ข่าวประชาสัมพันธ์

ดีอี เร่งนับหนึ่ง PPP ดาวเทียม ลุ้นปิดดีลมิ.ย.63 “แคท” ซุ่มจับมือไทยคม

ดีอี kick off กระบวนการ PPP ดาวเทียม เปิดทางเอกชนรับช่วงบริหาร หลัง “ไทยคม” หมดสัมปทาน ก.ย. 2564 มั่นใจอีก 1 ปี เซ็นสัญญารายใหม่ ฟาก “แคท” เปิดดีล “ไทยคม” หวังควงคู่ยื่นข้อเสนอ PPP ต่อยอดธุรกิจสื่อสารดาวเทียมเดิม นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เพิ่งได้รับอนุมัติให้แปลงงบประมาณ 6.7 ล้านบาท จ้างที่ปรึกษาการเข้าร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP เพื่อบริหารดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ไทยคม 5 และไทยคม 6 หลังสิ้นสุดสัมปทานกับ บมจ.ไทยคม เดือน ก.ย. 2564 โดยเป็นการดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 29 ม.ค. 2562 ที่เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการดาวเทียมทุกดวงที่มีอายุทางวิศวกรรมเหลืออยู่หลังสิ้นสุดสัญญา รวมทั้งทรัพย์สินต่าง ๆ ตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 Kick Off ก่อนสิ้น มิ.ย. “ภายใน มิ.ย.นี้จะประกาศคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งจะมีหน้าที่เก็บข้อมูลทั้งหมด ต้องทำรายละเอียดโครงการ เขียน TOR ทำขั้นตอนในส่วนของการประชาพิจารณ์เงื่อนไขทั้งหมด แม้กระทั่งจะต้องเป็นที่ปรึกษาในการคัดเลือกคนที่ยื่นข้อเสนอ PPP มาทั้งหมดว่า ใครมีความเหมาะสมที่สุด” กรอบเวลาการทำงานของที่ปรึกษาโครงการที่กำหนดไว้ คือ ให้เวลา 3 เดือน เพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อส่งรายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ รวมถึงร่าง TOR เสนอต่อรัฐมนตรี แล้วส่งต่อให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) พิจารณา ก่อนที่จะเสนอให้คณะกรรมการ PPP เห็นชอบในหลักการ และเสนอเข้า ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการและวงเงินงบประมาณ ซึ่งส่วนนี้น่าจะใช้เวลาทั้งหมดราว 6 เดือนจากนั้นจะประกาศ TOR เพื่อเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการ มีการตั้งคณะกรรมการคัดเลือกและเจรจาผลประโยชน์ตอบแทน ส่งร่างสัญญา PPP ให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา ก่อนเสนอเข้าที่ประชุม ครม. พิจารณาผลการคัดเลือกเอกชนเพื่อลงนามในสัญญา ปลายปี”63 ลงนาม PPP “กรอบเวลาการทำ PPP ตาม พ.ร.บ.จะอยู่ที่ 12 เดือน ก็หวังว่า มิ.ย. 2563 น่าจะได้เอกชนที่จะเข้ามา PPP ดาวเทียม ประเมินแล้วน่าจะได้ทำสัญญาก่อนปลายปี 2563” เหตุที่เปิด PPP เฉพาะดาวเทียมไทยคม 4 ไทยคม 5 และไทยคม 6 นั้น เนื่องจากข้อพิพาทกับ บมจ.ไทยคม เกี่ยวกับสถานะของดาวเทียมไทยคม 7 และ 8 ว่าเป็นดาวเทียมภายใต้สัมปทานหรือไม่นั้น กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าจะได้ข้อยุติเมื่อใด และหากได้ข้อยุติแล้วจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับการบริหารดาวเทียมทั้ง 2 ดวงต่อไป เปิดทาง “แคท” ทำดาวเทียม ขณะที่การผลักดันให้รัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดของกระทรวงอย่าง บมจ.กสท โทรคมนาคม (แคท) นั้น ปลัดดีอีเปิดเผยว่า การคัดเลือกเอกชนเข้ามาบริหารดาวเทียมไทยคมหลังสิ้นสุดสัมปทาน จะเปิดกว้างให้กับเอกชนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม หากแคทจะเข้ามาทำธุรกิจดาวเทียมเต็มตัวก็เป็นสิ่งที่บอร์ดบริษัทจะต้องพิจารณา “แคทจะมาเองหรือจะจับมือกับเอกชนมายื่นข้อเสนอ กระทรวงไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย เพราะเป็นเรื่องของธุรกิจที่แต่ละองค์กรต้องตัดสินใจเอง ขณะเดียวกัน กระทรวงถือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดาวเทียมที่จะเปิดให้ PPP จึงมีฐานะที่ยิ่งไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย” แคทเปิดดีล “ไทยคม” ตั้งแต่ บมจ.ไทยคมได้รับสัมปทานในปี 2534 ได้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรไปแล้ว 8 ดวง ได้แก่ ไทยคม 1 ไทยคม 2 และไทยคม 3 ซึ่งปลดระวางไปแล้ว คงเหลือดาวเทียมที่ยังให้บริการอยู่ คือ ไทยคม 4 ไทยคม 5 ไทยคม 6 ไทยคม 7 และไทยคม 8 ขณะที่การนำส่งส่วนแบ่งรายได้ตามสัมปทานตลอด 30 ปี บริษัทรับประกันรายได้ไว้ที่ 1,415 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมา บมจ.ไทยคมได้จ่ายส่วนแบ่งรายได้ในจำนวนที่มากกว่าประกันขั้นต่ำกว่า 150% ด้านแหล่งข่าวระดับสูงใน บมจ.กสท โทรคมนาคม (แคท) เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันรายได้จากธุรกิจดาวเทียมของไทยคมจะมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง แต่การเข้าไปบริหารดาวเทียมในรูปแบบ PPP หลังสิ้นสุดสัมปทานยังมีโอกาสที่จะทำรายได้เพิ่ม ด้วยการต่อยอดจากธุรกิจให้บริการระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมที่แคทมีอยู่แล้ว โดยขณะนี้กำลังเจรจากับ บมจ.ไทยคม ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจดาวเทียม เพื่อจับมือเป็นพันธมิตรเข้ายื่นข้อเสนอ PPP โดยจากรายงานของ Global Satellite Capacity Supply and Demand Study พบว่า ยังมีความต้องการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมเพื่อแพร่ภาพโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง ด้วยเทรนด์ของการรับชมการแพร่ภาพที่เปลี่ยนมาสู่ความคมชัดสูง (HD) ขณะที่กว่า 60% ของครัวเรือนในประเทศไทยยังรับชมทีวีผ่านดาวเทียมเป็นหลัก รวมถึงความต้องการใช้ดาวเทียมบรอดแบนด์ยังเติบโตต่อเนื่องในอีก 10 ปีข้างหน้า ทั้งยังมีการใช้ดาวเทียมเพื่อเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม OTT (over the top) เพื่อเผยแพร่คอนเทนต์ออนไลน์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-343847

จำนวนผู้อ่าน: 3191

28 มิถุนายน 2019

ตลาดองค์กรหนุนไอทีสะพัด เงินบาทแข็งกระตุ้นยอดซื้อ

เดลล์มั่นใจตลาดไทยโตใกล้เคียงตลาดโลกที่เติบโต 14% อานิสงส์ พ.ร.บ.ไซเบอร์ หนุนองค์กรลงทุนไอที เชื่อครึ่งปีหลังยิ่งคึกคัก ด้านตลาดพีซีโน้ตบุ๊กโตด้านเม็ดเงิน ชี้เกมมิ่งช่วยกระตุ้นตลาด เผยค่าเงินบาทแข็งช่วยกระตุ้นผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ นายอโณทัย เวทยากร รองประธานบริหาร ตลาดเกิดใหม่ภูมิภาคเอเชียและธุรกิจคอนซูเมอร์ เอเชียใต้ เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดเผยว่า ในปี 2561 เดลล์ทั่วโลกมีรายได้ 91,300 ล้านเหรียญสหรัฐ โตขึ้น 14% โดยกลุ่มพีซีโน้ตบุ๊กโต 10% และมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 เซิร์ฟเวอร์เติบโต 28% สตอเรจเติบโต 10% ส่วนในไทยเปิดเผยตัวเลขไม่ได้ แต่ใกล้เคียงกับตลาดทั่วโลก ปัจจัยที่ส่งผลให้เติบโต มาจากยุทธศาสตร์ชัดเจนในการทรานส์ฟอร์เมชั่นทั้ง 4 ด้าน 1.แอปทรานส์ฟอร์ม 2.ไอทีทรานส์ฟอร์ม 3.เวิร์กฟอร์ซทรานส์ฟอร์ม และ 4.ซีเคียวริตี้ทรานส์ฟอร์ม รวมถึงการร่วมกับ 7 บริษัทลูก รุกตลาดเอ็นเตอร์ไพรส์ได้มากขึ้น ทั้งยังมี “เดลล์ เทคโนโลยีพาร์ตเนอร์โปรแกรม” ให้พาร์ตเนอร์ซื้อสินค้ากับเดลล์หรือบริษัทลูกได้ง่ายขึ้น ทำให้มีลูกค้าครบทุกกลุ่มตั้งแต่ SMEs องค์กรใหญ่ จนถึงองค์กรภาครัฐ และคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้ การลงทุนด้านไอทีของภาคองค์กรยิ่งคึกคัก “ปัจจัยบวกของตลาดไทยในฝั่งคอมเมอร์เชียลมีจากสถานการณ์การเมืองที่นิ่ง รวมทั้งมี พ.ร.บ.ไซเบอร์ที่ออกมา ทำให้องค์กรตื่นตัว ทั้งการซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ซึ่งไม่ได้ซื้อเน้นที่จำนวนเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกเหมือนที่ผ่านมา แต่เน้นใช้งานตามยูสเซอร์เบส เช่น งานออกแบบที่ขายได้ดีขึ้น รวมทั้งมีการลงทุนในโซลูชั่นและซีเคียวริตี้เพิ่มด้วย” ขณะที่ตลาดคอนซูเมอร์ภาพค่อนข้างทรงตัวในด้านจำนวนเครื่อง เพราะตลาดไทยไม่ใช่ตลาดซื้อเครื่องแรกอีกแล้ว ทำให้เกิดการเติบโตในแง่มูลค่าตลาด โดยผู้บริโภคมุ่งไปที่กลุ่มสินค้าระดับราคากลาง-บน ราคา 20,000 บาทชึ้นไป จึงทำให้ราคาเฉลี่ยต่อเครื่องสูงขึ้น โดยเฉพาะเกมมิ่งและเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นแรงผลักดันสำคัญ ซึ่งตรงกับกลยุทธ์ของเดลล์ที่เน้นทำตลาดกลุ่มกลาง-บนและแม้ว่าขณะนี้ค่าเงินบาทจะแข็ง แต่มองว่าไม่กระทบตลาดไอทีมากนัก เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่นำเข้ามาเอง จึงมีราคาค่อนข้างคงที่ ไม่กระทบกับผู้บริโภค แต่ในประเทศอื่น อาทิ บังกลาเทศ ศรีลังกา ปากีสถาน ที่มีพาร์ตเนอร์เป็นคนนำเข้าก็จะได้รับผลกระทบ “สินค้าพีซีโน้ตบุ๊กน่าจะขายดี เพราะบาทแข็ง ผู้บริโภคจะคิดว่าสินค้าราคาถูกลง เป็นการส่งผลในแง่จิตวิทยา แต่ภาพใหญ่อย่างการส่งออกของไทย อาจจะกระทบ เพราะปัญหาเรื่องสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ที่การนำเข้าของ 2 ประเทศนี้น่าจะชะลอตัว” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-344025

จำนวนผู้อ่าน: 1944

28 มิถุนายน 2019

พาณิชย์ลำพูนเร่งหาตลาดรับผลผลิตลำไยทะลักกว่า 1 แสนตัน

พาณิชย์จังหวัดลำพูนจับมือเกษตรจังหวัดลำพูน และหน่วยงานพันธมิตร เตรียมแผนบริหารจัดการลำไยของจังหวัดที่กำลังออกสู่ตลาดกว่า 1 แสนตัน เล็งผลักดันแปรรูป ทั้งทำน้ำลำไย อบแห้ง และบริโภคสดทั้งในประเทศและส่งออก มั่นใจผลักดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น นายเมธี บัวพึ่ง พาณิชย์จังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า สำนักงานพาณิชย์จังหวัดลำพูน ได้ร่วมมือกับสำนักงานเกษตรจังหวัดลำพูน และหน่วยงานพันธมิตร เตรียมแผนบริหารจัดการลำไยในฤดูจังหวัดลำพูน ปริมาณ 105,257 ตัน โดยแบ่งการกระจายผลผลิตตามความต้องการลำไยเป็นการแปรรูป ปริมาณ 67,917 ตัน หรือร้อยละ 64.52 แบ่งเป็นการทำน้ำสกัดลำไยเข้มข้น ปริมาณ 4,000 ตัน ร้อยละ 3.80 แปรรูปอบแห้ง ปริมาณ 63,917 ตัน ร้อยละ 60.72 และความต้องการบริโภคสด ปริมาณ 37,340 ตัน ร้อยละ 35.48 โดยแบ่งเป็นตลาดในประเทศ ปริมาณ 7,340 ตัน ร้อยละ 6.98 และตลาดส่งออก ปริมาณ 30,00 ตัน ร้อยละ 28.50 โดยการเตรียมแผนรับมือผลผลิตลำไยดังกล่าว เป็นการทำงานตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้มอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดในพื้นที่ที่มีผลผลิตทางการเกษตร ต้องจัดทำแผนและมาตรการ เพื่อดูแลผลผลิตทางการเกษตรที่กำลังจะออกสู่ตลาดเป็นการล่วงหน้า ซึ่งจากมาตรการที่จะดำเนินการนี้ สำนักงานฯ มั่นใจว่า จะช่วยระบายผลผลิตลำไยออกสู่ตลาดในช่วง มิ.ย.-ก.ย.2562 ได้อย่างรวดในเร็ว และทำให้ราคาลำไยปรับตัวสูงขึ้นได้ ทั้งนี้ ลำไยถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดลำพูน และถือว่าลำไยคือ “ลมหายใจของคนลำพูน” ด้านสถานการณ์การผลิตลำไย ปีการผลิต 2562 จังหวัดลำพูน มีเนื้อที่ยืนต้น 270,189 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 265 ไร่ เนื้อที่ให้ผลผลิต 269,467 ไร่ เพิ่มจากปีก่อน 647 ไร่ ปริมาณผลผลิต 230,690 ตัน ลดลงจากปีก่อน 19,780 ตัน คิดเป็นร้อยละ 7.90 โดยมีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็น 2 ช่วงฤดู คือ ลำไยในฤดู เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย.2562 ผลผลิต 105,257 ตัน ลำไยนอกฤดู เก็บเกี่ยวช่วงเดือน ม.ค.-พ.ค.2562 และ ต.ค.-ธ.ค.2562 ผลผลิต 125,433 ตัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-344073

จำนวนผู้อ่าน: 1914

28 มิถุนายน 2019

ภารกิจ 3 องค์กร TQC เพื่อก้าวสู่รางวัลคุณภาพแห่งชาติ

ภายในงาน Thailand Quality Award 2018 Winner Conference ไม่เพียงจะมีหลายหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจ ดังที่“ประชาชาติธุรกิจ” เคยนำตีพิมพ์มาก่อนหน้านี้ แต่สำหรับหัวข้อในภาพรวมเรื่องแนวทางการบริหารจัดการที่เป็นเลิศตามเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ กลับมีอีก 3 องค์กรที่ได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class-TQC) อันประกอบด้วย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยทั้ง 3 องค์กรไม่เพียงนำเกณฑ์ของรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award-TQA) มาปรับใช้กับการบริหารองค์กร และการดำเนินธุรกิจ ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่งผ่านมา หากทั้ง 3 องค์กรยังมุ่งมั่นเพื่อจะให้องค์กรของตัวเองก้าวไปสู่องค์กรแห่ง TQA ในสักวัน ยิ่งเฉพาะ “ศ.พญ.จุไรพร สมบุญวงศ์” รองคณบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมาบรรยายในหัวข้อ “สร้างความเป็นเลิศด้วยการออกแบบระบบงาน และกระบวนการทำงาน COPIS MODEL” ขณะที่ “ทวนทอง ตรีนุภาพ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด และพัฒนาธุรกิจ 1 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จะมาบรรยายในหัวข้อ “กระบวนการสร้างผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของลูกค้า และตลาด” และสุดท้าย “รศ.ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น จะมาบรรยายเรื่อง “การดำเนินการที่มุ่งเน้นชุมชน และลูกค้า” เบื้องต้น “ศ.พญ.จุไรพร” กล่าวว่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างความเป็นเลิศด้วยการออกแบบระบบงาน และกระบวนการทำงานแบบ COPIS MODEL โดย C-customer คือ ลูกค้าที่เป็นนิสิต ลูกค้ากลุ่มวิจัย และลูกค้ารับบริการวิชาการ, O-output คือ การกำหนดว่าเราทำสิ่งต่าง ๆ เพื่ออะไร คุณลักษณะ, ผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นอย่างไร, P-process คือ กระบวนการทำงาน แต่งตั้งคณะทำงาน, I-input คือ การกำหนดปัจจัยนำเข้า และ S-supplier การจัดการผู้ส่งมอบ “ขอยกตัวอย่าง การผลิตบัณฑิตแพทย์ ซึ่งเราใช้ COPIS ในการทำงาน โดย customer คือ นิสิตแพทย์ ส่วน output คือ การที่เรากำหนดคุณลักษณะบัณฑิตพึงประสงค์ ตั้งแต่ต้นว่าเราอยากให้บัณฑิตของเราออกมาเป็นอย่างไร ในขณะที่ process คือ การออกแบบหลักสูตรแพทย์ เป็น outcome base และการทำ input ของเราเรียกว่า 3Hs คือ hair, head, heart” “hair เกี่ยวกับแพทย์ต้องทำอะไรได้บ้าง เช่น ต้องวินิจฉัยได้ สืบค้นทางห้องปฏิบัติการเป็น สามารถดูแลผู้ป่วย และสื่อสารเชิงวิชาชีพ, head คือ สร้างทักษะปัญญาที่แพทย์จะต้องมี เช่น การดูแลคนไข้แบบองค์รวม คือ การดูแลรักษาคนไข้ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ มีความรู้ด้านพื้นฐานและ clinical science (มุ่งผลิตบัณฑิตที่เป็นแพทย์นักวิจัย) มี critical thinking ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ให้เรียนรู้วิชาจริยศาสตร์ และกฎหมายทางการแพทย์” “heart คือ หัวใจของความเป็นแพทย์ ต้องที่มี professionalism มีบทบาททั้งในฐานะที่เป็นคนรักษาผู้ป่วย และบทบาทในเชิงของนักวิจัย ทั้งยังต้องเป็นส่วนหนึ่งของประชาชน-สังคม พร้อม ๆ ไปกับการพัฒนาตนเองส่วนบุคคล และวิชาชีพ ที่สำคัญจะต้องเป็นผู้นำ และสามารถทำงานเป็นทีม” ขณะที่ “ทวนทอง” กล่าวว่า ธอส.ก่อตั้งเมื่อปี 2496 เพื่อช่วยเหลือให้คนไทยมีบ้านตามอัตภาพ โดยกระบวนการออกผลิตภัณฑ์ เรามี 8 ขั้นตอน ได้แก่ 1.วางกลยุทธ์ 2.กำหนดความต้องการของลูกค้า 3.ออกแบบผลิตภัณฑ์ 4.อนุมัติ 5.ทำการเตรียมเปิดตัว เตรียมความพร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ 6.เปิดตัวผลิตภัณฑ์ 7.ประเมินผล 8.เรียนรู้ข้อผิดพลาด เพื่อแก้ไขปรับปรุง และดำเนินงานครั้งต่อไปให้ดีขึ้น “โดยกลยุทธ์ของเรา คือ การตอบสนองนโยบายรัฐบาล เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ประกอบด้วย 3 ฟันเฟืองหลัก คือ หนึ่ง social solution คำตอบสำหรับการช่วยเหลือคน โดยเราคำนึงถึงการช่วยเหลือให้คนมีบ้านอยู่ ก่อนที่จะคิดถึงเรื่องผลกำไร, the best housing solution bank ต้องเป็นธนาคารที่ช่วยแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยให้ดีที่สุด และ management solution คือ การรู้วิธีการจัดการที่ถูกต้อง เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น” “ดังนั้น กระบวนการสร้างผลิตภัณฑ์ และบริการของเรา จึงต้องมาวิเคราะห์จากฐานข้อมูลทางภาครัฐเกี่ยวกับรายได้ของประชากรไทย โดยกว่า 60% ของคนไทยเป็นผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง เราจึงจัดให้พวกเขาเป็นกลุ่มเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นช่วยเหลือคนให้มีบ้านที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท รวมถึงกลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ” “ฉะนั้น การศึกษา และอธิบายถึงความพึงพอใจ รวมถึงความต้องการของลูกค้า เราจึงใช้ Kano Model ซึ่งเป็นโมเดลที่แบ่งคุณลักษณะความพอใจของลูกค้าออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ basic needs-คุณลักษณะของความต้องการพื้นฐานที่ลูกค้าจำเป็นต้องมี, performance needs คุณลักษณะที่หากมีมากขึ้น จะทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจมากขึ้น หรือเป็นสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังว่าจะมี และ delighters คุณลักษณะที่เกินความคาดหมายของลูกค้า” สำหรับ “รศ.ดร.กิตติชัย” บอกว่า การดำเนินการที่มุ่งเน้นชุมชน และลูกค้า ต้องยอมรับว่า ม.ขอนแก่น มีวิสัยทัศน์ที่ต้องการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำระดับโลก หมายรวมถึงการได้รับการยอมรับจากสถาบันอุดมศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศ ตลอดจนมีผลการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยอยู่ในลำดับที่สูง มีหน้าที่ในการผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพเพื่อการพัฒนาประเทศ ขณะเดียวกันก็จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และสังคมด้วย “จากวิสัยทัศน์ของสภามหาวิทยาลัยที่มุ่งการนํามหาวิทยาลัยขอนแก่นสู่การเป็นสถาบันวิจัย และพัฒนาชั้นนําระดับโลก ที่ยังคงการเป็นสถาบันที่มีคุณค่าต่อสังคม โดยเน้นเป้าหมาย และพันธกิจที่สําคัญ 3 ด้าน คือ ด้านประชาคม (people) หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของมหาวิทยาลัย, ด้านระบบนิเวศของมหาวิทยาลัย (ecological) และด้านจิตวิญญาณแห่งความเป็นมหาวิทยาลัยขอนแก่น (spiritual) ดังนั้น นโยบาย และพันธกิจดังกล่าว มหา”ลัยขอนแก่นจําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ทั้งด้านการจัดการศึกษา การวิจัย การบริการวิชาการ การบริหาร, การจัดการทรัพยากรบุคคล และด้านการบริหารจัดการองค์กร เพื่อให้มหาวิทยาลัยยังคงมีความก้าวหน้า และการพัฒนามหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืนในท่ามกลางวิกฤตอุดมศึกษาไทย ที่เกิดจากเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก และอัตราการเกิดที่ลดลงของเด็กไทย” “เราจึงต้องปรับเปลี่ยนการจัดการศึกษาตั้งแต่ผู้จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นการจัดการศึกษาเพื่อประชาชนทุกอายุ ทั้งยังต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่เน้นการสอน เป็นเน้นการเรียนรู้ และที่สำคัญ ต้องปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล โดยปรับค่าตอบแทน สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ ให้สามารถแข่งขันได้กับสถาบันอื่น ๆ เพื่อสร้างเส้นทางความก้าวหน้าของบุคลากรทุกกลุ่ม และเพิ่มความมั่นคงทางการเงินหลังวัยเกษียณของบุคลากร เพื่อให้บุคลากรทํางานอย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพ” “โดยเรามีเสาหลักยุทธศาสตร์ที่จะเดินตามเป้าหมายทั้งหมด 4 เสา คือ เสาแรก Green and Smart Campus-เราต้องการเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด ที่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม, Excellence Academy-องค์กรที่มีความเป็นเลิศทางศิลปวิทยาการ, Culture and Care Community-ห่วงใยและดูแลชุมชน รวมทั้งส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม, Creative Economy and Society-สร้างองค์ความรู้ตามพันธกิจสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมเชิงสร้างสรรค์” ทั้งนั้นเพราะ “รศ.ดร.กิตติชัย” มองว่า มหาวิทยาลัยของเราสามารถให้บริการและช่วยเหลือชุมชน โดยการนำความรู้ ผลงานวิจัยไปช่วยพัฒนา และแก้ปัญหาให้ชุมชน เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง และสามารถบูรณาการกับการเรียนการสอน รวมทั้งการพัฒนามหาวิทยาลัยให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน สังคม เพื่อชี้นำสังคมทางปัญญาและพัฒนาสังคมฐานราก ด้วยความห่วงใย ความใส่ใจ การดูแลชุมชน และสังคมให้เข้มแข็งและยั่งยืนอันเป็นภารกิจหลักของมหา”ลัย และทุกองค์กรที่นำเรื่องของรางวัลคุณภาพแห่งชาติไปประยุกต์ใช้กับการบริหารงานเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-344022

จำนวนผู้อ่าน: 1957

28 มิถุนายน 2019

Adobe @ Check-in คืออะไร ?

คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์ โดย พิชญ์พจี สายเชื้อ ดิฉันมีโอกาสพูดคุยกับ CEO หลายท่าน ซึ่งสิ่งที่บ่นตรงกันคือจะทำอย่างไรถึงจะมีระบบการประเมินผลที่ดีจริง ๆ แยกแยะคนเก่งได้จริง และคุ้มค่า (เวลาและเงิน) ที่สุด วันนี้เลยนำเรื่องการรื้อระบบประเมินผลที่มีคนทำสำเร็จไปแล้วมาเล่าให้ฟังกัน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ และแนวทางสำหรับองค์กรอื่นต่อไป บริษัทที่มีการรื้อระบบประเมินผลอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ และทำได้สำเร็จได้รับการยอมรับไปทั่วโลกที่จะนำมาเล่าวันนี้ คือ บริษัท Adobe ซึ่ง Adobe เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญเรื่องคนมาก โดย “Donna Morris” EVP ด้าน Employee and Customer Experiences (ดูชื่อตำแหน่งก็น่าสนใจแล้ว เห็นมั้ยคะ เป็นผู้บริหารที่ดูแลด้านการสร้างประสบการณ์ของทั้งลูกค้าและพนักงาน) ของ Adobe เล่าขำ ๆ ว่า เรื่องนี้เกิดจากการที่เธอบินจากอเมริกาไปประชุมที่อินเดีย จากการบินที่นานมาก เธอเกิดอาการเจ็ตแล็ก พอไปถึงวันแรก มีคิวต้องสัมภาษณ์กับสื่อระดับประเทศของอินเดีย เรื่องจะสร้าง impact ในการทำงานของ HR กับพนักงานได้อย่างไร เพราะที่อินเดีย Adobe มีพนักงานประมาณ 25% ของพนักงาน Adobe ทั่วโลก เธอก็แชร์ว่าจะรื้อระบบการประเมินผลของ Adobe ทั่วโลก (เธอเล่าว่าเรื่องนี้อยู่ในใจอยู่แล้ว เพราะคิดว่าการประเมินผลไม่มีประสิทธิภาพ เสียเวลา และไม่ได้สร้างให้เกิดผลงานที่ดีขึ้น ทั้ง ๆ ที่ใช้เวลาเยอะมาก เธอเลยพูดไป โดยที่ยังไม่ได้คุยกับ CEO หรือผู้นำคนอื่นเลย) ทางสื่อก็เอาไปลงข่าวใหญ่พาดหัวหน้า 1 หนังสือพิมพ์ในอินเดีย (คงประมาณไทยรัฐ) เธอก็เลยตกกระไดพลอยกระโจน ต้องดำเนินการต่อให้การออกแบบระบบใหม่เริ่มโดยการเก็บรวบรวมความเห็นจากพนักงานทุกระดับทั่วโลกว่า จุดอ่อนของระบบเดิมคืออะไร และอยากให้ระบบใหม่เป็นยังไง ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ระบบใหม่ต้อง own โดยธุรกิจหรือหน่วยงานไม่ใช่ HR และระบบใหม่ได้มาจากการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกหน่วยงาน (เพื่อให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของ) และก่อนจะ launch ได้ผ่านกระบวนการสะท้อนความเห็นไปมาระหว่างผู้บริหารและพนักงานหลายครั้งเพื่อความชัวร์ จนได้ข้อสรุปสุดท้ายก็ให้ทีมงาน marketing ไปทบทวนว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้ได้ระบบที่น่าสนใจ ทำง่าย และคนอยากมีส่วนร่วม (ตรงนี้ก็น่าสนใจในประเด็นที่ว่า มีการนำการตลาดมาใช้ในการออกแบบระบบ เพื่อสร้าง employee experiences ให้ได้ดีที่สุด) สุดท้ายได้ระบบประเมินผลใหม่ ชื่อว่า “Adobe Check-in” ระบบใหม่ยึดหลักการว่า 1) ต้องง่าย ไม่ยุ่งยากในการทำ 2) หัวหน้างานและธุรกิจเป็นเจ้าของระบบไม่ใช่ HR แต่จะต้องเป็น coach หรือ trainer เท่านั้น 3) เน้นที่การให้ on-going feedback ไม่ใช่การขึ้นเงินเดือน (การให้ feedback เพื่อการขึ้นเงินเดือน จะแยกออกไปจากการให้ feedback เพื่อพัฒนา) ระบบ “check-in” จะประกอบไปด้วย กระบวนการหลักแค่ 3 กระบวนการเท่านั้น คือ 1.การตั้งเป้าหมาย หรือสร้าง expectation โดยหัวหน้ากับลูกน้องต้องคุยกัน และสรุปให้ได้ตอนต้นปีว่าจะทำอะไรบ้าง ต้องมีพฤติกรรมอย่างไร และจะต้องได้อะไรตอนจบ 2.ถัดไปคือกระบวนการให้ on-going feedback คือ ต้องมีการ check-in เพื่อให้ feedback เป็นประจำ (หมายถึงต้องมีการ check-in อย่างน้อยทุกไตรมาส ส่วนการให้ feedback ทำได้ตลอดเวลา) และที่สำคัญ คือ เป็นการให้ feedback 2 ทาง คือ หัวหน้าให้ลูกน้อง และลูกน้องให้หัวหน้าด้วย 3.และสุดท้ายคือการพัฒนา หรือ development เมื่อลูกน้องรู้ว่าเขาทำอะไรได้แค่ไหน จากการ check-in แล้ว ลูกน้องก็จะวางแผนการพัฒนาตัวเองต่อไป (ทั้งด้านการเรียนรู้ อาชีพ และประสบการณ์ที่ต้องการ) โดยจะมีการกำหนด de-velopment check-in ไว้ปีละอย่างน้อย 2 ครั้ง มีประเด็นที่น่าสนใจและมีคนถามเยอะ คือ การปรับมาเป็น “check-in” แล้วจะขึ้นเงินเดือนยังไง ซึ่งคำตอบคือคนทำก็ยังเป็นหัวหน้างานอยู่ดีค่ะ แต่หัวหน้าจะได้รับการเทรนเรื่องหลักการบริหารค่าตอบแทน เหมือนกับที่ HR ทำเลย และจะได้รับข้อมูลที่จำเป็นทุกอย่างด้วย (ไม่ต้องกลัวความลับรั่วไหล เพราะเขาแน่ใจว่าหัวหน้างานเขามีความพร้อม แต่ตรงนี้สำหรับเมืองไทยยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้แค่ไหนนะคะ) เช่น ข้อมูลเงินเดือนลูกน้อง ข้อมูลตลาด โครงสร้างเงินเดือนว่าลูกน้องอยู่ percentile ไหนในกระบอกเป็นต้น หน้าที่ของหัวหน้าในส่วนนี้ คือ หัวหน้าจะได้รับ budget มาก้อนหนึ่ง หัวหน้ามีหน้าที่ขึ้นเงินเดือนให้ลูกน้องทุกคนตามข้อมูลที่ได้มา และตามผลงานจริง (ก็จะมีคำถามว่า อ้าว ไม่มีการ rating แล้วจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ทาง Adobe บอกว่า หัวหน้าทุกคนมีหน้าที่ “ต้องรู้” อยู่แล้วว่า ลูกน้องผลงานเป็นไง เพราะทำการ check-in และให้ feedback กันประจำ เพียงแค่ไม่มีเลขการประเมิน (และเอกสารมากำกับเท่านั้น) และไม่ต้องกลัวนะคะ ว่าจะไม่แฟร์ เพราะหัวหน้างานก็ต้องส่งต่อให้หัวหน้าลำดับถัดไปดู และ HR จะช่วยดู “ความผิดปกติ” รอบสุดท้ายด้วย สุดท้าย คือ แล้ว Adobe วัดความสำเร็จของ “Adobe Check-in” ได้ยังไง ที่ว่า ดี โด่ง ดัง ไปทั่วโลก วัดผลสำเร็จได้มั้ย ทาง Adobe บอกว่า เขาวัดความสำเร็จจาก 1) การคำนวณพบว่าเขาประหยัดเวลาที่ต้องทำระบบเดิม ไปได้ทั้งสิ้น 80,000 ชม. หรือเทียบเท่ากับคน 44 คนเลยทีเดียว 2) ทาง Adobe ทำ engagement survey โดยมีหัวข้อที่ focus เรื่องระบบ Adobe Check-in และพบว่าพนักงานแฮปปี้กับระบบใหม่ 3) อัตราการลาออกลดลงด้วย 4) การได้รับ feedback ในทางบวกโดยตรงจากพนักงานเป็นจำนวนมาก เช่น “ผมขอบคุณที่ทำให้ผมไม่ต้องเผชิญกับ 2 สัปดาห์ ที่ตกอยู่ในความเครียด (ที่ต้องทำการประเมินผล) อีกแล้ว” เป็นต้น 5) นอกจากนี้ Adobe ยังได้รับรางวัลระดับโลกในเรื่องการเป็นองค์กรในฝันของพนักงานหลายรางวัลเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จ Adobe ได้บอกอีกด้วยว่า ปัจจัยความสำเร็จของการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ คือ 1) ต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ดี รวมทั้งการใช้ประโยชน์จาก marketing ในการร่วมพัฒนา Adobe Check-in 2) ศักยภาพและ mind-set ของหัวหน้างานและธุรกิจที่ต้องปรับเปลี่ยน เพราะเขาต้องเป็นเจ้าของระบบ ไม่ใช่ HR เหมือนเดิม 3) การสนับสนุนจากทุกฝ่ายในองค์กร (CEO, ผู้บริหาร และพนักงาน) ที่เกิดจากการให้เขามีส่วนร่วมในการออกแบบระบบ ทำให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของระบบใหม่ และยินดีทำตาม สำหรับความเห็นของดิฉันคิดว่า เรื่องนี้เป็นแนวทางที่ดีในการปรับเปลี่ยนระบบประเมินผล เพราะระบบประเมินผลปัจจุบันเป็นเรื่องที่เสียเวลา (มาก) ไป โดยไม่คุ้มค่า คือ ใช้เวลาในการประเมินเพื่อให้ได้คะแนน (rating) ในการขึ้นเงินเดือนพนักงาน มากกว่าที่จะใช้เวลาในการพัฒนาพนักงานจริง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าที่ Adobe ทำได้สำเร็จ เพราะหัวหน้างาน ผู้บริหาร และพนักงาน เข้าใจระบบใหม่ และมีการปรับเปลี่ยน mindset และบทบาทของตัวเอง แต่ในองค์กรไทย ๆ ของเราที่ยังไม่มีความพร้อมด้านคนขนาดนั้น ดิฉันแนะนำว่าเราอาจใช้แบบ hybrid ก็ได้ โดยเริ่มจากการปรับปรุงระบบประเมินผลปัจจุบันให้ดีขึ้น focus เรื่องการให้ feedback แทนการให้คะแนน (rating) โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อลดเวลา ในขณะเดียวกันก็เน้นการพัฒนาคนให้เกิดความพร้อมก่อนแล้วค่อยรื้อระบบเก่า ก็เป็นอีกแนวทางเลือกหนึ่งนะคะ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-344017

จำนวนผู้อ่าน: 2099

28 มิถุนายน 2019

‘The Nation (เดอะเนชั่น)’ วางแผงฉบับสุดท้าย ปิดตำนาน 48 ปี

หลังมีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่า หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรายวัน The Nation (เดอะเนชั่น)  จะตีพิมพ์ฉบับสุดท้ายวันที่ 28 มิถุนายน 2562 นี้ พร้อมเดินหน้านำเสนอข่าวผ่านทางออนไลน์นั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2562  นายเทพชัย หย่อง อดีตผู้บริหารเครือเนชั่น โพสต์เฟซบุ๊กอำลาเดอะเนชั่นฉบับสุดท้าย หลังจากอยู่มาถึง 48 ปี ดังนี้ The Nation ที่เห็นบนแผงหนังสือเช้าวันนี้คือฉบับสุดท้าย ขอถือโอกาสนี้ชื่นชมและขอบคุณอดีตเพื่อนร่วมงานทุกคนที่มีส่วนช่วยทำให้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้อยู่มาได้นานถึง 48 ปีด้วยความน่าเชื่อถือและความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ เรามีความมุ่งมั่น เรามีความตั้งใจ และเรามีความทุ่มเท แต่เราไม่ได้ถูกเสมอ มันมีวันที่เราพลาด มีวันที่เราเสียใจ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราสามารถบอกตัวเองได้ทุกวันว่าเราได้พยายามทำในสิ่งที่เราเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ เราตัดสินใจทุกอย่างบนหลักการของความเป็นวิชาชีพ และในยามวิกฤติเราไม่เคยท้อถอย ไม่เคยหวาดหวั่น เราอาจจะมีความเห็นต่าง เราอาจจะถกเถียงกัน แต่สุดท้ายแล้วเราก็ตัดสินใจร่วมกันบนพื้นฐานของสิ่งที่เราเชื่อว่าดีที่สุดสำหรับสังคม จากนี้ไปเพื่อนๆ และน้องๆ ทั้งหลายคงไม่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายและเสียงเร่งเร้าจากหัวหน้าข่าวหรือบรรณาธิการที่เราได้ยินจนคุ้นชินในห้องข่าวมาตลอด แต่ผมก็มีความเชื่อมั่นว่าความเป็น The Nation จะติดตัวทุกคนไปไม่ว่าจะไปอยู่ในบรรยากาศการทำงานแบบไหนก็ตาม เมื่อคืนเพื่อนๆ และน้องๆ ในกองบรรณาธิการที่เหลืออยู่ทำหน้าที่ส่งหน้า 1 ของ The Nation เข้านอน (ตามภาษาของคนข่าว) เป็นครั้งสุดท้าย และทุกคนคงรู้ดีว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม…… ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/social-media-viral/news-344074

จำนวนผู้อ่าน: 1890

28 มิถุนายน 2019

ธุรกิจท่องเที่ยวซบหนัก ภูเก็ต-พัทยาเร่ขายโรงแรม

อุตฯท่องเที่ยว “ภูเก็ต-พัทยา” ซบหนัก ! นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งจีน-ยุโรปหายยาว สารพัดปัจจัยเสี่ยง แถมบาทแข็ง นักท่องเที่ยวใช้เงินน้อยลง วงในชี้ภูเก็ตซบยกแผงยันกระบี่-พังงา แอตต้าเผยนักท่องเที่ยว “กรุ๊ปทัวร์” ท็อป 10 ลดลงแทบทุกตลาด ทอท.เปิดตัวเลขเที่ยวบิน-ผู้โดยสารสนามบินภูเก็ตติดลบ โรงแรมแข่งตัดราคาแย่งลูกค้า รายกลาง-เล็กแบกต้นทุนไม่ไหว “ภูเก็ต-พัทยา” ประกาศขายโรงแรม-รีสอร์ตเกลื่อน   อุตฯท่องเที่ยวสะเทือน แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรายหนึ่งเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าปัจจุบันภาพรวมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยตกอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างหนัก โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างจังหวัดภูเก็ตและเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี สำหรับในพื้นที่ภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงชัดเจนตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เรือล่มช่วงกลางปี 2561 และยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงขณะนี้ ที่สำคัญขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณว่ากลุ่มเครื่องบินเช่าเหมาลำ หรือชาร์เตอร์ไฟลต์ที่หยุดให้บริการไปเมื่อกลางปีที่แล้ว จะกลับมาให้บริการตามปกติเมื่อไหร่ โดยเฉพาะชาร์เตอร์ไฟลต์จากประเทศจีน แหล่งข่าวยังประเมินว่า การชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะลากยาวและส่งผลกระทบถึงช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้ด้วย ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนและนักท่องเที่ยวฝั่งยุโรป และกลุ่มสแกนดิเนเวียซึ่งปกติจะเข้ามาพักเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน “ตอนนี้แทบจะไม่มีสัญญาณบวก ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ยิ่งทำให้มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น” แหล่งข่าวกล่าว ภูเก็ต-กระบี่-พังงาทรุดยกแผง แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ ต่างประสบปัญหากันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมที่จำเป็นต้องมาเล่นกลยุทธ์ราคาอย่างหนัก โรงแรมระดับ 4 ดาวในภูเก็ตบางแห่งขายห้องพักเพียงคืนละ 800-1,000 บาท ขณะที่โรงแรม5 ดาว ก็ขยับราคาขายลงมาตีตลาด 4 ดาวอย่างหนัก และตอนนี้กระทบไปถึงกระบี่ พังงา ซึ่งที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาติล้นทะลักจากภูเก็ต และดันให้ตลาดกระบี่ พังงาและพื้นที่ใกล้เคียงขยายตัว แต่เมื่อนักท่องเที่ยวลดลงก็ทำให้ได้รับผลกระทบทั้งหมด นอกจากนี้ยังเห็นปรากฏการณ์ที่กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมติดป้ายขายกันมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่นและรายเล็ก ๆ เนื่องจากแบกรับต้นทุนไม่ไหว “ตลาดจีน” ซบทั้งระบบ นายสุรวัช อัครวรมาศ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และอุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีนปีนี้ชะลอตัวทั้งระบบ ซึ่งประเด็นหลักเป็นผลจากการหายไปของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็น “กรุ๊ปทัวร์” เนื่องจากสายการบินชาร์เตอร์ไฟลต์ที่เคยบินตรงเข้าภูเก็ตหยุดให้บริการตั้งแต่เมื่อกลางปีที่ผ่านมายังไม่กลับมา “ปรากฏการณ์ของตลาดจีนวันนี้วิเคราะห์ยากพอสมควร เพราะมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างเข้ามากระทบ ทั้งเรื่องสงครามการค้า การชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศจีน รวมถึงการหันมาโปรโมตการท่องเที่ยวภายในประเทศของจีนเอง” นายสุรวัชกล่าว “กรุ๊ปทัวร์” ติดลบหนักมาก ทั้งนี้ จากตัวเลขของสมาคมแอตต้า พบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านสมาชิกของแอตต้า (กรุ๊ปทัวร์) ผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง ช่วงวันที่ 1 ม.ค.-20 มิ.ย.2562 พบว่าตลาดหลัก 10 อันดับแรกปรับตัวลดลงถึง 7 ประเทศ ประกอบด้วย จีน จำนวน 1.54 ล้านคน ติดลบ 15.16%, เกาหลีใต้ 1.12 แสนคน ติดลบ 15.08%, ญี่ปุ่น 8.36 หมื่นคน ติดลบ 8.32%, รัสเซีย 7.45 หมื่นคน ติดลบ 1.38%, อินโดนีเซีย 4.23 หมื่นคน ติดลบ 14.58%, สหราชอาณาจักร 3.54 หมื่นคน ติดลบ 23.54% และ เยอรมัน 2.78 หมื่นคน ติดลบ 6.70% ส่วนที่เพิ่มขึ้นมีแค่ 3 ประเทศคือ เวียดนาม 1.44 แสนคน เพิ่มขึ้น 2.57%, อินเดีย 1.34 แสนคน เพิ่มขึ้น 7.33% และไต้หวัน 4.91 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 14.60% สอดคล้องกับที่ ดร.สุมาลี ว่องเจริญกุล เลขาธิการแอตต้า ระบุว่า ช่วงวันที่ 1 ม.ค.-20 มิ.ย. 2562 มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองรวม 2.64 ล้านคน ลดลง 11.62% “ไม่อยากให้ทุกฝ่ายตกใจ ตัวเลขของสมาคมแอตต้าเป็นการเก็บสถิติในส่วนที่เป็นกรุ๊ปทัวร์และผ่านแค่ 2 สนามบิน ขณะที่นักท่องเที่ยวปัจจุบันนิยมเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ และยังนิยมเดินทางไปยังสนามบินปลายทางโดยไม่ผ่านกรุงเทพฯ” ดร.สุมาลีกล่าว เที่ยวบิน-ผู้โดยสารภูเก็ตหดตัว ด้านนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561-พฤษภาคม 2562 ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งให้บริการเที่ยวบินจำนวน 606,891 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 3.67% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีผู้โดยสาร 97.23 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.78% เป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 57.06 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.72% และผู้โดยสารภายในประเทศ 40.17 ล้านคน ลดลง 0.85% (ข้อมูล ณ วันที่ 19 มิ.ย. 62) หากโฟกัสเฉพาะท่าอากาศยานภูเก็ตพบว่าเที่ยวบินและผู้โดยสารปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน อยู่ที่ 50,188 เที่ยวบิน ลดลง 2.9% เที่ยวบินระหว่างประเทศ 28,018 เที่ยวบิน ลดลง 1.85% และภายในประเทศ 22,170 เที่ยวบิน ลดลง 4.2% โดยมีจำนวนผู้โดยสารทั้งสิ้น 8.167 ล้านคน ลดลง 4.42% ผู้โดยสารเส้นทางระหว่างประเทศ 4.838 ล้านคน ลดลง 3.14% และผู้โดยสารเส้นทางภายในประเทศ 3.329 ล้านคน ลดลง 6.23% “เที่ยวบินที่ลดลงอย่างมีนัยยะในช่วงที่ผ่านมาคือจากตลาดยุโรปและจีน สำหรับตลาดจีนเริ่มเห็นทิศทางกลับมาบ้างแล้ว แต่ต้องรอการปรับตารางการบินสำหรับช่วงฤดูหน้าหนาวในเดือนตุลาคมนี้อีกครั้ง” นายนิตินัยกล่าว พัทยา ทัวร์จีนหายกว่า 50%  ด้านนายจักรรัตน์ เรืองรัตนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท รัตนากรแอสเซท จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมในจังหวัดชลบุรี ภูเก็ต กระบี่ เกาะสมุย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมธุรกิจโรงแรมปีนี้เหนื่อยมากกว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมืองพัทยาซึ่งพบว่าหลังจากเดือน ม.ค.เป็นต้นมาทัวร์จีนลดลงอย่างน่าใจหาย มากกว่า 50% ทั้งในแง่จำนวนและการใช้จ่ายต่อหัว “ช่วงสงกรานต์หายไปครึ่งหนึ่ง มาช่วง พ.ค.หายไปอีกครึ่งหนึ่ง และแนวโน้มทัวร์จีนจะหายไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ยุโรปและสแกนดิเนเวียก็มาเที่ยวลดลง10-20% ทั้งใช้เวลาสั้นลง และค่าใช้จ่ายต่อหัวลดลง เพราะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ค่าเงินบาทแข็ง ประกอบกับที่ผ่านมาโรงแรมที่พัทยาเปิดขึ้นเยอะมาก ขณะที่คอนโดฯ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ก็มาปล่อยเช่ารายวันแข่ง ตอนนี้มีการแข่งขันตัดราคากันน่ากลัวมากถึง 50% ขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายทุกอย่างสูง ทำให้ตอนนี้มีผู้ประกอบการกว่า 10 รายประกาศขายกิจการ ” นายจักรรัตน์กล่าว ภาพธุรกิจโรงแรมประกาศขายมากขึ้นเรื่อย ๆ ปีนี้จะหนักเป็นพิเศษ ในชลบุรีมีประกาศขายเป็น 10 แห่ง โดยเฉพาะศรีราชาและพัทยา ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมของคนไทยระดับ 3 ดาว และ 4 ดาว ตั้งแต่ขนาด 100-300 ห้อง บางแห่งกิจการพอไปได้แต่อยากได้กำไร บางแห่งติดภาระหนี้แบงก์จนชนเพดานต้องขาย ไม่ขายโดนยึด “เรามีโรงแรมระดับ 3 และ 4 ดาว ในพัทยา รวมกัน 1,250 ห้อง ซึ่งช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ยอดขายลดลง 10% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และช่วง พ.ค.-มิ.ย. ลดลงไปเกือบ 50% ตอนนี้นักท่องเที่ยว walk in ก็มีแต่คนไทย ยุโรปก็ไม่มา ทัวร์จีนเงียบมาก แต่กลุ่มเรามีรายได้จากธุรกิจอื่นในเครือมาเสริม เราจึงเตรียมเงินสดไว้ เพื่อเป็นโอกาสทองในการซื้อทรัพย์” ภูเก็ต-ชลบุรีแห่ขายโรงแรม  ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์ DotProperty.co.th พบว่ามีการประกาศขายโรงแรม รีสอร์ต เกสต์เฮาส์ และวิลล่าในจังหวัดภูเก็ตและเมืองพัทยาค่อนข้างมาก โดยข้อมูล ณ วันที่ 24 มิ.ย. จังหวัดภูเก็ตมีการประกาศขาย 83 รายการ มีตั้งแต่ขนาดเล็กราคาไม่เกิน 25 ล้านบาท ไปจนถึงโรงแรม รีสอร์ต ขนาด 346 ยูนิต ราคา 5,800 ล้านบาท ทั้งยังมีรีสอร์ต 4 ดาวที่ระบุขาย 2,200 ล้านบาท บริเวณหาดสุรินทร์ เป็นต้น โดยพื้นที่ที่มีการประกาศขายมากที่สุดคืออำเภอกะทู้ถึง 47 รายการ ขณะที่พื้นที่พัทยาพบว่ามีการประกาศขายโรงแรม รีสอร์ต เกสต์เฮาส์ และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ จำนวน 51 รายการ (กราฟิกประกอบ) นายตรีวิท อภิมุขเจริญ รองนายกสมาคมท่องเที่ยวไทยจีนภูเก็ต กล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการทัวร์จีนในภูเก็ตมีการปิดตัวไปหลายราย แต่ก็มีเปิดใหม่อีกหลายราย เป็นปกติของการทำธุรกิจ หวังว่ารัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะเข้ามาดูแลส่งเสริมการท่องเที่ยวช่วยกันทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น ดัชนีเชื่อมั่น Q3 ยังทรงตัว นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2/2562 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยอยู่ที่ระดับ 100 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวค่อนข้างทรงตัวจากปลายปี 2561 และคาดว่าในไตรมาส 2 นี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 9.09 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.48% และเพิ่มเป็น 9.70 ล้านคน ขยายตัว 7% ในช่วงไตรมาส 3/62 และมีจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทั้งปีที่ 40.06 ล้านคน หรือขยายตัว4.65% และสร้างรายได้รวมที่ราว 2.13 ล้านล้านบาท หรือขยายตัว 6.02% ขณะที่ ดร.วัชรพงศ์ รติสุขพิมล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยในไตรมาส 3/2562 จะอยู่ที่ระดับ 100 ซึ่งเท่ากับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-343922

