ข่าวประชาสัมพันธ์

ดอลลาร์สหรัฐเริ่มแข็งค่า หลังสงครามการค้าเริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายมากขึ้น

แฟ้มภาพ ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันอังคารที่ 10 กันยายน 2562 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (10/9) ที่ระดับ 30.695/67 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดในวันจันทร์ (9/9) ที่ระดับ 30.63/65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ภายหลังจากมีรายงานว่า จีนได้ยื่นข้อเสนอที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น หากสหรัฐยอมผ่อนคลายข้อจำกัดต่อการส่งออกสินค้าของบริษัทหัวเว่ยและเลื่อนการเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ในวันที่ 1 ต.ค. ทั้งนี้ จีนยื่นข้อเสนอดังกล่าวในการสนทนาทางโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาเลื่อนการเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนที่มีกำหนดในวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งรวมถึงคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ นอกจากนี้นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐกล่าววา สหรัฐและจีนมีความคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับการบังคับใช้กลไกในการป้องกันการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา หลังจากที่ผ่านมา ประเด็นดังกล่าวได้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อากรบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่าทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.62-30.66 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 30.62/30.63 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรในวันนี้ (10/9) ค่าเงินยูโรเปิดตลาดที่ระดับ 1.1040/42 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (9/9) ที่ระดับ 1.1041/43 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร นักลงทุนจัุบตาดูการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 12 ก.ย.นี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย และประกาศรื้อฟ้นโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รอบใหม่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซนที่มีความอ่อนแอ หลังจาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีลดลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนกรกฎาคม ซึี่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้ผลิตจากประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป กำลังดิ้นรนหลังจากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1035-1.1059 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1041/43 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนในวันนี้ (10/9) เปิดตลาดที่ระดับ 107.34/35 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (9/9) ที่ระดับ 107.07/08 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ การส่งสัญญาณในเชิงประนีประนอมระหว่างจีน-สหรัฐ ช่วยลดความกังวลของนักลงทุนต่อสภาวะสงครามการค้า ทำให้นักลงทุนเพิ่มการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและลดการถือครองสกุลเงินเยนลงในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งนี้ค่าเงิน เยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 107.22-107.49 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 107.29/30 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน ส.ค. (11/9) สต๊อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือน ก.ค. (11/9) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (12/9) อัตรารเงินเฟ้อเดือน ส.ค. (12/9) ยอดค้าส่งเดือน ส.ค. (13/9) ราคานำเข้าและส่งออกเดือน ส.ค. (13/9) ความเชือมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือน ก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (13/9) สต๊อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือน ก.ย. (13/9) สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -2.2/-2.0 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -0.5/1.0 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-369926

จำนวนผู้อ่าน: 2257

11 กันยายน 2019

“บิ๊กตู่” จับมือ กกร. ดัน “ดิจิทัลเทรด” วาระแห่งชาติ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบแนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย (Thailand National Digital Trade Platform) โดยมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานขับเคลื่อนปฏิรูปยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย สืบเนื่องจากการพัฒนาและดำเนินการด้านดิจิทัลของภาครัฐและเอกชนมีอยู่ในระดับที่แตกต่างกันและไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การส่งเสริมแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย (National Digital Trade Platform : NDTP) ในครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างระบบกลางให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลด้านการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศอย่างมีมาตรฐานทางดิจิทัลเดียวกันของทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน รวมทั้งจะพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มกลางที่เชื่อมต่อกับระบบ National Single Window (NSW) ซึ่งเป็นระบบที่ให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารเกี่ยวกับการนำเข้า-การส่งออก ระหว่างกรมศุลกากรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เช่น ตัวแทนออกของ ตัวแทนผู้รับขนส่งสินค้า บริษัทเรือ/สายการบิน รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลกับ 36 หน่วยงานภาครัฐในการการออกใบอนุญาต/ใบรับรอง การพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง (NDTP) ดังกล่าวจะช่วยยกกระดับระบบและกระบวนการให้บริการภาคเอกชนด้านการค้าแบบดั้งเดิมเป็นการค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิส์ (e-Trading) ลดความซ้ำซ้อน ลดเวลาและลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ ยกระดับความโปร่งใสในกระบวนการของการค้าระหว่างประเทศ ช่วยให้รัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีช่องทางในการทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยระยะแรกจะเริ่มดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร 4 ประเภท ได้แก่ 1.ใบสั่งซื้อสินค้า (Purchase Order) 2.ใบวางบิล/ใบแจ้งหนี้ (Invoice) เพื่อแก้ปัญหาการปลอมแปลงเอกสารและการขอสินเชื่อซ้ำซ้อน 3.ใบจองเรือ (Shipping Instruction) 4.ใบตราส่งสินค้าทางทะเล (Sea Waybill) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ส่งออกและกระบวนการออกสินค้า ณ ประเทศปลายทาง นางสาวรัชดากล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ โดย ครม.เห็นชอบให้ สำนักงาน ก.พ.ร.นำเสนอโครงการนี้ต่อหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เพื่อขอการสนับสนุนในเชิงนโยบายและงบประมาณ อีกทั้งศึกษารูปแบบการลงทุนและรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมอบหมายให้ ก.พ.ร. สำนักงาน ป.ย.ป และ กกร.ร่วมผลักดันเรื่องการเชื่อมโยงด้านการค้าดิจิทัล (Digital Trade) ผ่านระบบ ASEAN Single Window : ASW ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ภายใต้กรอบความร่วมมือภูมิภาคอาเซียนในปี 2562 ซึ่งไทยเป็นประธานอาเซียน ให้เกิดการสร้างแนวทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์ และมาตรฐานของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-369929

จำนวนผู้อ่าน: 1708

11 กันยายน 2019

ครม.เฮ! ฟิลิปปินส์ยกเลิกซื้อ-ขายข้าว G to G “จุรินทร์” ชี้ ส่งออกข้าวเสรี-เพิ่มมากขึ้น

แฟ้มภาพ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติรับทราบรัฐบาลฟิลิปปินส์แจ้งไม่ต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ได้หารือกับกระทรวงต่างประเทศถึงกรณีรัฐบาลฟิลิปปินส์แจ้งไม่ต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ (รัฐต่อรัฐ หรือ G to G) ออกไปอีก 2 ปี คือ ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค.61- 31 ธ.ค.63 “กฎหมายการเปิดเสรีนำเข้าข้าว ได้มีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อวันที่ 5 มี.ค.62 ซึ่งกฎหมายดังกล่าวเป็นการยกเลิกการจำกัดปริมาณการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ และให้ผู้ค้าเอกชนสามารถนำเข้าข้าวได้อย่างเสรี เป็นผลให้องค์การอาหารแห่งชาติฟิลิปปินส์ (NFA) จะไม่นำเข้าข้าวอีกต่อไป ทำให้ฟิลิปปินส์ไม่สามารถดำเนินการตามข้อเสนอการต่ออายุบันทึกความตกลงดังกล่าวได้” ทั้งนี้ กระทรวงต่างประเทศเห็นว่า กฎหมายดังกล่าวจะทำให้ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสที่ไทยจะสามารถขยายปริมาณการส่งออกข้าวไปยังฟิลิปปินส์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-369925

จำนวนผู้อ่าน: 1644

11 กันยายน 2019

“ดรากอนเรย์ อควาติค” ฟาร์ม “กระเบนแบล็คไดมอนด์” ใหญ่สุดในอีสาน

สำหรับแวดวงอาชีพคนเลี้ยงปลาสวยงามในประเทศไทย เริ่มมีตลาดที่ขยายใหญ่มากขึ้น “ดรากอนเรย์ อควาติค” จังหวัดหนองคาย เป็นอีกหนึ่งฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม อย่าง “กระเบนแบล็คไดมอนด์” (Black Diamond) ที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มีตลาดส่งขายทั่วโลก “วุฒิไกร ช่างเหล็ก” เจ้าของฟาร์ม วัย 45 ปี บอกว่า เดิมจากฟาร์มเพาะพันธุ์ปลาสวยงามธรรมดา มาเป็นฟาร์มเพื่อการท่องเที่ยว และฟาร์มสำหรับการเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ โดยใช้น้ำที่เลี้ยงปลาไปทำการเกษตรต่อแบบครบวงจร มีการถ่ายทอดองค์ความรู้และประยุกต์ใช้ให้กับกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มประมง หลังสร้างเสร็จได้นำพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ปลากระเบนแบล็คไดมอนด์บางส่วนมาปล่อยเพื่อผสมพันธุ์ ทำให้มีผลผลิตลูกปลากระเบนแบล็คไดมอนด์เพิ่มขึ้นจากหลักสิบตัวในปีที่ 3 ในปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ 6 ตั้งเป้าผลผลิตไว้ที่ 1,200 ตัว สังเกตได้ว่าจำนวนผลผลิตเติบโตแบบก้าวกระโดด จนได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่น สาขาอาชีพเพาะเลี้ยงปลาสวยงามและพรรณไม้น้ำ ประจำปี 2562 ปัจจุบันฟาร์มมีพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ปลากว่า 600 ตัว ให้ผลผลิตกว่า 600 ตัว เป็นปลากระเบนแบล็คไดมอนด์ พ่อพันธุ์มีลายแบบ big spot (ลายจุดขนาดใหญ่) และปลากระเบนเผือก ราคาอยู่ที่หลักพันบาทถึงหลักล้านบาท นอกจากนี้ กำลังอยู่ระหว่างพัฒนาสายพันธุ์ “ปลามังกรอโรวาน่า” (Arowana) ราคาหลักแสนบาทต่อตัว วุฒิไกร บอกว่า ในประเทศไทยตอนนี้ไม่มีคู่แข่งในการเลี้ยงปลากระเบนแบล็คไดมอนด์ เพราะผู้เลี้ยงในประเทศส่วนใหญ่ไม่มีข้อมูล แต่ในต่างประเทศมีคู่แข่งเพียงรายเดียว คือ ประเทศไต้หวัน ส่วนประเทศที่มีทั้งการส่งออกและการนำเข้า คือ จีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ฉะนั้น ถือว่าตลาดกว้างมาก เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม ไม่มีพ่อค้าคนกลาง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการตกลงซื้อ-ขาย ถึงกระนั้นก็ผลิตไม่ทันต่อความต้องการของลูกค้าที่มีออร์เดอร์ประมาณ 200 ตัว/เดือน คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 1 ล้านบาท/เดือน โดยตลาดส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ยังมีตลาดเปิดใหม่ คือ อินเดีย และเมียนมา ซึ่งยังไม่มีความพร้อมในการเลี้ยง แต่มีการสั่งซื้อไปเลี้ยงบ้าง ราคาปลาสวยงามมีขึ้น-ลงตลอดเวลา หากคนแห่เลี้ยงราคาจะตกไม่ต่างจากพืชเกษตรทั่วไป ผู้ประกอบการต้องเลี้ยงด้วยความชอบและมีใจรักจริง โดยปลากระเบนแบล็คไดมอนด์ที่ขายแบ่งเป็น 3 เกรด คือ เกรดเอ เริ่มราคาตั้งแต่ 10,000 บาทต่อตัว ไปจนถึงหลักแสนบาทต่อตัว ขึ้นอยู่กับความสวยงามและความพึงพอใจของผู้ซื้อ เกรดบี เริ่มตั้งแต่ 5,000-10,000 บาทต่อตัว และเกรดซี ราคาเริ่มตั้งแต่ 4,000-5,000 บาทต่อตัว ส่วนการส่งออกปลาไปขายทั่วโลกนั้น เป็นเรื่องของระบบโลจิสติกส์ และไม่ควรใช้เวลาในการขนส่งนานเกิน 48-60 ชั่วโมง ถือว่ามีความปลอดภัยสูงสามารถส่งไปได้ทั่วโลก สำหรับการพัฒนาสายพันธุ์ปลา 2 ชนิด คือ ปลากระเบนแบล็คไดมอนด์ และปลามังกรอโรวาน่า เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่สวยงาม มักจะอนุรักษ์สายพันธุ์เดิมไว้ จะไม่มีการพัฒนาข้ามสายพันธุ์ แต่ปัญหาอุปสรรคในการเลี้ยงปลาทั้ง 2 ชนิดนั้นคือ อุณหภูมิของน้ำต้องคงที่ อาหารที่ใช้เลี้ยงต้องเป็นอาหารสด ต้องแช่เย็นอย่างน้อย 3 วันเพื่อควบคุมเชื้อโรคและพยาธิ ที่สำคัญคือการอนุบาลลูกปลาต้องมีเทคนิคและการจัดการที่ดี ด้าน “สุริยา จงโยธา” ประมงจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า ธุรกิจการเลี้ยงและเพาะพันธุ์ปลาสวยงามในจังหวัดหนองคาย ที่ผ่านมาไม่โดดเด่นเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชัง ซึ่งเป็นการเพาะเลี้ยงเพื่อการบริโภค แต่ในอนาคตการเลี้ยงปลาสวยงามน่าจะมีอนาคตที่ดี เนื่องจากจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่มีการค้าขายชายแดน และมีระบบการขนส่งหรือระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ อย่างเจ้าของฟาร์มดรากอนเรย์ อควาติค แม้ว่าจะไม่ได้เรียนจบมาในด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แต่มีความรัก ความใส่ใจ และมีความตั้งใจ หมั่นศึกษาความรู้จนแตกฉาน ผลผลิตที่ได้จึงเป็นที่ยอมรับของตลาด โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการสูงและยังมีราคาที่สูง ถือเป็นเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จรายหนึ่งของประเทศไทย ปลากระเบนแบล็คไดมอนด์ เป็นปลากระเบนน้ำจืด นำเข้าจากประเทศบราซิลและแถบอเมริกาใต้ เป็นปลากระเบนที่มีราคาสูง มีพื้นลำตัวสีดำเงา มีจุดสีขาวสว่างกระจายรอบตัว ตั้งแต่ตาจนถึงขอบ รวมไปถึงหางและใต้ท้อง ยิ่งจุดมีขนาดใหญ่และมีสีขาว และหางสั้น มีใบพายที่หางใหญ่ยิ่งมีราคาแพง การเพาะเลี้ยงจะปล่อยพ่อพันธุ์ 1 ตัวต่อแม่พันธุ์ 4-5 ตัว ซึ่งแม่พันธุ์ที่พร้อมผสมพันธุ์จะมีอายุ 3-4 ปี ส่วนพ่อพันธุ์มีอายุตั้งแต่ 1 ปีครึ่งขึ้นไป เมื่อแม่พันธุ์ได้รับการผสมพันธุ์จากพ่อพันธุ์แล้วจะตั้งท้องประมาณ 100-120 วัน ในระยะเวลา 1 ปี ให้ลูก 3 ครั้ง ปลากระเบนออกลูกเป็นเฉลี่ย 3-5 ตัว หากแม่พันธุ์มีความสมบูรณ์เต็มที่จะให้ลูกมากถึง 8 ตัว/ครั้ง ลูกปลาแรกเกิดมีขนาด 3-4 นิ้ว จะเลี้ยงในตู้อนุบาล ใช้เวลาการอนุบาลประมาณ 1 เดือน จากนั้นนำมาเลี้ยงต่อจนอายุได้ 3-4 เดือน จนมีขนาดประมาณ 6 นิ้วสามารถขายได้ ส่วนปลามังกรอโรวาน่าถือเป็นหนึ่งในสุดยอดปลาสวยงามที่ได้รับความนิยมมาตลอด มีลักษณะเด่นที่มีหนวดคล้ายมังกร มีความเชื่อกันว่าช่วยนำโชค ดูน่าเกรงขาม มีเกล็ดขนาดใหญ่ สีสันแวววาว มีท่าว่ายน้ำที่สง่าสวยงาม และปลามังกรจากทวีปเอเชียจัดเป็นปลาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักเลี้ยง เป็นกลุ่มปลาที่มีราคาแพงที่สุด ในอนาคตกรมประมงจะผลักดันให้เกษตรกรรายนี้เป็น “Young Smart Farmer” ต้นแบบ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งในทฤษฎีและเชิงปฏิบัติ เป็นสถานที่ศึกษาดูงานให้เกษตรกรที่สนใจ นำไปประกอบอาชีพ สร้างรายได้ให้ตนเอง ให้จังหวัดหนองคาย และประเทศไทยต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-369869

จำนวนผู้อ่าน: 1771

11 กันยายน 2019

สคร.โชว์นำส่งรายได้ 11 เดือนทะลุเป้าถึง 10% “สำนักงานสลากฯ” แชมป์นำส่งสูงสุดกว่า 4 หมื่นล้านบ.

นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่าปีงบประมาณ 2562 เหลือเวลาอีก 1 เดือนข้างหน้า สคร.มั่นใจว่าปีนี้จะจัดเก็บรายได้แผ่นดินเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้จำนวน 168,000 ล้านบาท ซึ่งการจัดเก็บรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจยังคงมีส่วนสำคัญในการช่วยรักษาเสถียรภาพการคลังให้แก่ประเทศรวม ทั้งลดความไม่แน่นอน จากการจัดเก็บภาษีของกรมจัดเก็บภาษีต่างๆ ซึ่ง สคร.จะดำเนินการติดตามการนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ ล่าสุด ในเดือนสิงหาคม 2562 รัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่า 50% นำส่งรายได้แผ่นดินจำนวน 5,486 ล้านบาท ส่งผลให้ในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ 2562(ตุลาคม 2561 – สิงหาคม 2562) สคร. นำส่งรายได้แผ่นดินสะสมจากรัฐวิสาหกิจและกิจการฯ จำนวน 167,163 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการเงินนำส่งรายได้แผ่นดินสะสมจำนวน 14,656 ล้านบาทหรือสูงกว่า 10% นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวว่า สาเหตุหลักที่รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้แผ่นดินสูงกว่าเป้าหมายนั้นเนื่องมาจากประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้น โดยรัฐวิสาหกิจมีการปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการให้ทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในด้านต่างๆ มากขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจดีขึ้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-369932

จำนวนผู้อ่าน: 1669

11 กันยายน 2019

‘มนัญญา’ รับกดดันตำแหน่งรมช. ยันยุตินำเข้าสารพิษ 3 สารเคมี ไม่อนุญาตขึ้นทะเบียนใหม่แล้ว พร้อมรับข้อเสนอของเครือข่าย 686 องค์กร

นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เร่งเดินหน้าจัดเตรียมข้อมูลครอบคลุมรอบด้าน ทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้น และมาตรการทดแทนสารเคมีที่ยกเลิกใช้ ซึ่งต้องมีความปลอดภัย ส่วนกรณีทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่หมดอายุนั้น ขณะนี้ไม่มีการต่อทะเบียนให้แล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และยังได้สั่งการให้ยุติการนำเข้าสารที่มีความเสี่ยงสูงทั้ง 3 ชนิด โดยล่าสุด มีข้อมูลสต็อกสารเคมีแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งจากนี้จะเตรียมเดินหน้าตรวจเช็คสต็อกสารเคมีทั่วประเทศ ว่ามีจำนวนถูกต้องตามที่มีการแจ้งไว้หรือไม่ หากพบว่ามีการแจ้งเท็จจะดำเนินการตามกฎหมายจับกุมทันที ส่วนเรื่องการแบนสารดำเนินงานมาแล้ว 50% และมั่นใจว่าปี 2562 นี้จะสามารถยกเลิกได้ ทั้งนี้ ได้ส่งหนังสือจากกระทรวงเกษตรฯไปถึงกรรมการวัตถุอันตรายให้ยกเลิกการใช้สารดังกล่าวแล้ว ส่วนจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับคณะกรรมการวัตถุอันตราย กระทรวงเกษตรฯไม่สามารถไปเร่งรัดได้ “เราจะทำให้เร็วและรอบคอบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยอมรับว่าได้รับแรงกดดันพอสมควร มีโทรศัพท์จากผู้ใหญ่หลายคน ที่เตือนว่าไม่อยากอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีหรือถึงได้ทำเรื่องนี้ แต่ตนเองคิดว่าในที่สุดแล้วเรื่องนี้จะอยู่ที่พลังประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าตนจะทำสำเร็จได้หรือไม่” สำหรับเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เครือข่ายวิชาการ องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมกับ เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษร้ายแรง 686 องค์กร จำนวน 20 คนภายใต้การนำของ ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ นางสาวกิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ นายสันติชัย ชายเกตุ นายสามารถ สะกะวี นายนพดล มั่นศักดิ์ นางสาวพลูเพ็ชร สีเหลืองอ่อน และนายสุนทร ร้กษ์รงค์ เป็นต้น ได้เข้าพบเพื่อยื่นหนังสือสนับสนุนให้มีการแบนสารพิษที่มีความเสี่ยงสูง 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ต่อนางมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีข้อเสนอ 3 ข้อคือ 1. สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรซึ่งกำกับดูแลการขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ยกเลิกการต่อทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง 3 ชนิด ได้แก่พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต โดยให้มีผลทันที 2.ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายเพื่อยกเลิกสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง 3 ชนิด โดยยกเลิกพาราควอต และคลอร์ไพริฟอส ภายในสิ้นปี 2562 ตามมติของกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง 3. เครือข่ายฯสนับสนุนการตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพอีก เนื่องจากได้มีการศึกษาโดยกระทรวงสาธารณสุขอย่างรอบคอบแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การยื่นหนังสือของเครือข่ายมีอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน ได้แก่ นายอรรถวิชช์ สุรรณภักดี นายวัชระ เพชรทอง และนายสามารถ มะลูลีม ได้เดินทางเข้ามาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของนางมนัญญาอีกด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-369914

จำนวนผู้อ่าน: 1593

11 กันยายน 2019

Beyond Experience เศรษฐา ทวีสิน แสนสิริสไตล์ “Work Hard และเรียนรู้จากความผิดพลาด”

เวทีสัมมนาใหญ่แห่งปี “Beyond Experience พลิกประสบการณ์ พลิกเกมธุรกิจ” จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เมื่อวันอังคาร 3 กันยายน 2562 และเป็นอีกครั้งที่ผู้บริหารสูงสุด “เศรษฐา ทวีสิน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) รับเชิญเสวนาปิดท้ายในช่วงฟินาเล่ โดยมี “หนุ่มเมืองจันทน์-สรกล อดุลย์ยานนท์” รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ “ประชาชาติธุรกิจ” ถ่ายทอดแบบคำต่อคำในช่วงทอล์กเสวนาภายใต้หัวข้อ “แสนสิริสไตล์” ครบทุกอรรถรสจากประสบการณ์พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักเซอรี่ 30 กว่าปีของ “เศรษฐา” ผู้บริหารที่บินดูงานต่างประเทศกับตรวจไซต์โครงการอยู่ตลอดเวลา สรกล : แต่ละโปรเจ็กต์ที่แสนสิริมีวิธีคิดมีที่มาอย่างไร เศรษฐา : เริ่มต้นจากทำอสังหาริมทรัพย์ราคาแพง เริ่มมา 30 ปีแล้ว การทำของแพงมันต้องไปดูและไปเห็นด้วยตัวเอง ดีไซเนอร์หรือที่ทำงานด้าน product development ต้องส่งไปดูงานเมืองนอก ไม่ว่าโรงแรมตั้งแต่ก้าวแรกต้องดูเลยว่าประตูเป็นอย่างไร พื้นที่รีเซปชั่นเป็นยังไง สุขภัณฑ์ใช้อะไร วันนี้คุณประไพ (ทยานุวัฒน์) ของแกรนด์โฮมมาด้วยก็เป็นพยานได้ว่าเวลาผมไปเลือกไปดูหรือเลือกของ ผมทำยังไง อีก 2 สัปดาห์ต้องไปโบโลญญ่า มีงานกระเบื้องใหญ่จัดที่นั่น เราทำการบ้านมาดีว่าจะใช้กระเบื้องอะไรกับโครงการระดับไหนบ้าง ซึ่งต้องให้ความสำคัญอย่างมาก ถ้าทำของแพง ต้องดูว่าลูกค้าในชีวิตประจำวันนอกจากเรื่องที่อยู่อาศัยแล้ว ต้องดูว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง ไม่ว่าเรื่องการแต่งกาย เขาช็อปปิ้งร้านอะไร ซื้อรองเท้าร้านอะไร ซื้อกระโปรงร้านอะไร ซึ่งคงหนีไม่พ้นร้านดัง เช่น ชาแนล, ดิออร์ แอร์แมส เป็นต้น ดังนั้น เวลาเราดีไซน์ต้องดูเรื่องรสนิยมแบบนี้ด้วย สรกล : มันเกี่ยวพันยังไง เศรษฐา : ดูง่าย ๆ ถ้าดูไปถึงวิธีแต่งร้านของแบรนด์เหล่านี้ ถ้าเป็น 10 ปีก่อนจะใช้ของราคาแพงในการตกแต่ง แต่ปัจจุบันเห็น shop ของวาเลนติโน่ แอร์แมส กระเบื้องเปลี่ยนจากหินอ่อนเป็นเทอร์ลาซโซ เพราะกระแสเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติ การระเบิดหินมาทำของตกแต่ง ผมเชื่อว่าลูกค้าแคร์เรื่องพวกนี้มาก หรือเช่น เฟอร์นิเจอร์แบบลักเซอรี่ที่ใช้พวก exotic skin เช่น หนังจระเข้ หนังตะกวด จะได้รับความนิยมต่อไปหรือเปล่า อย่างชาแนลเขาเลิกขายกระเป๋าหนังจระเข้ไปตั้งแต่ 30 พ.ค. 62 ที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือเขาก็จะเอาไปทิ้ง ผมเชื่อว่านี่เป็นการเซตเทรนด์บางอย่าง ซึ่งเราต้องทราบเพราะแสนสิริมีลูกค้าหลายระดับ มีทั้ง old luxury กับ new luxury ต้องบาลานซ์ให้ดีและต้องรู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไรบ้าง สรกล : คุณเศรษฐาเริ่มต้นจากรสนิยมตัวเองหรือรสนิยมของผู้บริโภค เศรษฐา : เรื่องนี้เริ่มต้นที่ตัวเองไม่ได้เพราะเราไม่ได้สร้างบ้านให้ตัวเอง เราสร้างบ้านให้ผู้บริโภค ยกตัวอย่างกระเป๋าหลุยส์ที่เดิมมีแค่ตัวอักษรและมีสีน้ำตาล แต่ปัจจุบันมีรูปงู ยีราฟ มาติด ซึ่งเรามองว่ามันไม่สวย แต่พบว่ามันขายได้แถมราคาแพงด้วย แสนสิริ 30 ปีที่ผ่านมา เราเอาความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก วันนี้เราก็ยังเอาความต้องการของลูกค้าเป็นหลักเหมือนเดิม แต่เราสามารถใส่ความเป็นรสนิยมของแสนสิริลงไปชี้นำได้ในจุดหนึ่ง อาจไม่ถึงขนาดแบบหลุยส์ วิตตอง แต่ความแข็งแกร่งของแบรนด์เรามี สรกล : เคยได้ยินว่า ตอนมาแรก ๆ จูนกับลูกค้าไม่ได้ จึงต้องส่งลูกน้องไปอังกฤษพักหนึ่ง เพื่อให้เข้าใจ หรือการดูงาน จะต้องคุยกับทีมงานว่า อะไรที่ทำให้โรงแรมดี กลิ่น ที่พัก เศรษฐา : หน้าที่ของผมคือการบริหาร 4 เสาหลักของบริษัท ได้แก่ ลูกค้า พนักงาน สังคม และผู้ถือหุ้น ถ้าเป็นผู้ถือหุ้นแล้วได้ยินว่าส่งพนักงานไปอังกฤษ ผู้ถือหุ้นก็อาจจะค้อนนิดหน่อยว่าให้พนักงานไปเยอะไปหรือเปล่า ผมต้องบาลานซ์ความต้องการของทุกฝ่าย ผู้ถือหุ้นก็ต้องการกำไร ลูกน้องก็ต้องมีโบนัสหรือผลตอบแทนที่ดี ลูกค้าเป็นหัวใจของการทำธุรกิ ก็ต้องได้ของที่ดี การส่งพนักงานไปดูของต่างประเทศ ก็เพื่อให้เขาซึมทราบความเจริญของตะวันตกที่เขามีมาก่อน จึงเป็นความลำบากใจของผู้บริหารองค์กรที่ต้องบาลานซ์ 4 เสานี้ เป็นอะไรที่บริษัทมหาชนหลาย ๆ บริษัท ควรคำนึงถึง ไม่ใช่แค่ผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น สรกล : ออกแบบประสบการณ์ให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อยังไง เศรษฐา : เริ่มจากลูกค้าก่อนว่า มี target แบบไหน 3 ล้าน 30 ล้าน 300 ล้าน จุดหมาย รายละเอียดก็ต่างออกไป แต่ไม่ว่าจะมาด้วย 3 ล้าน หรือ 30 ล้าน ล้วนต้องคาดหวังกับสินค้าและการให้บริการของผู้ประกอบการต้องเหมาะสม หลายอย่างอธิบายให้ฟังตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าไปในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งกายของเซลส์ หรือการเสิร์ฟ ซึ่งลูกค้าเริ่มใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การเสิร์ฟน้ำด้วยภาชนะพลาสติกอาจโดนมองไม่ดีได้ เรื่องสิ่งแวดล้อมจึงถือเป็นเสาอันหนึ่งของสังคมที่เราต้องคิดถึงเหมือนกัน มันไม่ง่ายที่จะต้องทำ แต่ท้าทายและต้องบาลานซ์อีกเช่นกัน เพราะถ้าทำตรงนี้มากไป ผู้ถือหุ้นก็ค้อนอีกหาว่าทำเพื่อลูกค้ามากไป สรกล : การเล่าเรื่องสำคัญไหม ที่มาของความคิดการออกแบบเป็นอย่างไร เศรษฐา : เป็นแค่ส่วนหนึ่งและหลายบริษัทให้ความสำคัญมากไป ในโซเชียลมีเดียมีเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว มันต้องการรายละเอียดที่มากกว่านั้น บังเอิญการซื้อบ้านเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต เพราะใช้เงินก้อนใหญ่มาก เราต้อง make sure ว่าไม่ใช่พอขายให้ได้แล้วก็ทิ้ง after sale service สำคัญมาก วันนี้หลายท่านไม่ต้องสร้างภาพหรอก ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไม่ดีแน่นอน การเปิดตัวของหลายบริษัทก็ถดถอยไป เราก็กลับมาถามตัวเองว่า มีพนักงาน มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง เราได้ทำประโยชน์อะไรให้ลูกค้าที่เรามีบ้าง ลูกค้าที่ซื้อไปแล้ว ลูกค้าที่จะซื้อเพื่อจุดประสงค์เรื่องเช่าต่อ ขายต่อ อยู่เอง ที่อยากให้มีบริการเสริมต่าง ๆ เยอะ ๆ เช่น drone service เป็นอะไรที่เราต้องลงทุนและกลับมาดูแลเขาต่อ เราขายบ้านได้ ไม่ใช่เพราะเราประมูลที่ดิน แต่มาจากปากต่อปากมากกว่า เพราะฉะนั้น ผมมองว่าของเหล่านี้ต้องคำนึงถึงตลอดเวลา เพราะสภาพเศรษฐกิจมีขึ้นต้องมีลง ซึ่งในการทดลองโดรนต้องคิดถึงการใช้งานของเทคโนโลยีต่าง ๆ ด้วย เทคโนโลยีเป็นอะไรที่เท่ เก๋ และนำมาซึ่งความสะดวก แต่ในเชิงสังคมไม่แน่ใจ เช่น พอบอกว่าจะทดลองเรื่องโดรน ในทวิตเตอร์บอกแล้วว่า ดี เท่ เก๋ แต่อยากให้ดูเรื่องความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านด้วยนะ บางบ้านไม่อยากให้มีอะไรบินผ่านแล้วรบกวน ถ้าส่งสินค้าลงไปเอาเองก็ได้ หรือการทดลองรถยนต์ไร้คนขับ ในแง่ของแบรนด์มันดูดี เรามีนวัตกรรม ทันสมัย แต่เรื่องความปลอดภัยทำยังไง เกิดชนอะไรไปใครรับผิดชอบ มันทดลองได้ แต่เทคโนโลยีจะมาได้ รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องต้องมีบทบาท อย่างเช่น เรื่อง AirBNB ในประเทศเรามีและได้รับการยอมรับแล้ว แต่ต่างประเทศมีกฎเกณฑ์รองรับเรื่องนี้แล้วแต่มีความแตกต่างกัน บริษัทที่แสนสิริเข้าไปลงทุน AirBNB ชื่อโฮสต์เมกเกอร์ (hostmaker) ดูแลให้บริการเรื่องห้องเช่าผ่าน AirBNB ซึ่งเราพยายามเข้าไปทำเพื่อมีมาตรฐานในเรื่องนี้ชัดเจน แน่นอน มีการถกเถียงกันเยอะว่าเหมาะสมไหม เข้าข่ายปล่อยเช่ารายวันหรือเปล่า หรือเรื่องการเอาห้องมาปล่อยเช่า 2-3 วัน ลูกบ้านคนอื่นอาจรู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลจะออกกฎชัดเจน คือต้องหามาตรฐานให้ได้ เราหยุดนิ่งไม่ได้หรอกครับ สรกล : แสนสิริลงทุนหลายอย่างมากช่วงหลังนี้ ทั้งโรงแรม นิตยสาร เศรษฐา : เป็นเรื่องธรรมดา โลกเปลี่ยนไปเยอะ จะยึดติดกับของเดิม ๆ ไม่ได้ แต่หลาย ๆ อย่างมันมีความเสี่ยงเพราะยังเป็นเรื่องใหม่ ถ้าไม่ลงทุนเลยก็ไม่ได้ แต่เมื่อลงทุนแล้วความเสี่ยงก็สูง อย่างโฮสต์เมกเกอร์ต้องเพิ่มทุนเข้าไปเพราะเขาก็ต้องการขยาย และเป็นทางที่เราจับตาดูอยู่ ธุรกิจ coworking space เราก็มี Justco ตอนนี้ก็อยากหาวิธีทำงานใหม่ ๆ และคล่องตัวสูง หรือนิตยสาร Monocle ที่เข้าไปถือหุ้นเอง เป็นนิตยสารที่เน้นการสัมมนาและบุกเบิกไปตามเมืองต่าง ๆ ทำให้ได้ความรู้ โรงแรมก็เหมือนกัน เราลงทุนในโรงแรม Standard ถือหุ้นประมาณ 10% ถือว่าเป็นโรงแรมที่นำเรื่องไลฟ์สไตล์และมีมาตรฐาน โรงแรมดี ๆ ใหญ่ ๆ หลัง ๆ มีมิชลินสตาร์มา เชยมาก ล้าสมัยแล้ว ที่เขามาไทยเพราะเขาต้องมาหาตลาดในนี้ เป็นไปได้ยังไง ให้คนสองคนมาชิมอาหารแล้วให้ดาว ผมว่าแอปวงในที่เรามีดีกว่า หรือ trip adviser ที่อาศัยสถิติมาเป็นตัววัดจะดีกว่า สรกล : พฤติกรรมผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เป็นยังไง เศรษฐา : คำว่าคนรุ่นใหม่ใช้กันเฝือมาก ไม่มีใครอยากเป็นคนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่คือคนที่ไม่ยึดติดกับของเก่า ๆ คนที่ต้องการหาสิ่งใหม่ ๆ และแตกต่าง เช่น คุณไปยิม ยิมที่ไปเหมือนกับที่อื่นหรือเปล่า มี interactive หรือเปล่า มีการขี่จักรยานอะไรหรือเปล่า หรือมี coworking space หรือเปล่า สรกล : เห็นว่ามีพฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนไป เช่น คอนโดมิเนียมชั้นล่างสุดหรือห้องรับพัสดุจะเล็ก ๆ ตอนนี้กระแสคนซื้อของออนไลน์มากขึ้น ห้องที่ว่าต้องใหญ่ขึ้น อันนี้คือความเปลี่ยนแปลง เศรษฐา : จริงครับ ตอนนี้คนซื้อของออนไลน์เยอะ ถ้าสร้างคอนโดฯ แล้วสร้างห้องข้างล่างไว้ไม่พอ จะเกิด iogistics problem ทันที ไหนจะของที่มา เราเองก็ต้องมีคนไปส่ง เราจึงให้การใช้หุ่นยนต์ไปส่ง ใช้งานได้จริงและได้รับการยอมรับ ไม่ได้มีแค่เก๋เท่ เช่น คุณสั่งพิซซ่า หุ่นยนต์ของเราก็เอาขึ้นไปส่งให้ได้เลย แต่ยังมีข้อจำกัดถ้าสั่งถาดใหญ่ก็อาจจะใส่ในหุ่นไม่ได้ แต่มีการพัฒนาปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง เราทำมาปีกว่าแล้ว สรกล : เรื่องให้ปลูกผักในคอนโดฯ เศรษฐา : ต้องให้เครดิตทีมงานที่บริหารจัดการ เรามีบริษัทชื่อ “อัลฟ่า พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” บริหารจัดการคอนโดฯ 200 กว่าแห่ง พบว่า บนดาดฟ้ามีที่ว่างก็เอามาปลูกผัก แชริ่งกัน ปลูกด้วยกัน เก็บเกี่ยวด้วยกัน ตอนนี้ขยายไปทุกโครงการ เชื่อว่าโครงการนี้จะทำให้เกิดการแชริ่งกันระหว่างลูกบ้าน ทำให้มี hapiness image ขึ้นมาหน่อยในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ สรกล : เป็นคนทำงานที่ลงรายละเอียดมากนะครับ เศรษฐา : ผมจะ 60 ปีแล้ว ทำอะไรก็อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ถ้าทำสิ่งที่ชอบจะลงรายละเอียดเยอะ ถ้าทำสิ่งที่ไม่ชอบก็มีพนักงานที่จะต้องทำ… สรกล : แต่คุณก็ยังตรวจไซต์งานทุกเสาร์-อาทิตย์ เศรษฐา : อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบแต่เป็นหน้าที่ เหมือนมานั่งพูดวันนี้ก็เป็นหน้าที่ (หัวเราะ) ถ้าไม่ไปแล้วใครจะตรวจ และผมจะไปสั่งงานได้ยังไง สรกล : ในความเป็นซีอีโอไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น แล้วในความเป็นซีอีโอต้องทำอะไร เศรษฐา : เดี๋ยวคุณอภิชาติ (จูตระกูล) จะโกรธเอา เพราะเขาเป็นซีอีโอ ส่วนผมเป็น president ถ้าไม่ทำแล้วใครจะทำ สรกล : ก็ง่ายดีนะครับให้ลูกน้องทำ เศรษฐา : ก็ง่ายแต่มันไม่ effective…แล้วจะรู้ได้ไงว่าทำไม่ทัน สรกล : ทราบว่าตรวจงานละเอียดถึงขนาดกำหนดว่าหญ้าตรงสำนักงานขายควรตัดวันไหน เศรษฐา : มันเป็น commom sense ครับ จะเปิดตัวโครงการวันเสาร์ ควรตัดหญ้าตั้งแต่วันจันทร์ เพื่อให้หญ้าโตและฟูเขียว ถ้าวันศุกร์หญ้ามันจะเหลือง รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เชื่อว่าเป็นความแตกต่างของแสนสิริที่เราเหนือกว่าคนอื่น แต่คงไม่ใช่แล้วล่ะ เพราะไปเวทีไหนก็ถามเรื่องนี้ตลอด ก็คงโดนก๊อบปี้แล้ว แต่ไม่แปลกเพราะก็มีการก๊อบปี้หลายครั้งแล้ว สรกล : ไปตรวจงานบอกล่วงหน้าไหม เศรษฐา : ไม่บอกครับ รถผมยังไม่ติดตราแสนสิริเลย ไปตรวจจะได้รู้ ผมไปเสาร์-อาทิตย์ตรวจทั้งเก่าและใหม่ อย่างโครงการเก่าถ้ายังบริหารอยู่ อยากดูว่าวัสดุที่เลือกไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วเมื่อผ่านการใช้งานแล้วมันมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง จะได้ไม่เอามาใช้อีก เช่น หินสีดำที่ใช้กับสระน้ำ มันมีคราบสีขาวเมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็จะโน้ตแล้วบอกว่าอย่าไปใช้อีกเลย หรือสระว่ายน้ำที่เป็นไม้มักจะชอบเอาสีมาทา ถ้าใช้ไม้ธรรมชาติมันเก่าและสวยแบบธรรมชาติ แต่พอเอาสีไปทามันจะลอกออกมาเหมือนหนังลอก ซึ่งไม่สวย ก็ต้องไปบอกเขา คืองานอสังหาฯ เป็นงานกรรมกร แต่แปลกใจว่าลูกท่านหลานเธออยากทำเหลือเกิน บางคนทำเทเลคอมมา ทำเครื่องเพชรมา ทุกคนอยากทำอสังหาฯหมด ผมไม่ค่อยเข้าใจ ผมจะบอกว่าอย่ามาเลย เพราะคุณสู้ผมไม่ได้หรอก (เสียงฮือฮา) เพราะว่าบ้านคุณทำเรื่องเพชรอยู่ พ่อแม่คุณก็ให้ดูเครื่องเพชรครึ่งวัน อีกครึ่งวันดูอสังหาฯ แต่ผมดูอสังหาฯตลอดแบบ 24/7 (24 ชั่วโมง 7 วัน) ผมคิดแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว โฟกัสเรื่องเดียว แต่ถ้าเก่งจริงแล้วทำแบบผมได้ผมชอบนะ เพราะถือว่าผมมีคู่แข่ง คุณจะเก่งขึ้นได้เมื่อมีคู่แขง ถ้าไม่มีคู่แข่งก็ไม่พัฒนา เมื่อไม่พัฒนา ผู้บริโภคก็ไม่ได้สิ่งที่ควรจะได้ สรกล : คิดยังไงกับแบรนด์ของโปรดักต์ ประสบการณ์ของลูกค้า เศรษฐา : คำว่าแบรนด์คนใช้เยอะและหาคำจำกัดความลำบาก แบรนด์คือความพอใจของลูกค้าที่ลูกค้าอยากมีส่วนร่วม ว่าเขาเป็นสาวกของแบรนด์นี้ คุณซื้อโปรดักต์กับบริการอย่างที่อยู่อาศัยไม่ใช่ปูน อิฐ หลังคา แต่มีบริการด้วย ก็ต้องปกป้องไว้ให้ได้ โดย 2 ตัวหลักเนี่ยเราหยิบยื่นให้ลูกค้าได้หรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้แบรนด์มีปัญหา เช่น บริการ คุณทำโครงการเสร็จมี after service ให้เขาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแบรนด์คือการนำโปรดักต์กับเซอร์วิสให้เขา สรกล : คุณเคยบอกว่าเกลียดอาชีพนี้ เพราะมันเหนื่อย เศรษฐา : เราก็ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไร ก็เอาอันนี้ดีแล้ว แก่แล้ว ตอนจบใหม่ ๆ อายุ 30 ปีแข่งกันอวดนาฬิกา รถ…ว่ากันไป แต่สมัยนี้เขาไม่อวดของแบบนั้นกันแล้ว เขาอวดที่อยู่อาศัย คุณอยู่ที่ไหน ที่อยู่เป็นยังไง ใครเป็นดีเวลอปเปอร์ ผมสอนโครงการ Next Real ก็เจอคนอยากทำอสังหาฯ ซึ่งผมไม่เข้าใจ แต่ผมว่ามันมีเสน่ห์ของมัน สรกล : เสน่ห์ของอสังหาฯ คือกำไรเยอะ เศรษฐา : คุณทำกำไรดี แล้วอีก 3 เสาที่ผมว่าไว้ เขาว่าไงล่ะ ลูกค้า พนักงาน กำไรดีแสดงว่าโบนัสพนักงานไม่ดี ที่อยู่ให้ลูกค้าก็ไม่ดี เร่งก่อสร้างเร็วเกินไปหรือเปล่า สร้างเร็วส่งมอบเร็วเพื่อนบ้านเดือดร้อนหรือเปล่า คุณคำนึงถึง 3 เสานี้หรือเปล่า ทุกวันนี้ผมกินไม่ได้นอนหลับไม่ค่อยมีความสุข เพราะบริหาร 4 เสานี้ไม่ลงตัวสักที ถ้าจะรีไทร์ก็เพราะเหตุผลนี้ สรกล : เดินทางบ่อย เห็นอะไรในต่างประเทศบ้าง เศรษฐา : ที่ไปเพราะไปดูโรงแรม Standard มากกว่า ลงทุนไปอีก 5 โรงแรม ตอนนี้มี 17 โรงแรมแล้วจากเมืองต่าง ๆ ริชมอนด์ ปารีส มิลาน แม็กซิโกซิตี เป็นต้น เทรนด์ที่กำลังมาต้องแบ่งเป็น old กับ new luxury ซึ่ง old luxury ไม่ใช่หัวโบราณ แต่เขามีรสนิยมแบบหนึ่ง ชอบของที่หรูหรา เช่น หินอ่อนต้องอิตาลี แบรนด์เนมต้องแพง มีที่มาที่ไปให้คนยอมรับ ปัจจุบันแสนสิริก็มีโครงการจับลูกค้าประเภทนี้ แต่มีคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยึดติดกับของลักเซอรี่แบบนี้ เช่น ต้องการห้องน้ำที่มี ice cold shower เป็นต้น ก็เป็นความแตกต่างของลูกค้าที่เราต้องเทกแคร์และพยายามตอบสนอง สรกล : แฟชั่นตอนหลังไปแอฟริกา-เอเชีย เศรษฐา : ไม่เชิงครับ แต่ว่าเป็นในลักษณะทั่วโลกว่าง งานน้อย ประเทศเจริญแล้วต้องการแรงงานสูงมาก เกิดการไหลของแรงงานจากอินเดีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม พม่า แอฟริกา ไปอยู่ในประเทศเหล่านั้นเยอะ ได้ไปฟังงานที่กรุงลิสบอนมา เขาบอกว่าอีก 20 ปี ประชากรโลก 75% มีเชื้อสายเอเชียหรือแอฟริกาจากการโยกย้ายถิ่นฐาน และหากไปดูแบรนด์เนมต่าง ๆ จะพบว่าสีสันที่เขาใช้ สมัยก่อนเป็นสีเรียบ ๆ เช่น น้ำตาล ขาวดำ สีเนื้อ แต่ไปดูกุชชี่หรือโคเซ่คาบาน่าตอนนี้ มีสีเขียว เหลือง แสด แดง ม่วง เป็นสีที่คนอเชียและแอฟริกาใช้เยอะ เป็นการเปลี่ยนแปลงช้าแต่ต้องคิด ซึ่งเราต้องมอนิเตอร์ต่อไป แต่ต้องทำใจเพราะถ้าทำก่อนถูกก๊อบปี้ก่อน ก็ต้องหาทางหนีฉีกออกไปอีก สรกล : เป็นนักธุรกิจเงินเยอะ ทำไมไม่ซื้อสโมสรฟุตบอล เศรษฐา : นักกินไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของร้านอาหาร เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลก็ได้ดูแค่ทีมเดียว เคยถามเจ้าของทีมฟุตบอล เวลาเขาดูการแข่งขันไม่ค่อยมีความสุข จะหาว่าทุกคนโกงทีมตัวเองหมด ผมว่าคนเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลต้อง genius หรือไม่ก็โง่ กับต้องรวย genius ก็เช่นคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา โง่มีเยอะแยะ ผมไม่รวยและไม่โง่ นอกจากนี้ ผมไม่ genius จึงไม่เหมาะกับการมีทีมฟุตบอล สรกล : เราจะเรียนรู้ตลอดชีวิต ทำยังไง เศรษฐา : คนเราเกิดมาพ่อแม่ให้สมองคุณมา แต่คุณต้องมีวินัยและ work hard ผมว่าเด็กสมัยใหม่ไม่มี 2 อย่างหลัง สมองมี แต่วินัยกับ work hard ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ คุณจะตามเทรนด์ให้ได้ keep up กับความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ ผมว่าคุณต้องมีวินัยและ work hard คนรุ่นเก่าอย่างผมเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จได้ เรื่องวินัยหรือ work hard เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรมา replace ได้ การไปตรวจไซต์งานวันเสาร์-อาทิตย์ของผมคืออะไร คือ work hard ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับการไปต่างประเทศเลย เด็กสมัยนี้มีฝันอยากด็อกเตอร์ชั้นดี startup ทำนวัตกรรมต่าง ๆ แต่ผมบอกนะว่าทำยังไงจะประสบความสำเร็จได้ คุณต้องตื่นแล้วไปทำงานตอนเช้า คุณไม่ต้องฟังผมตรงนี้หรอก ตื่นแล้วไปทำงานเถอะ ทำเอง ผิดถูกทำไปเถอะ ลงมือทำ เรียนรู้จากความผิดพลาด สรกล : คุณเศรษฐาพลาดบ่อยไหม เศรษฐา : 49 จาก 100 ที่ผมพลาด กล้าทำกล้าชกหน่อย ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย เคยสอนผมว่าลูกคุณเรียนหนังสือเก่ง ๆ กลับมา อย่าให้ชกลม ให้ขึ้นชกจริงไปเลย ให้เจ็บให้น็อกบ้าง คุณอยากเป็นเจ้าของ startup คุณก็ต้องลงไปทำงานจริง ๆ ลงทุนเอาเงินตัวเองลงจริง ๆ จะได้เจ็บจะได้เจ๊งจะได้จำ คุณจะรู้รายละเอียดเป็นธรรมดา  ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-369172

