ข่าวประชาสัมพันธ์

พาณิชย์เตรียมยกร่างประกาศนำเข้าเหรียญตัวเปล่าโลหะสำหรับผลิตเหรียญกษาปณ์ป้องกันปลอมแปลง

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ในฐานะหน่วยงานหลักในการจัดระเบียบการนำเข้า-ส่งออกสินค้า และอำนวยความสะดวกทางการค้าของประเทศ กรมฯ ได้เดินหน้าปรับปรุงกฎหมายและมาตรการทางการค้าให้มีความความทันสมัยและทันสถานการณ์อยู่เสมอ โดยล่าสุดกรมฯ เตรียมยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์เพื่อกำหนดประเภทของเหรียญตัวเปล่าโลหะที่นำมาใช้ในการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ให้ตรงตามชนิดราคาและชนิดโลหะของเหรียญกษาปณ์ในปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้การยกร่างประกาศดังกล่าวอยู่ระหว่างประสานกรมศุลกากรเพื่อกำหนดพิกัดศุลกากรและรหัสสถิติสินค้าเพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของการออกอนุบัญญัติต่อไป การยกร่างประกาศดังกล่าว เป็นการทบทวนและปรับปรุงจากประกาศกระทรวงพาณิชย์เดิม ที่ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 93) พ.ศ. 2536 ให้เหรียญตัวเปล่าโลหะเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตนำเข้าภายใต้พระราชบัญญัติ การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเหรียญกษาปณ์ ซึ่งเหรียญตัวเปล่าโลหะเป็นวัตถุดิบสำคัญที่กรมธนารักษ์นำเข้ามาใช้ในการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนเพื่อใช้แลกเปลี่ยนสินค้าในประเทศ โดยในประกาศฉบับเดิมกำหนดประเภทของเหรียญตัวเปล่าโลหะที่มีลักษณะ ขนาด น้ำหนักและส่วนผสมใกล้เคียงกับเหรียญกษาปณ์ 5 ชนิดราคา ได้แก่ 10 บาท 5 บาท 1 บาท 50 สตางค์ และ 25 สตางค์ และกำหนดอนุญาตให้นำเข้าเฉพาะกระทรวงการคลังและผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังเท่านั้น แต่ปัจจุบันเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ผลิตในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 9 ชนิดราคา ได้แก่ 10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ ซึ่งเหรียญกษาปณ์แต่ละชนิดราคาผลิตจากเหรียญตัวเปล่าที่มีชนิดโลหะและขนาดแตกต่างกัน เช่น เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 5 บาท ผลิตจากเหรียญตัวเปล่าโลหะทองแดงผสมนิกเกิลสอดไส้ทองแดง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 24 มิลลิเมตร และเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาท ผลิตจากเหรียญตัวเปล่าโลหะนิกเกิลชุบเคลือบไส้เหล็ก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 มิลลิเมตร เป็นต้น ดังนั้น กรมฯ จึงทบทวนประกาศฉบับเดิม โดยยกร่างประกาศฉบับใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ดี กรมฯ มุ่งมั่นในการส่งเสริมการค้า ปกป้องและรักษาผลประโยชน์ทางการค้าของไทย พร้อมนำนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้เพื่อยกระดับการให้บริการในการอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับสากลได้อย่างยั่งยืนต่อไป   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-360379

จำนวนผู้อ่าน: 1764

14 สิงหาคม 2019

“ไทยวิวัฒน์” ปิดดีล “TMB” ขยายแบงก์แอสชัวรันซ์ปั๊มเบี้ย

“ไทยวิวัฒน์” รุกแบงก์แอสชัวรันซ์ ล่าสุด ดอดเซ็น “ทีเอ็มบี” ช่องทางขายใหม่แบบสัญญารายโปรดักต์ นำร่องขายประกันสุขภาพปีแรกตั้งเป้า 1 หมื่นกรมธรรม์ เผยก่อนหน้านี้จับมือแบงก์ “ยูโอบี” ขายประกันภัยบ้าน-ทรัพย์สิน เดินหน้าเจรจา “ธนาคารไทยพาณิชย์” เสนอขาย “ประกันภัยทรัพย์สิน-ประกันสุขภาพ-ประกันรถยนต์” ปักธงเบี้ยรับรวมทุกโปรดักต์ปีนี้แตะ 4.7 พันล้าน เติบโต 12% นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ (TVI) เปิดเผยว่า ต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมมือกับธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) เพื่อดำเนินธุรกิจแบงก์แอสชัวรันซ์ (ขายประกันผ่านธนาคาร) โดยมีลักษณะสัญญาเป็นรายโปรดักต์ไปวางขายในสาขาแบงก์ เบื้องต้นจะเน้นให้บริการประกันสุขภาพแก่ลูกค้าธนาคารเป็นหลัก ซึ่งช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มียอดขายเข้ามาแล้วกว่า 200-300 กรมธรรม์ เบี้ยประกันประมาณ 2-3 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 10,000 บาทต่อกรมธรรม์ ทั้งนี้ คาดว่าในปีแรกจะมียอดขายที่ 10,000 กรมธรรม์ เบี้ยประกันอยู่ที่ 100 ล้านบาท “ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้มีสัญญาผูกมัด แต่จะเป็นสัญญารายโปรดักต์ที่ไปวางขายในสาขาของทีเอ็มบี ซึ่งเราเองไม่ได้โฟกัสว่าต้องขายลูกค้ากลุ่มไหนเป็นพิเศษ ขึ้นอยู่กับนโยบายของแบงก์” โดยปัจจุบันพอร์ตเบี้ยประกันสุขภาพของบริษัท คิดเป็น 5% ของเบี้ยรับรวม แต่หวังว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 7-8% ได้ หรือคิดเป็นเบี้ยประกันสุขภาพราว 200-300 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากการเป็นพันธมิตรกับทีเอ็มบี ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4/62 นี้ บริษัทยังมีแผนจะออกโปรดักต์ประกันสุขภาพตัวใหม่เพื่อมากระตุ้นยอดขายในช่วงท้ายปีอีกด้วย ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงทดลอง ก่อนหน้านี้ บริษัทได้เริ่มขายประกันผ่านธนาคารยูโอบี (UOB) โดยเน้นให้บริการประกันภัยบ้านที่อยู่อาศัยและประกันทรัพย์สินที่เป็นหนี้ของแบงก์ (ค้ำประกันหนี้) แต่สัดส่วนพอร์ตแบงก์แอสชัวรันซ์ยังไม่มาก เพราะเป็นแบงก์เล็ก แต่คาดว่าสิ้นปีมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นตามเบี้ยรับรวม และ สินเชื่อที่อยู่อาศัยของยูโอบี หรือคิดเป็น 5-7% ของเบี้ยรับรวม ประมาณกว่า 300 ล้านบาท “ปัจจุบันเรายังไม่มีดีลใหม่กับธนาคารอื่น เพราะธุรกิจแบงก์แอสชัวรันซ์จะมีบริษัทในเครืออยู่แล้ว แต่ก็มีบางแบงก์เปิดให้เราเข้าไปเสนอได้ เราก็เสนอหมดจะได้หรือไม่ได้ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างล่าสุด ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เอง ก็เปิดกว้างให้เราเข้าไปเสนอ ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยทรัพย์สิน ประกันสุขภาพ หรือประกันรถยนต์ ซึ่งแล้วแต่เขาว่าจะให้เราขายอะไร” นายจีรพันธ์กล่าวด้วยว่า สิ้นปีนี้คาดว่าเบี้ยประกันภัยรับรวมจะอยู่ที่ 4,700 ล้านบาท เติบโต 12% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค. 2562) มีเบี้ยประกันรับเข้ามาแล้วกว่า 2,500 ล้านบาท เติบโต 5% ส่วนใหญ่ยังคงมาจากพอร์ตประกันรถยนต์ผ่านช่องทางตัวแทนนายหน้าเป็นหลัก โดยเชื่อว่ายอดขายครึ่งปีหลังจะมากกว่าครึ่งปีแรกอยู่แล้ว โดยเฉพาะเดือน พ.ย.-ธ.ค.ที่จะเห็นเบี้ยเข้ามาค่อนข้างมาก ทั้งประกันรถยนต์ โดยเฉพาะประกันสุขภาพ แม้ว่าจะไม่ใช่พอร์ตใหญ่แต่มีอัตราการเติบโตสูง ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของเบี้ยรับปีนี้ได้ตามเป้าแน่นอน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-360370

จำนวนผู้อ่าน: 1982

14 สิงหาคม 2019

ราคาน้ำมันดิบพุ่ง หลังสหรัฐเลื่อนระยะเวลาเก็บภาษีจากจีน

แฟ้มภาพ + ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น หลังสหรัฐฯ เลื่อนระยะเวลาจัดเก็บภาษีกว่าร้อยละ 10 ในสินค้าจากจีน มูลค่ากว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ จากกำหนดการเดิมในวันที่ 1 ก.ย. 62 เป็นวันที่ 15 ธ.ค. 62 + ตลาดคลายความกังวล หลังสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมีแนวโน้มคลี่คลายลง หลังจีนออกมาแถลงว่าจะจัดการเจรจาประเด็นข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ ภายในสองสัปดาห์ + ซาอุดิอาระเบียมีแผนที่จะรักษาระดับปริมาณส่งออกน้ำมันดิบให้ต่ำกว่า 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ก.ย. และ ส.ค. 62  ประกอบกับกลุ่มโอเปกที่ยังคงมีแผนที่จะลดกำลังการผลิตลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา – สถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) เผยปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุด ณ วันที่ 9 ส.ค. 62 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.7 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 443 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ  จากอุปสงค์ในสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับดี ประกอบกับโรงกลั่นประเทศอินเดียยังคงอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุง ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ อย่างไรก็ตาม อุปสงค์น้ำมันดีเซลในภูมิภาคเอเชียยังคงซบเซา ประกอบกับอุปทานจากประเทศจีนที่เพิ่มขึ้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-360355