จำนวนผู้อ่าน: 1782

28 มิถุนายน 2019

เปิดเมกะโปรเจ็กต์รับ รมต.ใหม่ เซ็นประมูลทันที 9 แสนล้านจับตารื้องบปี’63

การจัดโผคณะรัฐมนตรีร่วมนาวา “บิ๊กตู่ 2/1” ใกล้ลงตัว บรรยากาศต่อรองเก้าอี้ฝุ่นเริ่มจาง โดยเฉพาะโควตาของ 2 พรรคร่วมรัฐบาล “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์” ได้ครองกระทรวงเกรดเอ-เกรดบีสมใจ ในห้วงเวลานี้นอกจากเรื่องปากท้องชาวบ้านร้านตลาดที่รัฐบาลบิ๊กตู่ที่คัมแบ็กสมัยที่ 2 ต้องเร่งแก้ไข้ให้สมศักดิ์ศรีแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์คือการขับเคลื่อนการลงทุนของประเทศ โดยเฉพาะระบบโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่รัฐบาลทหารเข็นมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มี “กระทรวงคมนาคม” เป็นโต้โผหลัก เพราะกุมเม็ดเงินการลงทุนโปรเจ็กต์ระบบขนส่งครบทุกโหมด “บก-ราง-น้ำ-อากาศ” มูลค่ารวมกว่า 2.8 ล้านล้านบาท 3 พรรคแบ่งเค้กคุมคมนาคม ถึงจะมี “นายกฯและขุนพลเศรษฐกิจหน้าเดิม” แต่ผู้คุมกระทรวงเปลี่ยน มาจาก 3 พรรค 3 สไตล์ มี “ภูมิใจไทย” มี “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นหัวหน้าพรรค นั่งเป็นเบอร์หนึ่ง และมี “ประชาธิปัตย์-พลังประชารัฐ” เป็นระนาบรอง ส่วนพรรคไหนจะตีตราจองโหมดไหน คงรู้กันเร็ว ๆ นี้ แต่ที่แน่ ๆ “ภูมิใจไทย” น่าจะมีกรมการขนส่งทางบกไว้ในมือ ลุย “แกร็บถูกกฎหมาย” ตามที่ได้หารอบเมกะโปรเจ็กต์เสียงไว้ แม้ตลอด 5 ปีของรัฐบาล คสช.จะโหมตีปี๊บการลงทุนสารพัดโปรเจ็กต์คมนาคมอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยปัญหาขั้นตอนต่าง ๆ ทำให้หลายโครงการล่าช้าจากแผน จนตกทอดมาถึงรัฐบาลชุดใหม่-รัฐมนตรีขั้วใหม่ จับตารื้อสัมปทาน-งบฯปี’63 น่าจับตางบประมาณ 2563 กว่า 4.2 แสนล้านบาท ที่สำนักงบประมาณกำลังพิจารณา อาจจะต้องถูกรื้อทั้งยวง โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างและบูรณะถนนในพื้นที่ต่าง ๆ ของ 2 กรมถนน “กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท” ถึงมีกรอบวงเงิน แต่ยังไม่ลงรายละเอียดแต่ละพื้นที่ มีสิทธิ์ที่จะโยกสลับไปมาได้ รวมทั้งโครงการเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 31 โครงการ วงเงิน 57,597 ล้านบาท ที่ “ครม.บิ๊กตู่” ประทับตราไปแล้ว ก็มีสิทธิ์จะถูกรื้อเช่นกัน ขณะที่บรรดาสัมปทานคาบเกี่ยวรัฐบาลเก่า-รัฐบาลใหม่ ทั้ง “ทางด่วน” และ “รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน” หากเคลียร์ไม่จบก่อนจะหมดวาระรัฐบาลทหาร อาจจะมีสิทธิ์ถูกรื้อสูง ไม่งั้นคงไม่มีข่าวปล่อยออกมาเขย่าขวัญ “บิ๊ก ช.การช่าง” ให้สะดุ้งตั้งแต่ไก่โห่ ก็ไม่รู้สัมปทานทางด่วนที่ขออนุมัติขยายสัญญาออกไปอีก 30 ปี ใน 3 โครงการ แลกกับการยุติข้อพิพาทมูลค่าเฉียด 6 หมื่นล้านบาท จะออกหัวหรือก้อย อย่างไรก็ตาม เหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อมีคนใหม่เข้ามา ในส่วนของข้าราชการประจำจะต้องเตรียมข้อมูลไว้นำเสนอ มีรายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้สั่งให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ทำข้อมูลภาพรวมความคืบหน้าการลงทุนโครงการในบัญชีไว้รอแล้ว สั่งสแกนบิ๊กโปรเจ็กต์รอรับ “ชัยวัฒน์ ทองคำคูณ” ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมกะโปรเจ็กต์สำคัญที่ยังรออนุมัติก็จัดเตรียมไว้ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยในปี 2558-2565 หรือแผน 8 ปีตามเดิม ที่จัดทำเป็นแผนปฏิบัติการเร่งด่วน (action plan) แต่ทั้งนี้ จะต้องรอนโยบายจากรัฐมนตรีคนใหม่ก่อนว่า จะผลักดันโครงการใดเป็นพิเศษ เมื่อเปิดโครงการตามแผนเร่งด่วน 2562 จำนวน 41 โครงการ มีรอคณะรัฐมนตรี 21 โครงการ รวมมูลค่า 1.39 ล้านล้านบาท และอยู่ในขั้นตอนการประกวดราคาหาตัวเอกชนร่วมลงทุนอีก 17 โครงการ รวมมูลค่า 386,119 ล้านบาท เช็กสถานะล่าสุด “รถไฟทางคู่เฟส 2” อีก 6 เส้นทาง ระยะทาง 1,128 กม. วงเงิน 206,539 ล้านบาท รอเสนอ ครม. รถไฟความเร็วสูง 3 สายสำคัญที่ยังปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง ได้แก่ ไทย-จีนเฟสแรก 253 กม. วงเงิน 179,412 ล้านบาท อยู่ระหว่างประมูลร่วม 1 แสนล้านบาท ส่วนระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย 350 กม. วงเงิน 276,000 ล้านบาท กำลังศึกษา, ช่วงกรุงเทพฯ-หัวหิน ระยะทาง 210 กม. วงเงิน 100,125 ล้านบาท ศึกษาต่อขยายไปถึงสุราษฎร์ธานี และไทย-ญี่ปุ่น ช่วงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทาง 672 กม. เงินลงทุน 508,637 ล้านบาท กำลังเจรจาญี่ปุ่นร่วมลงทุนเฟสแรกกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ชงเคาะรถไฟฟ้า-มอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้ามี 2 เส้นทางรอประมูล สายสีส้ม ตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-บางขุนนนท์ 13.4 กม. จะเปิด PPP ให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและเดินรถตลอดเส้นทางบางขุนนนท์-มีนบุรี กว่า 1 แสนล้านบาท และสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ 23.6 กม. วงเงิน 101,112 ล้านบาท โครงการถนนของกรมทางหลวง (ทล.) งานด่วนขอเงินค่าเวนคืน 8,000 ล้านบาท ปิดมหากาพย์มอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี ล่าสุดรอบรรจุวาระเข้า ครม.แล้ว เช่นเดียวกับสายนครปฐม-ชะอำ 109 กม. วงเงิน 79,006 ล้านบาท รอเสนอ ครม.อนุมัติเปิด PPP สายหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ 62.59 กม. วงเงิน 57,022 ล้านบาท และส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วงรังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 18 กม. วงเงิน 30,538 ล้านบาท รอผลศึกษารูปแบบ PPP เปิดยื่นซองประมูลวันที่ 27 มิ.ย. งานระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง 2 มอเตอร์เวย์ใหม่สายบางปะอิน-นครราชสีมา และบางใหญ่-กาญจนบุรี เงินลงทุน 61,086 ล้านบาท เร่งถนนริเวียร่าบูม 55 เมืองรอง ด้านกรมทางหลวงชนบท “อธิบดีกฤชเทพ สิมลี” กล่าวว่า งานด่วนมีเร่งก่อสร้างถนน 28 เส้นทางเชื่อมโครงการพระราชดำริในพื้นที่ จ.เชียงใหม่และเชียงราย เดินหน้าโครงการไทยแลนด์ริเวียร่าระยะที่ 2 ชุมพร-สงขลา 500 กม. และถนนบูมการท่องเที่ยว 55 เมืองรอง กว่า 500 โครงการ วงเงินประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท “งานอื่น ๆ เป็นไปตามแผนงบประมาณประจำปีและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในปี 2563 กรมยื่นเสนอของบฯกว่า 5.8 หมื่นล้านบาท แต่คาดว่าจะได้ใกล้เคียงกับปีนี้อยู่ที่กว่า 4.7 หมื่นล้านบาท” ลุ้นเซ็นสร้างทางด่วน 3 หมื่นล้าน ฝั่งการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) มี 3 โครงการรออนุมัติและเซ็นสัญญา ได้แก่ ทางด่วนสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก 18.7 กม. เงินลงทุน 31,244 ล้านบาท เปิดประมูลได้ผู้เสนอราคาต่ำสุดงานโยธาทั้ง 4 สัญญาไปแล้ว แต่ติดข้อร้องเรียนเรื่องคุณสมบัติผู้ได้งาน จะเสนอคณะกรรมการ กทพ. เคาะวันที่ 27 มิ.ย.นี้ พร้อมกับร่างสัญญาทางด่วน 3 โครงการที่ขยายสัญญาให้ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ระยะเวลา 30 ปี ยังมี 2 โครงการตั้งแท่นเสนอ ครม. คือ ทางด่วนสายกะทู้-ป่าตอง จ.ภูเก็ต 3.98 กม. เงินลงทุน 13,917 ล้านบาท รอบอร์ด PPP ไฟเขียว และทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือตอน N2 ระยะที่ 1 ช่วงแยกเกษตร-วงแหวนรอบนอก เงินลงทุน 17,000 ล้านบาท ลงทุนสนามบินอีกหลายแห่ง ด้านอากาศในส่วนของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) หลังปิดดีลสัมปทานดิวตี้ฟรีและเชิงพาณิชย์ 4 สนามบิน สุวรรณภูมิ ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ สำเร็จไปแล้ว มีลุ้นโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินสุวรรณภูมิ 35,377.19 ล้านบาท รอการพิจารณาจากสภาพัฒน์ รวมถึงรันเวย์ 3 วงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท และขยายอาคารผู้โดยสารฝั่งตะวันตก 6,942 ล้านบาท ด้าน “อัมพวัน วรรณโก” อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กล่าวว่า เตรียมสรุปข้อมูลการพัฒนาและการดำเนินงานของกรมต่อรัฐมนตรีคนใหม่ มีความคืบหน้าการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินสนามบินเบตงจะเปิดปี 2563 กระบี่และขอนแก่น จะเปิดปี 2564 เร่งปรับปรุงและขยายอาคารสนามบินนครพนม สกลนคร บุรีรัมย์ “จะเซ็นสัญญาเดือน ก.ค.นี้ มีโครงการพัฒนาสนามบินนครศรีธรรมราช 1,800 ล้านบาท และตรัง 2,000 ล้านบาท จะเปิดปี 2565” มีโครงการในอนาคตตามแผนการพัฒนา 5 ปี วงเงินกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ในปี 2563 ขอจัดสรรงบประมาณ มีโครงการใหม่ เช่น ปรับปรุงอาคารที่พักผู้โดยสารสนามบินร้อยเอ็ด, ขยายอาคารที่พักผู้โดยสาร ส่วนระหว่างประเทศ สนามบินสุราษฎร์ธานี, งานขยายลานจอดอากาศยาน ที่สนามบินสุราษฎร์ธานี และขอนแก่น และออกแบบอาคารผู้โดยสารสนามบินบุรีรัมย์ ยังมีแผนศึกษาความเป็นไปได้ในการมีสนามบินแห่งใหม่ ที่บึงกาฬ มุกดาหาร สตูล และการศึกษาเอกชนร่วมลงทุน ที่สนามบินสำหรับ general aviation ที่นครปฐม พร้อมกับยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัย จากการปรับปรุงกายภาพสนามบิน อาทิ ก่อสร้างเขตปลอดภัยทางวิ่งตามมาตรฐาน ICAO จัดหารถดับเพลิง รถกู้ภัย ให้ครบและเป็นไปตามมาตรฐาน ร่วมกับการจัดหาเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และมาตรฐานอำนวยความสะดวกและบริการ ปรับปรุงร้านค้าเชิงพาณิชย์ภายในให้ทันสมัย และส่งเสริมชุมชนให้มีโอกาสเข้าถึงพื้นที่ เช่น แม่สอด และอุบลราชธานี จะทำเป็นโมเดลต้นแบบ เป็นแค่บางส่วน ยังมีโครงการสร้างท่าเรือ จัดซื้อรถ บขส. และรถเมล์ของ ขสมก.ที่ตั้งแถวรอ 3 รัฐมนตรีกดปุ่มเดินหน้าอีกเพียบ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-343409

จำนวนผู้อ่าน: 1777

28 มิถุนายน 2019

พิษบาทแข็งส่งออกกำไรวูบ! แห่ขายทองราคาขึ้นทุบสถิติ

แฟ้มภาพ เงินบาทแข็งค่าสุดในภูมิภาค ทุบกำไรส่งออกไทยวูบ 1.7 หมื่นล้านบาท “ศูนย์วิเคราะห์ทีเอ็มบี” ชี้สิ้นปีนี้แข็งค่า 5% “ยาง-อาหารทะเล-เนื้อสัตว์-เครื่องประดับ” อ่วม รายได้หาย 6.6 หมื่นล้านบาท ทองคำราคาพุ่งทำนิวไฮรอบ 6 ปี นักลงทุนแห่ขายทำกำไร-ตัดขาดทุน ธุรกิจค้าทองเร่งส่งออก “ระบายสต๊อก-ตุนเงินสด” นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ข้อมูลจากสิ้นปี 2561 ถึง 6 มิ.ย. 2562 แข็งค่าขึ้นแล้ว 6.18% สูงกว่าทุกสกุลเงินในภูมิภาค อาทิ เงินเยนแข็งค่า 2.58% เปโซแข็งค่า 2.4% รูเปียห์แข็งค่า 1.81% ริงกิตอ่อนค่า 0.25% ดอลลาร์ไต้หวันอ่อนค่า 1.20% เป็นต้น คาดการณ์ว่า ค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2562 จะอยู่ที่ 31.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 5% จากปลายปี 2561 ภาคส่งออกกำไรหด 1.7 หมื่น ล. ส่งผลกระทบทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของผู้ส่งออกเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ -3.2% จนถึง +4.9% หรือคิดเป็นกำไรจะหายไปประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมี 3 กลุ่มหลัก 1) ธุรกิจที่เสียประโยชน์ คือกลุ่มที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลักจะกระทบมากที่สุด รายได้ผู้ประกอบการหายไปกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากระดับปกติ 0.3-3.2% ได้แก่ผลิตภัณฑ์ยางพารา อาหารทะเล เนื้อสัตว์ และเครื่องประดับ 2) กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์คือ ธุรกิจขายในประเทศและนำเข้าวัตถุดิบเป็นหลัก จะทำให้ค่าใช้จ่ายจากการนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบที่เป็นเงินต่างประเทศลดน้อยลง 6.2 หมื่นล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้น 0.3-4.9% ได้แก่ เครื่องจักร/ชิ้นส่วน เหล็ก/โลหะ เวชภัณฑ์/เครื่องมือการแพทย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสิ่งทอ 3) กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบคือ ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออก แต่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิตสามารถป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องดื่ม และเคมีภัณฑ์ ราคาทองคำโลกนิวไฮรอบ 6 ปี  ขณะที่นายธีรเดช สินธพเรืองชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ห้างขายทองทองใบเยาวราช (1988) จำกัด วิเคราะห์ทิศทางราคาทองคำขณะนี้ว่า ยังมีแนวโน้มขาขึ้น จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โลกโดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ, ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน และท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ลง ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นทำนิวไฮที่ 1,411 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ สูงสุดในรอบ 6 ปี และคาดว่าราคาทองคำปีนี้จะปรับตัวไปอยู่ที่ 1,500 เหรียญ/ออนซ์ได้ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศ คาดว่าสิ้นปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 22,000 บาท/บาททองคำ หากราคาทองคำโลกปรับตัวไปอยู่ที่ 1,500 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ และค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 30.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ “ราคาทองคำในประเทศไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากเงินบาทแข็งค่า ขณะนี้อยู่ที่ 30.50 บาท/ดอลลาร์ จากต้นปีที่ 32 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากต้นปีเกือบ 2 บาท/ดอลลาร์ ทำให้การเคลื่อนไหวราคาทองคำในประเทศไม่คึกคักมากนัก เพราะเงินบาทที่แข็งค่าเพิ่มขึ้นทุก 10 สตางค์ จะกระทบกับราคาทองคำ 60 บาท/บาททองคำ ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นกระทบกับราคาทองคำประมาณ 600 บาท/บาททองคำ” แห่ขายทองทำกำไร ราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นขณะนี้ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่นำทองคำออกมาขายทำกำไร หรือตัดขาดทุน ขณะที่ร้านทองส่วนใหญ่ที่รับซื้อทองคำในระยะนี้ เตรียมขายส่งออกไปยังต่างประเทศ แทนการนำเข้าเพื่อรักษาสมดุลและสภาพคล่องของสต๊อกทองคำ นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า หลังราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น บริษัทได้ชะลอการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ขายทองออกเพื่อทำกำไร ในทางกลับกัน บริษัทเตรียมส่งออกทองคำแท่งมากขึ้น เพื่อสำรองเงินสดไว้รองรับนักลงทุนที่จะขายออก ส่วนคาดการณ์ราคาขายออกทองแท่งในประเทศสูงสุด ปีนี้น่าจะเห็นที่ 20,450 บาท/บาททองคำ และมีแนวโน้มว่าราคาทองคำไทยจะปรับขึ้นได้ต่อเนื่องระยะสั้นอาจเห็นขึ้นไปทดสอบที่ 21,000 บาท/บาททองคำ เทรดทองคึกคักฟันกำไรเร็ว การซื้อขายทองคำผ่านสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ได้แก่ Gold Futures กับ Gold Online Futures ช่วงนี้มีการซื้อขายคึกคักเช่นกัน โดยเฉพาะการซื้อขายใน Gold Online Futures ที่ไม่มีปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยนให้ต้องพิจารณา ซื้อขายอิงกับราคาทองคำต่างประเทศได้ทันที นอกจากนี้ ในภาวะที่ราคาทองคำกำลังปรับขึ้น การซื้อขายผ่านสัญญาล่วงหน้ามีตัวคูณคงที่ที่ 300 บาท/สัญญา ทำให้นักลงทุนใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่สร้างผลกำไรกลับมาได้เร็ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่างประเทศ (gold spot) ตั้งแต่ 2 พ.ค. 2562 ถึง 21 มิ.ย. 2562ปรับเพิ่มขึ้น 8.75% จาก 1,275.00 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,386.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนราคาทองคำไทยปรับเพิ่มขึ้น 4.65% จาก 19,350 บาท/บาททองคำ เป็น20,250.00 บาท/บาททองคำ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1.147 บาท/ดอลลาร์ จาก 31.982 บาท/ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 30.835 บาท/ดอลลาร์ บาทแข็งฉุดกำไร บจ. นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นคงมีผลกระทบความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) บ้าง แต่การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกจะทำให้เศรษฐกิจโลกทรงตัวได้ ช่วยลดผลกระทบ แต่ปีนี้ภาพรวมกำไร บจ.ยังเติบโตอยู่ แต่อาจโตระดับเลขตัวเดียว 5-6%และครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะดีกว่าครึ่งปีแรก จาก 1) การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ชัดเจนขึ้น 2) นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ทำให้ตลาดทุนกลับมาคึกคัก ขณะนี้มีเงินทุนเคลื่อนย้าย ไหลเข้ามาแล้ว 4-5 หมื่นล้านบาท ทั้งปีน่าจะมีเงินไหลเข้ามา 1 แสนล้านบาท ทางด้านบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รายงานราคาทองคำ วันที่ 27 มิ.ย. 2562 ว่าราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 13.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ หลังจากเทรดเดอร์ปรับลดคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือน ก.ค. ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากประธานเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย และประธานเฟดเซ็นต์หลุยส์คัดค้านการลดดอกเบี้ยในระดับดังกล่าว นอกจากนี้ ทองคำที่อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยยังได้รับแรงกดดันเพิ่ม จากความเห็นของนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ที่กล่าวต่อสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเสร็จสิ้นแล้ว “ราว 90%” ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แสดงความมั่นใจเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในการประชุม G20 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงมาทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,401.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะฟื้นตัวขึ้นบ้าง เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆยังมีความไม่แน่นอนสูง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ไปจนถึงผลการเจราจาการค้าระหว่างผู้นำจีนและสหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-343502

จำนวนผู้อ่าน: 1860

28 มิถุนายน 2019

ปิด7ช่องดิจิทัลผู้ผลิตรายการหนีตาย ดิ้นหาที่ลงใหม่-กันตนาซบ”อีสปอร์ต”

ผู้ผลิตรายการทีวีหืดจับ รายเล็กทยอยปิดตัวเกลื่อน หลัง 7 ช่องจอดำ ด้าน 4 ค่ายเร่งจัดทัพหารายได้เพิ่ม “ทีวี ธันเดอร์-JSL” หันผลิตรายการป้อนแพลตฟอร์มโอทีที ส่วน “กันตนา” ตั้งบริษัทอีสปอร์ตรับกระแสกีฬาคนรุ่นใหม่มาแรง ขณะที่ “เซ้นส์” พลิกโมเดลธุรกิจเน้นยืดหยุ่น ทั้งรับจ้างผลิต เช่าเวลา แบ่งรายได้กับช่อง แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้บริษัทผู้ผลิตรายการรายเล็ก ๆ ทั้งกลุ่มดารา นักแสดง รวมถึงรายย่อยอื่น ๆ ที่เคยเปิดบริษัทกันอย่างคึกคักตั้งแต่ปี 2557-2558 เริ่มทยอยปิดตัวลงเป็นระยะ ๆ และอาจจะกล่าวได้ว่าแทบไม่เหลือผู้ผลิตรายย่อยเหลืออยู่เลย ทำให้ตอนนี้เหลือผู้เล่นหลัก ๆ เพียง 4-5 ราย อาทิ ทีวี ธันเดอร์ กันตนา เจเอสแอล เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ และมีมิติ บริษัทในเครือแกรมมี่ ทั้งนี้ ปัจจัยหลัก ๆ ยังคงเป็นเรื่องของเม็ดเงินโฆษณาในอุตสาหกรรมที่ไม่เติบโต ประกอบกับการเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทำให้ความนิยมผู้ชม (เรตติ้ง) ของทีวีลดลง และกระทบต่อรายได้โฆษณาของช่องทีวี และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อไปยังบริษัทผู้ผลิตรายการวาไรตี้ ละคร เกมโชว์ ที่ทำรายการป้อนให้ช่องเหล่านี้ ล่าสุด การที่ทีวี 7 ช่อง ตัดสินใจคืนใบอนุญาตก็เป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ผู้ผลิตรายเล็กตัดสินใจปิดกิจการลงในที่สุด “ช่วงแรก ๆ ที่จำนวนทีวีเพิ่มขึ้นเป็น 24 ช่อง จากเดิมที่มีเพียง 4 ช่อง เมื่อ 5 ปีก่อน ทำให้มีคนตั้งบริษัทผลิตคอนเทนต์เล็ก ๆ ขึ้นจำนวนมาก เพื่อรองรับความต้องการของช่องทีวีที่เพิ่มขึ้น แต่จากการแข่งขันที่สูงบวกกับต้นทุนต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น หลาย ๆ ช่องจึงตัดลดต้นทุนต่าง ๆ ลง รวมถึงการผลิตคอนเทนต์ที่หันไปซื้อคอนเทนต์จากต่างประเทศมาออกอากาศแทน ซึ่งกระทบกับผู้ผลิตคอนเทนต์รายเล็ก และเริ่มมีภาพทยอยปิดตัวลงตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลังจากขาดทุนมาต่อเนื่อง” “ทีวี ธันเดอร์” เจาะตลาดโอทีที นายพิรัฐ เย็นสุดใจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากแนวโน้มตลาดเปลี่ยนไป โดยเฉพาะพฤติกรรมคนดูที่เปลี่ยนย้ายจากการดูรายการต่าง ๆ บนหน้าจอทีวีไปดูทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้เรตติ้งรายการทีวีมีแนวโน้มที่ลดลง ซึ่งกระทบกับเม็ดเงินโฆษณาที่เป็นรายได้หลักของช่องต่าง ๆ และทำให้ผู้ผลิตรายเล็ก ๆ ต้องปิดตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรายใหญ่ที่เหลืออยู่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คือ รายได้มีแนวโน้มที่หดตัวลง ทุกค่ายจึงต้องทยอยปรับตัว ปรับโมเดลธุรกิจใหม่ สำหรับทีวี ธันเดอร์เอง ขณะนี้ได้แบ่งธุรกิจเป็น 2 ส่วน คือ การรับจ้างผลิต และแบ่งรายได้กับช่อง (time sharing) เพื่อบาลานซ์ความเสี่ยงทางธุรกิจ ขณะเดียวกันก็หันไปให้ความสำคัญกับการผลิตคอนเทนต์เพื่อป้อนให้แพลตฟอร์มโอทีที (OTT) หรือดูคอนเทนต์บนออนไลน์ เช่น ไลน์ทีวี เอไอเอสเพลย์มากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ทดลองโมเดลใหม่ ๆ อาทิ การจับมือกับดารา ผลิตรายการย่อยลงช่องยูทูบ “TV Thunder Official” ซึ่งมีฐานสมาชิกอยู่ 4.3 ล้านราย เช่น ร่วมกับ ดีเจ.นุ้ย สร้างรายการ “นังตัวดี” หรือเบนซ์ พรชิตาและมิค บรมวุฒิ สร้างรายการ “ปริมไม่อาว” เป็นต้น และกำลังจะทยอยเพิ่มรายการในลักษณะนี้อีก 2-3 รายการ “กันตนา” แตกไลน์รุกอีสปอร์ต ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้ธุรกิจผลิตคอนเทนต์ไม่หวือหวาเหมือนช่วง 5 ปีก่อน เพราะเม็ดเงินโฆษณาลดลงเรื่อย ๆและบวกกับพฤติกรรมการรับสื่อของผู้บริโภคที่เปลี่ยน ทำให้ผู้ผลิตคอนเทนต์หลายรายต้องปรับตัว โดยมุ่งสร้างรายได้จากช่องทางใหม่ ๆ เข้ามาเสริม สำหรับกันตนาเอง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้มีการแตกไลน์ธุรกิจ ด้วยการตั้งบริษัท กันตนา สปอร์ต แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด เพื่อให้บริการธุรกิจที่เกี่ยวกับอีสปอร์ต ที่เป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตและได้รับความนิยม โดยให้บริการเกี่ยวกับอีเวนต์และพัฒนาทีมอีสปอร์ตสำหรับแข่งขันระดับประเทศและระดับโลก ส่วนธุรกิจเดิมบริษัทก็ยังเดินหน้ารับจ้างผลิตรายการละครให้แก่ช่องทีวีต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นช่อง 3 ช่อง 7 พีพีทีวี ทรูโฟร์ยู เป็นต้น รวมถึงผลิตคอนเทนต์เพื่อป้อนให้แก่แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะไลน์ทีวี เช่น รายการ Drag Race Thailand เป็นต้น JSL มุ่งป้อนออนไลน์ นางจำนรรค์ ศิริตัน ประธานกรรมการ บริษัท เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด ผู้ผลิตคอนเทนต์เกมโชว์ วาไรตี้ ละคร กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เม็ดเงินโฆษณาและเรตติ้งมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ การหาโฆษณาของช่องและผู้ผลิตก็อยู่ยากขึ้น จึงมีผู้ผลิตรายเล็ก ๆ ต้องทยอยปิดบริษัทลง สำหรับเจเอสแอลก็ต้องปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์และหารายได้จากช่องทางใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่ม ด้วยการตั้งเป้าว่าจะเดินหน้าผลิตคอนเทนต์ป้อนให้แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น รวมถึงขยายเข้าไปผลิตรายการวาไรตี้ ละครให้ช่องอื่น ๆ มากขึ้น “ตอนนี้มีรายการออกอากาศทั้งทีวีและออนไลน์ เช่น รายการแม่เหล็ก กิ๊กดู๋สงครามเพลงเงินล้าน ออนแอร์ทางช่องพีพีทีวี พรุ่งนี้ฉันไม่มีแม่แล้ว ออนแอร์บนไลน์ทีวี ยุทธการขยับเหงือก 5.0 ออนแอร์ ช่องวัน 31 เป็นต้น ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ด้านความเคลื่อนไหวของบริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ผู้ผลิตคอนเทนต์บันเทิงอีกราย เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ได้ทยอยปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน ด้วยการพยายามหารายได้จากช่องทางใหม่ ๆ เข้ามาต่อเนื่อง ด้วยการเปิดโมเดลกว้างขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น ทั้งรับจ้างผลิต เช่าเวลาโฆษณา และแบ่งรายได้กับช่อง รวมถึงมีการบริหารจัดการภายในใหม่ ลดต้นทุน เพื่อให้บริษัทยังโตต่อ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-339171

จำนวนผู้อ่าน: 1910

17 มิถุนายน 2019

‘อิเสะ’ยักษ์ไข่ญี่ปุ่นบุกไทย ตั้งฟาร์มไก่ท้าชนเจ้าตลาด

ตลาดไข่ไทยสะเทือน “ISE Foods” ยักษ์ผู้ผลิตไข่ไก่ครบวงจรสัญชาติญี่ปุ่น รุกปักธงลงทุน Egg Park ฟาร์มไก่ไข่ 1 ล้านตัวที่แปดริ้ว ดอดเจรจาบีโอไอ ด้านผู้เลี้ยง-ผู้ผลิตไก่ไข่จับมือกรมปศุสัตว์ออกโรงต้าน หวั่นไข่ล้นตลาด สะเทือนบรรดายักษ์ใหญ่ปศุสัตว์มีคู่แข่งฝีมือทัดเทียมเข้ามาตีท้ายครัวถึงในบ้านตัวเอง ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่าขณะนี้บริษัท ISE Foods Inc. หรือ “อิเสะ”ยักษ์ใหญ่ปศุสัตว์และผู้ผลิตไข่ไก่ครบวงจรเบอร์ 1 จากประเทศญี่ปุ่น จะเข้ามาลงทุนพัฒนาฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ขนาด 1 ล้านตัว ที่ อ.แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา โดยบริษัทอยู่ระหว่างการหารือเพื่อขอรับการส่งเสริมลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กับคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (เอ้กบอร์ด) โดยการเข้ามาลงทุนของอิเสะในครั้งนี้ได้สร้างความกังวลและตื่นตระหนกให้กับบรรดายักษ์ใหญ่ทางด้านปศุสัตว์ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดไข่ไก่อันดับหนึ่งของประเทศ จากการที่ไม่เคยมีคู่แข่งที่มีศักยภาพทัดเทียมกับตัวเองเข้ามาปรากฏตัวในประเทศ ทั้งนี้ บริษัท อิเสะ ฟู้ดส์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ISE Foods Inc.) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่โตเกียว กับเมืองโคโนสุ ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งในปี 1912 เงินทุนจดทะเบียน 20 ล้านเยน (ประมาณ 5.77 ล้านบาท) ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานรวม 732 คน มีสำนักงานขายในญี่ปุ่น 7 แห่ง และมีโรงงานในญี่ปุ่นทั้งสิ้น 10 แห่ง โดยในปีงบประมาณ 2018 มียอดขายรวม 47,100 ล้านเยน (ประมาณ 13,600 ล้านบาท) นอกจากนี้ บริษัทยังมีในเครือหลายแห่งที่ถูกกำกับและบริหารภายใต้ บริษัท อิเสะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ISE Corporation) มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองโทยามะ ประกอบด้วยบริษัทในเครือด้านการผลิต 8 แห่ง และด้านการแปรรูปอีก 3 แห่งทั่วญี่ปุ่น สำหรับบริษัทในเครือต่างประเทศมีสำนักงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา 1 แห่ง ในจีน 3 แห่ง (ปักกิ่ง-ชิงเต่า-เหอหยวน) และยังมี บริษัท อิเสะฟู้ดส์ สิงคโปร์ จำกัด (ISE FOODS SINGAPORE PTE. LTD.) กับบริษัท อิเสะ เอเชีย จำกัด (ISE ASIA, INC.) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงโตเกียว ดูแลฐานการผลิตในกรุงเทพฯ และอินโดนีเซีย กลัวไข่ล้นตลาด ด้าน นายมาโนช ชูทับทิม นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ได้สอบถามมาที่สมาคมกรณีบริษัทขนาดใหญ่จากญี่ปุ่น (อิเสะ) จะมาลงทุนเลี้ยงไก่ไข่ที่ฉะเชิงเทรา 1-2 ล้านตัว ปรากฏเรื่องนี้สมาคมมี “ความป็นห่วงพอสมควร” เนื่องจากกลัวว่า ไข่ไก่ของบริษัทจะเล็ดลอดออกมาขายแข่งเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ในไทย และมีผลทำให้ราคาไข่ในประเทศตกต่ำลงได้ เนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานการณ์ไข่ไก่ของไทยราคา “ต่ำกว่า”ต้นทุนการผลิตจากผลผลิตไข่ล้นเกินความต้องการบริโภค มีรายงานข่าวจากวงการเลี้ยงไก่ไข่เข้ามาว่า ประเด็นที่สร้างความวิตกกังวลให้กับผู้เลี้ยงไก่ไข่จากการเข้ามาของอิเสะก็คือ ซัพพลายไข่ไก่ที่จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 900,000-1 ล้านฟอง/วัน จะมีผลทำให้ไข่ไก่กลับมา “ล้นตลาด” เหมือนเมื่อปี 2559 ซึ่งช่วงนั้นมีไข่ไก่ล้นตลาดถึง 8 ล้านฟอง/วัน จากปริมาณการผลิตไข่ภาพรวมมีมากถึง 48 ล้านฟอง/วันราคาขายไข่ไก่ลดลงเหลือฟองละ 2.30 บาทเกษตรกรประสบภาวะขาดทุน กระทั่ง”เอ้กบอร์ด” ต้องออกมา “จำกัด” ปริมาณการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ (PS) และปู่ย่าพันธุ์ (GP) ไก่ไข่ และลดจำนวนแม่ไก่ยืนกรงทั่วประเทศให้อยู่ที่ 50 ล้านตัว เพื่อรักษาสมดุลระหว่างดีมานด์และซัพพลาย ส่งผลให้ราคาขายไข่ไก่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ฟองละ 2.50 บาท CP เข็นไข่เคจฟรีสู้ ด้านนายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหารธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)กล่าวว่า ธุรกิจไก่ไข่ในแต่ละปีนั้น “มีได้และมีเสีย” หลายปีที่ผ่านมา เกษตรกรขาดทุนค่อนข้างมากจากปัญหาโอเวอร์ซัพพลายเป็นหลัก แต่ดีที่ในช่วงต้นปี 2561 ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำงานร่วมกับสมาคมได้คอนโทรลซัพพลายลดพ่อแม่พันธุ์ (PS) ลดการส่งออกและเก็บไข่เข้าห้องเย็น มีผลทำให้ราคาไข่กลับมาดีขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรที่เคยขาดทุนในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาดีขึ้น “หากบริษัทอิเสะเข้ามาก็จะมาเพิ่มจำนวนซัพพลายไข่ไก่เข้ามาในตลาดอีกซึ่งน่าห่วงว่าเกษตรกรรายเล็กรายย่อยที่เลี้ยงไก่ไข่ 500-1,000 ตัว จะไม่สามารถแข่งขันได้ ส่วนรายใหญ่อย่าง CP หรือเบทาโกร ไม่ต้องห่วงอยู่แล้ว ผมคิดว่ารัฐบาลต้องระมัดระวังในการตัดสินใจเรื่องนี้ เพราะเชื่อว่าเกษตรกรคงไม่พอใจ ถ้าจะให้อิเสะเข้ามา” อย่างไรก็ตาม CPF กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงระดับพรีเมี่ยมภายใต้แบรนด์ “U-Farm” มีการผลิตไก่เบญจาออกสู่ตลาดแล้ว และอยู่ระหว่างการพัฒนา “ไข่เคจฟรี” (Cage Free) ซึ่งให้ไก่กินอาหารที่ไม่มียาปฏิชีวนะ ช่วยให้ไข่ไม่มีกลิ่นคาวสามารถตอกไข่ดิบลงบนข้าวได้ เช่นเดียวกับไข่ของอิเสะจากญี่ปุ่น และเริ่มทดลองทำการตลาดขนาดแพ็ก 4 ฟอง ขายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นบ้างแล้ว กรมปศุสัตว์ออกโรงร่วมต้าน นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมได้แจ้งให้ทางบริษัทอิเสะทราบแล้วว่า “ไม่เห็นด้วย” ที่บริษัทจะเข้ามาตั้งฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ในประเทศไทยจากเหตุผลที่ว่า 1) ผู้เลี้ยงไก่ไข่ของไทยเป็นผู้เลี้ยงรายย่อยอาจมีผลกระทบต่อเกษตรกร 2) แผนลงทุนของบริษัทอิเสะไม่สอดคล้องกับมาตรการที่คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ต้องการควบคุมกำหนดโควตานำเข้าปู่ย่าพันธุ์ (GP)-พ่อแม่พันธุ์ (PS) และ 3) อุตสาหกรรมไก่ไข่ไทยมีศักยภาพสามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศมากอยู่แล้ว ซึ่งตลาดในประเทศก็มีผลผลิตไข่ไก่เกินความต้องการ “อิเสะได้ทำแผนการผลิตและส่งออกไก่ไข่ครบวงจร โดยใช้ชื่อว่า “Egg Park” เสนอมายังรัฐบาล และให้กรมปศุสัตว์เป็นผู้พิจารณาก่อน โดยต้องไปผ่านมติเอ้กบอร์ด ซึ่งกรมพิจารณาแล้วว่า แผนของอิเสะไม่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมไก่ไข่ของไทย กรมปศุสัตว์จึงไม่เห็นด้วย และที่สำคัญคือ จะกระทบเกษตรกรอย่างมาก” นายสัตวแพทย์สมชวนกล่าว ขณะที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า ISE foods จะเข้ามาหารือกับ BOI เพื่อขอทราบสิทธิประโยชน์จากการลงทุนฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แต่จนถึงขณะนี้ทางบริษัท ISE foods ยังไม่ได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน “ฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ไม่ใช่อุตสาหกรรม S-curve และไม่ใช่พื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตส่งเสริม แต่ ISE foods สามารถเข้ามาลงทุนตั้งฟาร์มเองก็ได้ เพียงแต่ไม่ได้รับการส่งเสริม-สิทธิประโยชน์จาก BOI เท่านั้น” เกษตรกรเดือดร้อน “ประชาชาติธุรกิจ” สอบถามไปยังฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่หลายรายกรณี “อิเสะ” จะเข้ามาลงทุนเลี้ยงไก่ไข่ว่า ผู้รับผลกระทบมากที่สุดไม่ใช่เกษตรกร แต่เป็นบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านปศุสัตว์ จากเหตุผลที่ว่า บริษัทเหล่านี้เป็นผู้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดไก่ไข่ในประเทศ ย่อม “ไม่ยอม” ให้มีคู่แข่งที่มีศักยภาพทัดเทียม หรือเก่งกว่าเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในประเทศ โดยเฉพาะผู้ผลิตไก่ไข่เบอร์ 1 ที่มีแชร์ห่างจากเบอร์ 2 หลายเท่าตัว “การเข้ามาของอิเสะเชื่อว่าไม่ได้มาคนเดียว แต่อิเสะจะต้องหาพันธมิตรภายในประเทศ อาจจะเป็นการร่วมลงทุน กรณีนี้จะทำให้การครองส่วนแบ่งตลาดไก่ไข่และไข่ในประเทศเปลี่ยนแปลงไป เบอร์ 2-3-4 อาจขยับขึ้นมาแข่งกับเบอร์ 1 ได้ ทั้งในแง่ของผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากไข่ โดยอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญจากอิเสะ ส่วนปริมาณไข่ไก่ที่ล้นเกินนั้น ความจริงมาจากการไม่มีการควบคุมปริมาณการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ (PS) ไปจนถึงปู่ย่าพันธุ์ (GP) เนื่องจากเป็นการเปิดให้นำเข้าโดยเสรี ดังนั้น การปรากฏตัวของอิเสะจึงได้รับการต่อต้านอย่างสูง ส่วนที่ว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่จะเดือดร้อนนั้น ปัจจุบันแทบไม่มีผู้เลี้ยงอิสระอยู่แล้ว เพราะระบบการเลี้ยงไก่ไข่ในปัจจุบันเป็นแบบ contact farming ผู้เลี้ยงไก่ไข่เหมือนหนึ่งลูกจ้างเลี้ยงไก่ของบริษัทนั่นเอง” แหล่งข่าวกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-339145

จำนวนผู้อ่าน: 1813

17 มิถุนายน 2019

ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าเล็กน้อยเหตุดัชนียอดขายปลีกพื้นฐานสหรัฐดีขึ้น นลท.คลายความกังวลว่าศก.สหรัฐจะชะลอตัว

ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าเล็กน้อยเหตุดัชนียอดขายปลีกพื้นฐานสหรัฐดีขึ้น นลท.จึงคลายความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัว คาดเฟดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25-2.50% ในการประชุมครั้งนี้ (18-19 มิ.ย) โดยกรอบการเคลื่อนไหววันนี้อยู่ที่ระดับ 31.25-31.35 บาทต่อดอลลาร์ คาดเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25-2.50% แนะติดตามคอมเมนต์ผลการประชุมส่งสัญญาณผลการประชุมรอบหน้า ขณะที่ค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าเล็กน้อยหลังดัชนียอดขายปลีกพื้นฐานสหรัฐดีขึ้น-นลท.จึงคลายความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวโดยกรอบการเคลื่อนไหววันนี้อยู่ที่ระดับ 31.15-31.30 บาทต่อดอลลาร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (17มิ.ย.) ที่ระดับ 31.21/26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าเล็กน้อยจากช่วงปิดสิ้นวันของสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ระดับ 31.15/18 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ทิศทางค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่าน (14 มิ.ย.) เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวเเข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากดัชนียอดขายปลีกพื้นฐานสหรัฐที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้นักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐลดลง จากเดิมที่คาดว่าภาพเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวอย่างรุนแรง สำหรับสัปดาห์นี้นักลงทุนจะต้องจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ในวันที่ 18-19 มิถุนายนนี้ว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร เเต่เชื่อว่าเฟดจะ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมครั้งนี้ และจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป โดยจะติดตามรายละเอียดคอมเมนต์และรายงานที่เฟดนำออกมาชี้เเจงว่าเป็นเช่นไร เพราะหากเฟดปรับลดดอกเบี้ยลงก็จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และค่าเงินบาทไทยปรับตัวเเข็งค่าขึ้นได้ ส่วนปัจจัยในประเทศ จะต้องติดตามผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (26 มิ.ย.) นี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวค่าเงินวันนี้อยู่ที่ 31.15-31.30 บาทต่อดอลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-339214