จำนวนผู้อ่าน: 1720

11 กันยายน 2019

รมว.ท่องเที่ยวฯ ดัน “ราชการ-รัฐวิสาหกิจ” หยุดเพิ่มฟรี 2 วัน กระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ

“พิพัฒน์” รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมดันเพิ่มวันหยุด “ราชการ-รัฐวิสาหกิจ” ฟรี 2 วัน เข้า ครม.พรุ่งนี้ แจงไม่รวมวันหยุดตามประเพณี-ลาพักร้อน หวังช่วย “ชิป ช้อป ใช้” กระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ ยอมรับกังวลร้านค้าร่วมน้อย แต่ยันไม่ขยายเวลาแน่นอน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (อังคารที่ 10 กันยายน 2562) เตรียมที่จะผลักดันมาตรการเพิ่มวันหยุดพิเศษเพิ่ม 2 วันในเดือนตุลาคมให้กับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยไม่รวมกับวันหยุดตามประเพณีและวันลาพักร้อน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยช่วงเวลาที่กำหนดให้หยุดเพิ่มเติมได้นั้นใกล้เคียงกับระยะเวลาที่ประกาศใช้มาตรการชิม ช้อป ใช้ มอบเงินสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศให้กับประชาชนคนละ 1,000 บาท จำนวน 10 ล้านคน ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน ถึง 15 พฤศจิกายนนี้ วงเงินงบประมาณ 3.16 แสนล้านบาท เนื่องจากต้องการให้ทั้งสองมาตรการทำงานร่วมกันช่วยหนุนประชาชนไทยออกไปท่องเที่ยวในประเทศมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีที่มีร้านค้าร่วมลงทะเบียนเข้าร่วมให้บริการในมาตรการชิม ช้อป ใช้ น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ยอมรับว่ามีความกังวล แต่จะเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อให้มีร้านค้าต่างๆ ทยอยเข้ามาร่วมโครงการมากขึ้น แต่จะไม่มีการขยายเวลาของมาตรการออกไปอย่างแน่นอน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-369490

จำนวนผู้อ่าน: 1581

11 กันยายน 2019

ประกันเดินทางขายดิบขายดี ครึ่งปีเบี้ยโต 11% ขี่กระแส “ไทยเที่ยวนอก”

ยุคทอง “ประกันเดินทาง” โตกระฉูดตามเทรนด์คนไทยแห่เที่ยวนอก สมาคมประกันวินาศภัยไทยเผยครึ่งปีแรกโต 11% โกยเบี้ย 1.2 พันล้านบาท “ไทยวิวัฒน์” หวังปีนี้ปั๊มเบี้ยโต 25% ชี้ช่วงปิดเทอมยิ่งฮอต ค่ายประกันอัดโปรฯแข่งแย่งลูกค้าเดือด “MSIG” จับมือพาร์ตเนอร์ปั้นยอดขายผ่านออนไลน์ โชว์ 8 เดือนแรกโต 2 หลัก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระแสคนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี โดยปี 2562 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าจะมีคนไทยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศกว่า 10.55 ล้านคน ส่วนการใช้จ่ายในต่างประเทศคาดมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3.85 แสนล้านบาท ซึ่งธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์คือธุรกิจประกันภัยการเดินทางที่ค่อนข้างจะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แหล่งข่าวจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ที่ผ่านมาประกันภัยการเดินทางมีแนวโน้มทำโปรโมชั่นแข่งขันกันดึงดูดลูกค้าค่อนข้างมาก โดยเน้นตลาดการเดินทางไปต่างประเทศมากกว่าในประเทศ และเน้นขายผ่านออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายและสะดวก อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการออกกรมธรรม์ของบริษัทประกัน โดยลูกค้าจะได้รับเอกสารกรมธรรม์ส่งผ่านทางอีเมล์ และสามารถพรินต์ไปขอวีซ่า (visa) ได้เลย โดยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประกันภัยการเดินทางเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักมาทุกปี ส่วนช่วงครึ่งปีแรกปี 2562 นี้ เบี้ยประกันอยู่ที่ 1,219 ล้านบาท เติบโต 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ กล่าวว่า แนวโน้มยอดขายประกันภัยการเดินทางถือว่าเติบโตดีทั้งตลาด เพราะผลจากค่าเงินบาทแข็งค่าทำให้คนเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมตลาดน่าจะเติบโตดี โดยเฉพาะในแง่จำนวนผู้ซื้อประกันภัยการเดินทางที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 20-30% ในขณะที่เบี้ยประกันอาจจะโตได้ประมาณ 10% เนื่องจากภาวะการแข่งขันสูงทำให้มีการปรับลดราคาเบี้ยประกันลงเพื่อจูงใจลูกค้า หรือคิดราคาถูกลงแต่ให้ความคุ้มครองมากขึ้น “ไทยวิวัฒน์เองอาจจะไม่ได้ปรับเบี้ยประกันลดลง แต่จะปรับเพิ่มความคุ้มครองให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค. 62) เบี้ยประกันภัยการเดินทางของบริษัทเติบโตในระดับ 10-15% มีจำนวนผู้เดินทางที่เป็นลอตใหญ่ ๆ เข้ามาซื้อประกันค่อนข้างมาก โดยคนไทยที่มาซื้อประกันส่วนใหญ่จะเดินทางไปโซนเอเชียและยุโรปเป็นหลัก ซึ่งความคุ้มครองที่ลูกค้าซื้อสำหรับประกันเดินทางเปิด-ปิดของบริษัทเฉลี่ยอยู่ที่ 5-7 วันต่อทริป เคลมก็ค่อนข้างต่ำไม่ถึง 50% ส่วนใหญ่จะมาจากค่ารักษาสุขภาพและบาดเจ็บในต่างประเทศ ส่วนไฟลต์ดีเลย์และกระเป๋าล่าช้ามีเล็กน้อย โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะปิดยอดขายได้ราว 130 ล้านบาท หรือโตขึ้นเกือบ 25% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน” นายรัฐพล กิติศักดิ์ไชยกุล กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) หรือ MSIG กล่าวว่า ยอดขายประกันภัยการเดินทางของบริษัทช่วง 8 เดือนแรกยังเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก โดยส่วนใหญ่เป็นการขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ทั้งเว็บไซต์ของบริษัทและคู่ค้าทางธุรกิจ (พาร์ตเนอร์) รวมถึงช่องทางตัวแทนและนายหน้าอีกส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ ในปัจจุบันคนไทยจะซื้อประกันภัยการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศตลอดทั้งปี แต่จะมียอดขายมากเป็นพิเศษคือช่วงไฮซีซั่น (high season) ที่เป็นช่วงปิดเทอมและช่วงเทศกาลปีใหม่ (ประมาณเดือน มี.ค.-เม.ย. และ ต.ค.-ธ.ค.) “บริษัทคาดว่าสิ้นปีนี้ยอดขายจากประกันภัยการเดินทางจะหนุนให้เบี้ยรับรวมเติบโตตามแผนมากกว่า 25% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วนเบี้ยประกันภัยการเดินทางราว 10% ของเบี้ยรับรวม ทั้งนี้ ปัจจุบันเคลมประกันเดินทางค่อนข้างต่ำหรืออยู่ที่ 30% เท่านั้น โดยท็อปเคลมส่วนใหญ่จะมาจาก 1.ค่ารักษาพยาบาล 2.เที่ยวบินล่าช้า 3.กระเป๋าล่าช้า 4.ยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทาง 5.พลาดการต่อเที่ยวบิน” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-369416

จำนวนผู้อ่าน: 1569

11 กันยายน 2019

เงิน​บาท​เช้า​วันนี้​เปิด​ที่​ 30.65 บาท/ดอลลาร์​ ผันผวน​ตามตลาดเงินโลก

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า​ ค่าเงินบาท​เปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 30.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ แข็ง​ค่าขึ้นจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 30.67 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ “การเคลื่อนไหวล่าสุดของเงินบาทมีทั้งบวกสลับลบ แม้ตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐในวันศุกร์​ (6​ ก.ย.)​ จะไม่ดีอย่างที่คาดจนกดให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง แต่ราคาทองคำก็ปรับตัวลงไปด้วยส่งผลให้เงินบาทไม่ได้แข็งค่าขึ้น” ด​ร.จิติพล​กล่าว​ โดย​เงินบาท ช่วงนี้ยังคงถูกกดดันด้วยแรงขายหุ้นและบอนด์ของต่างชาติอยู่ แต่ก็ยังมีผู้ส่งออกทยอยขายกดเงินบาทไว้ทุกระยะ สัปดาห์นี้ มีโอกาสบ้างที่จะเห็นเงินบาทแข็งค่าถ้าตลาดพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk On) สำหรับ​กรอบค่าเงินบาทวันนี้​อยู่​ที่ 30.60-30.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ ส่วน​กรอบค่าเงินบาทรายสัปดาห์อยู่​ที่​ 30.30- 30.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ ทั้งนี้​ ในสัปดาห์นี้ ต้องจับตาไปที่นโยบายการเงินฝั่งตะวันตก เพราะล่าสุดการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาส่งสัญญาณ “เป็นกลาง” ต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ย เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงิน เนื่องจากผู้ค้าส่วนใหญ่เชื่อว่าเฟดจะต้องลดดอกเบี้ยต่ออย่างน้อย 25bps พร้อมกันนี้ ก็จะมีการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่คาดว่าจะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้นเช่นกัน จึงอาจเห็นความผันผวนที่สูงในฝั่งเงินยูโรด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-369119

จำนวนผู้อ่าน: 1754

09 กันยายน 2019

คุมกำเนิด”โปรไฟไหม้” รัฐจัดระเบียบแพ็กเกจทัวร์

จัดระเบียบธุรกิจทัวร์ทั้งระบบ งัดมาตรการคุม “ราคาขั้นต่ำ” ขายแพ็กเกจทัวร์ ตั้งเป้าประกาศบังคับใช้ในสิ้นปี หลังปรากฏการณ์ “โปรไฟไหม้” ทุบราคาต่ำกว่าทุน กระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งผู้บริโภค-บริษัททัวร์เจ๊งระนาว นายกสมาคมทัวร์เอาต์บาวนด์ขานรับ เรียกผู้ค้าทั้งโฮลเซล-เอเย่นต์หารือกำหนดราคารายตลาด “ยุโรป-เอเชีย-จีน” วงในเผยรายใหญ่ไม่เห็นด้วย ชี้ควรให้กลไกตลาดเป็นตัวกำหนด แหล่งข่าวจากธุรกิจท่องเที่ยวรายหนึ่งเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้กลุ่มเอกชนท่องเที่ยวให้การตอบรับมาตรการยกระดับมาตรฐานธุรกิจนำเที่ยวในประเด็นทางการกำหนดอัตราค่าบริการนำเที่ยวขั้นต่ำแล้ว หลังจากที่กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ประกาศดำเนินการเพื่อหาแนวทางกำหนดอัตราค่าบริการนำเที่ยวขั้นต่ำ ทั้งตลาดเอาต์บาวนด์ (นำคนไทยไปเที่ยวนอก)ตลาดอินบาวนด์ (นำต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทย) และตลาดโดเมสติกส์ (ไทยเที่ยวไทย) ตามข้อบังคับมาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 และ พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2559 (ฉบับแก้ไข) ข้อบังคับดังกล่าวได้ระบุไว้อย่างชัดเจนใน พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2559 (ฉบับแก้ไข) แต่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมายังไม่สามารถดำเนินการได้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากผู้ประกอบการไม่เห็นด้วย ขณะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอยู่ในภาวะขยายตัวต่อเนื่อง ทุกรายทำธุรกิจและแข่งขันอย่างรุนแรง และส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นทัวร์ไร้คุณภาพ, ทัวร์แช่แข็ง (ซื้อแล้วไม่ได้เดินทาง) รวมถึงทัวร์ไฟไหม้ ที่เน้นขายแพ็กเกจทัวร์ราคาถูกจนถึงระดับราคาต่ำกว่าทุน หวั่นซัพพลายเชนเดี้ยงทั้งระบบ “เมื่อก่อนบริษัททัวร์ต่าง ๆ ไม่เห็นด้วยกับการกำหนดอัตราค่าบริการขั้นต่ำ และมองว่าประเทศไทยเป็นการค้าเสรี สามารถแข่งขันกันได้เต็มที่ ผ่านมา 2 ปีตอนนี้ผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการแข่งขันด้านราคาที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งมีบริษัททัวร์จำนวนมากทยอยปิดตัว และอีกจำนวนมากที่เริ่มอยู่ไม่ได้ หายใจไม่ออก จึงหันมาร่วมมือเพื่อกำหนดอัตราค่าบริการขั้นต่ำตามข้อบังคับของภาครัฐ วางระบบมาตรฐานราคาแพ็กเกจทัวร์ในตลาดกันใหม่ทั้งระบบ” แหล่งข่าวกล่าวและว่า ขณะนี้เสียงส่วนใหญ่ของคนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยงของไทยเห็นด้วยที่ควรจะต้องกำหนดอัตราค่าบริการขั้นต่ำของการขายแพ็กเกจทัวร์ทั้งตลาดเอาต์บาวนด์, อินบาวนด์ และโดเมสติกส์ โดยเฉพาะตลาดเอาต์บาวนด์ที่มีการแข่งขันที่รุนแรงมาก และกำลังได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้ ที่สำคัญการแข่งขันในด้านราคานั้นได้ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนทั้งระบบของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีมูลค่ารวม 3 ล้านล้านบาทอย่างหนักในขณะนี้ แม้ว่าการตรวจสอบคุมราคาอาจไม่ง่าย แต่การกำหนดราคาขั้นต่ำก็เพื่อเมื่อทัวร์เกิดปัญหาไม่ได้เดินทาง หรือลูกทัวร์ถูกทิ้ง อีกด้านรัฐก็จะสามารถใช้ข้อนี้มาจัดการบริษัททัวร์ได้ด้วย “ทีทีเอเอ” เร่งทำโมเดลจัดเก็บ นายธนพล ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) ดูแลตลาดเอาต์บาวนด์ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” หลังจากที่สมาคมได้ประชุมร่วมกับกรมการท่องเที่ยว และได้รับมอบหมายให้เป็นตัวกลางเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมไทยไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA), สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) สมาคมท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) ฯลฯ เข้ามาร่วมประชุมหารือไปแล้ว โดยจัดแบ่งกลุ่มประเทศคร่าว ๆ เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ตลาดยุโรป, เอเชีย (รวมเกาหลี ญี่ปุ่น), จีน และอาเซียน พร้อมทั้งมอบหมายทุกฝ่ายไปศึกษาและคิดโมเดลในการจัดเก็บอัตราค่าบริการขั้นต่ำมานำเสนอในที่ประชุมอีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน “ในส่วนของรายละเอียดดำเนินการนั้น เมื่อแต่ละตลาดทำโมเดลราคามา ก็จะมาหารือกันอีกครั้งว่าข้อสรุปควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ จากนั้นจะนำโมเดลที่ได้เข้าหารือกับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะช้าหรือเร็วก็อยู่ที่ว่ารัฐจะมีความเห็นอย่างไรด้วย” นายธนพลกล่าวและว่า อย่างไรก็ตามทางสมาคมก็คงต้องขอเวลาในการศึกษาและนำเสนอโมเดลด้วย เพื่อประเมินว่าทำอย่างไรถึงจะถูกต้องตามกรอบของหน่วยงานรัฐ และธุรกิจโดยรวมยังสามารถเดินต่อไปได้ ชงรัฐเว้นเก็บภาษีซ้ำซ้อน นายธนพลก ล่าวด้วยว่า นอกจากการกำหนดอัตราค่าบริการขั้นต่ำแล้ว ขณะนี้ทางสมาคมทีทีเอเอยังได้เตรียมนำเสนอให้ภาครัฐพิจารณาระบบการจัดเก็บภาษีของบริษัทนำเที่ยวเอาต์บาวนด์ใหม่ เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานและบูรณาการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ครบในทุกมิติไปพร้อม ๆ กัน โดยให้รัฐพิจารณาว่ารายได้ส่วนไหนบ้างที่รัฐควรจัดเก็บภาษี ส่วนไหนที่บริษัทนำเที่ยวไม่ควรจะเสียภาษี “ในความเป็นจริงแล้ว การใช้จ่ายนอกราชอาณาจักรนั้นเราไม่ควรที่จะนำมาเสียภาษี หรือในส่วนของตั๋วเครื่องบินที่พัก ก็ไม่ควรเสียภาษี เนื่องจากบริการเหล่านี้มีภาษีรวมอยู่แล้ว ดังนั้นระบบการเสียภาษีที่ถูกต้องรัฐควรคำนวณรายได้จากค่าบริการเท่านั้น ไม่ควรคำนวณภาษีจากราคาแพ็กเกจทัวร์แบบเหมารวม เพราะถือเป็นการจัดเก็บที่ซ้ำซ้อน” นายธนพลกล่าว วงในชี้ไม่ง่าย-คลื่นใต้น้ำแรง แหล่งข่าววงการท่องเที่ยวอีกรายกล่าวว่า แม้จะเป็นมติเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมของกลุ่มเอกชนท่องเที่ยว ว่าเห็นด้วยที่ต้องรีบดำเนินการกำหนดอัตราค่าบริการขั้นต่ำของราคาแพ็กเกจทัวร์ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังไม่เห็นด้วย โดยมองว่ามาตรการดังกล่าวขัดกับระบบการค้าเสรีของประเทศ “คนที่มองในมุมนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด ซึ่งมีความได้เปรียบในเชิงการตลาด และเป็นกลุ่มที่ใช้กลยุทธ์ราคามาเป็นจุดขาย โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำทัวร์โปรไฟไหม้ และกลุ่มที่ทำการตลาดขายถูก ๆ ในช่องทางออนไลน์เป็นหลัก” แหล่งข่าวกล่าว ผู้เล่นรายใหญ่ยันไม่เห็นด้วย ด้าน นายเอนก ศรีชีวะชาติ ประธานบริษัท ยูนิไทย แทรเวล จำกัด บริษัทนำเที่ยวเจ้าของโมเดลโปรไฟไหม้ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในส่วนของบริษัทยูนิไทยพร้อมดำเนินการตามมติของสมาคมไทยบริการท่องเที่ยวและตามกฎ กติกา ของภาครัฐ แต่ส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว เนื่องจากระบบการขายแพ็กเกจทัวร์เอาต์บาวนด์ถูกกำหนดโดยโฮลเซลและคู่ค้าจากต่างประเทศเป็นหลัก บริษัททัวร์เป็นเพียงส่วนที่ช่วยทำการตลาดและช่วยขายเท่านั้น “การกำหนดอัตราค่าบริการขั้นต่ำสำหรับทัวร์เอาต์บาวนด์จึงเป็นกระบวนการที่ทำยากมาก และคงไม่สามารถไปกำหนดราคาให้โฮลเซลในต่างประเทศได้ ซึ่งตัวแทนในต่างประเทศก็คงไม่อยากกำหนดราคาขายที่สูงเกินไป เพราะกลัวว่านักท่องเที่ยวจะไม่ไปเที่ยวประเทศ ดังนั้นรูปแบบที่ดีที่สุดคือ รัฐควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกลไกตลาดตามระบบของการค้าเสรีต่อไป” หวั่นวอลุ่มตก-กระทบผู้บริโภค นายเอนกกล่าวต่อว่า การกำหนดราคาขายที่สูงก็ใช่ว่าจะเป็นผลดีเสมอไป เพราะหากไม่มีการเดินทางท่องเที่ยวทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่มเริ่มต้นทำงานที่มีความฝันอยากไปเที่ยวต่างประเทศ ที่สำคัญการปรับราคาให้สูงขึ้นนั้นจะส่งผลกระทบต่อวอลุ่มการขายแน่นอน “เรื่องนี้ต้องมอง 2 มุม คือมุมหนึ่งอาจได้ราคาที่สูงขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งวอลุ่มมันตกลงไปแน่นอน ดังนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาราคาหรือวอลุ่มเป็นตัวกำหนด ขณะนี้มีคนบางกลุ่มพยายามตีรวนว่า โปรไฟไหม้ของยูนิไทยทำลายตลาดอยู่ ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่เลย อย่างที่บอกว่า เราไม่ได้เป็นคนกำหนดราคาขายเอง เราขายให้โฮลเซล เพียงแต่เรามีสื่อใหม่ ๆ ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าคนอื่นเท่านั้น” นายเอนกกล่าว ระวังขัด พ.ร.บ.แข่งขันการค้า เช่นเดียวกับแหล่งข่าวจากบริษัทนำเที่ยวใหญ่รายหนึ่งกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สิ่งที่รัฐพยายามทำอยู่นั้นไม่เกิดประโยชน์และไม่ได้แก้ปัญหาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยแต่อย่างใด ประเด็นนี้รัฐควรปล่อยให้เป็นเรื่องของการแข่งขันเสรีมากกว่าที่จะมากำหนด แนวทางที่ดีที่สุดคือรัฐเข้ามายุ่งในรายละเอียดให้น้อยที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีใครที่จะขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนอยู่แล้ว “การทำธุรกิจของเอกชนมีเรื่องของกลไกตลาดคุมอยู่แล้ว ใครที่ขายถูก ๆ สุดท้ายอยู่ไม่ได้เขาก็ต้องปิดตัว ส่วนใครที่ขายสูงเกินไป ไม่มีคนซื้อก็ไปไม่รอดอีกเช่นกัน จึงมองว่ารัฐควรดูในเรื่องมาตรฐานของภาพรวมจะดีกว่า ที่สำคัญ เรื่องนี้ทำไปแล้วก็ไม่รู้จะใช้ได้หรือเปล่า การทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทำไปก็เสียเวลาเปล่า ๆ และที่สำคัญ ต้องดูให้ดีด้วยว่ามาตรการกำหนดอัตราค่าบริการขั้นต่ำดังกล่าวนี้ขัดกับพระราชบัญญัติการแข่งทางการค้าหรือไม่” กำหนดยาก-ต้นทุนไม่เท่ากัน นายโชติช่วง ศูรางกูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด กล่าวว่า ส่วนตัวไม่คิดว่าจะสามารถทำได้จริงและการยุ่งกับกลไกการตลาดไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เหมือนที่ก่อนหน้านี้มีความพยายามในการกำหนดราคาขั้นต่ำของทัวร์จีนหลังการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่สุดท้ายผู้ประกอบการก็เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการขายในราคาขั้นต่ำที่กำหนด แต่ขายแบบ 1 แถม 1 หรือ 1 แถม 2 แทนในกรณีของทัวร์ไทยนั้น ตนมองว่าจะไม่สามารถทำได้ด้วย 2 สาเหตุ หนึ่ง คือ ต้นทุนของแต่ละบริษัทแตกต่างกัน ถ้าเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ค่าใช้จ่ายสูงต้นทุนก็จะสูงตามก็มีความจำเป็นที่จะต้องบวกกำไรมากกว่า สอง คือ แต่ละเส้นทางมีรายละเอียดของที่พัก อาหาร และสินค้าทางด้านการท่องเที่ยวที่แตกต่างกันจึงมีราคาไม่เท่ากัน รวมถึงอาจทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องอัดโปรแกรมให้แน่นเพื่อให้คุ้มกับราคาขั้นต่ำที่กำหนด ตั้งเป้าประกาศใช้ภายในสิ้นปีนี้ ด้าน นายทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงเป้าหมายสำหรับการดำเนินงานเรื่องนี้ว่า เพื่อเป็นการช่วยยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งในกลุ่มคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมทั้งยังเป็นการป้องปรามและทำให้การทำธุรกิจอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง เป็นธรรม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งนี้ ได้กำหนดรูปแบบการดำเนินงานคร่าว ๆ เป็นรายตลาดหลัก ๆ อาทิ ยุโรป, อเมริกา, เอเชีย, อาเซียน (ไม่รวมสิงคโปร์), จีน เป็นต้น เนื่องจากรายละเอียด และหลักการทำธุรกิจของแต่ละตลาดมีความแตกต่างกัน โดยตั้งเป้าดำเนินการให้แล้วเสร็จและประกาศในราชกิจจานุเบกษาและบังคับใช้ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ หรือช้าสุดคือภายในสิ้นปีนี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-369066