จำนวนผู้อ่าน: 1786

14 สิงหาคม 2019

เงิน​บาท​เปิด​ตลาด​แข็งค่า​ที่​ 30.80 บ./ดอลลาร์​ นักค้าเงินไม่มั่นใจทิศทาง​แบงก์ลดดอกเบี้ย

เงิน​บาท​เปิด​ตลาด​แข็งค่า​ที่​ 30.80 บาท/ดอลลาร์​ นักค้าเงินไม่มั่นใจทิศทาง​แบงก์ลดดอกเบี้ย​-ธปท.คุมตลาดการเงินเพิ่ม ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า​ ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้​ (13​ ส.ค.)​ ที่ระดับ 30.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ แข็งค่าเมื่อเทียบกับสิ้นวันทำการก่อนหน้าที่ระดับ 30.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ โดย​ในช่วงนี้ เงินบาทเคลื่อนไหวไปตามภาพความเสี่ยงตลาดทุน เมื่อตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) ก็มักเจอกับแรงขาย เช่นเดียวกันเมื่อตลาดเปิดรับความเสี่ยง (Risk On) ก็จะมีแรงซื้อกลับเข้ามา “นอกจากนี้ นักค้าเงินส่วนหนึ่ง ยังมีความกังวลถึงทิศทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการกำกับและดำเนินนโยบายทางการเงิน ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เงินบาทไม่แข็งค่าลงได้เร็วเหมือนช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าตลาดจะรอความชัดเจนในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการที่ธนาคารพาณิชย์ จะลดดอกเบี้ยตาม ธปท.หรือไม่ ไปจนถึงคำถามว่า ธปท.จะมีนโยบายควบคุมตลาดการเงินเพิ่มขึ้นอย่างไร” ด​ร.จิติพลกล่าว สำหรับกรอบค่าเงินบาทวันนี้​อยู่​ที่​ 30.75-30.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ ดร.จิติพล​ กล่าวว่า​ ในคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หลังจากที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประกาศชะลอการเก็บภาษีนำเข้า 10% กับสินค้าจีนมูลค่าประมาณ 1.6 แสนล้านดอลลาร์ในกลุ่ม โทรศัพท์มือถือ แท็ปแลต คอมพิวเตอร์ ของเล่น ออกไปเป็นวันที่ 15 ธันวาคม และประกาศเตรียมพร้อมเปิดการเจรจาการค้าต่อเนื่องใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ส่งผลให้นักลงทุนย้ายเงินจากสินทรัพย์ปลอดภัยกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 5.5bps มาที่ระดับ 1.68% เงินเยนอ่อนค่าลง 1.3% ราคาทองคำร่วงลง 0.7% แตะระดับ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ดัชนี S&P500, STOXX50, และ FTSE100 ปรับตัวขึ้น 1.5%, 0.9%, และ 0.3% ตามลำดับ ฝั่งข้อมูลเศรษฐกิจ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือนกรกฎาคมสูงขึ้น 1.6% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 15% ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานยังคงเร่งตัวได้ 2.2% จากการปรับตัวขึ้นของราคาเสื้อผ้า ตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ สำหรับวันนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน จะเปิดเผยดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญในเดือนกรกฎาคม คาดว่ายอดค้าปลีก (Retail Sales) จะเติบโต 8.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ยอดการผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) จะเพิ่มขึ้น 5.4% ขณะที่ยอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) จะขยายตัว 5.8% โดยข้อมูลดังกล่าวกำลังชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในจีนไม่ได้ชะลอตัวลงมากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-360354

จำนวนผู้อ่าน: 1682

14 สิงหาคม 2019

ทองร่วงแรง! 400 บาท รูปพรรณขายออกเหลือบาทละ 22,400 บาท

แฟ้มภาพ วันที่ 14 สิงหาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมค้าทองคำประกาศราคาซื้อขายราคาทองคำในประเทศวันนี้ ดังนี้(ตามตาราง) โดยราคาทองประกาศครั้งแรกของวัน ปรับลดลงทันทีบาทละ 400 บาท หลังสหรัฐประกาศเลื่อนเก็บภาษี 10% สินค้าจีนบางรายการออกไป ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกเช้านี้อยู่ที่บาทละ 21,900 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกบาทละ 22,400 บาท ช่วงเวลา ทองแท่ง ทองรูปพรรณ   เวลา ครั้งที่ รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) Gold Spot Baht / US$ ขึ้น / ลง 14/08/2562 09:22 1 21,800.00 21,900.00 21,405.92 22,400.00 1,500.50 30.84 -400   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-360365

จำนวนผู้อ่าน: 1691

14 สิงหาคม 2019

ทีวีดิจิทัล 3 ช่อง จอดำหลังเที่ยงคืน 15 ส.ค.นี้ รับเงินเยียวยาทันที 1.3 พันล้าน

16 ส.ค. 2562 กสทช.จ่ายเยียวยา 3 ช่องทีวีดิจิทัลคืนช่องกลุ่มแรก 1,377 ล้านบาท ทั้งสปริงนิวส์ ไบรท์ทีวี และสปริงส์ 26 หลังจอดับ เที่ยงคืน 15 ส.ค. พร้อมจับเซ็นสัญญาเยียวยาพนักงานตามแผน ย้ำไม่ปฏิบัติตามยังมีแบงค์การันตีในมือ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 ส.ค. 2562 เวลา 10.00 น. จะจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล 3 ช่องที่ได้ยื่นขอคืนใบอนุญาตทีวีดิจิทัลเป็นล็อตแรก และได้ยุติออกอากาศหลังเที่ยงคืนวันที่ 15 ส.ค. 2562 (เวลา 00.01 น. วันที่ 16 ส.ค. 2562) ได้แก่ ช่องสปริงนิวส์ หมายเลข 19 ช่องไบรท์ทีวี หมายเลข 20 และช่องสปริงส์ หมายเลข 26 (Now 26 เดิม) โดยช่องสปริงนิวส์ หมายเลข 19 จะได้รับเงินชดเชย 498,240,594.26 บาท ช่องไบรท์ทีวี หมายเลข 20 ได้รับ 278,410,219.57 บาท และช่องสปริงส์26 หมายเลข 26 (Now 26 เดิม) ได้ 600,739,889.56 บาท “ก่อนที่แต่ละช่องจะได้รับเงิน จะต้องเซ็นสัญญาว่าจะเยียวยาพนักงานตามแผนที่ได้เสนอกับ กสทช. หากไม่ปฏิบัติตาม กสทช.ยังมีแบงค์การันตีของแต่ละช่องที่อยู่ในมือ ส่วนกรณีของพนักงานช่อง 3 ทางผู้บริหารแจ้งว่า จะปรับปรุงในส่วนที่สามารถจะแก้ไขได้ อาทิ การให้สามีภรรยาออกพร้อมกัน หรือการมีมติให้พนักงานที่ประสบอุบัติเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่ต้องออกจากงาน” ขณะเดียวกันยังได้ให้กองทัพบก ผู้รับใบอนุญาตประกอบการโครงข่ายทีวีดิจิทัล (MUX) มารับชำระหนี้ที่ช่องไบรท์และช่องสปริงส์ 26 ยังค้างชำระอยู่ 70 ล้านบาท และ 87 ล้านบาทตามลำดับ ส่วนช่อง NEW TV หมายเลข 18 ที่ยังไม่ได้มาชำระเงินประมูลงวดสุดท้ายตามที่คำสั่ง คสช. ที่ 4/2562 ระบุไว้ ภายในวันที่ 8 ส.ค. 2562 ขณะนี้ยังไมได้ติดต่อเข้ามาชี้แจงใดๆ ทางสำนักงาน กสทช.จึงจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการเยียวยาฯ ของ กสทช. “ตามคำสั่ง คสช. ถ้าไม่จ่ายเงินภายในกำหนด สามารถจะขอจ่ายแต่ดอกเบี้ย 7.5% ได้ แต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข คือ ต้องทำหนังสือแจ้งมายัง กสทช. ก่อน ถึงจะสามารถจ่ายแต่ดอกเบี้ยได้” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-360005