จำนวนผู้อ่าน: 1796

17 มิถุนายน 2019

หุ้นไทยพักฐาน ไร้ปัจจัยบวกใหม่ โบรกฯ ชี้จับตาประชุมเฟด-เจรจาการค้า

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 17 มิ.ย.62 คาดว่าวันนี้ตลาดฯ จะแกว่งไซด์เวย์ (Sideway) พักฐาน เนื่องจากดัชนีในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับขึ้นมาค่อนข้างสูง และยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาหนุนตลาดฯ ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในช่วง 2 วันนี้ โดย บล.ฟินนันเซียฯ มีมุมมองว่า FOMC จะยังไม่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมครั้งดังกล่าว ขณะที่ในช่วงปลายเดือน มิ.ย.62 จะมีการประชุมผู้นำ G20 ซึ่งกวังว่าจะเห็นการเจรจาการค้าระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน “หากไม่มีการพบปะหรือพูดคุยกันถึงเรื่องของสงครามการค้าระหว่างที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ เราคาดว่าตลาดฯ จะผิดหวัง เพราะมีความเสี่ยงว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีมูลค่า 3.25 แสนล้านดอลลาร์ที่เหลือกับจีน” นายวีระวัฒน์ กล่าว ขณะที่กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในวันนี้มองแนวรับไว้ที่ 1,665 จุด และแนวต้านที่ 1,680 จุด โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนว่าสามารถแบ่งขายทำกำไรระยะสั้นได้ขณะที่ดัชนียังแกว่งตัวบวกลบอยู่ที่บริเวณ 1,680 จุด และให้น้ำหนักกับหุ้นที่อิงกับปัจจัยในประเทศ (Domestic Play) เป็นหลัก “การที่ดัชนีฯ ปรับขึ้นเหนือ 1,670 จุด ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน ถือว่าเป็นการปรับขึ้นมาค่อนข้างมากทีเดียว โดยเราประเมินเป้าดัชนีปี 2562 ไว้ที่ 1,720 จุด ดังนั้น ปัจจุบันถือว่าเหลืออัพไซด์ (โอกาสปรับขึ้น) ไม่มากแล้ว” นายวีระวัฒน์ กล่าวสรุป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-339204

จำนวนผู้อ่าน: 1761

17 มิถุนายน 2019

สนามบิน-วงแหวนรอบ 4 จุดพลุเชียงใหม่ “กาญจน์กนก” ตุนที่100ไร่โซนแม่ออนเบียดทุนกรุง

คนเชียงใหม่ลุ้นเก้อ ผังเมืองรวมเฉพาะกิจปลดล็อกโรงพยาบาลสันทรายสร้างตึกสูงจาก 9 เมตร เป็น 23 เมตร เอกชนแห้วเพราะจำกัดพื้นที่แค่ 165 เมตร บิ๊กทุนท้องถิ่น “กาญจน์กนกกรุ๊ป” ปักหมุด 100 ไร่ ทางหลวงหมายเลข 1317 ถนนแม่ออน ดักอนาคตสนามบินแห่งที่ 2 เผยราคาที่ดินพุ่ง 3 เท่าในรอบ 5 ปี “แอคคิวท์ เรียลตี้” เปิดโพยถนนดาวรุ่ง 5 เส้นทาง ราคาที่ดินขยับวาละ 1-5.5 หมื่น/ตารางวา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงมหาดไทยได้ออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับผังเมืองรวมเชียงใหม่ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 แต่จำกัดขอบเขตพื้นที่สร้างตึกสูงจากเดิมไม่เกิน 9 เมตร เพิ่มเป็นไม่เกิน 23 เมตร ให้โรงพยาบาลรัฐสามารถเปิดตึกได้ ในขณะที่ภาพรวมการจัดทำผังเมืองรวมเชียงใหม่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ หลังจากผังปัจจุบันมีอายุการใช้งาน 7 ปีเต็มแล้ว ผังเฉพาะกิจรัฐต่อรัฐ นายชินโชติ เรือนใหม่ ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ เชียงใหม่ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า รายละเอียดราชกิจจานุเบกษากฎกระทรวงมหาดไทย เรื่องผังเมืองรวมเชียงใหม่ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2562 นั้น นับเป็นผังเมืองเฉพาะกิจเพื่อเอื้อต่อการใช้ประโยชน์บนที่ดินของโรงพยาบาลสันทราย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐ โดยกำหนดด้านเหนือ จดถนนทางหลวงหมายเลข 1260 ฟากใต้, ด้านตะวันออก จดถนนทางหลวงหมายเลข 1001 ฟากตะวันตก, ด้านใต้ จดเส้นขนานระยะ 165 เมตร กับศูนย์กลางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1260 และด้านตะวันตก จดโรงพยาบาลสันทราย “เรื่องนี้เป็นกรณีรัฐต่อรัฐ โรงพยาบาลสันทรายมีคนไข้เต็ม จึงได้ก่อสร้างอาคารหลังใหม่ แต่ไม่สามารถเปิดใช้ได้เนื่องจากติดข้อจำกัดผังเมือง อยู่ในพื้นที่ห้ามก่อสร้างสูงเกิน 9 เมตร โดยผังเมืองรวมที่เพิ่งบังคับใช้เป็นผังเมืองเฉพาะกิจ ด้วยการปลดล็อกให้เป็นโซนที่สามารถสร้างตึกสูงได้ไม่เกิน 23 เมตร เพื่อให้ รพ.สันทรายได้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการสาธารณประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุข” เปิดโพยที่ดิน 5 ถนนดาวรุ่ง นายชินโชติกล่าวว่า เส้นทางถนนที่มีการปรับเปลี่ยน มีต้นทางอยู่ที่จุดแยกโรงพยาบาลสันทราย (ถนนหมายเลข 1260) ปลายทางที่สามแยกหมู่บ้านกรีนวัลเลย์ ถนนแม่ริม (เส้นหมายเลข 107) หรืออยู่ห่างจากห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล 10 กิโลเมตร จุดน่าสนใจอยู่ที่แนวถนนแม่ริม ทางหลวงหมายเลข 107 เตรียมขยายเขตเชื่อมต่อวงแหวนรอบ 4 ที่มีการเวนคืนที่ดินแล้ว และกำหนดงบประมาณในการปรับถนนต่อเนื่อง ความคืบหน้ารอการอนุมัติจากรัฐบาลชุดใหม่ รวมทั้งรอให้งานก่อสร้างขยายเขตวงแหวนรอบ 3 (ถนนลิขิตชีวัน-ดอยสะเก็ด-สันกำแพง-แม่ออน-สนามบินแห่งใหม่ บ้านธิ) เรียบร้อยก่อน เทรนด์การพัฒนาที่ดินจากโครงการถนนวงแหวนรอบที่ 4 รวมทั้งโครงการขยายสนามบินเชียงใหม่ แห่งที่ 2 ได้รับความสนใจสูงจากกลุ่มทุนพัฒนาที่ดินทั้งบิ๊กแบรนด์จากกรุงเทพฯ และกลุ่มทุนท้องถิ่นเชียงใหม่ โดยมีการซื้อแลนด์แบงก์สะสม 3 ทำเลหลัก ในโซนถนนวงแหวนรอบ 2, ถนนวงแหวนรอบ 3-สันกำแพงสายใหม่ กับถนนคันคลองชลประทาน ด้านราคาที่ดิน 3 ทำเลหลัก กรณีที่ดินแปลงใหญ่ยังไม่สูงมากนัก ดีเวลอปเปอร์จึงซื้อสะสมเป็นแลนด์แบงก์ เพื่อรอศักยภาพการเติบโตของทำเลในอนาคต จากการสำรวจราคาที่ดินถนนสายหลัก 5 เส้นทาง มีดังนี้ ถนนแม่ริม-เชียงใหม่ ทางหลวงหมายเลข 107 ปัจจุบันเฉลี่ยตารางวาละ 2-5 หมื่นบาท, ถนนพร้าว-เชียงใหม่ หมายเลข 1001 ราคา 2.5-3.5 หมื่นบาท/ตารางวา ถนนดอยสะเก็ด-เชียงใหม่ หมายเลข 118 ราคา 3.5-5.5 หมื่นบาท/ตารางวา, ถนนสันกำแพง-เชียงใหม่ หมายเลข 1006 ราคา 1.5-3.5 หมื่นบาท/ตารางวา และถนนสันกำแพง-แม่ออน หมายเลข 1317 ราคา 1-3.5 หมื่นบาท/ตารางวา ทุนท้องถิ่นเบียดบิ๊กแบรนด์ ขณะเดียวกันในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีกระแสการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าต่างรูปแบบอย่างคึกคัก ดังนี้ 1.ตลาดที่อยู่อาศัย เซ็กเมนต์หลักเป็นกลุ่มราคา 2-3 ล้านบาท เจาะลูกค้าคนเชียงใหม่ พนักงานบริษัท มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม 2.บ้านเดี่ยวไฮเอนด์เริ่มต้น 12 ล้านบาทขึ้นไป เน้นจุดขายที่ตั้งโครงการอยู่ตามแนวถนนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโซนหางดง วงแหวนรอบ 2, ใกล้แยกรวมโชค, ราชพฤกษ์คันคลอง เช่น หมู่บ้านเศรษฐสิริ ของ บมจ.แสนสิริ, หมู่บ้านลัดดารมย์ ของ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ หรือคิวเฮ้าส์, หมู่บ้านพรีวาโต ของปาล์มสปริงกรุ๊ป กลุ่มทุนท้องถิ่น เป็นต้น 3.การลงทุนของนักลงทุนรายเล็ก เน้นลงทุนเช่าหรือซื้ออาคารพาณิชย์เก่ามารีโนเวตเป็นโฮสเทล หรือโรงแรมขนาดเล็ก และ 4.ธุรกิจโมเดิร์นเทรดวัสดุและของตกแต่ง ศูนย์การค้า อาทิ ห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล ทำเลหัวมุมถนนซูเปอร์ไฮเวย์กับถนนมุ่งหน้าไปดอยสะเก็ด ฯลฯ กาญจน์กนกปักหมุดแม่ออน นายกนกศักดิ์ เชียวศิลปธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กาญจน์กนกกรุ๊ป ดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผังเมืองเฉพาะกิจในส่วนโรงพยาบาลสันทรายเป็นเพียงสปอตเล็ก ๆ โดยมีการปลดล็อกสร้างตึกสูง 23 เมตรสั้น ๆ ระยะเพียง 165 เมตร คงไม่มีเอกชนรายไหนหาซื้อที่ดินเพื่อรับประโยชน์จากตรงนี้ได้ ในภาพใหญ่เป็นเรื่องโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ คือ การขยายสนามบินเชียงใหม่ แห่งที่ 2 เป็นหลัก โดยกาญจน์กนกเลือกและสนใจทำเลเส้น 1317 แม่ออน มองว่ามีศักยภาพสูงในอนาคต มีการตัดถนนใหม่ ทำให้ดีเวลอปเปอร์หลายรายเข้าไปสะสมแลนด์แบงก์ในพื้นที่จำนวนมาก เช่น แสนสิริ “บริษัทก็มีที่ดิน 100 ไร่ อยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลสันกำแพง ทำเลมีศักยภาพมาก และมีการขออนุญาตจัดสรรทำเป็นบ้านแฝดและบ้านเดี่ยวไว้เรียบร้อย ส่วนใหญ่ที่ตรงนี้น่าจะเต็มแล้ว อยู่ในมือดีเวลอปเปอร์หรือนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งในวงการทราบดีว่าผังเมืองมีกฎระเบียบที่เข้มข้นขึ้น ล่าสุดผังเมืองรวมสันกำแพงเพิ่งประกาศเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ปรับสีเป็นสีเขียว ทำบ้านจัดสรรก็ยาก แต่บริษัทจัดสรรส่วนใหญ่รู้ และมีการขอใบอนุญาตจัดสรรล่วงหน้า ทำดักไว้หมดแล้วตั้งแต่ผังเมืองยังเป็นผังสีชมพู หมายถึงพื้นที่อยู่นอกผัง ยังไม่ได้กำหนดข้อห้ามอะไรมากนัก” นายกนกศักดิ์กล่าวว่า ราคาที่ดินโซนใกล้สนามบินแห่งที่ 2 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากไร่ละ 1 ล้านบาท ปัจจุบันมีการตั้งราคาขายอยู่ที่ไร่ละ 3 ล้านบาท ท็อป 5 บ้าน-คอนโดฯขายดี ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. หรือ REIC กล่าวว่า จากการสำรวจในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 ในจังหวัดเชียงใหม่มีโครงการอยู่ระหว่างขาย 222 โครงการ หน่วยในผัง 28,552 หน่วย มูลค่ารวม 106,882 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 9,459 หน่วย มูลค่า 36,528 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านจัดสรร 169 โครงการ 20,295 หน่วย มูลค่า 76,776 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 6,981 หน่วย มูลค่า 27,406 ล้านบาท, อาคารชุด 49 โครงการ 8,191 หน่วย มูลค่า 28,231 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 2,461 หน่วย 8,665 ล้านบาท และวิลล่า 4 โครงการ 66 หน่วย มูลค่า 1,875 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 17 หน่วย มูลค่า 458 ล้านบาท ในภาพรวมหน่วยในผังโครงการ 28,486 หน่วย เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด 43.9% ส่วนใหญ่ราคา 3-5 ล้านบาท รองลงมาอาคารชุด 28.8% ส่วนใหญ่ราคา 2-3 ล้านบาท, ทาวน์เฮาส์ 14.1% ส่วนใหญ่ราคา 2-3 ล้านบาท, บ้านแฝด 6.4% ส่วนใหญ่ราคา 1-3 ล้านบาท ที่เหลือเป็นที่ดินเปล่าและอาคารพาณิชย์ ทำเลบ้านจัดสรรขายดีท็อป 5 ได้แก่ 1.หางดงตอนบน ขายได้ 82.1% มูลค่าขายได้ 4,489 ล้านบาท 2.ท่ารั้ว-ดอยสะเก็ด ขายได้ 81.6% 2,697 ล้านบาท 3.ทำเลในเมือง ขายได้ 78.3% 2,338 ล้านบาท 4.แม่ริม ขายได้ 74.4% 2,793 ล้านบาท 5.สารภี ขายได้ 72.1% มูลค่าขายได้ 6,226 ล้านบาท ส่วนทำเลอาคารชุดขายดีท็อป 5 ได้แก่ 1.ทำเลในเมือง ขายได้ 85.8% มูลค่า 8,429 ล้านบาท 2.มหาวิทยาลัยพายัพ ขายได้ 81.7% 4,351 ล้านบาท 3.สันทราย ขายได้ 71.1% 2,100 ล้านบาท 4.แม่ริม ขายได้ 61.3% 334 ล้านบาท 5.หางดงตอนบน ขายได้ 57.4% มูลค่า 4,239 ล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-339197

จำนวนผู้อ่าน: 1935

17 มิถุนายน 2019

“ไทยสมายล์”ชูมาตรฐานปลอดภัย ตอกย้ำความเชื่อมั่น

กัปตันอภิธัช ลิมปิสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการ บริษัท ไทยสมาลย์ แอร์เวย์ จำกัด “ไทยสมายล์” ตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้โดยสาร เผยเข้มมาตรฐานด้านความปลอดภัยทุกกระบวนการตั้งแต่ซื้อเครื่องบินใหม่ป้ายแดง ทุ่มงบฯฝึกอบรม-พัฒนานักบินมาตรฐานระดับโลก ซ่อมบำรุงตามมาตรฐานสากล พร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกตลอดเวลา กัปตันอภิธัช ลิมปิสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการ บริษัท ไทยสมาลย์ แอร์เวย์ จำกัด ผู้บริหารสายการบินไทยสมายล์ เปิดเผยว่า แม้การเดินทางด้วยเครื่องบินจะมีสถิติเกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุด แต่ยอมรับว่าทุกครั้งที่มีข่าวอุบัติเหตุเครื่องบินตก สูญหาย หรือแค่เที่ยวบินมีปัญหาจนเกิดความล่าช้า ฯลฯ ส่งผลให้หลายคนวิตกและขาดความเชื่อมั่นในการโดยสารทางอากาศไปโดยปริยาย ไทยสมายล์จึงมุ่งสร้างความเชื่อมั่นของผู้โดยสารด้วยการสื่อสารเบื้องหลังการบินผ่านผู้ที่ใกล้ชิดและเป็นกูรูเรื่องความปลอดภัยมากที่สุด นั่นคือ นักบินที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูง ขณะที่มาตรฐานเครื่องบินทั้ง 20 ลำ ที่ให้บริการอยู่ขณะนี้ ล้วนเป็นเครื่องบินใหม่แกะกล่อง Airbus A320-232 จากประเทศฝรั่งเศส และเยอรมนี “เราให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอน ด้วยการส่งทีมงานไปสำรวจตั้งแต่กระบวนการประกอบเครื่องบิน และมีทีมงานรับเครื่องบินพร้อมตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งจะต้องผ่านรูปแบบการตรวจรับว่าทุกชิ้นส่วนทุกองค์ประกอบจะต้องทำงานอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ไม่ผิดพลาดอย่างเด็ดขาด” กัปตันอภิธัชกล่าวและว่า นอกจากนี้ยังได้ส่งนักบินเข้าร่วมทำการบินทดสอบกับทีมงานของแอร์บัส ก่อนที่จะมีการส่งมอบและนำเครื่องบินมาให้บริการแก่ผู้โดยสาร สำหรับกระบวนการซ่อมบำรุงเครื่องบินนั้น บริษัทได้ส่งเครื่องบินทุกลำเข้ารับการซ่อมบำรุงจากบริษัทการบินไทย ซึ่งมีมาตรฐานระดับสากลรองรับ กัปตันอภิธัชกล่าวด้วยว่า ในส่วนของมาตรฐานความปลอดภัยจากนักบินนั้น บริษัทให้ความใส่ใจตั้งแต่มาตรการคัดกรองนักบินคุณภาพ ประกอบด้วย นักบินที่มีประสบการณ์และมีชั่วโมงบินมาแล้วอย่างเชี่ยวชาญในเครื่องบินรุ่นที่ให้บริการอยู่ หรือนักบินที่มีประสบการณ์บินมาแล้วกับเครื่องบินแบบอื่น แต่ยังไม่เคยบินกับเครื่องบินที่บริษัทมี (qualified pilot) รวมถึงนักบินผู้ช่วย (copilot) และนักเรียนทุนการบินของบริษัท (student pilot) ซึ่งต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด ทั้งพื้นฐานความรู้ ความสามารถ และความถนัดในด้านการบิน รวมถึงต้องผ่านการทดสอบด้านทัศนคติ ที่เรียกว่า aptitude test อีกด้วย นอกจากนี้ บุคลากรของบริษัททุกคนยังมีความคุ้นชินกับการควบคุมมาตรฐานและการตรวจสอบภายในจากส่วนกลางเสมอ และตระหนักรู้ในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งสำหรับนักบินแล้วต้องสอบผ่านทั้งด้าน quality control ซึ่งมีการตรวจสอบประสิทธิภาพเครื่องบิน ศักยภาพการบินของนักบิน และกระบวนการสอนของครูการบินในรอบปี รวมทั้งระบบ quality assurance ที่ควบคุมการตรวจสอบอีกขั้นหนึ่ง รวมทั้งต้องถูกตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกอีกด้วย อาทิ Sar Alliance สำหรับด้านความปลอดภัย และในบทบาทธุรกิจการบินก็จะต้องผ่านมาตรฐาน ISO เป็นต้น กัปตันฐณัฐ เพียนอก ขณะที่กัปตันฐณัฐ เพียนอก ผู้อำนวยการฝ่ายฝึกอบรมการปฏิบัติการ สายการบินไทยสมายล์ กล่าวเพิ่มเติมถึงกระบวนการฝึกอบรมนักบินของไทยสมายล์ว่า ก่อนจะเป็นนักบินของไทยสมายล์จะต้องผ่านการเคี่ยวกรำอย่างเข้มข้น นักบินทุกคนต้องผ่านการฝึกที่ได้มาตรฐาน ตั้งแต่พื้นฐานจากศูนย์ฝึกโรงเรียนการบิน จนได้เป็นนักบินพาณิชย์ตรี (commercial pilot license) ก่อนที่จะมาเป็นนักบินสายการบินพาณิชย์ จากนั้นจึงจะเข้ารับการอบรมความรู้เพิ่มเติมที่บริษัทเพื่อเตรียมเข้ารับการอบรมการฝึกบินเครื่องบินแบบ Airbus A320 นอกจากนี้ยังต้องผ่านหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ล่าสุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทลงทุนกว่า 2 ล้านบาทต่อคน สำหรับส่งนักบินไปฝึกที่หน่วยงานมาตรฐานระดับโลกอย่าง Airbus Asia Training Centre สิงคโปร์ เพื่อทำการฝึกกับเครื่องฝึกบินจำลองให้เชี่ยวชาญและเรียนรู้เทคโนโลยีทางด้านการบินที่พัฒนาขึ้น จากนั้นจะกลับมาเข้ารับการฝึกร่วมกับครูการบินบนเครื่องบินจริงที่มีผู้โดยสาร โดยนักบินจะต้องนำความรู้ความสามารถที่ฝึกฝนมา นำมาใช้ปฏิบัติให้เกิดทักษะความชำนาญบนพื้นฐานของความปลอดภัยสูงสุด นำไปสู่เส้นทางอาชีพนักบินพาณิชย์ ซึ่งความเข้มงวดทั้งหลาย โดยเฉพาะเรื่องมาตรการความปลอดภัยนั้น ไม่เพียงแต่เป็นคีย์ซักเซสของธุรกิจการบินเท่านั้น แต่เพื่อให้ทุกเที่ยวบินของไทยสมายล์มีความปลอดภัยสูงสุดอีกด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-339039

จำนวนผู้อ่าน: 1840

17 มิถุนายน 2019

กฎเหล็กคุมสายสื่อสาร กทม.บี้ทุกค่ายมุดใต้ดิน ‘ทรู’คว้าสัมปทานท่อ30ปี

กทม.ทุ่ม 2.7 หมื่นล้าน เร่งวางท่อร้อยสายใต้ดิน จัดระเบียบสายสื่อสารเมืองกรุง ถนนสายหลักสายรอง 2,450 กม. ออกกฎเข้มห้ามพาดสายสื่อสารบนเสา บี้ทุกโครงข่ายมุดลงดิน ดัน “กรุงเทพธนาคม” บริษัทลูกลงทุน ก่อนดึงเอกชนบริหาร ชี้ผลตอบแทนตลอดอายุสัมปทาน 5-6 หมื่นล้าน เร่งปิดดีลเจรจา “ทรู อินเตอร์เน็ต” คว้าสัญญาเช่า 30 ปี เปิดช่องให้จัดการเบ็ดเสร็จ ดึงผู้ประกอบการโทรคมนาคมร่วมเช่ารายเดือน ยักษ์สื่อสารโอดต้องจ่ายแพงร้อง กสทช.คุมราคา นายกิติศักดิ์ อร่ามเรือง ประธานกรรมการ (บอร์ด) บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) วิสาหกิจของกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เพื่อจัดระเบียบเมืองให้สวยงามตามนโยบายรัฐบาล กทม.มอบให้เคทีดำเนินการโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่ กทม.ระยะทาง 2,450 กม. วงเงินก่อสร้างไม่เกิน 27,000 ล้านบาท ให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 ลงทุน 2.7 หมื่นล้าน 4 โซน โดยเคทีจะลงทุนสร้างท่อร้อยสาย (micro duct) กว่า 20,000 ล้านบาท และให้ผู้ประกอบการธุรกิจสื่อสารมาเช่าใช้บริการ เงินลงทุนจะมาจากเงินกู้ 30% และรายได้จากค่าเช่าที่เอกชนจ่ายให้แต่ละปี ตลอด 30 ปี คาดว่าจะมีผลตอบแทน 50,000-60,000 ล้านบาท หักค่าลงทุน 20,000-30,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้ที่เคทีจะได้รับ สำหรับพื้นที่เป็น 4 โซน ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ ตอนเหนือ 2.กรุงเทพฯตะวันออก 3.กรุงธนเหนือ และ 4.กรุงธนใต้ ครอบคลุมถนนสายหลักสายรองของทั้ง 50 เขต โดยเคทีเปิดประมูลแบบนานาชาติคัดเลือกผู้รับจ้างมาดำเนินการรูปแบบ EPC หรือจ้างเหมา คือสำรวจ ออกแบบด้านวิศวกรรม จัดหาอุปกรณ์ และก่อสร้าง ขณะนี้ได้ผู้รับจ้างแล้วทั้ง 4 โซน ผู้รับจ้างเสนอราคาไม่เกินกรอบราคากลาง 5,142 ล้านบาท โซน 1 และโซน 4 แม่น้ำเจ้าพระยา คลองรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ถนนพระรามที่ 1 พญาไท เพชรบุรี พิษณุโลก วิภาวดีรังสิต ลาดพร้าว ฯลฯ กิจการร่วมค้าเอสซี, แอลเอสทีซีและฟอสส์ ประกอบด้วย บจ.ซิโนไฮโดรฯ จากจีนร่วมกับบริษัท ฟอสส์ เทเลคอม ดำเนินการ โซน 2 คลองสามวา คลองแสนแสบ ลาดพร้าว วิภาวดีรังสิต ทางรถไฟเลียบถนนดวงพิทักษ์ พระราม 4 สุขุมวิท คลองพระโขนง ฯลฯ กิจการร่วมค้าเอดับบลิวดี ประกอบด้วยบริษัท เด็มโก้ กับบริษัท แอ๊ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี (AIT) ดำเนินการ และโซน 3 ถนนเอกชัย คลองดาวคะนอง แม่น้ำเจ้าพระยา คลองรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ถนนพระรามที่ 4 สุขุมวิท ฯลฯ กิจการร่วมค้าจีเคอี แอนด์เอฟอีซี ประกอบด้วยบริษัท กันกุล เอนจิเนียริ่ง ดำเนินการ ทรูคว้าสัญญาเช่า 30 ปี นายกิติศักดิ์กล่าวว่า สำหรับการคัดเลือกผู้ประกอบการมาบริหารจัดการ หลังเปิดให้ผู้ประกอบการทุกรายมีใบอนุญาตจาก กสทช.ยื่นข้อเสนอ มี บจ.ทรู อินเตอร์เน็ต คอปอเรชั่น ยื่นรายเดียวและผ่านการพิจารณาแล้ว อยู่ระหว่างเจรจาเงื่อนไขสัญญา เช่น ระยะเวลาเช่าจะให้สูงสุด 30 ปี ต่อได้อีก 15 ปี อัตราค่าเช่า เบื้องต้น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.กำหนดไว้ไม่เกิน 7,000-8,000 บาท/ท่อย่อย/กม./เดือน ถูกกว่าของ กสทช.ที่ 10,000 บาท/ท่อย่อย/กม./เดือน ทั้งนี้จะเจรจาให้ได้ข้อยุติและเซ็นสัญญาภายในสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ “การเจรจาที่ยังไม่ยุติ ทางทรูกำลังประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะต้องลงทุนสายไฟเบอร์รูปแบบใหม่ ต้องมาติดตั้งในท่อร้อยสายที่เราสร้าง ใช้เงินลงทุน 3,000 ล้านบาท เมื่อทรูได้สัญญาเช่าไป สามารถนำไปบริหารและประกอบกิจการต่อได้ โดยให้ผู้ประกอบการรายอื่นเช่าต่อท่อ หรือสายไฟเบอร์ไม่ว่า AIS 3BB หลังเซ็นสัญญาทรูจะต้องจ่ายเงินก้อนแรก 10-15% ของค่าก่อสร้างกว่า 20,000 ล้านบาท ให้เคทีเพื่อนำไปจ่ายค่าก่อสร้าง” การลงทุนโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใหญ่ เนื่องจากไม่ต้องลงทุนก่อสร้างท่อร้อยสายเอง และในอนาคตจะไม่มีใครไปลงทุนเอง สามารถแชร์ร่วมกันได้ เพราะเป็นเทคโนโลยีทันสมัย แข็งแรงทนทานนาน 30-50 ปี มีขนาดเล็กความกว้างไม่เกิน 40 ซม. สามารถขุดวางท่อร้อยสายบนทางเท้าลึก 80 เซนติเมตร กระทบการจราจรน้อยสร้างเสร็จเร็ว 18 มิ.ย.คิกออฟหน้าเดอะสตรีท  “เริ่มนำร่องพื้นที่ชั้นในก่อน ก่อสร้างพร้อมกันทั้ง 4 โซน เช่น รัชดาภิเษก สาทร พระราม 3 รวมถึงรอบเกาะรัตนโกสินทร์ วันที่ 18 มิ.ย.นี้จะเปิดตัวโครงการนำร่องบนถนนรัชดาภิเษกทั้ง 2 ฝั่งถนน จากบริเวณด้านหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะสตรีท ไปทางแยกห้วยขวาง ระยะทาง 1 กม.” นายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการเคที กล่าวว่า วันที่ 18 มิ.ย.นี้จะเซ็นบันทึกข้อตกลง (MOU) กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่ง กสทช.จะเป็นพี่เลี้ยงเคที เช่น คำนวณค่าเช่า การลดหย่อนภาษี และให้ผู้ประกอบการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน เป็นต้น โครงการนี้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (DE) วันที่ 6 ก.ย. 2560 ที่มอบให้ กทม.ดำเนินการ จี้ทุกรายต้องมุดดิน  หากผู้ประกอบการรายใดไม่นำสายสื่อสารลงดินถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้ว่าฯ กทม.ออกประกาศการปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา 39 ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 2535 คือ 1.ขอความร่วมือเอกชนไม่ให้มีการติดตั้ง ตาก วางหรือแขวนสิ่งใด ๆ ในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาท 2.สายสื่อสารที่ไม่ได้ใช้งานแล้วจะต้องปลดหรือรื้อถอนออก และ 3.สายสื่อสารที่ติดตั้ง วาง หรือแขวนในที่สาธารณะและยังใช้งานอยู่ เมื่อมีท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ให้ปลดหรือรื้อถอนออก แหล่งข่าวจากบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เปิดเผยว่า หลังประกาศผลว่า ทรู อินเตอร์เน็ตฯ ได้รับการคัดเลือก บริษัทได้เจรจากับทรู อินเตอร์เน็ต ถึงรายละเอียดต่าง ๆ มา 3 ครั้ง จนวันที่ 14 มิ.ย.ยังไม่ได้ข้อสรุป และทรู อินเตอร์เน็ต ยังไม่เสนอราคาค่าตอบแทนมาแต่อย่างใด “สิ่งที่กังวลตอนนี้คือ หากไม่สามารถเจรจากับทรู อินเตอร์เน็ตได้ กรุงเทพธนาคมควรจะล้มหรือยกเลิกการประมูลครั้งนี้ และเปิดประมูลใหม่ ไม่ควรรีบเร่ง เพราะสุ่มเสี่ยงจะผิดระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง และแม้จะล่าช้าบ้างแต่ดีกว่ามานั่งแก้ปัญหาภายหลัง หรือหากผิดอะไรเกิดขึ้น คนที่จะได้รับผลกระทบมากก็คือคนทำงาน” ลดค่าฟีดึงธุรกิจใช้บริการ ก่อนหน้านี้ (6 พฤษภาคม) พล.ต.อ.อัศวิน พร้อมด้วยนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ได้ร่วมแถลงข่าวการดำเนินโครงการบริหารการจัดการนำสายสื่อสารลงใต้ดินใน กทม. โดยยืนยันว่า จะดำเนินการโครงการนี้ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมาย 2 ปี จะเริ่มดำเนินการปลายเดือนพฤษภาคม 2562 ขณะที่นายฐากรระบุว่า เพื่อให้การนำสายสื่อสารลงใต้ดินเป็นไปอย่างรวดเร็ว จะแบ่งการดำเนินงานเป็น 4 เฟสเมื่อมีความคืบหน้าของการวางท่อร้อยสายสื่อสารในแต่ละเฟสในระยะ 100 กิโลเมตรจะให้ผู้ประกอบการเจ้าของสายสื่อสารต่าง ๆ ทยอยนำสายสื่อสารเข้าในระบบทันที รวมทั้งหามาตรการกระตุ้น เช่น การลดค่าธรรมเนียมสร้างแรงจูงใจ นอกจากนี้จะพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียม กทม.ในการให้บริการดังกล่าวด้วย โดย กทม.ยืนยันว่าทำเพื่อผลประโยชน์ประชาชนและสาธารณะ ไม่คิดค่าบริการแบบมุ่งหวังผลกำไรจากผู้ประกอบการ ร้องภาครัฐกำกับราคา แหล่งข่าวจาก บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) เปิดเผยว่า บริษัทกรุงเทพธนาคมได้ส่งหนังสือเชิญผู้ประกอบการรายใหญ่ 2-3 รายให้เข้าเสนอราคาโครงการนี้ แต่พิจารณาเงื่อนไขการลงทุนแล้ว ประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะกระทบกับธุรกิจอื่น ๆ ของบริษัท โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านราคาที่จะต้องประกาศเป็นอัตราค่าเช่าที่ผู้ประกอบการรายอื่นต้องจ่ายซึ่งสูงมาก อาจไม่คุ้ม จึงไม่เข้าร่วมเสนอราคา ขณะเดียวกันผู้ประกอบการโทรคมนาคมจะหารือกันภายในสมาชิกสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยฯ เพื่อหาทางออกปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายของ กทม. ที่จะนำสายสื่อสารทั้งหมดลงใต้ดิน และให้กรุงเทพธนาคมเป็นผู้บริหารท่อร้อยสายทั้งหมด ที่มีลักษณะผูกขาดและกำหนดค่าบริการในอัตราที่สูงมาก สูงกว่าที่ บมจ.ทีโอทีให้บริการท่อร้อยสายอยู่ในขณะนี้ “จริง ๆ การนำสายโทรคมนาคมลงใต้ดินมีประโยชน์มาก แต่ กทม.ไม่อนุญาตให้เอกชนขุดวางท่อเอง อนุญาตเฉพาะรัฐวิสาหกิจ ซึ่ง บมจ.ทีโอทีมีให้บริการค่อนข้างครอบคลุมพื้นที่ใน กทม. แต่คิดค่าเช่าแพงกว่าที่ผู้ประกอบการแต่ละรายจะลงทุนวางท่อเอง จึงเสนอสมาคมฯว่า จะรวมตัวลงขันวางท่อร้อยสายเองให้สมาคมฯ เจรจากับ กทม.เพื่อขออนุญาตขุดท่อ แต่เมื่อกรุงเทพธนาคมเข้ามาดำเนินการ และให้ทรูฯทำ คงต้องหารือว่า จะทำอย่างไรต่อ เพราะตอนนี้ไม่มีทางเลือกที่จะต้องนำสายลงดินด้วยต้นทุนที่สูงมากอาจต้องหารือ กสทช.ด้วย” นอกจากนี้ในพื้นที่ต่างจังหวัด องค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) หลายแห่งเริ่มมีแนวคิดจะเข้ามาผูกขาดการวางท่อร้อยสาย เพื่อหารายได้จากค่าบริการเช่นกัน เป็นปัญหาที่ภาครัฐต้องเข้ามากำกับดูแลการกำหนดราคาที่เป็นธรรม ทีโอทีพร้อมเป็นทางเลือก ด้านแหล่งข่าวจาก บมจ.ทีโอทีเปิดเผยว่า ปัจจุบันทีโอทีมีโครงข่ายท่อร้อยสายสื่อสารใน กทม. 20,000 กิโลเมตร (จำนวนท่อคูณความยาวของสาย) กว่า 50% ของพื้นที่ ซึ่งเปิดให้โอเปอเรเตอร์รายอื่นเข้ามาเช่าใช้ได้ โดยมีรายได้ต่อปีราว 400-500 ล้านบาท แต่ไม่ได้รับอนุญาตจาก กทม.ให้ขุดวางท่อใหม่มาระยะหนึ่งแล้ว “เชื่อว่าทีโอทียังเป็นทางเลือกให้โอเปอเรเตอร์รายอื่นเข้ามาใช้ท่อร้อยสายได้ ที่ผ่านมาได้ปรับลดราคาลง 30-40% แล้ว และหากไม่สามารถขุดท่อใหม่ได้ ทีโอทียังได้รับการคุ้มครองตามหลัก right of way ที่จะปักเสาโทรคมนาคมเองได้” กสทช.พร้อมออกกฎคุมราคา ด้านนายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ กสทช.เปิดเผยว่า กสทช.สนับสนุนนโยบายการทำสายสื่อสารลงใต้ดินเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและทัศนียภาพที่ดีของเมือง โดยผู้ประกอบการที่ย้ายสายสื่อสารลงใต้ดินสามารถนำค่าใช้จ่ายในการย้ายสายมาหักออกจากเงินสมทบเข้ากองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ได้ ปัจจุบันอนุญาตให้เฉพาะบริษัท กรุงเทพธนาคม ซึ่งเป็นบริษัทลูกวางท่อและให้บริการเช่าท่อเพียงรายเดียว “หากมีปัญหาค่าเช่าแพง กสทช.จะเปิดให้แต่ละฝ่ายเข้าไปเจรจาตกลงกันเองก่อน หากไม่สามารถตกลงกันได้จะออกประกาศควบคุมราคาด้วยการกำหนดอัตราค่าบริการกลาง เหมือนก่อนหน้านี้ค่ายโทรคมนาคมไม่สามารถตกลงค่าเชื่อมต่อ (IC) กันได้” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-339117

จำนวนผู้อ่าน: 1893

17 มิถุนายน 2019

ทีมเศรษฐกิจ 3 พรรคชิงแสนล้าน ดุลอำนาจ แข่งถมงบ “รัฐสวัสดิการ”

รายงานพิเศษ การ “แบ่งเค้ก” โควตาเก้าอี้รัฐมนตรีพรรคร่วม 19 พรรค รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2/1 ยัง “ไม่สะเด็ดน้ำ” ทว่ากระทรวงเกรดเอ-กระทรวงเศรษฐกิจหลักได้ตกไปอยู่กับ “พรรคครึ่งร้อย” อย่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย ไม่ใช่พรรคหลัก-พรรค 116 เสียง อย่างพลังประชารัฐ “ทีมสมคิด” ที่มี “สี่กุมาร” เป็นตัวตายตัวแทน วางมือ-เว้นวรรคการเดินสายต่อรอง-แลกเก้าอี้โต้รุ่งชั่วคราว เพื่อตั้งวงร่างพิมพ์เขียว-นโยบายรัฐบาล ก่อนวาระแถลงต่อรัฐสภาเพื่อเปิดวงเจรจารอบใหม่ นโยบายผสม 19 พรรคหืดขึ้นคอ  สำหรับ 12 นโยบาย ที่มี “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรค “นั่งหัวโต๊ะ” ได้มอบหมาย “ทีมงานรุ่นใหม่” แกะนโยบาย 18 พรรคร่วมเพื่อร่างเป็นนโยบายรัฐบาล ประกอบไปด้วย ส่วนที่ 1 นโยบายที่ต้องสานต่อจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน ส่วนที่ 2 นโยบายของพลังประชารัฐ ส่วนที่ 3 นโยบายของ 18 พรรคร่วม โดยจะนำไปหารือกับพรรคร่วมก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน วันที่ 22-23 มิ.ย. เพื่อหาข้อยุติต่อไป “เรื่องกระทรวงถือว่าจบแล้ว หลังจากนี้ก็เหลือเพียงการร่างนโยบายของรัฐบาลเพื่อแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งอาจจะต้องตกลงกับพรรคร่วม โดยเฉพาะพรรคที่ได้โควตากระทรวงเศรษฐกิจหลัก จะพบกันคนละครึ่งทางได้อย่างไร” ความยากของการร่างนโยบายเพื่อแถลงต่อรัฐสภาในครั้งนี้ คือ เป็นครั้งแรกที่การแถลงนโยบายต้องกำหนด “แหล่งที่มาของรายได้” ที่จะนำไปใช้ดำเนินนโยบาย ภายใน 15 วันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่ โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจเนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 หมวด 8 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี มาตรา 162 ระบุว่า คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา…และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย” รัฐบาลปริ่มน้ำ-ไม่มีเสถียรภาพ ยากขึ้นไปอีกเมื่อต้องขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจภายใต้ “รัฐบาลผสม 19 พรรค” สู่การปฏิบัติ เพราะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2/1 “ไม่มีเสถียรภาพ” ยากยิ่งกว่ายากเมื่อตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คุมเศรษฐกิจ จากที่เคยเบ็ดเสร็จ-เด็ดขาด อยู่ในมือ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” กลายเป็นการบริหารเศรษฐกิจแบบผ่านรองนายกรัฐมนตรี-หัวหน้าพรรค “ต่างพรรค” ที่ได้รับการจัดสรรโควตาเก้าอี้กระกรวงเกรดเอ-กระทรวงเศรษฐกิจหลัก 2 พรรค อย่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทยยกแผง นอกจากนี้ “รัฐบาล คสช.ภาคต่อ” ยังเป็น “ยักษ์ที่ไม่มีกระบอง”-ไม่มีอำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ทำให้เป็น “โจทย์หิน” ในการล่องเรือรัฐนาวา พล.อ.ประยุทธ์ “สมัยที่สอง” โดยเฉพาะการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ-บริหารกระทรวงปากท้อง มิหนำซ้ำต้องตกอยู่ในสภาพ “รัฐบาลปริ่มน้ำ” ในสภา ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากแขวนอยู่บนเส้นด้ายในทุกญัตติการโหวต 3 ทีมเศรษฐกิจประยุทธ์ 2/1 เมื่อหมดยุค “แม่ทัพเศรษฐกิจ” ทุบโต๊ะเปรี้ยงเขยื้อนทั้งองคาพยพ “หัวหน้าสี่กุมาร”-สมคิด ที่จะ “คัมแบ็ก” เก้าอี้รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจอีกครั้ง อาจไม่ใช่งานง่ายที่จะฝ่ามรสุมเศรษฐกิจไทย-เศรษฐกิจโลก ถึงแม้จะมี “สี่กุมาร” อย่าง นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุมสำนักงบประมาณ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม “คั่วอยู่ในโผ ครม.” เพราะแม้แต่ “ทีมเศรษฐกิจในพรรค” ที่มีชื่ออยู่ในโผ อย่าง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” แกนนำกลุ่มสามมิตร หรือ “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” แกนนำกลุ่มอดีตทหารเสือ กปปส. ยังแซะ-ปล่อยข่าวพิฆาตเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขณะที่ “ทีมเศรษฐกิจนอกพรรค”-ประชาธิปัตย์ เมื่อ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” กุมบังเหียนรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกบ “พ่อบ้านพรรค”-เฉลิมชัย ศรีอ่อน นั่งแท่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การบัญชาการ “เศรษฐกิจรากหญ้า” จึงเป็นเอกเทศ-ขึ้นตรงต่อ พล.อ.ประยุทธ์…แต่ทีมเศรษฐกิจ “ไม่เป็นเอกภาพ” “ทีมภูมิใจไทย” ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” กอดเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี “ควบแน่น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยมี “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กับ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คุม “โมเดลท่องเที่ยวเบ็ดเสร็จ” ขณะที่เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์-เกษตรฯและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตกอยู่กับพรรคลำดับ 4-5 แบ่งโควตาสลับสับเปลี่ยนกันเพียง 2 พรรค ไม่เหลือให้ “สิบก๊ก” ในพลังประชารัฐได้มีที่ยืน โปรเจ็กต์-งบฯ 3 พรรค ปฏิเสธไม่ได้ว่า นโยบายของพรรคการเมืองในช่วงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถึงแม้เกิด “ดราม่าการเมือง” ตอบโต้ “ใครลอก (นโยบาย) ใคร” แต่เนื้อในเรื่อง “วิธีการ” และ “แหล่งที่มาของเงิน” ที่เติมลงไปในนโยบาย “นับแสนล้าน” แตกต่างกัน โดยเฉพาะนโยบาย “สวัสดิการประชารัฐ” ของพลังประชารัฐ กับ “รัฐสวัสดิการ” ของประชาธิปัตย์ รวมถึงนโยบาย “ทลายทุกข้อจำกัด เพื่อปากท้องประชาชน” ของภูมิใจไทย พลังประชารัฐ เปิดนโยบายด้วยแพ็กเกจ “สวัสดิการประชารัฐ” อาทิ สานต่อนโยบายบัตรสวัสดิการประชารัฐ ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี และนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) “มารดาประชารัฐ” รวมทั้งสิ้น 1.81 แสนบาทต่อเด็ก 1 คน เกษตรยั่งยืน ข้าวเจ้า 12,000 บาทขึ้นไปต่อตัน ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาทขึ้นไปต่อตัน อ้อย 1,000 บาทขึ้นไปต่อตัน ยางพารา 65 บาทขึ้นไปต่อกิโลกรัม มันสำปะหลัง 3 บาทขึ้นไปต่อกิโลกรัม ปาล์มราคาเป้าหมาย 5 บาทต่อกิโลกรัม ค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาทต่อวัน อาชีวะ 18,000 บาทต่อเดือน ปริญญาตรี 20,000 บาทต่อเดือน ลดอัตราภาษีเงินได้มนุษย์เงินเดือนร้อยละ 10 ยกเว้นภาษีเด็กจบใหม่ 5 ปี ยกเว้นภาษีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ 2 ปี เปย์ประชารัฐ 1.24 ล้านล้าน โดยมีแหล่งที่มาของงบประมาณ โดยการสร้างเศรษฐกิจ-เพิ่มรายได้ประเทศเป็น 19 ล้านล้านบาท ภายในปี 2565 ได้แก่ 1.ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ สร้างเศรษฐกิจใหม่ สร้างการลงทุน สร้างงาน เพิ่มรายได้เป็น 2 ล้านล้านบาท 2.ตั้งเป้ารายได้จาการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 4.5 ล้านล้านบาท และ 3.เพิ่มรายได้เศรษฐกิจฐานรากเป็น 2 ล้านล้านบาท เพิ่มทางเลือกแหล่งที่มาของเงินเพื่อดำเนินนโยบาย ได้แก่ 1.ปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีแบบบูรณาการ ทำให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษี จำนวน 300,000 ล้านบาทต่อปี 2.เก็บภาษีผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในต่างประเทศ จำนวน 40,000 ล้านบาทต่อปี 3.ปฏิรูปการบริหารสินทรัพย์ของประเทศ อาทิ กรมธนารักษ์ จำนวน 100,000 ล้านบาทต่อปี 4.ปฏิรูปกระบวนการการบริหารงานหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้าง จำนวน 200,000 ล้านบาทต่อปี 5.ลดงบประมาณจากโครงการเอกชนร่วมลงทุนขนาดใหญ่ (PPP) จำนวน 300,000 ล้านบาทต่อปี 6.ลดงบประมาณจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (TFF) จำนวน 100,000 ล้านบาทต่อปี และ 7.ลดงบประมาณจากกองทุนรวมเพื่อสังคม (SIF) จำนวน 200,000 ล้านบาทต่อปี รวมทั้งสิ้น 1,240,000 ล้านบาทต่อปี ถม 3 แสน ล.สร้างรัฐสวัสดิการ ประชาธิปัตย์ มุ่งเน้นนโยบาย “รัฐสวัสดิการ” ด้านการศึกษา จำนวน 62,348 ล้านบาทต่อปี สวัสดิการสังคม จำนวน 148,928 ล้านบาทต่อปี เกษตรคุณภาพ จำนวน 130,000 ล้านบาทต่อปี แรงงาน จำนวน 50,000 ล้านบาทต่อปี สาธารณสุข จำนวน 739 ล้านบาทต่อปี รวม 329,015 ล้านบาทต่อปี อาทิ ค่าตอบแทน อสม. 739 ล้านบาทต่อปี ที่มาของรายได้ที่ใช้ดำเนินโครงการตามนโยบาย 1.ปรับลดงบประมาณบางรายการ เช่น งบฯกลาง สํานักนายกรัฐมนตรี การลดงบประมาณโครงการเดิมที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน 2.ภาษีใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้มีรายได้สูง 3.เงินกู้ชดเชยการขาดดุล 4.การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี 5.รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 6.เงินร่วมทุนจากเอกชนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ ปลดล็อกกฎหมาย-คิดนอกกรอบ ด้านภูมิใจไทย เป็นนโยบายที่มี “สีสันฉูดฉาด” เพราะเน้นการ “แก้ข้อจำกัดข้อกฎหมาย-คิดนอกกรอบ”… #ทลายทุกข้อจำกัด เพื่อปากท้องประชาชน อาทิ “กัญชาเสรี” ปลูกกัญชาขายกิโลกรัมละ 70,000 บาท โดยการแก้กฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2522แก้กฎหมายขนส่ง ทำให้ Grab Car ถูกกฎหมาย “บุรีรัมย์โมเดล” ต้นแบบการพัฒนาเมืองเพื่อแก้ปัญหาปากท้องประชาชน และนำแนวคิดไปเผยแพร่ในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ แก้กฎหมายประมง นำกฎหมาย EEC ไปใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นโยบาย “กำไรแบ่งปัน” สร้างระบบแบ่งปันผลกำไรการเกษตร profit sharing 70% : 15% : 15% ชาวนาได้เงิน 70% ข้าวขาว 7,900+800=8,700 หอมมะลิ 18,000+1,500=19,500 ราคาข้าวปี 2561+ส่วนแบ่งกำไรจากกองทุนข้าว ปาล์มทะลายกิโลกรัมละ 5 บาท นโยบายแก้หนี้ กยศ. มูลหนี้ 5 แสนล้านบาท ไม่มีดอกเบี้ย ยกเลิกค่าปรับ ปลดภาระผู้ค้ำประกันและพักหนี้ 5 ปี ยกระดับ อสม.เป็นหมอประจำบ้าน ได้ค่าตอบแทน 2,500-10,000 บาท เหมือนกับแพทย์ประจำตำบล เรียนออนไลน์ ฟรีตลอดชีวิต ตั้งแต่มัธยมศึกษา สายวิชาชีพ ปวช. ปวส. ถึงอุดมศึกษา ด้วยสถาบันการศึกษาออนไลน์ รัฐจะใช้ระบบงบประมาณแบบ pay per viewทำงานที่ออฟฟิศสัปดาห์ละ 4 วัน work @ home ทำงานที่บ้านสัปดาห์ละ 1 วัน โดยมีมาตรการจูงใจทางด้านภาษีสำหรับภาคเอกชน ภาครัฐจัดหา coworking space 1 แขวง 1 ที่ เป็นบริการที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายและมีอินเทอร์เน็ตให้บริการฟรี 3 พรรค 3 ทีมเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐ-รัฐสวัสดิการ ภายใต้รัฐบาลผสม 19 พรรค ยากยิ่งกว่ายาก ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-339051