จำนวนผู้อ่าน: 1736

09 กันยายน 2019

WHA นำร่อง “นิคมเกาหลี” ครม.จัดชุดใหญ่ดูดลงทุน

ครม.เศรษฐกิจคลอดแพ็กเกจ Thailand Plus ดึง ตปท.ย้ายฐานการผลิตเข้าไทย ให้บีโอไอเพิ่มลดหย่อนภาษีร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมต.อุตสาหกรรมออกโรงเร่ง กนอ. จัดหาพื้นที่ตั้งนิคมดึงนักลงทุนเกาหลีก่อนถูกเวียดนามฮุบ ด้านยักษ์ใหญ่ WHA รับลูกนโยบาย “สมคิด” จัดพื้นที่ 1,000 ไร่ใน EEC นำร่อง หลังรัฐบาลไทยพยายามดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติโดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ประเทศจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้-สหรัฐ และยุโรป ล่าสุด นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรม-การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดเตรียมหาพื้นที่รองรับนักลงทุนเป็นรายประเทศ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) จะต้องจัดแพ็กเกจพิเศษเพื่อดึงดูดนักลงทุนเป็นรายประเทศด้วย ครม.ศก.คลอดแพ็กเกจลงทุน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการและเลขานุการ ครม.เศรษฐกิจ กล่าวภายหลังการประชุม ครม.เศรษฐกิจ (6 กันยายน 2562) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแพ็กเกจเร่งรัดการลงทุนและรองรับการย้ายฐานการผลิตสืบเนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้า หรือ Thailand Plus Package (แพ็กเกจ relocation เดิม) 7 ด้าน คือ 1) ด้านสิทธิประโยชน์ ให้ BOI กำหนดมาตรการสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปีเพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ แต่มีเงื่อนไขจะต้องเป็นโครงการที่มีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาทภายในปี 2564 โดยต้องยื่นขอรับส่งเสริมลงทุนภายในปี 2563 2) ให้ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานงานการลงทุนในลักษณะ one stop service มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และให้ BOI สามารถ “อนุมัติ” โครงการในกลุ่มที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ “ยกเว้น” ภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกขนาดการลงทุนเพื่อรับการย้ายฐานลงทุน 3) มาตรการการคลังให้ผู้ประกอบการนำเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมที่เข้าข่าย advanced technology ไปหักลดหย่อนเพิ่มขึ้นระหว่างปี 2562-2563 รวมทั้งให้ผู้ประกอบการจ้างงานบุคลากรทักษะสูงในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมขั้นสูง สามารถนำค่าจ้างไปหักค่าใช้จ่ายได้ระหว่างปี 2562-2563 และให้ BOI อนุญาตให้นำค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมที่เข้าข่าย advanced technology ไปคำนวณรวมเป็นวงเงิน “ยกเว้น” ภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เป็นร้อยละ 200 และหาทางนำเงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มาใช้สนับสนุนตั้งสถาบันการศึกษาศักยภาพสูง 4) ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับปรุงบัญชีแนบท้ายตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และแก้ไข กม.ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย การปรับปรุงกฎระเบียบเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน 5) ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เตรียมจัดหาพื้นที่รองรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติแต่ละประเทศเป็นการเฉพาะ (เกาหลี-จีน-ไต้หวัน) 6) ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งสรุปการฟื้นความตกลง FTA ไทย-สหภาพยุโรป และการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (CPTPP) และ 7) กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการเพิ่มเติมโดยให้หักเงินลงทุนด้านระบบอัตโนมัติให้เพิ่มขึ้นระหว่างปี 2562-2563 เพื่อกระตุ้นการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติ ขณะที่ น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการ BOI เชื่อว่า “มาตรการ Thailand Plus จะช่วยดึงดูดการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการย้ายฐานการผลิตมายังไทยมากขึ้น” ทั้งนี้ มาตรการทั้งหมดจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม.ในวันที่ 10 ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณาเห็นชอบและเข้าสู่ที่ประชุมบอร์ด บีโอไอ และบังคับใช้ภายในเดือน ก.ย.นี้ ผุดนิคมเกาหลีรับนักลงทุน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” เบื้องต้นมีแผนที่จะตั้ง “นิคมอุตสาหกรรมเกาหลี” เป็นอันดับแรก หลังจากกลับจากการเยือนประเทศเวียดนาม เมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า นักลงทุนเกาหลีเข้ามาลงทุนในเวียดนามเป็นอันดับ 1 จากปัจจัยความพร้อมหลายอย่างที่ไทยอาจยังเสียเปรียบเวียดนาม นอกเหนือจากเรื่องสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุน ดังนั้น รัฐบาลไทยจะต้องเตรียมพื้นที่ที่มีศักยภาพเพื่อรองรับการลงทุนจากนักลงทุนเกาหลี แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่า การตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกาหลีเป็นการสานต่อความร่วมมือหลังลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานเกาหลี เมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา นอกจากจะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างทั้งสองฝ่ายเพื่อยกระดับความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม ส่งเสริมการลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ที่สอดคล้องความต้องการของเกาหลี อาทิ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ, เศรษฐกิจชีวภาพ, ยานยนต์สมัยใหม่, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและเครื่องใช้ไฟฟ้า “ที่เป็นรูปธรรมในขณะนี้ก็คือ รัฐบาลได้สั่งการให้ กนอ. หารือกับภาคเอกชน ให้เตรียมพื้นที่เพื่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกาหลีโดยเฉพาะ” แหล่งข่าวกล่าว WHA งัดที่ดินพันไร่รองรับ ด้านนาง สาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า WHA ได้เตรียมพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกาหลีขึ้นมาโดยเฉพาะ เบื้องต้นได้นำเสนอให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ทราบแล้ว และเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมาได้เข้าพบนายสมคิด เพื่อหารือรายละเอียดโครงการและเตรียมวางแผนพัฒนาพื้นที่ “ซึ่ง WHA มีทั้งในจังหวัดชลบุรีและระยอง” ทั้งนี้ แผนการลงทุนสร้างนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในปี 2563 ของ WHA มีทั้งหมด 3 แห่งที่อยู่ระหว่างเตรียมแผนทั้งด้านการก่อสร้าง-การตลาดแต่ยังไม่ได้กำหนดชัดเจนว่า นิคมจะรองรับนักนักลงทุนกลุ่มไหน หรืออุตสาหกรรมอะไรเป็นการเฉพาะ ดังนั้น WHA จะนำ 1 ในพื้นที่ 3 แห่งที่เตรียมไว้มาพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมเกาหลีตามนโยบายของรัฐบาล “WHA มีพื้นที่ทั้งในนิคมเดิมที่สามารถแบ่งโซนให้นักลงทุนเป็นการเฉพาะและพื้นที่ที่พร้อมจะพัฒนาเป็นนิคมแห่งใหม่ เราพร้อมที่จะสนองนโยบายรัฐบาลและเป็นโอกาสดีที่เมื่อรัฐบาลดึงนักลงทุนเกาหลีเข้ามา WHA ก็จะมีนิคมอุตสาหกรรมเกาหลีรองรับได้” น.ส.จรีพรกล่าว ปัจจุบัน WHA มีนิคมอุตสาหกรรมที่เปิดให้บริการลูกค้าอยู่ 9 แห่ง (อยู่ใน EEC 8 แห่ง +สระบุรี 1 แห่ง) และมีแผนการขยายนิคมอุตสาหกรรมในปี 2563 เพิ่มอีก 3 แห่งใน จ.ชลบุรี 2 แห่ง และระยอง 1 แห่ง รวมทั้งหมด 12 แห่ง ล่าสุดได้เปิดตัวนิคมอุตสาหกรรม WHA อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 เป็นนิคมอุตสาหกรรมใหม่แห่งที่ 10 ของWHA พื้นที่ 2,198 ไร่ ตั้งอยู่ที่ อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี มีการการเซ็นสัญญาหนังสือแสดงเจตจำนง (letter of intent หรือ LOI) ลูกค้าจากจีนแล้ว 285 ไร่ ดังนั้น นิคมอุตสาหกรรมเกาหลีจึงมีความเป็นไปได้ที่จะตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีและระยอง จับตากลุ่มอมตะ ส่วนความเคลื่อนไหวของ บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) หนึ่งในคู่แข่งของ WHA ในการประกอบธุรกิจนิคมในภาคตะวันออก ปัจจุบัน AMATA ได้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอมตะไทย-จีน พื้นที่ 3,000 ไร่ รองรับนักลงทุนจีนโดยเฉพาะ ขณะที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ชลบุรี มีพื้นที่ 25,000 ไร่ อยู่ระหว่างการพัฒนา 8,163 ไร่ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการ 769 โรงงาน แบ่งโซนนักลงทุนทั้งไทย-จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีอยู่แล้ว ส่วนนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง มีพื้นที่ 16,900 ไร่ อยู่ระหว่างการพัฒนา 876 ไร่ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการ 377 โรงงาน ซึ่งทั้ง 2 นิคม ในส่วนของพื้นที่ที่กำลังพัฒนานั้น ทางวงการผู้พัฒนาที่ดินในภาคตะวันออกกำลังจับตามองว่า กลุ่มอมตะจะนำมาจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมเกาหลีขึ้นหรือไม่ หรือจะยังคงใช้รูปแบบการจัดแบ่งโซนตามเดิม ล่าสุดมีรายงานข่าวเข้ามาว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้เรียกผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมเข้ามาหารือเบื้องต้น เพื่อหาผู้ประกอบการรายที่มีความพร้อมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกาหลี หรือนิคมเพื่อรองรับนักลงทุนชาติอื่น ๆ เป็นการเฉพาะ ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ “มีศักยภาพที่จะดำเนินการได้” โดย กนอ.เปิดกว้างให้เอกชนเป็นผู้จัดสรรเองว่า จะใช้รูปแบบอย่างไร ส่วนสิทธิประโยชน์ในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมคาดว่า “ไม่ได้อะไรเพิ่ม” กล่าวคือ ได้ตามสิทธิประเภทกิจการนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ การ “ยกเว้น” ภาษีรายได้นิติบุคคล 5 ปี (กลุ่ม A3) แต่เป็นการหาพื้นที่รองรับนักลงทุนที่จะเป็นการช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ถึงความพร้อมที่ประเทศไทยมีต่อการรองรับนักลงทุนจากต่างประเทศ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-369060

จำนวนผู้อ่าน: 1792

09 กันยายน 2019

ปลัดทส. นำทัพรณรงค์ ลด/เลิก ใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตลาดนัดสวนจตุจักร

‘วิจารณ์’ ปลัดทส. นำทัพรณรงค์ ลด/เลิก ใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ‘Single Use’ ภายใต้แนวคิด Every day say no plastic bag ตลาดนัดสวนจตุจักร นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานการเดิน รณรงค์การลด/เลิก ใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งที่ตลาดนัดจตุจักรวันนี้ (วันที่ 8 กันยายน 2562)ว่า ตามที่รมว.ทส. ได้ประชุมหารือร่วมกันกับเครือข่าย ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ โดยขอความร่วมมือ 43 ห้างใหญ่ ร่วมกันไม่แจกถุงพลาสติกแบบ single use และให้ทุกภาคส่วน ร่วมมือในการสร้างความเข้าใจกับลูกค้าประชาชน ในการงดใช้ถุงพลาสติก ประเภท single use โดยเริ่ม ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2563 จึงได้ร่วมเดินรณรงค์ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องตามนโยบาย “กิจกรรมนี้มุ่งให้นักท่องเที่ยวที่มาซื้อของในพื้นที่ตลาดนัดสวนจตุจักรร่วมกัน ลด เลิก ใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และส่งเสริมการใช้ถุงผ้าและวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการซื้อของภายในตลาดนัดจตุจักร” กิจกรรมครั้งนี้ได้รับความสนใจจาก นักท่องเที่ยวทั้ง ชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ ชาวไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เยอรมันนี สเปน สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย เป็นต้น ในการที่จะลด/เลิก การใช้ถุงพลาสติกเกินความจำเป็นและหันมาใช้ถุงผ้าเพื่อช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกให้ประชาชนหันมาสนใจและตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดการขยะพลาสติกในประเทศไทยได้อีกทางหนึ่ง โดยหลังจากนี้ ทส.โดย คพ. และ สส. จะได้มาประสาน ศึกษา สอบถาม ในรายละเอียดเชิงลึก เพื่อถอดบทเรียน ในการหาแนวทาง การลดและเลิกใช้ ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ในส่วนของตลาดสดและตลาดนัดซึ่งเป็นสัดส่วน ที่มีการใช้ มากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ จากตลาดนัดสวนจตุจักร เพื่อร่วมมือกันในการยกระดับในการขับเคลื่อนการ ลด ละ เลิกใช้ถุงพลาสติก เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ตาม นโยบายที่ ท่านรมว.ทส. ได้ให้ไว้ ว่า ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไปนั้น ประเทศไทยจะต้องปลอดจากการใช้ถุงพลาสติกแบบ Single Use ( 0% for plastic waste in THAILAND since 2021 ) สำหรับคณะผู้บริหารที่ร่วมเดินขบวนครั้งนี้ ประกอบด้วยนายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ รองอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารตลาดนัดสวนจตุจักร กทม. และคณะเจ้าหน้าที่ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-369111

จำนวนผู้อ่าน: 1626

09 กันยายน 2019

‘อหิวาต์หมู’ ระบาดหนักท่าขี้เหล็ก หวั่นลามเข้าไทย

ผวาอหิวาต์หมูลามเข้าไทย สั่งคุมเข้มพื้นที่เฝ้าระวัง 20 จังหวัดชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน “เมียนมา กัมพูชา ลาว” ชี้ “เชียงราย” เสี่ยงสุด 3 อำเภอ ในจุดที่แม่น้ำรวกไหลผ่าน หลังพบโรค ASF ระบาด 4 เมืองในรัฐฉาน รวมทั้งท่าขี้เหล็ก เอกชนลงขันซื้อหมูมากำจัด หวั่นกระทบทั้งอุตสาหกรรม 2 แสนล้าน ด้านอธิบดีปศุสัตว์ยันยังไม่พบในไทย แหล่งข่าวจากวงการปศุสัตว์เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever หรือ ASF) ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา กัมพูชา และ สปป.ลาวรุนแรงหนัก และล่าสุดมีข่าวว่า ได้มีการตรวจพบผลบวก positive ในบางจังหวัดของไทย ในหมูของชาวบ้านที่เลี้ยงตามตะเข็บแนวชายแดน 1-2 ตัว เช่น จ.ตาก จ.นครพนม ซึ่งทางกรมปศุสัตว์ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ ไม่ได้เกิดการระบาดในพื้นที่ เชียงรายเสี่ยงคุมเข้มเต็มพิกัด แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือสถานการณ์ใน จ.เชียงราย ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาทางกรมปศุสัตว์และผู้ว่าราชการจังหวัดได้ควบคุมสถานการณ์ในการเคลื่อนย้ายหมูอย่างเข้มงวดทุกเส้นทาง ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดกว่าการประกาศเขตเฝ้าระวัง ที่กรมปศุสัตว์ดำเนินการใน 18 จังหวัดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยไม่มีการประกาศเขตโรคระบาดอย่างเป็นทางการ พร้อมกับเร่งทำลายหมูจากรัศมีเดิม 3 กม. เพิ่มเป็น 5 กม. ในพื้นที่ 3 อำเภอ ในจุดที่แม่น้ำรวกไหลผ่าน โดยเฉพาะ อ.แม่สาย อ.เชียงแสน อ.เวียงแก่น ซึ่งมีหมูของผู้เลี้ยงรายย่อยประมาณ 10,000 ตัวโดยเร็ว จากทั้งจังหวัดมีหมูประมาณ 150,000 ตัว มีเกษตรกรผู้เลี้ยง 7,000 คน 18 จว.พื้นที่เฝ้าระวัง แหล่งข่าวกล่าวว่า เชียงรายเป็น 1 ใน 18 จังหวัดที่ถูกประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว และค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นมาหลังจากมีข่าวที่ผู้เลี้ยงหมูใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ตรงกันข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ได้โยนทิ้งหมูตายจากโรค ASF ลงในแม่น้ำรวก ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 2562 และเมื่อ 16 สิงหาคม 2562 องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) ได้ประกาศพบการระบาดของโรค ASF อย่างเป็นทางการในรัฐฉาน ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นคือ เชื้อไวรัสของโรค ASF ปนเปื้อนอยู่ในน้ำได้เป็นปี และปกติผู้เลี้ยงหมูจะสูบน้ำจากแม่น้ำรวกมาใช้เลี้ยงหมู ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ที่จัดเป็นพื้นที่เสี่ยง อาทิ จันทบุรี ตราด สระแก้ว สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี บึงกาฬ อำนาจเจริญ มุกดาหาร เลย นครพนม แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน พิษณุโลก ฯลฯ หวั่นทั้งอุตสาหกรรม 2 แสนล้าน โรคนี้ไม่ติดคนและติดหมูได้จากการบริโภคทางเดียว การดื่มน้ำจากแม่น้ำรวกทำให้หมูติดโรคได้โดยตรง ยกตัวอย่างประเทศเวียดนามที่ระบาดหนัก เพราะนำหมูตายทิ้งลงในแม่น้ำ แล้วชาวบ้านนำน้ำเข้าไปใช้ในฟาร์มเพราะไม่มีน้ำบาดาล “ตอนนี้เชียงรายเหมือนถูกประกาศเป็นเขตโรคระบาดกลาย ๆ เพียงแต่ไม่ประกาศเป็นทางการ เพราะหากประกาศเป็นทางการเกรงเกิดผลกระทบคนทั่วประเทศไม่กินหมู ราคาตก ทั้งที่โรค ASF ไม่ติดคน แต่จะกระทบต่อการส่งออกหมู ต้องรอดูว่ากรมปศุสัตว์จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นจังหวัด หรือเป็นเขต หรือทั้งประเทศ” เพราะหากไม่ออกประกาศจะไม่สามารถใช้งบประมาณฉุกเฉิน หรืองบบรรเทาสาธารณภัยได้ ตอนนี้ต้องอาศัยเงินบริจาคของผู้เลี้ยงรายใหญ่เข้าไปซื้อหมูมาทำลาย หรือเข้าโรงเชือดกรณีตรวจเจอผลบวกและต้องขีดวงทำลายรัศมี 3-5 กม. ซึ่งหากเกิดโรค ASF มูลค่าความเสียหายทั้งอุตสาหกรรมกว่า 2 แสนล้านบาท” แหล่งข่าวกล่าว โอดรัฐชดเชยต่ำ-ห้ามเลี้ยง 2 ปี ขณะที่แหล่งข่าวจากผู้เลี้ยงหมูรายย่อยเปิดเผยว่า ผู้เลี้ยงรายย่อยกำลังรวมตัวกันเพื่อยื่นเรื่องต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กรณีกรมปศุสัตว์ได้เข้าไปดำเนินการทำลายหมู เนื่องจากจ่ายเงินชดเชยให้ในราคาที่ต่ำ และห้ามเลี้ยงหมูเป็นระยะเวลา 2 ปี ทำให้ผู้เลี้ยงหมูเดือดร้อน เนื่องจากขาดรายได้ในการดำรงชีวิต เลี้ยงดูแลครอบครัว อีกทั้งมีภาระหนี้ที่มี จึงต้องการให้ราชการเข้ามาช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ที่ทางการเข้ามาทำลายหมูและจ่ายค่าชดเชยให้ต่ำ เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เลี้ยงบางรายลักลอบเคลื่อนย้ายหมูออกนอกพื้นที่ หลายคนมองว่า การเกิดโรคครั้งนี้จะทำให้ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยตายหมด อีก 2 ปีคงเหลือแต่ผู้เลี้ยงรายใหญ่” รัฐไม่มีงบฯ-เอกชนลงขันซื้อหมู นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้โรค ASF ยังไม่เกิดใน จ.เชียงราย เพียงแต่ถูกประกาศเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงมาก มีการตั้งด่าน 12 จุดใหญ่ แนวตะเข็บระหว่างแม่สายจะเข้ามาเชียงราย และ 15 จุดย่อย ตามบ้านที่เลี้ยงหมู ขณะเดียวกันในรัศมีที่แม่น้ำรวกผ่านหลายอำเภอครอบคลุม 10-20 กม. ทางสมาคมได้ร่วมกับทางกรมปศุสัตว์ได้ไปซื้อหมูจากเกษตรกรรายย่อยตามตะเข็บชายแดนรัศมี 5 กม. ประมาณ 1,000 กว่าตัว จากผู้เลี้ยงทั้งหมด 86 ราย โดยใช้เงินของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ จ่ายไปกว่า 3.6 ล้านบาท และมีเงินจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติมาช่วยอีก 1 ล้านกว่าบาท โดยกรมปศุสัตว์ยังไม่มีงบฯช่วย ทำแผนที่ฟาร์มหมู 20 จว. นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมพร้อม รมช.ประภัตรได้ขึ้นไปแก้ไขสถานการณ์ที่มีหมูตายจำนวนมากจากโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่ระบาดจากจีนเข้ามาใน 4 เมืองของรัฐฉานคือ เมืองเชียงตุง เมืองลา เมืองท่าขี้เหล็ก และเมืองมัทแมน แล้วนำหมูที่เป็นโรคตายทิ้งลงแม่น้ำรวก ในฝั่งเมียนมา แล้วลอยเข้ามาในเขตชายแดนที่ติดกับ อ.แม่สาย 17 กม. ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเสี่ยงจะระบาดเข้าสู่ฟาร์มหมูในฟาร์มของคนไทยที่เลี้ยงในระยะ 1-3 กม.ติดกับแม่น้ำ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรเชียงรายและสมาคมจึงออกสำรวจและซื้อหมูจากชาวบ้านที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรคมาตรวจสอบและกำจัด รวมทั้งเก็บซากหมูของเมียนมาที่ลอยมาตามแม่น้ำรวกไปฝั่งกลบในที่ปลอดภัย “รมช.ประภัตรได้ประชุมร่วมกับผู้ว่าฯเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ออกตรวจสอบตลอดเวลา หาทางป้องกันอย่างเป็นระบบ รวมทั้งซื้อมาตรวจสอบ ล่าสุดยังไม่มีหมูไทยติดโรคนี้ ตอนนี้กำลังเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์จำนวนมากได้ขึ้นไปตรวจสอบ ทำแผนที่ฟาร์มเลี้ยงหมูและการป้องกันการนำเข้าหมูใน 20 จังหวัดที่ติดประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งแต่เชียงรายจนถึงภาคตะวันออกที่ติดกับกัมพูชา” อธิบดีปศุสัตว์ยันไม่พบโรคในไทย ด้าน น.สพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากการที่ผู้เลี้ยงหมูในฝั่งประเทศเมียนมาทิ้งหมูที่ตายจากโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรลงแม่น้ำรวกแล้วไหลเข้ามาในเขตไทยที่กั้นเขตแดนนั้น เท่าที่ตรวจสอบยังไม่พบโรคนี้ในหมูไทย ซึ่งระยะเวลาในการตรวจใช้เวลาเพียง 7 วันเท่านั้น จึงยังไม่มีการประกาศเขตโรคระบาด และยังไม่สามารถนำงบไปซื้อหมูที่จะเสี่ยงติดโรคได้ ภาคเอกชนจึงต้องลงขันกันไปซื้อหมูในฟาร์มที่เสี่ยงจะติดโรค เพราะหากพบโรคเร็ว กำจัดเร็ว จะช่วยป้องกันการลุกลามของโรคได้มาก ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-369057

จำนวนผู้อ่าน: 1673

09 กันยายน 2019

กรมบัญชีกลาง ปลื้ม! หลังลุยจีบ ร้านค้า-ผู้ประกอบการ แห่ร่วม “ชิมช้อปใช้” เพิ่ม 1 หมื่นราย

กรมบัญชีกลาง ปลื้ม ยอดสมัครเข้าร่วมมาตรการ ชิมช้อปใช้ ของผู้ประกอบการร้านค้าเพิ่มสูงขึ้น หลังปรับกลยุทธ์การรับสมัคร เดินหน้าประชาสัมพันธ์กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวและร้านค้าในเขต กทม. หวังกระตุ้นการรับรู้และชี้แจงหลักเกณฑ์ ไขข้อสงสัยในทุกประเด็น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ประกอบการ รองรับประชาชนจำนวน 10 ล้านคน ที่จะลงทะเบียนใช้สิทธิรับเงิน 1,000 บาท ท่องเที่ยวภายในประเทศ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมเสวนา “คุณไม่กล้าปรับตัว หรือกลัวความเปลี่ยนแปลง” วิธีรับสมัครเข้าร่วมโครงการ ชิม-ช๊อป-ใช้ สำหรับผู้ประกอบการร้านค้า ณ ห้องประชุม Grand hall 202 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา เมื่อวันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2562 ผ่านมาว่า กรมบัญชีกลางได้เดินหน้ารับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ ชิมช้อปใช้ อย่างต่อเนื่อง โดยใช้กลยุทธ์เชิงรุก ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยโทรศัพท์ประสานเชิญชวนผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมมาตรการฯ โดยตรง พร้อมทั้งจัดทีมหมอคลังทั้งส่วนกลางและต่างจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศลงพื้นที่ไปหาพร้อมกับรับสมัคร ณ สถานที่ตั้งของผู้ประกอบการ ร้านค้า รวมทั้งจัดจุดรวมพลผู้ประกอบการ ร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงกันในแต่ละพื้นที่ให้มาสมัคร ณ สถานที่ที่กรมบัญชีกลางกำหนด โดยได้เริ่มดำเนินการแล้ว ควบคู่กับการตั้งจุดรับสมัคร ณ กรมบัญชีกลางและสำนักงานคลังจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ โดยขณะนี้ มีผู้ประกอบการ ร้านค้า สมัครเข้าร่วมมาตรการฯ แล้วกว่า 10,000 ราย ซึ่งคาดว่าจะใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กระทรวงการคลังกำหนด “วันนี้ (7 ก.ย.62) กรมบัญชีกลางกับธนาคารกรุงไทย ได้มาตั้งจุดบริการรับสมัครผู้ประกอบการ ร้านค้าในงานเสวนา “คุณไม่กล้าปรับตัว หรือกลัวความเปลี่ยนแปลง” วิธีรับสมัครเข้าร่วมโครงการชิม-ช๊อป-ใช้ สำหรับผู้ประกอบการ ร้านค้า ซึ่งจัดโดยสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย (ATTM) สมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย (สนท.) สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.) สมาคมภัตตาหารไทย สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย และสถานีวิทยุ Travel Radio Fm.104.5 MHz โดยมีผู้ประกอบการที่เป็นกลุ่มธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและร้านอาหารเข้าร่วมเสวนาและสมัครเข้าร่วมมาตรการจำนวนมาก พร้อมทั้งได้ร่วมเสวนาชี้แจงเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และไขข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการฯ ให้ผู้ประกอบการเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ชัดเจน รวมทั้งได้เชิญชวนให้ผู้ประกอบการช่วยขยายผลและประชาสัมพันธ์ไปยังร้านค้ากลุ่มอื่นและประชาชนที่จะมาลงทะเบียนใช้สิทธิรับเงิน 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. – 15 พ.ย. 62 ให้รับรู้ เข้าใจ และสมัครเข้าร่วมมาตรการต่อไป” เพื่อท่องเที่ยภายในประเทศ จนถึงวันที่ 30 พ.ย. 62 อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมบัญชีกลางมีความต้องการที่จะให้มีจำนวนร้านค้าเพียงพอต่อการจับจ่ายซื้อสินค้าและใช้บริการของประชาชนตามมาตรการฯ จึงได้เร่งประชาสัมพันธ์และรับสมัครผู้ประกอบการ ร้านค้าให้มากขึ้น ซึ่งจะสิ้นสุดการรับสมัครร้านค้าในวันที่ 20 ก.ย. 62 สำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมมาตรการฯ สามารถสมัครด้วยตนเองทางเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com ระหว่างวันที่ 23 ก.ย. – 15 พ.ย.62 หรือจนกว่าสิทธิจะหมด (รับสิทธิจำนวน 10 ล้านคนเท่านั้น) คุณสมบัติเป็นคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปในวันละทะเบียน เลือกจังหวัดที่จะไปท่องเที่ยวเพียง 1 จังหวัดเท่านั้น และเมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วจะได้รับ SMS ยืนยันหลังจากลงทะเบียนไม่เกิน 3 วันทำการ จากนั้นดาวน์โหลดแอปฯ “เป๋าตัง” เพื่อรับสิทธิตามมาตรการ และเดินทางท่องเที่ยวและใช้จ่ายในจังหวัดที่เลือกภายใน 14 วัน หลังได้รับ SMS ยืนยัน หากไม่ใช้สิทธิตามระยะเวลารัฐบาลจะตัดสิทธิทันที หรือใช้สิทธิแล้วแต่ไม่หมด 1,000 บาท ณ วันสิ้นสุดโครงการ 30 พ.ย. 62 จะถูกตัดวงเงินเป็น 0 บาท และเงื่อนไขที่ไม่ควรลืมคือต้องไปใช้สิทธิ ณ ร้านค้าที่มีแผ่นประชาสัมพันธ์ตามมาตรการเท่านั้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-369108

จำนวนผู้อ่าน: 2617

09 กันยายน 2019

กฟผ.แจงนำเข้าLNGประหยัด3หมื่นล้าน

หาก๊าซรับดีมานด์ - กฟผ.เตรียมเปิดประมูลหาผู้นำเข้าก๊าซ LNG เพื่อรองรับความต้องการใช้ในโรงไฟฟ้าของ กฟผ.ตามนโยบายเปิดเสรีธุรกิจก๊าซของกระทรวงพลังงาน ผู้บริหาร กฟผ.ออกแถลงการณ์ข้ามประเทศถึงพนักงาน ขณะที่มีกลุ่มเคลื่อนไหว เป็นห่วงมติ กบง. 30 ส.ค. 62 ล้มประมูลแอลเอ็นจี กฟผ. ทำให้เกิดการผูกขาดประชาชนเสียประโยชน์ นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยืนยันว่า การผลิตไฟฟ้าทุกอย่างเป็นปกติ มั่นคง ไร้ปัญหา แม้วันนี้ (6 ก.ย.) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (สร.กฟผ.) จะมีการนัดแต่งดำและไปยื่นหนังสือถึง รมว.พลังงานคัดค้านมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 62 เพื่อยกเลิกประมูลแอลเอ็นจีก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ว่าการ กฟผ.ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางดูงานที่ประเทศสเปน พร้อมผู้บริหารจำนวนหนึ่ง ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงเป็นการภายในกับพนักงาน กฟผ. เพื่อสร้างความเข้าใจลดข้อห่วงใยและข้อกังวลของผู้ปฏิบัติงาน กฟผ. เพื่อให้เกิดขวัญและกำลังใจในการทำงาน โดยระบุก่อนประชุม กบง.ที่มีมติดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 62 ได้มีการประชุมระหว่างฝ่ายนโยบายของกระทรวงพลังงาน และคณะผู้บริหาร กฟผ. ฝ่ายนโยบายได้ให้คำมั่นยังคงยืนยันนโยบายการเปิดเสรีระบบก๊าซธรรมชาติอยู่ เพียงแต่ขอทบทวนปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศไห้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และหากประเมินว่าเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติม แล้วยังยืนยันหลักการเดิมที่มอบหมายให้ กฟผ.เป็นผู้นำเข้าเป็นรายแรก ต่อจากผู้นำเข้าที่มีอยู่เดิมรายเดียว นอกจากนี้ยังได้เสนอให้มีการพิจารณาปริมาณการนำเข้าของ กฟผ. ว่าควรจะเป็นจำนวนกี่เปอร์เซ็นต์ของปริมาณตามต้องการใช้งานโดยรวม เพื่อเป็นกรอบหลักการดำเนินงานในอนาคต ทั้งนี้ คณะผู้บริหาร กฟผ.คาคว่าการพิจารณาในประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติมจะดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ของฝ่ายนโยบายกระทรวงพลังงานในอนาคตต่อไป ขอให้ผู้ปฏิบัติงานมีความมั่นใจและเชื่อใจต่อความตั้งใจจริงของฝ่ายนโยบายที่พิจารณาประโยชน์ในภาพรวมของประเทศชาติ และประโยชน์ในการพัฒนาและส่งเสริม กฟผ.ให้เจริญก้าวหน้า เป็นเสาหลักด้านพลังงานหน่วยงานหนึ่งของประเทศต่อไป “กฟผ.ยืนยันมาตลอดว่าที่ผ่านมา กฟผ.ได้ดำเนินตามนโยบายรัฐบาลในการเปิดประมูลนำเข้าแอลเอ็นจีจนได้ราคานำเข้าที่ต่ำกว่าทุกสัญญานำเข้าของประเทศ โดยคำนวณแล้วหากนำเข้าได้ตามการประมูลไม่เกิน 1.5 ล้านตัน/ปี จะมีมูลค่านำเข้ากว่าแสนล้านบาท และประหยัดต้นทุนค่าไฟฟ้า เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ซื้อจากในระบบการค้าก๊าซในปัจจุบันที่ บมจ.ปตท.เป็นผู้ดำเนินการได้ถึง 30,000 ล้านบาท” ในขณะเดียวกันยังมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพิทักษ์พลังงานไทย ซึ่งมีแกนนำคือนายพิเชษฐ์ ชูชื่น อดีตพนักงาน กฟผ.ได้ออกแถลงการณ์ 4 ก.ย. และยื่นหนังสือถึง รมว.พลังงาน ขอคัดค้านและต่อต้านการผูกขาดพลังงานไฟฟ้าและพลังงานอื่น ๆ และขอปกป้ององค์กรภาครัฐที่เป็นสาธารณูปโภคให้มีอิสระในการพัฒนากิจการขององค์กรนั้นอย่างมืออาชีพ โดยระบุการเคลื่อนไหวครั้งนี้สืบเนื่องจากสถานการณ์การลงทุนการผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่ม ซึ่งในอนาคตจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นเหยื่อผูกขาด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-368979

จำนวนผู้อ่าน: 1588

09 กันยายน 2019

พาณิชย์เปิดไต่สวนท่อเหล็ก ธุรกิจผวาเวียดนามทุ่มตลาด

พาณิชย์ไต่สวนเวียดนามทุ่มตลาดท่อเหล็ก 33% หลังยอดนำเข้าพุ่งกระฉูดกว่า 200,000 ตันต่อปี จนโรงงานผู้ผลิต 5 รายอยู่ไม่ได้ เผยเวียดนามใช้เหล็กม้วนราคาถูกจากจีนที่หนี AD ไทยผลิตเป็นท่อสำเร็จรูปส่งเข้ามาขายถล่มราคา ระบุหากรัฐไม่ขึ้นภาษีช่วย ท่อเหล็กไทยเดี้ยงแน่ แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการพิจารณาการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) ได้เปิดไต่สวนเพื่อใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สินค้าหลอดหรือท่อทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้ารวม 169 รายการที่ผลิตและนำเข้าจากประเทศเวียดนาม การเปิดไต่สวนครั้งนี้เป็นไปตามคำร้องของผู้ผลิตเหล็กในประเทศ 5 ราย ได้แก่ บจ.คอทโก้เมททอลเวอร์,บมจ.ค้าเหล็กไทย, บมจ.แปซิฟิกไพพ์,บมจ.เอเชีย เมทัล และ บจ.ไทยคูณการเหล็ก ซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกทุ่มตลาดจากเวียดนาม “คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า เวียดนามทุ่มตลาดท่อเหล็กถึงร้อยละ 33.83 ของราคา CIF ซึ่งกระทบอุตสาหกรรมภายในประเทศ ปริมาณนำเข้าท่อเหล็กเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนส่งผลต่อราคาขายท่อเหล็กในประเทศ” ยอดนำเข้าท่อเหล็กในพิกัด 7306 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 5 ปี (2014-2019) ปี 2014 มีปริมาณนำเข้า 16,599 ตัน มูลค่า 478 ล้านบาท, ปี 2015 ปริมาณ 31,735 ตัน มูลค่า 685 ล้านบาท, ปี 2016 ปริมาณ 148,441 ตัน มูลค่า 2,602 ล้านบาท, ปี 2017 ปริมาณ 178,539 ตัน มูลค่า 3,885 ล้านบาท, ปี 2018 ปริมาณ 201,553 ตัน มูลค่า 4,934 ล้านบาท และการนำเข้า 7 เดือนแรกของปี 2019 อยู่ที่ 116,284 ตัน มูลค่า 2,486 ล้านบาท หรือเท่ากับในช่วง 5 ปีมีปริมาณนำเข้าเพิ่มกว่า 1,000% นายไพศาล ธรสารสมบัติ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ทีเอ็มที สตีล หรือ TMT (บริษัทค้าเหล็กไทย) กล่าวว่า การถูกทุ่มตลาดท่อเหล็กจากเวียดนามเป็นผลมาจากประเทศไทยใช้มาตรการ ADเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนจากจีน เป็นเหตุให้จีนส่งเหล็กม้วนเข้ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตท่อเหล็กในเวียดนาม และส่งท่อเหล็กสำเร็จรูปเข้ามาทุ่มตลาดในไทย สังเกตได้ว่า ปริมาณนำเข้าท่อเหล็กจากเวียดนามเพิ่มขึ้นผิดปกติ ประกอบกับราคานำเข้าต่ำกว่าราคาที่จำหน่ายในเวียดนามด้วย “เวียดนามได้เหล็กม้วนจากจีนที่มีต้นทุนต่ำแล้วนำมาผลิตท่อเหล็กสำเร็จรูปส่งเข้ามาขายในไทย ยังได้ลดภาษีนำเข้าจากกรอบของอาเซียนด้วย จนผู้ผลิตทั้ง 5 รายไม่สามารถแข่งขันได้ จึงจำเป็นต้องฟ้องทุ่มตลาดกับกรมการค้าต่างประเทศ” ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สำรวจราคาจำหน่ายท่อเหล็กที่ผลิตในประเทศ กับราคาท่อเหล็กนำเข้าจากเวียดนาม พบว่าราคาเฉลี่ยต่างกันอยู่ 3-4 บาท จากการสอบถามโรงงานผู้ผลิตแจ้งว่า “ต้นทุน” เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (hot rolled coil) ที่นำมาผลิตเป็นท่อเหล็กระหว่างไทยกับเวียดนามแตกต่างกันมาก กล่าวคือ ราคาเหล็กม้วนที่จีนขายให้กับโรงงานผลิตท่อเหล็กเวียดนามตก กก.ละ 15 บาท (ราคาส่งออกได้รับการอุดหนุนจากรัฐ-ไม่มีการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กม้วน) ขณะที่ราคาเหล็กที่โรงงานผู้ผลิตท่อเหล็กไทยซื้อจากโรงงานผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนตก กก.ละ 17-19 บาท “ต้นทุนราคาเหล็กม้วนก็ต่างกันมาก เรียกว่ามันทุ่มตลาดกันมาตั้งแต่วัตถุดิบในการผลิตเลย พอส่งออกท่อเหล็กสำเร็จรูปมาขายในประเทศไทยยังสามารถทำราคาต่ำกว่าท่อเหล็กที่ผลิตในประเทศได้ 3-4 บาท ทั้ง ๆ ที่มีต้นทุนค่าขนส่ง แสดงให้เห็นว่า ท่อเหล็กเวียดนามถูกมาก ๆ จนผู้ผลิตท่อเหล็กในประเทศสู้ไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้วการทุ่มตลาดท่อเหล็กจากเวียดนามก็เกิดขึ้นมานานแล้ว เห็นทางโรงงานผู้ผลิตท่อเหล็กยื่นเรื่องไปที่กระทรวงพาณิชย์เป็นปี ๆ แล้วเพิ่งจะมาประกาศไต่สวนสมัย รมต.จุรินทร์” ผู้จำหน่ายท่อเหล็กกล่าว นายวรพจน์ เพียรอภิธรรม นายกสมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น กล่าวถึงสถานการณ์การนำเข้าท่อเหล็กจากเวียดนามมีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่กลางปี 2016 หลังกรมการค้าต่างประเทศ ประกาศใช้มาตรการ AD ท่อเหล็กจากจีนและเกาหลี ส่งผลให้มีการนำเข้าจากท่อเหล็กเวียดนามทดแทน โดยผลิตภัณฑ์ท่อเหล็กนำเข้าจากเวียดนามกว่า 95% เป็นท่อเหล็กที่ผลิตจากเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสี โดยมีชั้นเคลือบสังกะสีที่หลากหลาย และความหนาของชั้นเคลือบค่อนข้างบาง เหมาะสำหรับงานโครงสร้างเหล็กที่รับน้ำหนักไม่มาก และไม่สามารถทนการกัดกร่อนของสนิมเมื่อใช้เป็นโครงสร้างภายนอกเมื่อเทียบกับการชุบสังกะสีโดยวิธีจุ่มร้อน “ผลิตภัณฑ์ท่อเหล็กที่มีการนำเข้าเกือบทั้งหมดไม่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) รองรับ อาจทำให้เกิดปัญหาการผลิตสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์ รวมถึงการนำไปใช้งานอย่างไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อผู้บริโภคอย่างเห็นได้ชัด เช่น ท่อเหล็กที่ผลิตจากเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีมาทำเกลียวที่ปลายท่อทั้ง 2 ด้านเพื่อใช้ในงานระบบท่อส่งน้ำในอาคารหรือภายนอกอาคาร โดยการพิมพ์ตราผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าท่อเหล็กอาบสังกะสี (มอก.277) หรือท่อเหล็กกล้าคาร์บอนสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป (มอก.107) เพื่อผลิตเป็นงานโครงสร้างหลัก ดังนั้นจำเป็นต้องมีการกำหนดสัดส่วนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ (local contents) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภายในประเทศและได้สินค้าที่มีมาตรฐาน” นายวรพจน์กล่าว อนึ่ง ผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐจะเป็นตัวผลักดันให้มีการนำเข้าเหล็กและผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นทั้งจากเวียดนามและจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น ประกอบด้วย ผู้ผลิตท่อเหล็กทั้งประเภทเชื่อมตะเข็บตรง (ERW), ตะเข็บเกลียว (SSAW), ท่อชุบสังกะสี, ท่อสเตนเลส และงานแปรรูปเหล็กแผ่นมีผู้ผลิต 50 ราย เป็นสมาชิกสมาคม 33 รายหรือประมาณ 70% ปัจจุบันมีการใช้กำลังการผลิตรวมกันเพียง 30-40% หรือประมาณ 1.4 ล้านตันต่อปี มีมูลค่าตลาดประมาณ 40,000 ล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-368951

