 1-14 พฤศจิกายน 2564 (สะสม 50,074 ราย) ประเทศสหรัฐอเมริกา 7,999 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 7,935 ราย ประเทศเยอรมนี 5,648 ราย สหราชอาณาจักร 2,706 ราย ประเทศญี่ปุ่น 2,530 ราย ประเทศฝรั่งเศส 1,953 ราย ประเทศรัสเซีย 1,875 ราย ประเทศเกาหลีใต้ 1,729 ราย ประเทศอิสราเอล 1,532 ราย ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 1,425 ราย จากต่างประเทศติดเชื้อ 12 ราย ส่วนรายละเอียดผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 12 ราย เป็นนักท่องเที่ยวในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 1 ราย จากเยอรมนี 1 ราย เป็นผู้ป่วยพบเชื้อ โดยมีอาการ ขณะนี้เข้ารับการรักษาตัวในรพ.เอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต จากประเทศกัมพูชา 3 ราย เป็นผู้ป่วยพบเชื้อ โดยมีอาการ 2 รายและไม่มีอาการ 1 ราย จากประเทศเมียนมา 4 ราย เป็นผู้ป่วยพบเชื้อ โดยไม่มีอาการ ทั้ง 4 ราย และท้ายที่สุดจากประเทศมาเลเซีย 1 ราย เป็นผู้ป่วยพบเชื้อ โดยไม่มีอาการ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-802382
Person read: 1546
16 November 2021
แฟ้มภาพจากมติชน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทวีตข้อความแจ้งว่า ศาลอาญาให้ประกันตัวผู้ถูกกล่าวหาเป็นมือแฮกเกอร์เว็บศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยเงินสด 25,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไข วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 กรณี เว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญถูกแฮกเกอร์เปลี่ยนหน้าเว็บไซต์เป็นเพลงของ Death Grips ทั้งยังเปลี่ยนชื่อเว็บไซต์เป็น Kangaroo Court ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า ศาลเตี้ย เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อีก 1 วันต่อมา กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ขออนุมัติหมายค้นบ้านผู้ต้องสงสัย ภายในบ้านพักแห่งหนึ่งใน ต.แสนสุข อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 13 พฤศจิกายน ศาลจังหวัดอุบลราชธานีประสานงานร่วมกับกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 เข้าตรวจบ้านผู้ต้องสงสัย จากการเข้าตรวจค้นพบตัวผู้ก่อเหตุทราบชื่อ นายวชิระ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี จบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้แฮกเว็บศาลรัฐธรรมนูญจริง จึงสอบปากคำไว้เป็นหลักฐาน พร้อมยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เพื่อส่งให้กลุ่มงานตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานดิจิทัล กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ดำเนินการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานดิจิทัลต่อไป ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบและข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ ตามมาตรา 5, 7 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มีโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 2 ปี และปรับไม่เกิน 40,000 บาท และหากผู้กระทำมีการทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ก็จะมีความผิดตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท เว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญ “ถูกแฮก” ใส่เพลง ยังไม่สามารถใช้งานได้ แฮกเกอร์เว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญ ถูกตำรวจไซเบอร์จับ-รับสารภาพ ล่าสุด ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทวีตข้อความแจ้งว่า ศาลอาญาให้ประกันนายวชิระแล้ว ด้วยเงินสดจำนวน 25,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไข หลังตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ขอฝากขังต่อศาลอาญา โดยในชั้นสอบสวนนายวชิระให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-802814
Person read: 1464
16 November 2021
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมันวันนี้ (3 พ.ย.) อ้างอิงข้อมูลจาก ปั๊มน้ำมันบางจาก แก๊สโซฮอล์ 95 จำหน่ายที่ราคาลิตรละ 32.55 บาท ส่วนแก๊สโซฮอล์ 91 จำหน่ายที่ราคาลิตรละ 32.28 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลล่าสุด มีราคา ณ จุดจำหน่ายที่ 29.54 บาท ดีเซล B7 ราคา 29.69 บาท และดีเซลพรีเมี่ยม (Hi Premium Diesel S B7) อยู่ที่ 35.06 บาท ส่วนราคาน้ำมันพรุ่งนี้ ยังไม่มีประกาศเปลี่ยนแปลง ตามข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 07.15 น. ที่ผ่านมา สรุปราคาน้ำมันวันนี้ เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ • แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 32.55 บาท • แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 32.28 บาท • แก๊สโซฮอล์ E20 ลิตรละ 31.04 บาท • แก๊สโซฮอล์ E85 ลิตรละ 24.44 บาท ดีเซล • ดีเซล B7 ลิตรละ 29.69 บาท • ดีเซล B10 ลิตรละ 29.54 บาท • ดีเซล B20 ลิตรละ 29.44 บาท • ดีเซลพรีเมี่ยม ลิตรละ 35.06 บาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-794790
Person read: 1504
03 November 2021
FILEPHOTO : Lillian SUWANRUMPHA / AFP โฆษกกระทรวงต่างประเทศ เผยยอดลงทะเบียนเข้าไทยผ่าน Thailand Pass วันที่ 3 รับเปิดประเทศพุ่ง 39,506 คน ได้รับอนุมัติแล้ว 6,484 คน วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ทวีตข้อความเกี่ยวกับสถานะล่าสุดของการลงทะเบียนเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านระบบ Thailand Pass ว่า ณ เวลา 06.30 น. ของวันที่ 3 พฤศจิกายน มีผู้ลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass แล้ว 39,506 คน และมีผู้ได้รับอนุมัติแล้ว 6,484 คน สำหรับระบบ Thailand Pass เป็นระบบใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้งานในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อรองรับการเปิดประเทศ และเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงการต่างประเทศได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.)เพื่อพัฒนาดูแลความเรียบร้อยของการเปิดใช้งานระบบ และยังมีการปรับปรุงเว็บไซต์ Thailand Pass ให้รองรับกับการใช้งานกับโทรศัพท์มือถือได้ด้วย ศบค.พบป่วยโควิดวันนี้ (3 พ.ย.) 7,679 ราย ATK ติดเชื้อเพิ่มอีก 2,376 คน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-794809
Person read: 1498
03 November 2021
ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ร่ายยาวจุดยืนแก้ไข ม.112 ชี้ กฎหมายไม่เป็นปัญหา อยู่ที่กระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ด้าน เพื่อไทย เตรียมถกในที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยังไม่พูดถึงการแก้ไข วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กกรณีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า 2-3 วันนี้ได้ฟังดราม่าเกี่ยวกับเรื่องมาตรา 112 จากทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในการที่จะแก้ไขหรือยกเลิก ผมขอแสดงความคิดเห็นในฐานะที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมา และผ่านการปรึกษาในเรื่องมาตรา 112 มาหลายครั้ง ผมขอเล่าเป็นประสบการณ์ มาตรา112 มีมานานตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ น่าจะประมาณปี 2500 ตัวกฎหมายเองไม่เคยเป็นปัญหา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ มันเกิดจากการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าบุคคลในกระบวนการยุติธรรมอาจจะเกิดจากความกลัวหรืออาจจะเกิดจากความอยากแสดงความจงรักภักดีโดยไม่ยึดหลักนิติธรรม แล้วเกิดการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือ Abuse of Power เพื่อหวังผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางรัฐบาล เพื่อหวังผลทางการเมือง เลยทำให้เกิดความไม่พอใจ และยิ่งใช้มากก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจมาก ซึ่งในสมัยก่อนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องที่ร้องเรียนขึ้นมาว่าเป็นเรื่องของการจงใจที่จะละเมิดมาตรา112 จริงหรือเปล่า และจำนวนคดีก็มีน้อย และทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการพิจารณาทางอาญา (Due Process of Law) ฉะนั้นปัญหาก็น้อย แต่ช่วงนี้ปัญหาเยอะมาก ยิ่งใช้อีกฝ่ายหนึ่งก็มีความโกรธเคืองแล้วก็ไปโทษกันต่างๆ นาๆ ซึ่งผมเคยบอกแล้วว่า รัฐบาลน่าจะจับเข่าคุยกับกลุ่มเยาวชนที่เห็นต่างในทุกวันนี้ เราก็จะได้แนวทางที่อยู่ร่วมกันระหว่างคนในวัยที่ต่างกัน ถ้าจะเริ่มติดกระดุมใหม่ที่ติดผิดเม็ด ก็โดยการที่ปรับกระบวนการในการดำเนินคดีของ 112 เสียใหม่ ให้เหมือนในอดีตที่ทำอย่างเป็นระบบระเบียบ ไม่กลั่นแกล้ง ไม่หาเรื่อง แล้วก็ปล่อยผู้ถูกกล่าวหาให้ได้รับการประกันและใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาและดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไป และพูดคุยกับเด็กๆ จะได้เข้าใจตรงกัน เราจะอยู่ร่วมกันต้องมีกติกา กติกาอะไรที่มันยอมรับกันได้ทุกฝ่ายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะบอกว่ายกเลิกมาตรา112 เพราะอารมณ์โกรธ จากอารมณ์โกรธ หรือบางคนก็ต้องการจะยกเลิกโดยไม่มีเหตุผล หรือไม่ยกเลิกมาตรา112 ไม่เอาเด็ดขาด ซึ่งแน่นอนมันมี Yes and No แต่ขณะเดียวกันนั้น การพูดคุยกันน่าจะดีกว่า และการจัดระเบียบให้เป็นระเบียบเสียจะดีกว่า วันนี้บ้านเมืองเหมือนกับอยู่ในภาวะที่ไม่มีการจัดการ ไม่มีการบริหาร บ้านเมืองเปรียบเสมือนอยู่ในภาวะไม่มีการบริหารการจัดการ คงเลือกใช้แต่ Law and Order ซึ่งมันเป็นการขัดหลักที่จะให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีไม่แตกแยก ดังนั้นสรุป ผมขอแนะนำว่าก่อนจะมาบอกว่าจะแก้มาตรา 112 หรือไม่ ขอให้ไปเริ่มย้อนคิดว่า เมื่อตัวกฎหมายไม่เคยมีปัญหา แต่คนที่เป็นปัญหาคือคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมและคนที่นำประเด็นนี้มาสร้างความแตกแยกในสังคมต่างหาก ถ้ามีการจัดระเบียบให้ถูกต้องและมีการพูดคุยกับผู้เห็นต่างบ้าง ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นทีดี “และนำไปสู่การรักษากฎหมายที่เป็นธรรม และก็จะไม่มีใครเดือดร้อน แต่วันนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่าประเทศขาดการบริหารการจัดการ เลือกที่จะใช้ Law and order เท่านั้น ขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดดราม่า หายใจยาวๆ มาเริ่มต้นใหม่ตามที่ผมแนะนำเบื้องต้น เพื่อความรัก เพื่อการถวายความจงรักภักดีที่ถูกต้อง ถูกทาง ไม่ให้เจ้านายต้องถูกครหาโดยที่ไม่รู้” นายทักษิณ ระบุ ขณะที่พรรคเพื่อไทย โดยนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุถึงเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคเพื่อไทยจะสามารถผลักดันในสภาได้หรือไม่ว่า ต้องพูดคุยกันหลายระดับ โดยวันที่ 3 พ.ย. หัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะประชุมเพื่อหารือถึงเรื่องดังกล่าว เราจะฟังเสียงประชาชนและสังคมให้รอบด้าน ฝ่ายการเมืองเสนออะไรก็ได้ แต่ต้องฟังเสียงสังคมและประชาชน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เฉพาะฝ่ายค้าน แต่ควรผลักดันกันทั้งสังคมและรัฐบาลด้วย หากสังคมคิดว่าไม่จำเป็น หรือเห็นว่าควรนำเรื่องเข้าสภา ก็ต้องฟัง และยืนยันที่พูดมาตรงนี้ คือการนำไปหารือในที่ประชุม ยังไม่พูดถึงการแก้ไข ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-794794
Person read: 1516
03 November 2021
กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนอิทธิพลจาก 4 ปัจจัยหลัก 10 จังหวัดภาคใต้ยังมีฝนตกหนักร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ เสี่ยงท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก กทม.วันนี้มีฝนแค่ร้อยละ 20 ของพื้นที่ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ลักษณะอากาศใน 24 ชั่วโมงข้างหน้าว่า ลักษณะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงยังคงแผ่เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้มีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่มีลมตะวันออกพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทางด้านตะวันออกของประเทศมาเลเซีย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในบริเวณภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน ตาก สุโขทัย และกำแพงเพชร อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ ชัยนาท สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ชลบุรี และระยอง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา: ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป: ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดพังงา กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-794784
Person read: 1575
03 November 2021