จำนวนผู้อ่าน: 1817

17 มิถุนายน 2019

อิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทั่วไทยมีฝนเพิ่มขึ้นร้อยละ40-60ของพื้นที่

อธิบายแผนที่ : แผนที่อากาศผิวพื้นวันที่ 5 มิถุนายน 2562 เวลา 01.00 น. บริเวณความกดอากาศสูงจากมหาสมุทรแปซิฟิกพัดปกคลุมทำให้มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยและทะเลอันดามัน มีหย่อมความกดอากาศต่ำอยู่เหนือเกาะบอร์เนียวและมีแนวปะทะอากาศพาดผ่านบริเวณประเทศจีนตอนใต้ต่อเนื่องจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิก วันที่ 5 มิถุนายน 2562 กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้าว่า ลักษณะอากาศทั่วไป ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่เพิ่มขึ้นและฝนตกหนักไว้ด้วย ส่วนภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีปริมาณฝนน้อย ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังอ่อน ในขณะที่มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคตะวันออก และภาคกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ชัยภูมิ และนครราชสีมา อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคกลาง มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี ชัยนาท และนครสวรรค์ อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออก มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-334454

จำนวนผู้อ่าน: 3004

05 มิถุนายน 2019

3 ยักษ์ “คิงเพาเวอร์-บางกอกแอร์เวย์ส-โรงแรมรอยัลออคิด” ชิงดิวตี้ฟรี 3 สนามบินภูมิภาค

นายวิชัย บุญยู้ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ตามที่ ทอท.ได้จำหน่ายเอกสารการยื่นข้อเสนอการดำเนินงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ใน 3 ท่าอากาศยาน ประกอบด้วย ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 5 – 25 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา โดยมีผู้สนใจซื้อเอกสาร รวมทั้งสิ้น 4 ราย ได้แก่ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด, บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และกำหนดยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในวันนี้ (4 มิถุนายน 2562) ปรากฎว่ามีผู้มายื่นข้อเสนอ 3 ราย ได้แก่ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด, บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในนามกิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี (ท่าอากาศยานภูมิภาค) ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท โฮเต็ล ล็อตเต้ จำกัด และบริษัท บางกอกแอร์เวย์สโฮลดิ้ง จำกัด และบริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในนามกิจการร่วมค้า ประกอบด้วย บริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็มไพร์ เอเชีย กรุ๊ป จำกัด และ WDFG UK LIMITED ทั้งนี้ ทอท.ได้กำหนดให้มีการนำเสนอผลงาน (Presentation) ข้อเสนอด้านเทคนิคของผู้ยื่นข้อเสนอการดำเนินงาน โดยผู้ยื่นข้อเสนอทั้ง 3 ราย จะนำเสนอผลงาน ในวันที่ 5 มิถุนายน 2562 และ ทอท.จะมีการเปิดซองเสนอค่าตอบแทนและประกาศผลคะแนนสูงสุด ในวันที่ 10 มิถุนายน 2562 ต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-334063

จำนวนผู้อ่าน: 1867

05 มิถุนายน 2019

พฤกษาชู “ลิฟวิ่งเทค” บุกตลาด ฟื้นแบรนด์บ้าน 10 ล้านแข่งครึ่งปีหลัง

ที่หนึ่งในใจผู้บริโภค - ค่ายอสังหาริมทรัพย์เบอร์ 1 ในมุมของการเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่าสูงสุด ดีเดย์วันสิ่งแวดล้อมโลก5 มิถุนายน ลอนช์แคมเปญ "พฤกษา ลิฟวิ่งเทค" ต่อจิ๊กซอว์กลยุทธ์ก้าวสู่การเป็นแบรนด์ที่หนึ่งในใจผู้บริโภค พฤกษาฯดีเดย์วันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน ลอนช์แคมเปญ “ลิฟวิ่งเทค” ชู 4 แกนหลัก “Healthy-Green-Smart-Safety” ขับเคลื่อนความพึงพอใจลูกบ้าน เล็งฟื้นแบรนด์บ้านระดับบน “เดอะปาล์ม” เซ็กเมนต์เริ่มต้น 10 ล้านบาท กลับมาบุกตลาดอีกรอบช่วงครึ่งปีหลัง ต่อจิ๊กซอว์ปั้นยอดขายบ้านเดี่ยวแตะหมื่นล้าน นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มพฤกษา เรียลเอสเตทแวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทเตรียมลอนช์แคมเปญใหม่ล่าสุด “พฤกษา ลิฟวิ่งเทค-เทคโนโลยีการอยู่อาศัยที่ทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้น” ในวันที่ 5 มิถุนายน 2562 นี้ ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก เพื่อต่อยอดแผนธุรกิจเพื่อนำไปสู่เป้าหมายรายได้ปี 2562 จำนวน 47,000 ล้านบาท ปักธง 3 แบรนด์บ้านเดี่ยว หนึ่งในไฮไลต์ปีนี้ บริษัทต้องการผลักดันยอดขายและยอดรับรู้รายได้กลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวมากขึ้น เป็นกลยุทธ์เพื่อรองรับเทรนด์ยอดขายสินค้าคอนโดมิเนียมที่มีแนวโน้มลดลง จากผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัว มาตรการ LTV-loan to value ของแบงก์ชาติ และภาวะกำลังซื้อลูกค้าจีนอ่อนตัวลง โดยมีบ้านเดี่ยว 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ “เดอะแพลนท์” ราคา 3-5 ล้านบาท ถือเป็นแบรนด์ธง พื้นที่ใช้สอย 100-165-168 ตารางเมตร เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซื้อเป็นบ้านหลังแรก คนทำงานวัย 30 ปีขึ้นไป “บ้านหลังแรกจุดเน้นฟังก์ชั่นต้องครบ จอดรถ 2 คัน ชั้นล่างมีห้องเพิ่ม 1 ห้องสามารถดัดแปลงการใช้งานตามไลฟ์สไตล์เจ้าของบ้าน อาทิ ห้องทำงาน ห้องผู้สูงอายุ จุดเด่นคือสามารถคอมไบน์โซน หรือรวมพื้นที่ให้เป็นฟังก์ชั่นขนาดใหญ่ได้” ส่วนชั้นบน ห้องมาสเตอร์เบดรูมต้องมีขนาดใหญ่ ห้องนอนอีก 2 ห้อง ไม่จำเป็นต้องมีห้องน้ำในตัว ดีไซน์เป็นห้องน้ำร่วม เหตุผลการออกแบบเพื่อต้องการให้ห้องนอนขยายใหญ่ขึ้น และยังคงคอนเซ็ปต์พื้นที่ชั้นบนสามารถคอมไบน์ฟังก์ชั่นได้เช่นเดียวกับชั้นล่าง “เดอะแพลนท์ฟังก์ชั่นจะเยอะมาก สเป็กเราอิงกับโมเดล economy of scale” บ้านเดี่ยวอีก 2 แบรนด์ คือ “ภัสสร” ราคา 5-10 ล้านบาท แบบบ้านสไตล์โมเดิร์นคอนเทมโพรารี เน้นพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่ รวมทั้งต้องมีโคเวิร์กกิ้งสเปซ ฟิตเนส สระว่ายน้ำครบครัน เจาะกลุ่มลูกค้าอายุ 40 ปีขึ้นไป แบรนด์ระดับบนของบ้านเดี่ยว คือ “เดอะปาล์ม” ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป บริษัทพักการพัฒนาโครงการ 4 ปีในช่วงที่ผ่านมา ปีนี้เตรียมนำกลับมาบุกตลาดใหม่อีกรอบในช่วงครึ่งปีหลัง 4 แนวคิดบุกสินค้าแนวราบ ไฮไลต์โมเดลธุรกิจ “พฤกษา ลิฟวิ่งเทค” มี 4 แกนหลัก คือ Healthy, Green, Smart, Safety เป็นต้นทางในการต่อยอดนวัตกรรมเพื่อการพักอาศัยของลูกบ้านพฤกษาฯ ทุกโครงการ เริ่มจากโมเดล “Healthy หรือเทคโนโลยีการอยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ” แนวคิดสื่อถึงแบรนด์พฤกษาฯ ฟังก์ชั่นพื้นฐานมีเทียบเท่าคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นพฤกษา เฟรช แอร์ และ ventilation house design แนวคิดการหมุนเวียนอากาศเพื่อให้ได้อากาศบริสุทธิ์ในตัวบ้าน เรื่องใหม่ที่บริษัทนำเสนอเป็นรายแรกของวงการ คือ 02 Lounge-โอทูเลานจ์ ระบบฟอกอากาศบริสุทธิ์หรือระบบเติมออกซิเจน ติดตั้งบริเวณคลับเฮาส์ ลูกบ้านไปใช้บริการแล้วจะรู้สึกสดชื่นเหมือนอยู่ในเขาใหญ่ ผนึกการไฟฟ้าฯทำโซลาร์ ถัดมา โมเดล “Green-เทคโนโลยีการอยู่อาศัยเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม” จุดเน้นอยู่ที่ระบบน้ำและไฟฟ้าส่วนกลาง โดยบำบัดน้ำเสียมีเพนพอยต์หลักอยู่ที่ค่าไฟฟ้าแพงมาก มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานสะอาด “ผมมีโครงการร่วมกับการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งเจรจาร่วมมือกับกลุ่ม Gunkul เป็นพันธมิตรทำงานร่วมกัน” ผลประโยชน์ร่วมคือค่าไฟฟ้าสำหรับเดินเครื่องบ่อบำบัดน้ำเสียถูกลง จากเดิมบางโครงการเกือบ 1 แสนบาทก็สามารถลดค่าใช้จ่าย “จุดประสงค์โมเดลนี้ พื้นที่ส่วนกลางต้องบริหารจัดการและทำให้สิ่งแวดล้อมมีมาตรฐานที่ดี เราทดลองทำ 2 ปีแล้ว หมู่บ้านไซซ์เล็กสุดเราก็ติดตั้งให้ขนาด 100 ยูนิตขึ้นไป อย่างน้อยที่สุดพิสูจน์แล้วว่าสามารถประหยัดค่าไฟนิติฯ และส่วนกลางได้ 60-70%” ปั้นยอดขาย 9.8 พันล้าน ถัดมา พฤกษา ลิฟวิ่งเทค “Smart-เทคโนโลยีการอยู่อาศัยเพื่อความสะดวกสบาย/เชื่อมต่อเทคโนโลยี” ซึ่งแน่นอนว่าระบบสมาร์ทโฮม ออโตเมชั่น หรือระบบบ้านอัจฉริยะ ได้กลายเป็นฟังก์ชั่นพื้นฐานในการแข่งขันไปแล้ว โดยสามารถสั่งการผ่านมือถือหรือสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทคาเมร่า, สมาร์ทล็อกเกอร์, เซ็นเซอร์ไลติ้ง, ยูเอสบีปลั๊ก, สมาร์ทสวิตช์ และระบบไวไฟในพื้นที่ส่วนกลาง “ระบบบ้าน-คอนโดฯอัจฉริยะ ผมมองว่าบริษัทอสังหาฯทุกแบรนด์ทำเหมือนกันหมด เพียงแต่ใครจะเน้นหนักอะไร เซ็กเมนต์ไหนมากกว่ากัน” โดยพฤกษา ลิฟวิ่งเทค ในส่วนสินค้าคอนโดฯ ทำเข้มข้นถึงระดับคอนเซ็ปต์สมาร์ทตั้งแต่ทางเข้า-ออกโครงการ มีระบบสมาร์ทปาร์กกิ้ง รู้ได้เลยว่ามีช่องจอดว่างตรงไหนบ้าง, สมาร์ทสปอร์ต ยุคนี้ต้องมีเลนวิ่งออกกำลังกายในพื้นที่ส่วนกลาง ฯลฯ สุดท้าย “Safety-เทคโนโลยีการอยู่อาศัยเพื่อความปลอดภัย/อุ่นใจ” ไฮไลต์อยู่ที่ระบบรักษาความปลอดภัยสามชั้น หรือทริเปิลซีเคียวริตี้ “พฤกษา ลิฟวิ่งเทค ใช้ออโตเมชั่นช่วยเยอะ main gate ที่ประตูหน้าเราทำระบบประตูกั้นรถ-กั้นคน เราอยากให้คนเดินเข้าไม่ได้ มีอีกประตูต่างหากสำหรับคนเดินเท้า บางทีก็เรียกว่า night gate ถ้าเป็นทางรถผ่านมีไม้กระดก และทำประตูกั้นบริเวณคนเดิน เรื่องความปลอดภัยในตัวบ้านมีกล้อง ตัวล็อกสัญญาณ alarm ในซอยถนนโครงการมีกล้องซีซีทีวีทดแทนพนักงาน รปภ. เรียกว่าใช้กล้องมากขึ้น ใช้ รปภ.น้อยลง” ทั้งนี้ สินค้าบ้านเดี่ยวตั้งเป้ายอดขาย 9,800 ล้านบาท คิดเป็น 18% ของเป้ายอดขายรวม 54,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ 8,000 ล้านบาท คิดเป็น 17% จากเป้ารายได้ 47,000 ล้านบาท และวางแผนเปิดตัว 12 โครงการ มูลค่า 12,100 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 55 โครงการ มูลค่ารวม 68,100 ล้านบาท นายปิยะกล่าวตอนท้ายว่า การลอนช์พฤกษา ลิฟวิ่งเทค เป้าหมายต้องการตอบโจทย์เรื่องการสร้างแบรนด์พฤกษา ให้เป็นแบรนด์ที่หนึ่งในใจผู้บริโภค มากกว่ามองเรื่องผลักดันยอดขาย ในแง่ผู้บริโภคต้องการให้ลดต้นทุนการพักอาศัยในโครงการ โดยภาพใหญ่ลิฟวิ่งเทคเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย SD-Sustainable Development การพัฒนาโครงการที่มีความยั่งยืนทั้งผู้ประกอบการและลูกค้า ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-333898

จำนวนผู้อ่าน: 1865

05 มิถุนายน 2019

RTC ผนึก BTS ผุดรถรางเบาเชียงใหม่ ลุยต่อซิตี้บัสขยายเส้นทางหลัง มช.-พืชสวนโลก

เดินหน้า - บริษัท รีเจียนนอล ทรานซิท โคเปอร์เรชั่น จำกัด หรือ RTC ยังคงเดินหน้าแผนพัฒนาขนส่งมวลชนรถไฟฟ้ารางเบา (tram) มูลค่า 6,000 ล้านบาทในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยล่าสุดได้เจรจาเบื้องต้นกับกลุ่ม BTS ซึ่งแสดงความสนใจจะเป็นพันธมิตรในการร่วมลงทุนครั้งนี้ RTC รุกเจรจากลุ่ม BTS พัฒนาขนส่งมวลชนเมืองเชียงใหม่ วาดแผนลงทุนระบบรถไฟฟ้ารางเบา 3 เส้นทางหลัก มูลค่า 6 พันล้านบาท “สนามบิน-นิมมานฯ” “นิมมานฯ-คูเมือง” “หน้า มช.-เซ็นทรัลเฟสฯ” ล่าสุดเริ่มลุยเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ทางเทคนิค ข้อกฎหมาย-การวางแนวเขตทาง ลุยต่อ “RTC City Bus” แม้ยังขาดทุน เร่งขยายเส้นทางสาย R3 เข้าหลัง มช.-พืชสวนโลก คาดกระตุ้นการเดินทางได้เพิ่มขึ้น เผยเตรียมปรับราคาค่าโดยสารเป็น 30 บาท นายฐาปนา บุณยประวิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีเจียนนอล ทรานซิท โคเปอร์เรชั่น จำกัด หรือ RTC เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แผนงานของ RTC ในปีนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเมืองเชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยเล็งเห็นว่าระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพมีความสำคัญต่อเมือง และเป็นกลไกในการเปลี่ยนเมือง โดยมีแผนพัฒนาขนส่งมวลชนระบบราง คือ รถไฟฟ้ารางเบา (tram) ขณะนี้ได้เจรจาเบื้องต้นกับกลุ่ม BTS ซึ่งแสดงความสนใจที่จะเป็นพันธมิตรในการร่วมลงทุนครั้งนี้กับ RTC ล่าสุดได้เริ่มขับเคลื่อนการทำงานในเชิงพื้นที่แล้ว โดยเริ่มเก็บข้อมูลเชิงเทคนิค การศึกษาข้อกฎหมาย และการวางแนวเขตทาง คาดว่าจะใช้เวลาการทำงานเชิงพื้นที่ราว 1 ปี ต่อจากนั้นจะเป็นขั้นตอนของการออกแบบรายละเอียด ใช้เวลาอีกราว 1 ปี และหากผ่านในทุกขั้นตอนแล้ว จะเริ่มสู่ขั้นตอนการก่อสร้างโครงการ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้าง 1 ปี โดยตามแผนงานที่วางไว้สำหรับการพัฒนาระบบ tram ในเมืองเชียงใหม่ จะเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 3 ปี ทั้งนี้ เบื้องต้นได้วางแนวเส้นทาง tram ไว้ 3 route คือ 1.สนามบิน-นิมมานฯ 2.นิมมานฯ-คูเมือง 3.หน้า มช.-ซูเปอร์ไฮเวย์-เซ็นทรัลเฟสติวัล ซึ่งทั้ง 3 เส้นทางถือว่ามีศักยภาพสูง (high potential) มีปริมาณการเดินทางที่หนาแน่น ระยะทางของแต่ละเส้นทางตั้งแต่ 6-8 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 6,000 ล้านบาท โดยวางตำแหน่งจุดศูนย์กลางระบบขนส่งมวลชนของจังหวัดเชียงใหม่ไว้ 3 จุด คือ 1.เซ็นทรัลแอร์พอร์ต 2.วัน นิมมาน (One Nimman) 3.เซ็นทรัลเฟสติวัล ซึ่งจะเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) ของการคมนาคมของเมืองเชียงใหม่ในอนาคต ที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางในหลากหลายทางเลือก นายฐาปนากล่าวว่า ในส่วนของการดำเนินงาน RTC City Bus ที่ให้บริการเดินรถโดยสารประจำทางในเขตตัวเมืองเชียงใหม่มาครบ 1 ปี ซึ่งขณะนี้ยังคงอยู่ในภาวะขาดทุน แต่ยืนยัน 100% ว่าจะไม่หยุดให้บริการ ซึ่งปัจจุบันมีเส้นทางเดินรถจำนวน 3 เส้นทาง คือ สาย R1 (สวนสัตว์-มช.-ห้างเมญ่า-คูเมือง-ขนส่งช้างเผือก-ร.ร.ปรินส์ฯ-เซ็นทรัลเฟสติวัล) มีอัตราผู้โดยสารใช้บริการราว 800 คนต่อวัน สาย R2 (ไนท์บาซาร์-หนองหอย-ร.ร.มงฟอร์ตมัธยม-ห้างพรอมเมนาดา-ตลาดหนองหอย-ร.ร.มงฟอร์ตประถม-ร.ร.พระหฤทัย-ร.ร.เรยีนาฯ) มีอัตราผู้โดยสารราว 80 คนต่อวัน และสาย R3 (สนามบิน-ร.ร.วัฒโนฯ-สวนดอก-นิมมานฯ-คูเมือง-ตลาดวโรรส-ไนท์บาซาร์) มีอัตราผู้โดยสารราว 700 คนต่อวัน โดย RTC เตรียมแผนขยายเส้นทางเพิ่ม เพื่อเข้าถึงการใช้บริการของผู้โดยสารให้ครอบคลุมมากที่สุด โดยมีแผนขยายเส้นทางสาย R3 ไปบริเวณด้านหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นย่านที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่น โดยเฉพาะนักศึกษา ขณะเดียวกันยังได้ขยายเส้นทางสาย R3 (เที่ยวพิเศษ) จากสนามบิน-พืชสวนโลก ในช่วงเช้า 2 เที่ยว และเย็น 2 เที่ยว ซึ่งเปิดให้บริการมาได้ราว 2 สัปดาห์แล้ว ขณะที่สาย R1 จะขยายเส้นทางเพิ่ม ผ่านมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่-เซ็นทรัลเฟสติวัล ถือเป็นอีกย่านการเดินทางที่สำคัญ ส่วนสาย R2 ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีผู้โดยสารใช้บริการค่อนข้างน้อยมาก ขณะนี้กำลังวางแผนปรับปรุงขอขยายเส้นทางใหม่เพิ่มไปยังย่านชุมชนหนาแน่น นอกจากนี้อยู่ระหว่างการจัดทำป้ายจุดจอด (อัจฉริยะ) 4 จุดจอดใหญ่ คือ จุดจอดหน้าห้างเมญ่า จุดจอดหน้าห้างวัน นิมมาน จุดจอดหน้าห้างเซ็นทรัลแอร์พอร์ต และจุดจอดหน้าห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล นายฐาปนากล่าวต่อว่า ขณะนี้กำลังทำหนังสือแจ้งไปยังขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอปรับขึ้นราคาค่าโดยสารจาก 20 บาท เป็น 30 บาท โดยตั้งเป้าผู้โดยสารใช้บริการ 2,400 คนต่อวัน ก็จะสามารถอยู่ได้ ในอัตราการเก็บค่าโดยสาร 30 บาท ทั้งนี้ จะมีบัตรโดยสารราคาเดิม (20 บาท) สำหรับคนเชียงใหม่โดยเฉพาะ ส่วนราคา 30 บาทจะเก็บเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังจังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น ทั้งนี้ ในด้านผลกำไรถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของเมืองให้มีคุณภาพจะทำให้เมืองพัฒนาขึ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของ RTC ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-333984

จำนวนผู้อ่าน: 1865

05 มิถุนายน 2019

เสร็จเกือบ 100% มอเตอร์เวย์ ”พัทยา-มาบตาพุด” เปิดใช้ ก.ค. ปีหน้า

นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า มอเตอร์เวย์สายพัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง 32 กม. วงเงินก่อสร้าง 14, 200 ล้านบาท ปัจจุบันงานก่อสร้างแบ่งเป็น 13 ตอน มีความคืบหน้าเสร็จเกือบ 100% ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างงานระบบเก็บเงินค่าผ่านทาง คาดว่าจะสามารถเปิดใช้งานได้ในเดือนก.ค. 2563 “ส่วนค่าผ่านทางหากวิ่งจากกรุงเทพฯ-มาบตาพุด จะเก็บที่130บาท ด่านสุดท้าย คือด่านอู่ตะเภา ถ้าเลี้ยวซ้ายก็ไปมาบตาพุด ถ้าเลี้ยวขวาก็ไปสนามบินอู่ตะเภา “ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมต่อการคมนาคมขนส่ง ระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกได้อย่างสมบูรณ์ นับเป็นเส้นทางสายหลักที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ซึ่งจะช่วยส่งเสริมทั้งในภาคธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยว ด้วยแนวเส้นทางที่สามารถรองรับการเดินทางและการขนส่งสินค้าในภาคตะวันออกไปยังทั่วทุกภูมิภาค เชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบังและนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงการขนส่งทางรถไฟ และการขนส่งทางอากาศที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายโลจิสติกส์ของประเทศ เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคอาเซียน สำหรับมอเตอร์เวย์ สายพัทยา-มาบตาพุด เป็นการก่อสร้างเส้นทางสายใหม่ ผ่านพื้นที่ 2 จังหวัด มีจุดเริ่มต้นที่ กม. 2+300 เชื่อมกับทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ผ่านอำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี สิ้นสุดที่เทศบาลเมืองมาบตาพุด จังหวัดระยอง บริเวณ กม. 34+400 ระยะทางรวม 32 กม ใช้งบประมาณจากกองทุนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางของมอเตอร์เวย์ก่อสร้าง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-334327

จำนวนผู้อ่าน: 1868

05 มิถุนายน 2019

สงครามการค้าฉุดเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว กดดันดอลลาร์อ่อนค่า

แฟ้มภาพ ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันอังคารที่ 4 มิถุนายน 2562 ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 31.33/34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (31/5) ที่ระดับ 31.67/68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักภายหลังมีการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 50.5 ในเดือนพฤษภาคม จากระดับ 52.6 ในดือนเมษายน ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ที่ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 52.1 ในเดือนพฤษภาคม จากระดับ 52.8 ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับ 53.0 ผลของดัชนีต่าง ๆ ดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และประเทศคู่ค้าซึ่งส่งผลให้คำสั่งซื้อใหม่ ๆ ปรับตัวลดลง รวมไปถึงความวิตกกังวลของนักลงทุนว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.29-31.39 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 31.32/34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (4/6) ที่ระดับ 1.1247/48 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (31/5) ที่ระดับ 1.1154/55 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ค่าเงินยูโรยังคงเผชิญกับความเสี่ยงต่อปัญหาหนี้สินของอิตาลี ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารของยุโรป เนื่องจากธนาคารหลายแห่งในภูมิภาคได้เข้าซื้อพันธบัตรของอิตาลี และสถานะทางการเงินของธนาคารเหล่านั้นจะถูกกระทบทันที หากมูลค่าพันธบัตรของอิตาลีปรับตัวลง ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1138-1.1277 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1245/46 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (4/6) ที่ระดับ 107.90/91 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (31/5) ที่ 108.90/291 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ความกังวลต่อสถานการณ์การค้าที่ตึงเครียดและยืดเยื้อระหว่างจีนและสหรัฐ รวมถึงความกังวลต่อสภาวะการชะลอตััวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้นักลงทุเพิ่มการถือครองสกุลเงินเยนในฐานะสิทรัพย์ปลอดภย ทั้งนี้รหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 107.83-108.17 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 108.07/08 เยนดอลาร์สหรัฐ ดัชนีสำคญทางศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนเมษายน (4/6) ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนพฤษภาคมจาก ADP (5/6) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพฤษภาคม จำนวนผู้ขอรับสวัสดิิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (6/6) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน และรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง เดือนพฤษภาคม (7/6) สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่   -2.3/-2.4 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -2.8/-1.7 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-334317