จำนวนผู้อ่าน: 1653

09 กันยายน 2019

เซเว่นฯจัดทัพรับมือดิสรัปต์ ผุดโมเดล”โอทูโอ”ตอบโจทย์คนสะดวกช็อป

“ซีพี ออลล์” จัดทัพรับค้าปลีกยุคใหม่ ชู “24 ช็อปปิ้ง” สร้างแพลตฟอร์ม O2O เชื่อมออฟไลน์-ออนไลน์ ไร้รอยต่อ เสริมแกร่ง 7-11 รับเทรนด์ตลาดเปลี่ยน เทคโนโลยีดิสรัปต์พฤติกรรมผู้บริโภค นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา “ธุรกิจค้าปลีกประจำปี 2020 จับกระแส Modern Trade ยุคใหม่ ทำกำไรด้วย O2O” ที่จัดโดยซีพี ออลล์ และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ว่า การเข้ามาของเทคโนโลยีไม่เพียงแต่ดิสรัปต์ธุรกิจ แต่ยังดิสรัปต์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้น้ำหนักกับความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว มีความคาดหวังสูง มีการศึกษาเปรียบเทียบข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค้าปลีกต้องปรับตัวรับกับความต้องการที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปสู่แพลตฟอร์มใหม่ ๆ โดยเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ คือการค้าแบบ O2O หรือ offline to online-online to offline จะเห็นได้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีร้านค้าปลีกที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป จนทำให้ต้องปิดตัวลงเป็นจำนวนมากในสหรัฐ ส่วนผู้ที่ปรับตัวได้จะขยับเข้ามาในออนไลน์มากขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในโลกออนไลน์ก็ไม่สามารถหยุดแค่การขยายตัวเฉพาะช่องทางนี้เท่านั้น แต่ยังต้องการร้านค้าปลีกออฟไลน์ (physical store) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็น อาลีบาบาที่เข้าซื้อ Herma Market หรือ Sun Artตลอดจนอเมซอน ที่ซื้อ Whole Food, Walgreens หรือการพัฒนาร้าน amazongo ขึ้น “ค้าปลีกยุคใหม่จะอยู่รอดต้องผสมผสาน offline-online โดยออนไลน์คือช่องทางที่สะดวก รวดเร็ว ซื้อได้ทุกที่ทุกเวลา ส่วนออฟไลน์คือการที่ลูกค้าสามารถที่จะเห็นของ ได้ลองสินค้า หากสามารถเชื่อมต่อทั้งสองช่องทางเข้าด้วยกันก็จะสามารถเพิ่มฐานลูกค้า เพิ่มยอดขายได้” นายปิยะวัฒน์ย้ำว่า ที่สำคัญคือความสะดวกจะต้องเข้าไปตอบโจทย์ในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการขาย การจ่าย ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีจำนวนมากที่รองรับ อาทิ แคชออนดีลิเวอรี่, อีเพย์เมนต์, โมบายแอป เป็นต้น ตลอดจนการส่ง และการรับสินค้า ที่ผู้ประกอบการจะต้องให้ความสำคัญเรื่องความเร็ว เพื่อชนะใจทั้งผู้บริโภคและการแข่งขันเพื่อรับกับโอกาสดังกล่าว บริษัทได้พัฒนาแพลตฟอร์มของ O2O ผ่านธุรกิจของ 24 ช็อปปิ้ง ซึ่งปัจจุบันได้เข้าไปอยู่ทั้งในช่องทางหน้าร้าน (7-11) แค็ตตาล็อก รวมถึงช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นโมบายแอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ ปัจจุบันมีสินค้าวางจำหน่ายกว่า 6 หมื่นรายการ มีความสะดวกในการสั่งและส่งโดยลูกค้าสามารถเลือกรับได้ทั้งสาขาของเซเว่นฯที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 11,500 สาขา หรือที่บ้าน นอกจากนี้ ข้อมูลการจับจ่ายที่เกิดขึ้นยังทำให้บริษัทสามารถรู้อินไซต์ความต้องการของลูกค้า และทำให้สามารถบริหารสต๊อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพ เช่น สินค้าขายดีก็จะสั่งเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ไม่เสียโอกาสในการขาย หรือสินค้าที่ขายดีในออนไลน์ ก็จะนำมาวางขายที่หน้าร้านเพื่อเพิ่มยอดขายได้ หรือลูกค้าสั่งสินค้าแล้วมารับที่สาขาใดมาก ๆ ก็จะทำให้เห็นศักยภาพของทำเลนั้น เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการอื่น ๆ เข้าไปตอบโจทย์ต่อไป สำหรับธุรกิจของ 24 ช็อปปิ้งในปีที่ผ่านมามีการเติบโต 27% สูงกว่าภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตประมาณ 15% และถือเป็นผู้เล่น top 10 ในตลาด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-368925

จำนวนผู้อ่าน: 1660

09 กันยายน 2019

ประท้วงฮ่องกงยกระดับความรุนแรง ยืดเยื้อสู่สัปดาห์ 13 (ภาพชุด)

รอยเตอร์ส รายงานว่า เหตุประท้วงรัฐบาลฮ่องกงซึ่งยืดเยื้อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 13 แล้ว ได้ยกระดับความรุนแรงดุเดือดขึ้นอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่31สิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยังปะทะกันในหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณรถไฟฟ้าใต้ดินหลายสถานี โดยรายงานระบุว่า เจ้าหน้าที่หน่วยยุทธการพิเศษ รู้จักกันนามว่า “แร็พเตอร์” ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งใช้วิธีการปฏิัติที่รุนแรงต่อผู้ชุมนุมหัวรุนแรง เช่น ใช้รถปืนฉีดน้ำแรงดันสูงสกัดกั้นระเบิดขวดของผู้ชุมนุม และใช้ไม้กระบองทุบผู้ประท้วงที่ต่อต้านการควบคุมอย่างหนัก ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายสิบคน และผู้ควบคุมตัว ทั้งนี้ ผู้ชุนนุมยังได้จุด “เปลวเพลิง” ซึ่งเป็นเชิงสัญลักษณ์ในการต่อต้านขึ้นในหลายจุด ขณะที่การปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ ทำให้ถนนบางสายและอาคารบางแห่งได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากไฟลุกไหม้ รายงานระบุว่า ก่อนหน้านี้ นายโจชัว หว่อง ได้ถูกควบคุมตัวและเตรียมจะถูกนำตัวไปดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ประท้วงคนรุ่นใหม่ยังคงเคลื่อนไหวต่อไป ขณะที่ต่อมาตำรวจฮ่องกง ปล่อยตัวนายโจชัว หว่อง และนางสาวแอกเนส โจว จากพรรคเดโมซิสโตเป็นการชั่วคราว ซึ่งหลังจากเป็นอิสระ นายโจชัว หว่อง ประกาศว่าจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป พร้อมทั้งเตือนประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเกี่ยวกับการใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงในฮ่องกง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-366699

จำนวนผู้อ่าน: 1795

02 กันยายน 2019

กรมชลฯเร่งเดินหน้า “อ่างเก็บน้ำห้วยรี” ช่วยเกษตรอุตรดิตถ์

เร่งสร้าง - กรมชลประทานเร่งก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ เพื่อการเพาะปลูก กรมชลประทานเร่งอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรี อุตรดิตถ์ โครงการก้าวหน้าแล้วกว่า 50% มุ่งสร้างอาชีพประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมควบคู่การจัดการน้ำ นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อตอบสนองความต้องการน้ำ โดยเฉพาะเพื่อการเพาะปลูกพืช หรือเพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งมีการดำเนินการด้านการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ควบคู่ไปกับโครงการ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 จนถึงปัจจุบันนั้น ล่าสุดมีความคืบหน้าของโครงการมากกว่า 50% แบ่งเป็นความก้าวหน้าโครงการทั้งหมดแผนงาน 59.668% ผลงาน 54.544% ช้ากว่าแผนงาน 5.124% โดยแบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ ดังนี้ 1.เขื่อนหัวงานและอาคารประกอบพร้อมอุโมงค์ส่งน้ำ เริ่มดำเนินงานเมื่อ 1 พฤษภาคม 2555 คาดว่าจะแล้วเสร็จวันที่ 28 กันยายน 2563 เสร็จสิ้นแล้ว 86.890% ช้ากว่าแผนงานอยู่ที่ราว 3.815% 2.ระบบท่อส่งน้ำและอาคารประกอบ สัญญาที่ 1 เริ่มดำเนินการวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 จะสิ้นสุดสัญญาวันที่ 17 ธันวาคม 2562 เสร็จสิ้นแล้ว 83.150% ช้ากว่าแผนงาน 9.182% 3.ระบบท่อส่งน้ำและอาคารประกอบ สัญญาที่ 2 เริ่มดำเนินงานวันที่ 8 สิงหาคม 2561 จะสิ้นสุดสัญญาวันที่ 27 กรกฎาคม 2563 ปัจจุบันแล้วเสร็จทั้งสิ้น 48.415% ช้ากว่าแผนงานราว 7.269% 4.งานปรับปรุงภูมิทัศน์ บริเวณหัวงาน ระยะที่ 1 เริ่มสัญญาวันที่ 1 สิงหาคม 2561 สิ้นสุดสัญญาไปเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ 5.งานปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณหัวงาน ระยะที่ 2 เริ่มดำเนินงานตามสัญญาวันที่ 12 มีนาคม 2562 และจะสิ้นสุดสัญญาวันที่ 7 กันยายน 2562 ดำเนินการแล้ว 30.20% ช้ากว่าแผนงาน 54.781% 6.ระบบท่อส่งน้ำสายซอยและอาคารประกอบ เป็นงานดำเนินการเอง ดำเนินการแล้ว 89.10% ช้ากว่าแผนงาน 0.9% 7.งานป้องกันการกัดเซาะท้ายอาคารระบายน้ำล้น เป็นงานดำเนินการเอง ดำเนินการแล้ว 20.918% ช้ากว่าแผนงาน 41.082% “นอกเหนือจากการจ่ายค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สิน กรมชลประทานยังได้จัดเวทีประชาคมใน 5 หมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 เพื่อสนับสนุนด้านอาชีพ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน รวมไปถึงเน้นการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม มีความหลากหลาย และเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ในชุมชน ผ่านวิทยากรที่มีความรู้” นายเฉลิมเกียรติกล่าว ในส่วนมาตรการการป้องกันแก้ไขและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น กรมชลประทานได้มีแผนการป้องกันแก้ไข และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมรองรับ ทั้งหมด 27 แผน แบ่งเป็น 1.แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม 10 แผน 2.แผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม 17 แผน ระยะเวลาดําเนินการ รวมทั้งหมด 10 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2555 จนถึง พ.ศ. 2564 หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหมด 14 หน่วยงาน นายเฉลิมเกียรติยังกล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของกรมชลประทานที่สามารถเห็นได้ชัดนั้น แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ได้แก่ งานด้านการปลูกป่าทดแทน อนุรักษ์ป่าไม้ ดินและน้ำ ผ่านการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ดังนี้ 1.การจัดกิจกรรมปลูกป่าทดแทน รวม 4,395 ไร่ 2.การจัดกิจกรรมสร้างฝาย รวม 97 ฝาย เป็นฝายชะลอน้ำกึ่งถาวร 23 ฝาย ฝายชะลอน้ำผสมผสาน 23 ฝาย และ 3.การบำรุงป่า ปีที่ 4-6 รวมถึงบำรุงรักษาระบบนิเวศต้นน้ำ 2-6 ปี อีกทั้งยังมีการดำเนินการด้านการป้องกันการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน ซึ่งทางกรมชลประทานได้ร่วมป้องกัน ปราบปราม และประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนในบริเวณลุ่มน้ำรี เพื่อให้มีความร่วมมือกับภาครัฐในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ให้มีน้ำอุปโภคบริโภคอย่างยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้นกรมชลประทานมิได้ละเลยทรัพยากรธรรมชาติสัตว์ป่า โดยหลังจากดำเนินโครงการดังกล่าว ได้มีการตรวจสอบลาดตระเวนเก็บข้อมูลทรัพยากรสัตว์ป่าในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำรี และตรวจสอบพื้นที่ที่สัตว์ป่าติดค้าง จากนั้นย้ายสัตว์ป่าไปไว้ในบริเวณที่เหมาะสมอีกด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-366850

จำนวนผู้อ่าน: 1720

02 กันยายน 2019

“สุริยะ” เจอจุดอ่อนเวียดนาม นักลงทุนโอดกฎหมาย-สิทธิประโยชน์ไม่นิ่ง ค่าแรง+สวัสดิการเกือบเท่าไทย

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลัง เดินทางไปประเทศเวียดนาม และหารือกับคณะผู้บริหาร คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ภาคเอกชน สถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในเวียดนาม ณ สถานกงสุลใหญ่ประจำประเทศเวียดนาม ว่าที่ประชุมได้มีการรับฟังบรรยายสรุปและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม และมาตรการส่งเสริมการลงทุนระหว่างไทย-เวียดนาม เพื่อให้ได้รับรู้ว่านักลงทุนต้องการอะไร หรือได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้างในการเข้าไปลงทุนที่เวียดนาม เพื่อเป็นแนวทางให้ไทยนำไปกำหนดสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์ตรงกับความต้องการนักลงทุน โดยไทยจะให้มากกว่าแบบมาตรการต่อมาตรการ ซึ่งจุดอ่อนของเวียดนาม คือ กฎหมายการลงทุนบางข้อเขียนไว้คลุมเครือ แม้ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของเวียดนามจะอยู่ในระดับต่ำกว่าไทย แต่ยังมีค่าสวัสดิการต่างๆ ที่ต้องนำมานับรวมเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการด้วยเช่นกัน ที่เมื่อเทียบแล้วต่ำกว่าไทยไม่มาก ปี 2561 ไทยอยู่ที่ 6,630-8,605 บาท/เดือน เวียดนามอยู่ที่ 4,679-6,747 บาท/เดือน และที่สำคัญสิทธิประโยชน์ทางภาษีส่งเสริมการลงทุนนั้นมีโควต้าจำกัด เมื่อผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในเวียดนาม กลับไม่ได้สิทธิประโยชน์จริง แต่อย่างไรก็ตาม เวียดนามก็ยังคงมีจุดแข็ง นั่นคืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตประมาณ 6-7% มีทรัพยากรธรรมชาติยังสมบูรณ์ ต้นทุนค่าไฟฟ้าถูก มีการเปิดการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) ต่างชาติมีสิทธิ์เช่าที่ดินฟรีหากลงทุนแล้วช่วยพัฒนาจังหวัดที่อยู่ไกลๆ และยังพบว่านักธุรกิจของเวียดนาม ที่มีเงินทุนสูงและศักยภาพพร้อมออกไปลงทุนยังต่างประเทศ ซึ่งไทยจะใช้โอกาสนี้ดึงการลงทุนให้เข้ามายังธุรกิจท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน จากนี้จึงสั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กลับไปสรุปสถานการณ์และผลการหารือครั้งนี้ทั้งหมด เพื่อเป็นแนวทางกำหนดแผนดึงดูดการลงทุนเข้าไทยก่อนนำเสนอให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ พิจารณาภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อเสนอเป็นนโยบายต่อรัฐบาลต่อไป นอกจากนี้นายสุริยะ ยังได้เยี่ยมชม บริษัท ซีพี เวียดนาม (บริษัทแปรรูปอาหาร) ซึ่งได้พบว่าเอกชนไทยที่ลงทุนในเวียดนามนั้นได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างไรบ้าง อุปสรรค และการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างไร ซึ่งทางซีพีมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน ทั้งธุรกิจเลี้ยงสัตว์บก หมู ไก่ ปลา กุ้ง ธุรกิจแปรรูปอหาร ธุรกิจภัตตาคาร และธุรกิจโรงอาหารสำหรับพนักงาน (Canteen) ที่เริ่มเข้าสู่โรงงานในนิคมอุตสาหกรรม และด้วยซีพีมีนโยบายด้านการส่งเสริมอาชีพให้ประชาชนในท้องถิ่น การตอบแทนสังคม (CSR) ทำให้ทางรัฐบาลเวียดนามให้การต้อนรับนักลงทุนไทยเป็นอย่างดี ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-366857

จำนวนผู้อ่าน: 1925

02 กันยายน 2019

เฟรเซอร์สฯปิดเกมควบ “โกลด์” ต่อยอดอสังหาเจ้าสัวครบวงจร

“FPT-เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย)” ปิดดีลซื้อกิจการ “โกลเด้นแลนด์-GOLD” ถือหุ้นใหญ่ 94.5% รวมมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดของ GOLD+FPT ทำให้บริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์รวม 9 หมื่นล้านบาท ต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจอสังหาฯครบวงจร นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า FPT ประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “GOLD-โกลเด้นแลนด์” จากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการโดยสมัครใจ (voluntary tender offer) จำนวนรวม 94.5% ในราคาหุ้นละ 8.50 บาท “ความสำเร็จในการควบรวมกิจการในครั้งนี้ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้แก่ FPT ทั้งในตลาดเมืองไทยและภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์จากการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มธุรกิจอื่นที่มีความหลากหลายมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการใช้ประโยชน์ของที่ดินรอพัฒนาและสินทรัพย์ต่าง ๆ ต่อจิ๊กซอว์การเป็นผู้นำแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร” สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรก (1 ตุลาคม 2561-30 มิถุนายน 2562) กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ มียอดรายรับรวม 4,707 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,419 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 106% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 1,038 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 474 ล้านบาท หรือ 84% ปัจจุบัน FPT มีอัตราพื้นที่เช่าโรงงานและคลังสินค้า 81% และเป็นผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม “FTREIT” กองทรัสต์อุตสาหกรรมมูลค่าสินทรัพย์ 36,000 ล้านบาท ล่าสุดจับมือกับเซ็นทรัล รีเทล พัฒนาโปรเจ็กต์ใหญ่รูปแบบ build-to-suit ในโครงการโลจิสติกส์แคมปัสระดับเวิลด์คลาสแห่งแรกของประเทศไทย อนึ่ง FPT และโกลเด้นแลนด์ เป็นธุรกิจในเครือกลุ่มเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี โดยมีนายปณต สิริวัฒนภักดี เป็นผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ การควบรวมกิจการเป็นการจัดระเบียบพอร์ตเพื่อนำไปสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีครบทุกประเภท ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย คอมเมอร์เชียล และอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจของยักษ์ใหญ่วงการอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศทั่วโลก ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-366844

จำนวนผู้อ่าน: 1662

02 กันยายน 2019

ค่า​เงิน​บาท​เปิด​ 30.64 บาท​/​ดอลลาร์​ จับตาตัวเลขจ้างงาน​สหรัฐ-เอฟเฟ็กต์​เทรดวอร์

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า​ ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้​ (2​ ก.ย.)​ ที่ระดับ 30.64 บาท​ต่อ​ดอลลาร์​สหรัฐ อ่อน​ค่าจากช่วงปิดสิ้นสัปดาห์ก่อนที่ระดับ 30.57 บาทต่อดอลลาร์​สหรัฐ โดย​กรอบค่าเงินบาทวันนี้​อยู่​ระหว่าง​ 30.58-30.68 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ ส่วน​กรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้อยู่ที่ 30.30-30.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ สำหรับสัปดาห์นี้ ประเด็นที่ต้องติดตามจะกลับมาเป็นตัวเลขเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝั่งสหรัฐ ที่มีรายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อทั้งในและนอกภาคการผลิต จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ตลาดจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบและนักลงทุนจะระมัดระวังตัวก่อนรายงานตัวเลขดังกล่าว ขณะเดียวกัน ก็ต้องจับตาแรงขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงในฝั่งเอเชีย เนื่องจากในระยะสั้น ทั้งสหรัฐและจีน ไม่มีทีท่าที่จะสามารถหาข้อตกลงยุติสงครามการค้ากันได้ และถ้าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดนัลด์ ทรัมป์ ก็จะสามารถกดดันทั้งเฟดและจีนได้ต่อ ส่งผลให้ผลตอบแทน​พันธบัตร​ (บอนด์ยีลด์)​ สหรัฐทรงตัวในระดับต่ำแต่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ด​ร.จิติพล​ กล่าวอีกว่า​ ในสัปดาห์นี้ ตลาดการเงินจะเริ่มเข้าสู่ช่วงที่สหรัฐจะเก็บภาษี 15% จากสินค้าจีน เช่น เสื้อผ้าและรองเท้า มูลค่า 1.25 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนจีนก็เรียกเก็บภาษี 5%-10% บนน้ำมันดิบและสินค้าเกษตร ซึ่งไม่เป็นบวกกับทิศทางการลงทุน ขณะที่ฝั่งไทย กระทรวงพาณิชย์มีกำหนดรายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนสิงหาคมในวันจันทร์ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 0.70% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในส่วนของเศรษฐกิจทั่วโลก ภาพสงครามการค้าที่รุนแรงจะถูกสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีน (Caixin Mfg. PMI) โดยดัชนีประจำเดือนสิงหาคม มีกำหนดรายงานในวันจันทร์ คาดว่าจะปรับตัวลดลงสู่ 49.8 จุด ซึ่งถือว่าเข้าสู่ช่วงถดถอยแล้ว ต่างจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (ISM Mfg. PMI) และภาคการบริการในสหรัฐ (ISM Services PMI) ที่จะรายงานในวันอังคารและวันพฤหัสนี้ ที่คาดว่าจะทรงตัวได้ที่ระดับ 51.5 จุด และ 53.8 จุด ชี้ว่าผู้ประกอบการณ์สหรัฐไม่ได้ถูกภาษีการค้ากดดันหนักเหมือนฝั่งจีน ประเด็นสำคัญของสัปดาห์นี้ในวันศุกร์ โดยจะมีการรายงานตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐ ที่คาดว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Non-fam Payrolls) จะเพิ่มขึ้นหนึ่งแสนตำแหน่ง ค่าจ้างเฉลี่ยรายสัปดาห์จะเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อน และอัตราว่างงานมีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับ 3.7% ถือว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีพื้นฐานการขยายตัวที่แข็งแกร่ง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-366841

จำนวนผู้อ่าน: 1638

02 กันยายน 2019

นักท่องเที่ยวล้นสนามบินไทย ทอท.เร่งยกระดับ”ดิจิทัลแพลตฟอร์ม”

นักท่องเที่ยวล้น - บรรยากาศภายในสนามบินหลักของไทย โดยเฉพาะสุวรรณภูมิและดอนเมือง ที่ปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการจำนวนมาก ขณะที่การขยายเฟสใหม่รองรับเกิดความล่าช้า ทำให้เกิดปัญหาความแออัดในบางช่วง บางเวลาอยู่ในขณะนี้ อมาเดอุสฯชี้สนามบินไทยใกล้แตก-นักท่องเที่ยวล้น แนะใช้เทคโนโลยีเพิ่มโฟลว์ภายในสนามบิน หนุนโครงสร้างพื้นฐานจากสนามบินสู่ตัวเมืองแนะภาครัฐจับมือเอกชนตั้ง “บริษัทพัฒนาเมือง” ยกระดับการท่องเที่ยว ฟากทอท.เร่งยกระดับสนามบินสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม คลอดเฟสแรกก่อนสิ้นปีนี้ นายไซมอน เอครอยด์ รองประธานกรรมการ ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท อมาเดอุส เอเชีย จำกัด ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการเดินทาง เปิดเผยว่า จากรายงาน “ประเทศไทยสู่ปี 2030 : จับกระแสอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ที่บริษัทได้จัดทำร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) และสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก(พาต้า) แสดงให้เห็นว่าในขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยเติบโตขึ้นถึง 6% ในปี 2561 แต่ความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสารของสนามบินต่าง ๆ ในประเทศกำลังจะถึงเพดานสูงสุด รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเริ่มได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากเกินไป (overtourism) จนอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน   แนะปรับด่วน 4 เรื่องใหญ่ ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาสนามบินและการเชื่อมต่อ เพื่อขับเคลื่อนรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต   ทั้งนี้ พบว่าประเด็นหลักที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร (capacity) ของสนามบิน การพัฒนาระบบการเชื่อมต่อระหว่างสนามบินและเมือง การผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อยกระดับประสิทธิภาพเครือข่ายการคมนาคมในเขตเมือง และการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง ซึ่งล้วนต้องอาศัยการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะไปประยุกต์ใช้ เร่งบริหารจัดการสนามบิน โดยในด้านการเพิ่มขีดความสามารถของสนามบินในการรองรับนักท่องเที่ยวนั้น นายไซมอนกล่าวว่า นอกเหนือจากแผนขยายอาคารสนามบินที่วางไว้ ไทยจำเป็นจะต้องพัฒนาระบบการจัดการผู้โดยสาร ปรับเปลี่ยนกระบวนการเคลื่อนย้ายผู้โดยสารภายในอาคารสนามบิน โดยหันมาอาศัยระบบการเช็กอินด้วยตนเองผ่านคีออสก์ เครื่องดรอปกระเป๋าอัตโนมัติและการยืนยันตัวตนผ่านระบบไบโอเมทริกซ์ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้ายผู้โดยสารมากขึ้น รวมถึงควรพิจารณาเปิดให้บริการเช็กอินและดรอปสัมภาระนอกสนามบินสำหรับสนามบินที่มีผู้โดยสารหนาแน่น ส่วนการพัฒนาระบบเชื่อมต่อระหว่างสนามบินสู่เมืองถือเป็นส่วนสำคัญที่ควรจะเร่งพัฒนาเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในเซ็กเมนต์ที่น่าจับตา อาทิ ธุรกิจ MICE โดยนอกเหนือจากการเชื่อมต่อระบบรางระหว่างสนามบินกับศูนย์ประชุมโดยตรง เพื่อผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรม MICE ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงแล้ว ควรจัดตารางเวลารถไฟและเที่ยวบินให้สอดคล้องกับเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการประชุมด้วย ยกระดับระบบขนส่งมวลชน  นอกจากนั้น ไทยจำเป็นที่จะต้องผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อยกระดับระบบขนส่งในเขตเมืองด้วยระบบการสัญจรอัจฉริยะ (smart mobility)อาทิ ระบบการจราจรแบบเรียลไทม์ สัญญาณไฟจราจร หรือการให้บริการของผู้ประกอบการเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (sharing economy) เช่น รถรับส่ง Grabและ Get เพื่อให้การเดินทางในเมืองลดความแออัดและมลพิษลง อย่างไรก็ตาม การผลักดันการขนส่งเขตเมืองจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยอาจจะเป็นในลักษณะของบริษัทพัฒนาเมือง ส่วนเรื่องการลดผลกระทบด้านลบของการท่องเที่ยวเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนนั้นนายไซมอนกล่าวว่า ไทยควรทำให้หน่วยงานและผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ และการวางโมเดลด้วยเทคนิคการทำนายข้อมูล (predictive modeling)เนื่องจากหากนำมาใช้อย่างเป็นระบบเพราะข้อมูลเหล่านี้จะไม่เพียงช่วยในการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวเท่านั้นแต่ยังช่วยในการวางแผนหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาตั๋ว ไปจนถึงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายการท่องเที่ยวระยะยาว ทอท.ทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ขณะที่นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ ทอท.อยู่ระหว่างการทรานส์ฟอร์มองค์กรและท่าอากาศยานในความดูแลทั้ง 6 แห่งสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ภายใต้ชื่อ AOT Digital Airport โดยเฟสแรกจะนำเทคโนโลยีเข้ามาจับกับเครื่องมือที่มีอยู่เดิมด้วยแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เพื่อให้การเคลื่อนตัวของผู้โดยสารในสนามบินไม่ติดขัด อาทิ ฟังก์ชั่นตรวจสอบพร้อมแจ้งเตือนไฟลต์และการเช็กอิน ฟังก์ชั่นตรวจสอบที่จอดรถ และฟังก์ชั่นขนส่งสาธารณะ โดยแอปดังกล่าวจะเปิดใช้งานอย่างเต็มที่ได้ภายในสิ้นปีนี้ และจะมีช่วงเวลาทดลองใช้ประมาณ 3-4 เดือน เพื่อตรวจสอบปริมาณและสเกลของผู้ใช้งานสนามบินที่มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี สำหรับการขยับการทรานส์ฟอร์มไปอีกขั้นด้วยการซื้อฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ อาทิ หุ่นยนต์อัจฉริยะ มาอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการและเพิ่มโฟลว์ของสนามบินให้คล่องตัว ลดคอขวด และยกระดับขีดความสามารถของสนามบินในอีกทางหนึ่งด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-366832