จำนวนผู้อ่าน: 1637

14 สิงหาคม 2019

จับตา! 5 ประเด็นร้อน เขย่าเศรษฐกิจโลก

สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจโลก ยังเป็นขาลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยมี “สงครามการค้า”ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ที่นานาประเทศมีความกังวลอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ยังมีสถานการณ์ที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจโลกมากขึ้นอีก ในวันนี้ (13 ส.ค.) “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวม 5 ประเด็นร้อนที่มีผลกระทบและสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจโลก รวมถึงมีนัยยะสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทยด้วยเช่นกัน ดังต่อไปนี้ 1 สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ความกังวลจากประเด็นความขัดแย้งทางการค้าของ 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก สร้างความวิตกมากขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์หลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ “โกลด์แมน แซคส์” ที่ประเมินว่าสหรัฐและจีนไม่น่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าได้ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า พร้อมได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ลง 0.2% สู่ระดับ 1.8% จากที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ 2.0% ด้วยเหตุผลว่าสงครามการค้าจะฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้นอีก ขณะที่นักลงทุนก็มีความกังวลมากขึ้นว่าสงครามการค้าจะส่งผลทำให้เกิด“ภาวะเศรษฐกิจถดถอย”ขึ้นด้วย ทั้งนี้ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนส่อแววว่าจะรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ทั่วโลกกำลังนับถอยหลังสู่วันที่ 1 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 10% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2562  สหรัฐประกาศเลื่อนการเก็บภาษี 10% ต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีนบางรายการ จากกำหนดการเดิมที่จะเริ่มเก็บ ในวันที่ 1 ก.ย ที่จะถึงนี้ออกไป ทั้งนี้รอยเตอร์ส ระบุว่า สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากจีนถูกชะลอการเก็บภาษีไปเป็นวันที่ 1 ธ.ค.นี้ และอย่างช้าที่สุด คือ 15 ธ.ค.นี้ ตัวอย่างเช่น แล็ปท็อป, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่นวิดีโอเกม, จอคอมพิวเตอร์ รวมถึงไปสินค้าอื่นๆ อาทิ เสื้อผ้า และ รองเท้า เป็นต้น แต่นั้นก็เป็นเพียงการเลื่อนระยะเวลาออกไปเท่านั้น นอกจากนี้ กระทรวงการคลังของสหรัฐเอง ได้ประกาศด้วยว่า “จีนเป็นประเทศที่ปั่นค่าเงิน” ซึ่งสร้างความบาดหมางระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นอีก และถึงแม้ว่าทางการจีนจะยืนยันว่าไม่ได้แทรกแซงค่าเงินตามที่สหรัฐกล่าวหา แต่ก็ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจน ที่สะท้อนว่าทางการจีนพยายามอุ้มเงินหยวนไม่ให้อ่อนค่าลงไปมากกว่านี้ ซึ่งขณะนี้ค่าเงินหยวนอยู่ระดับต่ำกว่า 7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้ตอบโต้สหรัฐด้วยการสั่งให้บริษัทของภาครัฐระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ ตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้กับนายทรัมป์ ระหว่างเวทีการประชุม G20 ที่นครโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น REUTERS/Damir Sagolj/File Photo 2 ข้อพิพาทแคชเมียร์ ระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศเพื่อนบ้าน “อินเดีย-ปากีสถาน” ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ ความไม่สงบในพื้นที่ “แคชเมียร์” เกิดขึ้นมานานแต่ไม่ได้รุนแรงขนาดที่สั่นคลอนความสัมพันธ์ทางการค้าและการทูตระหว่างกันเป็นเวลานาน จนกระทั่งล่าสุด รัฐบาลชาตินิยมของอินเดียได้ประกาศยกเลิกสถานะเขตปกครองตนเองพิเศษของเเคว้นเเคชเมียร์ ซึ่งใช้สถานะดังกล่าวมานานหลายสิบปี จนทำให้ฝั่งปากีสถานโกรธเคืองและไม่พอใจ อันเป็นเหตุให้รัฐบาลปากีสถานประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับอินเดีย สั่งขับไล่เอกอัครราชทูตอินเดียออกจากประเทศ นอกจากนี้ยังสั่งให้ระงับการค้าระหว่างสองประเทศ จากนั้นก็ยุติเส้นทางรถไฟที่เชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ และล่าสุด คือ การยกเลิกรถบัสเส้นทางกรุงนิวเดลี-ลาฮอร์ของปากีสถาน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของ บลูมเบิร์ก ระบุว่า มีโอกาสที่ความขัดแย้งของสองประเทศนี้จะลากยาวออกไปอีก ซึ่งหากมองในแง่ของผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังจากที่ระงับการค้าระหว่างกัน อาจส่งผลเสียต่อปากีสถานมากกว่าอินเดีย เพราะมูลค่าการค้า 2 ทางของทั้ง 2 ประเทศ ราว 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2018 คิดเป็นสัดส่วนการค้ารวมของปากีสถานราว 3% แต่เป็นสัดส่วนเพียง 0.3% ของการค้าทั้งหมดของอินเดีย ดังนั้น อีกหนึ่งวิธีการตอบโต้ที่ปากีสถานสามารถทำได้ ก็คือ การสั่งปิด “น่านฟ้า” เหมือนตอนที่เคยสั่งปิดในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากที่มีการปะทะกันทางอากาศระหว่างกัน จนส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุตสาหกรรมการบิน โดยเส้นทางบินที่บินออกจากภูมิภาคเอเชียไปทวีปอื่น ต่างได้รับผลกระทบทั้งหมดจากเหตุการณ์ครั้งนั้น REUTERS/Fabrizio Bensch 3 การประท้วงในฮ่องกง เหตุการประท้วงในฮ่องกงยังคงบานปลายและเข้าสู่สัปดาห์ที่ 11 จากชนวนความไม่พอใจต่อรัฐบาลฮ่องกง หลังจากที่ประกาศว่ากำลังพิจารณาใช้ร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยัง “จีนแผ่นดินใหญ่” ถึงแม้ว่านางแคร์รี ลัม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ได้ประกาศยุติการพิจารณากฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่กลุ่มผู้ชุมนุมยังประท้วงต่อเนื่อง เพื่อกดดันให้ผู้นำสูงสุดของฮ่องกงลาออกจากตำแหน่ง สถานการณ์ในฮ่องกงกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงต่อภาคธุรกิจว่าอาจจะถูก “ชัตดาวน์” เนื่องจากการประท้วงกำลังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของฮ่องกง ในฐานะที่เป็น “ศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลก”นอกจากนี้ การประท้วงยังลุกคืบมาถึงธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการอื่นๆ หลังจากที่ผู้ประท้วงหลายพันคนปักหลักอยู่ที่ท่าอากาศยานอาคารขาเข้า เพื่อต้องการส่งสารไปถึงผู้มาเยือนว่า ฮ่องกงต้องได้รับการปลดปล่อยจากแผ่นดินใหญ่ และอิสรภาพในการปกครองตนเอง เป็นต้น ทั้งนี้ ภาคธุรกิจทั้งการเงิน อย่าง ธนาคาร HSBC ที่ประกาศระงับให้บริการในบางสาขาในฮ่องกงแล้ว ยังมีภาคธุรกิจอื่นๆ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า ที่แสดงความคิดเห็นตรงกันว่า การประท้วงในฮ่องกงกำลังทำลายเศรษฐกิจของฮ่องกงเอง เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวกำลังลดลง ไม่มีลูกค้าเดินห้าง ขณะที่นักลงทุนเริ่มระงับแผนการลงทุนชั่วคราว โดยสภาหอการค้าอเมริกา และยุโรป ยืนยันว่า นักลงทุนชะลอแผนการลงทุนในฮ่องกง และมองว่าสถานการณ์การประท้วงไม่ได้เป็นแค่ “ระยะสั้น” แต่จะยาวนานมากกว่านี้ REUTERS/Issei Kato 4 ความขัดแย้งเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ประเด็นความไม่พอใจระหว่างสองเพื่อนบ้าน เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น อันที่จริงก็มีความแคลงใจกันมานาน ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนลุกลามใหญ่โตอีกครั้ง หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นประกาศถอดเกาหลีใต้ออกจาก “บัญชีสีขาว” ซึ่งเป็นรายชื่อสำหรับคู่ค้าที่ไว้ใจได้และใกล้ชิดกับญี่ปุ่น โดยจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ 28 ส.ค.นี้ และล่าสุด รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศเมื่อวานนี้ (12 ส.ค.) เตรียมตัดขาดญี่ปุ่นถอดออกจากรายชื่อประเทศคู่ค้าที่ได้รับความไว้วางใจ เรียกว่า “บัญชีขาว” เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลว่าญี่ปุ่นละเมิดหลักการสากล ด้วยการควบคุมการส่งออกวัตถุดิบที่มีความสำคัญต่อเกาหลีใต้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่จะถูกใช้มาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าบางอย่างมายังเกาหลีใต้ ทั้งนี้ การตอบโต้ไปมาระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ พูดได้ว่าแลกกันคนละหมัด ซึ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเกาหลีใต้แน่ๆ คือ วัสดุที่สำคัญในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากญี่ปุ่นทั้งหมด เช่น วัสดุในการผลิตจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และชิปหน่วยความจำ เป็นต้น ที่สำคัญคือ วัตถุดิบที่เกาหลีใต้พึ่งพาญี่ปุ่นยังไม่สามารถหาสิ่งทดแทนจากประเทศอื่นได้โดยเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ก็ตอบโต้ญี่ปุ่นอย่างสาหัสเช่นกัน โดยภาคประชาชนชาวโสมขาวต่างแห่ “แบน”สินค้าญี่ปุ่นทุกรายการ ตั้งแต่ชิ้นเล็กๆ อย่าง ปากกา เบียร์ ขนมคบเขี้ยว ไปจนถึง เสื้อผ้าแบรนด์เนม สินค้าหรู และรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น ทั้งนี้ นายไทเมอร์ เบก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก ดีบีเอส กรุ๊ป รีเสิร์ช มองว่า บริษัททั้งของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างก็ต้องใช้เวลาเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ ยิ่งสถานการณ์ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ตึงเครียดมากเท่าไหร่ ก็ย่อมส่งผลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของโลกมากเท่านั้น ในฐานะที่เป็นผู้ส่งออกชิพและจอสมาร์ทโฟนรายใหญ่ ขณะที่ผู้บริโภคอาจจะต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าแพงขึ้น ถือเป็นการผลักภาระมาให้ผู้บริโภค REUTERS/Kim Hong-Ji 5 เบร็กซิท โลกกำลังเค้าดาวน์ก่อนถึงวันครบกำหนดการ “เบร็กซิท” หรือ การถอนตัวออกจากประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) ในวันที่ 31 ต.ค.ที่จะถึงนี้ หลังจากที่เคยเลื่อนวันเบร็กซิทมาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือ วันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา บวกกับความไม่แน่นอนของการเมืองอังกฤษที่เพิ่มขึ้น หลังจากในวันที่ 7 มิ.ย. นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งอังกฤษประกาศลาออกจากตำแหน่ง และเปลี่ยนผ่านตำแหน่งไปสู่ “บอริส จอห์นสัน”นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งเสียงตอบรับต่างเรียกขานเขาว่าเป็น “ทรัมป์แห่งลอนดอน” ท่ามกลางคาดการณ์จากหลายแห่งกังวลว่า มีโอกาสที่จะเกิด “โนดีลเบร็กซิท” ในสมัยการบริหารของนายจอห์นสัน ขณะที่ล่าสุด นักการทูตรายหนึ่งในกรุงบรัสเซลส์ กล่าวกับ “ดิ การ์เดียน” เผยว่า เขาได้รับรายงานว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษไม่มีความประสงค์จะกลับมาเจรจาข้อตกลงถอนตัวใหม่อีกครั้งขณะที่นักวิเคราะห์จากหลายๆ ประเทศสมาชิกอียู ต่างชี้ว่า “โนดีล” เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของเขา เนื่องจากเขาเป็นหัวหอกในการเรียกร้องให้มีประชามติเบร็กซิทจากประชาชน ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนกับการเบร็กซิทแบบไร้ข้อตกลงที่มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อ “เงินปอนด์” ให้อ่อนค่าลงเรื่อยๆ โดยเมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 1.0724 ต่อยูโร เป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี นับจากเดือน ส.ค. 2017 ขณะที่ปีที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์เทียบเงินบาทอยู่ที่ราว 40 บาท/ปอนด์ แต่ ณ วันที่ 13 ส.ค.อยู่ที่ 37.27 บาท/ปอนด์ REUTERS/Toby Melville คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่!! …ช็อกตลาดโลก! สหรัฐเลื่อนเก็บภาษี 10% สินค้าจีนบางรายการ คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่!! …จีนตอบโต้อเมริกา “ระดับ 11” โลกจ่อ “รีเซสชั่น” ในอีก 9 เดือน คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่!! …จาก “สงครามการค้า” ลามสู่ “สงครามค่าเงิน” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-360204