จำนวนผู้อ่าน: 2118

05 มิถุนายน 2019

คำต่อคำ “เหริน เจิ้งเฟย” หัวเว่ยจะยืนหยัดและมุ่งมั่นทำงานของเรา

(AP /Vincent Yu) ยังคงเป็นกระแสร้อนต่อเนื่องสำหรับสงครามการค้า “จีน-สหรัฐ” ที่มียักษ์ใหญ่โทรคมนาคมแดนมังกรอย่าง “หัวเว่ย” เป็นเป้าหมาย แม้ว่าผู้บริหารหัวเว่ยในประเทศไทยจะไม่มีอำนาจตอบคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์นี้เอง แต่ล่าสุด “โจว เจิ้น” ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาธารณะและการสื่อสาร ภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) ได้เปิดพื้นที่หน่วยวิจัย OPEN LAB ณ อาคาร G TOWER กรุงเทพฯ โชว์ศักยภาพ 5G พร้อมส่งมอบบทสัมภาษณ์ เวอร์ชั่นภาษาไทย แบบคำต่อคำ ของ “เหริน เจิ้งเฟย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง หัวเว่ย ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อจีน เมื่อ 21 พ.ค. 2562 แม้ไม่ใช่บทสัมภาษณ์ล่าสุดแบบสดๆ ร้อนๆ แต่ “เหริน เจิ้งเฟย” ได้ตอบคำถามด้วยแง่มุมที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่การรับมือกับสงครามการค้าครั้งนี้เท่านั้น  แต่ยังสะท้อนแนวคิดของผู้นำองค์กรที่ก่อร่างสร้างความยิ่งใหญ่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ระบุชัดเจนผ่านตัวอักษร และ “นัยยะ” ที่ซ่อนไว้ระหว่างบรรทัดมากมาย “ประชาชาติธุรกิจ” นำเสนอแบบจัดเต็ม เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง “หัวเว่ย” Q : สหรัฐอเมริกาได้ออกใบอนุญาตชั่วคราวให้กับหัวเว่ย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือจะมีการผ่อนผันการแบนหัวเว่ยออกไป 90 วัน คุณมองเรื่องใบอนุญาตนี้อย่างไร คุณสามารถทำอะไรได้บ้างในช่วง 90 วันนี้ เหริน : ก่อนอื่นเลย 90 วัน ไม่ได้มากมายสำหรับเรา เราเองก็ได้เตรียมการไว้แล้ว สำหรับเราสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำงานของเราให้ดี ส่วนสิ่งที่สหรัฐฯ จะทำนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ผมอยากใช้โอกาสนี้ขอบคุณบริษัทอเมริกันที่เราทำงานด้วย ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้ช่วยให้เราเติบโตขึ้นจนเป็นเราในทุกวันนี้ พวกเขามีส่วนสนับสนุนเราอย่างมาก พวกเขาสอนเราถึงวิธีการที่ถูกต้องและการบริหารบริษัท อย่างที่คุณทราบกันนั่นแหละ บริษัทส่วนใหญ่ที่ให้บริการคำปรึกษาแก่หัวเว่ยนั้นอยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงบริษัทหลายแห่งอย่าง IBM และ Accenture ข้อสอง เราได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์และอะไหล่จำนวนมากในสหรัฐฯ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อต้องเจอกับวิกฤติที่เกิดขึ้น ผมรู้สึกได้ถึงความยุติธรรมและความเห็นอกเห็นใจที่บริษัทเหล่านั้นมีต่อเรา เมื่อสองวันก่อน (19 พ.ค. 2562)  ราวๆ ตีสองหรือตีสาม อีริค ซุหวี่ (หนึ่งในประธานกรรมการหมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ย) ได้โทรมาหาผมและบอกว่าซัพพลายเออร์ในอเมริกาของพวกเราทำงานหนักเพียงใดเพื่อเตรียมสต็อกสินค้าให้เรา  ผมถึงกับน้ำตาไหล  ดังคำกล่าวของจีนที่ว่า การกระทำที่ชอบธรรมจะได้รับพลังสนับสนุนมหาศาล ขณะที่สิ่งที่ไม่ชอบธรรม จะได้ความช่วยเหลือเพียงน้อยนิด เพราะจนถึงปัจจุบัน บริษัทอเมริกันบางรายยังคงหารือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงเรื่องการขอนุมัติอยู่ สหรัฐฯ ได้เพิ่มหัวเว่ยเข้าใน Entity List นั่นหมายถึง หากบริษัทอเมริกันต้องการขายสินค้าให้กับหัวเว่ยจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมาย บริษัทอเมริกันก็ต้องทำตามกฎหมาย และกลไกทางเศรษฐกิจเช่นกัน พวกคุณที่เป็นสื่อจึงไม่ควรเอาแต่ตำหนิบริษัทอเมริกัน แต่ควรพูดชื่นชมพวกเขาด้วย หากจะต้องตำหนิก็ควรจะเป็นนักการเมืองสหรัฐฯ บางคน  ผมคิดว่าเราไม่ควรจะโยนความผิดโดยไม่แยกแยะ โดยไม่รู้ว่ามันจะตกอยู่กับคนที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าทำเช่นนั้น เราอาจจบลงด้วยการพุ่งเป้าไปผิดคน สื่อควรจะเข้าใจว่า บริษัทสหรัฐฯ เหล่านั้น และหัวเว่ยต่างตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน  เราทั้งคู่เป็นผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจแบบตลาด นักการเมืองสหรัฐฯ อาจจะประเมินเราต่ำเกินไป ผมไม่อยากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป เพราะ Ms. He Tingbo ประธานของ HI Silicon ได้อธิบายเรื่องพวกนี้อย่างชัดเจนไปแล้วในจดหมายถึงพนักงานของเธอ และหนังสือกระแสหลักทั้งในและนอกประเทศจีนก็ได้รายงานเรื่องจดหมายนี้กันไปหมดแล้ว Q : คุณเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อญี่ปุ่นว่า หัวเว่ยไม่ต้องการชิปจากสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหากับหัวเว่ย และในจดหมายถึงพนักงานหัวเว่ย คุณก็กล่าวว่า หัวเว่ยมีจุดแข็งและได้เตรียมการไว้แล้ว จุดแข็งของคุณมาจากไหนและคุณได้เตรียมการอะไรไว้บ้าง เหริน :  สิ่งแรกเลยคือ เรายังต้องการชิปของสหรัฐฯ อยู่เสมอ พันธมิตรในสหรัฐฯ ของเรากำลังทำหน้าที่ของพวกเขาและขออนุมัติจากกรุงวอชิงตัน หากได้รับการอนุมัติ เราจะยังซื้อชิปจากซัพพลายเออร์เหล่านี้ แม้ว่า  เราอาจจะขายชิปให้กับบริษัทในสหรัฐฯ ได้ (เพื่อช่วยให้สหรัฐฯ สร้างผลิตภัณฑ์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น) เราจะไม่ทิ้งพันธมิตรสหรัฐฯ ของเรา หรือหาทางเติบโตด้วยตัวเราเองทั้งหมด แต่เราจะเติบโตไปด้วยกัน แม้ว่าบริษัทคู่ค้าของเราจะไม่สามารถส่งชิปได้มากเพียงพอ แต่เราก็ไม่มีปัญหา เพราะเราสามารถผลิตชิปคุณภาพสูงที่เราต้องการเองได้ทั้งหมด ในช่วงเวลา “ที่สงบสุข” เราใช้นโยบาย “1+1” คือ ชิปครึ่งหนึ่งมาจากบริษัทในสหรัฐฯ และครึ่งหนึ่งมาจากหัวเว่ย แม้ชิปของเราจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก ผมก็ยังซื้อชิปที่มีราคาสูงกว่าจากอเมริกา เราไม่สามารถอยู่แยกจากโลกนี้ได้ ดังนั้นเราก็ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน ความสัมพันธ์อันแนบแน่นของเรากับบริษัทในอเมริกาเป็นผลมาจากความพยายามหลายทศวรรษของทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์เหล่านี้จะไม่ถูกทำลายเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ ตราบใดที่บริษัทเหล่านี้ยังได้รับการอนุมัติจากวอชิงตัน เราก็จะซื้อสินค้าในปริมาณมากจากพวกเขาต่อไป หรือในกรณีที่พวกเขาไม่สามารถได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว เราก็มีหนทางที่จะก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ และเมื่อได้รับอนุมัติ เราก็จะทำการค้าตามปกติของเรากับบริษัทสหรัฐฯ เหล่านี้ และทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสังคมข้อมูลเพื่อมวลมนุษยชาติ เราไม่ต้องการที่จะทำงานอย่างโดดเดี่ยว เราสามารถผลิตชิปได้ดีพอๆ กับที่บริษัทอเมริกันผลิตได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ซื้อชิปจากสหรัฐฯ Q : คุณเคยพูดว่า หัวเว่ยจะไม่ทำงานแบบไม่มีใครรู้ และจะร่วมมือกับคนอื่น ตอนนี้คุณกำลังบอกว่า หัวเว่ยจะทำทั้งสองอย่าง นั่นหมายความว่า การผูกขาดทางการค้าของสหรัฐฯ และการแบนหัวเว่ย กำลังทำลายพื้นฐานระบบซัพพลายเชนของโลก และทำให้เกิดความวุ่นวายในตลาดใช่หรือไม่ สหรัฐกำลังกล่าวหาหัวเว่ยในหลายๆ ด้าน อาทิ ธรรมาภิบาลขององค์กรและการเงิน คุณคิดว่า อะไรคือเป้าหมายหลักของการวิจารณ์ ทำไมถึงต้องพุ่งเป้าไปที่หัวเว่ย เหริน : ผมไม่ใช่คนที่อ่านใจใครได้ เลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว นักการเมือง(สหรัฐฯ) กำลังคิดอะไรอยู่ ผมคิดว่า เราไม่ควรจะตกเป็นเป้าหมายของการชักจูงที่มีสหรัฐฯ เป็นตัวตั้งตัวตี เพียงเพราะเรามีความก้าวหน้ากว่าสหรัฐฯ เทคโนโลยี 5G ไม่ใช่ระเบิดปรมาณู แต่เป็นสิ่งที่จะสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ในด้านประสิทธิภาพ เครือข่าย 5G ดีกว่า 4G 20 เท่า และ 2G ถึง 10,000 เท่า สถานีฐานของ 5G ใช้พลังงานไฟฟ้าต่อบิตต่ำกว่า 4G 10 เท่า และขนาดเล็กกว่า 70%  สถานีฐานของ 5G มีขนาดเล็กมาก ประมาณเท่ากระเป๋าเอกสาร น้ำหนักก็เบาราว 20 กิโลกรัม คุณไม่จำเป็นต้องสร้างเสาโทรคมนาคมสำหรับสถานีฐาน 5G เพราะสามารถติดตั้งไว้ที่ไหนก็ได้  บนเสาหรือกำแพง มันสามารถทำงานได้เป็นสิบๆ ปี เพราะสร้างจากวัสดุกันสนิม  หมายความว่า อุปกรณ์ 5G สามารถที่จะติดตั้งได้แม้ในระบบน้ำทิ้งใต้ดิน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับตลาดยุโรป ซึ่งในพื้นที่หลายแห่งมีอาคารที่เก่าแก่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และไม่สามารถสร้างเสาโทรคมนาคมขนาดใหญ่ได้เหมือนในประเทศจีน แน่นอนว่า เสาที่มีอยู่ในจีนจะไม่ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไร้ประโยชน์ เพราะสถานีฐาน 5G สามารถที่จะติดตั้งไว้บนเสาเหล่านั้นได้ด้วย นั่นคือ เหตุผลที่เราไม่จำเป็นต้องสร้างเสาใหม่ ด้วยสถานีฐาน 5G ของเรา ลูกค้าของเราในยุโรปสามารถที่จะลดต้นทุนด้านวิศวกรรมลงได้ราว 10,000 ยูโรต่อสถานี  พวกเขาไม่ต้องใช้เครนในการติดตั้ง และไม่ต้องสร้างเสาใหม่  ในอดีต ลูกค้าของเราต้องใช้เครนในการติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นส่วนของสถานีฐานชิ้นใหญ่ๆ และจะต้องปิดถนนโดยรอบในระหว่างการติดตั้ง ตอนนี้พวกเขาสามารถติดตั้งสถานีฐาน 5G ได้ง่ายๆ ด้วยมือ มันง่ายจริงๆ แบนด์วิดท์ของ 5G นั้นสูงมาก สูงในระดับที่สามารถรองรับเนื้อหาข้อมูลแบบรายละเอียดสูงในปริมาณมากได้ และส่งวิดีโอ 8K ได้อย่างง่ายๆ พวกเขาพูดกันว่า 5G จะลดต้นทุนลงได้สิบเท่า อันที่จริงมันน่าจะเป็น 100 เท่ามากกว่า นั่นหมายความว่า   คนทั่วไปสามารถที่จะดูรายการทีวีความละเอียดสูง และสามารถเรียนรู้ได้มากมายจากรายการเหล่านี้ ในการพัฒนาขั้นต่อไป ทุกประเทศต้องพึ่งพาวัฒนธรรม ปรัชญาและการศึกษา สิ่งเหล่านี้จะเป็นรากฐานของการพัฒนาชาติ ดังนั้น 5G จะเปลี่ยนสังคมของเราให้ดีขึ้น ความหน่วงของเครือข่าย 5G ก็ต่ำมากๆ ดังนั้น 5G จะได้รับการนำไปใช้อย่างรวดเร็วในหลายๆ อุตสาหกรรมสำหรับทุกวัตถุประสงค์ Q : คุณคิดว่า ตลาดต่างประเทศจะถูกทำลายหรือไม่ เหริน : ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ ยุโรปจะไม่ดำเนินตามรอยเท้าของสหรัฐฯ และบริษัทสหรัฐฯ ส่วนใหญ่กำลังคุยกับเราอย่างใกล้ชิด Q:  คุณคิดว่า ผลิตภัณฑ์ in house และ R&D ของหัวเว่ยมีสถานะเป็นอย่างไร และจดหมายจากประธาน HI Silicon เป็นประกันว่า หัวเว่ยสามารถเดินหน้าระบบซัพพลายให้ต่อเนื่องได้ การรับประกันนี้เป็นจริงหรือไม่ แล้วมีจุดที่วิกฤตหรือไม่ และมันคือส่วนไหน เหริน : มันคุ้มค่าที่จะเรียนรู้จากบริษัทสหรัฐฯ ในเรื่องความรอบรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เราล้าหลังในหลายๆ ด้าน บริษัทอเมริกันเล็กๆ บางรายกำลังจัดหาผลิตภัณฑ์ที่ก้าวหน้าเหนือระดับ เราแค่เน้นในเรื่องธุรกิจของเราและกลายมาเป็นผู้นำ แต่เราไม่ได้พยายามที่จะเปรียบเทียบตัวเราเองกับสหรัฐอเมริกาในระดับประเทศในระดับของธุรกิจ ผมคิดว่า ช่องว่างระหว่างหัวเว่ยและบริษัทสหรัฐฯ บางรายก็เล็กมากทีเดียว แต่ในระดับประเทศ มีช่องว่างที่ใหญ่มากๆ ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ช่องว่างในระดับชาติเกี่ยวข้องอย่างมากกับเศรษฐกิจฟองสบู่ในประเทศจีน มีฟองสบู่อยู่ในหลายอุตสาหกรรมรวมถึงการกู้ยืมระหว่างบุคคล อินเทอร์เน็ต การเงิน และอสังหาริมทรัพย์  มีสินค้าลอกเลียนแบบ ซึ่งก็เป็นฟองสบู่เหมือนกัน ผลก็คือ ฟองสบู่ก็ปรากฎในวงการศึกษาด้วย การพัฒนาทฤษฎีพื้นฐานใหม่ใช้เวลาหลายทศวรรษ ถ้านักวิชาการเน้นพูด มากกว่าการพัฒนาทฤษฎีให้เกิดขึ้นเป็นที่ประจักษ์  ประเทศของเราก็คงจะไม่แข็งแกร่งขึ้นในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า เราควรต้องยืนหยัดและมุ่งมั่นทำงานของเรา Q: ผู้บริหารของหัวเว่ยท่านอื่นได้พูดว่า หัวเว่ยยังสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง การแบนของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบกับลูกค้ารายใหญ่ๆ และธุรกิจของคุณหรือไม่ เหริน : แน่นอนเราจะสามารถให้บริการลูกค้าของเราได้อย่างต่อเนื่อง ศักยภาพการผลิตระดับ Mass ของเรานั้นมีมหาศาล และการเพิ่มหัวเว่ยเข้าไปใน Entity List จะไม่ส่งผลกระทบกับเรามากนัก และเราก็มีการประมูลโครงการไปทั่วโลก การเติบโตของเราจะช้าลง แต่จะไม่มากเท่าที่ทุกคนคิด ในไตรมาสแรกของปีนี้ รายได้ของเราเพิ่มขึ้น 39% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน  อัตรานี้จะลดลง 25% ในเดือนเมษายน และอาจจะยังลดลงไปเรื่อยๆ จนสิ้นปี แต่การแบนของสหรัฐฯ จะไม่ทำให้การเติบโตต้องติดลบ หรือทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมของเราแย่ลง Q : อุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบอย่างไร หากสหรัฐฯ ตัดระบบซัพพลายเชน เหริน : บริษัทของเราจะไม่สะดุดเพราะขาดแคลนชิ้นส่วน เราเตรียมการไว้ดีพอ เมื่อต้นปี ผมคาดการณ์เอาไว้ว่า เรื่องทำนองนี้อาจเกิดขึ้นในอีกสองปี และสหรัฐฯ จะไม่ลงมือก่อนที่คดีความที่สหรัฐฯ ยื่นฟ้องเราจะได้รับการตัดสินในศาล เราค่อนข้างมั่นใจว่า สหรัฐ จะดำเนินการกับเราไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม เราคิดว่า เราอาจจะมีเวลาสักสองปีสำหรับเตรียมการ แต่เมื่อ “เมิ่ง หว่านโจว” (ลูกสาวของเหริน และ CFO หัวเว่ย) ถูกจับ นั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง FILE PHOTO: Meng Wanzhou, Executive Board Director of the Chinese technology giant Huawei, attends a session of the VTB Capital Investment Forum “Russia Calling!” in Moscow, Russia October 2, 2014. REUTERS/Alexander Bibik คุณอาจจะรู้อยู่ว่าเราก็ทำงานในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา และผมก็ได้ไปเยี่ยมเยียนพนักงานของเราที่ทำงานในช่วงวันหยุด เฉพาะในประเทศจีน พนักงานฝ่ายบริการราว 5,000 คน เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัย พนักงานทำความสะอาด และพนักงานในโรงอาหาร ยังต้องอยู่เพื่อให้บริการ “นักสู้” ของเรา พวกเขาได้รับเงินเดือนสูงขึ้นกว่าปกติหลายเท่า บริษัทได้จ่ายค่าอาหารให้ซัพพลายเออร์เท่าตัว และจ่ายพนักงานบริการเป็นพิเศษ พนักงานของเราหลายคนไม่ได้กลับบ้านในช่วงตรุษจีน เพื่อประหยัดเวลาไว้ให้กับการทำงาน พวกเขาได้เอาเบาะมานอนบนพื้นที่นอนในช่วงบ่าย เช่นเดียวกับช่วงวันหยุดแรงงาน พนักงานของเราจำนวนมากเลือกที่จะอยู่ที่นี่ Q : หลังจากที่มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ คาดว่าซัพพลายเออร์ของหัวเว่ยในญี่ปุ่น ยุโรป และไต้หวัน น่าจะช่วยหัวเว่ยได้มาก หากมาตรการควบคุมการส่งออกนี้เกิดใช้ไม่ได้ผล คุณคิดว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะเดินหน้ากดดันบริษัทต่างๆ อย่าง TSMC หรือไม่ แม้หัวเว่ยจะผลิตชิปเองได้ แต่ก็ไม่ได้มีศักยภาพเทียบเท่าระบบห่วงโซ่ทั้งระบบ เหริน : หากมีบริษัทจำนวนมากขึ้นพร้อมใจกันไม่ก้มหัวให้กับการกดดันครั้งนี้ บริษัทอื่นๆ ก็จะทำตาม ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ มันจะไม่เป็นอย่างนั้นหรอก Q : เมื่อดูจากสิ่งที่กูเกิลทำเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ใช้งานในยุโรปกังวลอย่างยิ่งว่าสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยจะไม่สามารถใช้งานในระบบแอนดรอยเวอร์ชั่นใหม่ที่จะออกมาในอนาคตได้  คุณมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร เหริน : กูเกิลเป็นบริษัทที่ดี มีความรับผิดชอบสูง ทางบริษัทกำลังพยายามโน้มน้าวให้รัฐบาลสหรัฐแก้ไขปัญหานี้ ตอนนี้เรากำลังหารือถึงทางออกที่เป็นไปได้สำหรับปัญหานี้ และบรรดาผู้เชี่ยวชาญของเราก็ยังคงทำงานในเรื่องนี้อยู่  ผมจึงยังไม่อาจให้คำตอบที่ลงรายละเอียดแก่คุณได้วันนี้ เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง “หัวเว่ย” Q : คุณกล่าวว่าการพัฒนาชิปไม่ได้ใช้เงินอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องมีนักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์ด้วย ในฐานะบริษัทหัวเว่ยและตัวคุณเอง คุณได้พูดถึงการศึกษาและงานวิจัยขั้นพื้นฐานไปหลายครั้งแล้วนั้น และเราก็ทราบมาจากโฆษณาของคุณด้วยว่า หัวเว่ยให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ หัวเว่ยมีการดำเนินการเป็นการเฉพาะหรือไม่ในส่วนของการศึกษาและการวิจัยขั้นพื้นฐาน และสิ่งนี้จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาของหัวเว่ยในอนาคตได้ในลักษณะใด เหริน : อย่างแรกเลย เรามีศูนย์วิจัยและพัฒนา 26 แห่งทั่วโลก มีนักคณิตศาสตร์ 700 คน และนักฟิสิกส์ 800 คน และนักเคมีอีก 120 คน ทำงานที่หัวเว่ย  เรามีสถาบันการวิจัยเชิงกลยุทธ์ที่มอบเงินสนับสนุนจำนวนมหาศาลให้กับศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยทั่วโลก เราไม่หวังที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนนี้ การสนับสนุนการวิจัยของเรานั้นก็เหมือนกับรูปแบบการลงทุนตามข้อมูลที่อ้างอิงในกฎหมาย Bayh-Dole Act ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนก็คือมหาวิทยาลัย ด้วยวิธีดังกล่าวนี้ เราจะร่วมทำงานกับนักวิทยาศาตร์จำนวนมากขึ้นในการค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีในขั้นต่างๆ มองกันว่ามาตรฐานเทคโนโลยี 5G จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมอย่างยิ่งใหญ่ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะนึกได้ว่า มาตรฐานเหล่านี้มาจากรายงานทางคณิตศาสตร์ที่เขียนขึ้นโดยศาสตราจารย์ชาวตรุกี นามว่า “เออร์ดัล อาริกาน” เมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว เราได้ค้นพบรายงานฉบับนี้สองเดือนหลังจากที่ได้ตีพิมพ์ไปแล้ว หลังจากนั้นเราก็เริ่มทำการวิจัย วิเคราะห์ และจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีที่ค้นพบจากกระดาษแผ่นนี้  พนักงานของหัวเว่ยหลายพันคนเองก็มีส่วนร่วมในการวิจัยนี้ เราใช้เวลาร่วมทศวรรษในการแปลงหน้ากระดาษที่มีสูตรคณิตศาสตร์ให้เป็นเทคโนโลยีและมาตรฐาน เรามีสิทธิบัตรมาตรฐาน 5G ที่ครอบคลุมมากที่สุดในโลก คิดเป็น 27% ของมาตรฐานที่ใช้งานกันอยู่ ศาสตราจารย์อาริกานไม่ใช่พนักงานหัวเว่ย  แต่เราได้สนับสนุนการวิจัยของเขาเพื่อให้ศาสตราจารย์ดูแลรับผิดชอบนักศึกษาปริญญาเอกได้มากขึ้น ซึ่งหัวเว่ยก็ได้สนับสนุนนักศึกษาเหล่านั้นด้วย  นอกจากนี้เรายังได้ส่งเสริมศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น  มีนักศึกษาปริญญาเอกสี่คนของศาสตราจารย์อาริกาน ทั้งสี่คนนี้ได้ทำงานร่วมกับหัวเว่ย แต่ประจำอยู่ที่ออฟฟิสของศาสตราจารย์ จากนั้นเขาก็ได้คัดเลือกนักศึกษาปริญญาเอกอีกสี่คนเพื่อทำงานร่วมกับเขา  ทั้งหมดแปดคนนี้ทำงานให้กับเขาในเวลาเดียวกัน  เอกสารทั้งหมดนี้ถือเป็นสมบัติของพวกเขา ไม่ใช่ของหัวเว่ย หากเราต้องการใช้ผลการค้นคว้าทางวิชาการ เราต้องจ่ายให้พวกเขา  วิธีดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางที่ระบุในกฎหมาย Bayh-Dole Act ของอเมริกา เราได้ใช้วิธีดังกล่าวนี้ในการทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ให้มากยิ่งขึ้น A logo of Huawei is seen during the Mobile World Congress in Barcelona, Spain, February 27, 2018. REUTERS/Yves Herman เมื่อสัปดาห์ก่อนเราได้จัดประชุมนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก ผมเองก็ได้เข้าร่วมงานนี้ผ่านวิดีโอทางไกล มีนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ไฟแรง ทุกคนมีดีกรีระดับปริญญาเอกเข้าร่วมงาน และแนะนำให้ผมรู้จักกับเทคโนโลยีนี้ พวกเขาอธิบายให้ผมฟังว่า กระดาษแต่ละแผ่นนั้นสำคัญต่อสังคมในอนาคตอย่างไร เราสามารถสื่อสารด้วยวิธีดังกล่าวได้อย่างเสถียรทั่วถึงกันทั้งโลก ช่วยให้เราซึมซับความคิดใหม่ๆ และช่วยให้พวกเขาเข้าใจความต้องการของเรา วิธีนี้ทำให้เราสามารถสื่อสารถึงกันได้อย่างเสถียร เมื่อพูดถึงการครองใจคนเก่งๆ บริษัทตะวันตกถือว่ามองการณ์ไกลกว่าเรา พวกเขาค้นหาและคัดเลือกคนเก่งๆ เข้ามาทำงานในฐานะเด็กฝึกงาน มีการอบรมอย่างเข้มข้นระหว่างการฝึกงาน ซึ่งแตกต่างจากการทำงานในแบบเดิมที่ใช้วิธีการหาเด็กจบใหม่ในประเทศจีน ตอนนี้เรามีโอกาสแข่งขันกับบริษัท อเมริกันมากขึ้นในแง่ของการคัดเลือกคน แต่เราก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะดึงดูดคนเก่ง เราเสนองานให้กับนักศึกษาที่เก่งสุดยอด ระดับหัวกะทิ ตั้งแต่พวกเขาเรียนอยู่ปีสอง เช่น นักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยโนโวซีบีรสค์ ที่ได้แชมป์หรือรองแชมป์ในการแข่งขันเขียนโปรแกรม International Collegiate Programming Contest เป็นเวลาติดต่อกันหกปี ซึ่งกูเกิลเองก็ได้เสนอค่าตอบแทนที่สูงกว่า 5 – 6 เท่าของอัตราทั่วไปเพื่อจ้างพวกเขาเข้ามาทำงาน ส่วนเราจะเริ่มในปีนี้โดยจ่ายให้สูงกว่ากูเกิลเพื่อดึงดูดคนเก่งให้เข้ามาคิดค้นนวัตกรรมในรัสเซีย เราจะร่วมแข่งขันเพื่อดึงตัวคนเก่ง เราไม่ต้องการที่จะให้นักวิทยาศาสตร์ต้องประสบความสำเร็จทุกครั้งไป ความล้มเหลวก็เป็นความสำเร็จในแบบหนึ่งเพราะช่วยพัฒนาความสามารถ วิธีนี้จะทำให้เราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง Q: ธุรกิจคอนซูเมอร์เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้หัวเว่ยมากที่สุด ตามด้วยโทรคมนาคมและเอ็นเตอร์ไพรส์ คุณคิดว่าสัดส่วนรายได้ของธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มนี้จะเป็นอย่างไรในอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า  และในสถานการณ์ปัจจุบัน คุณจะกำหนดบทบาทในอนาคตของ HI Silicon ในหัวเว่ยอย่างไร เหริน : บทบาทของชิป HI Silicon คือเป็นกองหนุนของหัวเว่ย ที่เดินหน้าไปพร้อมกับทีมปฏิบัติการของบริษัท ซึ่งอาจเปรียบได้กับรถบรรทุกเชื้อเพลง รถเครน หรือแพทย์สนามที่เคลื่อนพลไปพร้อมกับกองกำลังหลัก สำหรับกลุ่มธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มของเรานั้น เราไม่ได้มองในแง่ที่ว่าธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุดเป็นธุรกิจที่สำคัญสูงสุด หรือแผนกที่มีหน้าที่วางระบบเชื่อมโยงเครือข่ายเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลกได้  เป็นแผนกที่ตกเป็นเป้าโจมตีของสหรัฐฯ ได้มากที่สุด  ถ้าให้เทียบก็เหมือนกับเครื่องบินที่พังยับเยิน ในความเป็นจริงนั้น เราคิดว่า แผนกนี้ไม่ได้มีปัญหามากมายเท่ากับแผนกอื่นๆ เพราะเราได้เตรียมการมานานแล้ว เทคโนโลยี 5G การส่งสัญญาณออพติคอล และเครือข่ายหลักของเรานั้น ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาในธุรกิจนี้ และเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นผู้นำของโลกในอีกหลายปีต่อไป Q : หัวเว่ยได้ลงทุนอย่างหนักในด้านวิจัยและพัฒนา ในอนาคตคุณจะเน้นลงทุนในด้านใด คุณมีการเตรียมการด้านเทคโนโลยีอย่างไร เหริน : เราได้ดำเนินงานเฉพาะเรื่องนี้ (ธุรกิจเครือข่าย) มากกว่า 30 ปี แรกเริ่มเลยนั้น เรามีพนักงานด้านนี้หลายสิบคน และเพิ่มเป็นหลายร้อยคนที่ดูแลในเรื่องนี้ และหลายหมื่นคนในเวลาต่อมา  ตอนนี้เรามีพนักงานกว่าแสนคนแล้ว เราได้ทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับเรื่องนี้อันก่อให้เกิดการค้นพบที่ยิ่งใหญ่  ทุกปีเรามีการลงทุนเป็นจำนวน 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปกับการวิจัยและพัฒนา ซึ่งไม่มีบริษัทใดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ผลักดันการลงทุนมหาศาลในด้านเดียวกันนี้มากเท่าเรา เรามีการทำงานในด้านการถ่ายโอนข้อมูล ซึ่งกลุ่มธุรกิจคอนซูเมอร์จะทำในส่วนของ “ก็อกน้ำ” ส่วนธุรกิจโครงข่ายโทรคมนาคมจะดูแลในส่วนของ “ท่อน้ำ” ยิ่งงานยากสำหรับเรามากเท่าไร ก็หมายความว่า งานนั้นเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องนำพาโลกใบนี้ต่อไปและรักษาตำแหน่งของเราเอาไว้  นอกจากนี้ เราจะยังต้องเพิ่มงบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาด้วย ผมไม่คิดว่า แรงกดดันในเรื่องผลประกอบการทางการเงินของเราที่ลดต่ำลงนั้นจะส่งผลต่อการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาของเรา พนักงานของเราไม่ได้ละโมบโลภมาก พวกเขามีเงินพอที่จะอยู่ได้จนถึงสิ้นเดือน ผมเองก็ยังเคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับคู่ชีวิตของพนักงานด้านการวิจัยและพัฒนาของเราหลายคนถึงการประหยัดอดออม บางคนถามว่า ผมรู้ได้ว่าพนักงานคนไหนมีความทุ่มเท ผมตอบไปว่า หากเราพูดคุยถึงคนที่ซื้อของหลายๆ อย่างจากร้านหรู และพบว่าคู่ชีวิตของพวกเขาทำงานที่หัวเว่ย  พนักงานหัวเว่ยเหล่านั้นก็เป็นพนักงานที่ทุ่มเท  หลังจากที่พวกเขาทำงานหาเงินที่หัวเว่ย  คู่ชีวิตของพวกเขาก็ควรจะสามารถใช้จ่ายเงินได้ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะรู้สึกมีแรงจูงใจที่จะหาเงินให้ได้มากยิ่งขึ้น หัวเว่ยจะยังเดินหน้าทำงานในด้าน ICT  และจะไม่ขยายออกไปในอุตสาหกรรมอื่น แต่ก็มีข่าวลือว่า หัวเว่ยจะเข้าร่วมในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด  อุปกรณ์สำหรับรถยนต์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของเรานั้นให้บริการเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ และส่วนใหญ่ก็ติดตั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์กันอยู่แล้ว  ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่  เรามีการทำงานร่วมกับบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อสร้างรถยนต์อัตโนมัติ  อย่างไรก็ตาม การที่พันธมิตรของเรานั้นใส่โลโก้ของหัวเว่ยบนรถ ไม่ได้แปลว่า เรามีการผลิตรถยนต์ เราจะไม่ผลีผลามเข้าไปทำธุรกิจด้านอื่นๆ REUTERS/Yves Herman Q : กูเกิลได้ระงับการทำธุรกิจกับหัวเว่ย เพื่อตอบปัญหานี้ หัวเว่ยได้ออกแถลงการณ์ ผมอยากรู้ว่า หัวเว่ยจะได้รับผลกระทบอย่างไรในส่วนของระบบปฏิบัติการแอนดรอย เหริน : ผลกระทบก็อาจจะมีบ้าง เพราะกูเกิลเป็นบริษัทใหญ่ เราทั้งสองบริษัทกำลังหาทางออกและกำลังหารือถึงแนวทางที่เป็นไปได้ Q: ในอดีตนั้น หุ้นของหัวเว่ยมีการเติบโตเพิ่มขึ้นและพนักงานเองก็ซื้อหุ้นของหัวเว่ยเป็นจำนวนมาก ซึ่งให้ผลตอบแทนในอัตราสูง แต่ตอนนี้ ความไม่แน่นอนในอนาคตที่เพิ่มขึ้น หากหัวเว่ยต้องพบกับปัญหา จะมีผลต่อการจ่ายเงินปันผลและกำไรต่อหุ้นหรือไม่ เหริน : โดยทั่วไปแล้ว การซื้อหรือขายหุ้นของบริษัทนั้นขึ้นอยู่กับตัวพนักงานเอง เรามีกลไกที่เปิดเผยและการตัดสินใจของพนักงานของเรานั้นก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริษัท เงินปันผลจากหุ้นหัวเว่ยนั้นคาดว่าจะลดลง ฝ่าย Blue Team ของเราได้วิจารณ์การที่บริษัท “แบ่งเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่า 30% ตลอด 30 ปี” พวกเขาถามว่า “เราจะใช้อัตราเงินปันผลนี้ไปอีกนานแค่ไหน” ผมได้ให้ความเห็นเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการบริหารของบริษัทมากทุกปีว่า เรามีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี แต่การลงทุนเชิงกลยุทธ์ของเรานั้นยังไม่มากพอ บันทึกการประชุมเกี่ยวกับการทบทวนตนเองของปีที่ผ่านมายังอยู่บนโต๊ะทำงานของผมอยู่เลย และผมก็ยังไม่ได้อนุมัติ ปีนี้ โดนัล ทรัมป์ ได้อนุมัติคว่ำบาตรหัวเว่ย ซึ่งอาจส่งผลให้ผลกำไรของเรานั้นลดลงเล็กน้อย Q : หมายความว่า พนักงานก็ต้องยอมรับให้ได้ทั้งผลดีและผลเสีย เหริน : เราเข้าใจว่าพนักงานบางส่วนคิดอย่างไร ซึ่งพวกเขาก็สามารถถอนเงินคืนได้หากต้องการ Q: คุณเพิ่งบอกว่าตราบใดที่คุณไม่ยินยอมให้มีการจัดตั้งเงินกองทุนในหัวเว่ย คุณก็ยังคงสามารถดำเนินตามเส้นทางการพัฒนาในอนาคตได้ เงินกองทุนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และเราก็ได้ยินข่าวลือมาแล้วทุกอย่าง เหริน : ข่าวลือก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่เราจะไม่ยินยอมให้มีการจัดตั้งเงินกองทุนในหัวเว่ย ซึ่งผู้บริหารของเราก็มีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้ เราทำงานเพื่ออุดมการณ์ ไม่ใช่เพราะเงิน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-334426

จำนวนผู้อ่าน: 2007

05 มิถุนายน 2019

ทองในปท.เช้านี้ราคาคงที่ ทองรูปพรรณขายออกบาทละ19,900บาท

แฟ้มภาพ วันที่ 27 พ.ค.2562 สมาคมค้าทองคำประกาศราคาซื้อขายราคาทองคำในประเทศวันนี้ ดังนี้(ตามตาราง) โดยราคาทองประกาศครั้งแรกของวันมีราคาคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทองคำแท่งขายออกบาทละ19,400บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกบาทละ19,900บาท ช่วงเวลา ทองแท่ง ทองรูปพรรณ   เวลา ครั้งที่ รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) Gold Spot Baht / US$ ขึ้น / ลง 27/05/2562 09:26 1 19,300.00 19,400.00 18,950.00 19,900.00 1,287.50 31.79 0   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-331206

จำนวนผู้อ่าน: 1944

27 พฤษภาคม 2019

ศึกศักดิ์ศรี “ดิวตี้ฟรี” กับ “เป้าหมาย” ที่แตกต่าง

นับเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของ “บิ๊กดิวตี้ฟรีโลก” ที่ไม่มีใครยอมใครอย่างแท้จริง สำหรับโครงการประมูลดิวตี้ฟรีและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรอบนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่างานนี้ “คิง เพาเวอร์” ผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีรายเดิมต้องรับศึกหนักแน่นอน เพราะผู้ท้าชิงสัมปทานทั้ง 2 ราย คือ บางกอกแอร์เวย์ส และรอยัล ออคิด เชอราตันฯ นั้นแม้ว่าตัวเองจะยังไม่แข็งแกร่งในธุรกิจนี้นัก แต่พันธมิตรที่ดึงมาร่วมถือว่าโปรไฟล์แน่นปึ้ก มีรายได้สูงสุดระดับ 1-2 ของโลกเลยทีเดียว กลุ่มโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน (ประเทศไทย) ที่ผนึกพันธมิตรยุโรป WDFG UK บริษัทลูกของ Dufry Group ยักษ์ดิวตี้ฟรีที่มีรายได้อันดับ 1 ของโลก ต่อเนื่องถึง 4 ปี (2014-2017) ปัจจุบันมีร้านค้ากว่า 2,300 แห่งใน 65 ประเทศ ขณะที่กลุ่มบางกอกแอร์เวย์ส มี “ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี” พันธมิตรสัญชาติเกาหลี มีรายได้อันดับ 2 ของโลก ให้บริการร้านค้าใน 8 ประเทศ เป็นหัวหอก ในฟากของพื้นที่เชิงพาณิชย์ “คิงเพาเวอร์” ผู้รับสัมปทานรายเดิม ต้องสู้กับ “เซ็นทรัลพัฒนา” หรือ CPN บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศรวมมากกว่า 30 แห่ง ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจดิวตี้ฟรีกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประมูลรอบนี้น่าจับตาอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงสุดท้ายของการประมูล ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าวัตถุประสงค์ของแต่ละรายนั้นมีที่มาที่ไปและเป้าหมายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางกลุ่มตั้งใจเข้าสู่ธุรกิจดิวตี้ฟรีอย่างจริงจัง บางกลุ่มเข้ามาเพื่อปั่นราคาสัมปทาน ชนิดที่เรียกว่า คนที่ได้สัมปทานก็ไม่ได้สบายเหมือน 10 ปีที่ผ่านมา และบางกลุ่มก็ต้องการเข้ามาเพียงแค่ศึกษาข้อมูลเท่านั้น พร้อมทั้งให้ข้อมูลว่า “คิง เพาเวอร์” เป้าหมายคือต้องรักษาแชมป์ รักษาธุรกิจ เนื่องจาก “ดิวตี้ฟรี” คือ ธุรกิจหลักที่ต้องทุ่มสุดตัว เรียกว่าเทหนักขนาดที่คนวงในพูดกันว่า รอบนี้ “คิง เพาเวอร์” ลงทุนใช้ทีมงานต่างประเทศทำรายละเอียดทั้งหมด แถมยังวางแผนกันไว้หลายซีเนริโอ พร้อมรับมือคู่แข่งทุกรูปแบบ หากซีเนริโอแรกที่วางไว้นั้นไม่สามารถรับมือคู่แข่งได้ก็พร้อมควักซีเนริโอ 2, 3 ออกมาสู้เป็นสเต็ปโดยมีพลังของคู่แข่งเป็นตัวแปรหลัก ส่วน “บางกอกแอร์เวย์ส” เป็นอีกบริษัทหนี่งที่มีเป้าหมายชัดเจนว่า ต้องการขยายฐานธุรกิจสู่ “ดิวตี้ฟรี”พร้อมระบุชัดว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เพราะธุรกิจสายการบินมาร์จิ้นต่ำ แข่งขันสูง แถมต้นทุนแกว่งควบคุมยาก “งานนี้เชื่อว่า หมอเสริฐ (ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ) เอาจริง และทุ่มหมดหน้าตักเช่นกัน โดยคนในวงการวิเคราะห์กันว่า เป้าหมายของบางกอกแอร์เวย์สน่าจะอยู่ที่สัญญาดิวตี้ฟรีสนามบินภูมิภาค 3 สนามบิน มากกว่าสุวรรณภูมิ เพราะเจ้าถิ่นอย่างคิง เพาเวอร์ คงไม่ปล่อยให้สัมปทานหลุดมือไปง่าย ๆ ขณะที่สนามบินในภูมิภาค ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่ทำรายได้มากนัก หากคิง เพาเวอร์ ปล่อยไป ก็ไม่ได้กระทบตัวเลขรายได้มากนัก ขณะที่มุมมองการลงทุนของบางกอกแอร์เวย์สนั้นพร้อมที่จะลงทุนแม้จะรู้ว่าในช่วงเริ่มต้นธุรกิจนั้นขาดทุนแน่นอนก็ตาม” ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัลนั้น ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจดิวตี้ฟรีรายเดิมวิเคราะห์ว่า เป้าหมายอยู่ที่พื้นที่เชิงพาณิชย์มากกว่า เพราะรู้ตัวอยู่เต็มอกว่าสู้ในส่วนดิวตี้ฟรีไม่ไหว เนื่องจากบริษัทท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. เลือกใช้วิธีประมูลแบบเหมาสัญญาเดียว แต่ถ้าหากใช้รูปแบบแยกประมูลตามประเภทสินค้าตามที่สมาคมผู้ค้าปลีกไทยออกมาเขย่าสำเร็จ เชื่อว่ากลุ่มเซ็นทรัลลงแข่งแน่นอน ประกอบกับนโยบายด้านการลงทุนของกลุ่มเซ็นทรัลจะดูตัวเลขกำไร-ต้นทุนเป็นที่ตั้ง งานนี้เลยใจไม่ถึงพอ จึงถอดใจไม่ร่วมวงประมูลดิวตี้ฟรี เหลือสู้แค่สนามพื้นที่เชิงพาณิชย์เพียงสัญญาเดียวเท่านั้น กล่าวสำหรับกลุ่ม “ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าที่ผ่านมา ไมเนอร์ฯเป็นผู้เช่าช่วงรายใหญ่จากคิง เพาเวอร์ จึงไม่แปลกและดูมีเหตุมีผลที่ประกาศตัวเข้าชิงสัมปทานทั้งส่วนดิวตี้ฟรีและพื้นที่เชิงพาณิชย์แต่เกิดอะไรขึ้นในระหว่างทางยังไม่มีใครเปิดเผยว่า เหตุใดไมเนอร์ฯถึงไม่มีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจดิวตี้ฟรีเข้ามาร่วม และสุดท้ายก็ไม่เข้าร่วมชิงสัมปทานดิวตี้ฟรี เหลือเข้าประมูลเพียงส่วนของพื้นที่เชิงพาณิชย์ แต่ในที่สุดก็ไม่ผ่านคุณสมบัติด้านเอกสารตามที่ระบุไว้ในทีโออาร์ ชื่อของ “ไมเนอร์ฯ” จึงหลุดหายไปจากการประมูลรอบนี้ไปแล้วโดยปริยาย สำหรับกลุ่มโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน (ประเทศไทย) ที่มีพันธมิตรเป็นดิวตี้ฟรีเบอร์ 1 ของโลก ถือว่าเป็น “ม้ามืด” ที่มาแรงในช่วงปลายของการประมูลอย่างแท้จริง จากม้านอกสายตาในช่วงแรก แต่ทันทีที่ “ชายนิด อรรถญาณสกุล” ซีอีโอ พร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟคผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในแกรนด์ แอสเซสฯผู้ถือหุ้นใหญ่ในโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน (ประเทศไทย) ออกมาประกาศถึงความมั่นใจในการร่วมวงประมูลครั้งนี้ ก็ทำให้สนามแข่งขันมีสีสันขึ้นมาอีกมากโขทีเดียว อย่างไรก็ตาม วงในก็ยังวิเคราะห์ว่าเป้าหมายของกลุ่ม “รอยัล ออคิด เชอราตัน” น่าจะอยู่ที่การลงทุนในส่วนของ “ดาวน์ทาวน์ ดิวตี้ฟรี” มากกว่า เพราะธุรกิจของ WDFG UK ในต่างประเทศนั้นมีแต่ร้านขนาดเล็ก จึงกล่าวได้ว่าการประมูลดิวตี้ฟรีและพื้นที่เชิงพาณิชย์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในครั้งนี้เป็น “ศึกแห่งศักดิ์ศรี” และมีเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างแท้จริง ! ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-331143

จำนวนผู้อ่าน: 1908

27 พฤษภาคม 2019

หุ้นไทยลุ้นรีบาวด์ หลัง “ทรัมป์” ระบุสงครามการค้าจบได้เร็ว ลุ้นประชุม G20 “สี จิ้นผิง” พบ “ทรัมป์” หวังคืบหน้า

แฟ้มภาพ นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 27 พ.ค.62 ว่า ตลาดมีโอกาสรีบาวด์ ซึ่งน่าจะได้รับความหวังเชิงบวกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หลังจากประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ระบุว่าสงครามการค้าน่าจะจบลงได้เร็ว และมีแผนที่จะพบประธานาธิบดี “สี จิ้น ผิง” ในการประชุม G20 ปลายเดือนหน้า (มิ.ย.) ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศที่เห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีการเลือกประธานสภาและรองประธานสภา ซึ่งเป็นฝั่งจากพรรคที่มองว่าเป็นขั้วหลักในการจัดตั้งรัฐบาล จึงทำให้ภาพการเมืองมีความชัดเจนขึ้น มองกรอบแนวรับที่ 1,610 จุด ส่วนแนวต้าน 1,620-1,630 จุด กลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงสามารถเลือกเก็งกำไรในหุ้นรายตัว แต่ถ้าเกิดรับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำ Wait&See และถ้าเกิดหุ้นรีบาวด์เป็นจังหวะในการขายลดพอร์ต สัปดาห์นี้ต้องติดตามดัชนี MSCI rebalancing ซึ่งจะมีผลวันที่ 28 พ.ค.62 นี้ และติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐไตรมาส 1 ครั้งที่ 2 รวมถึงตัวเลขจีดีพีรายเดือนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-331205

จำนวนผู้อ่าน: 1970

27 พฤษภาคม 2019

“เทรดวอร์” ทุบธุรกิจไทย เอฟเฟ็กต์ลูกค้าจีนหยุดซื้อ “อสังหา-ท่องเที่ยว” สะเทือน

“สงครามการค้า” ระเบิดเวลาลูกใหม่ เริ่มออกฤทธิ์ฟาดหางเศรษฐกิจไทย “อสังหาฯ-ค้าปลีก-ท่องเที่ยว” ทรุดยกแผง ชี้ไทยพึ่งพากำลังซื้อจีนสูง สมาคมคอนโดฯเผยจีน “หยุดซื้อ-ยื้อโอน” แอล.พี.เอ็น.ฯดิ้นช่วยยืดเวลาผ่อน เผยไตรมาสแรก “นักท่องเที่ยวจีน” วูบ 1.72% สมาคมท่องเที่ยวฯเตือนผู้ประกอบการไทยอย่าขยับลงทุน ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่าผลกระทบจาก “สงครามการค้า” ระหว่างสองมหาอำนาจ “สหรัฐและจีน” ที่มีมาตรการตอบโต้รุนแรงมากขึ้น สารพัดรูปแบบจนทำให้ลุกลามเป็น “สงครามเทคโนโลยี” (Tech War) รวมไปถึงที่หลายฝ่ายกังวลว่า จีนเปิดศึก “สงครามค่าเงิน” เพื่อต่อกรกับสหรัฐ สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการค้าโลกชะลอตัว และทำให้ตัวเลขส่งออกของไทยเดือน เม.ย.ติดลบ 2.6% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองจากเดือนมีนาคม 2562 ติดลบ 4.6% และนอกจากภาคส่งออกแล้ว ภาคธุรกิจในประเทศไทยหลายเซ็กเตอร์ก็ต้องเผชิญปัญหากำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าจีนที่เข้ามาท่องเที่ยว รวมทั้งเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์หดหายไป และกำลังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปในหลาย ๆ ธุรกิจเนื่องจากปัจจุบันธุรกิจในประเทศพึ่งพากำลังซื้อจากชาวจีนค่อนข้างมาก ทุบส่งออกรถยนต์ต่ำสุดรอบ 2 ปี ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยตัวเลขการค้าระหว่างประเทศใน 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) 2562 มูลค่า 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 1.9% ที่น่าห่วงคือสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งมีน้ำหนักถึง 79.5% ของการส่งออก ติดลบ 2.15% โดยสินค้าน่าห่วงที่สุด คือ กลุ่มรถยนต์และส่วนประกอบ -5.72% อิเล็กทรอนิกส์ -11.35% อัญมณีและเครื่องประดับ -8.33% พลาสติก -3.90% เครื่องจักรกล -12.22% และสิ่งทอ -1.43% เป็นต้น โดยส่งออกเดือน เม.ย.ติดลบ 2.6% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง จากเดือนมีนาคม 2562 ติดลบ 4.6% นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนเมษายน 2562 มีจำนวน 67,114 คัน ต่ำสุดในรอบ 24 เดือน โดยลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 7.52% โดยการส่งออกลดลงทุกตลาด เว้นตลาดออสเตรเลียและตะวันออกกลาง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนส่งผลให้ 4 เดือนแรกปีนี้มียอดส่งออกรวม 366,955 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.23% สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือนเมษายนอยู่ที่ 86,076 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 8.7% เนื่องจากมีการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ในงานมอเตอร์โชว์ ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่ยอดจำหน่าย 4 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 349,625 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.5% ขณะที่นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าเรื่องเทรดวอร์พูดมาตลอด ตั้งแต่ต้นปี 2562 ว่า แนวโน้มสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนมีความผันผวนสูงมาก ขณะที่ปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ซึ่ง ธปท.คงจะต้องติดตามและประเมินสถานการณ์ต่อเนื่องต่อไป จีนหยุดซื้อคอนโดฯ-ยื้อโอน ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ลูกค้าชาวจีนที่เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย กลุ่มที่จ่ายเงินดาวน์แล้ว 30% ยังคงมีการโอนกรรมสิทธิ์ เพียงแต่การโอนเงินอาจล่าช้ากว่ากำหนด ถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีสถานการณ์ที่กระทบต่อความรู้สึกลูกค้าก็อยากจะเก็บเงินติดตัวไว้ก่อน ซึ่งคาดว่าจะทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ล่าช้ากว่าปกติประมาณ 3-4 เดือน ทั้งนี้ คาดว่าจะมีลูกค้าชาวจีนประมาณ 50% เริ่มดึงการจ่ายเงิน แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ยกเลิกการโอน ส่วนการขายใหม่ตอนนี้สะดุดอยู่แล้ว เนื่องจากชาวจีน wait and see ดูสถานการณ์ว่าจะยึดเยื้อ หรือรุนแรงมากขึ้นแค่ไหน ซึ่งตอนนี้อยู่ที่สายป่านเจ้าของโครงการว่าสายป่านยาวแค่ไหน หากลูกค้าจีนดึงการโอนช้าลง ถ้าสายป่านยาว กระแสเงินสดเงินหมุนเวียนดี ก็ยังพอเลี้ยงตัวเองได้ไม่กระทบ “อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่คอนโดมิเนียมทุกโครงการจะขายลูกค้าต่างชาติได้ คนจีนจะเลือกซื้อเฉพาะจุดที่เขารู้จัก โดยเมื่อโครงการขายได้ก็จะมีสัดส่วนลูกค้าจีนประมาณ 20-40% แต่จากสถานการณ์สงครามการค้าส่งผลให้ตอนนี้ลูกค้าจีนลดลงโดยอัตโนมัติ ปัจจุบันโครงการที่เปิดขายใหม่ สัดส่วนลูกค้าชาวจีนลดลงเกือบเป็น 0% ช่วงนี้คนจีนหยุดซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ถ้าสหรัฐกับจีนเลิกทะเลาะกันเมื่อไหร่ มันจะดีขึ้นเอง” ดร.อาภากล่าว LPN ยืดผ่อนลูกค้าจีน นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิ”ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อชาวจีนที่จะเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยอย่างแน่นอน ทั้งในแง่ของเงินหยวนที่อ่อนค่าลง ดังนั้น ลูกค้าที่เคยทำสัญญาซื้อขายไว้แล้วมาโอนในตอนนี้ ก็เสมือนซื้อสินค้าแพงขึ้นมา 5-10% จากค่าเงินที่อ่อนตัวลง อีกประเด็นคือรัฐบาลจีนคุมเข้มการนำเงินออกนอกประเทศ หากสงครามทางการค้ายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เงินหยวนอาจจะอ่อนตัวลงอีก ฉะนั้น ด้วย 2 ประเด็นนี้ ลูกค้าจีนยังไงก็น่าจะมีแนวโน้มที่จะโอนช้าลง ซึ่งถ้าแย่ที่สุดเขาอาจจะทิ้งโอน “ในระยะสั้นต้องหาวิธีช่วยยืดหยุ่นที่จะให้ลูกค้าชาวจีนโอนได้ง่ายที่สุด เช่น อาจจะต้องยืดระยะเวลาการผ่อน ส่วนลูกค้าใหม่ต้องปรับเปลี่ยนสัดส่วนลูกค้าต่างชาติไปที่ชาติอื่นมากขึ้น” “เชียงใหม่-ภูเก็ต” จีนหยุดลงทุน ด้านนายวโรดม ปิฎกานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า หากสงครามการค้ายืดเยื้อจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจอสังหาฯของเชียงใหม่ เนื่องจากชาวจีนเป็นทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านกลุ่มหลักของเชียงใหม่ มองว่าผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวจะไม่มากเท่ากับธุรกิจอสังหาฯ เนื่องจากชาวจีนที่มาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทุกปี แต่การจะหาผู้ซื้อคอนโดฯและบ้านมาทดแทนชาวจีนค่อนข้างยาก ผู้ประกอบการต้องติดตามสถานการณ์ และเตรียมแผนสำรองรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ อาทิ กระจายการพึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยวจีน หรือทำสัญญาทางธุรกิจกับนักลงทุนหรือผู้ซื้อจากจีนด้วยความระมัดระวังและเคร่งครัด นายพัทธนันท์ วิสุทธิ์วิมล ผู้บริหารบริษัท แคปส์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต เปิดเผยว่า การลงทุนอสังหาฯในภูเก็ตมีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากนักลงทุนชาวจีนตัดสินใจชะลอการลงทุนไปก่อน จนกว่าสถานการณ์สงครามการค้าจะมีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ต้นทุนในการซื้อบ้านหรือคอนโดฯสูงขึ้นด้วย รวมทั้งนโยบายป้องกันการนำเงินออกนอกประเทศของจีน ทำให้การโอนเงินเพื่อซื้ออสังหาฯในภูเก็ตมีความยุ่งยากมากขึ้นด้วย แอตต้าเตือนเอกชนชะลอลงทุน นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว หรือแอตต้า กล่าวว่า ข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวฯระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในช่วง ม.ค.-มี.ค. 2562 มีจำนวน 3.12 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.72% ขณะที่สร้างรายได้รวม 1.72 แสนล้านบาท ลดลง 1.82% ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากเหตุเรือล่มในช่วงปลายปี 2561 ทำให้เครื่องบินแบบชาร์เตอร์ไฟลต์บางส่วนเปลี่ยนเส้นทางไปประเทศอื่น “ตลาดจีนตอนนี้เราต้องมอนิเตอร์อย่างใกล้ชิด เพราะมีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามาเป็นตัวแปรส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นสงครามการค้า ค่าเงิน รวมถึงเรื่องของเทคโนโลยี บวกกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวและตลาดโดยรวมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้แอตต้าจึงส่งสัญญาณให้สมาชิกและผู้ประกอบการไทยประเมินสถานการณ์ให้ดี และอย่าเพิ่งขยับการลงทุนเพิ่มมากนัก แต่ควรดูประเด็นด้านการปรับตัวและตั้งรับให้ดี” นายวิชิตกล่าว หากประเมินจากจำนวนและรายได้ของกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ไม่ได้น่าตกใจนัก เนื่องจากฐานตลาดเดิมที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่จึงไม่สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดด 8-10% ได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของโรงแรม ร้านอาหาร รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวไม่ได้ขยายตัวในสัดส่วนที่สอดรับกับซัพพลายที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการอาจรู้สึกว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยและตลาดจีนไม่ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ ห่วงลากกำลังซื้อทรุดทั้งระบบ นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ยักษ์ธุรกิจอีเวนต์กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลคือผลกระทบโดยตรงที่จะเกิดกับคนจีน ซึ่งประเทศไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับต้น ๆ ของจีดีพี ขณะที่คนจีนเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ดังนั้นเศรษฐกิจไทยก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย หากนักท่องเที่ยวจีนมีปัญหา ไม่ออกมาใช้จ่าย ก็จะลามไปยังธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ร้านอาหาร สินค้าและบริการต่าง ๆ นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมแผนรองรับ เนื่องจากเซ็ปเป้มีสัดส่วนยอดขายที่ส่งออก 60% ที่ต้องจับตาคือสงครามการค้าครั้งนี้จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกมากแค่ไหน เพราะหากสถานการณ์ยืดเยื้อก็จะกระทบกับกำลังซื้อของคนทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ยักษ์ค้าปลีกโดนหางเลข นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ธุรกิจค้าปลีกอย่างเดอะมอลล์ก็ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าเช่นกัน เพราะปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อสำคัญของศูนย์การค้า ผลจากสงครามการค้าทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวจีนลดลงไปด้วย ด้านนายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK กล่าวว่า สำหรับในส่วนของธนาคารกสิกรฯที่อยู่ในประเทศจีน ก็ได้รับผลกระทบในแง่สินเชื่อเทรดไฟแนนซ์ลดลง ตามปริมาณการค้าที่ลดลง และความต้องการใช้เงินของลูกค้าในจีนที่ลดลง ซึ่งเคแบงก์ก็ระมัดระวังเพิ่มขึ้น ลูกค้ามาขอใช้วงเงินก็จะต้องถามข้อมูลมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยง เช่น ส่งออกประเภทไหน ซัพพลายเออร์เจ้าไหน อย่างไรก็ตาม กสิกรฯถือว่าเล็กมากในตลาดจีน ดังนั้นจึงยังสามารถปรับไปหากลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ “สถานการณ์ขณะนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะส่งผลกระทบออกไปมากน้อยเพียงใด สิ่งที่จะต้องติดตามคือเหตุการณ์จะรุนแรงไปถึงขั้นไหน ซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร” ห่วงเกิดสงครามค่าเงิน นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) กล่าวว่า สงครามการค้าจีน-สหรัฐที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามอง และคาดว่าจะไม่สามารถหาข้อยุติได้ในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากมีประเด็นอื่น ๆ ที่นอกเหนือสงครามการค้าซ่อนอยู่ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวน โดยเฉพาะแถบเอเชียเหนือ อย่างเกาหลีใต้ ไต้หวัน ที่ค่าเงินตกต่ำลง ขณะที่ประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนมองว่ามีความปลอดภัย (safe haven) เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ และสวนทางกับภูมิภาคที่อ่อนค่าลง กรณีของสงครามค่าเงินระหว่างจีนและสหรัฐจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น นายศรัณย์กล่าวว่า “ต้องดูว่าสหรัฐจะหยุดขึ้นภาษีหรือไม่ แต่หากสหรัฐยังคงปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนจากเดิมที่ 2 แสนล้าน เป็น 3 แสนล้าน สิ่งที่จีนจะทำได้ง่ายที่สุดคือการทำให้ของราคาถูกลง โดยปรับลดค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลง ซึ่งหากจีนตอบโต้โดยการลดค่าเงินหยวนก็จะส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคอ่อนค่าลงตามค่าเงินหยวนไปด้วย” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-331209

จำนวนผู้อ่าน: 1916

27 พฤษภาคม 2019

เงินบาทแข็งค่า ความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนลดลง เหตุสงครามการค้าลดระดับร้อนแรง-จับตาทรัมป์เยือนญี่ปุ่น

นักวิเคราะห์ตลาดเงินตลาดทุน เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย หลังสงครามการค้าเริ่มลดระดับความรุนแรง ตลาดเงินตลาดทุนลดความผันผวน จับตาโดนัลด์ ทรัมป์ เยือนญี่ปุ่นโดยกรอบเงินบาทวันนี้ 31.78-31.88 บาทต่อดอลลาร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (27 พ.ค.) ที่ระดับ 31.81 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงปิดสิ้นสัปดาห์ก่อนที่ระดับ 31.85 บาทต่อดอลลาร์ นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักวิเคราะห์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนจะลดลง และมีโอกาสที่ค่าเงินบาทจะเเข็งค่ากลับมาได้ เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ลดระดับความรุนแรง ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยกรอบเงินบาทวันนี้ 31.78-31.88 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตามสำหรับประเด็นที่ต้องติดตาม คือการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรป (EU Summit) และการเยือนญี่ปุ่นของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจระหว่างสัปดาห์ด้วย ขอบคุณข้ออมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-331202

จำนวนผู้อ่าน: 1842

27 พฤษภาคม 2019

ดึงสหกรณ์พันแห่งตั้งบริษัท กยท.ทุ่ม 2 พันล. เดินหน้าส่งออก “ยางแท่ง”