จำนวนผู้อ่าน: 1584

02 กันยายน 2019

“เซ็นทรัล”เขย่าสุวรรณภูมิ ชิงกำลังซื้อท่องเที่ยว62ล้านคน

ทำเลสุวรรณภูมิร้อนฉ่า ห้างดังตบเท้าขยายฐานชิงกำลังซื้อนักท่องเที่ยวไทย-ต่างชาติผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ 62 ล้านคน ศึกยักษ์ชนยักษ์แค่พักยก ศาลปกครองคุ้มครองชั่วคราวเปิด “เซ็นทรัล วิลเลจ” 31 ส.ค. สั่ง ทอท.เปิดทางเข้า-ออก คดียังเดินหน้าต่อ ทอท.ดิ้นแก้ข้อกล่าวหา โดนฟ้องเรียกค่าเสียหาย 150 ล้าน จี้ “การบินพลเรือน” ชี้ขาด 6 ประเด็นเน้นความปลอดภัยการบิน “ศักดิ์สยาม” เร่ง 4 หน่วยงานเคลียร์ สัปดาห์หน้าได้ข้อสรุป ประเด็นข้อพิพาทปัญหาความปลอดภัยการบิน กับข้อกล่าวหาบุกรุกที่ดินราชพัสดุบริเวณไหล่ทางของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 สายทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้านถนนเทพรัตน (บางนา-หนองไม้แดง) ระหว่าง บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.-AOT) เดินหน้าชน บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN เจ้าของโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ กลายเป็นศึกช้างชนช้างหลังยักษ์ใหญ่ธุรกิจศูนย์การค้าไม่ยอมเป็นเป้านิ่ง ยื่นฟ้อง บมจ.ทอท. ต่อศาลปกครองกลาง กล่าวหาว่ากระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกระทำการละเมิด พร้อมยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี ขณะเดียวกันก็ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันเปิดตัว อย่างเป็นทางการวันที่ 31 ส.ค. 2562 เซ็นทรัลเฮ ศาลสั่งคุ้มครอง   ล่าสุดวันที่ 30 ส.ค. ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ บมจ.ท่าอากาศยานไทย รื้อถอนสิ่งกีดขวางออกจากเขตทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 บริเวณทางเข้า-ออกหน้าโครงการ และยุติการดำเนินการใด ๆ อันเป็นการขัดขวาง รบกวน หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ในโครงการดังกล่าว ศาลเห็นว่า ข้ออ้างของ บมจ.ท่าอากาศยานไทยที่ว่า โครงการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 และก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านการเงิน เศรษฐกิจ และการให้บริการสาธารณะต่าง ๆ ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น นอกจากนี้ บริเวณที่พิพาทเป็นเขตทาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง บมจ.ท่าอากาศยานไทยเป็นเพียงหน่วยงานที่ได้รับสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุเท่านั้น มิได้มีอำนาจอื่นเกี่ยวกับที่ราชพัสดุดังกล่าว ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ตามคำขอของ บมจ.เซ็นทรัลฯ จึงไม่เป็นการเสียหายหรือเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย เรียกค่าเสียหาย ทอท. 150 ล้าน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทางซีพีเอ็นก็ส่งจดหมายยืนยันถึงสื่อมวลชนว่า จะเปิดให้บริการวันที่ 31 ส.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 10.30-22.00 น. ทั้งนี้ ในการฟ้องร้อง เซ็นทรัลพัฒนาขอให้ศาลพิจารณาเรียกค่าเสียหายจากการดำเนินการของ ทอท.กว่า 150 ล้านบาท รวมทั้งดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง จนถึงวันที่ผู้ถูกฟ้องชำระเสร็จสิ้น การพิจารณาคดียังเดินหน้าต่อ ขณะเดียวกันในส่วนของการพิจารณาคดี แม้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองตามที่เซ็นทรัลร้องขอ คดีก็ยังดำเนินไปตามกระบวนการ โดยศาลจะไต่สวนข้อเท็จจริง รวมทั้งพยานหลักฐานของทั้ง 2 ฝ่าย จากนั้นจึงจะมีคำพิพากษา ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมโยธาธิการและผังเมือง องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ในฐานะเป็นเจ้าของพื้นที่ รวมทั้งเป็นผู้ออกใบอนุญาตก่อสร้าง ก็ต้องตรวจสอบว่าการก่อสร้างโครงการดังกล่าวถูกต้องกฎหมายผังเมือง กฎหมายควบคุมอาคาร ฯลฯ หรือไม่ ขัดผังเมืองถอนใบอนุญาต นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เซ็นทรัล วิลเลจ สร้างอยู่บนพื้นที่สีเขียว (ที่ดินประเภทเกษตรกรรม) บริเวณ ก 1-10 ในเขตของ อบต.บางโฉลง ตามข้อกำหนดผังเมืองรวมสมุทรปราการ สร้างอาคารขนาดใหญ่ได้ไม่เกิน 2,000 ตร.ม. และให้สามารถพัฒนาพื้นที่กิจกรรมรองไม่เกิน 10% ถ้าไม่เกินก็ไม่ติดผังเมือง แต่การยื่นขออนุญาตต้องทำตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทาง อบต.บางโฉลงกำลังตรวจสอบว่า โครงการดังกล่าวใช้พื้นที่ก่อสร้างกิจกรรมรองเกิน 10% หรือไม่ ถ้าเกินทางหน่วยงานท้องถิ่นต้องดำเนินการตามกฎหมาย คือ เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง ตั้งข้อสังเกตซอยย่อยใบอนุญาต ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นโดยพิจารณาข้อเท็จจริงกับบทบัญญัติกฎหมาย มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เซ็นทรัล วิลเลจ ที่ทุ่มงบฯลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 100 ไร่ มีขนาดพื้นที่ 40,000 ตร.ม. และสร้างอยู่บนพื้นที่สีเขียวนั้น บริษัทน่าจะตัดแบ่งขออนุญาตก่อสร้างเป็นรายอาคาร เพราะตามกฎหมายผังเมืองสร้างได้ไม่เกิน 2,000 ตร.ม.เท่านั้น ส่วนนี้ต้องตรวจสอบก่อนชี้ขาดว่า ดำเนินการฝ่าฝืนกฎหมายผังเมือง หรือกฎหมายควบคุมอาคารหรือไม่ กพท.ยืนยัน 6 ประเด็น ขณะที่นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เปิดเผยว่า ที่ตั้งของเซ็นทรัล วิลเลจ แม้อยู่นอกสนามบิน แต่อยู่ในเขตความปลอดภัยทางการบิน เพราะห่างจากหัวรันเวย์สนามบินประมาณ 1 กม. ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.เดินอากาศ 2497 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หลัง ทอท.ทำหนังสือสอบถามเรื่องกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ 1.การรบกวนสัญญาณเครื่องช่วยในการเดินอากาศ 2.แสงไฟภายนอกสนามบิน อันส่งผลต่อการปฏิบัติการบิน ที่ต้องมีการควบคุมตามข้อกำหนด ICAO 3.กิจกรรมที่อาจเกิดมีควัน ที่ส่งผลให้ทัศนวิสัยสนามบินลดลง โดยเฉพาะการมองเห็นทางวิ่งในแนวร่อนลง 4.กิจกรรมที่อาจนำไปสู่การนำนกมาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว 5.laser emission free zone ที่ต้องมีการควบคุมออกไปภายนอกสนามบินตามข้อกำหนด ICAO และ 6.กิจกรรมอันส่งผลต่อแผนแม่บทและแผนพัฒนาสนามบิน ย้ำกระทบสนามบินสุวรรณภูมิ “เซ็นทรัล วิลเลจอาจกระทบต่อสนามบินของ ทอท. แม้กิจกรรมอยู่ภายนอกสนามบิน แต่ใกล้เคียงสนามบิน และอยู่นอกเหนือการกำกับของ ทอท.” นายนิตินัยกล่าวว่า สำหรับการเปิดทางเชื่อมหน้าโครงการกับถนนสาย 370 ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุที่ ทอท.ได้รับมอบจากกรมธนารักษ์ให้เป็นผู้ดูแล ต้องรอกรมโยธาธิการและผังเมืองตรวจสอบเรื่องการก่อสร้างบนพื้นที่สีเขียว กับการตรวจสอบของ อบต.บางโฉลง เรื่องการออกแบบและอนุญาตก่อสร้างว่าถูกต้องหรือไม่ เบื้องต้นต้องเคลียร์เรื่องกฎหมายก่อน เพราะ ทอท.ไม่ใช่ผู้ถือกฎหมายจะได้ชี้เป็นชี้ตายใครได้ เลเซอร์-หมอกควัน-ขยะรบกวน ด้านนายสมนึก รงค์ทอง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวว่า กิจกรรมที่ห้าม เช่น ปล่อยแสงเลเซอร์หรือแสงไฟขึ้นสู่อากาศ การปล่อยคลื่นเสียง คลื่นวิทยุ หรือคลื่นแฮรตเซียน ซึ่งเป็นแม่เหล็กไฟฟ้า การใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีการปล่อยคลื่นไฟฟ้า และกิจกรรมอื่นตามที่ผู้อำนวยการ กพท.ประกาศกำหนด “เซ็นทรัลจะต้องเช็กกับ กพท.ว่าทำอะไรได้บ้าง เช่น กิจกรรมที่อาจเกิดควัน หรือขยะที่ดึงดูดนก ปล่อยแสงเลเซอร์ เนื่องจากว่าแสงเลเซอร์อาจส่งผลกระทบต่อการมองของนักบิน และนกอาจกระทบต่อเครื่องบิน ต้องพิจารณาและควบคุมกิจกรรมให้เหมาะสม” นายสมนึกย้ำ จี้เซ็นทรัลแจงอีเวนต์ ส่วนนายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า ต้องรอเซ็นทรัลแจ้งว่าจะมีกิจกรรมอะไรบ้าง เพราะที่ผ่านมาตรวจสอบเรื่องความสูงการก่อสร้างที่ได้อนุญาตไปเท่านั้น หากพบว่าการดำเนินการในส่วนใดฝ่าฝืนกฎหมาย หรือทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบินก็ต้องออกประกาศห้ามเป็นเฉพาะราย เนื่องจาก กพท.ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และสภาพพื้นที่ของแต่ละสนามบิน ด้านการประปานครหลวง (กปน.) ชี้แจงว่า หลัง ทอท.มีหนังสือให้ระงับการต่อท่อน้ำประปาเข้าโครงการดังกล่าว จากก่อนหน้านี้ที่ได้รับอนุญาตให้ต่อท่อน้ำจากแขวงทางหลวงฯ กปน.ได้ระงับการต่อท่อประปาแบบถาวร แต่ยังให้เซ็นทรัล วิลเลจ ใช้น้ำประปาเป็นการชั่วคราวตามที่ร้องขอ ยันลูกค้าคนละกลุ่มกับดิวตี้ฟรี สำหรับความเคลื่อนไหวของเซ็นทรัล นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า การมี “ลักเซอรี่เอาต์เลต” ในประเทศไทย ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความแข็งแกร่ง สร้างขีดความสามารถให้ประเทศ ให้ไทยเป็น “ทัวริสต์เดสติเนชั่น” ดึงดูดการลงทุนแบรนด์ใหญ่ ๆ ต่างประเทศเข้ามา ช่วยดึงนักท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมถึงดึงกำลังซื้อจากคนไทย สร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจและภาษีให้ประเทศ “โครงการนี้ดำเนินการมาแล้ว 5 ปี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีที่กลุ่มเซ็นทรัลฯเข้าร่วมประมูลดิวตี้ฟรี ถ้าเปิดใจให้กว้าง ทุกประเทศก็มีเอาต์เลตมอลล์ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อเมริกา ซึ่งพอคนไปเอาต์เลตก็ซื้อสินค้าที่เอาต์เลต เมื่อไปสนามบินก็ซื้อสินค้าที่ดิวตี้ฟรี เนื่องจากสินค้าที่ขายเป็นคนละประเภทกัน สินค้าที่ขายในเอาต์เลตมอลล์เป็นสินค้าตกรุ่น ที่ดิวตี้ฟรีก็เป็นสินค้าอีกกลุ่ม ฐานลูกค้าก็เป็นคนละเซ็กเมนต์กัน” “สยามพิวรรธน์” แจมเค้ก ก่อนหน้านี้ นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมแล้วสำหรับการจะพัฒนาเอาต์เลต จึงได้ร่วมกับพาร์ตเนอร์ระดับโลก “ไซม่อน” เพื่อสร้างโครงการสยาม พรี่เมียม เอาท์เล็ต แบงค็อก หัวใจของการทำ “ลักเซอรี่เอาต์เลต” คือ การสร้างทราฟฟิกทุกวัน ทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ด้วยการผสมผสานกันไม่ได้พึ่งพาแค่กลุ่มนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเท่านั้น โครงการนี้จึงมีองค์ประกอบหลายส่วน ทั้งด้านการพักผ่อนกิจกรรม ความบันเทิง และร้านอาหาร ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า โครงการ “สยาม พรี่เมียม เอาท์เล็ต แบงค็อก” เป็นการร่วมทุนระหว่างไซม่อน กับกลุ่มสยามพิวรรธน์ บนพื้นที่ 150 ไร่ รวม 5 หมื่น ตร.ม. บริเวณทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี) กม.23 มีร้านค้ากว่า 200 ร้าน จะเปิดให้บริการเดือน ธ.ค.นี้ แหล่งข่าวจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า สาเหตุที่ห้างยักษ์ในประเทศไทยขยายฐานตลาดเจาะกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว นอกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยสนามบินสุวรรณภูมิเป็นประตูหลักที่นักท่องเที่ยวใช้เดินทางเข้าออกประเทศ ทั้งนี้ปี 2561 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยว คนเดินทางทั้งไทย ต่างชาติใช้สนามบินสุวรรณภูมิสูงถึงกว่า 62 ล้านคน ถือเป็นแหล่งรวมกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งที่ผ่านมาแหล่งซื้อหลักย่านนั้นคือดิวตี้ฟรีในสนามบิน ที่สำคัญที่ผ่านมารายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวเติบโตก้าวกระโดดเป็นเค้กก้อนใหญ่ที่เอกชนหมายตา จึงเห็นภาพความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนยักษ์ ห้างดังเข้ามาจับจองพื้นที่ใช้เป็นฐานเจาะกลุ่มกำลังซื้อนักท่องเที่ยวทั้งไทยต่างชาติมากขึ้น แข่งขันกันรุนแรงขึ้น คมนาคมเร่งสรุปกรรมสิทธิ์ถนน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมร่วมกระทรวงคมนาคมมีมติเห็นชอบ 2 ประเด็นกรณีเซ็นทรัล วิลเลจ ได้แก่ ทางถนน 370 ซึ่งเป็นทางเชื่อมของโครงการและมีข้อพิพาท ให้นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวง เชิญหน่วยงานที่มีการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ถนนสายนี้ทั้ง 4 หน่วยงาน ได้แก่ กรมทางหลวง (ทล.) ทย. ทอท. และกรมธนารักษ์ มาหารือจะได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์หน้า “เมื่อสรุปเจ้าภาพได้แล้ว CPN ต้องทำเรื่องขอมาใหม่ หาก ทล. เป็นเจ้าภาพ CPN ก็ไม่ต้องทำเรื่องขออนุญาต ทำทางเชื่อมใหม่ เพราะศาลปกครองได้สั่งคุ้มครองชั่วคราวไปแล้ว CPN สามารถทำเรื่องเสนอขออนุญาตย้อนหลังได้” เรื่องความปลอดภัยทางการบิน ซึ่งการอนุญาตก่อสร้าง เกิดขึ้นเมื่อปี 2561 แต่ พ.ร.บ.ทางเดินอากาศ (ฉบับที่ 14) 2562 มีผลบังคับใช้ทีหลัง และยังไม่ได้ประกาศเรื่องข้อกำหนดเพิ่มเติมเรื่องความปลอดภัยทางการบิน ขณะนี้มีแค่เรื่องความสูงของสิ่งปลูกสร้าง ควัน นก แสงไฟ คลื่นเสียง คลื่นวิทยุ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ปล่อยคลื่นไฟฟ้าเท่านั้น จึงให้ กพท.และ CPN ช่วยตรวจสอบ และทำหนังสือยืนยันตอบกลับมา และ CPN ต้องไปตรวจสอบเพิ่มเติมตามที่ กพท.จะมีประกาศข้อกำหนดออกมาภายหลังด้วย เพื่อให้ กพท.ทำรายงานเรื่องความปลอดภัยทางการบินให้ ICAO ตรวจสอบ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-366745

จำนวนผู้อ่าน: 1637

02 กันยายน 2019

“ดีลเลอร์นิสสัน”รวมกำลังสู้ โวยบริษัทแม่บีบเลิกสัญญา

เกมจัดระเบียบตัวแทนขายป่วน ! “ดีลเลอร์นิสสัน” รวมตัวยื่นร้องสำนักงานแข่งขันการค้า ชี้บริษัทแม่บีบให้เลิกกิจการ-สัญญาไม่เป็นธรรมบอร์ดแข่งขันรับเรื่อง เรียกทั้งสองฝ่ายเข้าให้ข้อมูลพิจารณาว่า เข้าข่ายตาม พ.ร.บ.แข่งขันหรือไม่ เตรียมตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบ ด้าน “นิสสัน มอเตอร์” แจงยังไม่ได้รับเรื่อง ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า หลังนายราเมช นาราสิมัน เข้ารับตำแหน่งประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อเดือนเมษายน 2562 บริษัทได้ประกาศยกเลิกการเป็นผู้จำหน่ายของดีลเลอร์บางราย โดยระบุว่าเป็นแผนยกระดับและปรับปรุงผู้จำหน่ายให้มีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยนโยบายเป็นไปตามแนวคิดของบริษัทแม่ที่ต้องการจัดสรรการแบ่งเขตการขายที่ได้เริ่มดำเนินการตามนโยบายปรับปรุงและจัดระเบียบดีลเลอร์มาตั้งแต่ปลายปี 2559 เป็นคอนเซ็ปต์เดียวกับเม็กซิโกและสหรัฐซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี ขณะที่ไทยเป็นประเทศแรกของเอเชียที่ทดลองนำรูปแบบนี้มาปรับใช้ ด้วยการแบ่งเขตการขาย ลดจำนวนดีลเลอร์ในแต่ละพื้นที่ หยุดจำหน่าย 8 ราย   ทั้งนี้ผู้แทนจำหน่ายที่ถูกหยุดดำเนินกิจการมีทั้งสิ้น 8 ราย ได้แก่ 1.บริษัท สยามนิสสัน ลำพูน จำกัด สาขาสำนักงานใหญ่ 2.บริษัท นอร์ทเวฟ จำกัด สาขาหนองตอง 3.บริษัท สยามนิสสัน อุดรธานี จำกัด สาขาถนนประจักษ์ 4.บริษัท สยามนิสสันขอนแก่น จำกัด สาขาสำนักงานใหญ่ 5.บริษัท สยามนิสสัน ตราด จำกัด สาขาสำนักงานใหญ่ 6.บริษัท สยามนิสสัน ทวีทรัพย์ จำกัด สาขาชัยนาท 7.บริษัท ยโสธร มอเตอร์ จำกัด สาขาสำนักงานใหญ่ และ 8.บริษัท สยามนิสสัน ที เค ซี ตาก จำกัด สาขาสำนักงานใหญ่ มีผลตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. 2562 ที่ผ่านมา ดีลเลอร์รถร้องบอร์ดแข่งขัน แหล่งข่าวจากวงการดีลเลอร์เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เนื่องจากดีลเลอร์นิสสันหลายรายได้รับความเดือดร้อนหนัก จากการที่บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่มีการบริหารดีลเลอร์อย่างไม่เป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจ ที่ผ่านมาถูกบีบให้ปิดกิจการไปแล้วส่วนหนึ่ง และที่เหลืออีกประมาณ 30 แห่งก็ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ทางผู้ประกอบการธุรกิจดีลเลอร์รถนิสสันประมาณ 10 จังหวัดจากทั่วประเทศ เช่น อุดรธานี ขอนแก่น ลำพูน เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกยกเลิกเป็นตัวแทนจำหน่าย ได้รวมตัวยื่นหนังสือผ่านทางหอการค้าไทยเพื่อยื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ว่าเข้าข่าย พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2562 หรือไม่ในกรณีถูกบริษัทนิสสันฯบีบให้เลิกกิจการ  เช่น การอ้างเรื่องยอดขายปีก่อนไม่ได้ตามเป้าหมายที่แจ้งไว้ ทั้งที่ปีนี้ทำยอดขายได้ดีขึ้นและเป็นไปตามเป้า หรือบางครั้งต้องการให้ปรับปรุงโชว์รูมใหม่ ซึ่งลงทุนครั้งละ 10 กว่าล้านบาท และแจ้งว่า หากไม่มีการปรับปรุงโชว์รูม ทางบริษัทแม่จะไม่ส่งรถรุ่นใหม่มาให้ดีลเลอร์ขาย ทั้งที่การปรับปรุงโชว์รูมทางดีลเลอร์ไม่สามารถดำเนินการได้เอง ต้องลงชื่อเข้าคิวกับบริษัทแม่ไว้ เพื่อรอเจ้าหน้าที่เข้ามาดูและต้องทำตามโมเดลที่กำหนด ซึ่งใช้เวลา 2-3 ปี เท่ากับว่าดีลเลอร์นั้น ๆ จะไม่ได้รถรุ่นใหม่ ๆ มาขาย จึงเป็นการเสียโอกาสไป ซึ่งปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่คณะกรรมการแข่งขันทางการค้าต้องไปพิจารณาเก็บข้อมูล “ที่ผ่านมาดีลเลอร์นิสสันทั่วประเทศมีกว่า 100 แห่ง ตอนนี้เหลืออยู่กว่า 50 แห่ง ดีลเลอร์นิสสันที่ได้รับความเดือดร้อนมีอีกมาก เนื่องจากมีการหยิบยกเงื่อนไขต่าง ๆ เข้ามาทำให้การดำเนินธุรกิจยากขึ้น แต่ที่รวมตัวกันยื่นหนังสือฟ้องมีเพียง 10 จังหวัด เพราะรายที่เหลือยังดำเนินธุรกิจกันอยู่ ก็ไม่อยากมีปัญหาระหว่างกัน” แหล่งข่าวกล่าว บอร์ดแข่งขันเรียกให้ข้อมูล  แหล่งข่าวจากกลุ่มสมาชิกหอการค้าเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กลุ่มดีลเลอร์ขายรถนิสสันได้หารือและยื่นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของบริษัทนิสสัน ที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของดีลเลอร์ ไปยังสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า โดยเบื้องต้นสำนักงานได้พิจารณารับเรื่องไว้ และเตรียมเรียกทั้งสองฝ่ายเข้าให้ข้อมูลในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณว่าประเด็นดังกล่าวเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 หรือไม่ รายงานข่าวระบุว่า หากตรวจสอบแล้วเข้าข่ายพฤติกรรมความผิด พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้าฯ ตามกระบวนการจะตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบรายละเอียด รวมทั้งข้อมูล เอกสารหลักฐานต่าง ๆ เช่น สัญญาที่บริษัททำกับดีลเป็นอย่างไร พฤติกรรมที่ร้องเรียนเป็นอย่างไร หรือเป็นนโยบายจากบริษัทแม่ต่างประเทศที่มีผลกับการประกอบธุรกิจในไทยหรือไม่ อย่างไร เนื่องจากประเด็นนี้มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายจำเป็นต้องพิจารณาละเอียดรอบคอบ จับตา “มาตรา 57”  อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าพฤติกรรมดังกล่าวอาจเข้าข่าย มาตรา 57ซึ่งระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจกระทําการใด ๆ อันเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นในลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังนี้ 1) กีดกันการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นอย่างไม่เป็นธรรม 2) ใช้อํานาจตลาดหรืออํานาจต่อรองที่เหนือกว่าอย่างไม่เป็นธรรม 3) กําหนดเงื่อนไขทางการค้าอันเป็นการจํากัดหรือขัดขวางการประกอบธุรกิจของผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรม 4) กระทําการในลักษณะอื่น ตามที่คณะกรรมการประกาศกําหนดมาตรา และยังมีมาตรา 58 ที่ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจในประเทศทํานิติกรรมหรือสัญญากับผู้ประกอบธุรกิจในต่างประเทศอย่างไม่มีเหตุผลอันสมควรอันก่อให้เกิดพฤติกรรมการผูกขาดหรือจํากัดการค้าอย่างไม่เป็นธรรมและส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและผลประโยชน์ของผู้บริโภคโดยรวม โดยผู้ฝ่าฝืนทั้ง 2 มาตราข้างต้นมีโทษทางปกครองชําระค่าปรับไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้ในปีที่กระทําความผิด ในกรณีที่เป็นการกระทําความผิดในปีแรกให้ชําระค่าปรับในอัตราไม่เกิน 1 ล้านบาท ทั้งนี้ปัจจุบันนิสสันมีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ 60 ราย และมีโชว์รูม ศูนย์บริการประมาณ 180 แห่งทั่วประเทศ ในกรณีดังกล่าว “ประชาชาติธุรกิจ” พยายามสอบถามไปยังบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้รับคำชี้แจงว่า บริษัทยังไม่ได้รับการติดต่อจากสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า และยังไม่ขอแสดงความเห็นใด ๆ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/motoring/news-366741

จำนวนผู้อ่าน: 2116

02 กันยายน 2019

“ออสเตรเลีย” เบียด “กาตาร์” จ่อขึ้นแท่นผู้ส่งออก LNG เบอร์ 1 โลก

ในขณะที่โลกพยายามลดการใช้พลังงานจากน้ำมันและถ่านหิน “ก๊าซธรรมชาติเหลว” (LNG) ถือว่าเป็นหนึ่งในพลังงานที่กำลังมีบทบาทมากขึ้นทั่วโลก และมีคาดการณ์จากอีไอเอว่า “ออสเตรเลีย” มีโอกาสที่จะผงาดขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว รายใหญ่ที่สุดของโลกอย่างถาวร แทนที่ “กาตาร์” ในปี 2020 ซีเอ็นบีซีรายงานอ้างคำแถลงของรัฐบาลออสเตรเลียระบุว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ออสเตรเลียมีการส่งออกก๊าซ LNG เฉลี่ยประมาณ 11,400 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เทียบกับปี 2011 ส่งออกอยู่ที่ 2,600 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน โดยปริมาณการส่งออกก๊าซ LNG ของออสเตรเลีย แซงหน้า “กาตาร์” ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญในฐานะที่เป็นผู้ส่งออกเบอร์หนึ่งของโลกแล้ว โดยปริมาณส่งออกก๊าซ LNG ของกาตาร์ ตามมาเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ 10,100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 3 ด้วยปริมาณส่งออกที่ 8,900 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน คำแถลงของรัฐบาลแคนเบอร์ราระบุด้วยว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ออสเตรเลียจะสามารถรักษาตำแหน่งผู้ผลิตและส่งออกเบอร์ใหญ่ของโลกได้อย่างถาวร โดยรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนการเพิ่มกำลังการผลิต LNG สำหรับการพัฒนาโครงการระหว่างปี 2019-2023 และตั้งเป้าขยายโครงการการผลิต LNG เป็น 10 แห่งภายในปี 2020 จากปัจจุบันมี 8 แห่ง ทั้งนี้ เมื่อเดือน มิ.ย.ออสเตรเลียได้เปิดตัว “พรีลูด” (Prelude) โครงการ LNG ลอยน้ำแห่งที่ 8 ของบริษัท รอยัลดัตช์เชลล์ ในแหล่งก๊าซธรรมชาติทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบรูม ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ซีเอ็นบีซีระบุว่า โครงการพรีลูดถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการ LNG ขนาดใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย โดยมีปริมาณการรองรับถังเก็บ LNG เทียบเท่ากับขนาดสระว่ายน้ำมาตรฐานที่ใช้ในการแข่งโอลิมปิกถึง 175 สระ ขณะที่โครงการ LNG แห่งอื่น เช่น วีตสโตน (Wheatstone), อิชทิส (Ichthys) และดาร์วิน (Darwin) ก็เตรียมเพิ่มกำลังการผลิต LNG ตั้งแต่เดือน ก.ย.นี้ นักวิเคราะห์ของสำนักบริหารสารสนเทศพลังงานของสหรัฐ (EIA) กล่าวว่า “กาตาร์” อาจสูญเสียตำแหน่งผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว LNG รายใหญ่ที่สุดของโลกให้กับออสเตรเลียในปี 2020 และอาจจะสูญเสียตำแหน่งนี้อย่างถาวร ดูจากแผนพัฒนาของทางการแคนเบอร์รา ทั้งยังมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตแตะระดับที่ 110 ล้านตัน/ปี ภายในปี 2024 เพิ่มจาก 77 ล้านตัน/ปี ในปี 2018 “นิโคลัส บราวน์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยก๊าซและ LNG ของ Wood Mackenzie บริษัทให้คำปรึกษาและวิจัยด้านพลังงานในกรุงลอนดอน กล่าวว่า การเพิ่มกำลังการผลิตและความต้องการที่ผันผวนจากลูกค้า โดยเฉพาะในญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ ส่งผลให้ราคาซื้อขายก๊าซลดลงอย่างหนักตั้งแต่ปลายปี 2018 ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว และสงครามการค้าจะกดดันให้ราคาก๊าซ LNG มีความผันผวนมากขึ้น ทั้งประเมินว่าในปีนี้จะเผชิญกับสถานการณ์ราคา LNG ที่ต่ำลงเรื่อย ๆ และราคาอาจจะปรับลดลงอีกในปีหน้า เนื่องจากซัพพลายที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ “ซัพพลายที่เพิ่มเข้ามา ไม่ได้มีแต่ออสเตรเลีย แต่สหรัฐก็มีเป้าหมายจะเพิ่มการผลิตเช่นกัน โดยจะเพิ่มการผลิตก๊าซจากโครงการคาเมรอน ซึ่งอยู่ในเกาะเอลบา รวมถึงในโครงการฟรีพอร์ตในเทกซัส” บราวน์กล่าวเพิ่มเติม สำหรับ “กาตาร์” โดยกระทรวงพลังงานประกาศเมื่อต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลได้อนุมัติให้เพิ่มกำลังการผลิตก๊าซ LNG อีก 43% ภายในปี 2024 เพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับประเทศผู้ส่งออกรายอื่น จากปี 2018 ที่กำลังการผลิตก๊าซ LNG ของกาตาร์ อยู่ที่เกือบ 80 ล้านตัน/ปี อย่างไรก็ตาม “ซาอัด เชอริดา อัล-คาบี” ประธานและซีอีโอของกาตาร์ปิโตรเลียม กล่าวยอมรับว่า ความขัดแย้งระหว่างกาตาร์กับซาอุดีอาระเบีย รวมถึงชาติอาหรับอื่น ๆ ได้แก่ อียิปต์ บาห์เรน เยเมน ลิเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยังยืดเยื้อและอาจเป็นอุปสรรคต่อเส้นทางการส่งออก LNG ของกาตาร์ให้ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงทำให้ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น ทั้งนี้ ประธานกาตาร์ปิโตรเลียมกล่าวว่า ในเวลานี้ดีมานด์ในประเทศเอเชียถือว่าแข็งแกร่งที่สุด “จีน” ยังคงเป็นประเทศนำเข้ารายใหญ่ที่สุด และยังมีประเทศอื่นที่น่าสนใจ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ขณะที่บลูมเบิร์กรายงานอ้างวิจัยของ “แมคคินซีย์” บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารชั้นนำของโลกระบุว่า ความต้องการใช้ก๊าซ LNG ของโลก จะแตะ 384 ล้านตันในปี 2020 จากปี 2018 ปริมาณการใช้ทั่วโลกอยู่ที่ 319 ล้านตัน และประเมินว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะเกิดความสมดุลระหว่างดีมานด์และซัพพลาย ซึ่งคาดว่าการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นจะส่งผลให้ดีมานด์การใช้ในทั่วโลกเพิ่มขึ้นตามจากราคาก๊าซที่ถูกลง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-365908

จำนวนผู้อ่าน: 1695

30 สิงหาคม 2019

ค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่ตลาดรอความชัดเจนของสงครามการค้าและ Brexit

แฟ้มภาพ ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2562 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (29/8) ที่ระดับ 30.62/64 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดในวันพุธ (28/8) ที่ระดับ 30.61/63 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินดอลลาร์เคลืื่อนไหวในกรอบแคบขณะที่นักลงทุนยังจับตาดูสถานการณ์ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน โดยล่าสุดเมื่อคืนวาน (28/8) นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ได้กล่าวว่า สหรัฐและจีนยังต้องเจรจาร่วมกัน และทางสหรัฐกำลังวางแผนที่จะเชิญคณะผู้แทนทางการค้าของจีนให้เดินทางมายังกรุงวอชิงตัน อย่างไรก็ดี นายมนูชินไม่ได้แถลงอย่างเจาะจงว่า การเจรจาทางการค้ารอบถัดไปจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนตามที่ได้วางแผนไว้หรือไม่ อีกทั้งนายมนูชินกล่าวว่าตัวเขาได้ให้เหตุผลชี้แจงกับนายอี้ กัง ผู้ว่การธนาคารกลางจีน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และบรรดาประเทศคู่ค้าของจีน ในประเด็นที่กระทรวงการคลังสหรัฐได้แถลงการณ์เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่าประเทศจีนปั่นค่าเงินและแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราโดยการปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลงไปแตะระดับต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี ซึ่งสร้างข้อได้เปรียบทางการค้าและส่งออกให้แก่ประเทศจีน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนได้มุ่งความสนใจไปที่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของทั้งสหรัฐและจีน ซึ่งมีกำหนดบังคับใช้ในวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายนนี้ โดยทั้งสองฝ่ายจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน โดยทางสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีร้อยละ 15 ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่จีนจะประกาศเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 5 ถึง 10 ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐบนวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการเก็บภาษี 2 รอบซึ่งการปรับขึ้นรอบที่ 2 ของจีนจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธันวาคม ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลืื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 30-60-30.64 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 30.60/62 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (29/8) ที่ระดับ 1.1087/89 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (28/8) ที่ระดับ 1.1088/90 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบแคบขณะที่นักลงทุนยังรอความชัดเจนในประเด็นเกี่ยวกับ Brexit หลังเมื่อวาน (28/8) นาย บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ใช้แผนจำกัดการประชุมรัฐสภาอังกฤษด้วยความหวังที่จะผลักดันให้สหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปในวันที่ 31 ตุลาคม โดยก่อนหน้านี้ สมาชิกรัฐสภาอังกฤษมีกำหนดกลับเข้าประชุมสภาในสัปดาห์หน้า ซึ่งการประชุมจะเกิดขึ้นไปจนถึงวันที่ 9 กันยายน ก่อนที่จะมีการพักสมัยประชุมเป็นเวลา 3 สัปดาห์ เพื่อให้พรรคการเมืองต่าง ๆ จัดการประชุมภายในพรรค แต่การดำเนินการของนายจอห์นสันในครั้งนี้ได้ทำให้การพักสมัยประชุมสภายาวนานขึ้นเป็น 5 สัปดาห์ ซึ่งจะส่งผลให้มีการเปิดรัฐสภาอังกฤษเป็นระยะเวลา 1 เดือน ทำให้รัฐสภามีเวลาน้อยลงในการออกกฎหมายเพื่อสกัดความพยายามของนายจอห์นสันในการนำอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยไร้ข้อตกลงตามกำหนดการเดิม (31/10) นกจากนี้ ระหว่างวัน (29/8) มีรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของฝรั่งเศสในช่วงไตรมาสที่ 2 ออกมาที่ร้อยละ 0.3 เมื่อเปรียบเทียบรายไตรมาส ซึ่งมากกว่าระดับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะออกมาที่ร้อยละ 0.2 อีกทั้งมีรายงานอัตราการว่างงานของเยอรมนีประจำเดือนสิงหาคมออกมาอยู่ที่ ร้อยละ 5.0 เท่ากับระดับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ทั้งนี่้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลืื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1068-1.1087 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1076/77 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (29/8) ที่ระดับ 105.93/95 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวอ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (28/8) ที่ระดับ 105.77/79 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ เงินเยน อ่อนค่าลงขณะที่นักลงทุนยังจับตารอดูสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 105.82-106.35 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 106.23/25 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ (29/8) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐ ไตรมาส 2/2562 (ประมาณการครั้งที่ 2 (29/8), ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนสิงหาคมของเยอรมนี (29/8) ดัชนีราคาการใช้จ่ายส่วนบุคคล เดือนกรกฎาคมของสหรัฐ (30/8) การใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนกรกฎาคมของสหรัฐ (30/8) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคมจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนของสหรัฐ (30/8) ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนสิงหาคมของยูโรโซน (30/8) ดัชนียอดขายปลีกเดือนกรกฎาคมของญี่ปุ่น (30/8) ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคมของญี่ปุ่น (30/8) สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -2.70/-2.50 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ 0.15/0.75 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-365910

จำนวนผู้อ่าน: 1635

30 สิงหาคม 2019

ปิดจ็อบ 12 ปี “สายสีแดง” รัฐถมเพิ่ม 1.3 หมื่นล้าน-อุดขาดทุน 5 ปี

เป็นรถไฟฟ้าอีก 1 สายทางที่คนกรุงเทพฯและปริมณฑลตั้งตารอกันมานาน สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน และบางซื่อ-รังสิตของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่ได้รับการอนุมัติจาก “ครม.-คณะรัฐมนตรี” ตั้งแต่ 22 พ.ค. 2550 จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 12 ปีแล้วที่รอวันเปิดหวูดใช้บริการ ปลายปี’63 ทดลองเดินรถ แม้ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กม. วงเงินก่อสร้าง 8,749 ล้านบาท จะสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2555 แต่การเปิดบริการต้องรอช่วงบางซื่อ-รังสิต พร้อมเปิดในเดือน ม.ค. 2564 ขณะนี้ ร.ฟ.ท.เตรียมของบฯกว่า 140 ล้านบาท บูรณะโครงสร้างรอรับระบบรถไฟ ไม่ว่าตอม่อ สถานี ลิฟต์ บันไดเลื่อนที่ทรุดโทรม หลังนำไปผูกไว้กับงานสัญญาที่ 3 ช่วงบางซื่อ-รังสิต ที่มีกิจการร่วมค้า MHSC (บริษัท MITSUBISHI Heavy Industrial Ltd. บริษัท Hitachi และ บริษัท Sumitomo Corporation) เป็นคู่สัญญา วงเงิน 32,399.99 ล้านบาท โดยรถขบวนแรกจะเดินทางจากญี่ปุ่นมาถึงประเทศไทยในเดือน ต.ค.นี้ จากนั้นปลายปีนี้ถึงปี 2563 จะนำขบวนรถมาทดสอบระบบ เนื่องจากจะต้องมีการทดสอบระบบเสมือนจริงอย่างน้อย 6 เดือนถึงจะเปิดให้บริการได้ คาดว่าจะเปิดทดลองเดินรถปลายปี 2563 และเปิดบริการอย่างเป็นทางการในเดือน ม.ค. 2564 ขอ ครม.เพิ่มงบฯ 9.6 พันล้าน กว่าจะไปถึงวันนั้น ตอนนี้ ร.ฟ.ท.กำลังมึนกับค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นประมาณ 9,600 ล้านบาท ที่จะต้องขอขยายกรอบวงเงินกู้เพิ่มจาก ครม. ซึ่งสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) สั่งให้กระทรวงคมนาคมรีวิวแต่ละรายการอีกรอบ แหล่งข่าวจาก ร.ฟ.ท. กล่าวว่า วงเงินที่ขอเพิ่มเป็นกรอบที่ตั้งไว้ แต่เมื่อถึงเวลาเบิกจริงอาจจะไม่ถึงก็ได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างทำรายละเอียดที่ชัดเจน มีหลายสาเหตุ เช่น ปรับแบบสร้างรางเพิ่มจาก 3 ราง เป็น 4 ราง ผู้รับเหมาขอค่าชดเชยขยายเวลา ภาษีนำเข้ารถ เป็นต้น มากที่สุดเป็นงานสัญญาที่ 1 งานสถานีกลางบางซื่อ และศูนย์ซ่อมบำรุงของกลุ่มกิจการร่วมค้า SU (บมจ.ซิโน-ไทยฯ และ บมจ.ยูนิคฯ) ที่ขอขยายเวลาก่อสร้างถึง ก.พ. 2563 เพราะมีงานเพิ่มโดยขอค่าชดเชย 4,600 ล้านบาท สัญญาที่ 2 งานโครงสร้างทางวิ่งยกระดับและระดับพื้น งานสถานี 8 แห่ง และถนนเลียบทางรถไฟ ถนนทางข้ามทาง บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ผู้รับเหมาก่อสร้างขอขยายถึงเดือน ต.ค.นี้ เพราะติดสร้างสกายวอล์ก และสัญญาที่ 3 ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ตามสัญญาจะเสร็จวันที่ 6 มิ.ย. 2563 เนื่องจากมีเรื่องภาษี ซึ่งที่ปรึกษาไม่คิดไว้แต่แรกเพราะคิดว่าไม่จำเป็น ขณะที่กฎขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) ที่ปล่อยกู้ให้กับสายสีแดงไม่ให้นำเงินที่ให้กู้ไปจ่ายภาษี อยู่ระหว่างหารือกระทรวงการคลังจะนำเงินจากไหนมาจ่าย เช่น งบประมาณ หรือเงินกู้ประเทศ “ก.ย.ต้องส่งให้คมนาคมและ ครม.พิจารณา หากได้รับอนุมัติเท่ากับโครงการของบฯเพิ่ม 5 ครั้ง เป็นทั้งโครงการจะใช้เงินก่อสร้าง 104,222 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 95,222 ล้านบาท” แหล่งข่าวกล่าว ศักดิ์สยามสั่งศึกษา PPP ขณะที่งานก่อสร้างกำลังนับถอยหลังปิดจ็อบ ในส่วนของการเดินรถล่าสุด “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” เจ้ากระทรวงคนใหม่จากพรรคภูมิใจไทย ขายไอเดียให้ ร.ฟ.ท.ศึกษาเปรียบเทียบระหว่างให้บริษัทลูกบริหารเองกับนำโครงการเปิดประมูล PPP ให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบไหนจะทำให้โครงการมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน และไม่เป็นภาระงบประมาณของรัฐ “ให้เวลา 2 เดือนให้ ร.ฟ.ท.เร่งสรุปข้อเปรียบเทียบ ผมเกรงว่าสายสีแดงจะเกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือนแอร์พอร์ตเรลลิงก์ที่รัฐต้องอุดหนุนโครงการมาตลอด ตอนนี้งบประมาณรัฐมีจำกัด หากให้เอกชนเข้ามาบริหารในรูปแบบ PPP โดยคำนวณการลงทุนจากส่วนที่รัฐได้ลงทุนไป เช่น ค่าก่อสร้าง ระบบรถไฟฟ้า ให้เอกชนเข้ามารับบริหารโครงการและแบ่งรายได้ให้รัฐ คิดค่าโดยสารที่เป็นธรรม ให้นำข้อมูล ตัวเลขแต่ละแนวทางมาเปรียบเทียบ” เป็นแนวคิดใหม่ที่แทรกขึ้นมา แม้ว่าจะเตรียมวางผู้ที่จะมาบริหารจัดการโครงการไว้แล้ว โดยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เห็นชอบให้บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) บริษัทลูก ร.ฟ.ท.บริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟชานเมืองสายสีแดงทั้งระบบหลังโอนแอร์พอร์ตเรลลิงก์ให้ ซี.พี.ที่ชนะประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินรับช่วงบริหารต่อ นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงได้หารือการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อเดินรถสายสีแดง เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนเสนอ ครม.อนุมัติกรอบวงเงินเริ่มต้นโครงการในช่วง 5 ปีแรก วงเงิน 3,311 ล้านบาท เปิดปีแรกคนนั่งไม่ถึง 8 หมื่น ปีแรกที่เปิดบริการในปี 2564 จะขอให้ก่อน 980 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในส่วนของค่าอะไหล่และชดเชยการขาดทุน ซึ่งประเมินว่าในปีแรกที่เปิดให้บริการจะขาดทุน 300 ล้านบาท มาจากจำนวนผู้โดยสารใช้บริการไม่ถึงยอดที่ตั้งไว้ 80,000 เที่ยวคน/วัน และค่าจ้างพนักงานที่ต้องมีเพิ่มขึ้น 806 คนส่วนปีที่ 2-5 ยังไม่กำหนด ด้านการหารายได้ นอกจากค่าโดยสารจะมีบริหารพื้นที่สถานีเชิงพาณิชย์ จะอนุมัติให้ดำเนินการได้ทุกสถานียกเว้นสถานีบางซื่อ และสถานีดอนเมือง เนื่องจากบางซื่ออยู่ในขอบข่ายการดูแลรวมของสถานีกลางบางซื่อ ส่วนดอนเมืองต้องไปกำหนดส่วนชานชาลาร่วมกับรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเพราะมีบางส่วนคาบเกี่ยวกันอยู่ นอกจากนี้ ยังให้อำนาจบริหารแบบอิสระและเป็นรูปแบบ net cost (จัดเก็บรายได้) ไม่รับจ้างเดินรถเหมือนแอร์พอร์ตเรลลิงก์ เพื่อเกิดความคล่องตัวและเลี้ยงตัวเองได้ สายสีแดงกำไรปีที่ 16 เมื่อย้อนดูข้อมูลแผนการเงินและรายได้ของสายสีแดง พบว่าเงินทุนหมุนเวียนที่ขอ ครม. 3,311 ล้านบาท ส่วนหนึ่งนำมาจัดซื้ออะไหล่เริ่มต้น 2,164 ล้านบาท ที่เหลือเป็นกระแสเงินสดใช้ดำเนินงานทั้งก่อนและหลังเปิด เช่น การตลาด ประชาสัมพันธ์ จ้างพนักงานชั่วคราวในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านเร่งด่วน ในระยะเวลา 30 ปี จะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เป็นบวกในปีที่ 11 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเป็นบวกในปีที่ 16 โดยปี 2564 เปิดบริการปีแรกจะมีรายได้จากการดำเนินงาน 1,019 ล้านบาท ชง ครม.เห็นชอบ ก.ย. ด้านนายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า คาดว่าในเดือน ก.ย.กระทรวงคมนาคมจะเสนอเรื่องการเพิ่มภารกิจบริษัทให้เดินรถสายสีแดงเข้าสู่ที่ประชุม ครม.พิจารณา หากได้รับอนุมัติจะดำเนินการตามแผนทันที กรอบวงเงิน 3,311 ล้านบาท ลดจากเดิม 3,400 ล้านบาท ตัดรายการที่ไม่จำเป็นบางส่วนออกไป มี ร.ฟ.ท.เป็นผู้ของบประมาณกับสำนักงบประมาณ ส่วนการชำระหนี้ ร.ฟ.ท.จะเป็นผู้ชำระเงินต้น ส่วนบริษัทจะเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ย เปิดให้บริการปี 2564 จะได้รับ 938 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าอะไหล่และงานซ่อมบำรุง 600 ล้านบาท อีก 338 ล้านบาท จะใช้ในการทำให้กำไรจากการดำเนินกิจการ (EBITDA) ไม่ติดลบ ส่วนปีอื่น ๆ อีก 4 ปียังต้องรอพิจารณาหลังเปิดก่อน “การบริหารกิจการจะเปลี่ยนไป จากเดิมที่เดินรถให้แอร์พอร์ตเรลลิงก์ ร.ฟ.ท.เป็นผู้จ้างเราเดินรถเหมือนสายสีม่วง อาจจะเรียกว่าเป็นแบบ gross cross ก็จะเปลี่ยนเป็น net cross แทน โดยเราเป็นผู้บริหารสายสีแดงเองทั้งระบบ แล้วจ่ายผลตอบแทนให้ ร.ฟ.ท.กลับไปให้ แต่ยังอยู่ระหว่างตกลงกันจะคิดสูตรหารายได้ส่งให้ ร.ฟ.ท.อย่างไร” สำหรับพนักงานที่ได้รับอนุมัติ 806 คน ถือว่าเพียงพอกับการเดินรถสายสีแดง ส่วนอัตรากำลังที่ขอไว้ 1,300 คนเผื่อช่วงเปลี่ยนถ่ายระบบจากแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ก็ให้จ้างพนักงานแบบชั่วคราว (outsource) ไปก่อน โดยจะจัดหาทั้ง 1,300 คนให้ได้ก่อนเดือน ส.ค. 2563 ที่คาดหมายว่าจะเริ่มทดสอบระบบสายสีแดง ภาระหนักเดินรถ 2 ระบบ หากการส่งมอบแอร์พอร์ตเรลลิงก์ไม่เป็นตามนัด นายสุเทพระบุว่า ช่วงเปลี่ยนถ่ายระบบจากแอร์พอร์ตเรลลิงก์มาสายสีแดงมีความกังวลระยะเวลาต้องเดินรถทั้ง 2 ระบบ เพราะรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินยังไม่เซ็นสัญญากับ ซี.พี. จะทำให้ระยะเวลาเดินรถแอร์พอร์ตเรลลิงก์และสายสีแดงยาวขึ้นอย่างน้อย 9 เดือน โดยคำนวณจากวันกำหนดเปิดใช้สายสีแดงในเดือน ม.ค. 2564 กับคาดคะเนว่าหากเซ็นสัญญารถไฟความเร็วสูงได้ในเดือน ก.ย.นี้ กำหนดเวลาส่งมอบสิทธิการบริหารแอร์พอร์ตเรลลิงก์จะอยู่ที่เดือน ก.ย. 2564 แต่ถ้ายังไม่มีวันเวลาที่แน่นอนคาดว่าอาจจะต้องเดินรถทั้ง 2 ระบบนานถึง 1 ปี ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-365809