จำนวนผู้อ่าน: 1751

14 สิงหาคม 2019

ช็อกตลาดโลก! สหรัฐเลื่อนเก็บภาษี 10% สินค้าจีนบางรายการ กระตุ้นตลาดหุ้นคึกคัก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความฮือฮาอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2562  ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีประกาศเลื่อนการเก็บภาษี 10% ต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีนบางรายการ จากกำหนดการเดิมที่จะเริ่มเก็บ ในวันที่ 1 ก.ย ที่จะถึงนี้ รายงานของ รอยเตอร์ส ระบุว่า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากจีนถูกชะลอการเก็บภาษีไปเป็นวันที่ 1 ธ.ค.นี้ และอย่างช้าที่สุด คือ 15 ธ.ค.นี้ ตัวอย่างเช่น แล็ปท็อป, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่นวิดีโอเกม, จอคอมพิวเตอร์ รวมถึงไปสินค้าอื่นๆ อาทิ เสื้อผ้า และ รองเท้า เป็นต้น ไม่เพียงเท่านี้ ในคำแถลงการณ์ยังระบุถึง “การยกเว้นภาษี” ให้กับสินค้าจีนบางรายการ เช่น สินค้าด้านสุขภาพ, ด้านความปลอดภัย และสินค้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ นอกจากนี้ รายงานระบุด้วยว่า คำแถลงการณ์ของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ มีขึ้นไม่กี่นาทีหลังจากที่ นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีของจีน ได้ต่อสายตรงเพื่อเจรจาพูดคุยกับผู้แทนของฝั่งการค้าสหรัฐ ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวยังสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้น ซึ่งในวันที่ 12 ส.ค. ตามเวลาของวอชิงตัน หุ้นของ “แอปเปิ้ล” (AAPL.O) พุ่งขึ้นมากกว่า 5% ขณะเดียวกัน ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้นมากกว่า 500 จุด สำหรับความเคลื่อนไหวของ ประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งทวีตข้อความในวันเดียวกัน ระบุว่า “โดยปกติแล้วจีนจะต้องซื้อสินค้าเกษตรล็อตใหญ่จากอเมริกัน แต่พวกเขายังไม่ได้ทำตามในสิ่งที่พูดไว้ บางทีพวกเขาอาจทำอะไรที่แตกต่างออกไป!” นักวิเคราะห์บางราย มองว่า ในวันพรุ่งนี้ (14 ส.ค.) ตลาดโลกน่าจะเห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนขึ้นจากทางการจีน อย่างน้อยจีนอาจจะประกาศเตรียมซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐเพื่อเป็นการตอบแทน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-360301

จำนวนผู้อ่าน: 1681

14 สิงหาคม 2019

“การบินไทย” ฮึดสู้ชูกลยุทธ์ “ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้” ฝ่าวิกฤตแอร์ไลน์

“การบินไทย” กัดฟันฝ่าวิกฤต แจงกลยุทธ์ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้ หลังเจอเศรษฐกิจซบเซา-บาทแข็ง-เทรดวอร์-ปิดน่านฟ้าปากีฯ ซัดแอร์ไลน์อ่วม พร้อมเคราะห์ซ้ำซ่อมฝูงบินล่าช้าทำปริมาณการผลิตฮวบ เผยจะยึดหลักไม่กระทบคุณภาพบริการ ขอกำลังใจคนไทยช่วยสายการบินแห่งชาติพ้นวิกฤต นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การบินไทยเตรียมปรับกลยุทธ์ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ หลังเผชิญวิกฤตปัจจัยภายนอก อาทิ บาทแข็ง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เศรษฐกิจโลกซบเซา และการปิดน่านฟ้าของปากีสถาน ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวและกำลังซื้อของลูกค้าลดลง ประกอบกับความล่าช้าของการซ่อมเครื่องยนต์ของทางผู้ผลิตทำให้ปริมาณการผลิตและจำนวนเครื่องบินที่ให้บริการลูกค้าลดลงซ้ำอีก สุเมธ ดำรงชัยธรรม แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ใช้ทุกมาตรการในการควบคุมต้นทุนจนค่าใช้จ่ายในไตรมาสที่ผ่านมาให้ลดลงต่ำกว่าปีก่อนสำเร็จ แต่ปัจจัยภายนอกต่างๆ ก็ยังส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มีการขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับสายการบินอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทฯ ได้ระดมความคิดในกลุ่มผู้บริหารกำหนดแนวทางในการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนที่สุด ดังนี้ 1. กลยุทธ์ “SaveTG Co-Creation” ควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการ โดยบริษัทฯ ได้ประกาศเป็นมาตรการลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งให้เปิดพนักงานและผู้โดยสารทุกภาคส่วนระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะมายังผู้บริหาร 2. กลยุทธ์ Zero Waste Management โดยจะเริ่มที่ Food Waste ก่อน เพื่อประหยัดและสร้างมูลค่าเพิ่ม (Circular Economy) ให้ทั้งกับองค์กรและประเทศชาติโดยรวม ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มมีการศึกษาร่วมกันกับทาง FoodInnoPolis เพื่อกำหนดแผนงานปฏิบัติแล้ว 3. กลยุทธ์การรุกตลาดใหม่ในไตรมาส 4 ของปี 2562 คือ บินตรงสู่เซนได อีกหนึ่งเมืองใหญ่ที่สวยงามทุกฤดูกาลในภูมิภาคโทโฮคุของญี่ปุ่น 4. กลยุทธ์การเพิ่มรายได้ด้วย Digital Marketing อาทิ การออกโปรโมชั่นผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อดึงฐานลูกค้ากลุ่ม Online มากขึ้น โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนหน้าตาและเพิ่มความสะดวกให้ Application Thai Airways สามารถจองบัตรโดยสาร ค้นหาเที่ยวบิน โปรโมชั่นบัตรโดยสาร และนำเสนอสิทธิประโยชน์ รวมถึงได้ปรับปรุงให้แอปฯ สามารถเพิ่มรายได้ โดยการเสนอการขายผลิตภัณฑ์เสริม (Ancillary Product) อาทิ น้ำหนักกระเป๋าสัมภาระ ประกันภัยการเดินทาง รถรับส่งสนามบิน รถเช่า โรงแรม เป็นต้น รวมทั้งเพิ่มภาษาต่างๆ ได้ด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการเพิ่มรายได้เสริมอื่นๆ อาทิ โครงการการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ eCommerce ซึ่งบริษัทฯ ได้คัดเลือกผู้จัดจำหน่าย (eCommerce Vendor) ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในด้านการดำเนินธุรกิจกับสายการบินชั้นนำของโลกเรียบร้อยแล้วและคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม 2562 5. กลยุทธ์ THAI Synergy การบินไทยมีสินค้าและบริการที่สามารถผสานพลังกับพันธมิตร โครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้คือการผสานกับ Café Amazon ในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชีย 6. กลยุทธ์ TG Group การบินไทยผนึกไทยสมายล์ เพื่อให้เครือข่ายการบินเชื่อมต่ออย่างเป็นระบบ สะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร รุกตลาดในภูมิภาคอย่างเต็มที่ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ และที่สำคัญคือ ดำเนินการให้สายการบินไทยสมายล์เข้าร่วมเป็น Connecting Partner ของกลุ่มพันธมิตรสายการบินสตาร์อัลไลแอนซ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบภายในสิ้นปี 2562 เพื่อช่วยเสริมความเข้มแข็งของเครือข่ายเส้นทางบินในระดับภูมิภาค “ตั้งแต่ผมเข้ามารับหน้าที่ที่การบินไทย 11 เดือนมาแล้ว ไม่มีวันไหนไม่มีปัญหา เราทั้งคณะกรรมการ บริษัทฯ ฝ่ายบริหาร รวมถึงพนักงานทำงานกันหนักมาก เพราะตระหนักดีว่า นี่คือสายการบินแห่งชาติ ไม่มีปัญหาไหนแก้ได้ง่าย แต่เราพยายามอย่างที่สุด ด้วยกลยุทธ์ที่กล่าวข้างต้น เราเชื่อว่าเราจะนำความมั่นใจกลับมาสู่การบินไทยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าอาจจะไม่รวดเร็วดั่งใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของผู้โดยสารคนไทยที่ยังรักในการบินไทย มาช่วยกันใช้บริการ ช่วยกันแนะนำ ภายใต้แนวคิด #SaveTG ผมและพนักงานทุกคนมั่นใจว่าเป้าหมายทุกอย่างเป็นไปได้แน่นอน” นายสุเมธกล่าว ทั้งนี้ จากวิกฤตการณ์ต่างๆ แม้ว่าจะเกิดความยากลำบากในการบริหารจัดการภายใน แต่บริษัทฯ ได้เลือกทางที่จะสร้างผลกระทบต่อคุณภาพการบริการให้น้อยที่สุด โดยเชื่อว่ากำลังใจและการสนับสนุนจากคนไทยและผู้รักความเป็นไทยทั้งโลกจะช่วยให้การบินไทยกลับมาบินสมฐานะสายการบินแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-359908