Gen 2 “อยู่เจริญกรุ๊ป” รีแบรนด์ใหม่ “อยู่เจริญ เอสเตทส” ลงทุนอสังหาฯ 3 พันล้าน ย่านทาวน์อินทาวน์ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ดร.ชนฐนพค์ รุ่งโรจน์ธนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พันนาลิฟวิ่ง จำกัด ผู้นำการบริหารอยู่เจริญ เอสเตท (U Charoen Estate) เปิดเผยว่า กลุ่มตระกูลรุ่งโรจน์ธนกุลในฐานะผู้บุกเบิกโครงการหมู่บ้านจัดสรรคุณภาพรายแรก ๆ ของเมืองไทย ภายใต้แบรนด์ “อยู่เจริญ” ตัดสินใจกลับมารุกลงทุนอีกครั้ง โดยรีแบรนด์ใหม่ชื่อ “อยู่เจริญ เอสเตทส” ตอกย้ำจุดแข็งจากประสบการณ์ที่สั่งสมยาวนานมากกว่า 40 ปี สร้างบ้านดี มีคุณภาพ เชื่อถือได้ และอยู่ในทำเลที่ดี บริษัทตั้งเป้านำที่ดินในทำเลต่าง ๆ มาพัฒนาโครงการ โดยเฉพาะย่านถนนประดิษฐ์มนูธรรมหรือเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง มีจุดเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าหลายสาย เช่น โครงการรถไฟฟ้าสีส้ม, สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเทา(วัชรพล-พระโขนง-สะพานพระราม 9-ท่าพระ) ซึ่งกรุงเทพมหานคร (กทม.) กำลังเร่งฟื้นโครงการ ขณะเดียวกัน เป็นย่านเชิงพาณิชย์ระดับพรีเมี่ยม แวดล้อมด้วยศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ระดับไฮเอนด์ โครงการมิกซ์ยูสในอนาคตอีกหลายแห่ง ซึ่งสร้างแรงดึงดูดกลุ่มเป้าหมายระดับบน ทั้งในแง่การอยู่อาศัยและในแง่การลงทุนสูงมาก ล่าสุด บริษัทนำร่องเปิดตัว 3 โครงการ 2 รูปแบบ เจาะตลาดระดับกลาง-บน กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อใน ช่วงวัยที่เริ่มมีชีวิตครอบครัวที่ดี ได้แก่ 1.“บ้านอยู่เจริญ ทาวน์ อิน ทาวน์” โฮมออฟฟิศ 4.5 ชั้น จำนวน 14 ยูนิต สไตล์ Modern Japanese พื้นที่ใช้สอย 431 ตร.ม. ที่จอดรถสูงสุด 6 คัน พร้อมลิฟต์โดยสารส่วนตัว และระบบรักษาความปลอดภัยได้มาตรฐานผ่านระบบ Home Automation พิกัดทำเลโครงการตั้งอยู่บนถนนศรีวรา ย่านเอกมัย-รามอินทรา ที่ดินเริ่มต้น ที่ดิน 40-60 ตารางวา ราคา 38-48 ล้านบาท 2.“อยู่เจริญ เรสซิเด้นท์ ทาวน์ อิน ทาวน์” คอนโดมิเนียม ติดถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม สไตล์ Modern Japanese แบบ Low Rise สงบ เป็นส่วนตัวจำนวน 208 ยูนิต ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ด้วยรูปแบบที่อยู่อาศัยพร้อม Smart Home Automation ไซซ์ 34.75-60 ตารางเมตร ราคา 3.4-5 ล้านบาท 3.“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” โดดเด่นด้วยทำเลอยู่ด้านหลังเซ็นทรัลอีส์วิลล์ ดีไซน์โฮมออฟฟิศสไตล์แบบบ้านแฝดและทาวน์โฮม พื้นที่ใช้สอย 355-430 ตร.ม. ที่จอดรถสูงสุด 6 คัน พร้อมลิฟต์โดยสารส่วนตัว, ระบบ Home Automation และ Underground Utility System สไตล์ Modern Palladian ทำเลในซอยนาคนิวาส 6 ด้านหลัง Central Festival Eastville เพียง 5 นาที ถึงจุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ราคา 38-45 ล้านบาท “เราเข้าใจธรรมชาติมนุษย์ ทุกคนอยากมีชีวิตที่ดีกว่าและต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิต เรามองลูกค้าระดับกลางที่พร้อมปรับสถานะเป็นระดับบน ซึ่งพร้อมก้าวไปกับทุก ๆ คน และกลุ่มลูกค้าระดับบนดั้งเดิม โดยปีนี้นำร่องก่อน 3 โครงการ มูลค่าการลงทุน 3,000 ล้านบาท เพื่อเป็นมาสเตอร์พีซ กระตุ้นการสร้างแบรนด์ อยู่เจริญ เอสเตทส ให้แข็งแกร่งและเป็นที่รู้จัก” ดร.ชนฐนพค์ กล่าว ที่สำคัญ จากการศึกษาตัวเลข Feasibility Study พบว่า สัดส่วนต้นทุนการประกอบธุรกิจของกลุ่มบริษัทจะไม่ต่างจากอดีตมากนัก แต่การแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีค่อนข้างสูง ซึ่ง อยู่เจริญ เอสเตทส จะมุ่งเน้นกลุ่มตลาดที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อ และอาศัยการพัฒนาแบบเพิ่มมูลค่าให้เหมาะสม โดยเท่าที่ทดสอบตลาดจากโครงการของกลุ่มพันนาลิฟวิ่ง บริษัทประสบความสำเร็จมากและกลุ่มลูกค้าเดิมยังนึกถึงแบรนด์ “อยู่เจริญ” จึงตัดสินใจผนึกกำลังกันและเปิดกลยุทธ์รีแบรนด์ใหม่ แผนลงทุนในอนาคต บริษัทวางแผนลงทุนพัฒนาโครงการทำเลแนวเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ไม่ต่ำกว่า 3 โครงการในปี 2565 และเมื่อทุกอย่างพร้อม แบรนด์เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โอกาสพร้อม จังหวะพร้อม บริษัทจะพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ขึ้น หลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น โครงการ Commercial Community หรือ Health Care Center รวมถึงขยายการลงทุนในพื้นที่ต่างจังหวัด ด้านเป้าหมายรายได้ในปี 2564 บริษัทคาดการณ์จะเติบโตกว่า 20% และยอดขายพรีเซลไม่ต่ำกว่า 820 ล้านบาท จาก 2 โครงการแรกที่จะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2564 นี้ ได้แก่ “บ้านอยู่เจริญ ทาวน์ อิน ทาวน์” โฮมออฟฟิศ สไตล์ Modern Japanese และคอนโดมิเนียมเรียบหรู “อยู่เจริญ เรสซิเด้นท์ ทาวน์ อิน ทาวน์” บนถนนศรีวรา ย่านทาวน์อินทาวน์ ดร.ชนฐนพค์ กล่าวอีกว่า ในอนาคต เมื่อทุกอย่างบรรลุเป้าหมาย บริษัทมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คาดไว้ไม่เกิน 3-5 ปีข้างหน้า อนึ่ง “อยู่เจริญ” จดทะเบียนก่อตั้งเป็นบริษัทจำกัดตั้งแต่ปี 2518 เริ่มต้นพัฒนาพื้นที่ให้เช่าซื้อ หรือ “เซ้ง” และเป็นผู้บุกเบิกแนวความการเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ ระยะเวลา 30 ปี เป็นรายแรกให้แก่สังคมไทยและเป็นผู้พัฒนาอาคารที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ที่เรียกว่า “Town House” ที่มีที่จอดรถในตัวเป็นรายแรก และเล็งเห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์หรูหรามากขึ้น จึงคิดค้นโครงการนำร่อง “บ้านพันนา” การอยู่อาศัยด้วยภูมิปัญญาในรูปแบบ Home Office สมัยใหม่ และ “ตรรกะ” Luxury Low Rise Condominuim สไตล์เรียบหรู ด้านกลุ่มบริษัท พันนาลิฟวิ่ง จำกัด เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2554 มีบริษัทในเครือ 4 บริษัท ดังนี้ 1.บริษัท พันนาลิฟวิ่ง จำกัด ทุนจดทะเบียน มูลค่า 10,000,000 บาท นำเสนอการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่แนวราบ 2.บริษัท พันนา แอนด์ เล้าท์ ดีไซน์ จำกัด ทุนจดทะเบียน มูลค่า 1,000,000 บาท ให้บริการทางด้านการออกแบบและการก่อสร้างเป็นหลัก 3.บริษัท พันนา ชยสา จำกัด ทุนจดทะเบียน มูลค่า 40,000,000 บาท นำเสนอการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในแนวสูง 4.บริษัท พันนา นาคนิวาส จำกัด ทุนจดทะเบียน มูลค่า 100,000,000 บาท รองรับการพัฒนาพื้นที่บนทำเลลาดพร้าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-794768
Person read: 1510
03 November 2021
คาลเท็กซ์ ขยายบริการ Contactless Payment ผนึก ShopeePay เปิดช่องทางการจ่ายเงินค่าน้ำมันผ่าน Mobile Wallet บนแอปพลิเคชัน Shopee สแกนจ่ายได้อย่างง่ายดาย ปลอดภัย ไร้สัมผัส แถมดีลสุดว้าวจาก ShopeePay ที่สามารถเลือกซื้อ ShopeePay Vouchers ในราคาเริ่มต้นเพียง 1 สตางค์ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 นายสุทัศน์ ลิมปิติกรานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมันคุณภาพระดับโลกภายใต้แบรนด์ “คาลเท็กซ์” เปิดเผยว่า บริษัทร่วมมือกับพันธมิตรบริษัท ช้อปปี้เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริการกระเป๋าสตางค์ออนไลน์ (Mobile Wallet) บนช้อปปี้ (Shopee) เปิดบริการรับชำระเงินผ่าน ShopeePay บนแอปฯ ช้อปปี้ได้ที่สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ทั่วประเทศ เพื่อรองรับเทรนด์ e-Payment หลีกเลี่ยงการใช้เงินสดในการจับจ่าย และช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อผ่านธนบัตร “การใช้งาน Contactless Payment (คอนแทคเลส เพย์เมนท์) ของผู้บริโภคในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากระดับปกติโดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ตและโมบายแบงก์กิ้งมีการขยายตัวสูงขึ้นกว่า 72% ในปี 2563 และคาดว่าในระยะข้างหน้าการใช้งานยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นผลพวงมาจากนักช้อปยุคโควิด การปรับตัวของร้านค้าต่าง ๆ และพฤติกรรมใหม่ของลูกค้าสู่สังคมไร้สัมผัส (Touchless Society)คุ้นกับ e-Payment และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่จะทำให้ไทยก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล บริษัทฯ จึงได้ขยายช่องทางการชำระเงินค่าน้ำมัน จากปีที่ผ่านมาพัฒนาแอปพลิเคชัน CaltexGO เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า” นายศุภวิทย์ หงส์อมรสิน ผู้อำนวยการ ช้อปปี้เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินผ่าน Mobile Wallet ชั้นนำจาก SeaMoney กล่าวว่า เพื่อเป็นการรองรับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการการชำระเงินที่สะดวกสบาย รวดเร็ว และคุ้มค่า ประกอบกับการรักษาความปลอดภัยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ‘ShopeePay’ ในฐานะผู้ให้บริการการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัล เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานในฐานะพันธมิตรกับ ‘คาลเท็กซ์’ ในการขยายช่องทางการชำระเงิน ShopeePay สู่สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ทั่วประเทศ ที่นอกจากจะช่วยให้ผู้ใช้รถใช้ถนนสแกนจ่ายค่าน้ำมันง่ายและปลอดภัยแบบไร้สัมผัสแล้ว ยังจัดทำแผนการตลาดแรกด้วยการส่งมอบสิทธิพิเศษให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเติมน้ำมันในราคาที่คุ้มค่ายิ่งขึ้นเมื่อชำระเงินผ่าน ShopeePay โดยเฉพาะ “ผู้ใช้รถใช้ถนนที่เข้ามาใช้บริการเติมน้ำมันและต้องการชำระค่าบริการผ่าน ShopeePay สามารถชำระเงินได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Shopee หรือ ShopeePay ด้วยการกด Scan & Pay ผ่าน ShopeePay QR ณ จุดเติมน้ำมัน เพียงเท่านี้ก็สามารถชำระเงินได้อย่างปลอดภัยทั้งในด้านการทำธุรกรรมที่ผู้ใช้งานสามารถดำเนินการได้เอง และด้านสุขอนามัยด้วยบริการรับชำระเงินแบบไร้สัมผัส” สำหรับ ผู้ใช้รถใช้ถนนจะได้รับสิทธิประโยชน์จาก ShopeePay ผ่าน ShopeePay Vouchers 1 สตางค์ ที่สามารถค้นหาส่วนลดค่าน้ำมันคาลเท็กซ์ได้บนฟีเจอร์ Deals Near Me บนแอปฯ ช้อปปี้ เพื่อนำมาสแกนจ่าย พร้อมรับส่วนลดมากมาย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 ธันวาคม 2564¹ ติดตามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://weblink.shopeepay.co.th/u/caltexpr ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-794764
Person read: 1433
03 November 2021
GISTDA เผยพื้นที่ปลูกข้าวภาคกลาง-อีสานเสียหายแล้วกว่า 1 ล้านไร่ ระบุยังพบพื้นที่เสี่ยงอีกกว่า 9 แสนไร่ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 รายงานข่าว GISTDA เปิดเผยข้อมูลภาพจากกลุ่มดาวเทียม Sentinel/ Radarsat/ Landsat วิเคราะห์พื้นที่ปลูกข้าวบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงระหว่างวันที่ 25 ต.ค. – 2 พ.ย.64 พบว่าปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกข้าวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขัง ทั้งสิ้น 1,189,406 ไร่ นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีพื้นที่ปลูกข้าวที่เสี่ยงว่าจะได้รับผลกระทบอีก 948,315 ไร่ ข้อมูลภาพจากดาวเทียมเหล่านี้ GISTDA จะส่งต่อให้กับหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบและที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้สนับสนุนการบริหารจัดการตามภารกิจ ทั้งด้านการวางแผน การติดตาม การประเมินสถานการณ์ และการฟื้นฟูความเสียหายต่อไป ทั้งนี้ GISTDA ได้วางแผนและปรับแผนรับสัญญาณดาวเทียม เพื่อวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง และสามารถตรวจสอบพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ http://flood.gistda.or.th ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-794758
Person read: 1433
03 November 2021