จำนวนผู้อ่าน: 2006

30 สิงหาคม 2019

เคลียร์แล้ว!! ธปท. ยันไม่งัดเกณฑ์ DSR คุมแบงก์ปล่อยกู้ปีนี้แน่นอน

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า หลังจากที่ ธปท. ได้ออกมาตรการในหลายส่วนเพื่อดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือน และมีกระแสข่าวว่า ธปท. อาจมีมาตรการคุมภาระหนี้ต่อรายได้สูงสุด หรือ debt service ratio (DSR) limit เพิ่มเติม ขอชี้แจงว่า ปัจจุบัน ธปท. ยังไม่ได้มีแผนที่จะนำมาตรการนี้มาบังคับใช้ภายในปีนี้ โดยปัจจุบัน ธปท. อยู่ระหว่างดำเนินการร่วมกับสถาบันการเงินใน 2 เรื่อง ได้แก่ (1) การกำหนดมาตรฐานกลางในการคำนวณ DSR ทั้งในส่วนภาระหนี้และรายได้ของผู้กู้ ซึ่งปัจจุบันสถาบันการเงิน แต่ละแห่งมีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน โดยล่าสุดได้มีข้อตกลงมาตรฐานกลาง DSR ร่วมกันแล้ว คาดว่าจะเริ่มรายงานข้อมูล DSR ตามมาตรฐานกลางให้ ธปท. ได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ (2) การผลักดันให้สถาบันการเงินนำหลักการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (responsible lending) ไปใช้ โดยลูกหนี้ต้องมีเงินเพียงพอสำหรับดำรงชีพหลังชำระหนี้แล้ว (affordability) “ธปท. จะติดตามปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างใกล้ชิด ส่วนหนึ่งผ่านข้อมูล DSR ตามมาตรฐานกลางที่ธนาคารพาณิชย์รายงาน ซึ่งหากพบว่าสถานการณ์มีความเปราะบางมากขึ้น ธปท. อาจพิจารณาออกเกณฑ์การกำกับดูแลที่เหมาะสม โดยพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงิน กรอบการบังคับใช้และจังหวะเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน” นายรณดลกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-365710

จำนวนผู้อ่าน: 1679

30 สิงหาคม 2019

ไม้ยางพาราโดน 3 เด้งร่วงหนัก จีนปิดรง.-เทรดวอร์-ไม้โอ๊กดิ่งลง 30%

ไม้ยางราคาดิ่ง - หลังจากจีนออกมาตรการควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมส่งผลให้โรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพาราของจีนถูกปิดตัวลงชั่วคราวเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบให้ยอดการส่งออกไม้ยางพาราของไทยลดลง ทำให้ราคาปรับตัวลดลงมาก “ไม้ยางพาราไทย” โดน 3 เด้ง ราคาร่วง จาก 50,000-60,000 บาท/ไร่ มาอยู่ที่ 30,000-40,000 บาท/ไร่ ปัจจัยสิ่งแวดล้อมโรงงานเฟอร์นิเจอร์จีนปิดปรับปรุง-เทรดวอร์ แถมไม้ต่างประเทศลดราคาลง 30% เสนอตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ชาวสวนจะได้มูลค่าเพิ่มขึ้น นายนิกร ลิขิตหวังพาณิชย์ นายกสมาคมธุรกิจไม้ยางพาราไทย และกรรมการบริหาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชูศักดิ์ภาคใต้พาราวู๊ด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ธุรกิจไม้ยางพารามียอดขายลดลงมาก เนื่องจากจีน ซึ่งเป็นผู้ซื้อหลักได้มีมาตรการเข้มงวดควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2560 ส่งผลให้โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ไม้ยางพาราของจีนที่ไม่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อมต้องปิดตัวลงชั่วคราว เพื่อปรับปรุงกิจการ ประกอบกับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน รวมถึงปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลง นอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากไม้อื่น ๆ จากต่างประเทศ เช่น ไม้โอ๊ก ฯลฯ ได้ลดราคาลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับไม้ยางพารา ที่ราคายังสูง ส่งผลให้การส่งออกไม้ยางแปรรูปของไทยไปจีน และกลุ่มประเทศเอเชียชะลอตัวลง “ตอนที่เศรษฐกิจดี ไม้ยางพาราราคาประมาณ 50,000-60,000 บาท/ไร่ แต่ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 30,000-40,000 บาท/ไร่ ซึ่งไทยมีสวนยางพาราประมาณ 22 ล้านไร่ มีการโค่นปีละประมาณ 500,000 ไร่ มีมูลค่ารวมจากไม้ยางพารา ประมาณ 100,000 ล้านบาท/ปี” แนวทางที่จะสนับสนุนไม้ยางพาราให้ได้ราคาที่ดีขึ้น รัฐบาลจะต้องส่งเสริมโรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อนำเศษไม้ยางพารา ไม้ฟืน ปีกไม้ กิ่งไม้ ยอดไม้ ซึ่งเป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงไปใช้ เพราะแต่ละปีจะมีการโค่นไม้ยางพารา จะทำให้ชาวสวนมีรายได้จากส่วนนี้ 10,000-20,000 บาท/ไร่ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ชาวสวน นายนิกรกล่าวต่อไปว่า ประการสำคัญไม้ยางพาราของไทยจะต้องได้รับมาตรฐานขององค์การพิทักษ์ป่าไม้ (Forest Stewardship Council : FSC) ที่กำหนดให้ปลูกยางพาราในพื้นที่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามบุกรุกป่า ทั้งนี้ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ควรต้องเป็นเจ้าภาพนำสวนยางพารา 22 ล้านไร่ รวมไม้ป่าอีกประมาณ 5 ล้านไร่ และมีครัวเรือนที่เกี่ยวข้องกัน ประมาณ 7 ล้านคน เข้าสู่ระบบมาตรฐานอยากเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้หันมาสนับสนุนช่วยเหลือ 1.เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเฉลี่ยประมาณ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจะได้แข่งขันตลาดค้าขายไม้ในต่างประเทศได้เช่น เวียดนาม และมาเลเซียได้ 2.การหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อขอทุนสงเคราะห์การโค่นยาง 3.รัฐบาลหาตลาดใหม่ เช่น อินเดีย ซึ่งมีแนวโน้มอนาคตที่ดี นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เปิดเผยว่า ไม้ยางพาราขณะนี้ราคาเคลื่อนไหวมาอยู่ที่ 1.30-1.40 บาท/กก. สำหรับไม้เกรดหรือไม้บ้อง ส่วนไม่มีเกรด หรือปีกไม้ ไม้ฟืน ราคาขยับขึ้นมาที่ 1 บาท/กก. จากเดิมราคา 00.50-00.90 บาท/กก. ทั้งนี้ สาเหตุที่ไม้ฟืน ไม้ปีกขยับขึ้น เพราะมีการแข่งขันกันกับกลุ่มรับซื้อไม้ยางพารา ที่นำไปเป็นวัตถุดิบพลังงานโรงไฟฟ้าชีวมวล “การที่ไม้ยางพาราราคาปรับลดลงมาก ตอนนี้กลุ่มธุรกิจรับซื้อไม้ยางได้ยุติการโค่นลง เพราะโค่นไปจะขาดทุน ที่ซื้อมาราคาสูงแต่ขายออกได้ราคาต่ำ จึงชะลอไว้ก่อน โดยเฉพาะ จ.นครศรีธรรมราช นับเป็นหมื่นไร่ ยังไม่นับจังหวัดอื่น ๆ โดยกลุ่มธุรกิจรับซื้อไม้ยางพาราระบุว่า กลุ่มธุรกิจไม้ยางพาราจากประเทศจีนไม่รับซื้อ” นายทศพลกล่าวอีกว่า ไม้ยางพาราประเภทไม้เกรด หรือไม้บ้อง ราคาเดิมกว่า 2 บาท/กก. แล้วมีการเคลื่อนไหวขยับลงมาที่ 1.70-1.80 บาท/กก และเมื่อต้นปี 2562 ราคา 2 บาท/กก. ส่วนในปี 2560-2561 ราคา 1.60-1.70 บาท/กก. เป็นราคาเคลื่อนไหวสำหรับบางช่วงในตลาดแต่ละพื้นที่แต่ละจังหวัด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-365688

จำนวนผู้อ่าน: 1696

30 สิงหาคม 2019

“แอร์เอเชีย”เสียบอู่ตะเภา ปั้นฮับการบินเชื่อมทั่วโลก

แฟ้มภาพ “ไทยแอร์เอเชีย” มั่นใจกลุ่ม “แกรนด์ คอนโซเตียม” คว้าโครงการพัฒนาเมืองการบิน “อู่ตะเภา” หลังกลุ่ม ซี.พี.วืด พร้อมปั้นเป็นฮับการบินใหม่เชื่อมทั่วโลก ชี้ “รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน-อีอีซี” ติดปีกอู่ตะเภาโตก้าวกระโดด พื้นที่ใหญ่กว่าดอนเมือง 3-4 เท่าตัว ขยายคาพาซิตี้รองรับผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 100 ล้านคนต่อปี นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าร่วมประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกร่วมกับพันธมิตรในนามกลุ่มแกรนด์ คอนโซเตียม และมั่นใจว่าจะได้รับการพิจารณาคัดเลือก เพราะเชื่อว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีศักยภาพในการทำการตลาดสูง ทั้งในด้านการเชิญชวนผู้ประกอบการสายการบินเข้ามาใช้บริการ การบริหารจัดการเส้นทางบิน รวมถึงการดึงให้คนเข้ามาใช้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ ปั้นฮับการบินใหม่เชื่อมทั่วโลก ทั้งนี้ ตามแผนการประมูลกลุ่มบริษัทมีแผนทำให้ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาเป็นศูนย์การบินแห่งใหม่ของประเทศไทยฝั่งตะวันออก ที่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงเส้นทางการบินทั่วโลก ซึ่งตามแผนจะมีสายการบินให้บริการทั้งฟูลเซอร์วิสและโลว์คอสต์แอร์ไลน์ “ไทยแอร์เอเชียไม่ได้เข้าไปยึดสนามบินอู่ตะเภาเพื่อมาทำเป็นฐานปฏิบัติการบินของกลุ่มแอร์เอเชีย แต่การลงทุนในโครงการอู่ตะเภาเป็นการลงทุนที่เราไปเป็น 1 ในผู้ถือหุ้นของผู้ลงทุนพัฒนาสนามบิน ดังนั้น เป้าหมายในการพัฒนาโครงการอู่ตะเภาจึงอยู่ที่การสร้างฮับการบินแห่งใหม่ที่เติบโตได้ในอนาคต” ย้ำต้องมีรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน นายธรรศพลฐ์กล่าวว่า ที่ผ่านท่าอากาศยานหลักของไทยทั้ง 2 แห่ง คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมืองนั้นนับว่าแออัดอย่างมาก ศักยภาพในการรองรับจำนวนเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารเต็มและเกินกว่าศักยภาพในการรองรับแล้ว ขณะที่พื้นที่ในการขยายการรองรับก็เริ่มมีข้อจำกัด การผลักดันให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาเจริญเติบโต จึงเป็นความจำเป็นอย่างมากของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำให้อู่ตะเภาประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้นั้นจะต้องมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินด้วย “ตามแผนที่บริษัทยื่นเสนอไปนั้นได้ระบุชัดเจนว่า การคาดการณ์จำนวนเที่ยวบิน จำนวนผู้โดยสารที่จะเข้ามาใช้บริการในจำนวนที่ระบุไว้นั้น ต้องมาจากผลของการมีรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน” รองรับได้กว่า 100 ล้านคนต่อปี นายธรรศพลฐ์กล่าวต่อไปอีกว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กลุ่มบริษัทเชื่อมั่นในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา คือ สถานที่ของสนามบินที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจอีอีซี ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่ภาครัฐบาลพยายามผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงใกล้เมืองพัทยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดีอีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ ในจังหวัดใกล้เคียง ยังเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่วันนี้ยังไม่ได้รับการโปรโมตอีกจำนวนมาก หากโครงการต่าง ๆ ทั้งโครงการพัฒนาสนามบิน, รถไฟความเร็วสูง และอีอีซี เดินไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด เชื่อว่าจะเป็นพลังในการผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตได้อีกมหาศาลทีเดียว ที่สำคัญ ด้วยขนาดพื้นที่กว่า 6,500 ไร่ ทำให้สนามบินแห่งนี้ขยายศักยภาพการรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารได้จำนวนมากในอนาคต หรือรองรับผู้โดยสารได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านคนต่อปี สูงกว่าท่าอากาศยานดอนเมือง 3-4 เท่าตัว เตรียมเงินลงทุน 2.9 หมื่นล้าน นายธรรศพลฐ์กล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกนั้นถือเป็นโครงการการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนรวมราว 2.9 แสนล้านบาท กลุ่มไทยแอร์เอเชียถือหุ่น 10% หรือคิดเป็นมูลค่าลงทุนประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท โดยเงินลงทุนดังกล่าวนี้จะทยอยลงทุนเป็นเฟส ไม่ได้ลงทุนครั้งเดียว จึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด นายธรรศพลฐ์กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับความคืบหน้าในการประมูลโครงการดังกล่าวนั้น ขณะนี้ขั้นตอนยังอยู่ในขั้นตอนเรียกพรีเซนต์ในด้านเทคนิค อาทิ รูปแบบการก่อสร้างอาคาร คาดการณ์จำนวนเที่ยวบิน และจำนวนผู้โดยสารที่จะเข้ามาใช้บริการ ฯลฯ ขั้นตอนต่อไป คือ รอเรียกให้ข้อมูลเพิ่มเติม “ที่ผ่านมามีบางขั้นตอนที่สุดไปบ้าง ในกรณีปัญหาของกลุ่ม ซี.พี. แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนงานของกลุ่มเรา” นายธรรธพลฐ์กล่าว และย้ำว่า บริษัทและพันธมิตรมีความมั่นใจอย่างมากสำหรับโครงการนี้ เหลือแข่งขันแค่ 2 ราย ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับการประมูลโครงการดังกล่าวนี้ โดยมีกลุ่มบริษัทเข้ายื่นข้อเสนอ 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส (BBS Joint Venture) ประกอบด้วย การบินกรุงเทพ, บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น2.กลุ่ม Grand Consortium ประกอบด้วย พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) และ ไทยแอร์เอเชีย จำกัด และ 3.กลุ่มกิจการค้าร่วม บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (ซี.พี.) ประกอบด้วย ธนโฮลดิ้ง, Orient Success International Limited, อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์, ช.การช่าง และบบี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ โฮลดิ้ง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางได้พิพากษายกฟ้องกลุ่ม ซี.พี. ที่ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกฯ เนื่องจากยื่นข้อเสนอเกินระยะเวลาตามที่คณะกรรมการคัดเลือกฯกำหนดไว้ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เท่ากับว่าผู้มีสิทธิได้รับพิจารณาและร่วมแข่งขันครั้งนี้เหลือเพียงแค่ 2 ราย คือ กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส และกลุ่ม Grand Consortium เท่านั้น คลิกอ่านเพิ่มเติม.. ซีพี+พันธมิตร หมดสิทธิชิงอู่ตะเภา เมืองการบิน ศาลปกครองชี้เลท 9 นาทีมีผล ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-365594

จำนวนผู้อ่าน: 1697

30 สิงหาคม 2019

ไม่เกิน 1 พ.ย. ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมพร้อมลุย! “พุทธิพงษ์” ย้ำแนวปฏิบัติอิงมาตรฐานสากล

“ดีอี” ลั่นไม่เกิน 1 พ.ย. ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ต้องพร้อมลุย! เตรียมใช้ “FACT checking Thailand”เป็นเว็บไซต์สื่อสารกับประชาชน ย้ำแนวปฏิบัติสกัดข่าวปลอมอิงมาตรฐาน IFCN “เครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริงนานาชาติ” หวังดึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นพวก นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า การตั้งเป้าไว้ว่า ไม่เกิน 1 พ.ย. นี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center)  จะต้องพร้อมปฏิบัติงานได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบข่าวปลอมที่อิงอยู่กับมาตรฐานของ “เครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริงนานาชาติ” (International Fact-Checking Network – IFCN)” ซึ่งได้กำหนด “ชุดหลักการ” (code of principles) ของเครือข่ายไว้ประมาณ 5 ข้อ ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกที่มีการทำงานด้านต่อต้านและป้องกันข่าวปลอมใช้อ้างอิง อาทิ  ยุโรป สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลระดับโลกด้วย สำหรับชุดหลักการ ที่คาดว่าจะใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาข่าวปลอมที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินต่อประชาชน สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม ตลอดจนข่าวที่ทำลายภาพลักษณ์ต่อประเทศ โดยจะครอบคลุมหัวข้อ  ความเที่ยงธรรมและความปราศจากอคติในการคัดเลือกข่าว, ความเป็นส่วนบุคคลกับสิทธิเสรีภาพของการนำเสนอข่าว, การขัดกันด้านผลประโยชน์ และผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง, ให้ความเป็นธรรมแก่ฝ่ายที่ถูกพาดพิงและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเท่าเทียมกัน, สามารถอธิบายกระบวนการการพิสูจน์ การตรวจสอบ แหล่งที่มาของบทความและข้อเท็จจริงต่างๆ ได้, มีความรู้เกี่ยวกับข่าวนั้นๆ ทั้งประชาชนจะสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงในด้านต่างๆ ได้อย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ และโปร่งใส เป็นหน่วยงานที่อิสระ ไม่ขึ้นต่ออิทธิพลของหน่วยงานหรือองค์กรใดๆ เป็นต้น พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ “หากประเทศไทยเดินเข้าสู่มาตรฐาน IFCN ได้ ก็จะทำให้สามารถเข้าสู่แพลตฟอร์มโซเชียลระดับโลกของเอกชนได้ด้วย เมื่อมีแจ้งผลการตรวจสอบข่าวปลอม และยืนยันข้อมูลที่ถูกต้องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งมีตัวแทนร่วมอยู่ในคณะกรรมการฯ ก็จะได้รับความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง และสกัดกั้นการแพร่กระจายข่าวปลอมที่สร้างผลกระทบและความเสียหายในวงกว้าง” ทั้งยังเป็นที่ยอมรับในระดับสากลว่าประเทศไทยเป็นอีกประเทศที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม และมีกระบวนการที่สร้างความมีส่วนร่วมกับประชาชนในการทำงานด้านนี้ โดยมุ่งให้ได้มาตรฐานสากล นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ยังเปิดเผยว่า ที่ประชุม “คณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน” เมื่อ 29 สิงหาคม 2562 ได้สรุปสาระสำคัญใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.เห็นชอบหลักเกณฑ์ในการพิจารณาข่าวปลอมที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินต่อประชาชนโดยตรง เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ข่าวที่สร้างความแตกแยกในสังคม ข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคมตลอดจนข่าวที่ทำลายภาพลักษณ์ต่อประเทศ 2.แนวทางการดำเนินงานเร่งด่วน ได้แก่ การเร่งประสานความร่วมมือในการปฏิบัติกับเครือข่ายเฟซบุ๊ก ไลน์ กูเกิล และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ และประชุมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์คชอป) กับหน่วยงานภาครัฐ ก่อนที่จะมีการเปิดศูนย์ฯ เพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติงานในทิศทางเดียวกัน รายชื่อบุคคลผู้ติดต่อของแต่ละหน่วยงานเพื่อให้ตรวจเช็คข้อมูลและยืนยันความถูกต้องให้ประชาชนได้ภายใน 1 ชั่วโมง และเปิดตัวเว็บไซต์ FACT checking Thailand มีการทำงานในลักษณะออนไลน์ และออฟไลน์ ทั้งยังตั้งคณะอนุกรรมการฯ เพื่อหนุนการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ใน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภัยพิบัติ, เศรษฐกิจ การเงินการธนาคาร-หุ้น , ผลิตภัณฑ์สุขภาพ-สินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่น และกลุ่มนโยบายรัฐบาล-ข่าวสารที่กระทบสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงในประเทศ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-366034

จำนวนผู้อ่าน: 1693

30 สิงหาคม 2019

https://www.prachachat.net/property/news-365988

แฟ้มภาพ ความคืบหน้ากรณีกระทรวงคมนาคมเร่งหาข้อสรุปแนวทางยุติข้อพิพาท ระหว่าง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.)  กับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) หลังจาก กทพ. ถูก BEM ฟ้องศาลฐานทำผิดสัญญา มูลค่าความเสียหายนับแสนล้านบาท ซึ่งศาลปกครองสูงสุด สั่งให้ กทพ. ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ BEM เป็นวงเงินรวมกว่า 4,000 ล้านบาท และมีคดีต่างๆ รอการตัดสินอีกหลายคดี ขณะที่เสียงส่วนใหญ่กรรมาธิการของสภาฯ มีมติว่าเห็นชอบแนวทางเจรจายุติข้อพิพาทด้วยการที่ กทพ. ขยายอายุสัมปทานด่วนขั้นที่สองให้กับ BEM แลกกับการยุติคดีความทั้งหมด และ BEM ต้องยอมจ่ายค่าลงทุนสร้างทางด่วนสองชั้น หรือ Double Deck เพื่อให้ลดปัญหาจราจรติดขัดเพื่อให้ผู้ใช้ทางได้ประโยชน์ ตามที่เสนอข่าวมาตามลำดับนั้น มีรายงานว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ  รมว.คมนาคม เปิดเผยกรณีการแก้ไขข้อพิพาทระหว่าง กทพ. กับ BEM และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด หรือ NECL ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BEM ว่า คณะทำงานกระทรวงคมนาคม โดยนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดคมนาคม จะไปทำรายละเอียดตัวเลขและข้อมูลเพิ่มเติมภายใน 7 วัน ส่วนประเด็น Double Deck นายศักดิ์สยามระบุว่า ยังไม่จำเป็น เนื่องจากไม่อยู่ในสัญญา ฉะนั้นต้องไปดูว่าถ้าไม่มี Double Deck จะเป็นอย่างไร ปัจจุบันยังไม่เห็นตัวเลข  ส่วนกรณีกรรมาธิการฯ เห็นด้วยกับการต่อสัมปทานให้ BEM เป็นเรื่องของกรรมาธิการฯ แต่ตนยังต้องการให้มีการพิจารณาเพิ่มเติมเรื่องการจะทำ หรือไม่ทำ Double Deck รายงานข่าวแจ้งว่า แนวคิดของนายศักดิ์สยามที่มีแนวโน้มว่าจะไม่ให้ทำ Double Deck สวนทางกับทั้งมติคณะรัฐมนตรี (ครม.), เอกสารรายงานเรื่องแนวทางการเจรจาของกทพ. รวมถึงแนวทางของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะมติคณะรัฐมนตรีชุดที่ผ่านมาก็ให้ความเห็นชอบกับแนวทางเจรจาระหว่าง กทพ. กับ BEM เพื่อยุติข้อพิพาท เช่นเดียวกับ กทพ. เองได้ทำรายงานออกมาว่าแนวทางการยุติข้อพิพาทด้วยการขยายสัมปทานทางด่วนให้กับ BEM และให้ BEM ต้องลงทุนสร้างทางด่วนสองชั้น หรือ  Double Deck เองเพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดบนทางด่วนขั้นสองแลกกับการยุติข้อพิพาททั้งหมดและรัฐไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแพ้คดีให้ฝ่ายเอกชน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-365988

จำนวนผู้อ่าน: 1702

30 สิงหาคม 2019

“ไทยพาณิชย์”ตรึงดอกเบี้ยเงินฝากรายย่อย

ธ.ไทยพาณิชย์ชี้ยังไม่มีแผนลดดอกเบี้ยฝากรายย่อย ชี้ใช้วิธีไม่เพิ่มดบ.ให้ลูกค้ารายใหญ่/วงเงินฝากสูง ตั้งเป้าช่วยลูกค้าผ่านช่วงศก.เปราะบาง ย้ำจะพยายามดูแล-ตรึงดบ.ฝากให้นานที่สุด นาย​อาทิตย์​ นันทวิทยา​ ประธาน​เจ้า​หน้าที่​บริหาร​และ​ประธาน​กรรม​การบริหาร​ ธนาคาร​ไทยพาณิชย์ ​(SCB​) เปิดเผยว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ยังไม่มีแผนจะลดดอกเบี้ยเงินฝากหลังมีธนาคารพาณิชย์ประกาศลดดอกเบี้ยเงินฝากเมื่อไม่นานมานี้ โดยชี้ว่าในระบบธนาคารเมื่อมีธนาคารหนึ่งทำอะไร ธนาคารที่เหลือในระบบจะต้องนำมาพิจารณา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมองว่าการพยุงหรือช่วยเหลือลูกค้าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ธนาคารไทยพาณิชย์จึงมีการพิจารณาว่าการปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยที่ทำอยู่จะไม่กระทบผู้ฝากรายย่อย​ “เราทำไปแล้วในเรื่องของดอกเบี้ยเงินฝากที่กระทบกับคนที่มีรายได้สูงหรือคนที่ฝากเงินในวงเงินที่สูง อย่างตอนที่มีการประกาศเพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย เราก็ไม่ได้เพิ่มดอกเบี้ยในกลุ่มลูกค้ารายใหญ่เพื่อสู้กับธนาคารอื่นๆ ดังนั้น ในปัจจุบันที่มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาเราจึงไม่ต้องประกาศปรับลด” นายอาทิตย์ กล่าว ทั้งนี้ สำหรับธนาคารไทยพาณิชย์ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าองค์กร นิติบุคคล บุคคลธรรมดา ฯลฯ ดอกเบี้ยเงินฝากจะลดลงหากมีการฝากเงินก้อนขนาดใหญ่ หรือไม่มีการให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากอัตราปกติ ขณะที่ในส่วนของดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของลูกค้าทั่วไปชี้ว่า ธนาคารไม่ได้เสนออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากปกติเช่นกัน ยกเว้นเงินฝากออมทรัพย์พิเศษของลูกค้าองค์กร “ในช่วงนี้สำหรับลูกค้ารายย่อยหรือลูกค้าที่มีรายได้น้อย จะพยายามดูแลและตรึงอัตราดอกเบี้ยให้นานที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบกับลูกค้ากลุ่มดังกล่าว ในภาวะที่เศรษฐกิจเปราะบางแบบนี้ แบงก์จะคิดแต่ตัวเองไม่ได้เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่รอดแบงก์ก็ไม่รอด แม้ว่าตอนนี้ธนาคารไทยพาณิชย์จะยังไม่มีแผนออกมาตรการพิเศษเพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยก็ตาม แต่ธนาคารต้องทำให้ตัวเองแข็งแรงเพื่อที่จะช่วยเหลือคนอื่นๆ ต่อไปได้” นายอาทิตย์ กล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-365981

จำนวนผู้อ่าน: 1577

30 สิงหาคม 2019

กรมอุตุฯออกประกาศเตือนภัย พายุโซนร้อน“โพดุล” ฉบับที่ 6

วันที่ 29 สิงหาคม 2562 เมื่อเวลา 17. 00 น. กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือนภัยลักษณะอากาศ ฉบับที่ 6 เรื่อง “พายุระดับ 3 (โซนร้อน) “โพดุล” (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 1 กันยายน 2562)” ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (29 สิงหาคม 2562) พายุระดับ 3 (โซนร้อน) “โพดุล” บริเวณทะเลจีนใต้ มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 300 กิโลเมตร ทางด้านตะวันออกของเมืองดองฮอย ประเทศเวียดนาม หรือที่ละติจูด 17.6 องศาเหนือ ลองจิจูด 109.4 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า จะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในวันพรุ่งนี้ (30 สิงหาคม 2562) หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน และเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศลาว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยต่อไป ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งกับมีลมแรงในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยจะเริ่มมีผลกระทบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน หลังจากนั้นภาคเหนือและภาคอื่น ๆ จะมีผลกระทบในระยะต่อไป ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เสี่ยงภัยที่ลาดเชิงเขาและใกล้ทางน้ำไหลไว้ด้วย คาดว่าพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ มีดังนี้ วันที่ 29 สิงหาคม 2562 บริเวณที่มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงราย ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดบึงกาฬ หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู นครพนม สกลนคร มุกดาหาร อำนาญเจริญ ยโสธร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี ลพบุรี และสระบุรี ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ในช่วงวันที่ 30-31 สิงหาคม 2562 บริเวณที่มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ยโสธร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา มหาสารคาม ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาคกลาง: จังหวัดกาญจนบุรี อุทัยธานี สุพรรณบุรี ชัยนาท และนครสวรรค์ ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล วันที่ 1 กันยายน 2562 บริเวณที่มีฝนตกหนัก ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย และกำแพงเพชร ภาคกลาง: จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี สุพรรณบุรี และชัยนาท ภาคตะวันออก: จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ระนอง พังงา และภูเก็ต อนึ่ง ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่พายุระดับ 3 (โซนร้อน) “โพดุล” ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบนงดออกจากฝั่ง จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์ กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประกาศ ณ วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปใน วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 23.00 น. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-365962

จำนวนผู้อ่าน: 1602

30 สิงหาคม 2019

“เซ็นทรัล” ฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทอท. ปิดทางเข้า – ออก “เซ็นทรัล วิลเลจ”

วันที่ 28 สิงหาคม 2562 ที่ศาลปกครอง ศาลปกครองกลางนัดไต่สวน คดีที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ยื่นฟ้อง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและกระทำละเมิด กรณีบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด กับพวก ได้รับอนุญาตให้ทำทางเชื่อมในเขตทางหลวงได้เป็นการชั่วคราวจากผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน แต่เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2562 แต่ ทอท. ตั้งเต็นท์ขวางทางเข้าออกโครงการเพื่อตัดคันหินทางเท้าเปิดทางเชื่อมในเขตทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ตอนทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้านถนนบางนา-บางวัว (ที่ กม. 1+927 และ กม. 2+127 ด้านขวาทาง เพื่อใช้เป็นทางเข้า-ออกของโครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่เอาท์เล็ต เป็นเหตุให้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด กับพวก ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ภายหลังการไต่สวนนานกว่า 4 ชั่วโมงครึ่ง นางสาวชนาลัย ฉายากุล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.เปิดเผยว่า ได้เบิกความตามข้อเท็จจรงตามที่กรรมการผู้อำนวยการใหญ่มอบอำนาจมา ซึ่งศาลปกครองจะนำข้อเท็จจริงกลับไปประชุมองค์คณะก่อน ส่วนศูนย์การค้าเซ็นทรัล วิลเลจ จะเปิดให้บริการในวันที่ 31 ส.ค.นี้ ได้หรือไม่ เนื่องจากมีการขวางทางเข้าออกนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล ตนเป็นผู้รับมอบอำนาจให้มาเบิกความตามข้อเท็จจริงกับทางศาลเท่านั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า หากในวันที่ 31 ส.ค.ผู้ใช้บริการศูนย์การค้าจอดบริเวณหน้าศูนย์การค้าจะเป็นอย่างไร นางชนาลัย กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับหน้างาน ซึ่งฝ่ายหน้างานจะต้องไปอำนวยความสะดวกเรื่องทางเข้า-ออก ท่าอากาศยาน แก่ผู้ใช้บริการ ด้านนายเขมจิต ชุ่มวัฒนะ หัวหน้าทีมกฎหมาย บมจ.เซนทรัลพัฒนา กล่าวว่า ได้ขอให้ศาลปกครองคุ้มครองชั่วคราวให้ ทอท.เปิดเส้นทางเข้าออกโครงการ หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาล นอกจากนี้ ได้เรียกร้องค่าเสียหายจาก ทอท.แต่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ โดยหลังจากนั้น ทางเซ็นทรัล ได้ยืนยันการเปิดโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2562 จะเปิดตามกำหนดเดิม ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น. คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่…รอศาลชี้ขาด‘เซ็นทรัลวิลเลจ’ ปมลึกรุกที่รัฐ-หวั่นอีเวนต์รบกวนการบิน คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่… ‘เซ็นทรัล วิลเลจ’ ไม่ถอย แจงปมถี่ยิบ ลั่นเปิดแน่ 31 ส.ค.นี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-365602