จำนวนผู้อ่าน: 1824

14 สิงหาคม 2019

EEC ผนึก อบจ.ระยอง นำร่องป้อนขยะ 500 ตัน เข้าโรงไฟฟ้าขยะ GPSC

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ. หรือ เลขาฯ EEC) กล่าวว่า จากปัญหาขยะมูลฝอยที่สูงถึง 4,268 ตัน/วัน ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงกำหนดแผนบริหารจัดการปัญหาขยะโดยเร่งขยายผลต้นแบบนำร่อง “โครงการบริหารจัดการขยะครบวงจร จังหวัดระยอง” (Rayong Waste to Energy Project) ที่เป็นความร่วมมือระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ในเครือ ปตท. ที่จะนำขยะที่ได้จากการคัดแยกมาป้อนเข้าสู่โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ขนาด 10 เมกะวัตต์ สามารถกำจัดขยะได้สูงถึง 500 ตัน/วัน ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากขยะในหลุมฝังกลบได้มากกว่า 220,000 ตัน/ปี รวมถึงผลตอบแทนทางอ้อม ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นมีรายได้จากโครงการ เช่น สารปรับปรุงดิน ประหยัดงบการสร้างหลุมฝังกลบ รายได้จากค่าบำบัดน้ำเสีย รายได้น้ำดิบ รวมประมาณ 2,323 ล้านบาท ยังไม่นับรวมค่าจ้างกำจัดขยะอีก 100 บาท/ตัน และจะขยายผลของโครงการฯ ที่จะเร่งส่งเสริมการตั้งโรงไฟฟ้า RDF ภายในพื้นที่ ซึ่งจะรองรับปริมาณขยะที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงการนำขยะฝังกลบ มาทยอยกำจัดควบคู่ไปด้วย สำหรับการบริหารตัดการขยะใน EEC จะอยู่ภายใต้ตามแผนยุทธศาสตร์ 4 ข้อ คือ 1.การจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่น การกำจัดกับปริมาณขยะมูลฝอย ความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย 2.การส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเมืองและชุมชนอย่างน่าอยู่ โดยมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเมือง 3.การส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เปิดโอกาสให้ประชาชนหรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมและสร้างกลไกการตรวจสอบการปล่อยมลพิษและของเสีย 4.การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งป่าต้นน้ำและดิน เป็นต้น ข้อมูลสำรวจจากกรมควบคุมมลพิษ พ.ศ. 2561 เปิดเผยให้เห็นว่า พื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีปริมาณขยะมูลฝอย 4,268 ตัน/วัน แบ่งเป็นจังหวัดชลบุรีมีปริมาณขยะรวม 2,591 ตัน/วัน รองลงมาคือระยองมีปริมาณขยะ 967 ตัน/วัน และฉะเชิงเทรามีปริมาณขยะเกิดขึ้นรวม 709 ตัน/วัน รวมทั้งยังมีขยะที่รับจากกรุงเทพฯ เพื่อกำจัดในพื้นที่ฉะเชิงเทรา อีกสูงถึงวันละ 2,000 – 3,000 ตัน/วัน () และที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อประชากรเพิ่มขึ้น ปริมาณขยะก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ที่ผ่านมา การกำจัดขยะในพื้นที่ EEC ส่วนใหญ่จะใช้ระบบฝังกลบ เพราะมีต้นทุนต่ำและใช้เทคโนโลยีไม่ซับซ้อน และปัจจุบันเขตฝังกลบขยะใน EEC ได้กระจายตัวจนเกือบเต็มพื้นที่แล้ว และยังเปิดใช้งานมากว่า 10 ปี จึงทำให้ไม่สามารถรองรับปริมาณขยะที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้เพียงพอ รวมทั้งปริมาณขยะที่จะเกิดขึ้นอนาคต ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-360000

จำนวนผู้อ่าน: 2638

14 สิงหาคม 2019

SET ไต่ขึ้นรับแรงส่งราคาน้ำมันดีดตัว-สหรัฐขอเพิ่มเพดานหนี้ออกไป 2 ปี

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 23 ก.ค.62 ว่า วันนี้มองตลาดแกว่ง SideWay ให้น้ำหนักอิงทางแดนบวกอ่อนๆ จากภาวะหุ้นต่างประเทศที่ส่งเซนติเมนต์เชิงบวกกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น 2 วันติดต่อกัน สำหรับหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้นก็มาจากสหรัฐใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการขยายเพดานหนี้ออกไปอีก 2 ปี รวมถึงมีกระแสข่าวว่า สหรัฐน่าจะมีการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนอีกครั้งในสัปดาห์หน้า มองแนวรับอยู่ที่ 1,724-1,715 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,735-1,740 จุด อย่างไรก็ดีกลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้ยังคงตั้งรับหากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาก็ “ซื้อ” ขึ้นมาก็ “ขาย” เก็งกำไรอยู่ในกรอบ 1,715-1,750 จุด สัปดาห์นี้ต้องติดตาม 1.ตัวเลขภาคการผลิต(PMI) ทั่วโลกในเดือน ก.ค.62 ที่จะประกาศในวันพรุ่งนี้(24 ก.ค.) และ 2.การแถลงนโยบายของรัฐบาลไทยต่อรัฐสภาในวันที่ 25-26 ก.ค.นี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-352560

จำนวนผู้อ่าน: 1798

23 กรกฎาคม 2019

ค่าเงินบาท​ทรง​ตัวที่​ 30.85 บาท​ต่อ​ดอลลาร์​ นักลงทุนกำดอลลาร์​พักความเสี่ยง

นายจิติพลพฤกษาเมธานันท์ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุนธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า​ ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้​ (23​ ก.ค.)​ ที่ระดับ30.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อน ทั้งนี้​ ผู้ค้าในตลาดเงินซื้อขายกันอย่างเบาบางในช่วงต้นสัปดาห์โดยนักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะถือดอลลาร์เพื่อพักความเสี่ยงเพราะในสัปดาห์นี้มีทั้งการเลือกนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่อาจกดให้เงินปอนด์อ่อนค่าและการประชุมธนาคารกลางยุโรปที่จะส่งผลให้เงินยูโรผันผวนขณะที่ผู้ส่งออกส่วนใหญ่รอขายดอลลาร์ที่ระดับ31.00 บาทแต่ปริมาณการนำเข้าที่ชะลอตัวลงในช่วงนี้ก็ชี้ว่าตลาดไม่มีแรงซื้อดอลลาร์ให้ปรับตัวขึ้นไปถึงระดับดังกล่าวได้เช่นกัน  สำหรับ​กรอบค่าเงินบาทวันนี้​อยู่​ที่​ 30.80-30.90 บาทต่อดอลลาร์ นายจิติพล​กล่าวว่า​ ในคืนที่ผ่านมาตลาดการเงินทั่วโลกมีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยแม้สภาคองเกรสจะผ่านร่างกฏหมายเพดานหนี้สหรัฐแต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังรอฟังผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีอยู่ดัชนีS&P500 ของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเพียง0.3% ส่วนดัชนีSTOXX50 ของยุโรปและดัชนีFTSE100 ของอังกฤษปรับตัวขึ้น0.3% และ0.1% ตามลำดับ  ส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจภายในประเทศ​ กระทรวงพาณิชย์รายงานยอดการส่งออกในเดือนมิถุนายนหดตัว2.1% จากปีก่อนหน้าดีกว่าที่ตลาดมองไว้เนื่องจากมีการส่งออกทองคำที่เติบโตถึง317.4% ในเดือนนี้ส่วนยอดการนำเข้าหดตัวลง9.4% ชี้ว่าการผลิตในไทยกำลังได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าที่ยังคงยืดเยื้อ “วันนี้ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษคาดว่านายBoris Johnson จะได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษและมีแนวโน้มจะผลักดันให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลง(No Deal Brexit) ส่งผลให้ความวุ่นวายทางการเมืองในยุโรปจะกลับมาเป็นปัญหาอีกครั้ง”  นายจิติพลกล่าว   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-352550