หอการค้าฯ ประชุมร่วม ศบค. ชี้เดินหน้าเปิดเมือง หนุนจีดีพีปี 65 โต 1.0-1.5% ชงรัฐเร่งกระจายวัคซีนสู่ต่างจังหวัด-แรงงานต่างชาติช่วยเสริมการจ้างงานในภาคบริการ มุ่งสู่มาตรฐาน SHA และ SHA+ พร้อมเสนออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวลดหย่อนการกักตัว-ค่าใช้จ่ายขากลับ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมประชุมกับศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เพื่อรับฟังการชี้แจง และทำความเข้าใจของแผนการเปิดประเทศ โดยมีพลเอกสุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เป็นประธาน ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้มีการหารือรายละเอียดในหลายส่วน โดยเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา มีนักเดินทางเข้ามาประเทศไทยประมาณ 2,400 ราย และมีการแยกส่งแต่ละราย เข้าไปตามมาตรการต่าง ๆ ทั้งนี้ ได้รับความเห็นที่เป็นประโยชน์ ต่อการทำงานในระยะถัดไปหลายประเด็น เช่น การลงทะเบียน Thailand Pass การตรวจเชื้อที่โรงแรม การเดินทางไปโรงแรมจากสนามบิน เป็นต้น โดยข้อมูลต่างๆ ก็จะทยอยประชาสัมพันธ์ให้แต่ละฝ่ายทราบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักเดินทาง ทั้งจำนวนผู้เดินทาง ผู้ติดเชื้อ (ถ้ามี) ซึ่งต้องขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ใส่ข้อมูลในระบบด้วย นอกจากนั้น ยังได้มีการหารือถึงมาตรฐาน SHA และ SHA+ ของ ททท. ซึ่งตอนนี้มีคนมาลงทะเบียนกว่า 20,000 กิจการ และมีผู้ประกอบการให้ความสนใจมาลงทะเบียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยทาง ททท จะเร่งการตรวจให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สถานประกอบการต่าง ๆ ทั้งร้านอาหารและรถขนส่ง ได้มาตรฐานนี้ด้วย “หอการค้าไทยยังได้เสนอที่ประชุม ในเรื่องการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติมไปยังต่างจังหวัดและแรงงานต่างชาติ เพื่อให้สัดส่วนการฉีดวัคซีนในแต่ละพื้นที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจัดสรรวัคซีนให้กรุงเทพมหานคร เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้มีการจ้างงานในภาคบริการ มุ่งสู่มาตรฐาน SHA และ SHA+ เพื่อเป็นการสอดคล้องกับการเปิดประเทศ จึงเสนอให้มีการโปรโมทและสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมลอยกระทง ในสถานที่มีความพร้อม ที่สามารถควบคุมกิจกรรมและมีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะสถานประกอบการที่ได้ SHA+ ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบ และได้กำหนดแนวทางในการขอจัดกิจกรรม ทั้งที่ กทม. และต่างจังหวัดด้วย” อีกประเด็นที่ทางหอการค้าไทยได้เสนอคือ การอำนวยความสะดวกสำหรับนักเดินทาง ทั้งนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ และนักลงทุน ที่เข้าออกประเทศไทย โดยภาครัฐควรเร่งเจรจาให้มีมาตรการลดหย่อนตอนขากลับประเทศปลายทางด้วย เพื่อจะได้ไม่โดนการกักตัวและมีค่าใช้จ่ายที่สูง เมื่อเดินทางกลับ รวมถึงมีการสื่อสารข้อมูลที่อัพเดทและถูกต้องให้นักเดินทางด้วย ทั้งนี้ ศบค.ขอให้ทุกภาคส่วนเร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ website ที่ถูกต้องเพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเว็บไซต์ที่ถูกต้องคือ tp.consular.go.th “ภาคเอกชนเชื่อมั่นว่า การเปิดเมืองครั้งนี้จะได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย และจะสามารถทยอยผ่อนคลายกิจกรรมต่าง ๆ ต่อไปได้ โดยขอความร่วมมือทุกฝ่ายให้ร่วมมือกัน และเชื่อว่าช่วงปีใหม่ ภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มแน่นอน เช่น มาตรการช้อปดีมีคืน ที่ภาคเอกชนได้เสนอไป และมั่นใจว่า ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะสามารถมี GDP growth ได้ถึง 1.0-1.5% ได้แน่นอน” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-794752
Person read: 1415
03 November 2021
ผู้นำทั่วโลกร่วมประชุม COP26 ประเทศสกอตแลนด์ ถก 4 ประเด็น หนทางแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) สมัยที่ 26 หรือ COP26 ได้ดำเนินมาเป็นวันที่ 3 แล้ว โดยงานถูกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 12 พฤศจิกายน 2564 มีผู้นำจากกว่า 100 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมการประชุม ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ในเครือสหราชอาณาจักร เพื่อหารือหนทางแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวบที่มาที่ไป และความสำคัญของ COP26 ดังนี้ ที่มาที่ไปของ COP COP เป็นการประชุมเกี่ยวกับสภาพอากาศที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในโลก โดยจุดเริ่มต้นคือเมื่อปี 2535 องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) ได้จัดงาน Earth Summit ที่เมืองริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล เพื่อริเริ่มนำเอากรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UN Framework Convention on Climate Change – UNFCCC) มาใช้ ในสนธิสัญญานี้ นานาประเทศตกลงที่จะ “รักษาความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศให้คงที่” เพื่อป้องกันการแทรกแซงในการสร้างผลกระทบสู่ภูมิอากาศจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยปัจจุบันสนธิสัญญามีผู้ลงนาม 197 ประเทศ นับตั้งแต่ปี 2537 สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทุก ๆ ปี และทาง UN จะชวนทุกประเทศบนโลกเข้าร่วมการประชุมสุดยอดด้านสภาพอากาศโลก (COP) ซึ่งการประชุม COP สมัยที่ 1 (COP1) จัดขึ้นที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 28 มีนาคม – 7 เมษายน 2538 และแต่ละปีประเทศเจ้าภาพหมุนเวียนไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของ ทั้ง 5 ภูมิภาค ได้แก่ แอฟริกา, เอเชีย, ละตินอเมริกาและแคริบเบียน, ยุโรปกลางและตะวันออก, และยุโรปตะวันตก ความพิเศษของ COP สมัยที่ 26 ในระหว่างการประชุม COP แต่ละปี มักมีการเจรจาเรื่องส่วนขยาย (extensions) จากสนธิสัญญา UNFCCC และการกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีผลผูกพันทางกฎหมายสำหรับแต่ละประเทศ และเพื่อกำหนดกลไกการบังคับใช้ ประกอบด้วยพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งเป็นการดำเนินการตามสนธิสัญญา UNFCCC โดยให้ประเทศอุตสาหกรรมและประเทศที่พัฒนาแล้วจำกัด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ตามเป้าหมายที่ตกลงร่วมกันให้ได้ภายในปี 2555 และขอให้ประเทศสมาชิกนำนโยบายและมาตรการในการบรรเทาผลกระทบมารายงานเป็นระยะ แต่ด้วยสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้รัฐภาคีกรอบอนุสัญญา UNFCCC จำเป็นต้องเจรจาความตกลงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ จนในที่สุดสามารถตกลงกันได้ระหว่างการประชุม COP สมัยที่ 21 (COP21) ที่จัดขึ้นระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2558 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เกิดเป็นความตกลงปารีส (Paris Agreement) นับตั้งแต่นั้น ตามความตกลงปารีส ทุกประเทศทั่วโลกจะเพิ่มความพยายามในการจำกัดภาวะโลกร้อนตามหลักการดังนี้ รักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และขณะเดียวกัน กำหนดเป้าหมายที่สูงขึ้นไว้ควบคู่กันว่าจะพยายามรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้น้อยลงไปอีกจนถึงต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส โดยการดำเนินการดังกล่าวจะยึดหลักความเป็นธรรม และหลักความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างของประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาด้วย ความตกลงครอบคลุมการดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การเพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความโปร่งใสของการดำเนินการ และ การให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงทางการเงิน โดยรัฐภาคีต้องมีข้อเสนอการดำเนินการที่เรียกว่า Nationally Determined Contribution (NDC) ของประเทศทุก ๆ 5 ปี แม้ COP จะจัดขึ้นทุกปี (ยกเว้นปี 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก) แต่การประชุม COP26 ในปีนี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นโอกาสสุดท้ายในการรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส และนับเป็นการประชุมครั้งแรกหลังจาก Paris Agreement ได้ถูกลงนาม โดยนานาประเทศต้องร่วมกำหนด NDC และอัปเดตความมุ่งมั่น เพราะครบกำหนด 5 ปีแล้ว 4 ประเด็นสำคัญ ผู้นำร่วมถก ตลอดระยะเวลา 13 วัน การประชุมจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยสัปดาห์แรกประกอบด้วยการเจรจาทางเทคนิคโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามด้วยการประชุมระดับรัฐมนตรี และประมุขระดับสูงในสัปดาห์ที่ 2 เพื่อร่วมหาข้อตกลงแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมี 4 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) ภายในครึ่งศตวรรษ (ปี ค.ศ 2050) และจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยแต่ละประเทศต้องเร่งการยุติการใช้ถ่านหิน ตัดไม้ทำลายป่า และมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงพัฒนากลไกตลาดคาร์บอน 2. ปรับตัวเพื่อปกป้องชุมชนและถิ่นที่อยู่อาศัยให้มากขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ได้รับผลกระทบ จึงต้องฟื้นฟูระบบนิเวศ สร้างการป้องกัน ระบบเตือนภัย และโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น 3. การระดมเงินทุนจากประเทศพัฒนาแล้ว ตามที่ประเทศพัฒนาแล้วได้ให้คำมั่นสัญญาไว้เมื่อการประชุม COP15 ว่าจะสนันสนุนอย่างน้อย 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปีแก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อใช้ในการปรับตัวและบรรเทาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4. สร้างความร่วมมือเพื่อทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม นอกเหนือจากการเจรจาอย่างเป็นทางการแล้ว คาดว่า COP26 จะจัดตั้งโครงการริเริ่ม และแนวร่วมใหม่ ๆ เพื่อดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศด้วย นายกให้คำมั่น ไทยทุ่มเต็มที่แก้โลกร้อน ภาพ Reuters: นายบอริส จอหน์สัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ให้การต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ณ ที่ประชุม COP26 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เวลา 15.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น ประเทศสกอตแลนด์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมพิธีเปิด COP26 และกล่าวต่อที่ประชุมว่า การมาร่วมประชุมครั้งนี้ เป็นการยืนยันว่าประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “ไทยพร้อมร่วมมือกับทุกประเทศและทุกภาคส่วน เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการแก้ปัญหาครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของโลก เพราะภารกิจนี้คือความเป็นความตายของโลกและอนาคตของลูกหลานของพวกเราทุกคน” “ปัจจุบันไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกในปริมาณเพียงประมาณร้อยละ 0.72 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งโลก แต่ประเทศไทยกลับเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ผมร่วมการประชุมสุดยอดเรื่องภูมิอากาศของสหประชาชาติที่กรุงปารีสเมื่อปี 2558 โดยไทยอยู่ในประเทศกลุ่มแรกที่ให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีของ Paris Agreement” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ภายใต้ UNFCCC ไทยได้กำหนดเป้าหมาย NAMA เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและขนส่งอย่างน้อยร้อยละ 7 ภายในปี 2563 แต่ทว่าในปี 2562 ไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้แล้วร้อยละ 17 ซึ่งเกินเป้าหมายที่เราตั้งไว้กว่า 2 เท่า และก่อนเวลาที่ได้กำหนดไว้มากกว่า 1 ปี นอกจากนี้ไทยยังเป็นประเทศแรก ๆ ที่จัดส่ง NDC ฉบับปรับปรุงปี 2563 และจัดทำแผนงานต่าง ๆ ในระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น ล่าสุดไทยได้ส่งยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับต่ำให้กับ UNFCCC โดยไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่จัดทำยุทธศาสตร์นี้ “ไทยจะยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่และด้วยทุกวิถีทาง เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) ภายในปี 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี 2608 และด้วยการสนับสนุนทางด้านการเงินและเทคโนโลยีอย่างเต็มที่และเท่าเทียม รวมถึงการเสริมสร้างขีดความสามารถจากความร่วมมือระหว่างประเทศ ผมมั่นใจว่าไทยจะสามารถยกระดับ NDC ของขึ้นเป็นร้อยละ 40 ได้ ซึ่งจะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิของไทยเป็นศูนย์ได้ภายในปี 2593” นอกจากนั้น ประเทศไทยนำแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG มาเป็นยุทธศาสตร์แห่งชาติ เพื่อนำไปสู่การปรับกระบวนทัศน์และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ และจะนำแผนนี้มาเป็นวาระหลักของการประชุมเอเปค (APEC) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปีหน้า ยุทธศาสตร์ระยะยาว ลดก๊าซเรือนกระจก ภาพ: เฟสบุ๊ก Top Varawut ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เดินทางไปร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย ได้โพสผ่านเฟสบุ๊ควันนี้ (2 พฤศจิกายน 2564) ว่า ภารกิจ COP26 ในครั้งนี้ผมและชาวกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเดินทางมากับท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดอน ปรมัตถ์วินัย การเข้าร่วมประชุม COP26 ในครั้งนี้ จะเป็นการเน้นย้ำท่าทีของประเทศไทย ที่ได้ให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจก ลดภาวะโลกร้อน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยประสานงานกลางของประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทย ภายใต้ Paris Agreement ตลอดจนจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (Long-term low greenhouse gas emission development strategies: LT-LEDS) เพื่อแสดงถึงความชัดเจนและความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจังในการประชุมครั้งนี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-794676