จำนวนผู้อ่าน: 1663

30 สิงหาคม 2019

‘บิ๊กป้อม’ยัน ยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีน-อินเดีย 1 ปีนานไป

แฟ้มภาพ  พล.อ.ประวิตร ยืนยัน ยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวชาวจีน-อินเดีย 1 ปีนานไป 15-30 วันพอได้ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีไม่เห็นด้วยกับมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa) เพื่อการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ว่า ไม่ได้ค้านทั้งหมด แต่การยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีนและอินเดียระยะเวลา 1 ปี (ต.ค.62-ก.ย.63) นานเกินไป “ถ้าระยะสั้นๆก็พอจะได้ นานๆไม่ได้ เช่น 15 วัน สองสัปดาห์ 1 เดือน ถ้าระยะยาวคงไม่ไหว” คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่…จ่อเปิดฟรีวีซ่า‘จีน-อินเดีย’ อัดยาแรงฟื้นท่องเที่ยวไทย   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-362054

จำนวนผู้อ่าน: 1759

20 สิงหาคม 2019

ค่าเงินบาท​ทรงตัวที่​ 30.83 บาท/ดอลลาร์​ แกว่งตัวกรอบแคบ

ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้​ (20​ ส.ค.)​ ที่ระดับ 30.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ ไม่เปลี่ยนแปลงจากสิ้นวันทำการก่อนหน้า​ สำหรับ​กรอบค่าเงินบาทวันนี้​ อยู่​ที่​ 30.80-30.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ “แม้ว่าภาพตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในโหมด Risk On แต่ไม่ถือเป็นบวกกับสินทรัพย์ในไทยมากนัก สินทรัพย์ปลอดภัยที่เคยได้รับแรงหนุนจากดอกเบี้ยต่ำ เริ่มเจอแรงต้านเมื่อนักลงทุนทยอยขายทำกำไรบอนด์ไทย ขณะที่ในฝั่งสินทรัพย์เสี่ยง หุ้นไทยกลับไม่ได้รับความสนใจ และถูกนักลงทุนต่างชาติเทขายด้วย ภาวะเช่นนี้จะทำให้เงินบาทซื้อขายในกรอบแคบแคบ แม้บาทจะอ่อนค่า ก็จะถูกกดด้วยแรงขายของผู้ส่งออกที่ระดับบ 30.90-31.00 บาทต่อดอลลาร์ ต้องรอให้ตลาดพลิกไปปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) ดอลลาร์จึงจะก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้​” ดร.จิติพลกล่าว​ ทั้งนี้​ ในคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) หลังจากทางการสหรัฐฯ อนุญาตให้บริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยีซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐฯได้อีก 90 วัน นักลงทุนจึงคลายความวิตกกับปัญหาสงครามการค้า นอกจากนี้จีนและเยอรมนีก็มีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคลายความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกลงอีกขั้น ภาวะตลาดดังกล่าวส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นทั้งหมด ดัชนี S&P500  FTSE100 และ STOXX50 ปิดบวก 1.2% 1.0% และ 1.2% ตามลำดับ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวบวก 2.0% ปิดที่ระดับ 59.8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในทางกลับกัน สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven assets) เผชิญกับแรงเทขาย หลังเฟดพลิกมุมมอง ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบันดีเกินกว่าที่เฟดจะต้องลดดอกเบี้ยต่อ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 5.1bps มาที่ระดับ 1.60% เงินเยนอ่อนค่าลง 0.2% และราคาทองคำดิ่งลง 1.1% สู่ระดับ 1,496 ดอลลาร์ต่อออนซ์ “สำหรับวันนี้ ต้องระวังความเสี่ยงการเมืองในอิตาลี เมื่อนายกรัฐมนตรี Giuseppe Conte ต้องเผชิญกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ (Vote of No-Confidence) จากวุฒิสภาที่อาจนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ในปีนี้” ดร.จิติพล​กล่าว​ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-362051

จำนวนผู้อ่าน: 1811

20 สิงหาคม 2019

คลิปนาทีเดือดกลางห้อง! ‘สิระ’ โต้เถียง นายกเทศมนตรีกะรน

สิระ เข้าพบผู้ว่าภูเก็ต และนายกเทศมนตรีตำบลกะรน ก่อนโต้เถียงกันเดือด – จังหวัดแต่งตั้งคณะทำงานในการตรวจสอบข้อเท็จจริงภายในเวลา 30 วัน เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2562 ห้องรับรองชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยนายศาสตรา ศรีปาน, นายพยม พรหมเพชร และร.ต.อ.อรุณ สวัสดี ส.ส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ และคณะ เข้าพบนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต, นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ที่ดินจังหวัดภูเก็ต โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดภูเก็ต ท้องถิ่นจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น เพื่อหารือกรณีได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่กะตะน้อย ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต ว่า ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการเดอะพีช เรสซิเดนซ์ ของบริษัท กะตะ บีช จำกัด ซึ่งเป็นคอนโดหรู และเอกสารสิทธิที่ดินแปลงดังกล่าว คือ นส.3 ก ศาลปกครองชั้นต้นนครศรีธรรมราช ได้มีคำสั่งให้เพิกถอน แต่เทศบาลตำบลกะรนยังอนุญาตให้ก่อสร้างโครงการดังกล่าว โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนรับฟังแต่อย่างใด ต่อจากนั้นที่ห้องประชุมชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายสิระ เจนจาคะ พร้อมคณะ ได้มาพบปะและพูดคุยกับนายทวี ทองแช่ม นายกเทศมนตรีกะรน พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้อง โดยได้มีการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อสรุปที่ได้จากการหารือกับผู้ว่าฯ ภูเก็ต ว่า ทางจังหวัดจะแต่งตั้งคณะทำงานในการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว โดยมีรองผู้ว่าฯ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และจะตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในเวลา 30 วัน โดยจะตรวจสอบในประเด็นที่มองว่า ยังไม่มีความชัดเจน เช่น การศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอว่า ดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ เพราะได้รับข้อมูลว่า กำนันผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว, กรณีของ นส.3 ที่ทางเทศบาลฯ อ้างว่ามีลำรางสาธารณะ แต่จากการตรวจสอบในเอกสารสิทธิไม่มีลำรางแต่อย่างใด, การออกใบอนุญาตก่อสร้างถูกต้องหรือไม่ และทราบว่าใบอนุญาตหมดอายุแล้ว ทำไมยังก่อสร้างอยู่, นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ชาวบ้านร้องเรียนว่า ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้าง เนื่องจากในช่วงฝนตกหนักจะมีน้ำไหลลงมาด้านล่าง ท่วมพื้นผิวจราจรและบ้านเรือน และขอให้เทศบาลฯ สั่งระงับการก่อสร้างแต่ยังไม่มีคำสั่งแต่อย่างใด และในการขออนุญาตก่อสร้างเป็นที่พักอาศัยรวม แต่เมื่อก่อสร้างจริงกลับเป็นการสร้างอาคารคอนโดมิเนียมเพื่อขายให้คนต่างชาติ และเป็นไปตามแบบที่ขออนุญาตหรือไม่ “จากข้อมูลความผิดปกติดังกล่าว หากยังปล่อยให้มีการก่อสร้างต่อไปอีก จะกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ เพราะคอนโดมิเนียมจำนวนกว่า 400 ห้อง และมีการขายให้คนต่างชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการผ่อนดาวน์ และหากมีคำสั่งศาลปกครองถึงที่สุด และให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ นส.3 ผู้เสียหายคือคนต่างชาติ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะมีฟ้องร้องรัฐ เพื่อเรียกร้องค่าชดเชย ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี ถามว่าคนไทยทั้งประเทศจะยอมหรือ” นายสิระ กล่าวด้วยว่า หากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ที่ตั้งขึ้นโยจังหวัดนั้น พบว่ามีความผิด ได้เสนอผู้ว่าฯ ขอให้มีคำสั่งให้นายกเทศมนตรีฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้ย้ายผู้อำนวยการกองช่างฯ ออกจากพื้นที่ทันที รวมทั้งจะไปแจ้งกับยัง ปปช.ให้ตรวจสอบการทำงานของนายกฯ และ ผู้อำนวยการกองช่างฯ ที่ปล่อยปละละเลย หรือเข้าข่ายละเว้นหรือไม่ รวมทั้งยื่นเรื่องให้ ปปง.ตรวจสอบทรัพย์สินของข้าราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย ขณะที่นายทวี ทองแช่ม นายกเทศมนตรีตำบลกะรน กล่าวชี้แจงว่า การอนุญาตก่อสร้างโครงการดังกล่าวนั้น เทศบาลตำบลกะรนได้ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนของกฎหมาย เนื่องจากมีการยื่นเอกสารต่างๆ มาอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งได้ขอให้ทางนิติกรชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม แต่นายสิระ ได้ตั้งคำถามเพิ่มว่า กรณีที่ชาวบ้านร้องเรียนว่า ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการดังกล่าวนั้น และใบอนุญาตหมดอายุ นายกฯทราบเรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งนายกเทศมนตรีตำบลกะรน ชี้แจงว่า เทศบาลฯ ได้มีคำสั่งระงับการก่อสร้างไปแล้วเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ไม่เกิดผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยนายสิระฯ ได้สวนกลับ ว่า เพราะรู้ว่าตนและคณะจะลงมาพื้นที่ใช่ไหม ซึ่งนายทวี ได้โต้กลับไปว่า ไม่ใช่ เนื่องจากเทศบาลฯ ได้รับการร้องเรียนเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา และได้เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งพบว่า ชาวบ้านได้รับผลกระทบจริง จึงได้มีคำสั่งระงับการก่อสร้างชั่วคราว และให้ทางโครงการไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับชาวบ้านตามมาตรการผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้ทางโครงการดำเนินการอยู่ นายทวี กล่าวต่อว่า ตัวเองเป็นคนกะรน และอยู่ในพื้นที่มามากว่า 70 ปีแล้ว ทราบดีว่าปัญหาน้ำท่วมที่บริเวณหาดกะตะน้อยนั้น ที่ผ่านมาก็มีปัญหามาโดยตลอด ก่อนที่จะมีโครงการ และหลังจากมีโครงการก็อาจจะมีในเรื่องของดินไหลลงมาด้วย ซึ่งสั่งการให้แก้ไขแล้ว แต่สาเหตุอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้น้ำท่วมขัง คลองบางรักซึ่งเป็นคลองสาธารณะถูกออกเอกสารสิทธิทับ และมีการถมจนน้ำไม่มีทางไป จนเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น นอกจากนี้นายสิระ ยังได้สอบถามถึงใบอนุญาตที่หมดอายุแล้วแต่ทำไมยังให้ก่อสร้างอยู่ ซึ่งนายทวีได้ชี้แจงว่า การออกใบอนุญาตเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และสามารถที่จะต่อได้อัตโนมัติ ยืนยันว่าดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และที่ดินแปลงนี้ ทางเจ้าพนักงานที่ดินได้ยืนยันว่า ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้องที่ศาลปกครอง ซึ่งเจ้าของกรรมสิทธิยังคงมีสิทธิจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะชี้ชัด ดังนั้นเทศบาลฯ จึงต้องต่อใบอนุญาตให้ หากไม่ต่อใบอนุญาตก็จะถูกเจ้าของที่ดินฟ้องร้องได้ และ เทศบาลฯ จะเอาเงินจากไหนมาจ่ายค่าฟ้องร้อง ซึ่งการดำเนินการทุกอย่างเราก็ทำด้วยความระมัดระวังเช่นกัน ทุกขั้นตอนมีการหารือกับนิติกร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง   อย่างไรก็ตามขณะที่นายสิระ กำลังสอบถามนายทวี ทองแช่ม ในประเด็นต่างๆ ที่ยังสงสัย จะมีการใช้น้ำเสียงที่ค่อนข้างดังและพยายามจี้ให้ตอบในประเด็นต่าง ๆ ทั้งเรื่องใบอนุญาต ใบอนุญาตหมดอายุ นส 3 ก.อนุญาตให้ก่อสร้างคอนโดฯได้อย่างไร ทั้งที่โฉนดที่ดินยังไม่ออก และอีกหลายๆ เรื่อง จนทำให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้น และในระหว่างนั้นก็มีทางรองนายกฯ และสมาชิกสภาฯ มาร่วมชี้แจงด้วย และแสดงอาการไม่พอใจกับพฤติกรรมของนายสิระ ด้วยมองว่า มีลักษณะเหมือนข่มเหงนักการเมืองท้องถิ่น ทั้งๆ ที่ก็เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งมาเหมือนกัน เพียงแต่คนละสนามเท่านั้น พร้อมเรียกร้องให้ตรวจสอบลำรางที่ถูกถมซึ่งอยู่ด้านข้างโรงแรมแห่งหนึ่งด้วย ที่มา:มติชนออนไลน์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-362047

จำนวนผู้อ่าน: 1766

20 สิงหาคม 2019

ร่องมรสุมพาดผ่าน! เตือน 20-23 ส.ค.นี้ เตรียมรับมือฝนตกหนัก

แฟ้มภาพ วันที่ 20 สิงหาคม 2562 กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้าว่า ลักษณะอากาศทั่วไป บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน มีการกระจายของฝนมากกว่าบริเวณอื่น สำหรับทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง ในช่วงวันที่ 20 – 23 ส.ค. 62 ร่องมรสุมพาดจะผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยตอนบน ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน มีการกระจายของฝนมากกว่าบริเวณอื่น พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และตาก อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคกลาง มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ ลพบุรี และสระบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ภาคตะวันออก มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม/ชม ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-362045

จำนวนผู้อ่าน: 1602

20 สิงหาคม 2019

ครึ่งปีแรกพัทยาพึ่งตัวช่วย “ต่างชาติ” ช็อปคอนโดฯเต็มโควตา 49%

หลากปัจจัยรุมเร้า กำลังซื้อคนไทยหดหาย แต่ตลาดคอนโดมิเนียมเมืองพัทยายังมีตัวช่วยจากกำลังซื้อลูกค้าต่างชาติห้องชุดเหลือขาย 1.6 หมื่นยูนิต “ภัทรชัย ทวีวงศ์” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดผลสำรวจ ณ ครึ่งปีแรก 2562 ทำเลเมืองพัทยาในส่วนโควตาขายคอนโดฯให้ลูกค้าต่างชาติเต็ม 49% ในทุกพื้นที่ เหลือแค่บางโครงการในเขตจอมเทียน-นาจอมเทียนเท่านั้น ทั้งนี้ สถิติครึ่งปีแรกมีห้องชุดเปิดตัวใหม่ 4,945 ยูนิต ลดลง 1,656 ยูนิต เทียบกับช่วงครึ่งปีหลัง 2561 หรือ -25.1% และเทียบกับครึ่งปีแรก 2561 พบว่าเพิ่มขึ้นถึง 35.9% ในด้านอัตราขายได้ แม้มีสัดส่วน 72% ถือว่าสูง อย่างไรก็ตาม สต๊อกในภาพรวมกลับเพิ่มขึ้น โดยปลายปี 2561 มีห้องชุดเหลือขายในตลาดรวมกัน 12,000 ยูนิต อัพเดตล่าสุด ครึ่งปีแรก 2562 เพิ่มเป็น 16,000 ยูนิต เหตุผลเพราะแม้ขายดี แต่ก็มีซัพพลายใหม่แข่งกันเปิดตัวเพิ่ม รวมทั้งพัฒนาในรูปแบบโครงการขนาดใหญ่ ปัจจัยสนับสนุนมาจากเทรนด์การลงทุนโครงการมิกซ์ยูสของยักษ์ธุรกิจเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น “เทอร์มินอล 21 พัทยา” โรงแรมหรู 25 ชั้น 396 ห้อง รวมพื้นที่ 161,000 ตารางเมตร ของบริษัท สยาม รีเทล ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ในเครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เมื่อปลายปี 2561 บนทำเลพัทยาเหนือ ใจกลางแยกวงเวียนปลาโลมา, กลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ในเครือทีซีซีกรุ๊ป ของกลุ่มเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ประกาศแผนลงทุนบนพื้นที่ใจกลางพัทยา ลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท, เจ้าสัว ซี.พี. แห่งตระกูลเจียรวนนท์ ปักหมุดบิ๊กโปรเจ็กต์บนจังก์ชั่นถนนตัดใหม่ รอความสุกงอมก็พร้อมจะขึ้นโครงการมิกซ์ยูสเช่นเดียวกัน ทำเลแข่งขันสูง นอกจากโซนใจกลางพัทยาแล้ว สปอตไลต์ฉายส่องไปที่ “จอมเทียน-นาจอมเทียน” โดยช่วง 5 ปี (2557-2561) มีการเปิดตัวใหม่สะสม 50 โครงการ จนทำให้เกิดภาวะ “โอเวอร์อินเวสต์เมนต์” บางโครงการถอดใจหยุดการขาย บางรายมีการซื้อขายเปลี่ยนมือเจ้าของโครงการ โดยมีบิ๊กแบรนด์อสังหาริมทรัพย์เข้าไปช็อปซื้อและเตรียมลอนช์โครงการใหม่ โดยโซนพระตำหนักมีข้อจำกัดผังเมือง ทำให้ไซซิ่งทำได้เพียงโปรเจ็กต์ขนาดกลาง-เล็ก ในขณะที่โซนจอมเทียนโดดเด้งสุดเพราะมีถนนตัดใหม่ “จอมเทียน สาย 2” ทำให้เปิดหน้าดินโครงการที่อยู่อาศัย หลายคนเข้าไปเปิดไซต์โครงการตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน ในด้านราคา พบว่า “หาดวงอมาตย์” ยูนิตเหลือขายสะสม 880 ยูนิต แต่มีราคาเฉลี่ย 1.6 แสนบาท/ตารางเมตร และมากกว่า 1.3 แสนบาท/ตารางเมตร ในพื้นที่ริมหาดอื่น ๆ ส่วนทำเลโอเวอร์อินเวสต์เมนต์อย่าง “จอมเทียน” ทำเลตามแนวถนนจอมเทียน สาย 2 มีให้เห็นตั้งแต่ 5 หมื่นบาท/ตารางเมตร ส่วนทำเลริมชายหาดทะลุ 1.2 แสนบาท/ตารางเมตร บางโครงการที่มีราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่โครงการริมชายหาดบางโครงการขายได้มากกว่า 120,000 บาทต่อตารางเมตร ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-362017  

จำนวนผู้อ่าน: 1692

20 สิงหาคม 2019

“สนธิรัตน์” มอบโจทย์ปตท.3ข้อ มั่นคงพลังงาน-ช่วยชุมชนฐานราก-แข็งแกร่งตปท. ส่อขยับโออาร์เข้าตลท.ปี’63

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการหารือร่วมกับนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ต่อกรณีการที่ ปตท.เตรียมนำบริษัท ปตท.น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ปีนี้ ว่าได้ตั้งโจทย์กับ ปตท. 3 ข้อ และให้ทำแผนกลับมาให้กระทรวงพลังงานพิจารณาเดือนกันยายนนี้ เพราะการที่โออาร์จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ต้องตอบคำถามสังคมไทยข้อแรกจะสามารถสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานได้อย่างไร โดยเฉพาะประเด็นการดูแล สนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้ ขณะเดียวกันเป้าหมายการเข้าตลาดฯของโออาร์ควรเน้นการสร้างความแข็งแกร่งในตลาดต่างประเทศ พาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ไทยไปเติบโต “นโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้มอบหมายให้พลังงานสร้างความแข็งแกร่งให้ชุมชนฐานราก จะพบว่าภารกิจล้วนเกี่ยวข้องกับโออาร์ทั้งหมด ดังนั้นหากโออาร์จะเข้าตลาดฯก็ควรเน้นการสนับสนุนชุมชน ส่วนความต้องการสร้างรายได้ กำไรนั้น หัวใจควรไปเน้นต่างประเทศ ไม่ใช่ในประเทศไทย โดยแผนการเข้าตลาดฯจะขยับเป็นปี 2563 แทน” นายสนธิรัตน์กล่าว นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในอดีตภาพธุรกิจของ ปตท.อาจไม่ได้ลงลึกถึงชุมชนขนาดนี้ แต่ภายในรัฐบาลปัจจุบัน ธุรกิจของ ปตท. โดยเฉพาะโออาร์จะต้องทำหน้าที่ในสนับสนุนสังคม ภายใต้โครงการต่างๆ อาทิ ไทยเด็ดที่ปตท.สนับสนุนสินค้าชุมชนไปจำหน่ายภายในสถานีบริการ (ปั๊ม) ทั่วประเทศ การศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตปุ๋ยสั่งตัดเพื่อจำหน่ายให้เกษตรกรในราคาถูกกว่าท้องตลาด หรืออาจสนับสนุนเงินทุน หรือสินเชื่อให้เกษตร ผ่านความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ส่วนการทำตลาดต่างประเทศก็สร้างความเข้มแข็งเป็นผู้นำในเอเชีย เจาะตลาดประเทศต่างๆ อาทิ เมียนมา กัมพูชา ลาว สำหรับกรณีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดประมูลนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) 1.5 ล้านตัน แต่ ปตท.แสดงความกังวลว่าจะภาระไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take or Pay) สัปดาห์นี้จะเชิญ กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม เพราะประเด็นสำคัญตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) นำเข้าแอลเอ็นจีเป็นรายที่ 2 ต่อจาก กฟผ.นั้น ไม่ใช่เน้นเรื่องนำเข้าหรือไม่นำเข้า แต่เป้าหมายคือต้องการให้ไทยเป็นผู้นำแอลเอ็นจีของภูมิภาค ดังนั้นในการหารือทุกหน่วยงานต้องลดความเป็นองค์กร ต้องดูจัดแข็งจุดอ่อน ไม่ควรยึดว่าตนคือ ปตท. ตนคือ กฟผ. ส่วนเงื่อนเวลาการนำเข้าแม้เดิมกำหนดปีนี้ก็สามารถขยับได้ เพราะไม่ต้องการให้กระดุมเม็ดแรกของไทยต้องผิด และต้องตามแก้ไขภายหลัง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-362034

จำนวนผู้อ่าน: 1747

20 สิงหาคม 2019

ตามคาด! BTS-กัลฟ์-ซิโนไทย-ราชบุรี ดัมพ์ราคา 36% ซิวเรียบระบบเก็บเงินมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราชและบางใหญ่-กาญจน์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังกรมทางหลวง (ทล.) เปิดยื่นซองประมูลติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงิน (O&M) มอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี รูปแบบ PPP gorss cost ระยะเวลา 30 ปี มูลค่า 61,086 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมี 3 กลุ่มทุนร่วมยื่นซองประมูลทั้ง 2 โครงการ ได้แก่1.บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) 2.กลุ่มกิจการร่วมค้า UN-CCCC ประกอบด้วย บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ บจ.ไชน่า คอมมูนิเคชั่น คอนสตรัคชั่น จากประเทศจีน และ 3.กลุ่มกิจการร่วมค้าบีจีเอสอาร์ ประกอบด้วย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์, บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง นายทวี เกศิสำอาง รองอธิบดีกรมทางหลวงฝ่ายบริหาร ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาโครงการ เปิดเผย ”ประชาชาติธุรกิจ” ว่า วันที่ 19 ส.ค.นี้ ผลเปิดซองราคา ปรากฎว่ามอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช กรอบราคากลาง 33,258 ล้านบาท กลุ่มกิจการร่วมค้าบีจีเอสอาร์ เสนอราคาต่ำสุดอยู่ที่ 21,329 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 36% หรือ11,929 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มกิจการร่วมค้า UN-CCCC เสนอราคาอยู่ที่ 26,289 ล้านบาท ส่วน BEM เสนออยู่ที่ 29,849 ล้านบาท ส่วนสายบางใหญ่-กาญจนบุรี กรอบราคากลาง 27,828 ล้านบาท กลุ่มกิจการร่วมค้าบีจีเอสอาร์เสนอราคาต่ำสุดอยู่ที่ 17,809 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 36% หรือ10,019 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มกิจการร่วมค้า UN-CCCC เสนอราคาอยู่ที่ 23,149 ล้านบาท ส่วนBEMเสนอราคาอยู่ที่ 25,196 ล้านบาท หลังจากนี้จะต้องมีการตรวจสอบเรื่องโมเดลทางการเงินเพื่อยืนยันความถูกต้อง คาดว่าจะสามารถประกาศผลอย่างเป็นทางการได้วันที่ 28 ส.ค.นี้ และเซ็นสัญญาได้ภายในเดือนธ.ค.นี้ สำหรับการลงทุนมี 2 ระยะ ระยะที่ 1 เอกชนออกแบบ ลงทุนก่อสร้างงานระบบและอื่น ๆ ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ระยะที่ 2 เอกชนจะจัดเก็บค่าผ่านทางและบำรุงรักษาตลอด 30 ปี อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม แข่งเดือด! 19 ส.ค.เปิดซองราคาระบบเก็บเงินมอเตอร์เวย์จับตา “BTS-กัลฟ์” ดัมพ์ราคาแข่ง “ยูนิค-จีน-BEM” ปาดเค้ก6หมื่นล้าน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-361853

จำนวนผู้อ่าน: 1756

20 สิงหาคม 2019

อาลัย! ไอซ์แลนด์รำลึกธารน้ำแข็งแห่งแรกที่ละลายจนหมด เพราะภาวะโลกร้อน

(Jeremie RICHARD / AFP) “เดอะการ์เดียน” รายงานว่า ไอซ์แลนด์ได้จัดงานรำลึกให้กับ “โอคโยคุลล์” (Okjokull) ซึ่งเคยเป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ทางทิศตะวันตกของไอซ์แลนด์ แต่ปัจจุบันได้ละลายจนหมดเนื่องจากสภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น (NASA via AP) พิธีดังกล่าวมีชาวไอซ์แลนด์จำนวนมากเดินทางมาร่วม โดยมี “แมรี โรบินสัน” อดีตประธานาธิบดีของไอซ์แลนด์และอดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์จากหลายชาติได้เดินทางไปร่วมงาน นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำแผ่นป้ายทองแดงเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พื้นที่ดังกล่าวด้วย “คาตริน ยาคอปสโตว์ทีร์” นายกรัฐมนตรีของไอซ์แลนด์กล่าวว่า “หวังว่าพิธีในครั้งนี้จะเป็นแรงผลักดันไม่เพียงพวกเราชาวไอซ์แลนด์เท่านั้น แต่ยังในพื้นที่อื่นของโลกด้วย เพราะสิ่งที่เราเห็นที่นี่เป็นเพียงมุมหนึ่งของวิกฤตของสภาพอากาศทั่วโลกเท่านั้น” ส่วนแผ่นป้ายรำลึกมีข้อความจารึกไว้ว่า “จดหมายถึงอนาคต ‘โอค’ เป็นธารน้ำแข็งแห่งแรกของไอซ์แลนด์ที่สูญเสียสถานะความเป็นธารน้ำแข็งไป ในอีก 200 ปีข้างหน้า ธารน้ำแข็งทั้งหมดของเราก็จะละลายไปในแบบเดียวกัน อนุสรณ์นี้ตอกย้ำว่าเรารู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นและอะไรที่จำเป็นต้องทำ คุณเท่านั้นที่รู้ว่าเราต้องทำอะไร” ( Jeremie RICHARD / AFP) ตอนท้ายของแผ่นป้ายดังกล่าวยังระบุระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ที่ “415 ppm CO2” ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดที่วัดได้ในชั้นบรรยากาศเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา จูเลียน ไวซ์ ศาสตราจารย์ด้านอากาศพลศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเบอร์ลินที่ได้เดินทางไปร่วมงานระบุว่า “การได้เห็นธารน้ำแข็งเป็นสิ่งที่คุณสามารถรู้สึกได้ คุณสามารถเข้าใจมัน คุณไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ทุกวัน เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ในความรู้สึกของมนุษย์ แต่เร็วมากในในความเปลี่ยนแปลงระดับธรณีวิทยา” (AP Photo/Felipe Dana) ทั้งนี้ โอคโยคุลล์มีอายุราว 700 ปีโดยเป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งในเขต “ซับอาร์คติก” ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในหลายประเทศทางตอนเหนือของโลก ก่อนที่ นักวิทยาศาสตร์จะลงความเห็นว่าโอคโยคุลล์ได้สิ้นสภาพความเป็นธารน้ำแข็งแล้วตั้งแต่ปี 2014 โดยข้อมูลของมหาวิทยาลัยไอซ์แลนด์ระบุว่า ในปี 1890 ธารน้ำแข็งดังกล่าวกินพื้นที่ราว 16 ตารางกิโลเมตร แต่ในปี 2012 เหลือพื้นที่น้ำแข็งเพียง 0.7 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น ส่วนไอซ์แลนด์ซึ่งมีธารน้ำแข็งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 11% ของพื้นผิวประเทศ กำลังสูญเสียพื้นที่น้ำแข็งราว 11,000 ล้านตันต่อปี นักวิทยาศาสตร์กำลังเกรงว่าธารน้ำแข็งกว่า 400 แห่งบนเกาะไอซ์แลนด์จะละลายทั้งหมดภายในปี 2200 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-361988

จำนวนผู้อ่าน: 1860

20 สิงหาคม 2019

อีก 5 เดือน แบน 3 สารเคมีเกษตร “มนัญญา” เอาจริงชง “คกก.วัตถุอันตราย”

ลุ้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชง “แบน 3 สารเคมี” ต่อที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ก.ย.นี้ ด้านกระทรวงอุตสาหกรรม รับลูกพร้อมห้ามนำเข้าตามกฎหมาย แนะเกษตรกรควรปรับวิธีปลูกพึ่งพาสารเคมีให้น้อยที่สุด นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ทางกระทรวงตั้งเป้าที่จะยกเลิกการใช้สารเคมีเกษตรทั้ง 3 ชนิด ประกอบด้วย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต รวมถึงปุ๋ย ยา และสารเคมีชนิดอื่น ๆ ให้เร็วที่สุดภายในปี 2562 นั่น คือภายในเดือนมกราคม 2563 ต้องหายไปจากประเทศไทยทั้งหมด ระหว่างนี้จึงได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรทบทวนการใช้สารเคมีอันตรายที่มีความเสี่ยงสูง 3 สารเคมีนี้ให้รอบด้าน พร้อมทั้งเข้าตรวจสอบสต๊อกสินค้าที่เหลืออยู่ เพื่อเร่งรัดหาสารทดแทนโดยเร็วที่สุด จากนั้นจะเตรียมเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ในเดือน ก.ย.นี้ ขณะเดียวกัน กระทรวงเกษตรฯอยู่ระหว่างร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ในการอนุญาต พ.ศ. …เพื่อนำมาควบคุมการนำเข้า การผลิต การชะลอ การยกเลิก สำหรับสารเคมีอันตรายที่มีความเสี่ยงสูง ดังเช่น 3 สารดังกล่าว โดย พ.ร.บ.นี้ จะมีแนวทางปฏิบัติเรื่องการต่อทะเบียนการค้าด้วยเช่นกัน ยอมรับว่าแม้จะยาก เพราะต้องผ่านบอร์ดคณะกรรมการหลายชุด หลายหน่วยงาน แต่ตนจะพยายามแก้ไขกฎหมาย และผลักดันเร่งรัดให้เร็วที่สุด “เราได้มีการหารือเรื่องนี้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยืนหยัดในนโยบายนี้อยู่แล้ว ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เป็นไปไม่ได้ที่จะอนุญาตสิ่งผิด ๆ จึงต้องทำให้เด็ดขาดและรวดเร็วขึ้น ความปลอดภัยชีวิตคนไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ย้ำว่าอยากให้จบภายในสิ้นปีนี้ ส่วนตัวอยากให้จบในสิ้นเดือนนี้เลย และจะเสนอคณะกรรมการในการประชุมครั้งต่อไป” นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่มีมติเห็นชอบว่าจะยกเลิก เพียงแต่ได้เสนอการจัดทำมาตรการต่าง ๆ เข้ามาในที่ประชุมเท่านั้น และยังคงให้ทางกระทรวงเกษตรฯไปพิจารณาหาสารอื่นที่จะนำมาชดเชยให้ได้ก่อน “กระทรวงอุตสาหกรรมขอยึดตามที่กระทรวงเกษตรฯเสนอมา เพราะเขาคือหน่วยงานหลักในการศึกษาเรื่องผลกระทบสารทดแทน แนวทางการดูแลเกษตรกร หากการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายครั้งต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมีในเดือน ก.ย. ทางกระทรวงเกษตรฯเสนอแบน 3 สารเคมี และหากที่ประชุมมีมติเห็นชอบก็จะยืนมติดังกล่าว และในฐานะเจ้าของกฎหมายก็จำต้องประกาศห้ามนำเข้าสารเคมีทั้งหมด แต่จะต้องใช้วิธีการทยอยให้ผู้นำเข้ามีเวลาปรับตัว” แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมเกษตรให้ความเห็นว่า สำหรับแนวทางของเกษตรกรสามารถนำสารอื่นมาทดแทนกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องมี 3 สารนี้ไว้ใช้ในแปลงเกษตรก็ได้ เช่น การใช้เกษตรอินทรี หรือการปรับแปลงเกษตร โดยปลูกพืชอื่นแซมในพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้วัชพืชหรือหญ้าสามารถขึ้นได้ จนทำให้นำไปสู่การต้องใช้สารเคมีกำจัด สิ่งสำคัญคือเกษตรกรต้องมีความรู้และปรับวิธีการทำเกษตรใหม่ ส่วนการห้ามนำเข้าตามกฎหมายจะต้องประกาศและกำหนดกรอบให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้นำเข้าสามารถมีเวลาปรับตัว จะ 3 เดือน หรือ 6 เดือนก็ให้กำหนดให้ชัด หรือบางกรณีหากผู้นำเข้าไม่สามารถปรับตัวทัน ก็อาจมีการยืดหยุ่นแต่ต้องไม่เหนือไปกว่าผู้นำเข้ารายอื่นมากนัก ซึ่งจะดูที่เหตุผล ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-361665

จำนวนผู้อ่าน: 1619

20 สิงหาคม 2019

เปิดพิมพ์เขียวย้าย”มหาดไทย” ผุดศูนย์ราชการใหม่ 2.26 แสนตร.ม.