จำนวนผู้อ่าน: 1933

23 กรกฎาคม 2019

อภิปรายไม่ไว้วางใจดีเดย์กันยา จี้จุดตาย รัฐมนตรีสีเทา-ประโยชน์ทับซ้อน

รายงานพิเศษ 7 พรรคฝ่ายค้านนำโดยพรรคเพื่อไทย เตรียมเปิดศักราชซักฟอกรัฐบาลเต็มอัตราศึกในฐานะฝ่ายค้านเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 246 เสียง (รวมนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) หลังจาก “ลับมีด” รอสับรัฐบาลในสภาตั้งแต่ 22 พ.ค. ที่มีการเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกาศตัวเป็น “ฝ่ายค้านคุณภาพ” ในจังหวะที่พี่คนกลาง สายแข็งบูรพาพยัคฆ์ ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2/1 “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รมว.มหาดไทย ยินดีให้ฝ่ายค้านตรวจสอบ “เป็นเรื่องดีอย่างมากในระบอบประชาธิปไตย ผู้ใช้อำนาจต้องถูกตรวจสอบและถ่วงดุล ทั้งในเรื่องความโปร่งใส แผนงานโครงการต้องมีการติติงกัน ถ้าเป็นในลักษณะนี้ คนที่ได้ประโยชน์คือประเทศชาติและประชาชน สามารถชี้ให้เห็นได้ว่าดี ไม่ดีอย่างไร” “เท่ากับว่าเติมเต็มให้กันและกัน มีคนคอยร่วมพิจารณาให้ข้อเสนอแนะก็คงจะดี และไม่คิดว่าจะทำให้การทำงานของรัฐบาลยากขึ้น เพราะฝ่ายบริหารใช้อำนาจไปทุกหย่อมหญ้าทั้งประเทศ ถ้ามีฝ่ายการเมืองช่วยตรวจสอบและถ่วงดุลก็ทำให้เกิดประโยชน์” เพื่อไทยขันนอตอย่ายั้งมือ การทำงานของฝ่ายค้าน 7 พรรค ที่เตรียมตัวเผด็จศึกรัฐบาล จึงต้องทำงานอย่าง “เร่งรัด” ปั่นกระแส “ยี้” รัฐบาลประยุทธ์ 2/1 ให้จุดติดในสังคมจริงและสังคมโซเชียล หวังให้ทัน “เส้นตาย” ปิดประชุมสมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ ดังนั้น “ปลอดประสพ สุรัสวดี” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย วิเคราะห์สถานการณ์การเมือง สั่ง ส.ส.ในพรรคเตรียมพร้อมการเป็น “รัฐบาล” ตลอดเวลา เพราะในยามที่เสียงฝ่ายรัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้านไม่ถึง 10 เสียง โอกาสการเมืองพลิกขั้วอยู่แค่พริบตา และขอให้ทำหน้าที่ “ฝ่ายค้าน” อย่างเต็มที่ อย่ายั้งมือว่าเพื่อไทยที่แตกตัวไปอยู่พลังประชารัฐ “เคยเป็นพรรคพวกเดียวกัน” เตรียมอัดรัฐบาล 16 ชั่วโมง วาระซักฟอก-แผนเผด็จศึกรัฐบาลของ “ฝ่ายค้าน” ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ใน 3 เหตุการณ์ ช่วงแรก ช่วงแถลงนโยบายของรัฐบาล 2 วัน ตั้งแต่ 25-26 ก.ค. แต่อาจมีแนวโน้มขยายไป 3 วัน ถึง 27 ก.ค.  “เพื่อไทย” จัดหนัก วางทีมอภิปรายไว้ 15 ทีม ใน 15 ด้าน ไม่นับรวมมืออภิปรายจากอีก 6 พรรค อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย ประชาชาติ เพื่อชาติ เศรษฐกิจใหม่ พลังปวงชนไทย มีการแบ่งเวลาให้ “ฝ่ายค้าน” ซักฟอกรัฐบาล 16 ชั่วโมง เพื่อไทยได้เวลา 8 ชั่วโมงครึ่ง ขณะที่พรรคร่วม 6 พรรค จัดสรรเวลาที่เหลือให้ครบ 16 ชั่วโมง “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะวิปฝ่ายค้านระบุว่า การอภิปรายนโยบายรัฐบาล เพื่อไทยอภิปรายบุคคลที่กำกับนโยบาย 1.นายกรัฐมนตรี 2.รัฐมนตรี ว่าจะนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ 3.ผู้ที่นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ เช่น ข้าราชการ ที่เป็นแข้งขาของรัฐบาล ว่าเขามีความพร้อม มีศักยภาพเพียงพอหรือไม่ 4.การมีส่วนร่วมภาคประชาชน เพราะประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ และเป็นประโยชน์กับประชาชนหรือไม่ 5.สอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติที่ คสช.เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ 6.เป็นไปตามแผนปฏิรูปหรือไม่ “จะตรวจสอบแนวทางการทำนโยบายของรัฐบาลว่ามาจากพรรคไหนอย่างไร ไปสัญญากับประชาชนไว้ เอามาทำได้จริงหรือไม่ และจะทำได้หรือไม่ มีผลกระทบอะไรหรือไม่ ต้องใช้เงินมากน้อยอย่างไร เป็นมุมที่จะดูแล้วแต่ใครจะรับมอบหมายอย่างไร ใช้รัฐธรรมนูญเป็นตัวหลัก” นอกจากนี้ จะมีการ “เจาะ” นโยบายเป็นเรื่อง เช่น นโยบายเรื่องกัญชา การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุจริตคอร์รัปชั่น จะมีการวางผู้อภิปรายเฉพาะเรื่อง “เหมือนกับทีมฟุตบอล ผู้เล่นเรามีความสามารถถนัดด้านไหน และมอบหมายให้ทำตรงนั้นให้ชัด” นพ.ชลน่านระบุ และไม่ได้มีแค่ “นโยบายขายฝัน” ที่ฝ่ายค้านจองกฐินซักฟอก แต่จะหยิบ “คุณสมบัตินายกฯ” และ “รัฐมนตรี” ที่ก้ำกึ่งไม่ผ่านรอบคัดเลือกเพราะมีประวัติสีเทา อย่างน้อย 7 คน มาอภิปรายคุณสมบัติเรียงตัว นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรื่องพวกนี้ต้องถูกหยิบมาพูดให้ประชาชนรับทราบว่า คนที่เขากำกับดูแลแต่ละกระทรวงมีคุณสมบัติอย่างไร ถ้ามีคุณสมบัติไม่เหมาะสม มีผลประโยชน์ทับซ้อน หากเขาหลุดจากรัฐมนตรีไป นโยบายที่แถลงจะนำไปสู่ความสำเร็จในทางปฏิบัติก็ไม่มี จะต้องเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีหรือเปล่า ยื่นศาล รธน.ปลดจากตำแหน่ง ช่วงที่ 2 หลังอภิปรายนโยบายรัฐบาลและช่วงพิจารณากฎหมายงบประมาณปี 2563 “ทีมฝ่ายค้านกาปฏิทิน” ใช้สิทธิ ส.ส. 50 คน เข้าชื่อยื่นถอดถอนรัฐมนตรีสีเทาในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2/1 ใครมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม-มีลักษณะต้องห้าม ฝ่ายค้านเตรียม 2 มาตรการ 1.ยื่นกระทู้ถาม 2.เข้าชื่อร่วมกันยื่นผ่านประธานสภาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 เหมือนกรณี 32 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ถือหุ้นสื่อ ปักหมุด ก.ย.อภิปรายไม่ไว้วางใจ ช่วงที่ 3 เป็นมาตรการที่รุนแรงที่สุด คือ “การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล” เพราะเปิดช่องให้ “ฝ่ายค้าน” สามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทุกสมัยประชุม “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้าน จึงประกาศว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก่อนสิ้นสมัยประชุมสามัญในเดือนกันยายนนี้ ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป เดือนกันยายนจะกลายเป็นช่วงเวลาที่ระทึกขวัญฝ่ายรัฐบาลอีกครั้ง “นพ.ชลน่าน” แย้มเรื่องการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า พรรคฝ่ายค้านสามารถยื่นญัตติได้ในเดือน ส.ค. หรือ ก.ย. เวลานั้นจะเป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะรัฐบาลทำงานได้ 1-2 เดือนจะเห็นผลงาน บางอย่างไม่ใช่เรื่องการทำงานในขณะนี้ แต่เป็นความไม่เหมาะสมตั้งแต่ต้น เป็นลักษณะต้องห้ามตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ตำแหน่ง แม้ว่า คสช.ยุติบทบาทไปแล้ว แต่เราพูดถึงคุณสมบัติบุคคลที่มาเป็นรัฐมนตรี แม้มาจาก คสช. แต่ไม่ได้สนใจว่ามาจากไหน อย่างไร แต่เป็นคุณสมบัติที่เหมาะสม มีคุณสมบัติขัดกับรัฐธรรมนูญกำหนด ในสภาเข้มแข็ง ไม่พึ่งขามวลชน ย้อนกลับไปในปี 2552-2554 พรรคเพื่อไทยเคยเป็น “ฝ่ายค้าน” รุกไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เวลานั้น “เพื่อไทย” มี “ฝ่ายค้าน” เป็นขาในสภา และมีแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านรัฐบาลแห่งชาติ (นปช.) เป็นขานอกสภา เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็น “ฝ่ายค้าน” อีกรอบ ยังจำเป็นต้องมี “ขามวลชน” นอกสภาหรือไม่ “จตุพร พรหมพันธุ์” ประธาน นปช.กล่าวว่า ตนเคยอยู่ในฐานะ 2 อย่างมาพร้อม ๆ กัน เป็นทั้ง ส.ส.ในสภา และเป็นแกนนำ นปช. มีช่วงเวลาที่เป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าถ้าในสภามีความเข้มแข็ง ข้างนอกจะเบาแรงลงไป และขณะนี้สถานการณ์ของบ้านเมืองไม่เคยพบมาก่อนที่เสียงของฝ่ายค้านกับรัฐบาลมีความปริ่มน้ำได้เพียงนี้ ดังนั้น เวทีรัฐสภาจึงมีบทบาทที่สำคัญ “ถ้าเวทีรัฐสภามีความแข็งแรงก็ไม่ต้องเดือดร้อนประชาชน ประชาชนแค่แสดงความคิดเห็นตามที่กรอบกฎหมายกำหนด และบ้านเมืองจะได้เดินในรูปแบบปกติ เพราะเวทีประชาธิปไตยทั้งโลก คือ เวทีที่ฝ่ายค้านต้องล้มรัฐบาล ไม่ใช่ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล” ปรับยุทธศาสตร์ก่อนล้มเหลว อย่างไรก็ตาม “จตุพร” ใช้สิทธิ์ผู้นำขามวลชน “ท้วงติง” ฝ่ายค้านว่า “สำคัญที่สุดคือจะต้องปรึกษาหารือและวางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน เพราะช่วงที่ผ่านมาถูกกลบด้วยประเด็นที่เป็นเปลือก เช่น เสื้อผ้า หน้าผม ภาษา แทนที่จะพูดเรื่องความชอบธรรม เรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่น ปัญหาปากท้อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งสมควรเป็นแก่น แต่ถูกกลบด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จะทำให้ฝ่ายค้านเสียโอกาส ถ้ายังไม่ปรับยุทธศาสตร์เสียใหม่จะยิ่งถลำลึกไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดจะเป็นฝ่ายค้านที่ล้มเหลว” “ดังนั้น อะไรที่ข้ามได้ โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นเปลือก ต้องรีบวาง และต้องมุ่งสิ่งที่เป็นแก่น ผมวาดหวังว่าฝ่ายค้านต้องรีบปรับตัวเสียใหม่ เพราะถ้าอยู่แบบเดิม อยู่ด้วยความเกรงใจกัน เปิดแต่ละประเด็นแล้วกองเชียร์หลับหูหลับตาเชียร์กันไป ก็ไปไม่รอดอยู่ดี เมื่อฝ่ายตรงข้ามรู้ทัน เขาก็ประกบแต่เรื่องเหล่านี้ ทำให้การเมืองเรื่องใหญ่ถูกกลบด้วยเรื่องปลีกย่อย เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง” “ดังนั้น ไม่ควรให้ประชาชนแบกภาระ ฝ่ายค้านควรจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ รัฐบาลปริ่มน้ำหายากในประวัติศาสตร์ ถ้าฝ่ายค้านมีความชอบธรรม รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ เพราะในอดีตเสียงข้างมากก็แพ้กับความชอบธรรม และสมัยประชุมนี้เหลือไม่กี่เดือนแล้ว เพราะรัฐบาลตั้งช้ากว่าสมัยประชุม เวลาตรวจสอบก็น้อยลง เพราะต้องปิดสมัยประชุม ดังนั้น ฝ่ายค้านต้องรีบทำเพราะเวลามีไม่มาก ถ้าติดที่เปลือกก็จบได้เท่านี้” จตุพรทิ้งท้าย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-352004