Person read: 1515
03 November 2021
“กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” เดินหน้ายุทธศาสตร์ยานแม่ ประกาศส่ง SCBS เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน “บิทคับ ออนไลน์” สัดส่วน 51% มูลค่า 1.78 หมื่นล้านบาท จากมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท พร้อมร่วมเป็นพันธมิตรวางรากฐานธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล มุ่งสร้างการเติบโตระยะยาว เตรียมพร้อมสู่โลกการเงินอนาคต คาดธุรกรรมซื้อขายหุ้นแล้วเสร็จไตรมาส 1/65 วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยานแม่ มุ่งสร้างการเติบโตระยะยาว และวางรากฐานธุรกิจการเงินแห่งโลกอนาคต รับบริบทโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ล่าสุดประกาศเข้าลงทุนใน “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” (Bitkub Online Co., Ltd.) ผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange) ผ่านการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bitkub Capital Group Holdings Co., Ltd.) คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท โดยมี “บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด” (SCBS) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ รับหน้าที่ผลักดันและทำงานร่วมกับ “Bitkub” ในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในการสร้างธุรกิจร่วมกัน รวมถึงสร้างระบบนิเวศทางด้านสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Ecosystem) ที่มี Digital Asset Exchange เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ Ecosystem ในระดับประเทศให้มีความแข็งแกร่งและเติบโตต่อไป ทั้งนี้ การเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีเงื่อนไขว่าผลการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ของ Bitkub ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจ และคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 1 ของปี 2565 นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลหนึ่งในธุรกิจการเงินแห่งโลกอนาคตมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว การที่ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” เข้าไปลงทุนใน “บิทคับ ออนไลน์” (Bitkub Online Co., Ltd.) ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทยที่มีความน่าเชื่อถือ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยให้ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” สามารถสร้างคุณค่าใหม่ที่สามารถเติบโตในระยะยาวไปกับโลกใหม่ได้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยานแม่ SCBX ในการยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงิน สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภค และสามารถเข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ การเข้าลงทุนใน Bitkub “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ได้ขับเคลื่อนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ในการเข้าซื้อหุ้นสามัญและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” (Bitkub Online Co., Ltd.) ผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange) จาก “บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด” ในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท นอกจากการลงทุนแล้วยังมีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลด้านต่างๆ ผ่านโมเดลทางธุรกิจรูปแบบใหม่ร่วมกับ Bitkub ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว และวางรากฐานในการเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตต่อไป นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า Bitkub ได้เดินมาถึงจุดที่เราได้กลายเป็นโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศไทย หรือที่เรียกว่า Digital Economy ต่อจากนี้ Bitkub ไม่ได้เป็นเพียงสตาร์ทอัพอีกต่อไป แต่กำลังจะก้าวมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อวงการการเงิน 3.0 ของประเทศไทย ในตอนนี้เราได้พา Bitkub มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก และเพื่อที่จะนำ Bitkub ให้ก้าวไปสู่ระดับโลก พวกเราต้องการพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งมาเป็นกำลังเสริมให้ไปถึงได้เร็วขึ้นอย่างยั่งยืน นั่นเป็นเหตุผลที่เราจับมือร่วมกับ SCBS” “SCB เป็นสถาบันทางการเงินที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 114 ปี นอกจากนี้ยังมียุทธศาสตร์ในการที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทเป็น SCBX เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของธุรกิจประเภทใหม่ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ Bitkub และ กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ มีการแชร์เป้าหมาย Vision ที่เหมือนกันว่า Digital Asset มีความสำคัญต่อการพัฒนาของเศรษฐกิจต่อประเทศไทยในระยะยาว เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเราสามารถผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปสู่โลกอนาคต เป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคได้ และเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้าง National Champion ใหม่ให้กับประเทศไทย” นายจิรายุส กล่าวเสริม “ในการร่วมมือกันครั้งนี้ การที่ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” โดยบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เข้ามาซื้อหุ้นทั้งหมด 51% ของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ที่จำนวน 17,850 ล้านบาท ที่มูลค่าบริษัททั้งหมด 35,000 ล้านบาท จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งอันนี้เป็นการประทับตรา “ยูนิคอร์น” อีก 1 ตัวให้คนไทยทุก ๆ คนได้ภาคภูมิใจ” นายจิรายุส กล่าวทิ้งท้าย อนึ่ง Bitkub เป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) โดยได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และเป็นผู้นำในด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย ทั้งนี้ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ก.ย.64) Bitkub มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อ ก.ล.ต. รวมประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 92% โดย Bitkub มีรายได้รวม 3,279 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,533 ล้านบาท (อ้างอิงจากงบการเงินยังไม่สอบทาน) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-794724
Person read: 1456
03 November 2021
ทางหลวงทุ่ม 4.5 พันล้าน ต่อยอดมอเตอร์เวย์สาย 7 เชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา เริ่มสร้างปี 65 วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ว่าที่ร้อยตรี พิรุณ เหมะรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานเปิดการประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2 (ปัจฉิมนิเทศโครงการ) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาของโครงการ รูปแบบรายละเอียดด้านวิศวกรรม มาตรการป้องกัน แก้ไข ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วมการประชุม ที่ปรึกษาโครงการฯ ได้นำเสนอผลสรุปการศึกษาของโครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้ ลากเส้น 2 กม.ถึงอู่ตะเภา แนวเส้นทางโครงการมีจุดเริ่มต้นโครงการจากทางมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 บริเวณด่านจัดเก็บค่าผ่านทาง อู่ตะเภาผ่านพื้นที่ของกองพันปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน กรมทหารปืนใหญ่ กองพลนาวิกโยธิน และมีจุดสิ้นสุดโครงการ ที่แนวเขตทางเข้า-ออกสนามบินอู่ตะเภาแห่งใหม่ บริเวณจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) กม.189+500 รวมระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร โดยได้มีการออกแบบเป็นทางแยกต่างระดับ เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับสนามบินอู่ตะเภา รวมถึงทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) ในบางทิศทาง สำหรับรูปแบบทางแยกต่างระดับ จะก่อสร้างเป็นทางแยกต่างระดับแบบ Semi-Directional with Loop Ramp โดย Semi-Directional Ramp จะรองรับการเดินทางจาก อ.สัตหีบเข้าสู่สนามบินอู่ตะเภา ส่วน Loop Ramp จะรองรับการเดินทางในทิศทางออกจากสนามบินอู่ตะเภาไป จ.ระยอง และยังมีการก่อสร้าง On-Off Ramp อีกจำนวน 2 แห่ง เพื่อรองรับการเดินทางระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) โดยสามารถเลี้ยวซ้ายได้อย่างอิสระด้วยการเชื่อมต่อระดับพื้น ในทิศทางจาก อ.สัตหีบไปด่านจัดเก็บค่าผ่านทางอู่ตะเภา และทิศทางจากด่านจัดเก็บค่าผ่านทางอู่ตะเภาไป จ.ระยอง สร้างปี 65 ใช้งบ 4.5 พันล้าน ส่วนมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการฯ จะกำหนดให้ผู้รับเหมาก่อสร้างปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันด้านต่างๆ ในระหว่างการก่อสร้างอย่างเคร่งครัด อาทิ การติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัย การติดตั้งป้ายเตือน การเพิ่มไฟส่องสว่างในบริเวณที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ เพื่อเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางของผู้ใช้ทางในระหว่างการก่อสร้าง ภายหลังจากการประชุมในครั้งนี้ กรมทางหลวง จะรวบรวมข้อมูลข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนเพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุงการออกแบบรายละเอียด และปรับปรุงมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแผนปฏิบัติการด้านต่างๆ ให้มีความเหมาะสม ประกอบการจัดทำรายงานสรุปผลการศึกษาของโครงการ โดยกรมทางหลวงคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในปี 2565 และใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 4,508 ล้านบาท และคาดว่าสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2568 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-794712
Person read: 1427
03 November 2021
เฮลท์ลีด ปรับโครงสร้างใหญ่เป็นโฮลดิ้ง คุมไอแคร์เฮลท์ 4 เชนร้านขายยายักษ์-เฮลทิเนส ธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ กางแผนระดมทุน mai 72 ล้านหุ้น ต่อยอดขยายสาขาร้านยาคลุม กทม.-ปริมณฑล ปีละ 5 สาขา ย้ำเป้าผู้นำตลาด วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 เภสัชกรธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลายปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการร้านยาฟาร์แมกซ์ ต่อมาได้นำธุรกิจร้านขายยาทั้งหมดในเครือ ได้แก่ ไอแคร์ ฟาร์แมกซ์ ไวตามินคลับ และซูเปอร์ดรัก เข้ามารวมอยู่ในหน่วยธุรกิจเดียวกันภายใต้บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด พร้อมกับจัดตั้งเฮลท์ลีดเป็นบริษัทโฮลดิ้งในปี 2561 เพื่อเข้าถือหุ้นใน 2 บริษัทหลักดั้งเดิม คือ 1.บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเชนสโตร์ร้านขายยา และ 2.บริษัท เฮลทิเนส จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ PRIME และ Besuto เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ โดยคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ราวเดือนธันวาคม 2564 นี้ เบื้องต้น จะระดมทุน 72 ล้านหุ้น หุ้นละ 0.50 บาท ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนหลัก ๆ จะใช้สำหรับการขยายสาขาในธุรกิจร้านขายยา ที่มีมูลค่าตลาดถึง 35,500 ล้านบาท และยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากเทรนด์ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ และมองหาสินค้าที่มากกว่ายา ซึ่งปัจจุบันร้านขายยาในเครือของบริษัท มีหลากหลายโมเดลหลากหลาย เจาะผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม และมีสินค้ากว่า 10,000 เอสเคยู ทั้งยา อุปกรณ์การแพทย์ อาหารเสริม เวชสำอาง ปัจจุบันไอแคร์ เฮลท์ มีร้านยาในเครือทั้งหมด 25 สาขา แบ่งเป็นไอแคร์ 10 สาขา, ฟาร์แมกซ์ 11 สาขา, ไวตามิน คลับ 3 สาขา และซุปเปอร์ ดรัก 1 สาขา โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าสร้างการเติบโตระยะยาวด้วยการขยายสาขาเคลื่อนเข้าหาผู้บริโภคปีละ 4-5 สาขา กระจายตัวในเขต กทม.-ปริมณฑล ย่านทำเลทองทราฟฟิกสูง ส่วนการจะขยายภายใต้แบรนด์ใดนั้น ขึ้นอยู่กับโลเคชั่น หากเป็นย่านชุมชนจะต้องเป็นไอแคร์ ฟาร์แมกซ์เจาะย่านธุรกิจกลางเมือง กำลังซื้อสูง ส่วนไวตามิน คลับ เน้นไลฟ์สไตล์ขายวิตามิน อาหารเสริม เวชสำอาง เกาะตามห้างสรรพสินค้า ขณะที่ซุปเปอร์ดรักเป็นโมเดลไฟติ้งของบริษัท จับย่านที่มีการแข่งขันด้านราคาสูง นอกจากนี้ เงินอีกส่วนหนึ่งที่ได้จากการระดมทุนจะใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมแห่งอนาคต ภายใต้การบริหารของเฮลทิเนส ซึ่งปัจจุบันทำทั้งเจลเคลือบผิวป้องกันไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อราได้ “การเข้าระดมทุนไตรมาส 4 นี้ นอกจากจะเป็นการต่อยอดความแข็งแกร่งธุรกิจใน 2 บริษัทย่อยในเครือแล้ว อีกมุมหนึ่งยังยกระดับความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ และยังคงความเป็นผู้นำ 1 ใน 5 ของตลาดร้านขายยา” ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เฮลท์ลีด ตั้งแต่ปี 61 มีรายได้รวม 791 ล้านบาท กำไรสุทธิ 0.39 ล้านบาท ปี 62 มีรานได้รวม 915 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21 ล้านบาท ปี 63 มีรายได้รวม 1,080 ล้านบาท กำไรสุทธิ 52 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรก 64 มีรายได้รวม 556 ล้านบาท กำไรสุทธิ 32 ล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-794381