เปิดพิมพ์เขียวกระทรวงมหาดไทยใหม่ย่านคลองสาน 6.6 พันล้าน เนรมิตที่ริมน้ำ 18 ไร่ ผุดศูนย์ราชการ 2.26 แสน ตร.ม. 6 ตึก ที่จอดรถใต้ดิน 3 ชั้นพร้อมท่าเรือ ที่พักข้าราชการ ตจว.สร้าง 3 ปีเริ่มปีหน้า คมนาคมทุ่ม 3.7 พันล้าน ย้ายไปบางซื่อ   มหาดไทยรองบฯปี’63 แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างรออนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณประจำปี 2563 สำหรับใช้ก่อสร้างกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ รองรับการย้ายส่วนราชการออกจากพื้นที่เดิมบริเวณริมคลองหลอด ติดวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวง กรมการปกครอง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมการพัฒนาชุมชน และกรมที่ดิน ตามแผนจะก่อสร้างเป็นศูนย์ราชการแห่งใหม่ ส่วนบริเวณกระทรวงเดิมริมคลองหลอดจะปรับปรุงพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยว อาคารที่ทำการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่จะสร้างบนที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ แปลงหมายเลขทะเบียน กท.1989 แบ่งเป็นพื้นที่แปลงใหญ่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ขนาดเนื้อที่ 18 ไร่เศษ และแปลงเล็กฝั่งตรงข้าม ขนาดเนื้อที่ 3 งาน ที่ตั้งที่ดินอยู่ริมถนนเจริญนคร แขวงบางลำพูล่าง เขตคลองสาน เป็นที่ราชพัสดุแปลงสุดท้ายในย่านนี้ ด้านทิศเหนือจดที่ดินเอกชน ทิศใต้จดที่ดินธรณีสงฆ์วัดเศวตฉัตร ทิศตะวันออกจดแม่น้ำเจ้าพระยา และทิศตะวันตกจดที่ดินเอกชน สภาพพื้นที่เป็นที่ลุ่มมีถนนเข้า-ออก โดยถนนเจริญนครที่ตัดผ่านที่ดินที่ราชพัสดุแปลงนี้ ขนาดความกว้างถนน 30 เมตร ไฟเขียวงบฯก่อสร้าง 6.6 พัน ล. ปัจจุบันราคาประเมินที่ดินอยู่ที่ 110,000 บาท/ตร.ว. ในผังเมืองกำหนดการใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่สีน้ำตาล (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) สามารถสร้างอาคารสำนักงานพื้นที่เกิน 5,000 ตร.ม. แต่ไม่เกิน 10,000 ตร.ม.ได้ และสามารถก่อสร้างอาคารในอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน หรือ FAR 6 : 1 ปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมืองอยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียดอาคารทั้งหมด “เดิมกระทรวงยื่นขอจัดสรรงบฯไป 3,735 ล้านบาท ตอนนั้นคิดบนพื้นฐานโครงการจะสร้างบนที่ดินของกรมชลประทาน เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ แต่เมื่อได้ที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ก็ต้องออกแบบและประเมินค่าก่อสร้างใหม่ ด้วยข้อจำกัดของที่ดินเป็นแปลงเล็ก จะต้องสร้างเป็นตึกสูงหลายตึก งบประมาณก่อสร้างจึงเพิ่มขึ้น เบื้องต้นยื่นเสนอกรอบวงเงินไปประมาณ 6,600 ล้านบาท เป็นงบประมาณผูกพัน 3 ปี ตั้งแต่ 2563-2565 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอทางสำนักงบประมาณอนุมัติ แต่คาดว่าได้รับงบประมาณแน่นอน เพราะได้ตกลงใช้ที่ดินกับกรมธนารักษ์ไว้เรียบร้อยแล้ว” ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 6 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในหลักการการยื่นคำขอตั้งงบฯ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปี โครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย 6,651 ล้านบาท และให้กระทรวงมหาดไทยเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป เนรมิต 6 ตึกสูง 6.6 พันล้าน ขณะที่นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ได้ออกแบบเบื้องต้นศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียดอีก 3 เดือนจะแล้วเสร็จ จากนั้นจะนำแบบโครงการเสนอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณา จะใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี “ด้วยที่ดินมีจำกัดประมาณ 18 ไร่ จะออกแบบให้ใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษ มีชั้นใต้ดิน 3 ชั้น อาคารสำนักงานของกรมต่าง ๆ เป็นอาคารสูง จำนวน 6 อาคาร มีทางเชื่อมต่อกันบริเวณชั้น 1-5 ต่อเนื่องไปถึงพื้นที่เปิดโล่งริมน้ำ ด้านทิศเหนือเป็นห้องอาหารและห้องประชุมอเนกประสงค์ ด้านทิศใต้เป็นลานอเนกประสงค์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชั้นที่ 1 มีลักษณะเป็นโถงขนาดใหญ่ ชั้น 2-4 เป็นพื้นที่สำนักงาน และห้องประชุม ชั้น 5 เป็นพื้นที่นันทนาการ และพื้นที่สีเขียว ตั้งแต่ชั้น 6 ขึ้นไปเป็นพื้นที่สำนักงาน ส่วนที่ดินแปลงเล็กอยู่ฝั่งตรงข้ามจะพัฒนาเป็นอาคารที่พักอาศัยสำหรับข้าราชการส่วนภูมิภาค ที่เดินทางมาราชการที่กระทรวง” พิมพ์เขียวศูนย์ราชการแห่งใหม่ นายมณฑลกล่าวว่า รายละเอียดของโครงการมีพื้นที่ก่อสร้างโดยรวมประมาณ 226,000 ตร.ม. ประกอบด้วย 1.พื้นที่จอดรถเป็นชั้นใต้ดิน ลึก 3 ชั้น พื้นที่รวม 54,000 ตร.ม. จอดรถได้ 1,400 คัน 2.อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานรัฐมนตรี เป็นอาคารสูงประมาณ 15 ชั้น พื้นที่ 23,000 ตร.ม. 3.กรมการปกครอง เป็นอาคารสูง 21 ชั้น พื้นที่ 29,000 ตร.ม. 4.กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นอาคารสูง 17 ชั้น พื้นที่ 22,000 ตร.ม. 5.กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นอาคารสูง 17 ชั้น พื้นที่ 22,500 ตร.ม. 6.กรมการพัฒนาชุมชน เป็นอาคารสูง 15 ชั้น พื้นที่ 19,700 ตร.ม. 7.กรมที่ดิน เป็นอาคารสูง 21 ชั้น พื้นที่ 32,700 ตร.ม. 8.พื้นที่ส่วนกลางภายในอาคาร เช่น ห้องประชุม และโรงอาหาร พื้นที่ 6,800 ตร.ม. 9.พื้นที่ส่วนกลางภายนอกอาคาร เช่น ลานริมน้ำ พื้นที่ 11,200 ตร.ม. 10.งานผังบริเวณ เช่น ถนน ทางเท้า ภูมิทัศน์ทางเข้าโครงการ บริเวณโดยรอบโครงการและบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา และ 11.อาคารที่พักสำหรับข้าราชการ จะเป็นอาคารสูง 7 ชั้น พื้นที่ 3,150 ตร.ม. จำนวน 57 หน่วย โดยจะมีสร้างท่าเรือเพื่อรองรับการเดินทาง และมีสวนชั้นหลังคาด้วย คมนาคมย้ายไปสถานีบางซื่อ ด้านนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในงบประมาณ 2563 กระทรวงได้ขอจัดสรรงบประมาณโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงแห่งใหม่ บริเวณย่านพหลโยธิน (ย่านสถานีกลางบางซื่อ) วงเงิน 3,710 ล้านบาท โดยได้ยืนยันกลับไปยังสำนักงบประมาณว่า จะเสนอขอจัดสรรโครงการนี้ด้วย เนื่องจากได้มีการออกแบบและขอเช่าพื้นที่ จำนวน 11 ไร่ จากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ไว้แล้ว แบ่งเป็น ปีงบประมาณ 2563 จำนวน 741.61 ล้านบาท ปี 2564 จำนวน 1,484.22 ล้านบาท และปี 2565 จำนวน 148.22 ล้านบาท ออกแบบเป็นอาคารสำนักงานแห่งใหม่สูง 30 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-361634

จำนวนผู้อ่าน: 1730

20 สิงหาคม 2019

3 แสนล. ปลุกเศรษฐกิจไม่ขึ้น แพ็กเกจรัฐเหวี่ยงแห-กระตุ้นระยะสั้น

รัฐงัดแพ็กเกจอัดฉีดเศรษฐกิจ 3.1 แสนล้าน รับมือเศรษฐกิจชะลอตัว ใส่เงินเพิ่มบัตรคนจน-คนชรา-เลี้ยงดูบุตร ผุด “ชิม ช้อป ใช้” แจกเงินเที่ยวเมืองไทยคนละ 1,000 บาท 10 ล้านคน เผยล้วงเงินสะสม อปท. ได้แค่ 8 หมื่นล้าน หวังให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบประคองจีดีพี 3% เอกชนชี้แค่ปลุกกำลังซื้อระยะสั้น ไม่สามารถกระตุกเครื่องยนต์ ศก.ได้ ทีดีอาร์ไอ ระบุมาตรการเหวี่ยงแหเป้าหมายไม่ชัด ชี้เข็นจีดีพีโต 3% ไม่ง่าย เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2562 เพื่อพิจารณาเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจเข้าร่วมประชุม อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ 3 แสน/ราย นายอุตตม แถลงผลการประชุมว่า ครม.เศรษฐกิจมีมติเห็นชอบมาตรการชุดกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 ด้าน เพื่อสร้างความมั่นใจและเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ดังนี้ มาตรการที่ 1 ช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยประสบภัยแล้ง 13 จังหวัด 909,040 ราย ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประกอบด้วย 1.ปรับลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.1สำหรับหนี้เงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาทแรกระยะเวลา 1 ปี 2.สินเชื่อใหม่ ได้แก่ สินเชื่อฉุกเฉิน รายละไม่เกิน 50,000 บาท วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ปลดดอกเบี้ยปีแรก ปีต่อปี MRR ร้อยละ 7 3.สินเชื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมความเสียหาย รายละไม่เกิน 500,000 บาท วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย MRR-2 (เท่ากับร้อยละ 5 ต่อปี) 4.ขยายระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ ธ.ก.ส. และ 5.สนับสนุนต้นทุนการผลิตเพื่อปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/2563 สนับสนุนเงิน 500 บาท/ไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ สำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรฯ ปี”62/63 ข้อมูล ณ เดือน ส.ค. 2562 จำนวน 3 ล้านราย 1.9 หมื่นล้าน ตั้งรับ ศก.โลก มาตรการที่ 2 บรรเทาผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ระยะเวลา 3 เดือน (ก.ย.-พ.ย.) งบฯ 19,093 ล้านบาท 1.ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือ “ชิม ช็อป ใช้” ผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (g-Wallet) 1,000 บาท/คน กระตุ้นการท่องเที่ยวในจังหวัดที่ไม่ใช่ถิ่นที่อยู่ตามบัตรประชาชน เป้าหมาย 10 ล้านคน เม็ดเงินจะลงสู่ระบบไม่เกินเดือน ก.ย.นี้ และสนับสนุนเงินชดเชย (cash rebate) 10% จากยอดการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว สำหรับค่าอาหารและเครื่องดื่ม ซื้อสินค้าท้องถิ่น และค่าที่พัก รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท เข้าระบบ g-Wallet (ได้รับเงินชดเชยไม่เกิน 3,000 บาท/คน) 2.ยกเว้นการตรวจลงตรา (visa) เพื่อนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ครั้งละไม่เกิน 30 วัน ระยะ 1 ปี (ต.ค. 62-ก.ย. 63) คาดว่าจะสูญเสียรายได้ทั้งปี 12,133 ล้านบาท 3.มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ หักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนซื้อเครื่องจักร 1.5 เท่า 5 ปี รัฐสูญเสียรายได้ 5,000 ล้านบาท ถึง 31 มี.ค. 63 4.สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้แก่ 1.สินเชื่อผ่อนปรน กู้ยาว 7 ปี โดยเติมเงินเข้ากองทุนเอสเอ็มอี 2.สินเชื่อพิเศษของสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสินและกรุงไทย 100,000 ล้านบาท 3.มาตรการค้ำกันสินเชื่อ บสย. เช่น ยกเว้นค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก ชดเชยวงเงิน NPL เพื่อให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้มากขึ้น 4.สินเชื่อใหม่ดอกเบี้ยพิเศษเพื่อที่อยู่อาศัย โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงิน 27,000 ล้านบาท และออมสิน 25,000 ล้านบาท เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  มาตรการที่ 3 ลดค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (on-top) 2 เดือน (ส.ค.-ก.ย.) ประกอบด้วย 1.เติมเงินเพิ่มผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) 500 บาท/เดือน โดยผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท/ปี ได้รับเงิน 300 บาท/เดือน รายได้มากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/ปี ได้รับเงิน 200 บาท/เดือน 2.ช่วยเหลือผู้สูงอายุ 500 บาท/เดือน 3.ช่วยเหลือการเลี้ยงดูบุตร ภายใต้โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ได้รับเงิน 300 บาท/เดือน 4.พักชำระหนี้เงินต้นของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กทบ.) ที่จ่ายคืนผ่าน ธ.ก.ส.และออมสิน 1 ปี (ต.ค. 62-ก.ย. 63) ให้ กทบ.มีงบประมาณปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่ง กทบ. 50,732 แห่ง มียอดหนี้คงค้างที่กู้จาก ธ.ก.ส.และออมสิน 67,000 ล้านบาท แพ็กเกจ 3 แสน ล.เพิ่มจีดีพี 3%  “งบฯของมาตรการทั้งหมดมาจากการขออนุมัติงบฯของรัฐเพิ่มเติม กองทุนประชารัฐที่มีอยู่แล้ว งบฯจากสถาบันการเงินของรัฐ โดยรัฐบาลจะตั้งวงเงินงบฯภายหลัง โดยกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณอย่างใกล้ชิด ไม่ให้กระทบวินัยการเงินการคลัง” ทั้งนี้ มาตรการทั้งหมดจากงบฯของรัฐจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 100,000 ล้านบาท เป็นงบฯของรัฐที่ขอเพิ่มเติมไม่ถึงร้อยละ 50 ขณะที่เม็ดเงินจากมาตรการสินเชื่อของสถาบันการเงินของรัฐ 207,000 ล้านบาท รวมทั้งหมด 316,000 ล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจหมุนได้หลายรอบ จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2562 ร้อยละ 3 ล้วงเงินสะสม อปท.อีก 8 หมื่น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงแผนการใช้เงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระตุ้นเศรษฐกิจว่า เงินสะสมของ อปท.มี 2 ก้อน 1.ทุนสำรอง 2.เงินสะสม ซึ่งมีอยู่ 80,000 ล้านบาท เพราะบางพื้นที่ไม่มีงบประมาณ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ขนาดเล็ก เว้นแต่เทศบาลนคร เทศบาลเมืองใหญ่ ๆ ที่มีเงิน 5 ล้านบาทขึ้นไป ดังนั้นต้องดูว่าโครงการที่ ครม.อนุมัติไปแล้วในช่วงที่ให้ อปท.ใช้เงินสะสมพัฒนาโครงสร้างพื้นที่เมื่อปี 2559 หมดอายุไปหรือยัง เช่น มาตรการสนับสนุนการลงทุนระหว่างรัฐบาลและ อปท. หรือ (matching fund) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมภายในท้องถิ่น ถนนที่ใช้ยางพาราเป็นส่วนประกอบ การสร้างฝายกั้นน้ำ โอท็อปเพื่อการท่องเที่ยว เพราะสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายงบฯได้ ท่องเที่ยวของบฯ 1.5 หมื่นล้าน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศได้เสนอของบประมาณเร่งด่วนพิเศษ 1.5 หมื่นล้านบาท ดำเนินมาตรการกระตุ้นภาคธุรกิจท่องเที่ยว 4 เดือนสุดท้าย (ก.ย.-ธ.ค. 2562) 3 มาตรการหลัก 1.ซื้อสินค้าและบริการท่องเที่ยวทั่วไทย อาทิ ตั๋วเครื่องบิน, โรงแรม, ที่พัก, ร้านอาหาร ฯลฯ ในราคา 100 บาท มีแผนเปิดให้คนไทยเข้าไปจองรับสิทธิผ่านแอปพลิเคชั่นธนาคารกรุงไทย เดือนละ 1 วัน วันละ 1 หมื่นคน ได้แก่ วันที่ 9 เดือน 9, วันที่ 10 เดือน 10, วันที่ 11 เดือน 11 และวันที่ 12 เดือน 12 เป็นต้น อีก 2 มาตรการกำลังรอสรุปรายละเอียด คอนเซ็ปต์จะเป็นรูปแบบลด แลก แจก แถม เช่น ให้ส่วนลดเพิ่มเติมจากเดิมที่ผู้ประกอบการให้อยู่แล้วอีก 10-15% กระตุ้นให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยว นอกจากนี้ มีมาตรการแจกเงินเที่ยวมูลค่า 1,000 บาท สำหรับคนไทย 10 ล้านคน ของกระทรวงการคลัง กระตุ้นควบคู่กันด้วย จะให้ความสำคัญกับการทำประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ให้มากที่สุด ให้เกิดการหมุนเวียนของเงินเร็วที่สุด “หมวดสินค้าที่สามารถนำเงิน 1,000 บาทนี้ไปใช้ได้ ส่วนใหญ่เป็นหมวดเดิม ๆ ที่รัฐบาลชุดก่อนหน้าทำ ที่ให้นำไปลดภาษีได้ แต่รอบนี้จะเพิ่มหมวดสินค้าชุมชน หรือโอท็อปด้วย” “ฟรีวีซ่าจีน-อินเดีย” ดันรายได้ นายพิพัฒน์กล่าวว่า สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้สนับสนุนการใช้มาตรการฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ระยะเวลา 1 ปี และต่ออายุฟรีค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ฟรี VOA) ให้กับอีก 19 ประเทศที่เหลืออีก 1 ปีเช่นกัน จะเริ่ม 1 พ.ย. 2562-31 ต.ค. 2563 (หลังมาตรการฟรี VOA 21 ประเทศสิ้นสุดลง 31 ต.ค. 2562)คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้จำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมในปีนี้อยู่ที่ 11-12 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ 10.5 ล้านคน และมีนักท่องเที่ยวอินเดียที่ 2 ล้านคน และเพิ่มเป็น 3 ล้านคนได้ในปีหน้า เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่มี 1.6 ล้านคน ทำให้รายได้ของภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเป็นไปตามเป้าที่ 3.3-3.4 ล้านล้านบาท ใจแข็งยืนเป้าจีดีพี 3-3.5%  นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการและเลขานุการ ครม.เศรษฐกิจ กล่าวว่า ได้มีการพิจารณาสถานการณ์การคลังและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี”62-63 และตั้งประเด็นในการประชุมครั้งหน้า ระหว่าง 30 ส.ค. หรือ 2 ก.ย. เน้นเรื่องดึงนักลงทุนจากต่างประเทศและแก้ปัญหาการส่งออก “ครม.เศรษฐกิจเห็นตรงกันว่า สัญญาณเศรษฐกิจโลกมีปัญหามากกว่าที่คาดการณ์ เข้าสู่ขาลงตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมส่งสัญญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจน จีดีพีไตรมาสที่ 1 และ 2 เศรษฐกิจไทยจากขยายตัวได้ร้อยละ 4 ลดลงเหลือร้อยละ 2.8”  เป้าหมายคือการขยายตัวของจีดีพีในปี”62 ไม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 3 และในปี”63 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3.5 “บินไทย” เชื่อธุรกิจคึกคัก นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทย กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวทั้งแพ็กเกจเป็นมาตรการเร่งด่วนที่จะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวม โดยเฉพาะฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจากจีนและอินเดีย จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของรายได้ท่องเที่ยวไปสู่ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก และร้านอาหาร เช่นเดียวกันกับการเปิดเสรีวีซ่าของญี่ปุ่น ที่ทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เพียงแต่ระยะเวลาของการประกาศใช้มาตรการไม่ควรกระชั้นเกินไป ให้ผู้ประกอบการมีโอกาสเตรียมตัว ส่วนธุรกิจการบินน่าจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการต่าง ๆ ไม่มากก็น้อยเช่นเดียวกัน ตามแต่เส้นทางและความถี่ของเที่ยวบิน โดยสายการบินที่ทำการบินในเส้นทางที่มีระยะเวลาบินต่ำกว่า 3-4 ชั่วโมง และให้บริการในเส้นทางที่เปิดการยกเว้นค่าธรรมเนียมจะได้รับอานิสงส์มากกว่าสายการบินอื่น ๆ “ซีไอเอ็มบี ไทย” ชี้ประคอง ศก. สำหรับมุมมองต่อมาตรการดังกล่าวของนักวิเคราะห์ นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดแพ็กเกจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมา แต่เท่าที่ดูเบื้องต้นส่วนใหญ่เน้นประคองเศรษฐกิจมากกว่าจะกระตุ้น ส่วนมาตรการที่จะมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจ คงเป็นมาตรการด้านท่องเที่ยวที่มีการแจกเงินให้ไปใช้จ่ายท่องเที่ยว ซื้อสินค้า และมีแคชแบ็ก “ตอนนี้อาจเร็วไปที่จะประเมิน แต่เบื้องต้นเป็นเพียงมาตรการประคองเศรษฐกิจ โดยเฉพาะที่ช่วยภาคเกษตร ส่วนมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้น่าจะเป็นแคชแบ็ก น่าจะมีผลคล้าย ๆ กับช็อปช่วยชาติ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยกระตุ้นได้แค่ไหน น่าจะช่วยด้านการกระจายรายได้ ส่วนจะหวังให้จีดีพีทะลุ 3% ขึ้นไป ยังต้องลุ้นกันต่อ” TDRI ชี้มาตรการเหวี่ยงแห  รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า ที่รัฐบาลเสนอมาตรการ 3 แสนล้านบาท เพื่อพยุงให้จีดีพีขยายตัว 3% ตั้งข้อสังเกตได้ว่า 1) การออกแบบมาตรการไม่ได้ระบุถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน ว่าแต่ละมาตรการให้ประโยชน์กับกลุ่มใด และกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเท่าไร คุ้มค่ากับการใช้เงินภาษีหรือเงินกู้ที่รัฐบาลจ่ายไปหรือไม่ต้องแยกเป็นรายมาตรการให้ชัดเจน และวางแนวทางประเมินผลโดยเทียบกับเม็ดเงินที่รัฐบาลใช้ บวกกับดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นด้วย และเป้าหมายการกระตุ้น ยกตัวอย่าง เช่น หากรัฐบาลวางเป้าหมายนำไปช่วยคนที่มีรายได้น้อยอาจจะเห็นผลเร็ว แต่ก็เป็นกลุ่มที่มีหนี้สินมากก็จะไม่จับจ่าย หรือช่วยคนที่มีรายได้สูงที่มีแผนจะท่องเที่ยวอยู่แล้วก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน “นักเศรษฐศาสตร์ถกเถียงกันเรื่องนี้ว่า การใช้เม็ดเงินได้ผลแค่ไหน มีเรื่องตัวทวีคูณมาด้วย เช่น ใช้เงิน 1 บาท เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจได้ 1.5 หรือ 2 บาท รัฐบาลควรกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัด เพื่อนำไปสู่การประเมินผลการใช้งบประมาณว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด และควรจะเลือกเฉพาะมาตรการที่จะให้ผลชัดเจนเท่านั้น เพราะการคิดใช้เงินนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ใช้แล้วได้ผลแค่ไหนเป็นเรื่องยาก ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นกระทรวงการคลังทำงานอย่างจริงจังในเรื่องนี้”  2) มาตรการเหล่านี้จะก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจเมื่อไร เพราะมาตรการที่ออกมา เช่น การช่วยเหลือเกษตรกรหรือผู้ประสบปัญหาภัยแล้ง 9 แสนไร่ อาจจะต้องใช้เวลาการพิสูจน์ความเสียหายก่อนจ่ายชดเชย ซึ่งหากดำเนินการตามระเบียบวิธีปฏิบัติของทางราชการก็อาจจะต้องใช้เวลาถึง 5-6 เดือนไม่สามารถกระตุ้นลงสู่เศรษฐกิจโดยเร็วได้ “ยังห่วงว่ามาตรการขาดการมองผลระยะยาว เป็นการกระตุ้นระยะสั้น ๆ และบางมาตรการที่ส่งเสริมให้เกษตรกร และเอสเอ็มอีกู้จากแบงก์เพื่อลดดอกเบี้ย เป็นการส่งเสริมการเกิดหนี้ จะเกิดผลกระทบหากไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ และเอาเข้าจริงไม่เกิดผล เพราะธนาคารก็ไม่กล้าปล่อยกู้ ถ้าเครดิตไม่ดี” ก่อสร้างลุ้นอานิสงส์เงินท้องถิ่น นายชนะ ภูมี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจซีเมนต์และคอนสตรักชั่น บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลใหม่เดินหน้าการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าครึ่งปีหลังจะสามารถเติบโตได้ตามคาด ที่สำคัญคือการอนุมัติงบประมาณในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 6 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี สร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุน ทางกลุ่มจึงยังคงคาดการณ์เป้าหมายรายได้เท่าเดิม ขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างอาจจะลดลงช่วงต้นปี ซึ่งต้องติดตามผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจโลก สถานการณ์สงครามการค้าว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร โดยในไตรมาสที่ 2/2562 บริษัทมีรายได้จากการขาย 45,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กมองว่าความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศปีนี้ น่าจะยังไม่มีการเติบโตมากนักจากโครงการใหญ่ หรือการลงทุนของเอกชน อย่างไรก็ดี คาดหวังว่าภาครัฐจะมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนที่เป็นโครงการต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การใช้เหล็กเพิ่มขึ้นได้ ห่วงปั่นคนใช้เงินก่อหนี้เกินตัว ด้าน นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) มองว่า รองนายกฯสมคิดต้องการให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบ ถ้ามีเงินให้ประชาชนเอาไปใช้จ่ายยิ่งมาก ก็จะยิ่งช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับปีที่แล้วช่วงวันหยุดยาว ถ้าไปเที่ยวต่างจังหวัดก็จะสามารถนำรายจ่ายมาหักภาษีได้ ช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น แต่จะมากขึ้นขนาดไหน ปัจจัยแวดล้อมที่ต้องพิจารณาสำคัญ คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน นายอภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) กล่าวในทำนองเดียวกันว่า เชื่อว่าอย่างน้อยจะทำให้เงินในกระเป๋าของประชาชนมากขึ้น เกิด economic flow มากขึ้น เพียงแต่มาตรการเหล่านี้จะส่งผลบวกในระยะสั้นมากกว่า ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บางส่วน เพราะในภาพรวม จีดีพีส่วนใหญ่น้ำหนักกว่า 70% มาจากภาคส่งออก และบริการที่เกิดจากการท่องเที่ยวเป็นหลักใหญ่ การอัดฉีดเงินในการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจน่าจะส่งผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก “สิ่งที่สำคัญเท่าที่เราเคยศึกษาตลอด เมื่อใส่เงินในกระเป๋าของประชาชนมากขึ้น ส่วนใหญ่มันไม่เกิดในเรื่องของการออมเงิน แต่เกิดการผลักดันให้เกิดการใช้จ่าย ประเด็นของคนไทย คือ เมื่อใช้จ่าย มักจะใช้จ่ายเกินตัว กลับไปปลุกให้เกิดภาระหนี้เสีย หนี้นอกระบบ เป็น cycle เพราะทุกครั้งที่มีการใช้จ่าย ส่วนใหญ่จะไม่ใช้จ่ายแค่ตามเงินที่มี แต่มักจ่ายเกิน ที่ตามมาคือเกิดหนี้นอกระบบ” นายอภิสิทธิ์กล่าว กระตุ้น ศก.แค่ระยะสั้น นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานกรรมการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มาตรการของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งในภาคการเกษตร ภาคการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย หรือการปรับเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คาดว่าในระยะสั้นจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการค้าต่อภาคธุรกิจ และกระตุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค และสินค้าที่จำเป็นในครัวเรือนต่าง ๆ ให้ดีขึ้นได้ ส่วนในระยะยาว ยังต้องศึกษาว่ามาตรการดังกล่าวจะมีผลดี หรือผลเสียอย่างไร เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์มากที่สุด นายไตรลุจน์ นวะมะรัตน นายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย (MAAT) แสดงความเห็นว่า คาดว่าจะส่งผลให้ภาพเศรษฐกิจ และบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลังดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากการมีเม็ดเงินก้อนใหม่ถูกส่งเข้าระบบผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งกระตุ้นให้กลุ่มคนระดับกลางลงล่าง มีกำลังซื้อดีขึ้นในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการค้าปลีกรายหนึ่ง เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการที่รัฐบาลเสนอเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มองว่า ไม่น่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เห็นได้จาก 4-5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้แจกเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มองว่าไม่เห็นผล มีทั้งส่วนได้ส่วนเสีย คนที่ได้รับเงินก็จะขาดความกระตือรือร้นในการสร้างงานสร้างอาชีพ ทำให้ผลประโยชน์ไปกระจุกอยู่กับนายทุนใหญ่ สินค้าแบรนด์ดังขายดีในกลุ่มคนจน ทำให้สินค้าแบรนด์เล็ก ๆ เสียโอกาสในการขาย รัฐบาลควรเปลี่ยนวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจมาใช้วิธีการใหม่ ๆ เช่น ควรจะนำเม็ดเงินนี้ไปใช้สร้างงานสร้างอาชีพให้ประชาชนมีรายได้ และมั่นคงมากกว่าอัดฉีดเงิน และรัฐบาลควรเปลี่ยนวิธีคิดเก่า ๆ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่เดินหน้าแซงประเทศไทยไปไกลแล้ว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-361680

จำนวนผู้อ่าน: 1689

20 สิงหาคม 2019

ยอดปฏิเสธ “สินเชื่อรถ” พุ่ง “ปิกอัพ-อีโคคาร์” หนักสุด

ตลาดรถยนต์ครึ่งปีหลังซึมยาว ค่ายรถยันลูกค้าเข้าโชว์รูมจองรถยังโตต่อเนื่อง แต่เจอปัญหายอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่งเท่าตัว กลุ่ม “ปิกอัพ-อีโคคาร์” หนักสุด ดิ้นหาช่องช่วยลูกค้าเป็นเจ้าของง่ายขึ้น งัดโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% ช่วยผ่อนค่างวด แถมบัตรเติมน้ำมัน ถล่มกันแหลกในงานบิ๊กมอเตอร์เซล ช่วง 16-25 สิงหาคมนี้ แหล่งข่าวผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศได้รับผลกระทบจากภาวะผันผวนของเศรษฐกิจโลก ผู้ประกอบการทั้งกลุ่มญี่ปุ่นและยุโรป คาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์รวมในประเทศจะมีปริมาณการขายแค่ 1 ล้านคัน ซึ่งจะหดตัวลงจากปีที่แล้วประมาณ 4-5% และตลาดที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์ รองลงมาเป็นกลุ่มรถยนต์นั่งโดยเฉพาะอีโคคาร์ ลูกค้าเข้าโชว์รูมจองรถพุ่ง แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา กำลังซื้อหรือความต้องการใช้รถของคนไทยยังมีสูง ปริมาณลูกค้าเข้าโชว์รูมรวมถึงยอดจองรถยนต์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแต่ผลกระทบรุนแรงมาจากยอดปฏิเสธสินเชื่อและระยะหลังมีอัตราเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันจำนวนลูกค้าที่ซื้อรถยนต์โตโยต้าแต่ไม่ผ่านการพิจารณาปล่อยสินเชื่อมีสูงขึ้นจริง ตอนนี้มีมากกว่า 10% ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อย เช่นเดียวกับนายวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า เป็นครั้งแรกในรอบ 30 เดือนที่ยอดขายรถยนต์มีอัตราการเติบโตลดลงในเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และมาตรการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน กระทบตลาดอย่างรุนแรงมาก ซึ่งทุกฝ่ายกำลังหาวิธีแก้ปัญหา ยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่งเท่าตัว นายวิชิตกล่าวว่า สำหรับฟอร์ดเกณฑ์การผ่านสินเชื่อจะอยู่ประมาณ 80% ส่วนอีก 20% ไม่ผ่านนั้น อาจจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ติดเครดิตบูโรมาก่อน ทำให้สถาบันการเงินต้องปฏิเสธ และเป็นกลุ่มที่สถาบันการเงินต้องเพิ่มเงื่อนไข เช่น หาผู้ค้ำประกันเพิ่ม หรือให้เพิ่มเงินดาวน์ ทั้งนี้ฟอร์ดพยายามให้ความรู้กับดีลเลอร์ พนักงานขาย เพื่อจัดสรรแพ็กเกจให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย ตามความสามารถในการซื้อและผ่อนชำระ ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า จากการตรวจสอบค่ายรถยนต์หลายยี่ห้อ กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า ยอดการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถปิกอัพหรืออีโคคาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้รีเจ็กต์เรตจะอยู่ราว ๆ 10-20% แต่ขณะนี้มีเพิ่มเป็นเท่าตัว “ฟอร์ดได้รับสัญญาดังกล่าวมาจากลีสซิ่งมาระยะหนึ่งแล้ว สถานการณ์นี้เป็นเหมือนกันทั้งตลาด ยอมรับว่ามีผลทำให้ตลาดหดตัวลงไปเยอะ” นายวิชิตกล่าว ดิ้นหาโปรฯช่วยลูกค้า  ด้านนายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผลกระทบจากความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ทำให้มาสด้าต้องหาวิธีช่วยเหลือลูกค้า โดยทำงานร่วมกับสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรเพื่อลดจำนวนการปฏิเสธสินเชื่อ มาสด้าทำโปรแกรมพิเศษขึ้นมาเรียกว่าสกายโปรโมชั่น เพื่อให้ลูกค้าแต่ละรายสามารถเลือกเงื่อนไขทางการเงินให้เหมาะสมกับความสามารถของตนเอง โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่าช่วยให้จำนวนหนี้เสียลดลง และคัดกรองลูกค้าที่มีศักยภาพได้มากขึ้น “ปกติแล้วลูกค้ามาสด้าจะไม่นิยมการดาวน์ต่ำ แต่จะให้ความสำคัญกับเรื่องอัตราดอกเบี้ยเป็นหลัก โดยมีการวางแผนมาอย่างชัดเจน อย่างกลุ่มลูกค้าที่ต้องการดาวน์ต่ำนั้นจะเป็นกลุ่มที่ฉาบฉวยและมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง โดยเฉพาะกลุ่มปิกอัพและรถยนต์นั่งที่มีราคา 3-5 แสนบาท ซึ่งจะเห็นว่าในกลุ่มรถพวกนี้ยอดไม่ผ่านค่อนข้างสูง” นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม กรรมการบริหารด้านการตลาดและการขาย บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหนักแน่ เพราะคนซื้อรถเงินสดมีไม่เยอะ ขณะนี้เริ่มมีการหารือกันระหว่างค่ายรถยนต์ด้วยกันเองถึงยอดไม่ผ่านการอนุมัติสินเชื่อ ไม่ต่างจากผู้บริหารโตโยต้าที่ยอมรับว่าปัจจุบันต้องพยายามหาแพ็กเกจด้านการเงินเพื่อให้แข่งขันในตลาดได้ โดยทำงานร่วมกับโตโยต้า ลิสซิ่ง รวมถึงการเข้าร่วมอีเวนต์ใหญ่เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ถล่มเดือดงานบิ๊กมอเตอร์เซล ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานบรรยากาศการจัดงานมหกรรมยานยนต์เพื่อขายแห่งชาติ บิ๊กมอเตอร์เซล 2019 ว่า มีค่ายรถยนต์ถล่มโปรโมชั่นในงาน เน้นผ่อนเริ่มต้นและดอกเบี้ยต่ำ โดยมีกลุ่มจักรยานยนต์ให้ความสนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 40 ยี่ห้อ รวมทั้งรถยนต์มือสองและรถยนต์นำเข้า ที่ผู้ประกอบการต่างถล่มแคมเปญโปรโมชั่นกันดุเดือดตลอด 10 วันของการจัดงาน ณ อาคารไบเทค บางนา ระหว่าง 16-25 สิงหาคม เริ่มจากโตโยต้า จัดแคมเปญให้ชีวิตเต็ม MAX แจกทุกวันเต็ม MAX ที่บูท ด้วยข้อเสนอ พักผ่อนให้เต็ม MAX ลุ้นรถผ่อนฟรีสูงสุด 12 เดือน, ลุ้นฟรีดาวน์สูงสุด 60,000 บาท และลุ้นรับบัตรเติมน้ำมัน และของที่ระลึกภายในงานทุกวัน นอกจากนี้ยังเอาใจผู้ใช้รถยนต์นั่งขนาดเล็กกับ “โตโยต้า เฮลโล โปรเดย์”สำหรับยาริส, เอทีฟ, วีออสโตโยต้าดาวน์ให้ พร้อมผ่อนต่ำเริ่มต้น 7,200 บาทต่อเดือน ลุ้นบัตรเติมน้ำมันสูงสุดมูลค่า 200,000 บาท พิเศษยาริส, เอทีฟ รับฟรีประกันภัยชั้น 1 โตโยต้า เซียนต้า รับดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% นาน 48 เดือน ซี-เอชอาร์ ขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพรถใหม่จาก 3 ปีเป็น 5 ปี ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี รับประกันระบบไฮบริด 5 ปี และแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี ค่ายอีซูซุ มิว-เอ็กซ์ บลูเพาเวอร์ ทุกรุ่น จัดดอกเบี้ย 0.89% ดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน ฟรีโปรแกรมบำรุงรักษารถตามฟรี 3 ปี และขยายการรับประกันเป็น 5 ปี หรือ 160,000 กม. วันนี้ถึง 31 ส.ค.นี้ มาสด้าเน้นดอกเบี้ย 0% แถมประกันบัตรเติมน้ำมันและแพ็กเกจดูแลรถยาว 5 ปีฮอนด้า ซื้อรุ่นใดก็ได้ลุ้นรับทองคำ 20 รางวัล รวมมูลค่า 20 ล้าน ซีอาร์-วี รับดอกเบี้ย 0.99% หรือฮอนด้าช่วยผ่อนนาน 12 เดือน เดือนละ 1,000 บาท, แอคคอร์ด ดอกเบี้ย 2.39% นิสสัน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งทุกรุ่น ดอกเบี้ย 0% และผ่อนนานสูงสุด 84 เดือนฟอร์ด เอเวอเรสต์ ผ่อนนาน 24 เดือน, เรนเจอร์ ไวลด์แทรค ผ่อนนาน 48 เดือน ฟรีประกันภัย พิเศษในงานทุกคันลุ้นซัมซุงกาแล็คซี่โน้ต 9 จำนวน 10 เครื่อง10 วัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/motoring/news-361677

จำนวนผู้อ่าน: 1672

20 สิงหาคม 2019

กระทรวงต่างประเทศเตือนคนไทยเลี่ยงไปฮ่องกง หากไม่จำเป็นเร่งด่วน!

กระทรวงการต่างประเทศเตือนคนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปฮ่องกงในช่วงนี้หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า  ตามที่เมื่อวันที่ 12 และ 13 สิงหาคม 2562 ได้มีการชุมนุมประท้วงที่ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง ส่งผลให้การท่าอากาศยานฮ่องกงประกาศยกเลิกเที่ยวบินขาเข้าและออกจากฮ่องกงหลายเที่ยวบิน เป็นเหตุให้มีผู้โดยสารตกค้างจำนวนมากนั้น สืบเนื่องจากสถานการณ์ในฮ่องกงยังมีความไม่แน่นอน กรมการกงสุลขอให้ชาวไทยที่ยังไม่มีภารกิจเร่งด่วนในฮ่องกงพิจารณาหลีกเลี่ยงการเดินทางไปฮ่องกงในช่วงนี้ และหากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปฮ่องกง ขอให้ตรวจสอบตารางเวลาและสถานะของเที่ยวบินกับท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง รวมทั้งติดตามข่าวสารจากสถานกงสุลใหญ่ ณ ฮ่องกง อย่างใกล้ชิด หากต้องการความช่วยเหลือจากกระทรวงการต่างประเทศสามารถติดต่อได้ที่ 1. สายด่วนสถานกงสุลใหญ่ +852 6821 1545 และ +852 6821 1546 2. Facebook สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง Royal Thai Consulate-General, Hong Kong 3. สายด่วนกรมการกงสุล +66 2 572 8442 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-360349

จำนวนผู้อ่าน: 1792

14 สิงหาคม 2019