จำนวนผู้อ่าน: 1851

23 กรกฎาคม 2019

ล้งมหา’ลัยจีนบุกราชมงคล ฟันค่าต๋ง-คุมหลักสูตรไทย

pixabay วิพากษ์สนั่นวงการศึกษา มหา’ลัยรัฐ-เอกชน เปิดศึกแย่งเด็กจีนเข้าเรียนบางมหา’ลัยจีนคุมหลักสูตรเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะกลุ่ม “ราชมงคล” ด้านเอเยนซี่ฝั่งจีนฟันกำไรหลักแสน เมื่อตรวจสอบเว็บไซต์คนกลางฝั่งจีนไม่มีวุฒิ ม.6 เข้าเรียนมหา”ลัยในไทยได้ บางรายออร์เดอร์นักศึกษา 1,000 คน จ่ายค่าตอบแทน 50% นักวิชาการกังวลส่งผลต่อภาพลักษณ์การศึกษาในอนาคต อาศัย MOU เป็นใบเบิกทาง แหล่งข่าวจากแวดวงธุรกิจการศึกษาเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าจากปัญหานักศึกษาที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ 10-50% ส่งผลให้สถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาตั้งรับด้วยการเปิดรับนักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนเข้ามาเรียนมากขึ้น ขณะนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงการศึกษาที่ได้เห็น “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล” ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐเข้ามาเล่นในตลาดจีนด้วยเช่นกัน จนทำให้เกิด “ปรากฏการณ์” ขึ้น 4 เรื่องในขณะนี้คือ 1) ในบางสถาบันที่ไม่มีความพร้อม แต่ต้องการเปิดหลักสูตรใหม่เพื่อรับนักศึกษาจีน ยอมให้บุคลากรจากจีนเข้ามาออกแบบหลักสูตรให้ 100% ทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถทำได้ จึงต้องอาศัยการลงนามข้อตกลงร่วม (MOU) เป็นช่องทางให้ดำเนินการได้ โดยให้เหตุผลว่าเป็นการพัฒนาหลักสูตรร่วมกัน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำธุรกิจทำให้สามารถดำเนินการได้ 2) จากเดิมที่มีมหาวิทยาลัยเอกชนทำตลาดจีนเป็นหลักในช่วงผ่านมา แต่พบว่ายังมีข้อจำกัดอยู่คือ “ค่าเทอมแพง” ดังนั้น การเข้ามาในตลาดนี้ของมหาวิทยาลัยรัฐอย่างสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ทำให้นักศึกษาจีนมีทางเลือกมากขึ้น ที่สำคัญอัตราค่าเทอมค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยเอกชน เนื่องจากมหาวิทยาลัยของรัฐมีระดับเพดานกำหนดค่าเทอมไว้ 3) เกิดธุรกิจ “คนกลาง” ทั้งในฝั่งจีนและฝั่งไทยมากขึ้น เพื่อจัดหานักศึกษาตามที่ต้องการ โดยได้รับค่าตอบแทนตั้งแต่ระดับ10,000-30,000 หยวน/หัว หรือประมาณ 50,000-150,000 บาท ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับระดับความยากง่ายในการเข้าเรียนของสาขานั้น ๆ อีกทั้งส่วนเกินที่เกิดขึ้นที่ต้องจ่ายเป็น “ค่าคอมมิสชั่น” โดยสถาบันการศึกษาไทยอาจได้รับผลประโยชน์เหล่านี้ด้วยหรือไม่ และ 4) บางมหาวิทยาลัยใช้บริการเอเยนซี่ของจีนเพื่อจัดหานักศึกษาลอตใหญ่ประมาณ 1,000 คน ด้วยการให้มหาวิทยาลัยในไทยจูงใจด้วยการจ่ายเงินก่อน 50% ของอัตราค่าเทอม หากการันตีว่าสามารถดำเนินการได้ตามเป้า “ปัญหาคือเมื่อเข้ามาเรียนแล้ว การทำหลักสูตรจะถูกกำหนดจากฝ่ายจีน ฉะนั้น จึงมีข้อกังวลที่ว่าหลักสูตรดังกล่าวจะได้มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งหากมองในแง่จรรยาบรรณตั้งแต่ต้นทางก็ไม่ควรทำในลักษณะนี้ ถ้าพวกเขามีความหวังดีต่อการศึกษาไทย ที่สำคัญผลประโยชน์ส่วนต่างที่เกิดขึ้น คนในสถาบันมีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่ ตรงนี้คนในวงการต่างทราบกันทั้งนั้น แต่ไม่มีหลักฐานเท่านั้นเอง และในจังหวะที่นักศึกษาไทยลดลงอย่างรุนแรง ฝั่งจีนเขารู้ว่าสถาบันอุดมศึกษาของไทยต้องการนักศึกษา เพื่อมาตอบโจทย์ซึ่งกันและกัน เนื่องจากการศึกษาของไทยเป็น destination ข้อดีอยู่ตรงที่เป็นการรับเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามา แต่ปัญหาคือเม็ดเงินส่วนใหญ่ไม่ได้เข้ามาในไทย เราต้องมองภาพในมุมนี้ด้วย” ชูกลยุทธ์ “ล้งจีนบุกการศึกษา” แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เพื่อให้เข้าใจธุรกิจการศึกษาระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้น จึงอยากเปรียบเทียบโดยให้มองถึง “ล้งจีน” ที่ก่อนหน้านี้เข้ามาในฐานะคนกลางที่ร่วมมือกับผู้ค้าทุเรียนไปจนถึงระดับเจ้าของสวน จนในที่สุดล้งไทยหายไปจากระบบการซื้อขาย จนกลายเป็นล้งจีนเข้ามาแทน ทั้งยังมีการใช้นอมินีเข้ามาซื้อทั้งสวนผลไม้ ซึ่งก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในภาคเกษตร ดังนั้น หากมองภาพของการศึกษาขณะนี้ ที่เริ่มจากความร่วมมือเพื่อพัฒนาหลักสูตรการศึกษา ในขณะที่ไทยมีจำนวนนักศึกษาลดลงอย่างรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ แต่นักศึกษาจีนจำนวนมากกลับต้องการหาที่เรียน จึงทำให้สบช่องกันทั้ง 2 ฝ่าย และทำให้ตลาดการศึกษาในไทยเป็นที่ต้องการมากขึ้น จนทำให้เกิดข้อกังวลต่อไปว่าการศึกษาของไทยจะเกิดปรากฏการณ์ “ล้งจีนการศึกษา” หรือไม่ นอกจากนี้ สิ่งที่ภาครัฐทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องช่วยกันดูแล เนื่องจากมีการพบว่าบริษัทที่ให้บริการจัดหาที่เรียนให้กับนักศึกษาจีนมีการโฆษณาผ่านเว็บไซต์ว่าในรายที่ต้องการเข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของไทย หากไม่มี “วุฒิ ม.6” จะสามารถให้บริการด้านเอกสาร หลักฐานต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเข้าเรียนได้อีกด้วย โดยคิดค่าบริการอยู่ที่ 10,000 หยวน/หัว หรืออยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท/หัว ซึ่งเป็นข้อควรระวังที่แต่ละสถาบันต้องตรวจสอบเอกสารด้วยความรอบคอบ เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมา มหาวิทยาลัยที่รับนักศึกษาจีนเข้ามาจะต้องทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลไปจนจบหลักสูตรด้วย แหล่งข่าวกล่าวถึงข้อกังวลต่อธุรกิจการศึกษาไทยอีกว่า ก่อนหน้านี้ประเทศจีนมีการแจ้งเตือนนักศึกษาจีนที่จะเข้ามาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยไทยว่าได้รับการ “ร้องเรียน” จากนักศึกษาจีนว่ามหาวิทยาลัยบางแห่งในไทยมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ “ไม่มีคุณภาพ” และมีการประกาศเตือนผ่านสถานทูตจีนในไทย ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีความละเอียดอ่อนค่อนข้างมาก เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่ดีของทั้ง 2 ประเทศ จึงทำให้ไม่มีใครอยากกล่าวถึงมากนัก ผลตรงนี้ จึงทำให้นักลงทุนมองเห็นช่องทางการทำธุรกิจ โดยไม่ได้มองถึงเรื่องการพัฒนาการศึกษาเป็นหลัก หากมองเพียงธุรกิจการศึกษาที่อาจทำเงินอย่างมหาศาล ทั้งนี้ยังพบอีกว่าหน่วยงานภาครัฐของไทยที่กำกับดูแลกลับไม่มีการดำเนินการตรวจสอบเชิงคุณภาพของมหาวิทยาลัยที่ปรากฏชื่อในการแจ้งเตือนจากจีนอีกด้วย ปลัด อว.แจงยังไม่ได้รับรายงาน ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามไปยัง รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ระบุว่าสำหรับเรื่องนี้เรายังไม่ได้รับรายงานว่ามหาวิทยาลัยของรัฐดำเนินการขัดต่อข้อกำหนดด้วยการใช้บุคลากรต่างชาติ 100% ในการจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน อีกทั้งหากเป็นเรื่องความร่วมมือทางการศึกษา ที่มี MOU ร่วมกันก็สามารถดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม หากมีข้อกังวลเรื่องมาตรฐานการเรียนการสอนก็จะเรียกฝ่ายที่รับผิดชอบเข้ามาหารือต่อไป รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล เป็นระบบมหาวิทยาลัยของรัฐ ปัจจุบันมีอยู่ 9 แห่ง ประกอบด้วย 1) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ 3) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก 4) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร 5) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ 6) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา 7) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน 8) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย และ 9) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/education/news-351998