Person read: 1477
03 November 2021
ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่า ตลาดจับตาผลการประชุมเฟดคืนวันพุธ(3 พ.ย.64) ขณะที่ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าโดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดประเทศ ก่อนที่จะปิดตลาดที่ระดับ 33.23/25 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (2/11) ที่ระดับ 33.26/28 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (1/11) ที่ระดับ 33.37/39 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวอ่อนค่าลงจากการเทขายเพื่อทำกำไรของนักลงทุน ท่ามกลางการจับตาผลการประชุมนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนวันพรุ่งนี้ (3/11) ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ปรับเพิ่มคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลางปีหน้า (2565) หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในเดือนกันยายน นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจองสหรัฐ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลดลงสู่ระดับ 60.8 ในเดือนตุลาคม โดยระดับดัชนีได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่ที่แตะระดับต่ำสุด 16 เดือน ท่ามกลางการขาดแคลนวัตถุดิบและแรงงาน ในขณะที่ไอเอชเอส มาร์กิต เปิดผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 58.4 ในเดือนตุลาค ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน จากการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าโดยได้รับปัจจัยหนุนจากประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ (1/11) เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ รวมทั้งขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาเกือบ 2 ปี โดยระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 33.22-33.35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 33.23/25 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้านี้ (2/11) ที่ระดับ 1.1596/99 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (1/11) ที่ระดับ 1.1588/92 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของกลุ่มสหภาพยุโรปจะออกมาอย่างไร้ทิศทาง แต่ค่าเงินยูโรก็ยังคงแข็งค่าจากการอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1584-1.1613 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1590/92 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (2/11) ที่ระดับ 114.06/09 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (1/1) ที่ระดับ 114.21/25 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวในกรอบแคบ จากผลการเลือกตั้งที่พรรคแอลดีพีคว้าชัยชนะตามความคาดหมาย และได้ครองที่นั่งข้างมากในสภา อีกทั้งชัยชนะของพรรคแอลดีพีจะทำให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านสภาอย่างราบรื่น หลังจากก่อนเลือกตั้ง นายฟูมิโอะ คิชิเดะ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะทุ่มงบประมาณนับล้านล้านเยนเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด-19 ระบาด โดยระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 113.45-114.13 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 113.52/53 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ +0.90/+1.09 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ +0.75/+2.40 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-794673
Person read: 1486
03 November 2021
เปิดขั้นตอนการลงทะเบียน Thailand Pass พร้อมคำแนะนำจากกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ยกเลิกระบบการลงทะเบียน เพื่อขอรับหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry : COE) ซึ่งได้เริ่มใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 และจะนำระบบใหม่ ที่เรียกว่า Thailand Pass ซึ่งเป็นระบบ web-based มาใช้แทนสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 ทาง “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวมขั้นตอนการลงทะเบียนอย่างละเอียด พร้อมด้วยคำแนะนำและคำตอบคลายข้อสงสัยจากกระทรวงการต่างประเทศ ดังนี้ SHA-SHA Plus ขั้นตอนลงทะเบียน ช่องทางเช็กรายชื่อสถานประกอบการ ต่อยอด “หมอชนะ” รับเปิดประเทศ เชื่อมข้อมูล “Thailand Pass” กต.ยันยกเลิกใบ COE เข้าประเทศ 1 พ.ย.นี้ วงในชี้ Thailand Pass ไม่ตอบโจทย์ ขั้นตอนการลงทะเบียน ไปที่เว็บไซต์ https://tp.consular.go.th เลือก คนไทย หรือ Non-Thai (สำหรับชาวต่างชาติ) เลือก ภาษาไทย หรือ English Language เลือกแผนการเดินทาง มีทั้งหมด 3 แผน ดังนี้ แผนที่ 1 Exemption from Quarantine (Test and Go) เงื่อนไข เดินทางมาจากประเทศหรือพื้นที่ ตามที่รัฐกำหนดรายชื่อ พำนักอยู่ในประเทศนั้นไม่น้อยกว่า 21 วัน ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์อย่างน้อย 14 วันก่อนเดินทาง จองที่พักในโรงแรม SHA+ หรือ AQ Hotel 1 คืน มีผลตรวจ RT-PCR อายุไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง เอกสารที่ต้องเตรียม หนังสือเดินทาง เอกสารรับรองการฉีดวัคซีน หลักฐานการจองโรงแรม และชำระเงิน SHA+ หรือ AQ (สำหรับการพัก 1 คืน และรวมค่าธรรมเนียมการตรวจ RT-PCR 1 ครั้ง แผนที่ 2 Sandbox Programme เงื่อนไข เดินทางเข้าพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์อย่างน้อย 14 วันก่อนเดินทางรายชื่อจังหวัด จองที่พักในโรงแรม SHA+ หรือ AQ Hotel ในพื้นที่ Sandbox 7 คืน มีผลตรวจ RT-PCR อายุไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง เอกสารที่ต้องเตรียม หนังสือเดินทาง เอกสารรับรองการฉีดวัคซีน หลักฐานการจองโรงแรม และชำระเงิน SHA+ (สำหรับการพัก 7 คืน และรวมค่าธรรมเนียม การตรวจ RT-PCR 1 ครั้ง และ ATK 1 ครั้ง) แผนที่ 3 Alternative Quarantine เงื่อนไข เดินทางเข้าประเทศโดยไม่เข้าข่ายเงื่อนไขใดๆ ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ เข้าพักใน AQ หรือโรงแรม 10 วัน เอกสารที่ต้องเตรียม หนังสือเดินทาง หลักฐานการจองโรงแรม และชำระเงิน AQ (สำหรับการพัก 10 คืน และรวมค่าธรรมเนียมการตรวจ RT-PCR 2 ครั้ง กรอกข้อมูลการเดินทางให้ครบถ้วน ประกอบด้วย โดยการเลือกวัตถุประสงค์การเดินทางเข้าประเทศไทย ประเทศต้นทาง สนามบินแรกที่คาดว่าจะเดินทางถึงประเทศไทย วันที่เดินทางถึงประเทศไทย และระยะเวลาในการเข้าพำนัก (วัน) กดยอมรับข้อตกลง กรอกข้อมูลส่วนตัว พร้อมอัปโหลดรูปหนังสือเดินทางที่เห็นข้อมูลและรูปภาพชัดเจน ตอบข้อสงสัย Thailand Pass เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบคำถามและให้คำแนะนำเกี่ยวกับระบบ Thailand Pass ไว้ ดังนี้ สำหรับการเข้าประเทศไทยเพื่อการท่องเที่ยวทั้ง 3 รูปแบบ ต้องลงทะเบียนผ่าน Thailand Pass ใช่หรือไม่ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ผู้เดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศทุกคน ต้องลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass สามารถใช้ COE ที่ได้รับอนุมัติแล้วเข้าประเทศไทยได้หรือไม่ ได้ หากท่านได้รับการอนุมัติ COE แล้ว สามารถใช้ COE ฉบับเดิมเพื่อเดินทางเข้าประเทศไทยได้ และจะมีสิทธิ์การเข้าประเทศตามรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ใน 3 รูปแบบ (ยกเว้นการกักตัว / เข้าพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว / กักตัว ในสถานที่กักกัน) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่า ผู้เดินทางมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขของแต่ละรูปแบบหรือไม่ โดยในเอกสาร COE จะระบุว่า ผู้ร้องมีสิทธิ์เข้าประเทศไทยในรูปแบบใดบ้าง ควรทำอย่างไร หาก COE อยู่ในระหว่างขั้นตอนการรออนุมัติ ถ้าหาก COE ได้รับการอนุมัติลงทะเบียน (pre-approve) แล้ว ท่านสามารถขอ COE ให้เสร็จสิ้นได้ โดยต้องส่งเอกสารส่วนที่เหลือทั้งหมด เพื่อให้สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ ดำเนินการอนุมัติ COE ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2564 มิฉะนั้น คำขอ COE ของท่านจะถูกปฏิเสธโดยอัตโนมัติ และจะต้องทำการลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass เพื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ถ้าหาก COE ยังไม่ได้รับการ pre-approve ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 คำขอ COE ฉบับนั้นจะถูกปฏิเสธโดยอัตโนมัติ และท่านจะต้องทำการลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass เพื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ผู้ร้องควรลงทะเบียนในระบบ Thailand Pass ล่วงหน้าก่อนวันเดินทางเป็นเวลาเท่าไหร่ ท่านควรลงทะเบียนและส่งเอกสารล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ก่อนวันเดินทาง สามารถเปลี่ยนวันเดินทางหลังจากที่ได้ลงทะเบียน และได้รับ QR Code แล้วได้หรือไม่ ไม่สามารถทำได้ หากท่านต้องการเปลี่ยนแปลงวันหรือรายละเอียดในการเดินทาง ท่านจำเป็นต้องทำการลงทะเบียนใหม่อีกครั้งในระบบ Thailand Pass สำหรับการเดินทางแบบครอบครัวหรือเป็นกลุ่ม สามารถที่จะส่งเอกสารการเดินทางเป็นแบบกลุ่มได้หรือไม่ ไม่สามารถทำได้ ยกเว้นกรณีเดินทางพร้อมเด็กตามเงื่อนไขด้านล่างนี้ กรณีเดินทางเข้าประเทศโดยไม่กักกันตัว: ผู้เดินทางทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป จะต้องทำการยื่นเอกสารของตนเองผ่านระบบ Thailand Pass ทั้งนี้ สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี สามารถที่จะยื่นเอกสารพร้อมไปกับการลงทะเบียนของผู้ปกครองได้ ในส่วน ข้อมูลส่วนตัว กรณีเดินทางเข้าประเทศผ่านโครงการพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว: ผู้เดินทางทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จะต้องทำการยื่นเอกสารของตนเองผ่านระบบ Thailand Pass ทั้งนี้ สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถที่จะยื่นเอกสารพร้อมไปกับการลงทะเบียนของผู้ปกครองได้ ในส่วน ข้อมูลส่วนตัว ถ้าหากเด็กที่เดินทางยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน สามารถที่จะเดินทางเข้าตามรูปแบบเดียวกับผู้ปกครอง ได้หรือไม่ ผู้เดินทางทุกคนที่อายุ 12 ปี ขึ้นไป จะต้องได้รับเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนเพื่อยืนยันว่าได้รับวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้ว ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 14 วัน เพื่อเดินทางเข้าประเทศไทยโดยยกเว้นการกักตัว ผู้เดินทางทุกคนที่อายุ 18 ปี ขึ้นไป จะต้องได้รับเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนเพื่อยืนยันว่าได้รับวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้ว ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 14 วัน เพื่อเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านโครงการพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (Sandbox Programme) ระบบ Thailand Pass สามารถใช้ได้ทั้งกับการเดินทางเข้าประเทศทางอากาศ บกและทะเลใช่หรือไม่ ไม่สามารถทำได้ โดยปัจจุบัน การลงทะเบียนผ่าน Thailand Pass รองรับสำหรับการเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศเท่านั้น ผู้เดินทางเข้าทางบกหรือทางน้ำต้องติดต่อสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่เพื่อขอ COE