สกัดปัญหาราคายางดิ่ง กยท.ผนึกกำลัง 1,000 สหกรณ์ชาวสวนยางทั่วประเทศ เล็งตั้งบริษัทลงทุนขึ้นโรงงานยางแท่ง ส่งออกแบบเอกชนเต็มตัว หวังเป็นเสือตัวที่ 6 แหวกวงล้อมตลาดล่วงหน้าในต่างประเทศกดราคาต่ำกว่าทุน-บริษัทจีนเทกกิจการไทยคุมราคายาง พร้อมล็อบบี้ทุกพรรคการเมือง หวังไม่ให้มีปัญหาซ้ำรอยเหมือนกรณี กยท.ร่วมทุน 5 เสือวงการยาง รายงานข่าวจากการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากความกังวลต่อปัญหาสงครามการค้าจีน-สหรัฐอเมริกาที่ได้ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าหลายพันรายการตอบโต้กันสูงถึง 25% ของมูลค่าสินค้า และมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อไปอีกหลายปีว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกยางพาราทั้งประเภทยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ยางคอมปาวนด์ (ผสมสารเคมี) ฯลฯ ไปต่างประเทศปีละประมาณ 3.6-3.7 ล้านตัน เพราะในจำนวนดังกล่าวมีการส่งออกไปจีนไม่ต่ำกว่าปีละ 60% ของการส่งออก 3.6-3.7 ล้านตัน ดังนั้น ผู้บริหาร กยท.ที่ได้หารือกับผู้บริหารสหกรณ์ยางพาราขนาดใหญ่ทั่วประเทศมาหลายครั้ง จึงมีแผนที่จะลงทุนตั้งบริษัทผลิตยางและส่งออกยางพาราขึ้นมาโดยตรง ซึ่ง กยท.จะร่วมทุนกับ 1,000 สหกรณ์ชาวสวนยางทั่วประเทศในสัดส่วนที่ดำเนินธุรกิจแบบเอกชนได้เต็มตัว เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน โดยเบื้องต้นเงินลงทุนในการตั้งโรงงานผลิตยางแท่งและเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อยางของสหกรณ์จากสมาชิกประมาณ 2,000 ล้านบาท กยท.พร้อมจะให้กู้มาดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ส่วนจะตั้งโรงงานผลิตยางล้อรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงมากด้วยหรือไม่นั้น ต้องหารือกันโดยละเอียดอีกหลายครั้ง เพราะต้องสร้างแบรนด์และใช้เทคโนโลยีค่อนข้างสูง “สหกรณ์ชาวสวนยางทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง ส่วนใหญ่จะมีสมาชิกประมาณ 100 ราย แต่ละรายมีพื้นที่เฉลี่ย 15 ไร่ ผลผลิตยางต่อไร่ที่ 254 กก. จะมีผลผลิตยางในแต่ละปีกว่า 3 แสนตัน เพียงพอในการจัดตั้งบริษัทผลิตและส่งออกยางเองได้ ในช่วง 7-8 ปีที่ราคายางตกต่ำมาตลอด จากภาวะผลผลิตล้นตลาดโลก ทำให้สหกรณ์เมื่อรับซื้อจากสมาชิกจะไม่กล้าสต๊อกยางมากเหมือนก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะในช่วงปิดกรีดยางที่ราคาควรขยับสูงขึ้น แต่มักจะมีการทุบราคาจากพ่อค้ารวมหัวกันอยู่เสมอ ทำให้ขาดทุนหลายปีติดต่อกัน และเมื่อมีการตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา ต่อไปสหกรณ์ก็จะได้ไม่มีภาระต้องขนส่งยางมาประมูลขายที่ตลาดกลางทั้ง 6-7 แห่งทั่วประเทศมากเกินไป เมื่อขนมาแล้ว จำเป็นต้องขาย แม้จะถูกกดราคารับซื้อ เพราะค่าขนส่งและค่าแรงงานในการขึ้นลงสินค้าค่อนข้างสูง” สหกรณ์ชาวสวนยางทั่วประเทศควรเข้าร่วมลงทุนในการจัดตั้งบริษัท เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและมีอำนาจการต่อรองสูง สหกรณ์ที่มีขนาดเล็กอาจลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทเพียง 5 หมื่นบาทก็ได้ มีการจ้างผู้บริหารมืออาชีพมาบริหารบริษัท จะมีการสร้างโรงงานผลิตยางแท่งหลายแห่งป้อนโรงงานผู้ผลิตยางล้อรถยนต์ในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการคานอำนาจกับตลาดซื้อขายล่วงหน้าทั้งในสิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ และโตเกียว ที่ราคาซื้อขายยังต่ำกว่าต้นทุนการผลิตยางแผ่นรมควันของไทยที่ กก.ละ 63-65 บาทค่อนข้างมาก อีกทั้งขณะนี้บริษัทขนาดใหญ่ของจีนหลายแห่งเข้ามาซื้อกิจการบริษัทส่งออกยางในไทยหลายแห่ง ทำให้ราคายางของไทยถูกจีนผู้ซื้อรายใหญ่คุมราคาซื้อในไทยและคุมราคาขายในจีนได้เบ็ดเสร็จ ยิ่งเมื่อเกิดสงครามการค้าแทรกซ้อนขึ้นมาอีกเช่นนี้ จึงเป็นปัจจัยลบต่อชาวสวนยางที่จะต้องรับความผันผวนหนักเข้าไปอีก อย่างไรก็ตาม การตั้งบริษัทผลิตและส่งออกยาง เปรียบเสมือนเป็นเสือตัวที่ 6 จะมีปัญหาทางการเมืองตามมาอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมา กยท.ลงทุน 200 ล้านบาท กับ 5 บริษัทผู้ส่งออก ในวงเงินรวม 1,200 ล้านบาท เพื่อรับซื้อยางที่ตลาดกลางในราคานำตลาด ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการยางไม่เห็นด้วยว่าไปร่วมมือกับพ่อค้าได้อย่างไร หากมีการชำระบัญชีและขาดทุนจะมีปัญหาตามมาอีกได้ ดังนั้น กยท.จะต้องหารือกับทุกพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แหล่งข่าวจาก กยท.กล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-331196

จำนวนผู้อ่าน: 1796

27 พฤษภาคม 2019

จิ๊กซอว์ใหม่ ! เจ้าสัวเจริญ เซอร์ไพรส์ซื้อ “สตาร์บัคส์”

ยังเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สำหรับ “ไทยเบฟเวอเรจ” บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่ล่าสุดได้คว้าสิทธิการบริหาร “ร้านสตาร์บัคส์” ร้านกาแฟชื่อดังมาครอง หลังจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ทยอยทุ่มงบฯลงทุนเพื่อสร้างแบรนด์ร้านอาหาร ทั้งร้านอาหารไทย-จีน-ญี่ปุ่น ร้านเบเกอรี่ ร้านขนม-เครื่องดื่ม รวมถึงการลงทุนซื้อกิจการมาอย่างต่อเนื่อง ดีลใหญ่ครั้งนี้ ไทยเบฟฯได้ลงทุนผ่าน F&N Retail Connection บริษัทในเครือ ที่ตั้งขึ้นมาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และจับมือกับ Maxim”s Caterers จากฮ่องกง ผู้ถือสิทธิ์บริหารร้านสตาร์บัคส์กว่า 400 สาขาในหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า กัมพูชา และเวียดนาม โดยได้ตั้งบริษัทร่วมทุนในชื่อ Coffee Concepts Thailand สื่อในต่างประเทศรายงานว่า “สตาร์บัคส์” ได้มอบสิทธิ์ให้ Coffee Concepts Thailand เป็นผู้ดูแลการทำธุรกิจการบริหารและขยายสาขาร้านสตาร์บัคส์ในประเทศไทย แต่เพียงผู้เดียว จากก่อนหน้านี้ที่สตาร์บัคส์ได้ให้ไลเซนส์การบริหารธุรกิจให้กับบริษัทอื่นในหลาย ๆ ประเทศในยุโรป รวมทั้งในฝรั่งเศส ดีลที่เกิดขึ้นแม้จะไม่มีการระบุรายละเอียดถึงจำนวนเงินที่ไทยเบฟฯต้องจ่ายเพื่อแลกกับสิทธิ์ดังกล่าว แต่คนในวงการประเมินว่า ต้องเป็นเม็ดเงินที่มีมูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะชื่อชั้นของแบรนด์สตาร์บัคส์ในวันนี้ คือ เชนร้านกาแฟ อันดับ 1 ของโลก และมีสาขาทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 24,000 สาขา ส่วนในเมืองไทย ปัจจุบันคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 330-350 สาขาทั่วประเทศ และภายในปีนี้ สตาร์บัคส์ประกาศว่า ต้องการจะขยายให้ครบ 400 สาขา เรียกว่าสร้างความฮือฮาให้กับแวดวงธุรกิจ และทำให้ธุรกิจร้านกาแฟ ที่ว่ากันว่ามีมูลค่าตลาดรวมเฉียด ๆ 20,000 ล้านบาท คึกคักขึ้นไม่น้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปจะพบว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลง ครั้งที่ 3 ของ “สตาร์บัคส์” ในรอบกว่า 21-22 ปี ในเมืองไทย จากสาขาแรกที่เซ็นทรัล ชิดลม เมื่อกลางปี 2541 ในนามบริษัท คอฟฟี่ พาร์ทเนอร์ส จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ จำกัด และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) จากนั้นเมื่อปี 2543 บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ได้มาถือสิทธิ์กิจการทั้งหมดของบริษัท คอฟฟี่ พาร์ทเนอร์ส ทำให้สตาร์บัคส์ในประเทศไทย ดำเนินการโดยบริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ไทยแลนด์) จำกัด ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารระดับสูงบริษัทไทยเบฟฯระบุว่า บริษัทมีเป้าหมายจะผลักดันธุรกิจฟู้ดแอนด์เบฟเวอเรจ (F&B) ให้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะเข้ามาเสริมทัพกลุ่มเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ ให้เติบโตตามวิสัยทัศน์ 2020 ที่วางเอาไว้ คือ มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นสัดส่วน 50% ของรายได้รวม ผ่านกลยุทธ์ความหลากหลาย โดยร้านอาหารของไทยเบฟฯจะครอบคลุมตั้งแต่สตรีตฟู้ด ไปจนถึงไฟน์ไดนิ่ง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายการลงทุนในธุรกิจ F&B ที่เป็นน็อนแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง “ร้านสตาร์บัคส์” จึงเปรียบเสมือน “กุญแจ” สำคัญดอกหนึ่งที่จะช่วยสร้างให้ วิสัยทัศน์ 2020 ถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น หากพิจารณาลงไปในรายละเอียดจะพบว่า ปีที่ผ่านมา (ตุลาคม 2560-กันยายน 2561) ไทยเบฟฯมีรายได้รวม 230,000 ล้านบาท เป็นธุรกิจเหล้า 46% ธุรกิจเบียร์ 41% ธุรกิจอาหาร 6% และธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 7% ถ้าเมื่อนำสัดส่วนรายได้ของธุรกิจอาหารบวกกับธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ จะพบว่ามีสัดส่วนเพียง 13% ของรายได้รวม ขณะที่ธุรกิจเหล้า-เบียร์ยังเป็นพอร์ตใหญ่ที่มีสัดส่วนถึง 87% นั่นหมายความว่า เพื่อให้วิสัยทัศน์ปี 2020 สัมฤทธิผล จากนี้ไปไทยเบฟฯจะต้องเปิดเกมรุกอย่างหนัก ทั้งการขยายสาขา การพัฒนาร้านในโมเดลต่าง ๆ การสร้างแบรนด์ใหม่ การร่วมทุน และการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างบริษัท F&N บริษัทอาหาร เครื่องดื่ม ยักษ์ใหญ่ในสิงคโปร์ และมาเลเซีย ที่จะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าว หลังจากกลุ่ม TCC ของเจ้าสัวเจริญเทกโอเวอร์กิจการของ F&N ไปเมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา ทำให้ TCC Group ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลัก และไทยเบฟฯมีสัดส่วนรองลงมา และไทยเบฟฯรับรู้เพียงแค่กำไร/ขาดทุนเท่านั้น แต่หากไทยเบฟฯสามารถสวอปหุ้นกับ TCC และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ได้สำเร็จเมื่อไหร่ รายได้ของ F&N ก็จะถูกนำมาคำนวณในพอร์ตรายได้ของไทยเบฟฯทันที นั่นหมายความว่า ไทยเบฟฯจะมีรายได้เพิ่มอีกประมาณ 4.8-5 หมื่นล้านบาท (อ้างอิงจากผลประกอบการของ F&N ในปี 2561) เข้ามาเติมสัดส่วนรายได้ของน็อนแอลกอฮอล์ให้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ เพื่อให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-331121

จำนวนผู้อ่าน: 1787

27 พฤษภาคม 2019

เมืองนวัตกรรม EECi ปตท.ทุ่ม 5,900 ล้าน สร้างคนรับ EEC

บนพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ บริเวณวังจันทร์ จังหวัดระยอง ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ถูกวางให้เป็นพื้นที่เป้าหมายในการเป็น ศูนย์การเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ชั้นนำ รวมถึงให้บริการด้านอื่น ๆ ที่เรียกว่าEECi (Eastern Economy Corridor of Innovation) หรืออาจจะเรียกว่า “เมืองนวัตกรรมใหม่” เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economy Corridor) ในพื้นที่เป้าหมายใน 3 จังหวัด คือ ชลบุรี, ระยอง และฉะเชิงเทรา “ชาญศิลป์ ตรีนุชกร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) ปตท. กล่าวว่า ปตท.ได้วาง “key success” ของพื้นที่ EECi ไว้ 5 ประเด็น ประกอบด้วย 1) พัฒนาเมืองอัจฉริยะ (smart SMEs/VCs) หรือการพัฒนาพื้นที่ให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พักอาศัย คอนวีเนี่ยนสโตร์ โรงแรม และคอมมิวนิตี้มอลล์ รองรับการขยายตัวในอนาคต 2) การพัฒนาโรงเรียนและมหาวิทยาลัย (school/university) ที่ ปตท.ได้มุ่งไปที่การเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่จะต้องปลูกฝังในหลักสูตรการเรียน ซึ่งตามแผนที่วางไว้ในพื้นที่จะประกอบไปด้วย โรงเรียนระดับชั้นอนุบาล มัธยม และมหาวิทยาลัย ทั้งที่เป็นของไทยและเปิดทางให้มหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่สนใจเข้ามาลงทุนสร้างมหาวิทยาลัยในพื้นที่วังจันทร์ได้ ในส่วนการลงทุนเฉพาะของ ปตท. ทั้งด้านการศึกษาและอื่น ๆ ในพื้นที่วังจันทร์ ขณะนี้ได้ใส่เม็ดเงินลงทุนไปแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท และในอีก 5 ปีข้างหน้า (2562-2566) จะใช้เงินลงทุนอีก 2,900 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปในเรื่องของการศึกษาผ่าน โรงเรียนกำเนิดวิทย์ หรือ KVIS กับสถาบันวิทยสิริเมธี หรือ VISTEC นักศึกษาระดับปริญญาโทที่หลักสูตรการเรียนมุ่งเน้นไปที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน 4 สาขา เช่น สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล และสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบริษัทในเครืออย่างบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ที่มีวิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี หรือ IRPCT จะถูกใช้เป็นฐานในการพัฒนาคนในระดับ ปวช.-ปวส. ที่มีจุดเด่นตรงที่นักเรียนจะได้ทดลองสนามจริง คือ โรงงานในเครือของ IRPC เพื่อปลูกฝังและพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนในพื้นที่ที่ต้องการให้มีสถาบันการศึกษาที่ผลิตช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมอีกด้วย 3) สถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนา (research institutes) ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมต่าง ๆ อย่างเช่น ที่ ปตท.กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการก็คือ เรื่องของแบตเตอรี่ในการจัดเก็บพลังงาน 4) การดึงบริษัทใหญ่ ๆ ในระดับโลกเข้ามาร่วมลงทุนในพื้นที่ EECi (large firm & MNCs) โดยล่าสุดมี บริษัทหัวเว่ย, บางจาก, มิตรผล เป็นต้น และ 5) การเป็นเสมือนตัวกลางเชื่อมระหว่างผู้ประกอบการ (startup, SMEs, Sls Angels, VCs & More) หรือการให้กลุ่ม startup ได้ใช้พื้นที่ในการนำเสนอไอเดียกับผู้ประกอบการที่สนใจร่วมลงทุน หรือการ pitching เพื่อนำไปสู่การต่อยอดเป็นธุรกิจต่อไป ซึ่งในประเด็นนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในงานมอบนโยบายให้กับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า จะเรียกผู้ประกอบการเข้ามาหารือถึงคุณสมบัติของบัณฑิตที่ต้องการเป็นอย่างไร เพื่อให้แต่ละสถาบันการศึกษาได้นำไปพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้ตรงกับความต้องการ นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดในการหาเครื่องมือในการจูงใจให้สถาบันการศึกษาที่สามารถพัฒนาบัณฑิตให้ตรงกับความต้องการในพื้นที่ EEC อาจจะส่งเสริมในแง่ของงบประมาณให้เพิ่มเติม หรือสร้างแรงจูงใจโดยให้สิทธิประโยชน์ด้านอื่น ๆ ส่วนในแง่ของการศึกษานั้น “ชาญศิลป์” ฉายภาพให้เห็นว่า นอกเหนือจาก ปตท.จะต้องพัฒนาและหาโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจก็ตาม แต่ในแง่ของการ “พัฒนาคน” ปตท.ได้ให้น้ำหนักเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ยกตัวอย่าง สถาบันวิทยสิริเมธี ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการร่วมมือของบริษัทในเครือทั้งหมด เช่น บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ “ลงขัน” ใส่เงินเพื่อพัฒนาพื้นที่ EECi รวม 2,500 ล้านบาท ในทุกปีในช่วงเริ่มต้นพัฒนาสถาบัน ต่อจากนั้นสถาบันจะต้องเริ่มหา “รายได้” เข้ามาด้วยตัวเองจาก “งานวิจัย” ที่ตั้งเป้าไว้ “บริษัทในเครือ ปตท.ได้พัฒนาคนออกไปสู่สังคม ประมาณ 7,000-8,000 คนแล้ว ภายใต้หลักสูตรที่ใช้สอนก็ตั้งแต่ระบบไฟฟ้า เมคาทรอนิกส์ พลังงาน” นายชาญศิลป์กล่าว ทั้งนี้ การสร้างคนเพื่อนำไปสู่การ “สร้างชาติ” นั้น ได้ถูกจัดให้เป็น mindset ที่ ปตท.ต้องการเน้นย้ำ นักศึกษาจากสถาบันวิทยสิริเมธีที่เรียนจนจบหลักสูตรออกไปแล้วถึง 2 รุ่น มีจำนวนหนึ่งได้ออกไปทำงานกับบริษัทระดับโลก อย่างเช่น บริษัทผลิตเหล็กชั้นนำของโลกอย่างบริษัทพอสโก้ หรือบริษัทเอ็กซอนโมบิล ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของโลก สิ่งที่จะเป็นผลพลอยได้กลับมา คือ การมี connection กับบริษัทระดับ global ต่อไป “เมื่อรวมเด็กที่จบจาก KVIS รวม 70 คน และ VISTEC อีก 13 คน และคาดว่าในช่วงปลายปีนี้จะมีผู้เรียนจบอีก 9 คน ความสำเร็จของบัณฑิตแต่ละรุ่นที่อาจจะได้ทำงานกับบริษัทระดับโลกในด้านต่าง ๆ ถือว่าประเทศจะได้ประโยชน์ในแง่ของ connection รวมถึงได้สร้างเครือข่ายต่าง ๆ หรือ networking อีกด้วย อย่างบริษัทพอสโก้ ในอนาคตอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวัสดุศาสตร์ระหว่างกันได้ หรืออย่างบริษัทแสนสิริ ที่แม้จะเป็นบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่วันนี้แสนสิริได้เป็นองค์กรมีความทันสมัยมากด้วยการนำเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์มาใช้กับโครงการพัฒนาบ้านและอื่น ๆ” ในพื้นที่ EECi ยังมีพื้นที่ส่วนหนึ่งถูกพัฒนาเป็น “ศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา อำเภอวังจันทร์”ที่ ปตท.ได้น้อมเกล้าฯถวายที่ดิน 154 ไร่ แด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อใช้ในการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา โดยล่าสุดได้ดำเนินการก่อสร้างและได้ประสานงานโครงการรวมถึงดำเนินการปลูกพืชในทุกโซน และทั้งโรงเรียนกำเนิดวิทย์และสถาบันวิทยสิริเมธี สนับสนุนงานด้านวิจัยและนวัตกรรมอีกด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-330466

จำนวนผู้อ่าน: 1964

25 พฤษภาคม 2019

เปิดพอร์ตฯ F&B “ไทยเบฟ” หลังคว้าสิทธิ์บริหาร “สตาร์คบัคส์” ในไทย

สร้างความฮือฮาให้กับวงการอีกครั้ง สำหรับ “ไทยเบฟเวอเรจ” บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ของไทย ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ภายใต้การบริหารของ “ฐาปน” บุตรชายคนโต ทายาทมือวาง ที่ล่าสุด F&N Retail Connection บริษัทในเครือไทยเบฟฯ ได้จับมือกับ Maxim’s Caterers จากฮ่องกง ผู้ถือสิทธิ์บริหารร้านสตาร์บัคส์กว่า 400 สาขาในหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า กัมพูชา และเวียดนาม ได้ตั้งบริษัทร่วมทุนในชื่อ  Coffee Concepts Thailand คว้าสิทธิ์บริหารร้าน “สตารบัคส์” เชนร้านกาแฟยักษ์จากสหรัฐฯ ในประเทศไทยทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว โดยช่วงปีที่ผ่านมา สตาร์บัคส์ ได้ให้ไลเซ่นการบริหารธุรกิจให้กับบริษัทอื่นในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสและหลายประเทศในยุโรป ปัจจุบัน สตาร์บัคส์ ในประเทศไทย มีสาขามากกว่า 330 สาขาทั่วประเทศ โดยภายในปีนี้มีแผนที่จะขยายให้ครบ 400 สาขา เปิดแผนธุรกิจ F&B ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากย้อนกลับไป จะพบว่า ที่ผ่านมาไทยเบฟฯ ได้เพิ่มน้ำหนักและมีการลงทุนในธุรกิจ ฟู้ด แอนด์ เบเวอเรจ (F&B) มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับพาร์ตเนอร์รายใหญ่จากฮ่องกง แม็กซิม กรุ๊ป รุกธุรกิจเบเกอรี่ การซื้อกิจการของฮาวี โลจิสติกส์ เพื่อซัพพอร์ตธุรกิจฟู้ดเซอร์วิส การเข้าซื้อกิจการของเคเอฟซีในไทย 240 สาขา ด้วยงบฯ 1.13 หมื่นล้านบาท รวมถึงการเข้าซื้อร้านอาหารไทย “สไปซ์ออฟเอเชีย” ทำให้ได้แบรนด์เข้ามาเสริมพอร์ตเพิ่มอีก 4 แบรนด์ และแบรนด์ใหม่ล่าสุด “เกนกิ ซูชิ” ที่ซื้อเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา รายงานข่าวจากบริษัทไทยเบฟฯ ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่ผ่านมา ได้ทยอยตั้งบริษัทย่อยในกลุ่ม ฟู้ดแอนเบเวอเรจ (F&B) เพิ่มถึง 6 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ โฮลดิ้ง จำกัด, บริษัท กรีน บีน จำกัด, บริษัท เอฟแอนด์เอ็น อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด , บริษัท เอฟแอนด์เอ็น รีเทล คอนเนคชั่น จำกัด, บริษัท เจแปนนิส ไดนนิ่ง คอนเซ็ปตส์ (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท เกนกิ ซูชิ (ไทยแลนด์) จำกัด นอกจากนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ยังเปิดตัวร้านโมเดลใหม่ ในชื่อ “food zone” ข้างอาคารแสงโสม สำนักงานใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นพื้นที่สแตนด์อะโลน โรดไซด์ จำนวน 4 แบรนด์ อาทิ เคเอฟซี, คาคาชิ, โซอาเซียน คาเฟ่ และเอ็มเอ็กซ์ เค้ก แอนด์ เบเกอรี่ โดยรายได้จากธุรกิจอาหารในปีที่ผ่านมาของไทยเบฟ เติบโตขึ้น 96.8% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 6% ของรายได้ทั้งหมด 2.3 แสนล้านบาท โดยการเติบโตหลัก ๆ มาจากการซื้อกิจการแฟรนไชส์เคเอฟซีในประเทศไทย 240 สาขา ตลอดจนการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา จากปี 2560 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหาร ประมาณ 7.6 พันล้านบาท คิดเป็น 4% ของรายได้ทั้งหมด 1.9 แสนล้านบาท ธุรกิจอาหารเครือไทยเบฟในปัจจุบัน สำหรับธุรกิจอาหารในเครือไทยเบฟ ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจอาหารของโออิชิ แบ่งเป็น ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นกว่า 250 สาขา ได้แก่ โออิชิ แกรนด์, ชาบูชิ, โออิชิ อีทเทอเรียม, โออิชิ บุฟเฟต์, นิกุยะ, โออิชิ ราเมน, คาคาชิ และอาหารพร้อมปรุงและพร้อมทาน 2.กลุ่มธุรกิจร้านอาหารของฟู้ดออฟเอเชีย แบ่งเป็น ร้านภายใต้แบรนด์ของตัวเอง อาทิ ฟู้ด สตรีท, โซ อาเซียน คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอร์รองท์, ไฮด์ แอนด์ ซีค, หม่านฟู่ หยวน, บ้านสุริยาศัย ร้านที่เป็นการร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ อาทิ เอ็มเอ็กซ์ เค้ก แอนด์ เบเกอรี่, คาเฟ่ ชิลลี่, พอท มินิสทรี, เสื้อใต้ และอีท พอท และร้านที่เป็นแฟรนไชซี ได้แก่ เคเอฟซี ทั้งนี้ ไทบเบฟฯ มีเป้าหมายที่จะผลักดันธุรกิจฟู้ดแอนด์เบฟเวอเรจ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะเข้ามาเสริมทัพกลุ่มเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ ให้เติบโตตามวิสัยทัศน์ 2020 ที่วางเอาไว้ คือ มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นสัดส่วน 50% ของพอร์ตผ่านกลยุทธ์ความหลากหลาย โดยร้านอาหารของไทยเบฟจะครอบคลุมตั้งแต่สตรีตฟู้ด ไปจนถึงไฟน์ไดนิ่ง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายการลงทุนในธุรกิจ ฟู้ด แอนด์ เบเวอเรจ ที่เป็นน็อนแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายสาขาและพัฒนาร้านในโมเดลต่าง ๆ รวมถึงการสร้างแบรนด์ใหม่ การร่วมทุน และการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ทั้งในและต่างประเทศ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-330368

จำนวนผู้อ่าน: 2326

25 พฤษภาคม 2019

หอการค้าโคราชดันตั้ง “สายการบินนครราชสีมา” แฮปปี้แอร์ชงชาวโคราชลงขัน-มาเลย์แอร์ไลน์ร่วมทุน

หอการค้าผนึกหลายองค์กรรัฐ-เอกชนเด้งรับไอเดีย “บริษัทแฮปปี้แอร์ฯ” ดันจัดตั้ง “บริษัท สายการบินจังหวัดนครราชสีมา” ดึงชาวโคราชลงขันถือหุ้น 20% ขายหุ้น 100 บาท ระดมทุน 200 ล้านบาท พร้อมดึง “สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์” สายการบินแห่งชาติมาเลเซีย ถือหุ้น 40% เพื่อนำเครื่องบินมาเปิดให้บริการ คาดทุกอย่างเป็นไปตามแผนเริ่มเปิดให้บริการได้ปลายปี 2563 นายชัชวาล วงศ์จร ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการเชิญตัวแทนจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา ชมรมธนาคารจังหวัดนครราชสีมา สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา ท่าอากาศยานจังหวัดนครราชสีมา รวมถึงตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน บริษัทนำเที่ยวในพื้นที่นครชัยบุรินทร์หลายราย และนักวิชาการจากสถาบันการศึกษามาร่วมประชุมเพื่อหารือทิศทางความเป็นไปได้ในการลงทุนเปิดสายการบินในจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับ นายเสนาะ สนธิพันธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แฮปปี้แอร์ ทราเวิลเลอร์ส จำกัด จากการหารือที่ประชุมได้มีมติร่วมกันว่า ทุกฝ่ายมีความต้องการให้มีสายการบินมาเปิดบริการ และพร้อมที่จะร่วมกันพัฒนาท่าอากาศยานนครราชสีมาเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ทั้งนี้ ทางบริษัทแฮปปี้แอร์ฯได้มีการเสนอแนวคิดให้ร่วมกันลงทุนจัดตั้งบริษัทสายการบินของจังหวัดนครราชสีมาขึ้นมาเอง ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้นประมาณ 200 ล้านบาท คิดเป็น 2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 100 บาท โดยแบ่งการถือหุ้นออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.ผู้ก่อตั้งบริษัท แฮปปี้แอร์ ทราเวิลเลอร์ส จำกัด ถือหุ้น 20% 2.สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ซึ่งจะนำเครื่องบินมาเปิดให้บริการ ถือหุ้น 40% และ 3.ประชาชนในจังหวัดนครราชสีมาถือหุ้นร่วมกัน 40% โดยทุกคนสามารถซื้อหุ้นลงทุนได้ในราคาหุ้นละ 100 บาท “จากการหารือในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จังหวัดนครราชสีมาจะมีสายการบินมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ทุกฝ่ายจะร่วมมือผลักดันและช่วยเหลือให้สายการบินสามารถอยู่รอดได้ แม้ที่ผ่านมาจะยังมีปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้าง ซึ่งจะต้องมาพูดคุยและแก้ไขร่วมกัน ให้มีสายการบินเปิดให้บริการ เพื่อให้เศรษฐกิจของโคราชมีความเติบโต อนาคตจะเป็นฮับทางการบินของภูมิภาคต่อไป” ชัชวาล วงศ์จร นายชัชวาลกล่าวต่อไปว่า กรณีที่สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัทสายการบินของจังหวัดนครราชสีมาด้วยนั้น เป็นผลสืบเนื่องจากทางบริษัท แฮปปี้แอร์ ทราเวิลเลอร์ส จำกัด ได้เคยเข้าไปเจรจาเสนอแนวคิดไว้ และทางการสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์มีความสนใจที่จะเข้ามาทำการบินในจังหวัดนครราชสีมา ดังนั้นในเร็ว ๆ นี้ จะร่วมกันลงนามทำหนังสือเพื่อแสดงเจตนารมณ์ไปยังสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ โดยการประสานงานของบริษัทแฮปปี้แอร์ฯ เพื่อเสนอให้สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์นำเครื่องบินมาเปิดทำการบินในจังหวัดนครราชสีมา ทั้งนี้ ทางหอการค้าฯจะนำเรื่องเข้าเสนอต่อนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เพื่อหารือแนวทางการผลักดันการเปิดสายการบินในจังหวัดนครราชสีมาต่อไปในเร็ว ๆ นี้ ส่วนเรื่องรูปแบบการลงทุน ชื่อสายการบิน เส้นทางการบิน ราคาที่นั่งจะต้องทำการศึกษา และพิจารณารายละเอียดต่อไป โดยคาดว่าจะมีการประชุมหารือเรื่องนี้ร่วมกันอีกครั้งภายในเดือนนี้ แหล่งข่าวจากจังหวัดนครราชสีมาเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ที่ผ่านมาในอดีตมีสายการบินหลายแห่งเคยมาเปิดให้บริการที่สนามบินจังหวัดนครราชสีมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ดังนั้น บริษัทแฮปปี้แอร์ฯจึงได้มาเสนอแนวคิดที่จะให้ทางจังหวัดทำการจัดตั้งบริษัทสายการบินของจังหวัดขึ้นมาเอง เพื่อจะได้ช่วยกันผลักดันในการใช้บริการ และหาลูกค้ามาใช้บริการ เพื่อให้มีจุดคุ้มทุนในการเปิดให้บริการ พร้อมกันนี้ ทางบริษัทแฮปปี้แอร์ฯได้จัดทำแผนธุรกิจมาเบื้องต้น โดยเสนอว่าได้ไปเจรจากับสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศมาเลเซียไว้แล้ว โดยจะให้นำเครื่องบินโบอิ้ง รุ่น 737-800 จำนวน 3 ลำ ทยอยนำเข้ามาให้บริการในช่วง 1-2 ปีแรก ส่วนการจำหน่ายบัตรโดยสารนั้นจะเน้นในรูปแบบ block seat หรือเหมาลำ โดยให้บริษัทตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสาร และบริษัทนำเที่ยว รวมถึงหน่วยงานภาครัฐในจังหวัด และจังหวัดข้างเคียงเป็นผู้รับช่วงไปดำเนินการ ใช้ระบบจำหน่ายแบบออนไลน์ สามารถจองตั๋วพร้อมชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า แผนของบริษัทแฮปปี้แอร์ฯได้เสนอเส้นทางการบินที่คาดว่าจะมีศักยภาพในการเช่าเหมาลำทั้งเส้นทางระหว่างจังหวัดไปยังเมืองหลัก และเมืองรอง เช่น 1.โคราช-เชียงใหม่-โคราช 2.โคราช-กระบี่-โคราช 3.โคราช-สุราษฎร์ธานี-โคราช 4.โคราช-อู่ตะเภา-โคราช 5.โคราช-น่าน-โคราช 6.โคราช-ดานัง-โคราช เป็นต้น ในราคา 1,600-2,600 บาทต่อเที่ยว รวมถึงเสนอเส้นทางบินเชื่อมไปยังสนามบินนานาชาติ ระหว่างสนามบินนครราชสีมาไปยังเมืองสำคัญของประเทศต่าง ๆ เช่น เวียงจันทน์, เสียมราฐ, กัวลาลัมเปอร์, ไทเป, ฮานอย, มาเก๊า, มะนิลา, ฟูกูโอกะ, หลวงพระบาง, หนานหนิง เป็นต้น ในราคา 2,000-3,000 บาทต่อเที่ยว ทั้งนี้ หากแผนที่นำเสนอเป็นไปตามที่วางแผนไว้ คาดว่าจะสามารถเริ่มทำการบินได้ภายในช่วงปลายปี 2563 อนึ่ง บริษัท แฮปปี้แอร์ ทราเวิลเลอร์ส จำกัด ผู้ประกอบการสัญชาติไทย จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2552 ด้วยทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ จ.ภูเก็ต เริ่มทำการบินในเส้นทางภูเก็ต-หาดใหญ่ และภูเก็ต-ลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ทำการบินแบบไม่ประจำ ด้วยอากาศยานของบริษัท SAAB รุ่น 340A จำนวน 1 ลำ ต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม 2553 ได้เพิ่มทุนเป็น 200 ล้านบาท เพื่อดำเนินการขอใบอนุญาตเดินอากาศแบบประจำเพิ่มอากาศยานอีก 2 ลำ โดยย้ายสำนักงานใหญ่มาที่ กทม. โดยใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นฐานปฏิบัติการ และเพิ่มเส้นทางบินในเดือนสิงหาคม 2553 บินประจำจากสุวรรณภูมิ-น่าน เลย แม่สอด ระนอง ภูเก็ต หาดใหญ่ นครราชสีมา และเชียงใหม่ และแบบไม่ประจำเป็นครั้งคราวในเส้นทางอู่ตะเภา หัวหิน เวียงจันทน์ หลวงพระบาง ย่างกุ้ง และพนมเปญ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-330280

จำนวนผู้อ่าน: 2011

25 พฤษภาคม 2019

ธุรกิจไทยแห่ดึงมือดีต่างชาติ กสิกรจ้างไอทีเวียดนาม800คน

บริษัทไทยแห่จ้างแรงงานฝีมือต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มไอที เผยเมืองไทยขาดแคลนทาเลนต์ “กสิกรไทย” จ้างโปรแกรมเมอร์เวียดนาม 800 คน “อิตัลไทย” ดึงทีมวิศวกรจาก “ฟิลิปปินส์-อินเดีย” เสริมทัพ ยันค่าจ้างไม่ได้สูงกว่าคนไทย เผยตัวเลขจ้างแรงงานฝีมือต่างชาติ ล่าสุดกว่า 1.6 แสนคน “ญี่ปุ่น-จีน” แชมป์    แรงงานต่างชาติทะลุ 1.6 แสนคน ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ปัจจุบันพบว่าบริษัทเอกชนไทยขนาดกลาง-ใหญ่มีการจ้างแรงงานฝีมือชาวต่างชาติเข้ามาทำงานมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะการศึกษาในประเทศยังไม่สามารถผลิตบุคลากร-แรงงานเฉพาะด้านได้ทันกับความต้องการ โดยข้อมูลของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ระบุว่าแรงงานต่างชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานในประเทศไทย ประเภทแรงงานฝีมือ (skill labor) ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2562 มีทั้งหมด 162,228 คนแบ่งเป็นแรงงานที่เข้ามาปฏิบัติงานในกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จำนวน 44,824 คน และแรงงานฝีมือทั่วไป ตามมาตรา 59 ที่เป็นทั้งนักลงทุน, ช่างฝีมือ และผู้ชำนาญการ 117,404 คน ทั้งนี้ตำแหน่งงานที่เข้ามาทำงานในกิจการที่ได้ BOI มากที่สุดคือ ผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ รองลงไปคือ ช่างเทคนิค, กรรมการผู้จัดการ/ผู้บริหารระดับสูง, สถาปนิก/วิศวกร และผู้จัดการฝ่ายผลิตและผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ ตามลำดับ ส่วนตำแหน่งงานตาม ม.59 มากที่สุดคือ ผู้จัดการฝ่ายอื่น ๆ รองลงมา ผู้ประกอบอาชีพด้านการสอน, กรรมการผู้จัดการ/ผู้บริหารระดับสูง, ผู้ประกอบวิชาชีพด้านธุรกิจ และผู้จัดการฝ่ายผลิตและฝ่ายปฏิบัติการ ตามลำดับ โดยพบว่าจำนวนแรงงานฝีมือ มาจากประเทศญี่ปุ่นมากสุด 34,133 คน รองลงมา ได้แก่ จีน 26,706 คน, ฟิลิปปินส์ 18,929 คน, อินเดีย 14,836 คน, อังกฤษ 10,660 คน และสหรัฐอเมริกา 7,385 คน อิตัลไทยจ้าง “ปินส์-อินเดีย” นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กร รวมถึงปรับแนวคิดและวิธีการทำงานเพื่อให้อิตัลไทยเป็นบริษัทคนไทยที่มีระบบการบริหารจัดการที่สามารถแข่งขันในระดับอินเตอร์ได้ หนึ่งในนโยบายสำคัญคือ การดึงชาวต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วมงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีชาวต่างชาติเข้ามาร่วมงานแล้วในหลาย ๆ ส่วน โดยเฉพาะในบริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด (ITE) มีพนักงานต่างชาติประมาณ 5% มีการจ้างงานชาวฟิลิปปินส์, อินเดีย เข้ามาทำงานในระดับเอ็นจิเนียร์ รวมทั้งชาวจีนที่เข้ามาดูแลด้านจัดซื้อ และมีเป้าหมายที่จะให้มีชาวต่างชาติลงในทุกฟังก์ชั่น “เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มที่พร้อมทำงานหนัก ไม่มีการเมืองในบริษัท อัตราค่าจ้างก็ไม่ได้สูงกว่าคนไทย ขณะที่คนไทยเริ่มไม่ค่อยมีแรงกระตุ้น บวกกับระบบการศึกษาของไทยสร้างคนในระดับนี้ไม่ทัน” KBTG ดึงไอทีเวียดนาม  นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ในเครือธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในส่วนของ KBTG ปัจจุบันมีพนักงานราว 1,200 คน ประมาณ 800 คน เป็นการจ้างงานเอาต์ซอร์ซต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนามที่เข้ามาเป็นโปรแกรมเมอร์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ในแง่คุณภาพงานมองว่าอาจจะยังไม่ได้มาตรฐานมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับการทำงานของไทย ทั้งยังมีข้อจำกัดในการสื่อสาร แต่เนื่องจากเมืองไทยขาดแคลนบุคลากรด้านไอทีค่อนข้างมาก ทำให้จำเป็นต้องอาศัยแรงงานต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันยังมีความต้องการเพิ่มอีกราว 300 คน ขณะที่นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบริหารและพัฒนาศักยภาพองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาต่างชาติเข้ามาช่วยวางแผนและพัฒนาระบบสารสนเทศภายในองค์กร แต่ไม่ได้รับเข้ามาทำงานแบบเต็มเวลา แม้ว่าระบบไอทีจะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่บางจากก็ส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาทักษะของตัวเองด้วยโปรแกรมต่าง ๆ เมืองไทยขาดแคลน “ทาเลนต์” ด้านนายบวรนันท์ ทองกัลยา นายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แรงงานในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่บริษัทไทยนำเข้าแรงงานจากต่างชาติเข้ามาทำงานมากขึ้น เนื่องจากบุคลากรที่เป็น tal-ent technology ของไทยมีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับต่างประเทศ รวมถึงสถาบันการศึกษาไม่สามารถผลิตบัณฑิตได้ทันความต้องการ “ปัจจุบันองค์กรธุรกิจไทยกำลังปรับตัวในเรื่องการทรานส์ฟอร์เมชั่น เพื่อรองรับการเปลี่ยนไปของเทคโนโลยี ทำให้การทำงานด้วยทักษะแบบเดิมไม่สามารถตอบสนองได้ จึงต้องมีการสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เข้ามาเสริมแกร่งในองค์กร และด้วยตลาดแรงงานในประเทศผลิตคนในด้านเทคโนโลยีไม่ทัน จึงต้องมีการจ้างคนจากต่างประเทศเข้ามา” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-330310

จำนวนผู้อ่าน: 1848

25 พฤษภาคม 2019

ชงตั้งบอร์ด “คุ้มครองข้อมูล” “ดีอี” ผุดสำนักงานใหม่เร่งคลอดกม.ลูก

“ดีอี” จัดทัพเตรียมรับ “พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูล” ทันทีที่ประกาศใช้ ลุยยกร่างหลักเกณฑ์สรรหาบอร์ด-ตั้งสำนักงานใหม่ 180 วันเดินหน้าได้ เล็งรับพนักงานไม่ต่ำกว่า 100 อัตรา มั่นใจ 1 ปี คลอดกฎหมายลูกยกระดับมาตรฐานคุ้มครองข้อมูลประชาชน นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในระหว่างรอราชกิจจานุเบกษาประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้ลงมติเห็นชอบแล้ว กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการประชุมเตรียมความพร้อมดำเนินการตามกรอบกฎหมายฉบับนี้แล้ว โดยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธชัย ปลัดกระทรวง ได้มอบหมายให้รองปลัด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน “เมื่อประกาศใช้แล้ว พ.ร.บ.นี้จะแบ่งการบังคับใช้ออกเป็น 2 ระยะ คือ ในส่วนคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และสำนักงานคณะกรรมการจะบังคับใช้ทันที แต่ส่วนของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้เวลาเตรียมตัว 1 ปี ซึ่งจำเป็นต้องออกฎหมายลูกอีกหลายฉบับมาก เพื่อให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่วางไว้ ทุกอย่างจึงต้องรีบเตรียมการไว้ก่อน เพื่อให้เมื่อ พ.ร.บ.ลงประกาศในราชกิจจาฯ งานทุกด้านก็พร้อมเดินหน้าได้ทันที” สรรหาบอร์ดภายใน 90 วัน ตาม พ.ร.บ.นี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 1 คณะ ตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และบอร์ดที่จะมากำกับดูแลสำนักงานอีก 1 คณะ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายและบังคับใช้กฎหมายนี้ โดยภายใน 90 วันนับแต่ พ.ร.บ. ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาจะมีการตั้งบอร์ดให้เรียบร้อย โดยคณะทำงานได้เตรียมร่างประกาศที่เกี่ยวข้องกับการสรรหาประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 6 คน เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา รวมถึงได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อแต่งตั้งกรรมการสรรหาบอร์ด ที่มาจากแต่ละหน่วยงาน ทำหนังสือถึงกรมบัญชีกลางเพื่อทำความตกลงเกี่ยวกับเบี้ยประชุมของคณะกรรมการสรรหาฯ บรรจุ พนง.กว่าร้อยตำแหน่ง  ทั้งยังได้เตรียมการการออกกฎหมายลำดับรองเกี่ยวกับระเบียบงานด้านการเงิน ธุรการ บุคลากร ที่จะรองรับการปฏิบัติงานของบอร์ดและอนุกรรมการ รวมถึงที่ปรึกษาของบอร์ดชุดใหญ่ที่จะต้องตั้งขึ้นตามกรอบของกฎหมาย ทั้งปรึกษากับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสำนักงบประมาณ เพื่อร่วมกันวางกรอบโครงสร้างองค์กร และอัตรากำลังของสำนักงานคุ้มครองข้อมูลฯ ที่จะต้องตั้งขึ้น รวมถึงการขอทุนประเดิมและสถานที่ตั้งของสำนักงาน ซึ่งต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 180 วัน โดยคาดว่าจะใช้พื้นที่สำนักงานเดิมของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ที่ตั้งอยู่ ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เช่นเดียวกับกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการฯ และการสรรหา-แต่งตั้งเลขาธิการสำนักงาน รวมถึงการคัดเลือกข้าราชการ หรือยืมตัวเพื่อบรรจุเข้าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานฯ ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องการอัตรากำลังไม่ต่ำกว่า 100 คน ส่วนเลขาธิการสำนักงานฯ จะแต่งตั้งให้ทันภายใน 1 ปี เร่งออก กม.ลูกให้ทัน 1 ปี ขณะที่แนวทางปฏิบัติที่แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ (Guideline) กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมการ และจะเริ่มทยอยให้บอร์ดพิจารณาให้เสร็จทั้งหมดภายใน 1 ปี “พ.ร.บ.จะเป็นแค่กรอบใหญ่ แต่แนวปฏิบัติแต่ละหน่วยงานจะต้องมีมาตรฐานในการเก็บ-ใช้-เปิดเผยข้อมูลอย่างไรบ้าง ซึ่งจะต้องแตกต่างกันในแต่ละหน่วยงาน จะอยู่ในกฎหมายลูกที่ต้องออกมาทั้งหมด รวมถึงกระบวนการในการรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่เป็นเจ้าของข้อมูลต่าง ๆ ด้วย เพื่อให้ประเทศไทยมีมาตรฐานในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามมาตรฐานสากล” โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาเข้ามาให้ความเห็นและร่วมเป็นคณะทำงานยกร่างกฎหมายลูกด้วย เบื้องต้นจะแยกมาตรฐานเป็น 7 กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานตามที่ พ.ร.บ.ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กำหนดไว้ ได้แก่ ความมั่นคงของรัฐ บริการภาครัฐที่สำคัญ การเงินการธนาคาร ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม การขนส่งและโลจิสติกส์ พลังงานและสาธารณูปโภค สาธารณสุข “เก็บ-ใช้-เปิดเผย” ต้องยินยอม สาระสำคัญของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ คือ การเก็บรวบรวม การใช้ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน และสามารถถอนความยินยอมได้ในภายหลัง รวมถึงเจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้ลบหรือทำลาย เมื่อการเก็บ ใช้ เปิดเผย ทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเมื่อถอนความยินยอม ขณะที่ “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง บุคคล หรือนิติบุคคล ที่มีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน และต้องแจ้งวัตถุประสงค์รวมถึงปฏิบัติเท่าที่จำเป็นตามที่แจ้งไว้ รวมถึง “ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล” ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้นำข้อมูลไปประมวลผล ต้องมีกระบวนการดำเนินการตามมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่คณะกรรมการกำหนด และต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เจ้าของข้อมูลหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่า เกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดจากเจ้าของข้อมูลเอง หรือเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ ส่วนข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมไว้ก่อน พ.ร.บ.ใช้บังคับ จะต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่กฎกระทรวงกำหนด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-330400