ระบบ Thailand Pass จะรองรับทางลงทะเบียนสำหรับการเดินทางทางบกหรือทางทะเลเมื่อไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาขยายระบบให้รองรับการลงทะเบียนสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศไทยทางบกและทางน้ำ รายชื่อประเทศ / พื้นที่ที่มีสิทธิ์ได้รับการยกเว้นจากรูปแบบกักตัว มีโอกาสที่จะปรับเพิ่มเติมในอนาคตหรือไม่ รายชื่อประเทศ / พื้นที่ที่มีสิทธิ์ได้รับการยกเว้นการกักตัวจะมีการพิจารณาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ในระหว่างนี้ หากต้องการเดินทางไปยังประเทศไทย สามารถทำได้ โดยเดินทางเข้าพื้นที่ Sandbox หรือ Alternative Quarantine โดยขึ้นอยู่กับประวัติการฉีดวัคซีน จำเป็นต้องยื่นผลตรวจหาเชื้อ COVID-19 (RT-PCR) ในระบบ Thailand Pass หรือไม่? ไม่จำเป็น อย่างไรก็ดี ผู้เดินทางจะต้องแสดงผลตรวจหาเชื้อ COVID-19 (RT-PCR) ที่ออกภายใน 72 ชั่วโมง ก่อนการเดินทางต่อเจ้าหน้าที่ที่สนามบิน ยกเว้นในกรณีที่เป็นคนไทยที่เดินทางมายังประเทศไทยและเข้ารับการกักตัวในสถานที่กักกันทางเลือก (AQ) โดยผู้เดินทางอื่นๆ ที่ไม่มีผลการตรวจหาเชื้อ COVID-19 (RT-PCR) อาจถูกปฏิเสธการเข้าประเทศไทย ทั้งนี้ ผลตรวจหาเชื้อ COVID-19 (RT-PCR) ของท่านจะต้องเป็นเอกสารที่เป็น print-out ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ และเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษเท่านั้น หากเที่ยวบินไปยังประเทศไทยต้องมีการแวะเปลี่ยนเครื่อง ณ สนามบินในประเทศ/พื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อยกเว้นการกักตัว จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยโดยยกเว้นการกักตัวได้หรือไม่ ได้ อย่างไรก็ดี การแวะเปลี่ยนเครื่องของท่านต้องใช้เวลาไม่เกิน 12 ชั่วโมง และต้องไม่ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง มิฉะนั้น ท่านจะไม่เข้าเกณฑ์การเดินทางเข้าประเทศไทยโดยยกเว้นการกักตัว หากท่านจะต้องเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อแวะเปลี่ยนเครื่องไปยังประเทศ/พื้นที่อื่น โดยไม่ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของไทย จะต้องลงทะเบียนบน Thailand Pass หรือไม่ ไม่ต้อง อย่างไรก็ดี ท่านจะต้องมีหลักฐานการประกันภัยที่มีวงเงินคุ้มครองอย่างน้อย 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ และผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 (RT-PCR) ที่ออกไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเวลาเดินทางเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ท่านจะต้องอยู่ในประเทศ/พื้นที่ที่อยู่ในรายชื่อยกเว้นการกักตัวเป็นเวลานานเท่าไหร่ ก่อนที่จะเข้าเกณฑ์การเดินทางเข้าประเทศไทยแบบยกเว้นการกักตัว ท่านจะต้องอยู่ในประเทศ / พื้นที่ที่อยู่ในรายชื่อยกเว้นการกักตัวเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 21 วัน ติดต่อกัน (สามารถพำนักอยู่ได้ในหลายประเทศ / พื้นที่ในรายชื่อ โดยรวมกันแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 21 วันติดต่อกัน) ก่อนที่จะเข้าเกณฑ์การเดินทางเข้าประเทศไทยแบบยกเว้นการกักตัว หากท่านจะเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศ/พื้นที่ที่อยู่ในรายชื่อยกเว้นการกักตัว เป็นระยะเวลาน้อยกว่า 21 วัน จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยแบบยกเว้นการกักตัวได้หรือไม่ ได้ โดยท่านจะต้องไม่เดินทางไปยังประเทศ / พื้นที่นอกรายชื่อยกเว้นการกักตัวในช่วงระหว่างที่เดินทางออกจากประเทศไทยและเดินทางกลับเข้าประเทศไทย (ยกเว้นกรณีแวะเปลี่ยนเครื่องตามเงื่อนไขในคำถามที่พบบ่อยข้อที่ 15) มิฉะนั้น ท่านจะไม่เข้าเกณฑ์การเดินทางเข้าประเทศไทยแบบยกเว้นการกักตัว เอกสารประกอบการลงทะเบียน ชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักในไทย (Expat) จำเป็นต้องมีเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยที่มีวงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักหรือมีใบอนุญาตทำงานในไทยสามารถแสดงเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยในไทยที่มีวงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือหลักฐานการประกันภัยอื่น ๆ อาทิ บัตรประกันสังคม หรือหนังสือรับรองการประกันภัยที่ออกโดยนายจ้าง ผู้มีสัญชาติไทยไม่จำเป็นต้องมีเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อลงทะเบียนใน Thailand Pass เนื่องจากได้รับรองการรักษาพยาบาลผ่านโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยแล้ว เอกสารกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับยื่นประกอบการลงทะเบียนกับ Thailand Pass ไม่จำเป็นต้องเป็นประกันสุขภาพโควิด-19 โดยสามารถใช้กรมธรรม์ประกันภัยรูปแบบอื่น อาทิ ประกันทั่วไปหรือประกันสุขภาพที่มีวงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐ ได้ หากไม่มีโทรศัพท์มือถือ สามารถแสดงThailand Pass QR Code ต่อเจ้าหน้าที่ได้โดยสามารถพิมพ์ QR Code ออกมาเป็นเอกสารและนำมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ โดยท่านอาจลงทะเบียน Thailand Pass บนคอมพิวเตอร์เพื่อความสะดวกในการพิมพ์ QR Code ออกมาเป็นเอกสาร ไม่สามารถใช้ผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 รูปแบบอื่นนอกจาก RT-PCR เพื่อเดินทางเข้าประเทศไทย และผลตรวจดังกล่าวจะต้องออกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ชนิดวัคซีนที่ได้รับการยอมรับ CoronaVac (Sinovac) AstraZeneca Pfizer-BioNTech Moderna COVILO (Sinopharm) Janssen (Johnson & Johnson) Sputnik V ยอมรับการฉีดวัคซีนสูตรไขว้หรือไม่ ประเทศไทยยอมรับการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ ทั้งนี้ ระยะเวลาที่ได้รับวัคซีนเข็มสองจะต้องเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดของวัคซีนเข็มแรก ดังนี้ เข็มแรก (Sinovac) = เว้นระยะ 2 สัปดาห์ ก่อนเข็มที่สอง เข็มแรก (AstraZeneca) = เว้นระยะ 4 สัปดาห์ ก่อนเข็มที่สอง เข็มแรก (Pfizer-BioNTech) = เว้นระยะ 3 สัปดาห์ ก่อนเข็มที่สอง เข็มแรก (Moderna) = เว้นระยะ 4 สัปดาห์ ก่อนเข็มที่สอง เข็มแรก (Sinopharm) = เว้นระยะ 3 สัปดาห์ ก่อนเข็มที่สอง เข็มแรก (Sputnik V) = เว้นระยะ 3 สัปดาห์ ก่อนเข็มที่สอง โดย ผู้ได้รับวัคซีนครบถ้วนคือผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่สอง 14 วันก่อนเดินทางและผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน Janssen (Johnson&Johnson) จะถือว่าเป็นผู้ได้รับวัคซีนครบถ้วน หลังได้รับวัคซีนเข็มแรก 14 วัน หากมีประวัติได้รับเชื้อโควิด-19 จะสามารถเดินทางไปประเทศไทยได้ โดยหากมีประวัติได้รับเชื้อโควิด-19 จะต้องได้รับวัคซีน 1 เข็ม ภายในระยะเวลา 3 เดือนหลังจากหายป่วย โดยจะต้องแนบเอกสารรับรอง / ใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันการหายป่วยจากโรคโควิด-19 มาพร้อมกับใบรับรองการฉีดวัคซีน 1 เข็มดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ก่อนได้รับเชื้อโควิด-19 จะถือว่าเป็นผู้ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-794517
Person read: 1510
03 November 2021
ภาพจาก pixabay ประชุม COP26 วันแรก เหล่าผู้นำตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก ส่วนประเทศกำลังพัฒนาเรียกร้องประเทศมหาอำนาจ ให้ความช่วยเหลือทางการเงินดูแลสภาพอากาศ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 รอยเตอร์ส เปิดเผยว่า ในการประชุมสำคัญของสหประชาชาติ มีการเรียกร้องให้ประเทศที่เป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญของโลก รักษาคำมั่นเรื่องความช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อจัดการวิกฤตสภาพอากาศ ขณะที่ผู้สร้างมลพิษรายใหญ่อย่างอินเดียและบราซิลให้คำมั่นครั้งใหม่ ในเรื่องการลดการปล่อยมลพิษ COP26 ความหวังแก้โลกร้อนมนุษยชาติ ความพยายามของไทย COP26 : ประยุทธ์ เชิญ โจ ไบเดน – บอริส จอห์นสัน ร่วมประชุมเอเปคปีหน้า ในช่วงเริ่มต้นของการประชุมสุดยอด COP26 ระยะเวลา 2 สัปดาห์ ในเมืองกลาสโกลว์ของสกอตแลนด์ ผู้นำระดับโลก รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและนักเคลื่อนไหว ต่างเรียกร้องให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อยุติภาวะโลกร้อน ซึ่งอาจคุกคามอนาคตของโลก ภารกิจที่ผู้เรียกร้องกำลังเผชิญอยู่นั้นทวีความน่ากังวลขึ้นไปอีก เมื่อกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลัก 20 ประเทศ ล้มเหลวในการยอมรับข้อตกลงใหม่ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศ G20 เป็นสาเหตุให้เกิดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 80% ของทั้งโลก และมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ซึ่งก๊าซเหล่านี้เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล และเป็นสาเหตุหลักทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น ทั้งยังส่งผลให้คลื่นความร้อน ภัยแล้ง น้ำท่วมและพายุ มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกด้วย “สรรพสัตว์กำลังหายไป แม่น้ำกำลังเหือดแห้ง และพืชผลของเราก็ไม่ออกดอกออกผลเหมือนเมื่อก่อน โลกกำลังส่งสารบอกเราว่า เราไม่มีเวลาแล้ว” ไซ สุรุย ผู้นำเยาวชนพื้นเมืองอายุ 24 ปี จากป่าฝนอเมซอน กล่าวเปิดงานในกลาสโกว์ COP26 มีเป้าหมายสำคัญในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม รวมถึงเป้าหมายใหญ่ที่ไม่ให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายในศตวรรษนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่การประชุมครั้งนี้จัดล่าช้าไปหนึ่งปี เนื่องจากการระบาดของโควิด อย่างไรก็ตาม การที่จะรักษาเป้าหมาย แต่ละประเทศจำเป็นต้องรักษาคำมั่นมากกว่านี้ เพื่อลดการปล่อยมลพิษ และใช้เงินหลายพันล้านเหรียญเพื่อเป็นทุนด้านการจัดการสภาพอากาศสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา และเพื่อปฏิบัติตามข้อตกลงปารีส 2015 ซึ่งเป็นการลงนามของเกือบ 200 ประเทศ การไม่รักษาคำมั่นจะทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น 2.7 องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้ ซึ่งสหประชาชาติชี้ว่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะยิ่งทวีมากขึ้น ผู้นำระดับโลกมากกว่า 100 คน ให้คำมั่นว่าจะหยุดตัดไม้ทำลายป่า ฟื้นคืนผืนป่า และหยุดการทำให้ผืนดินเสื่อมโทรมภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนของรัฐและเอกชนจำนวน 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อลงทุนในการรักษาและฟื้นคืนป่าไม้ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เตือนคณะผู้แทนว่า 6 ปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2558 ขณะที่วิทยากรคนอื่น ๆ รวมถึงนักเคลื่อนไหวจากประเทศยากจนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ออกมากล่าวอย่างดุเดือด บริอันนา ฟรูเอน จากเกาะโพลินีเซียน รัฐเอกราชซามัว ซึ่งเป็นเกาะที่เสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล กล่าวว่า “เยาวชนในแปซิฟิกได้ออกมาชุมนุมพร้อมกู่ร้องว่า เราไม่ได้กำลังจมน้ำ เรากำลังต่อสู้ นี่คือนักรบของเราที่ส่งเสียงร้องต่อโลก” เมื่อปี 2552 ประเทศพัฒนาแล้วที่มีส่วนต่อภาวะโลกร้อนมากที่สุด ให้คำมั่นว่าจะจัดหาเงิน 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี จนถึงปี 2563 เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาจัดการกับผลที่ตามมา พันธสัญญานี้ยังไม่บรรลุผล ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจและความไม่เต็มใจในประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ ผู้นำของประเทศต่าง ๆ เช่น เคนยา บังกลาเทศ บาร์เบโดส และมาลาวี เรียกร้องให้ประเทศที่ร่ำรวยทำตามสัญญา หลังจากเป้าหมายไม่บรรลุผล ลาซารัส แมคคาร์ธี ชาเคเวรา ประธานาธิบดีมาลาวีกล่าวว่า การให้คำมั่นว่าประเทศพัฒนาแล้วจะให้เงินกับประเทศด้อยพัฒนา ไม่ถือเป็นการบริจาค แต่เป็นค่าบริการทำความสะอาดต่างหาก “ทั้งแอฟริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาลาวี ไม่ต้องการคำตอบว่า “ไม่” อีกต่อไปแล้ว” ยักษ์ใหญ่ไม่ร่วมงาน ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงของจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุด กล่าวในถ้อยแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วไม่เพียงต้องทำมากขึ้นเท่านั้น แต่ต้องสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาให้ทำได้ดีขึ้นด้วย การที่ สี จิ้นผิง ไม่ปรากฏตัว เช่นเดียวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสามประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ร่วมกับสหรัฐฯและซาอุดิอาระเบีย อาจเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของ COP26 เกรตา ธันเบิร์ก นักเคลื่อนไหว เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนหลายล้านคนของเธอลงนามในจดหมายเปิดผนึกที่กล่าวหาว่า ผู้นำได้ทรยศต่อพันธสัญญา “นี่ไม่ใช่การฝึกซ้อม แต่เป็นรหัสสีแดงของโลก” เธออ่าน “ผู้คนนับล้านจะต้องทนทุกข์ ในระหว่างที่โลกของเราถูกทำลายล้าง อนาคตอันน่าสะพรึงกลัวที่จะถูกสร้างขึ้นหรือหลีกเลี่ยงได้ ล้วนอยู่ที่การตัดสินใจของคุณ คุณมีอำนาจในการตัดสินใจ” ขณะเดียวกัน อินเดียและบราซิล ซึ่งเป็นผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ที่สุด ต่างใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อให้คำมั่นใหม่ในการลดการปล่อยมลพิษ ประธานาธิบดีชาอีร์ โบลโซนาโร ของบราซิล ประเทศที่มีการตัดไม้ทำลายป่าในระดับสูง กล่าวว่า “เราจะดำเนินการด้วยความรับผิดชอบ และหาแนวทางแก้ไขเพื่อเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน” นอกจากนี้ บราซิลยังให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับคำมั่นก่อนหน้าที่เคยให้ไว้ที่ 43% อย่างไรก็ตาม การปรับลดจะคำนวณตามระดับการปล่อยมลพิษเมื่อปี 2548 ที่เป็นบรรทัดฐานที่ได้รับการแก้ไขเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งจะช่วยให้บราซิลบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ด้านนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ตั้งเป้าหมายปี 2613 ให้อินเดียบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งนับว่าช้ามาก และเกินคำแนะนำทั่วโลกของสหประชาชาติไป 20 ปี กลุ่ม G20 ล้มเหลวในการปฏิบัติตามเป้าหมายปี 2593 ในการหยุดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของ COP26 ในการประชุมสุดสัปดาห์ที่กรุงโรม พวกเขายังไม่ได้กำหนดเวลาในการเลิกใช้ถ่านหินในประเทศ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการปล่อยคาร์บอน ภัยคุกคามร้ายแรง ความขัดแย้งในหมู่ผู้ปล่อยก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลกเกี่ยวกับวิธีการลดใช้ถ่านหิน น้ำมันและก๊าซ จะยิ่งทำให้เกิดความคืบหน้ายากขึ้น เช่นเดียวกับความล้มเหลวของประเทศมหาอำนาจที่บอกว่าจะทำตามสัญญา มีอา มอตต์ลีย์ นายกรัฐมนตรีของบาร์เบโดส เปรียบเทียบเงินจำนวนมหาศาลที่ธนาคารกลางของประเทศมหาอำนาจอัดฉีดเข้าสู่เศรษฐกิจโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กับการใช้จ่ายด้านการดูแลสภาพอากาศ เธอกล่าวว่า “จะมีสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองได้หรือไม่ หากหนึ่งในสามของโลกดำรงอยู่อย่างมั่งคั่ง แต่สองในสามอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล และเผชิญกับภัยร้ายที่คุกคามสวัสดิภาพของเรา” บรรดาผู้นำระดับโลกปิดฉากวันแรกของ COP26 ที่งานเลี้ยงต้อนรับ ซึ่งจัดโดย เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และสมาชิกคนอื่น ๆ ของราชวงศ์อังกฤษ ส่วนควีนเอลิซาเบธที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้พักผ่อน ได้ส่งข้อความวิดีโอมา ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-794253
Person read: 1443
03 November 2021
“เซ็นทรัลพัฒนา” จ่อสร้างโรงหนังสกาลาแห่งใหม่ ยันสร้างเหมือนเดิมเป๊ะ เผยอยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียด วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง กรณีบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เข้ารื้อถอน “โรงภาพยนตร์สกาลา” (1 พ.ย.) สถานที่ที่มีความโดดเด่นในการออกแบบจนทำให้เป็นที่หลงรักของผู้ที่ได้มาเยือน ทุบ “สกาลา” ปิดตำนาน 54 ปี โรงหนังยุคบุกเบิก ส่งมอบพื้นที่ให้เซ็นทรัล ล่าสุด มติชนรายงานอ้างอิงแหล่งข่าวจาก CPN เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียดของโครงการ จะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส จำนวน 1 อาคาร มีความสูงมากกว่า 20 ชั้น มูลค่าการลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงแรมรองรับนักธุรกิจ ศูนย์การค้า 4-5 ชั้น อาคารสำนักงานและที่จอดรถ ซึ่งเป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมด ทำให้บริษัทต้องทุบโรงหนังสกาลาและอาคารพาณิชย์อีก 79 คูหา เพื่อเคลียร์พื้นที่ว่างและสร้างอาคารใหม่ จ่อโคลนนิ่ง “สกาลา” แห่งใหม่ ส่วนกรณีที่สังคมมีความกังวลเรื่องสถาปัตยกรรมโรงหนังสกาลาจะหายไปนั้น ก่อนที่บริษัทจะเดินหน้าทุบทิ้ง ได้ลงพื้นที่สำรวจและเก็บข้อมูลรายละเอียดสถาปัตยกรรมไว้ทั้งหมดด้วยภาพสแกน 3 มิติ สามารถสร้างกลับมาได้เหมือนเดิม แบบไม่ผิดเพี้ยน อยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียด “ตอนนี้เรารับมอบพื้นที่จากจุฬาฯ บางส่วน เริ่มเข้าพื้นที่ เริ่มต้นโครงการ ขณะนี้เป็นขั้นตอนการเคลียร์พื้นที่ ออกแบบรายละเอียด ส่วนการก่อสร้างจะเริ่มได้เมื่อพร้อม เนื่องจากต้องให้โครงการได้รับอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอและอนุญาตการก่อสร้างก่อน” แหล่งข่าวกล่าว สกาลา โรงหนังคู่ศิลปะออกแบบอาคาร ฝีมือสถาปนิกยุคสงครามโลก ขณะที่แหล่งข่าวจากสำนักงานเขตปทุมวัน เปิดเผยว่า เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ ทำหนังสือถึงสำนักงานเขต เพื่อขอใบอนุญาตขอรื้อถอนอาคารพาณิชย์และโรงภาพยนต์ บริเวณ Block A ของสยามสแควร์ทั้งหมด พร้อมมาตรการรองรับด้านความปลอดภัยต่าๆ ซึ่งใบอนุญาตดังกล่าวจะมีอายุ 1 ปีหรือสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2565 ถ้ายังรื้อไม่เสร็จสามารถขอต่อใบอนุญาตได้อีก 1 ปี ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-794575
Person read: 1419
03 November 2021
เซ็นทรัลพัฒนา เดินเครื่องปลุกมู้ดค้าปลีกไตรมาส 4 อัด 500 ล้านบาท ผุดบิ๊กแคมเปญ “Forwarding Happiness 2022” ปลุกสีสันส่งท้ายปีรับเทศกาลเฉลิมฉลองช่วงไฮซีซั่นทั่วไทย พร้อมจ่อเจรจารัฐผุดบิ๊กอีเวนต์เคานต์ดาวน์ 2022 มั่นใจดันทราฟฟิกเพิ่ม 30% วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็น Purposeful Destination หรือจุดหมายปลายทางที่มีความหมายที่สุดที่น่ามาเฉลิมฉลองช่วงสิ้นปี โดยเซ็นทรัลพัฒนามีความพร้อมในการส่งเสริมและตอกย้ำไทยเป็นแลนด์มาร์กระดับโลก ผ่านจุดแข็งที่มีอยู่ทั้ง 35 แห่งทั่วประเทศ โดยในช่วงสิ้นปีนี้บริษัทได้นำเทรนด์เรื่องของ “Shop & Travel with Purpose” คือการช้อป-เที่ยว ช่วยชาติอย่างมีความหมาย เข้ามาผสมผสานผ่านการจัดแคมเปญผ่านงบการตลาดกว่า 400 ล้านบาท กับแคมเปญ Forwarding Happiness 2022 เพื่อตอบรับแผนเปิดประเทศ รองรับทัวริสต์ไทยและต่างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ เศรษฐกิจชุมชนให้แข็งแกร่ง พร้อมส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่น (ควบคู่กับการจัดงานต่าง ๆ เพื่อสร้าง Tourism Ecosystem ที่จะช่วยเดินหน้าเศรษฐกิจทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งงานท่องเที่ยวร่วมกับ ททท., สายการบินและโรงแรมชั้นนำ และตลาดสินค้าท้องถิ่น เชื่อมั่นภาพรวมการท่องเที่ยวไทยและภาคค้าปลีกไทยจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาสนี้ “ตอนนี้ทราฟฟิกในศูนย์ในต่างจังหวัดกลับมาที่ 80% ขณะที่สาขามหาชัย และระยอง ทราฟฟิกกลับมาที่ 100% แล้ว โดยในส่วนของกรุงเทพฯ อยู่ที่ 70-80% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าอีก 2-3 ปีภาพรวมค้าปลีกถึงจะกลับมาคึกคักเหมือนช่วงก่อนโควิด ดังนั้นการจัดอีเวนต์ การกระตุ้นกำลังซื้อจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในช่วงนี้ ซึ่งทางซีพีเอ็นไม่ได้ตัดงบกิจกรรมการตลาดลงแต่อย่างใด ยังคงทุ่มเต็มที่เพื่อฟื้นกำลังซื้อให้มากที่สุดในช่วงปลายปี” โดยได้ใช้กลยุทธ์ “Destination Plus+” เสริมความครบครัน มุ่งเน้นการเติมเต็มประสบการณ์ ได้แก่ Destination+Experience & Happiness Moment ผ่านการสร้าง Customer Experience ที่เชื่อมโยงทั้ง Shop & Travel Ecosystem ให้เกิดขึ้น ภายใต้แนวคิด Art Heal & Music Heal ที่ใช้ศิลปะและเสียงดนตรีอันเป็นภาษาสากลเพื่อสร้างความสุข พร้อมเนรมิตศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศให้เป็น The Best Thailand’s Happiness Landmark เทศกาลแสงไฟและสีสันแห่งความสุข (Sparkling Light of Happiness) ช่วยสร้าง Positive Energy ด้วย Emoticon และคำที่มีความหมายให้กำลังใจคนไทย ผ่านการจับมือกับพันธมิตรบัตรเครดิตชั้นนำทั่วไทย ทั้งนี้คาดว่าจะมีทราฟฟิกเพิ่มขึ้นกว่า 30% และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในช่วงปลายปี โดยมีไฮไลต์คือการเนรมิตศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศเป็น The Best Thailand’s Happiness Landmark กับเทศกาลแสงไฟและสีสันแห่งความสุข ช่วยสร้าง Positive Energy ด้วย Emoticon และคำที่มีความหมาย พร้อมด้วยโปรโมชั่นอัดแน่น ผ่านการสร้างปรากฎการณ์ความเป็นที่สุดด้วย “6 Super Booster” บูสต์ความสุขให้คนทั่วโลกด้วย 6 สิ่งที่ห้ามพลาด ภายใต้แคมเปญ THE KINGDOM OF HAPPINESS 2020 …Where life celebrates นี้ เริ่มต้นเวลาแห่งความสุขด้วยงานเปิดไฟต้นคริสต์มาส ยาวไปจนถึงงานเค้าท์ดาวน์ส่งท้ายปี รวม 46 วัน ขณะที่งบประมาณอีกกว่า 100 ล้านบาท ถูกเตรียมพร้อมเพื่อนำไปใช้ในการจัดบิ๊กอีเวนต์ใหญ่ส่งท้ายปีมหกรรมเคานต์ดาวน์ 2022 บริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ขึ้นอย่างแน่นนอน เพื่อเป็นการปลุกมู้ดของประชาชนในประเทศ กระตุ้นกำลังซื้อ รวมถึงรองรับต่างชาติในการเปิดประเทศ “งานเคานต์ดาวน์ 2022 บริเวณลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ จะถูกจัดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะสเกลไหน ธีมอะไร คงต้องรอสรุปหลังการยื่นขออนุญาตและเจรจากับภาครัฐ ซึ่งต้องคอยจับตาดูสัปดาห์ต่อสัปดาห์ เบื้องต้นขณะนี้บริษัทได้มีการเจรจาร่วมกับหน่วยงานภาครัฐทั้งกระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร ถึงขอบเขตของการจัดงาน” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-794544
Person read: 1400
03 November 2021
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โฆษกรัฐบาลเผย “ประยุทธ์” พอใจภาพรวมการเปิดประเทศวันแรก แม้ยังเจออุปสรรค มั่นใจปลายปีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น ขอทุกฝ่ายยึดมาตรการ COVID Free Setting วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ประชาชน ผู้ประกอบกิจการกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีส่วนร่วมกันทำให้ภาพรวมการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยววันแรกจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ 63 ประเทศและพื้นที่วานนี้ (1 พ.ย.) เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำหรับปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการต่าง ๆ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขเพื่อให้การดำเนินการดีขึ้น มั่นใจจะมีนักท่องเที่ยวที่ตัดสินใจจะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศปลายปีนี้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ภาพรวมการเปิดเรียนวันแรกทั่วประเทศ ก็ที่น่าพอใจ โดยครู ผู้ปกครองและนักเรียน ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ sandbox safety zone in school ซึ่งคาดว่าจะสามารถทยอยเปิดโรงเรียนที่มีความพร้อมเพิ่มเติมได้อีกในระยะต่อไป โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในประเทศลดต่ำกว่าต่อเนื่อง แม้จะมีการผ่อนคลายให้มีการดำเนินกิจการกิจกรรมทางสังคมมากขึ้น โดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันนี้ (2 พ.ย.) มีจำนวน 7,574 ราย ซึ่งลดต่ำกว่าหมื่นต่อเนื่อง และผู้ป่วยที่ยังคงรักษาอยู่ที่ 98,444 ราย ซึ่งเป็นยอดผู้ป่วยในระบบที่ยังคงรักษาตัวอยู่ยอดต่ำกว่าแสนราย ช่วยลดความกดดันระบบสาธารณสุขของไทย สะท้อนประสิทธิภาพจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเต็มที่และมีมาตรฐานสูงแม้ประเทศจะเริ่มเปิดกว้างให้มีการทำกิจกรรมมากขึ้น ขณะที่จำนวนผู้รับการฉีดวัคซีนล่าสุด (1 พ.ย.) จำนวน 76,520,658 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 สะสมจำนวน 42,671,447 ราย เข็มที่ 2 สะสมจำนวน 31,444,210 ราย เข็มที่ 3 ฉีดสะสมไปแล้วกว่า 2.4 ล้านโดส รวมทั้งยังจะเร่งกระจายและฉีดวัคซีนเพิ่มเติมในพื้นที่เสี่ยงและกลุ่มเสี่ยง ในจังหวัดภาคเหนือและชายแดนภาคใต้ด้วย “นายกรัฐมนตรีฝากขอบคุณทุกคน ที่ปรับเปลี่ยน เรียนรู้ วิถีชีวิตแบบ “ปกติใหม่” เน้นการอยู่ร่วมกับไวรัสโควิด-19 ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าเปิดประเทศมากขึ้นนี้ เพราะต้องการสร้างโอกาสและเพิ่มความหวังให้กับธุรกิจ เอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยในอุตสาหกรรมบริการต่าง ๆ ได้กลับมาดำเนินกิจการกิจกรรมได้เกือบเหมือนปกติอีกครั้ง” “อย่างไรก็ตาม ท่านนายกรัฐมนตรียังกำชับให้ทุกหน่วยงานมีมาตรการเฝ้าระวังและแผนเผชิญเหตุ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่เสี่ยงและกลุ่มเสี่ยงอย่างเคร่งครัดด้วย” นายธนกร กล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-793802
Person read: 1514