จำนวนผู้อ่าน: 1915

25 พฤษภาคม 2019

“จีน-สหรัฐ” ไม่จบ! แลกหมัดกันคนละยก “Tech War” ยืดเยื้ออีกนาน

ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ที่นับวันยิ่งลุกลามกลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากที่เป็นเพียงสงครามการค้า ตอบโต้กันในเรื่อง “ภาษีศุลากากร” ระหว่าง 2 ประเทศ ปัจจุบันความปั่นป่วนได้กระจายลามไปยังอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระหว่างกันแล้ว โดยชนวนแผลใหญ่นี้มาจากภายหลังที่รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นบัญชีดำ “หัวเว่ย”บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยห้ามไม่ให้บริษัทเทคโนโลยีของจีนซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐ นอกจากนี้ ยังมีอีก 68 บริษัทจาก 20 ประเทศทั่วโลก ที่ตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกัน คือ ห้ามบริษัทอเมริกันทำการค้าขายด้วย โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลวอชิงตัน ขณะที่ในวันเดียวกัน มีเจ้าหน้าที่ของ “หัวเว่ย” ได้ออกมาตอบโต้สหรัฐ โดย “เซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์” ระบุคำกล่าวดังนี้ “หัวเว่ยมีพันธมิตรอื่นๆ อยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะกับประเทศที่ให้การสนับสนุนระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง “5G” ของหัวเว่ย ดังนั้น การดำเนินธุรกิจต่างๆ จะยังดำเนินไปเหมือนเดิม” ทั้งนี้ ทางการจีน ได้กล่าวเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่าการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ หากมีการจัดการเจรจาทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศขึ้นอีกครั้ง จะเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย ตราบใดที่วอชิงตันไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติต่อจีน REUTERS/Stringer และนับตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งทั่วโลกต่างร่วมใจกัน “แบน” การทำค้าขายกับหัวเว่ย ตามหลัง “กูเกิล” ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Intel, Qualcomm, Broadcom, Xilinx, Micron Technology, Western Digital ลามไปยัง Infineon Technologies ของเยอรมนี หรือแม้แต่ บริษัท ARM ผู้ออกแบบชิปเซตรายใหญ่ในสหราชอาณาจักร ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ให้บริการมือถือและอินเทอร์เน็ตชั้นนำหลายรายของญี่ปุ่น ได้ประกาศใช้มาตรการในลักษณะเดียวกัน ทั้งยังมีการสั่งชะลอการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่น “P30 Lite” จากเดิมที่มีกำหนดเปิดตัวในช่วงปลายเดือนพ.ค.นี้ และล่าสุด ในวันนี้ (23 พ.ค.) บริษัทพานาโซนิค ผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ประกาศระงับความสัมพันธ์กับหัวเว่ยและบริษัทอีก 68 แห่งที่อยู่ในคำสั่งห้ามของสหรัฐด้วย ทั้งนี้ รายงานข่าวของ “ซีเอ็นบีซี” ระบุว่า บริษัท LG Uplus Corp ของเกาหลีใต้ ซึ่งใช้อุปกรณ์หัวเว่ย ทีมฝ่ายผู้บริหารกำลังถูกรัฐบาลสหรัฐกดดันอย่างหนัก เรียกร้องให้ระงับคำสั่งซื้อและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ย ในฝั่งของจีนแม้ว่าที่ผ่านมาอาจจะยังไม่มีคำประกาศที่ชัดเจนว่าจะตอบโต้สหรัฐอย่างไร แต่คำยืนยันจาก “เหริน เจิ้งเฟย” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารหัวเว่ย ที่ให้สัมภาษณ์ว่า ข้อจำกัดที่สหรัฐตั้งขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของหัวเว่ยมากนัก แม้ว่าที่ผ่านมาหัวเว่ยยังพึ่งพาเทคโนโลยีชิปของสหรัฐในการผลิตอุปกรณ์ ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งหัวเว่ยซื้อจากสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เราพร้อมแล้วที่จะตั้งรับกับสหรัฐ ที่น่าสนใจอีกหนึ่งปรากฏการณ์ ก็คือ กระแส “รักชาติ” ของชาวจีนต่อกรณีหัวเว่ย ที่ประชาชนชาวจีนผู้ใช้โซเชียลมีเดียลุกฮือตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. ร่วมกันปลุกปั่นกระแส “บอยคอยแอปเปิล” ยักษ์ด้านโทรคมนาคมของสหรัฐ โดยส่วนใหญ่กล่าวโจมตีว่า สหรัฐ “กลั่นแกล้ง” จีนและหัวเว่ย ในฐานะผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวจีน ร่วมกันติดแฮชแท็กบน Weibo เว็บไซต์โซเชียลมีเดียยอดนิยมของชาวจีน โดยระบุสนับสนุน “หัวเว่ย” แทน “แอปเปิล” ขณะที่หลายคนพูดว่า “ตอนนี้พวกเขากำลังมองหาซื้อผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ย เพราะความสามารถอาจจะเทียบเคียงกัน หรือดีกว่าด้วยซ้ำไป” ส่วนชาวจีนที่ใช้แอปเปิลบางคน โพสต์ข้อความว่า “รู้สึกผิดที่ใช้แอปเปิล หากมีเงินจะเปลี่ยนมือถือทันที” กระแสต่างๆ เหล่านี้ ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ รวมถึง “โรด ฮอลล์” นักวิเคราะห์จาก โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ประเมินว่า ยอดจำหน่ายของแอปเปิลในตลาดจีนน่าจะได้รับผลกระทบในระยะสั้น โดยคาดว่า ผลประกอบการของแอปเปิล อาจลดลง 29% ภายใต้สถานการณ์การแบนสินค้าในจีน แม้แต่ รายงานที่ระบุว่า ซีรีย์ชื่อดัง “เกม ออฟ โธรนส์” (Game of Thrones) ตอนสุดท้าย ซึ่งฉายทาง HBO ไม่สามารถฉายในจีนได้ ซึ่งบริษัทอินเทอร์เน็ตเท็นเซ็นต์ เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ให้ฉายในจีน โดยออกมาแถลงเพียงว่า มีปัญหาทางเทคนิคจากเครื่องรับส่งสัญญาณ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชาวจีนบางส่วนพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์ว่ามีความเกี่ยวข้องกับ “สงครามการค้า” ว่าอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้ซีรีย์ดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ฉายในจีน ศึกระหว่าง 2 มหาอำนาจของโลกนี้ยังคงต้องติดตาม โดยหลังจากนี้คาดว่าน่าจะยังมีอีกหลายประเทศที่เป็นพันธมิตรทั้งกับฝั่งจีนและสหรัฐ อาจจะออกมาประกาศความเคลื่อนไหวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ สงครามนี้ที่ลุกลามมาสู่วงการเทคโนโลยีดูๆ แล้วน่าจะยังยืดเยื้ออีกนานกว่าจะจบ REUTERS/Damir Sagolj/File Photo ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-330247

จำนวนผู้อ่าน: 1940

25 พฤษภาคม 2019

ซีอีโอร่วม “ธงชัย-แฟรงค์” Game Changer โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์

สัมภาษณ์พิเศษ ออกไปท่องยุทธภพ 6 ปี “เสี่ยปี๊-ธงชัย บุศราพันธ์” คัมแบ็กกลับมาถือหุ้นใหญ่ 23.3% บริษัทมหาชน “โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์” องค์กรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่นั่งบริหาร 20 กว่าปีก่อนหน้านี้ การกลับมาครั้งนี้ นอกจากมีพันธมิตรผู้ถือหุ้นอย่างค่ายบีทีเอส โฮลดิ้งของตระกูลกาญจนพาสน์แล้ว ยังมีคีย์แมนจากทุนสิงคโปร์กลุ่มฟัลครัม โกลบอล “แฟรงค์ เหลียง” ผู้บริหารที่เข้าถือหุ้นใหญ่ปั๊บประกาศปันผลหุ้นละ 6.9 บาทจนทำให้ชื่อดังภายในข้ามคืน บริบทแรกคือการประกาศ 3 ปีตั้งเป้าโอน 30,000 ล้านบาท มุ่งสู่ย่างก้าวการเติบโตในท่วงทำนอง Game Change แผนธุรกิจรุก-รบของบริษัทประสบการณ์ 30 ปี Q : แนะนำผู้บริหารอีกสักครั้ง ธงชัย-คุณแฟรงค์เป็นเจ้าของฟัลครัม โกลบอล ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศ จีน ฮ่องกง อังกฤษ ญี่ปุ่น ซื้อห้องชุด ปาร์ก 24 เกือบ 500 ยูนิต ปีที่แล้วมีโอกาสได้มาลงทุนโนเบิลฯเสริมจุดแข็ง เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ทำตลาดต่างประเทศจริงจัง ช่วยให้บุกตลาดต่างชาติ ความสำคัญต่างชาติ ไม่ใช่เอาพร็อพเพอร์ตี้ไทยไปขายอย่างเดียว เรามีแผนลงทุนต่างประเทศ อาศัยความชำนาญของแฟรงค์นำอสังหาฯต่างเมืองมาขายคนไทย Q : กลยุทธ์การเงิน-การลงทุน ธงชัย-บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแรงมาก เอาสินทรัพย์ทุกอย่างมาหารด้วยจำนวนหุ้นได้ 40 บาท อีกตัวดูหนี้สินต่อทุน-ดีอี ไฮไลต์ หนี้สินทั้งหมดหารด้วยทุนอยู่ที่ 2.7 เท่า เมื่อดูหนี้มีดอกเบี้ย ดีอีอยู่ที่ 1.45 เท่า จึงถือว่ามีฐานะการเงินเข้มแข็งมาก ๆ ในขณะที่ยอดขายสินค้าสร้างเสร็จเป็นสต๊อกจำนวนหนึ่ง ตอนนี้กำลังสร้าง 7 โครงการ เช่น บี 19, บี 33, อารีย์ ฯลฯ ทำให้ยอดขายจาก 3,900 ล้าน เป็น 7,800 ล้าน โต 100% มีแบ็กล็อก 17,850 ล้าน ทำรายได้ใน 3 ปีหน้า ยาวถึงปี 2021 แบ่งเป็น 6,000 ล้านที่ยังไม่ได้ขาย ถ้าขายแล้วจะบันทึกรายได้และกลับเข้ามาทันที ไม่มีภาระผูกพันกับแบงก์ใด ๆ กลยุทธ์ทางการเงินจะทำให้เกิดผลตอบแทนรวดเร็ว และกระจายให้กับผู้ถือหุ้นด้วย Q : วางอนาคต 3 ปีหน้า ธงชัย-ผมมองว่าโนเบิลฯเป็นบริษัทที่…เป็นยักษ์หลับที่ไม่ได้ตื่น มีความพร้อมแต่ยังไม่ได้ทำใน 6 ปีที่ผ่านมา วันนี้เราเข้ามาพร้อมทีมงาน ตัวเลขสำคัญคือรีเทิร์นออนอีควิตี้ เราอาจทำแต่โครงการมีกำไรแต่ต้องขายเยอะ ๆ จึงจะ booth รายได้ ซึ่งแผนธุรกิจ 3 ปีเป้าหมายทำให้เป็นหมื่นล้าน นั่นคือเราต้องโตทุกปี ปีละ 100% ภายใน 3 ปีหน้าเราจะมียอดรายได้ 30,000 ล้าน (เฉลี่ยปีละหมื่นล้าน) แผนของเราคือขายมากขึ้น กำไรมากขึ้น กู้น้อยลง วิธีการต้องทำยังไง ผมมีแผนคร่าว ๆ 5-6 ข้อ 1.มีห้องชุดพร้อมอยู่จำนวนมาก เป็นข้อดี ต้องยกความดีนี้ผู้บริหารชุดเดิม เช่น โนเบิล เพลินจิต สมัยนั้นผมเป็นคนซื้อที่ดินวาละ 1.3 ล้าน ปัจจุบันกลับไปซื้อเทียบสถานทูตอังกฤษยังวาละ 2 ล้านเลย แต่วันนี้เราขายราคาต้นทุนเดิมอยู่เลย 1.4 แสน/ตร.ม. นั่นคืออะไรก็ตามที่ขายได้เกิน 1.4 แสนคือกำไรหมดเลย 2.วันนี้เรากำลังมองการขายแอสเสตคอมเมอร์เชียล หาผู้ลงทุนระยะยาว เราขายหุ้นให้บีทีเอสเขารับผลตอบแทนปีละ 6-7% เขาพอใจแล้ว ส่วนเราก็เอาเงินไปลงทุนผลตอบแทน 30-40% 3.กรุงเทพฯเปลี่ยนไปแล้ว 5 ปีที่แล้วไม่มีต่างชาติมาซื้อ แต่ตอนนี้ลูกค้าต่างชาติเป็นคีย์หลัก จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดนี้มากขึ้น 4.การบริหารความเสี่ยง กระจายการลงทุนมากขึ้น ไม่โฟกัสแค่คอนโดฯ เดิมทำปีละ 5 พันล้าน แต่ถ้าจะโตปีละหมื่นล้านต้องขยายการลงทุน โดย 7 โครงการยังดำเนินการอยู่ ทำให้จบเพื่อโชว์มาในสามปีจะมีรายรับเข้ามาแน่นอน 5.เรามีการขายที่ดินแปลงใหญ่ออกไป 2-3 แปลง มีกำไรเพราะตอนซื้อกับตอนขายมีส่วนต่างราคา Q : กลยุทธ์ระบายสต๊อก ธงชัย-โนเบิลฯ เพลินจิตแห่งเดียว 4 พันล้าน ที่เหลือรวมกัน 2 พันล้าน ขึ้นกับว่าเราจะเร่งขายขนาดไหน จะเร่งกระตุ้นยอดขาย, ทำเลรัชดาฯรวมกัน 600-700 ล้าน เป็นจุดทำเลที่ดีมาก ตลาดต่างชาติก็นิยม ต้นทุน 8 หมื่นกว่าแต่ขาย 1.5 แสน สำหรับพื้นที่รีเทลมีมูลค่ารวม 3,000 ล้าน ผลตอบแทนค่าเช่าอาจดีระดับที่คนอยากลงทุนระยะยาว แต่ในแง่เรา ถ้าขายได้เงินก้อนสามพันล้านเรามองผลตอบแทน 25-30% เพราะฉะนั้นส่วนต่างผลตอบแทนมันไม่เมกเซนส์สำหรับเราที่จะถือแอสเสตนี้อยู่ Q : พอร์ตลูกค้าต่างชาติ แฟรงค์-ผลสำรวจลูกค้าประเทศจีน 4 ปีย้อนหลัง คนจีนแผ่นดินใหญ่เคยเลือกซื้ออสังหาฯ ไทยอันดับ 6 ปัจจุบันมาอยู่อันดับ 1 เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา กำลังมองไทยหรือกรุงเทพฯ ไม่ใช่ทำสินค้าขายคนไทยอย่างเดียว แต่พอมีโอเวอร์ซีบายเออร์ ทำให้ตลาดมีโอกาสมหาศาล มีคนซื้อมากขึ้น ธงชัย-ผมเคยคุยกับแฟรงค์ก่อนหน้านี้ ตอนซื้อปาร์ก 24 เกือบ 500 ยูนิต ขายคนจีนในเสิ่นเจิ้น กว่างโจว เริ่มจากเอาไปขาย 4 เมืองแรก จน 2 ปีที่แล้ว (2560-2561) มีคนสนใจมากขึ้น เราขาย 20 เมือง กำลังซื้อเมืองเฟิรสต์เทียร์ 30 ล้านคน/ปี ใหญ่สองเท่าของกรุงเทพฯ เมืองรอง second tier city อย่างเฉิงตู ฉงชิ่ง เป็นเมืองที่ขายอสังหาฯในกรุงเทพฯ ได้ง่ายมาก ประชากร 15-20 ล้านคน/ปี เปรียบเทียบคือทำไมไม้จิ้มฟันขายคนจีนก็รวย ไซซ์มาร์เก็ตใหญ่มโหฬาร นี่คือจุดเริ่มต้น ถ้าเราเกาะตลาดนี้ดี ๆ เรามีโอกาสมหาศาลในการขายพร็อพเพอร์ตี้ และก็คุยกันว่าไม่จำเป็นต้องทำในเมืองไทย เราสามารถลงทุนในต่างประเทศแล้วขายลูกค้าต่างประเทศ สัดส่วนลูกค้าต่างชาติแต่ก่อนไม่ถึง 5% แฟรงค์มาเพิ่มเป็น 23% ปี 2019 แค่ 3 เดือนขายแล้ว 62% ของ 2.6 พันล้าน ปีนี้อาจขายลูกค้าต่างชาติได้ 7-8 พันล้าน เป็นไปได้ นี่คือจุดโชว์แข็งแกร่งของโอเปอเรชั่นใหม่ของเรา Q : การเลือกทำเลแข่งขัน ธงชัย-จุดเด่นเราทำโครงการจะมี 90% อยู่แนวรถไฟฟ้าตลอด ทำเลที่ทำซ้ำ ๆ มาร์เก็ตแข็งแรงสำหรับเรา โนเบิลฯ แบรนด์ไฮเอนด์อยู่แล้ว ลูกค้าเข้าใจ สิ่งเกิดขึ้นคือมีที่ดินน้อยมากให้เราซื้อ แต่ละปีแข่งกันซื้อ 1-2 แปลง ทำให้ไซซ์ของยอดขายแต่ละปีน้อยเกินไป วันนี้เราจะขยายให้ใหญ่ขึ้น ต้องไปตามสถานีรถไฟฟ้าต่าง ๆ ต้องแตกต่างจากเดิม เซ็กเมนต์ราคา 1-1.5 แสน/ตร.ม. ลงทุนเพิ่ม ตอนนี้มีโครงการที่ 2-3-4 ตามมา จะทำให้เรามีฐานตลาดกว้างขึ้น แต่ก่อนเข้าใจว่าต่างชาติซื้อเฉพาะย่านซีบีดี แต่วันนี้แฟรงค์พิสูจน์ให้เห็นว่านอกซีบีดีก็ซื้อ โดยเฉพาะจีน เขาเข้าใจว่าประเทศของเขามีวงเวียนการเจริญเติบโต เช่น ปักกิ่ง กำลังจะมีถนนวงแหวนรอบที่ 8 ดังนั้น ถ้าจะให้ราคาแอสเสตเพิ่มขึ้นและได้ราคาที่ดีในตอนขายต่อ การซื้อ (ทำเล) ในวงแหวนกำไรน้อยกว่าซื้อนอกวงแหวน ดังนั้น ต่างชาติจึงเต็มใจออกไปซื้ออสังหาฯ รอบนอกวงแหวน ในแง่โปรดักต์มิกซ์ เราทำแล้ว 2 โครงการ กำลังจะทำโครงการที่ 3 เปิดตัว 1-1.5 แสน ห้องละ 4-5 ล้านบาท ทั้งหมดนี้นำมาสู่บทสรุป แผน 3 ปีหมื่นล้าน น่าจะเป็นไปได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-328895

จำนวนผู้อ่าน: 1888

21 พฤษภาคม 2019

สงครามการค้าระอุ-การเมืองไม่ชัด นักวิเคราะห์แนะนำลดน้ำหนักลงทุน

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ นักกลยุทธ์การลงทุนอิสระ เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 21 พ.ค.62 คาดว่าตลาดจะไม่สามารถปรับขึ้นได้แม้มีกระแสข่าวดีหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งห้ามธุรกิจสหรัฐร่วมงานกับบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (แบนหัวเว่ย) เป็นการชั่วคราว เนื่องจากลักษณะนโยบายในตอนนี้เป็นการออกนโยบายตอบโต้กันแบบวันต่อวัน ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังมีความไม่ชัดเจนในการเปิดประชุมสภา เนื่องจากบางพรรคการเมือง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ที่ตัดสินใจไม่ร่วมรัฐบาล และพรรคภูมิใจไทยที่ยังไม่แสดงจุดยืนว่าจะร่วมรัฐบาลหรือไม่ ทำให้การเมืองในประเทศยังมีความไม่แน่นอน ดังนั้น เมื่อปัจจัยนอกและในประเทศยังมีแต่ความไม่แน่นอนนั้น จึงคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) จะซึมลงต่อ โดยประเมินกรอบแนวรับไว้ที่ 1,580 จุด และแนวต้านที่ 1,615 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ “ลดน้ำหนัก” การลงทุนก่อนในช่วงนี้ และหากดัชนีสามารถปรับขึ้นแนะนำให้ขายทำกำไรออกมา เนื่องจากยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนที่กดดันตลาดหุ้นอยู่ในตอนนี้ จึงคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะยังขายออกเช่นกัน ขอบคุณข้อมูลข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-328899

จำนวนผู้อ่าน: 1784

21 พฤษภาคม 2019

โจทย์ “ค้าปลีก” ยุคใหม่ ต้อง “ทรานส์ฟอร์ม” มัดใจ Gen Y

คอลัมน์ จับกระแสตลาด ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้บริโภคเจเนอเรชั่นวาย ที่อายุตั้งแต่ 25-34 ปี กลายเป็นกำลังซื้อหลักของหลาย ๆ อุตสาหกรรมในขณะนี้ โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ รสนิยม พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกระแสของการกินดื่มนอกบ้าน การมองหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ รวมถึงการเข้ามามีบทบาทมากขึ้นของดิจิทัลในชีวิตประจำวัน เราจึงเห็นภาพของการปรับตัวในธุรกิจค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเพิ่มแม็กเนตที่น่าสนใจ เช่น แบรนด์ หรือสินค้าที่กำลังเป็นกระแส การรีโนเวตพื้นที่ให้ดูทันสมัย น่าใช้บริการ ตลอดจนการสร้างแพลตฟอร์มการซื้อขายแบบออมนิแชนเนล เชื่อมต่อตัวสโตร์กับออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ “ภัทรพร เพ็ญประพัฒน์” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้ให้บริการร้านฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ เดลี่ ฯลฯ ฉายภาพที่เกิดขึ้นว่า ปัจจุบันผู้บริโภคยุคใหม่ หรือคนเจนวาย ต้องการหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตัวเองกันมากขึ้น ทำให้บริษัทต้องศึกษาและพัฒนาโมเดลใหม่ ๆ มารองรับอยู่ตลอด โดยจะขึ้นอยู่กับโปรไฟล์ของกลุ่มลูกค้าในแต่ละสาขา ทำให้บริษัทมีโมเดลของซูเปอร์มาร์เก็ตที่หลากหลาย เช่น ฟู้ด ฮอลล์ ก็จะจับกลุ่มพรีเมี่ยม ท็อปส์ เป็นกลุ่มที่รองลงมา เป็นต้น แม้กระทั่งในโมเดลเดียวกัน แต่หากเป็นคนละสาขา ก็จะมีรูปแบบของร้านหรือสินค้าที่แตกต่างกันออกไปอีก เพื่อให้ตรงกับความต้องการของทาร์เก็ตในแต่ละพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ล่าสุด ได้รีโนเวตเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าหลักมากกว่า 50% เป็นกลุ่มเจนวาย ให้เป็นพื้นที่ของ “ช็อปปิ้งแอนด์ไดนิ่งเดสติเนชั่น” เพิ่มพื้นที่ใหม่อย่างโซน “ไดนิ่ง” หรือการรับประทานอาหารแบบเคาน์เตอร์บาร์ โดยมีประเภทของอาหารให้เลือก 5 แบบ อาทิ เมดิเตอร์เรเนียนบาร์, โอเชียนบาร์, เดลี่บาร์, กริลบาร์ และเบเวอเรจบาร์ นอกจากนี้ ยังเปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกวัตถุดิบที่ขายภายในซูเปอร์มาร์เก็ต นำมาใช้เชฟปรุงอาหารได้ทันที โดยคิดราคาตามค่าวัตถุดิบ และค่าทำอาหารอีกประมาณ 100 บาท ทำให้อาหารของที่นี้มีราคาที่คุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับการไปรับประทานในร้านอาหารอื่น ๆ “ภัทรพร” ระบุว่า เทรนด์ของการมีพื้นที่ไดนิ่งอยู่ในฟู้ดสโตร์เป็นที่นิยมทั่วโลก โดยเฉพาะในต่างประเทศ เช่น ยุโรป และคาดว่าจะได้รับความนิยมในไทยมากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่นิยมทานอาหารนอกบ้านกันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า และความครบครัน มาที่เดียวสามารถได้ทั้งทานข้าว แฮงเอาต์ และซื้อของเข้าบ้านได้ จากสินค้าทั้งหมดกว่า 50,000 รายการ ทั้งผักผลไม้ สแน็ก ชีส เบเกอรี่ ของใช้ในบ้าน ฯลฯ รวมกว่า 17 แคทิกอรี่ โดยเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์มีทั้งหมด 6 สาขา มีสาขาที่มีพื้นที่ไดนิ่ง 4 สาขา อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์ ชิดลม เซ็นทรัล ฟอเรสต้า ภูเก็ต และเซ็นทรัลป่าตอง มีทรานแซ็กชั่นประมาณ 8,000 บิล/วัน เฉลี่ย 600 บาทต่อบิล แต่หากสาขาไหนมีไดนิ่งจะมีทรานแซ็กชั่นในกลุ่มนี้อยู่ที่ 2,000-3,000 บาทต่อบิล โมเดลนี้จึงจะเข้ามาผลักดันยอดขายของเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ในภาพรวมให้เติบโตขึ้นด้วย คาดว่าปีนี้จะสูงกว่าปีที่ผ่านมา 30% “แม้ว่าออนไลน์จะมีบทบาทมากขึ้นในธุรกิจค้าปลีก แต่สำหรับกลุ่มฟู้ด ยังมองว่าลูกค้าต้องการที่จะมาช็อปหรือรับประทานอาหารที่สโตร์อยู่ อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มบริษัทก็มีการผลักดันในช่องทางออนไลน์ควบคู่เช่นกัน” ด้านความเคลื่อนไหวของศูนย์การค้าเมกาบางนา ค้าปลีกอีกรายที่มีความเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน ล่าสุด ได้ปรับโฉมช่องทางดิจิทัลใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมากขึ้น “สิรินฉัตร แสงศรี” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกาบางนา ระบุถึงข้อมูลการตลาดพบว่า คนไทยโดยเฉลี่ยแล้วใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน (นับรวมทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) และส่วนใหญ่ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนถึง 71% โดยมากกว่า 80% ใช้สมาร์ทโฟนเพื่อดูรายการบันเทิงและหาข้อมูลต่าง ๆ และมากกว่า 59% ช็อปปิ้งผ่านทางมือถือเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ครบทุกไลฟ์สไตล์ จึงได้ทุ่มงบฯการตลาดกว่า 100 ล้านบาท กับกลยุทธ์ “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น” พัฒนาช่องทางดิจิทัลครบทุกแพลตฟอร์มตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ เทคโนโลยีทางการตลาดใหม่ ๆ สร้างอีโคซิสเต็ม เพื่อนำไปใช้ตั้งแต่โฆษณา สร้างเอ็นเกจเมนต์ เพิ่มศักยภาพในการสื่อสารกับลูกค้า พัฒนาการจัดเก็บฐานข้อมูลของลูกค้าให้มีศักยภาพ เพื่อวิเคราะห์และกำหนดกลยุทธ์ได้อย่างตรงจุด ตลอดจนพัฒนาเว็บไซต์ และเปิดตัวเมกาบางนาแอปพลิเคชั่น ให้ง่ายต่อการหาข้อมูล ตั้งแต่โปรโมชั่น แคมเปญส่งเสริมการขายต่าง ๆ และเชื่อมโยงกับร้านค้าในศูนย์ได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับลอยัลตี้โปรแกรม ให้สิทธิประโยชน์มากขึ้น ทั้งสะสมคะแนน แคมเปญพิเศษสำหรับสมาชิก ของรางวัลในเดือนเกิด รวมถึงแฟลชเซลหรือโปรโมชั่น ที่จะมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงลูกค้าให้มาใช้บริการภายในศูนย์มากขึ้น ตลอดจนรับมือกับการแข่งขันของค้าปลีกในย่านบางนาในช่วงต่อจากนี้ ในยุคที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คนที่ปรับตัวให้ทันเท่านั้นจึงจะอยู่รอด… ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-328839

จำนวนผู้อ่าน: 1872

21 พฤษภาคม 2019

อุ้มคนจนกู้บ้านดอกเบี้ยถูก ธนารักษ์ดึงออมสิน-ธอส.หนุน

ธนารักษ์ห่วงคนจนกู้ซื้อบ้านคนไทยประชารัฐไม่ผ่าน ดึงออมสินปล่อยซอฟต์โลนให้ดีเวลอปเปอร์ หนุนปล่อยกู้ต่อผู้ซื้อ ชูผ่อนดาวน์ 3 ปีก่อนโอนเข้าแบงก์ เผยยอดผู้ขอกู้ “ธอส.-ออมสิน” กว่า 2 พันราย ผ่านเบื้องต้น 180 ราย เป็นโครงการประจวบฯ นายอำนวย ปรีมนวงศ์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงความคืบหน้าโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ ว่า ขณะนี้กรมธนารักษ์ได้ลงนามกับผู้ลงทุนไปแล้ว 5 พื้นที่ที่เป็นโครงการนำร่อง ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงราย ขอนแก่น และเชียงใหม่ โดยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีการดำเนินการก่อสร้างแล้ว ส่วนที่อื่น ๆ อยู่ระหว่างขออนุมัติรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) รวมถึงออกแบบ ขณะที่การให้เงินกู้แก่ผู้ที่จองซื้อบ้านนั้น มีแนวคิดให้ธนาคารออมสินเข้ามาสนับสนุนเงินทุนอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน (ซอฟต์โลน) แก่ผู้ประกอบการ (ดีเวลอปเปอร์) ที่ลงทุนสร้างบ้านคนไทยประชารัฐ เพื่อให้ผู้ประกอบการปล่อยกู้แก่ผู้ซื้อเพื่อผ่อนดาวน์ก่อน 2-3 ปี จากนั้นจึงโอนมาเป็นลูกหนี้สถาบันการเงิน “ตอนนี้กังวลว่า ผู้กู้โดยเฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะกู้ไม่ผ่าน เนื่องจากเกณฑ์ ธปท. (ธนาคารแห่งประเทศไทย) กำหนดให้วางเงินดาวน์ (LTV) ที่เข้มขึ้น ดังนั้น หากให้ซอฟต์โลนผู้ประกอบการไปปล่อยกู้ลูกค้าก่อน เขาก็จะสามารถซื้อบ้านได้” นายอำนวยกล่าว นางสาวอมรรัตน์ กล่ำพลบ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กรมธนารักษ์ กล่าวว่า กรมธนารักษ์ได้ส่งรายชื่อผู้จองสิทธิบ้านคนไทยประชารัฐ ที่ต้องการขอกู้เงินจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ คือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน ไปให้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อแล้วจำนวนรวม 2,210 ราย ใน 4 โครงการด้วยกัน คือ บ้านคนไทยประชารัฐ จังหวัดชลบุรี 162 ราย เชียงใหม่ 1,645 ราย เชียงราย 223 ราย และประจวบคีรีขันธ์ 180 ราย “ในส่วนของประจวบฯ แบงก์พิจารณาคำขอสินเชื่อเบื้องต้นแล้ว 180 ราย โดยทุกรายผ่านการประเมินคุณสมบัติเบื้องต้น หรือ preapprove ไปแล้ว ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่แบงก์สามารถปล่อยกู้ซื้อบ้านในโครงการได้ ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มตามที่เราจัดลำดับไว้ คือ 1.ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ 2.ผู้มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือน” นางสาวอมรรัตน์กล่าว ทั้งนี้ หากมีผู้ที่กู้ไม่ผ่าน ทางกรมจะให้สิทธิแก่ผู้ประกอบการที่ทำโครงการตัดสินใจเอง ว่าจะรับผู้ที่กู้แบงก์ไม่ผ่านเป็นลูกค้าหรือไม่ ซึ่งอาจจะพิจารณาประเด็นอื่นประกอบ เช่น การเปลี่ยนไปกู้สหกรณ์ ยืมญาติ หรือมีช่องทางการเงินอื่น เพื่อนำมาใช้ซื้อบ้านก็ได้ เป็นต้น สำหรับโครงการ “บ้านคนไทยประชารัฐ” เน้นลูกค้าเป้าหมาย 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ที่ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2) ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อคนต่อเดือน และ 3) คนทั่วไป ให้ได้มีที่อยู่อาศัยของตนเองบนที่ดินราชพัสดุ โดยกรมธนารักษ์ได้กำหนดรูปแบบการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเป็นบ้านแฝด/บ้านแถว/อาคารชุดพักอาศัย มีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร ในระดับราคา 350,000-700,000 บาทต่อหน่วย รวมทั้งกำหนดให้มีการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางไม่เกิน 30% ของพื้นที่โครงการ เพื่อรองรับกิจกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น และ/หรือเป็นประโยชน์ต่อโครงการ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-328928

จำนวนผู้อ่าน: 1832

21 พฤษภาคม 2019

เปิดราคาประเมินที่ดินทั่วประเทศ ภาษีใหม่-LTV-กู้ไม่ผ่าน โจทย์ใหญ่ครึ่งปีหลัง

ผ่านมาเกือบครึ่งทางของปี 2562 “REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์” จัดบิ๊กอีเวนต์หัวข้อ “วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา-สระบุรี ปี 2562” ภายใต้สถานการณ์มาตรการ LTV-loan to value ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 บนความกังวลผลกระทบ LTV จะฉุดรั้งให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวแรง ล่าสุดดูเหมือนจะมีข่าวดีจากการปรับคาดการณ์ใหม่ที่มองผลกระทบไม่รุนแรงอย่างที่คิด REIC ปรับลดผลกระทบ LTV “ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์” ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลกระทบ LTV น้อยกว่าคาดการณ์เมื่อต้นปี โดยคาดว่าทำให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ติดลบเพียง -7% จากเดิมคาดการณ์จนถึงสิ้นปีตลาดอาจติดลบถึง -15% จากการสำรวจในช่วงครึ่งหลังปี 2561 มีหน่วยเหลือขาย 154,765 หน่วย หรือ 31.4% ของหน่วยในผังโครงการทั้งหมด เพิ่มขึ้น 8.5% โดยบ้านจัดสรรมีหน่วยเหลือขาย 86,113 หน่วย 41.6% เพิ่มขึ้น 7.1% อาคารชุดเหลือขาย 68,652 หน่วย คิดเป็น 24.1% เพิ่มขึ้น 10.3% เปิดโพยราคาประเมินที่ดิน อีกตัวแปรที่กระทบอสังหาฯคือ การนับถอยหลังไปสู่การบังคับใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กำหนดจัดเก็บจริง 1 มกราคม 2563 ทำให้ต้องเตรียมความพร้อมในการประเมินราคาที่ดินเพื่อรองรับการคำนวณภาษี บวกกับราคาประเมิน 4 ปี (2559-2562) จะหมดอายุลงในสิ้นปีนี้ “ฐณัญพงษ์ สุขสมศกดิ์” ผู้อำนวยการสำนักประเมินราคาทรัพย์สิน กรมธนารักษ์ ชี้แจงผลคืบหน้าการประเมินราคาทุนทรัพย์เพื่อรองรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สถานะปัจจุบันที่ดินเอกสารสิทธิ 32 ล้านแปลง ทำสำรวจระวางที่ดินเสร็จแล้ว 20 ล้านแปลง เหลือ 12 ล้านแปลงที่การทำงานสะสม 70% ภายในเดือนมิถุนายนนี้จะเสนอคณะกรรมการประเมินราคาที่ดินชุดใหญ่พิจารณา เพื่อผลักดันใช้บังคับโดยตั้งเป้าประกาศใช้รอบ 4 ปี (2563-2566) เฉลี่ยราคาประเมินที่ดินทั่วประเทศสูงขึ้น 11% โดยพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ราคาต่ำสุด-สูงสุดปรับขึ้น 0.25-7.07% ขณะที่เขตกรุงเทพฯ ปรับขึ้นเฉลึ่ยเพียง 2.75% เนื่องจากภาวะราคามีการถีบตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงหลายปี จี้รัฐปลดล็อกผู้กู้ร่วม-เครดิตบูโร งานสัมมนาเดียวกัน “วสันต์ เคียงศิริ” นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร มองภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ครึ่งปีแรก 2562 ตลาดรวมติดลบ -5% แบ่งเป็นแนวราบ -1% แนวสูง -11% ส่วนแนวโน้มสิ้นปีนี้ ภาพรวมการโอนติดลบ -17% เป็นแนวราบ -4% แนวสูง -17% สิ่งที่อยากให้รัฐบาลใหม่ทำคือปลดล็อกเครดิตบูโร เพราะแม้ชำระหนี้หมดแล้ว แต่รายชื่อยังถูกเก็บในบัญชีเครดิต 3 ปี ลดทอนความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อของผู้บริโภคนับแสนราย โดยอาจผ่อนปรนเกณฑ์เหลือ 1-2 ปี กับเรื่องปมผู้กู้ร่วมซึ่งติดร่างแหได้รับผลกระทบสำหรับลูกค้าเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้ออยู่อาศัยเอง แต่มีชื่อเป็นผู้กู้ร่วมให้กับญาติพี่น้อง เมื่อถึงเวลาอยากซื้อบ้านหลังแรกของตัวเอง แต่กลับถูกนับเป็นสัญญาที่ 2 ทำให้ต้องมีเงินดาวน์แพง 20% ปิดโอกาสในการซื้อบ้านเพราะพฤติกรรมคนไทยไม่มีนิสัยการออม ดังนั้น รัฐบาลควรพิจารณาดูแลผู้กู้ร่วมไม่ให้โดนผลกระทบหรือให้กระทบน้อยที่สุด “ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามา กว่าจะตั้งตัวได้ก็คงเข้าไปไตรมาส 3 แล้ว แต่ดีเวลอปเปอร์คงรอไม่ได้ สถานการณ์ตอนนี้ยอดปฏิเสธสินเชื่อจากเดิม 20% เพิ่มเป็น 30% ถือว่าสูง ส่วนหนึ่งอาจเพราะเป็นผู้กู้ร่วม” คอนโดฯสร้างเสร็จก่อนขาย “ธนากร ธนวริทธิ์” กรรมการบริหาร สมาคมอาคารชุดไทย มองลอดแว่นประเมินเทรนด์ตลาดคอนโดมิเนียมถึงผลกระทบ LTV อัพดีกรีแบบสุดขั้วไปเลยก็คือ โมเดลธุรกิจคอนโดฯต่อไปจะเหมือนกับการทำแนวราบ ต้องทำเป็นคอนโดฯสร้างเสร็จก่อนขาย โดยเฉพาะคอนโดฯโลว์ไรส์ เนื่องจากลูกค้าเจอเงินดาวน์ 20% เท่ากับผ่อน 20 เดือน แต่การก่อสร้างคอนโดฯแค่ 12 เดือน ถือว่าหนักมากสำหรับผู้ซื้อ “คอนโดฯเข้าสู่ยุคเรียลดีมานด์จริง ๆ แล้ว คงไม่สามารถขายใบจองได้เหมือนอดีต กับนักลงทุนที่หวังผลตอบแทนจากค่าเช่า หมายความว่าคนที่มีเงินพอสมควรมองที่ capital gain และ yield ซึ่งผมคิดว่ามีอีกกลุ่มหนึ่งคือคนรุ่นใหม่ที่รวยเร็ว ไม่อยากเก็บเงินสด อยากลงทุนซื้อคอนโดฯพรีเมี่ยมในเมือง” แนะจูงใจทำบ้านผู้มีรายได้น้อย และ “พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์” นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย หยิบประเด็นชวนคุยว่าด้วยนโยบายบ้านผู้มีรายได้น้อยผ่านสิทธิประโยชน์ BOI-สำนักงานส่งเสริมการลงทุน รัฐบาลใหม่ ควรสานต่อนโยบายที่ยังทำไม่จบ เนื่องจากสิทธิประโยชน์ BOI หมดไปในปี 2557 เนื่องจากไม่จูงใจผู้ประกอบการ “บ้านผู้มีรายได้น้อยถ้าหน่วยงาน BOI สนับสนุนด้วยการขยับเพดานราคาบ้านบีโอไอจากเดิมเพดาน 1 ล้าน เป็น 1.5 ล้านบาท จะเป็นแรงจูงใจให้ดีเวลอปเปอร์ออกมาทำมากขึ้นเพราะไม่ต้องจ่ายภาษี ผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์ด้วย น่าจะดันเรื่องบ้านราคาถูกมากขึ้น ด้วยวิถีทางต่าง ๆ ประเด็นคือการเคหะแห่งชาติหน่วยงานเดียวคงทำไม่ทัน ความต้องการจริงต้องสร้างปีละ 3-4 แสนหลัง แต่การเคหะฯก็สร้างได้เพียงหลักหมื่น” คาถาปรับตัวยุค LTV นายกบ้านจัดสรร “วสันต์ เคียงศิริ” ชี้เป้าเรื่องสำคัญที่สุด คือ สภาพคล่อง อย่าเปิดโครงการเกินตัว ถ้าจะเปิดก็ต้องเปิดโครงการที่ทำเงินมากกว่าใช้เงิน อีกอย่างคือทำตัวให้เบาไว้ รายเล็ก-กลางจะได้เปรียบรายใหญ่ในเรื่องความยืดหยุ่น ไม่จำเป็นต้องลงทุนเองทั้งหมด เพราะสามารถจ้างเหมาหรือเอาต์ซอร์ซได้ ตัดภาระลงทุนระยะยาวบางส่วน สอดคล้องกับ “ธนากร” สมาคมอาคารชุดไทย มองคาถาข้อได้เปรียบรายเล็ก คือ มีความคล่องตัว ไม่ต้องรีบร้อนในการตัดสินใจซื้อที่ดิน สำรวจตลาดให้ถี่ถ้วนว่าจะทำโปรดักต์แบบไหน โมเดลธุรกิจสำหรับลงทุนคอนโดฯ 1 โครงการ มีไม่เกิน 300 ยูนิตกำลังดี เพราะค่าส่วนกลางไม่แพงมาก แต่ถ้าทำใหญ่ไปตอนนี้มันก็จะหนัก แบงก์ค่อนข้างกังวล ในด้าน take up rate สัก 60% เราก็รอดแล้ว ดูเงินสด เจอที่ดินสวย ๆ ก็อดใจไว้หน่อย อย่าเพิ่งไปรีบวาง (เงินจอง) เพราะตอนนี้เจ้าใหญ่ (บิ๊กแบรนด์) หลายรายไม่ได้มาแล้วซื้อเลยทุกคน แต่ดูจนแน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อ และ “พี่ทุย-นริศ” นายกอสังหาริมทรัพย์ไทยแนะนำเป็นฉาก ๆ ว่า ให้รักษาสภาพคล่อง อย่าก่อหนี้เกินตัว ทำตัวเองให้เล็ก ถ้าอยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯก็อย่าไปรับพนักงานเยอะ ใช้เอาต์ซอร์ซเยอะ ๆ “เดี๋ยวนี้ mass media ที่เรายิงกันออกไปช่วงนี้ค่อนข้างน้อย ป้ายโฆษณาว่างหมด add ทีวีไม่มีอสังหาฯเลย หันไปใช้ออนไลน์หมดตอนนี้ซึ่งมันได้ผลมากกว่า เพราะฉะนั้น ต้องแม่นโปรดักต์และกลุ่มเป้าหมาย เลือกทำเลให้ดี” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-328657