02 November 2021
ค่าเงินบาทวันนี้ (2 พ.ย.) แข็งค่าที่ 33.27 บาท โดยกรอบแนวรับที่ 33.20 บาท แนวต้าน 33.40 บาท วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ (2 พ.ย.) เปิดตลาดแข็งค่าขึ้นที่ 33.27 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับราคาปิดสิ้นวันทำการก่อนหน้า โดยกรอบการเคลื่อนวันนี้คาดการณ์แนวรับที่ 33.20 บาท แนวต้านที่ 33.40 บาท โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนตลาดจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของสหรัฐ โดยไอเอสเอ็มที่ออกมาที่ 60.8 ดีกว่าคาดการณ์ที่ 60.5 แต่น้อยกว่าในเดือนก่อนหน้าที่ 61.1 ขณะที่นางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐ เสนอให้ยื่นพิจารณาขยายกรอบหนี้สาธารณะแบบไม่ต้องพึ่งคะแนนเสียงจากพรรครีพับลิกัน ส่วนปัจจัยในประเทศ วันแรกของการที่ไทยเปิดประเทศ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาราว 3,000 คน จาก 63 ประเทศ สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย ที่มีในวันนี้ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ และดัชนีราคาผู้ผลิต ในวันพฤหัสบดี จากนั้นวันศุกร์ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อไทย และการจ้างงานนอกภาคการเกษตรสหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-793806
Person read: 1485
02 November 2021
ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (2 พ.ย.) ดัชนี SET Index เปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,616.45 จุด ปรับขึ้น +2.67 จุด หรือคิดเป็น +0.17% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 1,867 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.00.21 น. ดัชนี SET50 ปรับขึ้น +1.95 จุด หรือ +0.20% อยู่ที่ 972.37 จุด โดยมูลค่าซื้อขายรวม อยู่ที่ 954 ล้านบาท เทียบเป็นราว 51.09% ของมูลค่าซื้อ-ขายในตลาด SET 10 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าซื้อ-ขายโดดเด่นที่สุด 1. KBANK : 193.43 ล้านบาท ราคา -0.50 บาท (-0.35%) 2. PTT : 91.30 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 3. BANPU : 86.06 ล้านบาท ราคา -0.10 บาท (-0.91%) 4. KCE : 84.16 ล้านบาท ราคา +0.25 บาท (+0.28%) 5. HANA : 70.65 ล้านบาท ราคา +0.75 บาท (+0.90%) 6. AOT : 60.79 ล้านบาท ราคา +0.25 บาท (+0.39%) 7. SCGP : 45.94 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 8. OR : 40.73 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 9. KEX : 38.75 ล้านบาท ราคา -1.00 บาท (-2.68%) 10. SCB : 37.49 ล้านบาท ราคา +0.50 บาท (+0.40%) ขณะที่ตลาด mai ปรับขึ้น +0.46 จุด หรือ +0.08% ในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ 555.37 จุด มูลค่าซื้อขาย 650.5 ล้านบาท หมายเหตุ : ข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โปรดตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นทางการจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-793814
Person read: 1436
02 November 2021
บมจ.โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) หรือ JP เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (Mai) ราคาหุ้นอยู่ที่ 9.40 บาท เหนือจอง 34.3% เพิ่มขึ้น 2.40 บาท จากราคาไอพีโอ (IPO) ที่ 7.00 บาท ระดมทุนพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ภายใต้กลุ่ม Own Brand – วางแผนขยายช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์-เป็นทุนหมุนเวียนและชำระคืนหนี้ เช็กรายได้หุ้นน้องใหม่ “JP” ก่อนซื้อขายตลาด Mai 2 พ.ย.นี้ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงายว่า บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JP เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (Mai) วันนี้เป็นวันแรกในของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ราคาเปิดตลาดอยู่ที่ 9.40 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.40 บาท หรือคิดเป็น 34.3% จากราคาเสนอขายครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 7.00 บาทต่อหุ้น JP เป็นผู้ประกอบธุรกิจพัฒนา ผลิตและจําหน่ายยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยบริษัทมีการดำเนินธุรกิจหลัก 2 รูปแบบ คือ รับจ้างผลิตและจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของลูกค้า (“OEM”) และ ผลิตและจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัท (“Own Brand”) ซึ่งมีตราสินค้า 4 ตรา ได้แก่ COX™, JSP™, EVITON™ และ สุภาพโอสถ™ ทั้งนี้ราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 7.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 100.01 เท่า ซึ่งคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทฯ ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 63 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.64 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 31.85 ล้านบาท โดยเมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ เท่ากับ 455.00 ล้านหุ้น (Fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.07 บาท และคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) เท่ากับ 74.74 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.09 บาท เมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท ณ ปัจจุบันก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ จำนวน 340.00 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นจำนวนประมาณ 115 ล้านหุ้น ประกอบด้วย 1. เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์-นักลงทุนสถาบัน จำนวน 113,750,000 หุ้น 2.เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท จำนวน 1,250,000 หุ้น สำหรับแผนการใช้เงินหลังระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(Mai) รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,774 ล้านบาท แบ่งตามวัตถุประสงค์ดังนี้ (ดูตาราง) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-793189
Person read: 1404
02 November 2021
บล.ฟิลลิป ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวอิงทางลงเป็นหลักระหว่าง 1,600-1,620 จุด บริเวณแนวรับแถว 1,600-1,605 จุด อาจรีบาวนด์สั้น ๆ แต่โอกาสปรับตัวลงต่อยังมี เสี่ยงหลุด 1,600 จุด ตลาดไร้ปัจจัยหนุนใหม่ ฟันด์โฟลว์ต่างชาติพลิกไหลออกช่วง 2 วันทำการเกือบ 6.6 พันล้านบาท ด้านประชุม COP26 หนุนธีม “พลังงานสะอาด-อีวี” หุ้นเปิดเมืองราคาวิ่งสูง คาดวัคซีน Moderna เข้ามาช่วยลดการระบาดโควิด ธีมนี้ยังน่าสนใจ ย่อตัวจังหวะสะสม พร้อมฟื้นตัวโดดเด่นในปีหน้า วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดดัชนี SET Index เช้านี้จะแกว่งตัวในกรอบ แต่อิงทางลงเป็นหลักระหว่าง 1,600-1,620 จุด โดยนักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะกลับมาให้น้ำหนักกับประเด็นการประชุม FOMC ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 2-3 พ.ย. 2564 ที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะประกาศทำ QE Tapering อย่างเป็นทางการ ขณะที่ปัจจัยภายในเรื่องการเปิดประเทศในช่วงแรก อาจต้องรอดูการตอบรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะหนึ่งก่อน โดยรวมจึงยังดูไม่คึกคักมากนัก ภาพรวมตลาดไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ อย่างไรก็ดี แม้เชื่อว่าที่บริเวณแนวรับแถว 1,600-1,605 จุด อาจมีการรีบาวนด์สั้น ๆ แต่โอกาสปรับตัวลงต่อยังมี เนื่องจากทิศทางเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) พลิกไหลออกจากตลาดหุ้นไทยชัดเจนในช่วงนี้ โดยเฉพาะช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมาที่ต่างชาติขายสุทธิออกจากตลาดหุ้นไทยเกือบ 6.6 พันล้านบาท ติดตามการประชุม COP ครั้งที่ 26 ระหว่างวันที่ 31 ต.ค.-3 พ.ย. 2564 ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ของผู้นำโลกกว่า 120 ประเทศ โดยเป้าหมายการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญถึงทิศทางด้านสภาพอากาศของโลกด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อควบคุมไม่ให้อุณหภูมิของโลกสูงเกินไป ซึ่งจะหนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดการใช้พลังงานจากถ่านหินและฟอสซิล สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้เร็วขึ้น ในส่วนของประเทศไทยนั้น มีแผนผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้า 15 ล้านคัน (ประมาณ 1 ใน 3 ของยานยนต์ทั่วประเทศ) ภายในปี 2578 หลังจากนี้ต้องรอดูมาตรการภาครัฐหนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่คาดว่าจะลดหรือยกเว้นภาษีให้กับการนำเข้ายานยนต์ไฟฟ้ามาจำหน่ายในประเทศในช่วงแรก เพื่อผลักดันเป้าหมายการเป็นประเทศยานยนต์ไร้มลพิษ (Zero Emission Vehicle : ZEV) และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ในอีกราว 40 ปีข้างหน้า ดังนั้นการประชุม COP26 จะหนุนธีมพลังงานทดแทนและ EV กลับมาโดดเด่น ทางฝ่ายเลือกหุ้น NEX, EA เป็นหุ้นได้ประโยชน์หลักจากธีมนี้ ส่วนหุ้นรองลงมาที่ชอบ ได้แก่ BGRIM, GPSC ขณะที่ปัจจัยนี้เป็นลบต่อกลุ่มพลังงานถ่านหินและฟอสซิล ขณะที่หุ้นกลุ่มเปิดเมืองในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตอบรับการเปิดประเทศค่อนข้างน้อย เนื่องจากราคาได้ปรับตัวขึ้นมาในช่วงก่อนหน้านี้ตั้งแต่การคลาย Lockdown ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2564 จึงทำให้หลายตัวมีระดับราคาค่อนข้างสูง แต่จากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศที่ยังดีขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่ผู้ติดเชื้อรายวันต่ำกว่าระดับก่อนจุดวิกฤตระลอก 3 แล้ว อีกทั้งการเข้ามาของวัคซีน mRNA อย่าง Moderna จะยิ่งช่วยลดการระบาดได้ดียิ่งขึ้น ทางฝ่ายวิจัยจึงมองว่าธีมนี้ยังน่าสนใจและการย่อตัวเป็นจังหวะสะสมที่ดี พร้อมฟื้นตัวโดดเด่นในปีหน้า ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-793800
Person read: 1460
02 November 2021
PHOTO : Sakchai Lalit : AP คมนาคมเผยเปิดประเทศวันแรก มีสายการบินแจ้งทำการบินกว่า 260 เที่ยวบิน ผู้โดยสารกว่า 2 หมื่นคน มีเที่ยวบินระหว่างประเทศลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ 91 ไฟลต์ เป็นชาวต่างชาติ 6,600 คน ไม่พบติดเชื้อโควิดแม้แต่รายเดียว วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวภายหลังหลังลงพื้นที่ติดตามความเรียบร้อยการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) เมื่อ 1 พฤศจิกายน ว่า จากการตรวจเช็กปริมาณการจราจรทางอากาศที่ ทสภ.มีสายการบินแจ้งทำการบินประมาณ 260 เที่ยวบิน ในจำนวนนี้เป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 91 เที่ยวบินมีผู้โดยสารเดินทางมาที่สนามบินสุวรณภูมิ จำนวน 20,083 คน เป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 6,613 คน ซึ่งในจำนวนนี้พบว่าไม่ติดเชื้อโควิด-19 แม้แต่รายเดียว ส่วนปริมาณการจราจรทางอากาศตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ของ ทสภ. คาดว่าจะมีเที่ยวบินประมาณ 12,133 เที่ยวบิน ในจำนวนนี้เป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 6,501 เที่ยวบิน ส่วนจำนวนผู้โดยสารคาดว่าจะมี 7.25 แสนคน ในจำนวนนี้เป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 2.7 แสนคน ทางด้าน ททท.สำนักงานภูเก็ต รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย. มีเที่ยวบินเข้ามาจังหวัดภูเก็ต กว่า 11 เที่ยวบิน และจะมีเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป ทางด้านนายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการลงทะเบียนเดินทางเข้าไทยผ่านระบบ Thailand Pass เพื่อประสงค์เดินทางมายังประเทศไทย ซึ่งเปิดวันนี้เป็นวันแรก ว่าในภาพรวมมีผู้เดินทางลงทะเบียนกว่า 10,000 คน และได้รับอนุมัติแล้วประมาณ 400 คน และมีตัวเลขผู้ลงทะเบียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งมีผู้เดินทางที่ได้รับอนุมัติ Certificate of Entry (COE) ให้เดินทางเข้าไทยรับนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลเกือบ 13,000 คน ในช่วงวันที่ 1-7 พฤศจิกายนนี้ ทางด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) จึงได้สั่งการให้ ททท. สำนักงานต่างประเทศ ให้ข้อมูลการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะเร่งรัดการทำตลาดกับตัวแทนขายออนไลน์ (โอทีเอ) สายการบิน บริษัทนำเที่ยว เพื่อให้นำกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้ามา โดยตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 ถึงเดือนมีนาคม 2565 ไว้ไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-793776
Person read: 1397
02 November 2021