จำนวนผู้อ่าน: 1874

21 พฤษภาคม 2019

เครดิตบูโรวัดไข้หนี้คนรุ่นใหม่ ติดบ่วง “บัตรรูด-ผ่อน0%-กู้รถ” โตไม่หยุด

“เครดิตบูโร” ชี้ปมหนี้ครัวเรือนพุ่ง เหตุคุมคนรุ่นใหม่ไม่ได้ผล ปมธุรกิจบัตรล็อกเป้าคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ยอมรับโปรฯ ผ่อนบัตรกดเงินสด 0% ทำคนติดกับดัก ฟาก TMB ระบุหนี้เสียรถน่าห่วง ระบุ ธปท.ออกเกณฑ์คุมสินเชื่อรถยนต์ทำยาก เหตุคุมค่ายรถไม่ได้ นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นขณะนี้ น่าเป็นห่วงในหลายประเด็น ทั้งการที่หนี้มีอัตราการเติบโตเร็วกว่า GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ขณะที่หนี้เช่าซื้อรถยนต์ มีการเติบโตขึ้นถึง 11% (เฉพาะข้อมูลเครดิตบูโร) ส่วนหนี้บ้านมีการเติบโต แต่เกิดจากการเร่งโอนก่อนมาตรการ LTV บังคับใช้ แต่ที่น่ากังวลมากคือ ปัญหาคนอายุน้อยเป็นหนี้เสียมาก ยังไม่ได้หายไป แม้ว่าช่วงปี 2560 จะมีมาตรการคุมบัตรเครดิตกับสินเชื่อส่วนบุคคล (พีโลน) ก็ตาม แต่ปัจจุบันสินเชื่อ 2 ประเภทนี้ก็กลับมาเติบโตเหมือนช่วงก่อนมีมาตรการคุมแล้ว “บัตรเครดิต วันนี้เขามุ่งไปหาลูกค้าที่อายุน้อย หรือผู้กู้หน้าใหม่ เพราะคนกู้เก่ามีบัตรอยู่แล้ว ซึ่งคนกู้หน้าใหม่ก็คือคนที่เริ่มมีงานทำ สมัยก่อนอาจจะต้องมีงานทำสัก 2 ปีก่อน แต่ตอนนี้ไม่ต้องรอขนาดนั้นแล้ว หรือมีงานทำแต่ไม่ใช่งานประจำก็มีบัตรแล้ว ส่วนบัตรกดเงินสดที่มักจะจัดโปรโมชั่น 0% ถือว่ามีผลต่อการสร้างหนี้ ทำให้คนตัดสินใจง่ายขึ้น แต่หากไปห้ามไม่ให้มีโปรฯนี้ คนที่เขาผ่อนได้ ก็เสียประโยชน์ อีกด้านหนึ่งก็มีคนที่ติดกับดัก ผ่อนไม่ได้ การจะไปคุมตรงนี้ก็เลยอีหลักอีเหลื่อ สิ่งที่ผมกังวลมากกว่าคือ ผู้กู้หน้าใหม่ไม่ยอมเรียนรู้ แล้วใช้ชีวิตโดยอ้างอิงชีวิตคนอื่นที่มีรายได้สูงกว่า หรือดูมีรายได้สูงกว่า แล้วมีบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์คนเหล่านี้” นายสุรพลกล่าว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือ คนที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย แต่รู้ตัวว่ากำลังจะเป็นหนี้เสีย เช่น เป็นหนี้บัตรเครดิต 3 ใบ บัตรกดเงินสดอีก 2 ใบ แล้วผ่อนชำระขั้นต่ำมาจนจะผ่อนไม่ไหวแล้ว ซึ่งคนเหล่านี้ยังไม่มีทางออก เพราะไม่สามารถเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ รวมถึงกลุ่มเกษตรกรอายุมากขึ้น แต่หนี้ไม่ได้ลดลง ซึ่งการจะชำระหนี้ได้ขึ้นกับราคาพืชผลการเกษตร ที่ไม่ได้ราคาดีทุกชนิดขณะเดียวกันหนี้ครัวเรือนปัจจุบัน ยังไม่นับรวมหนี้ กยศ. และยังมีหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ ที่เพิ่มขึ้นแตะ 2 ล้านล้านบาท มีการเติบโต 4% เริ่มโตช้าลง แต่ต้องดูว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดการกู้วนซ้ำไปแหล่งอื่นอีก “สุดท้าย ต้องคิดว่าการสร้างการเรียนรู้เรื่องวินัยการเงินอย่างได้ผลจะต้องทำอย่างไร เพราะคนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเข้าใจอยู่แล้ว” นายสุรพลกล่าว นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย (TMB Analytics) กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนที่เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นในส่วนของสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อบ้าน โดย ณ สิ้นไตรมาสแรกปีนี้ สินเชื่อบ้านมียอดคงค้าง 2.25 ล้านล้านบาท ส่วนเช่าซื้อรถยนต์มียอดคงค้างที่ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งสินเชื่อบ้านในไตรมาสแรกน่าจะโตได้ 7% ต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปีก่อนที่โต 8% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเร่งโอนก่อนมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีผลในวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา “สินเชื่อบ้านโตมาก แต่ต่อไปคงชะลอลงบ้าง ส่วนเช่าซื้อรถยนต์โตมาต่อเนื่องตลอดปี 2561 ไตรมาสละ 12-13% ซึ่งมาถึงไตรมาสแรกปีนี้ก็ยังโตต่อ น่าจะเกิน 10% หรือโต 2 หลักต่อเนื่องกัน 5 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาสแรกปีก่อน แต่ถ้าย้อนกลับไป 3 ปีที่แล้ว ไม่มีโตแบบนี้ แถมบางช่วงติดลบด้วย และการที่กลับมาโตเร่งขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก ทาง ธปท.ก็คงจะเป็นห่วง” นายนริศกล่าว นายนริศกล่าวว่า หากดูคุณภาพสินเชื่อ ก็จะพบว่า สินเชื่อบ้านมีเอ็นพีแอลกว่า 3.4% ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีเอ็นพีแอล 1.7% บัตรเครดิตมีเอ็นพีแอล 2.6% และพีโลนมีเอ็นพีแอล 2.8% โดยเฉพาะหากดูการผิดนัดชำระในช่วง 30-90 วัน (SM) จะพบว่า สินเชื่อบ้านมี SM ที่ 1.8% ขณะที่เช่าซื้อรถยนต์มี SM ถึง 7.5% ส่วนบัตรเครดิตมี SM ที่ 2% และพีโลนมี SM ที่ 2.3% ทั้งนี้ จากกรณีที่ ธปท.ส่งสัญญาณออกมาตรการคุมสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์นั้น ก็เป็นไปได้ที่ ธปท.จะออกมาตรการมาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งหากคุมได้ก็น่าจะช่วยลดเรื่องการออกรถโดยใช้เงินดาวน์ต่ำ หรือดาวน์ 0% ลงไปได้ แต่คำถามคือ จะคุมอย่างไร เพราะสินเชื่อรถยนต์ในระบบแบงก์มีแค่ 1.1 ล้านล้านบาท หรือสัดส่วนประมาณ 60% ของตลาด ขณะที่ในส่วนของน็อนแบงก์ และพวกลีสซิ่งที่ค่ายรถยนต์ทำเอง มีอีกกว่า 6 แสนล้านบาท หรือกว่า 20 ราย “ต้องดูว่าในทางปฏิบัติจะคุมอย่างไรให้ได้มาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน เพราะลีสซิ่งก็ไม่ได้อยู่ภายใต้กำกับของ ธปท.โดยตรง” นายนริศกล่าว ด้านแหล่งข่าวจากแวดวงการเงิน กล่าวว่า การแก้ปัญหาการสร้างหนี้เกินตัว นอกจากการสร้างการเรียนรู้ด้านวินัยการเงินให้แก่ครัวเรือนแล้ว อีกมุมหนึ่งผู้ให้กู้ก็ต้องให้กู้อย่างมีความรับผิดชอบด้วย ซึ่งกรณีการคุมหนี้บัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสดนั้น หากจะให้ได้ผลแบบทันที ต้องมีการกำหนดวงเงินชำระขั้นต่ำ (minimum pay) ให้สูงขึ้นเป็น 20% “วิธีนี้ได้ผลแน่นอน แต่จะกระทบกับพวกธุรกิจบัตรเครดิตเต็ม ๆ จึงไม่รู้ว่า ธปท.จะกล้าทำหรือไม่” แหล่งข่าวกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-328791

จำนวนผู้อ่าน: 1746

21 พฤษภาคม 2019

“บีกริม”ผนึกทุนยักษ์ซีเมนส์ จองโรงไฟฟ้ารอบ”อู่ตะเภา”

ปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) “บี.กริม เพาเวอร์” ผนึกทุนเยอรมัน-จีน-เกาหลี ทุ่ม 6,000 ล้าน เดินหน้าปักหมุดโรงไฟฟ้าไฮบริด รอบสนามบินอู่ตะเภา 230 MW พร้อมระบบกักเก็บไฟฟ้า หลังได้รับไฟเขียวจากกองทัพเรือ เผยเอกชนหลายรายสนใจร่วมลงทุน ไม่หวั่นพันธมิตร “ซี.พี.” วืดประมูลเมืองการบินอู่ตะเภา งานประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกที่อยู่ระหว่างการพึ่งอำนาจศาลปกครอง เนื่องจากกลุ่ม บจ.ธนโฮลดิ้ง (เครือ ซี.พี.) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ผู้สนใจประมูลยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว กรณีบริษัทยื่นเอกสารประมูล “ไม่ทันเวลา” ซึ่งอาจมีผลต่อการพิจารณาคัดเลือกนั้น ศาลปกครองยืดเวลา 7 วัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดศาลปกครองได้นัดให้คำชี้แจงไปแล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา และอนุญาตให้ส่งเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมภายใน 7 วัน ทั้งนี้ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินเป็นโครงการขนาดใหญ่บนเนื้อที่ 6,500 ไร่ มูลค่าลงทุน 290,000 ล้านบาท มีกองทัพเรือเป็นเจ้าภาพดำเนินการ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจทำให้การดำเนินงานไม่ทันตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ โดยมีรายละเอียดในส่วนของผู้เข้าร่วมยื่นซอง 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS นำโดย บมจ.การบินกรุงเทพ, กลุ่ม บจ.GMR Group Airport ประเทศอินเดีย และกลุ่ม บจ.ธนโฮลดิ้ง (เครือ ซี.พี.) ร่วมกับ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ บมจ.ช.การช่าง, บจ.บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ โฮลดิ้งส์ และ บจ.Fraport AG Frankfurt Airport Service Worldwide พันธมิตรจากประเทศเยอรมนี ซิวงานโรงไฟฟ้านอกสนามบิน  เรื่องเดียวกันนี้ นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในส่วนของการร่วมลงทุนโครงการอู่ตะเภา ซึ่งกลุ่ม บี.กริม เป็นหนึ่งในพันธมิตรกับ ซี.พี. มองว่าประเด็นนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้า เพราะถือเป็นคนละส่วนกัน กล่าวคือทาง บี.กริม ได้รับการพิจารณาอนุมัติจากกองทัพเรือ ให้ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าระบบไฮบริด และระบบกักเก็บไฟฟ้าพื้นที่ส่วนนอกสนามบินเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้เหลือเพียงขั้นตอนเตรียมเซ็นสัญญา (PPA) ซึ่งไม่ว่าใครจะเข้ามาลงทุนในโครงการสนามบินอู่ตะเภา บริษัทก็ยังสามารถเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าต่อไปได้ “เราร่วมบิดงานกับ ซี.พี. ใครก็รู้ว่าถ้า ซี.พี.ได้ เราก็ได้ แต่หากมีอุบัติเหตุ (ในการประมูล) เกิดขึ้นก็เป็นส่วนของกิจการร่วมลงทุน เพราะสัญญาแยกกันชัดเจน บี.กริมได้รับสิทธิ์ก่อสร้างไปถึงปากประตูสนามบินแล้วทำไมในสนามบินจะไม่ทำต่อ เหตุผลที่ร่วมกับ ซี.พี.เพื่อจะบอกว่าถึงอย่างไรเราขอได้รับสิทธิ์ตรงนี้ ไม่ต้องไปเปิดประมูลซ้ำ เรามี competitive price และมั่นใจว่าหากก่อสร้างอู่ตะเภาจะเป็นผลดีมาก เพราะพันธมิตรเยอรมันเป็นผู้เชี่ยวชาญ เคยบริหารสนามบินแฟรงก์เฟิร์ต มีประสบการณ์ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะชนะหรือไม่” สำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าส่วนนอกสนามบินนั้น ขั้นตอนอยู่ระหว่างรอทำสัญญา PPA กับกองทัพเรือ ตามแผนเดิมตั้งเป้าเริ่มก่อสร้างภายในเดือนมีนาคม 2562 แต่เนื่องจากยังไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับสำนักงาน EEC จึงต้องขยับเวลาก่อสร้างออกไปเล็กน้อย โดยคาดว่าสามารถทำสัญญาเช่าที่ดินได้ในเดือนมิถุนายน 2562 จากนั้นบริษัทมีความพร้อมเริ่มก่อสร้างได้ทันที ตามกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จใน 12 เดือน โดยเฟส 1 คาดว่าเปิด COD (ขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์) ได้ในเดือนเมษายน 2563 และเฟส 2 เปิด COD ได้ในเดือนมกราคม 2564 เฟ้นพันธมิตรจีน-เกาหลี นางปรียนาถกล่าวต่อว่า แผนลงทุนบริษัท บี.กริม เสนอโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแบบไฮบริด ระหว่างการใช้แก๊สคอมบายไซเคิลกับระบบโซลาร์ ซึ่งจะมีทั้งโซลาร์ฟาร์มและรูฟท็อป กำลังการผลิต 230 เมกะวัตต์ พร้อมกับการพัฒนาระบบกักเก็บไฟฟ้า (energy storage) กำลังผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ชั่วโมง รวมเงินลงทุนทั้งสองเฟส 5,934 ล้านบาท ขณะนี้มีเอกชนหลายรายให้ความสนใจร่วมลงทุน โดยบริษัทอยู่ระหว่างหารือเชิงลึกกับพันธมิตรจากต่างประเทศ 3-4 ราย “เท่าที่ทราบ มีคนอยากร่วมทุนเยอะ โครงการนี้มี 2 เฟส เรากำลังทำงานร่วมกับนักลงทุนเกาหลีและจีน แต่ตัวคอมบายฯคงจะใช้ซีเมนส์เพราะเราซื้อเยอะจึงได้ราคาไม่แพง คุณภาพยอดเยี่ยมท็อปสุดของโลก ส่วนโซลาร์ถึงอย่างไรก็ไม่พ้นร่วมกับจีน ต้องยอมรับว่าการลงทุนประเทศไหนตอนนี้ก็สู้จีนไม่ได้ แม้กระทั่งยุโรปก็ถูกจีนซื้อไป เอ็นเนอร์จี้สตอเรจก็คงเป็นเกาหลี เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านนี้” เบื้องต้นนักลงทุนจีนที่หารือร่วมกับ บี.กริม คือ บริษัท พาวเวอร์ ไชน่า และบริษัท เอ็นเยอร์นี่ ไชน่า รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 1 ใน 5 ของจีน ทั้งสองรายเป็นพันธมิตรธุรกิจร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามอยู่แล้ว โดยโรงไฟฟ้าในเวียดนามกำลังจะเปิด COD) ในวันที่ 20 มิถุนายนนี้ สร้าง 2 เฟส 6 พันล้าน ซีอีโอ บี.กริมอธิบายด้วยว่า พันธมิตรธุรกิจมีหลายราย โดยกลุ่มพาวเวอร์ เอ็นเนอร์ยี่ ร่วมทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าขนาด 420 เมกะวัตต์, บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ ไชน่า ร่วมพัฒนาโรงไฟฟ้าขนาด 250 เมกะวัตต์ ขณะที่ในกลุ่มพันธมิตรเกาหลีที่จะร่วมพัฒนา energy storage ทาง บี.กริม มีการเจรจาหลายราย ล่าสุดได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับบริษัทแอลจี หลังจากนี้เป็นการลงรายละเอียดว่าจะดำเนินการในด้านใดบ้าง สำหรับการก่อสร้างทั้ง 2 เฟส มีกำลังการผลิตติดตั้ง 230 MW ขนาดของระบบกักเก็บพลังงาน กำลังผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ชั่วโมง แบ่งเป็นแผนเฟสแรก ประกอบด้วย 1.โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม กำลังผลิตติดตั้ง 80 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 2,714 ล้านบาท 2.โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน กำลังผลิตติดตั้ง 15 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 363 ล้านบาท 3.ระบบกักเก็บพลังงานจากการผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและพลังงานแสงอาทิตย์ 50 เมกะวัตต์ชั่วโมง เงินลงทุน 480 ล้านบาท รวมกำลังผลิตติดตั้งเฟสแรก 95 เมกะวัตต์ และขนาดระบบกักเก็บพลังงาน 50 เมกะวัตต์ชั่วโมง ลงทุนรวม 3,557 ล้านบาท แผนก่อสร้างเฟส 2 แบ่งเป็น 1.โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม กำลังผลิตติดตั้ง 80 เมกะวัตต์ ลงทุน 1,288 ล้านบาท 2.โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน และ/หรือติดตั้งบนหลังคา และ/หรือลอยน้ำ กำลังผลิตติดตั้ง 55 เมกะวัตต์ ลงทุน 1,089 ล้านบาท รวมกำลังผลิตติดตั้งเฟสสอง 135 เมกะวัตต์ ลงทุนรวม 2,377 ล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-328727

จำนวนผู้อ่าน: 1794

21 พฤษภาคม 2019

หนุน “เกษตร-SMEs” เหนือ-ใต้ รุก “กาแฟเฉพาะทาง” อัดอีเวนต์เปิดตลาดส่งออกพันล้าน

ภาพ pixabay หลายปีที่ผ่านมา กระแสความนิยม “กาแฟพิเศษ” หรือ “กาแฟเฉพาะทาง” ที่มีความพิถีพิถันตั้งแต่การปลูก การผลิต ได้เพิ่มความนิยมมากขึ้นในประเทศไทย สังเกตได้จากการเติบโตของร้านกาแฟทางเลือก หรือ slow bar ทั้งในเขต กทม. และจังหวัดต่าง ๆ เนื่องจากเอกลักษณ์ด้านกลิ่น รสชาติ ตลอดจนรูปแบบการปลูกกาแฟ ซึ่งมีหลากหลาย รวมถึงการปลูกกาแฟในป่าที่มีการศึกษาและแพร่กระจายแนวคิดให้เกษตรกรในพื้นที่สูง ให้สามารถปลูกกาแฟที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการดูแลป่า โดยกาแฟจะให้ผลผลิตที่ดีเมื่อธรรมชาติมีความสมบูรณ์ เป็นการสร้างรายได้ให้เกษตรกรพร้อมไปกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ “อภิชา แย้มเกษร” อุปนายกสมาคมกาแฟพิเศษไทย (Specialty Coffee Association of Thailand : SCATH) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดกาแฟสดมีแนวโน้มเติบโตขึ้น และมีตลาดกาแฟพิเศษซ่อนอยู่ในนั้น เป็นกาแฟที่ถูกผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปลูกจนถึงมือผู้บริโภค รวมถึงวิธีการนำเสนอ คาดว่าปัจจุบันมีสัดส่วนเกือบ 10% ของตลาดกาแฟทั้งหมด โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า มีมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เพราะร้านกาแฟหลายแห่งตามจังหวัดหัวเมืองใหญ่มักนำเสนอกาแฟพิเศษให้ลูกค้า เช่น กาแฟคั่วบดจากบราซิล กาแฟไทยจากปางขอน อมก๋อย ขุนช่างเคี่ยน เป็นต้น ขณะเดียวกัน มีคนไทยบางส่วนยังไม่มีความรู้เรื่องการบริโภคกาแฟมากนัก ทำให้มูลค่าของตลาดกลุ่มกาแฟพิเศษอยู่ที่ประมาณ 500-1,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งในจำนวนนี้มีการส่งออกร่วมด้วย แต่ยังไม่มีการเก็บตัวเลขมูลค่าการส่งออกแยกชัดเจน มีทั้งตลาดสหรัฐอเมริกา ดูไบ เกาหลี เป็นต้น โดยสมาคมได้เข้าไปสนับสนุนให้ความรู้กับเกษตรกร ในการเลือกเก็บเมล็ดกาแฟที่มีลักษณะสุกแดงเต็มที่ แนะนำวิธีการ กระบวนการต้องมีความสะอาด ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรรุ่นใหม่มีการพัฒนากระบวนการผลิตขึ้นมาอีกขั้น เช่น การทำเป็นฮันนี่แล้วใส่เอนไซม์ลงไป การตาก การไล่ความชื้น เป็นต้น นับเป็นมิติใหม่ที่ก้าวกระโดดและเป็นความแปลกใหม่ที่มีคุณภาพ “เป้าหมายของสมาคมกาแฟพิเศษไทยในตอนนี้ คือ เป็นแกนเพื่อส่งเสริมทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ให้ความรู้เกษตรกรในการพัฒนาคุณภาพกาแฟให้ดีขึ้น เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ ได้มีโอกาสคุยกับนักพัฒนากาแฟอย่าง “คุณฟู-อาดี้ พิศสุวรรณ” พอเห็นได้ว่ากาแฟไทยส่งออกไปตลาดยุโรป เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และเกาหลี มากพอสมควร รวมถึง “กาแฟพิเศษ” มีการส่งออกไปได้ไม่น้อย ทั้งที่ในประเทศยังผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการในการบริโภค โดยใน 1 ปีไทยปลูกอราบิก้าได้ประมาณ 1 หมื่นตัน แต่บริโภคมากกว่า 2 เท่า ฉะนั้นหากมีกาแฟดี จะสามารถส่งออกได้อีกมาก” อภิชากล่าว ต่างชาติแนะเลือกสายพันธุ์ปลูก อภิชากล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกาแฟในไทยต้องแสวงหาแหล่งปลูกที่สามารถได้รสชาติใหม่ให้กับตลาด อย่างในยุคแรกการปลูกกาแฟในไทยเป็นอราบิก้าสายพันธุ์ทิปิก้า จากนั้นมีการนำสายพันธุ์คาติมอร์เข้ามาปลูก จึงเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์และปรับตัวตามธรรมชาติ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในไทย นอกจากนี้ ในปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญด้านสายพันธุ์กาแฟเข้ามาตรวจสอบพันธุ์กาแฟในไทยและพบว่ามีการสายข้ามพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่สามารถระบุได้ อีกทั้งการส่งเสริมการปลูกในแต่ละพื้นที่เลือกสายพันธุ์ตามความสะดวก ไม่มีการวางแผน จนผู้เชี่ยวชาญจากเวเนซุเอลาและอินโดนีเซียแนะนำให้ตั้งชื่อสายพันธุ์ใหม่ และศึกษารายละเอียดในการปลูกเพิ่ม พัฒนา “โรบัสต้า” สู่กาแฟพิเศษ อภิชายังกล่าวอีกว่า ในงาน Thailand Coffee Fest 2019 ที่ผ่านมามีการประกวดสุดยอดกาแฟ โดยประเมินคะแนนด้วยมาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ ซึ่งคะแนนที่ได้สะท้อนความมุ่งมั่นของเกษตรกรในการพัฒนาการปลูกกาแฟให้ดีขึ้นและมีคุณภาพยิ่งขึ้น ทำให้สามารถนำไปโปรโมตในญี่ปุ่น จีน เกาหลีได้ ทั้งนี้ กาแฟที่นำมาประกวดส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อราบิก้าที่ปลูกในภาคเหนือ เนื่องจากต้องปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงมากกว่า 1,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ส่วนกาแฟโรบัสต้าที่ปลูกในภาคใต้ เริ่มมีการส่งเข้ามาประกวดบ้าง แต่มีจำนวนไม่ถึง 10 รายต่อปี การเก็บเกี่ยวผลผลิตหรือเมล็ดกาแฟยังมีความแตกต่างกัน เกษตรกรของภาคเหนือจะเริ่มคุ้นชินและมีประสบการณ์ในการเก็บเมล็ดกาแฟ เพื่อมาทำการโพรเซส แต่เกษตรกรในภาคใต้ยังเก็บผลผลิตไม่ได้ตามมาตรฐานเท่าที่ควร เนื่องจากมีผู้ประกอบการที่พัฒนากาแฟโรบัสต้าเพื่อการทำเป็นกาแฟพิเศษจำนวนน้อย โรงคั่ว SMEs ขยายตัว 100% “โรงคั่ว” ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับผลพวงของความนิยมกาแฟพิเศษในไทยที่เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยอภิชาอธิบายว่า โรงคั่วกาแฟในไทยมีการเติบโตกว่า 100% เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีเพียง 10-20 โรง แต่ปัจจุบันมีผู้ประกอบการโรงคั่วขนาด SMEs เกิดขึ้นมาหลายร้อยโรง เนื่องจากร้านกาแฟแต่ละแห่งต้องการรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ได้จัดทำเครื่องคั่ว (side shop roasters) ของตัวเอง โดยเครื่องคั่วกาแฟในอดีตส่วนใหญ่มาจากทางยุโรป ในตลาดไทยแบรนด์ที่มีความโด่งดังมักซื้อมาจากประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นของพรีเมี่ยมที่มีราคาแพง ปัจจุบันมีการสั่งซื้อมาจากญี่ปุ่น จีน และเกาหลี ขอบคุณข้อมูจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-328902  

จำนวนผู้อ่าน: 2060

21 พฤษภาคม 2019

ดุเดือด! เปิดราคาประมูล’ด่วนพระราม3-ดาวคะนอง-วงแหวน’ รับเหมาจีนซิว3สัญญา ‘ช.การช่าง’คว้างานสะพานคู่ขนาน

ผู้สื่อข่าว”ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า วันนี้(21 พ.ค.2562) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) เปิดซองราคาประมูลก่อสร้างโครงการทางด่วนสายพระราม3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ระยะทาง 18.7 กม.ในส่วนของงานโยธา จำนวน 4 สัญญา วงเงินรวม 29,154.230 ล้านบาท ได้แก่ สัญญาที่ 1 ราคากลาง 6,979 ล้านบาท มียื่น 5 ราย ได้แก่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)เสนอ 6,645 ล้านบาท,บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 6,912 ล้านบาท,บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 6,271 ล้านบาท ,บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 5,929 ล้านบาทและกิจการร่วมค้าCNA ประกอบด้วย บริษัท ไชน่าสเตทคอนสตรัคชั่น เอ็นจิเนียริ่งคอร์ปอเรชั่น จำกัด, บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด(มหาชน)และบริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด เสนอราคา 5,897 ล้านบาท สัญญาที่ 2 ราคากลาง 7,241 ล้านบาท มียื่น 5 รายได้แก่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)เสนอ, 6,890 ล้านบาท,บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 7,023 ล้านบาท,บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 6,486 ล้านบาท ,กิจการร่วมค้าซีทีบี ประกอบด้วย บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ -ทิพากร-บุรีรัมย์ธงชัยก่อสร้าว เสนอราคา 6,440 ล้านบาทและบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 6,515 ล้านบาท สัญญาที่3 ราคากลาง 6,990 ล้านบาท มียื่น 5 รายได้แก่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 6,642ล้านบาท,บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 6,955 ล้านบาท,บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 6,284 ล้านบาท,กิจการร่วมค้าไชน่าเรลเวย์-ซีวิล-บุญชัย ประกอบด้วยบริษัท China Railway 11 th Bureau Group Corporaton,บริษัท ซีวิลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เสนอราคา 6,098 ล้านบาทและบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 6,359 ล้านบาท และสัญญาที่4 ราคากลาง 7,943 ล้านบาท เป็นงานก่อสร้างคู่ขนาน มียื่น 3 รายได้แก่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)เสนอราคา 6,636 ล้านบาท,กิจการร่วมค้าSMCC-ITD (สุมิโตโม-อิตาเลียนไทย) เสนอราคา 7,371 ล้านบาทและกิจการร่วมค้าCSP ประกอบด้วย บริษัท ไชน่าสเตทคอนสตรัคชั่น เอ็นจิเนียริ่งคอร์ปอเรชั่น จำกัดกับบริษัท พี.พี.ดี. คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 7,108 ล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-328921

จำนวนผู้อ่าน: 1892

21 พฤษภาคม 2019

ฟอร์บส์ จัดอันดับ 10 มหาเศรษฐีไทยปี’62 เจ้าสัวซีพีรวยสุด 9.41 แสนล้านบาท มีมหาเศรษฐีหน้าใหม่เพิ่ม 4 ราย

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2562  นิตยสาร Forbes Thailand ประกาศรายชื่อ 50 อภิมหาเศรษฐีไทยประจำปี 2562 โดยระบุผ่านเว็บไซต์ forbesthailand ว่า หลังความมั่งคั่งทะยานขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา กลุ่มบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของไทยเผชิญจุดสะดุดในปี 2562 เนื่องจากครึ่งหนึ่งของผู้ที่ติดทำเนียบ 50 บุคคลร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยมีทรัพย์สินลดลง รวมถึงมหาเศรษฐี 4 อันดับแรก ความไม่แน่นอนก่อนการเลือกตั้งเดือนมีนาคมของไทย มีส่วนบั่นทอนบรรยากาศความเชื่อมั่น ฉุดค่าเงินบาท และดึงดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลง 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยรวมของมหาเศรษฐีในทำเนียบปรับตัวลงเล็กน้อยไปอยู่ที่ 1.605 แสนล้านเหรียญ (ประมาณ 5.14 ล้านล้านบาท) จากเมื่อปีที่แล้วที่ 1.62 แสนล้านเหรียญ มหาเศรษฐีไทย 4 อันดับแรกต่างมูลค่าความมั่งคั่งลดลง โดย พี่น้องตระกูลเจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ยังคงรั้งอันดับ 1 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 2.95 หมื่นล้านเหรียญ (9.41 แสนล้านบาท) ลดลงเล็กน้อยจาก 3 หมื่นล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว หรือ 9.41 แสนล้านบาท หลังดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จากัด (มหาชน) (ซีพีเอฟ) มานาน 25 ปี ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสแห่งซีพี ประกาศลงจากตำแหน่งซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเรือธงของกลุ่มเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ธนินท์ยังคงนั่งเก้าอี้ประธานกรรมการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินการเครือข่ายร้าน 7-Eleven ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขณะที่อันดับ 2 เป็นของ ตระกูลจิราธิวัฒน์ แห่งกลุ่มเซ็นทรัล ที่มีทรัพย์สินสุทธิ 2.1 หมื่นล้านเหรียญ (6.70 แสนล้านบาท) หรือ 6.70 แสนล้านบาท แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วที่ 2.12 หมื่นล้านเหรียญ ด้าน เฉลิม อยู่วิทยา แห่งกระทิงแดงยังคงอยู่ในอันดับที่ 3 แม้ความมั่งคั่งลดลงมาอยู่ที่ 1.99 หมื่นล้านเหรียญ (6.35 แสนล้านบาท) หรือ 6.35 แสนล้านบาท จาก 2.1 หมื่นล้านเหรียญในปีก่อนหน้า เจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ครองอันดับ 4 ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 1.62 หมื่นล้านเหรียญ (5.17 แสนล้านบาท) หรือ 5.17 แสนล้านบาท ลดลง 1.2 พันล้านเหรียญ จาก 1.74 หมื่นล้านเหรียญ ในปี 2561 อย่างไรก็ตาม 1 ใน 3 ของมหาเศรษฐีที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในทำเนียบปีนี้ มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยผู้ที่มั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีนี้คือ สารัชถ์ รัตนาวะดี นักธุรกิจใหญ่ด้านพลังงาน ซึ่งทรัพย์สินทะยานขึ้น 1.8 พันล้านเหรียญ (5.74 หมื่นล้านบาท) ไปอยู่ที่ 5.2 พันล้านเหรียญ (1.66 แสนล้านบาท) หรือ 1.66 แสนล้านบาท ส่งผลให้เขาคว้าตาแหน่งท็อป 5 มาได้เป็นครั้งแรก หุ้นของเขาในบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จากัด (มหาชน) (GULF) พุ่งขึ้น 57% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่เริ่มดำเนินการแล้ว และรายได้ของบริษัทเมื่อปี 2561 เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ไปอยู่ที่ 628 ล้านเหรียญ (2.02 หมื่นล้านบาท) มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างโดดเด่นอีกรายคือ ตระกูลโอสถานุเคราะห์ (อันดับ 8, 3 พันล้านเหรียญ) มีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 2.3 พันล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว หลังจากได้นำเอาบริษัท โอสถสภา ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลังอายุ 128 ปี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2561 ภายใต้การบริหารของ เพชร โอสถานุเคราะห์ นักสะสมงานศิลปะตัวยงและอดีตนักร้องเพลงป๊อป บริษัทโอสถสภาก่อตั้งขึ้นโดยปู่ทวดของเขา ที่เริ่มต้นจากร้านขายยาสมุนไพรเล็กๆ สำหรับในปีนี้ มีมหาเศรษฐีหน้าใหม่อีก 4 ราย ได้แก่ ชัยวัฒน์ แต้ไพสิฐพงษ์ (อันดับ 23, 1.8 พันล้านเหรียญ) ประธานเครือเบทาโกร บริษัทอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา (อันดับ 6, 4.7 พันล้านเหรียญ) วัย 33 ปี ซึ่งอายุน้อยที่สุดในทำเนียบ ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาผู้ล่วงลับ วิชัย ศรีวัฒนประภา ขึ้นเป็นซีอีโอ คิง เพาเวอร์ บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ดาเนินธุรกิจร้านค้าปลอดอากร ด้าน ชาติศิริ โสภณพนิช (อันดับ 29, 1.1 พันล้านเหรียญ) กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ปรากฏชื่อในทำเนียบเป็นครั้งแรก หลังจากที่ ชาตรี โสภณพนิช ผู้เป็นพ่อเสียชีวิตในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่วนตระกูลมาลีนนท์ (อันดับ 47, 600 ล้านเหรียญ) แห่งบริษัทสื่อ บีอีซีเวิลด์ ก้าวเข้ามาเป็นหน้าใหม่ในทำเนียบเช่นกัน ในบรรดา 4 มหาเศรษฐีที่กลับเข้าสู่ทำเนียบอีกครั้งรวมถึง ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (อันดับ 45, 640 ล้านเหรียญ) หวนคืนตำแหน่งหลังหยุดชะงักไป 5 ปี ทีพีไอ โพลีน บริษัทผลิตซีเมนต์และคอนกรีตของเขา กลับมาทำกำไรได้ 45 ล้านเหรียญในปี 2561 ซึ่งช่วยดันให้หุ้นบริษัทปรับขึ้น 14% เมื่อปีที่แล้วมูลค่าทรัพย์สินขั้นต่ำในการจัดอันดับปีนี้อยู่ที่ 565 ล้านเหรียญ ลดลงจาก 600 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว รายชื่อตระกูลและอภิมหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของไทย อันดับ1 พี่น้องเจียรวนนท์ (อันดับคงที่) แหล่งที่มา: เครือเจริญโภคภัณฑ์ มูลค่าทรัพย์สิน: 2.95 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ / 9.41 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินลดลง) อันดับ2 ตระกูลจิราธิวัฒน์ (อันดับคงที่) แหล่งที่มา: กลุ่มเซ็นทรัล มูลค่าทรัพย์สิน: 2.1 หมื่นล้านเหรียญ / 6.70 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินลดลง) อันดับ3 เฉลิม อยู่วิทยา (อันดับคงที่) อายุ: 68 ปี แหล่งที่มา: กระทิงแดง มูลค่าทรัพย์สิน: 1.99 หมื่นล้านเหรียญ / 6.35 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินลดลง) อันดับ4 เจริญ สิริวัฒนภักดี (อันดับคงที่) อายุ: 75 ปี แหล่งที่มา: ไทยเบฟเวอเรจ มูลค่าทรัพย์สิน: 1.62 หมื่นล้านเหรียญ / 5.17 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินลดลง) อันดับ5 สารัชถ์ รัตนาวะดี (ขึ้นจากอันดับ 7) อายุ: 53 ปี แหล่งที่มา: กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ มูลค่าทรัพย์สิน: 5.2 พันล้านเหรียญ / 1.66 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น) อันดับ6 อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา (ติดอันดับใหม่) อายุ: 33 ปี แหล่งที่มา: คิง เพาเวอร์ มูลค่าทรัพย์สิน: 4.7 พันล้านเหรียญ / 1.50 แสนล้านบาท (ติดอันดับใหม่) อันดับ7 นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (ขึ้นจากอันดับ 8) อายุ: 86 ปี แหล่งที่มา: กรุงเทพดุสิตเวชการ มูลค่าทรัพย์สิน: 3.4 พันล้านเหรียญ / 1.08 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น) อันดับ8 ตระกูลโอสถานุเคราะห์ (ขึ้นจากอันดับ 12) แหล่งที่มา: โอสถสภา มูลค่าทรัพย์สิน: 3 พันล้านเหรียญ / 9.57 หมื่นล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น) อันดับ9 วานิช ไชยวรรณ (ขึ้นจากอันดับ 10) อายุ: 87 แหล่งที่มา: ไทยประกันชีวิต มูลค่าทรัพย์สิน: 2.85 พันล้านเหรียญ / 9.09 หมื่นล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินลดลง) อันดับ10 สมโภชน์ อาหุนัย (ขึ้นจากอันดับ 18) อายุ: 51 ปี แหล่งที่มา: พลังงานบริสุทธิ์ มูลค่าทรัพย์สิน: 2.83 พันล้านเหรียญ / 9.03 หมื่นล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น) การจัดอันดับนี้ใช้ข้อมูลทางการเงินและการถือครองหุ้น ที่ได้รับมาจากทางครอบครัวและปัจเจกบุคคล ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและหน่วยงานกากับดูแลหลายแห่ง รวมถึงทรัพย์สินของครอบครัวและทรัพย์สินที่ถือครองโดยสมาชิกครอบครัวในหลายรุ่น ทั้งนี้ มูลค่าทรัพย์สินในบริษัทมหาชนคำนวณจากราคาหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 26 เมษายน ส่วนทรัพย์สินในบริษัทที่ถือครองส่วนตัวประเมินค่าโดยเปรียบเทียบกับบริษัทที่ดาเนินธุรกิจเดียวกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://forbesthailand.com ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.prachachat.net/finance/news-324847

จำนวนผู้อ่าน: 1958

10 พฤษภาคม 2019

“เจ้าสัวธนินท์”ลาออก ประธานบอร์ด”ซีพีออลล์” โชว์รายได้ 3เดือนแรกทะลุ 1.38 แสนล้าน

“เจ้าสัวธนินท์”แจ้งลาออกจากเก้าอี้”ประธานกรรมการ”บริษัทซีพีออลล์ ตั้ง”สุภกิต เจียรวนนท์”นั่งแทน เผย 3เดือนแรกกวาดยอดขายกว่า 1.38แสนล้านบาท พร้อมปูพรมขยายร้าน7-11 เพิ่ม 311สาขา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) (CPALL) ผู้ให้บริการร้านสะดวกซื้อ 7-11 และค้าส่ง’แมคโคร’ แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 ได้รับแจ้งการลาออกของ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและกรรมการบริษัท โดยมีผลทันทีในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 พร้อมกับมีมติแต่งตั้ง นายสุภกิต เจียรวนนท์ เป็นประธานกรรมการแทน พร้อมกันนี้คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติงบการเงินไตรมาส1/2562 โดยมีรวมได้รวม 138,896 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 8.6 % และมีกำไรสุทธิ 5,769.18 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.5% โดยในไตรมาส1/2562 บริษัทมีการขยายสาขาร้าน7-11 ทั้งสิ้น 311 สาขา ทำให้ ณ สิ้นไตรมาสแรก บริษัทมีร้าน7-11ทั่วประเทศ 11,299 สาขา โดยบริษัทมีเป้าหมายจะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขา ภายในปี2564 และในปีนี้บริษัทมีแผนขยายอีก 700 สาขา ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-325261

จำนวนผู้อ่าน: 1872

10 พฤษภาคม 2019

ยอดใช้ Alipay ต่างแดนพุ่ง 11% ‘ไทย’ฮิตรองแค่ฮ่องกง-ยอดจ่าย ‘แท็กซี่’ โตสุด

รายงานข่าว จาก “อาลีเพย์” (Alipay) โดยกลุ่มบริษัท แอนท์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส  แพลตฟอร์มการชำระเงินออนไลน์และโมบายล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยรายงานพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนผ่านแอปพลิเคชั่นออนไลน์เพย์เมนต์ในช่วงวันหยุดแรงงาน (1-3 พฤษภาคม 2562)  โดยระบุว่า ยอดใช้จ่าย Alipay ในต่างประเทศเฉลี่ยต่อคนเพิ่มขึ้นเกือบ 11% เป็น 1,790 หยวน (หรือ 8,400 บาท)  โดยประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ติดอันดับ 10 ประเทศที่มียอดใช้จ่ายผ่าน Alipay ในต่างประเทศสูงสุด สำหรับ “ประเทศไทย” เป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 2 ที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมใช้จ่ายเงินผ่าน Alipay เป็นรอง “ฮ่องกง” ที่ครองอันดับ 1  ส่วนมาเลเซียอยู่อันดับ 7 และสิงคโปร์อยู่อันดับ 9 โดยในประเทศไทยมียอดจ่ายด้วย Alipay เฉลี่ย 1,153 หยวนต่อคน (หรือ 5,400 บาท) ซึ่งเกือบจะเท่ากับวันแรงงานปีที่แล้วที่มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 1,122 หยวน (หรือ 5,270 บาท) ทั้งยังพบว่า วันหยุดแรงงานปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ยอดธุรกรรมที่เติบโตสูงได้แก่ บริการแท็กซี่และร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ส่วนบริการที่ได้รับความนิยมคือ  ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายสินค้าปลอดภาษี (Duty Free) แท็กซี่ และร้านขายยา  ส่วนการใช้จ่ายที่มีการเติบโตของยอดใช้เฉลี่ยในอัตราสูง ได้แก่ ร้านขายเครื่องประดับและอัญมณี นอกจากนี้ผลการศึกษายังพบว่าในช่วงวันหยุดแรงงาน กลุ่มผู้สูงอายุชาวจีนเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง โดยธุรกรรมจากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีวันเกิดในช่วงทศวรรษ 1940 และ 1950 เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า เฉลี่ยใช้จ่ายต่อคนเพิ่มเป็น 1,622 หยวน (หรือ 7,600 บาท)  ขณะที่ 65% ของผู้ใช้ Alipay ในต่างประเทศเป็นผู้หญิง  ส่วนยอดใช้จ่ายจากผู้ที่เกิดในช่วงทศวรรษ 2000 เพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า ส่งผลให้ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 506 หยวน (หรือ 2,400  บาท) ในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่ 90% ของนักท่องเที่ยวจีนระบุว่า จะใช้บริการชำระเงินผ่านมือถือในต่างประเทศถ้าหากว่าสามารถทำได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-325247

จำนวนผู้อ่าน: 1956

10 พฤษภาคม 2019

“ไทยเบฟ” จัดทัพรุกฟู้ดเต็มสูบ ตั้ง 6 บริษัทย่อย/ซื้อแบรนด์ใหม่เติมพอร์ต

“ไทยเบฟ” รุกตั้ง 6 บริษัทลูก-ร่วมทุน ซัพพอร์ตธุรกิจ F&B ก่อนเดินหน้าช็อปแบรนด์ใหม่ “เกนกิ ซูชิ” เติมพอร์ตอาหารไม่หยุด พร้อมเร่งซินเนอร์ยี-ขยายสาขาแบรนด์อื่นในเครือต่อเนื่อง หลังจากต้นปีนำร่องเปิดฟู้ดโซน ข้างอาคารแสงโสม ตึกบัญชาการใหญ่ โชว์โมเดลร้านใหม่ “คาคาชิ-โซ อาเซียน คาเฟ่-เอ็มเอ็กซ์ เค้ก แอนด์ เบเกอรี่” ผุดสแตนด์อะโลนโรดไซด์ครั้งแรก รับเป้าโตต่อเนื่อง-ดันรายได้น็อนแอลกอฮอล์แตะ 50% ตามวิชั่น 2020 เห็นได้ชัดว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไทยเบฟกำลัง “เอาจริง” กับธุรกิจฟู้ดเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับพาร์ตเนอร์รายใหญ่จากฮ่องกง แม็กซิม กรุ๊ป รุกธุรกิจเบเกอรี่ การซื้อกิจการของฮาวี โลจิสติกส์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการขนส่งแบบ cold chain เพื่อซัพพอร์ตธุรกิจฟู้ดเซอร์วิส ไปจนถึงบิ๊กดีลในการเข้าซื้อกิจการของเคเอฟซีในไทย 240 สาขา ด้วยงบฯลงทุนกว่า 1.13 หมื่นล้านบาท รวมถึงกลุ่มร้านอาหารไทย สไปซ์ออฟเอเชีย ทำให้ได้แบรนด์เข้ามาเสริมพอร์ตเพิ่มอีก 4 แบรนด์ และแบรนด์ใหม่ล่าสุด “เกนกิ ซูชิ” ที่ซื้อเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เติมพอร์ตโฟลิโอแบบไม่หยุด ตั้งรวดเดียว 6 บริษัท รายงานจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ต่อตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เมื่อช่วงต้นปี 2562 ที่ผ่านมา ระบุถึงการตั้งบริษัทย่อยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร (F&B) ทั้งหมด 6 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นการตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อลงทุน แบ่งเป็น 4 บริษัทที่จัดตั้งในเดือนมีนาคม ได้แก่ บริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท กรีน บีน จำกัด โดยทั้ง 2 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท บริษัท เอฟแอนด์เอ็น อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท เอฟแอนด์เอ็น รีเทล คอนเนคชั่น จำกัด ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท และ 18 ล้านบาท ตามลำดับ และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้ร่วมทุนตั้งบริษัทใหม่เพิ่มอีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เจแปนนิส ไดนนิ่ง คอนเซ็ปตส์ (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท เกนกิ ซูชิ (ไทยแลนด์) จำกัด ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท และ 50 ล้านบาท ตามลำดับ โดยการตั้งบริษัทย่อยนี้ยังเป็นการเข้าซื้อกิจการของร้านอาหารญี่ปุ่น รูปแบบซูชิสายพาน “เกนกิ ซูชิ” แบรนด์ใหม่ เกนกิ ซูชิ สำหรับการเข้าซื้อแบรนด์เกนกิ ซูชิ ได้จัดตั้งบริษัท เกนกิ ซูชิ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดยเจแปนนีส ไดนนิ่ง คอนเซ็ปตส์ (ไทยแลนด์) 51% เกนกิ ซูชิ สิงคโปร์ 48.99% เจแปนนีส ไดนนิ่งคอนเซ็ปตส์ (เอเชีย) 0.00002% ซื้อหุ้นทั้งหมดจากบริษัท เกนกิ ซูชิ บางกะปิ ในจำนวนเงิน 9.5 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา โดยเกนกิ ซูชิ เป็นร้านซูชิสายพานจากญี่ปุ่น ที่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2533 จากนั้นได้ขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ อเมริกา และไทย ชูจุดขายความสดใหม่ เนื่องจากเชฟจะปั้นซูชิก็ต่อเมื่อลูกค้าทำการสั่งผ่านแท็บเลตเท่านั้น และราคาที่สามารถเข้าถึงได้ เริ่มต้นจานละ 35 บาท ส่วนในประเทศไทย ปัจจุบันมี 1 สาขา ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาไทยเบฟยังเปิดตัวโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “food zone” ข้างตึกแสงโสม สำนักงานใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นพื้นที่สำหรับสาขาในรูปแบบสแตนด์อะโลน โรดไซด์ จำนวน 4 แบรนด์ อาทิ เคเอฟซี, คาคาชิ, โซอาเซียน คาเฟ่ และเอ็มเอ็กซ์ เค้ก แอนด์ เบเกอรี่ ถือเป็นครั้งแรกของแบรนด์ต่าง ๆ ยกเว้นเคเอฟซี ที่เปิดร้านโมเดลนี้ ปี”61 โตพรวดเกือบ 100% นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวในรายงานประจำปี 2561 ของบริษัทว่า รายได้จากธุรกิจอาหารในปีที่ผ่านมา เติบโตขึ้น 96.8% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 6% ของรายได้ทั้งหมด 2.3 แสนล้านบาท โดยการเติบโตหลัก ๆ มาจากการซื้อกิจการแฟรนไชส์เคเอฟซีในประเทศไทย 240 สาขา ตลอดจนการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา จากปี 2560 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหาร ประมาณ 7.6 พันล้านบาท คิดเป็น 4% ของรายได้ทั้งหมด 1.9 แสนล้านบาท สำหรับธุรกิจอาหารในเครือไทยเบฟ ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจอาหารของโออิชิ แบ่งเป็น ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นกว่า 250 สาขา ได้แก่ โออิชิ แกรนด์, ชาบูชิ, โออิชิ อีทเทอเรียม, โออิชิ บุฟเฟต์, นิกุยะ, โออิชิ ราเมน, คาคาชิ และอาหารพร้อมปรุงและพร้อมทาน 2.กลุ่มธุรกิจร้านอาหารของฟู้ดออฟเอเชีย แบ่งเป็น ร้านภายใต้แบรนด์ของตัวเอง อาทิ ฟู้ด สตรีท, โซ อาเซียน คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอร์รองท์, ไฮด์ แอนด์ ซีค, หม่านฟู่ หยวน, บ้านสุริยาศัย ร้านที่เป็นการร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ อาทิ เอ็มเอ็กซ์ เค้ก แอนด์ เบเกอรี่, คาเฟ่ ชิลลี่, พอท มินิสทรี, เสื้อใต้ และอีท พอท และร้านที่เป็นแฟรนไชซี ได้แก่ เคเอฟซี สานวิชั่นน็อนแอลกอฮอล์ นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจอาหาร ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่า ธุรกิจอาหารเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะเข้ามาเสริมทัพกลุ่มเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ ให้เติบโตไปตามวิสัยทัศน์ 2020 ที่วางเอาไว้ คือ มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นสัดส่วน 50% ของพอร์ตผ่านกลยุทธ์ความหลากหลาย โดยร้านอาหารของไทยเบฟจะครอบคลุมตั้งแต่สตรีตฟู้ด ไปจนถึงไฟน์ไดนิ่ง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้ บริษัทยังมีเป้าหมายลงทุนในธุรกิจกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายสาขาและพัฒนาร้านในโมเดลต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างแบรนด์ใหม่ การร่วมทุน และการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์แบรนด์ร้านอาหารชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-325232

จำนวนผู้อ่าน: 1929

10 พฤษภาคม 2019