จำนวนผู้อ่าน: 1769

23 กรกฎาคม 2019

“สุริยะ” โรดโชว์จีน-ญี่ปุ่น ดึง 4 บริษัทยักษ์ หลบสงครามการค้าลงทุนไทย

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวหลังประชุมร่วมกับคณะผู้บริหารระดับสูง ว่า จากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นส่งผลให้บริษัทที่มีฐานการผลิตหลายบริษัทมีแนวโน้มที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศ ดังนั้นจึงเตรียมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อชักจูง 4 บริษัทใหญ่ คือ CASIO ผู้ผลิตนาฬิกา, Ricoh ผู้ผลิตอุปกรณ์สำนักงานอัตโนมัติและเครื่องใช้สำนักงาน, City chain Watch ผู้ผลิตนาฬิกา และไซหลุน ไทร์ ผู้ผลิตยางล้อรถยนต์ ให้มาลงทุนไทย ขณะเดียวกันมีแผนเดินทางชี้แจงข้อมูลการลงทุนในต่างประเทศ (โรดโชว์) อาทิ จีน เป็นเรื่องเร่งด่วน รวมถึงญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่าหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว จะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้มากขึ้น “นิตยสารนิเคอิ เอเชียนรีวิว ได้มีการทำสำรวจการลงทุนจากบริษัทต่างประเทศ ผลสำรวจพบว่าทั้ง 4 บริษัทนี้เขามีแนวโน้มออกไปลงทุนต่างประเทศทั้งเวียดนาม เม็กซิโก ไต้หวัน และรวมถึงไทย” นอกจากนี้ยังมีกำหนดการหารือกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เพื่อหารือทิศทางและนโยบายส่งเสริมการลงทุนภาคอุตสาหกรรมของไทย ภายในเดือน ก.ค.นี้ โดยมอบหมายให้นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดกำหนดการพบปะนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศให้มีความชัดเจนภายใน 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะการหารือกับนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่นเป็นเรื่องเร่งด่วนลำดับแรก เพื่อรับฟังความคิดเห็น รวมทั้งข้อดี/ข้อเสียนำมาปรับปรุงนโยบายและหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการส่งเสริมการลงทุนของไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุน และมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เร่งจัดทำแผนดึงดูดนักลงทุนที่เตรียมย้ายฐานการผลิตจากจีน หลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 สัปดาห์ ประกอบกับกระทรวงอุตสาหกรรมจะหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อรับฟังความคิดเห็น ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการธุรกิจ ทั้งยังต้องทำงานแบบบูรณาการร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ทบทวนสิทธิประโยชน์ในการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคอุตสาหกรรม เกิดการจ้างแรงงานที่มีทักษะและได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอดองค์ความรู้   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-352394

จำนวนผู้อ่าน: 1740

23 กรกฎาคม 2019

เริ่มแล้ว! ประชุม ICAO ทั่วโลก ไทยเจ้าภาพครั้งแรก ถกปัญหา-โอกาส เสริมแกร่งอุตสาหกรรมการบิน

วันที่ 22 ก.ค. 62 ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต บีช รีสอร์ท นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการประชุม The Third ICAO Global Aviation Cooperation Symposium (GACS2019) เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินได้ร่วมอภิปรายประเด็น ความท้าท้ายที่สำคัญของการบินในอนาคตอันใกล้ การพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาและวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ในการเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านการบินการส่งเสริมบทบาทหน้าที่ ของโครงการความร่วมมือทางเทคนิคของ ICAO การเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความร่วมมือกัน ระหว่าง ICAO ประเทศสมาชิก หน่วยงานองค์กรด้านการบิน อุตสาหกรรมการบินในทุกระดับ ทั้งนี้ยังเปิดเวทีให้ผู้เข้าร่วมงานได้เข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ สอบถาม และแสดงความคิดเห็นเพื่อนำไปพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของแต่ละประเทศ โดยมี นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และ Mr.Aliu Olumuyiwa Benard ประธานคณะมนตรีองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศตลอดจนประเทศสมาชิกของ ICAO จาก 193 ประเทศทั่วโลกร่วมงานราว 450 คน การประชุมครั้งนี้ สำนักความร่วมมือทางวิชาการ (Technical Cooperation Bureau : TCB) ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ได้ร่วมมือกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) และสำนักงานสาขาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ICAO APAC) จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “ICAO: Bridging the SARPs Compliance Gap with Quality and Efficiency” ภายในงานประกอบด้วยการอภิปราย เสวนา และการนำเสนอจากผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการบินพลเรือน ทั้งในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างการบินพื้นฐาน การลดช่องว่างในการปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติผู้เชี่ยวชาญจะสามารถเสริมสร้างขีดความสามารถได้อย่างไร การสนับสนุนการอบรมในการเติบโตด้านการบิน ความร่วมมือทางเทคนิคระดับภูมิภาค และวิสัยทัศน์การบินในอนาคต ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-352531

จำนวนผู้อ่าน: 1841

23 กรกฎาคม 2019

มกอช. ร่วมเวทีประชุมตอบรับตรวจประเมินขึ้นทะเบียนโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำไทย

มกอช. ร่วมเวทีประชุมคณะกรรมการด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เจรจาลดอุปสรรคทางการค้าจากมาตรการ SPS เพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังประเทศคู่ค้า ขณะที่รัสเซีย ตอบรับตรวจประเมินขึ้นทะเบียนโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำไทย นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า มกอช. และผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประจำคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Committee on Sanitary and Phytosanitary measures) ครั้งที่ 75 ระหว่างวันที่ 17 – 19 กรกฎาคม 2562 ณ องค์การการค้าโลก นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีประเทศสมาชิก 164 ประเทศร่วมประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบที่สำคัญและหารือประเด็นข้อกังวลทางการค้าที่เกิดจากการบังคับใช้มาตรการ (SPS) ของประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกซึ่งอาจก่อให้เกิดอุปสรรคทางการค้าที่มากเกินความจำเป็น เนื่องจากปัจจุบันประเทศต่างๆ มีการออกกฎระเบียบ SPS ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการออกมาตรการควบคุมและจำกัดการใช้สารกำจัดศัตรูพืช ซึ่งทำให้ไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอันดับต้นๆ ของโลก จำเป็นต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยผู้แทน มกอช.ได้ใช้โอกาสนี้ร่วมกับประเทศสมาชิกอีกกว่า 20 ประเทศ กล่าวถ้อยแถลงแสดงข้อกังวลต่อการจัดทำกฎระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการจำแนกสารกำจัดศัตรูพืชที่เป็นสารขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ (Endocrine Disruptors) ซึ่งจัดทำขึ้นบนพื้นฐานความเป็นพิษของสาร ที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าผักและผลไม้ไปยังสหภาพยุโรป ประเทศไทย จึงเรียกร้องให้สหภาพยุโรปกำหนดมาตรการที่สอดคล้องกับความตกลง SPS และมาตรฐานสากลโดยพิจารณากำหนดปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด (Maximum Residue Limits:MRLs) บนพื้นฐานการประเมินความเสี่ยงและนำค่า Codex MRLs ที่มีอยู่มากำหนดใช้เพื่อลดการกีดกันทางการค้าที่มากเกินความจำเป็น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ร่วมกับประเทศสมาชิกอีกกว่า 10 ประเทศ เรียกร้องให้สหภาพยุโรปขยายระยะเปลี่ยนผ่านสำหรับการปรับตัวต่อการปรับลดค่า MRLs ของสารกำจัดศัตรูพืช ซึ่งเดิมสหภาพยุโรปกำหนดระยะเวลาเปลี่ยนผ่านไว้ที่ 6 เดือน แต่ระยะเวลานี้ไม่เพียงพอต่อการพิจารณาหาสารทดแทนที่มีประสิทธิภาพ และจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังสหภาพยุโรปเช่นกัน โดยผู้แทนไทยยังได้หารือทวิภาคีกับประเทศคู่ค้า เพื่อผลักดันการเปิดตลาดสินค้าเกษตรและแก้ไขปัญหาด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย อาทิ ได้หารือทวิภาคีกับออสเตรเลียเพื่อผลักดันการเปิดตลาดเป็ดปรุงสุกของไทย ซึ่งออสเตรเลียได้จัดทำร่างรายงานทบทวนความเสี่ยงสำหรับการนำเข้าเป็ดปรุงสุกจากไทยเสร็จแล้ว และจะแจ้งเวียนองค์การการค้าโลกต่อไป และหารือทวิภาคีกับไต้หวันเพื่อเร่งรัดการเปิดตลาดมังคุดให้แก่ไทยตามที่กรมวิชาการเกษตร ได้มีการดำเนินการทางเทคนิคในเรื่องดังกล่าว โดยไต้หวันได้ประกาศอนุญาตการนำเข้ามังคุดจากไทยแล้วตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่า ไทยจะสามารถส่งออกมังคุดไปยังไต้หวันได้มูลค่าไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทต่อปี “ผู้แทนไทย ยังได้เจรจาเร่งรัดให้รัสเซียขึ้นทะเบียนโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำส่งออกของไทยเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าสัตว์น้ำไปยังรัสเซียได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณปีละ 600 ล้านบาท โดยฝ่ายรัสเซียรับจะหารือรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดการตรวจประเมินโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำกับกรมประมงของฝ่ายไทยต่อไป” เลขาธิการ มกอช. กล่าว   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-352371

จำนวนผู้อ่าน: 1851

23 กรกฎาคม 2019

แล้งกระหน่ำนาข้าวลด 50% ประกันราคาไร้ผล ขอเงินพิเศษ สทนช.ถกด่วนวันนี้

ภัยแล้งทำข้าววิกฤตหนัก พื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศลดลงครึ่งหนึ่ง เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาหายไป 26% ผลกระทบจาก 4 เขื่อนหลัก ภูมิพล-สิริกิติ์-แควน้อยฯ-ป่าสักฯเหลือน้ำใช้การได้แค่ 9% ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าฤดูแล้งปี 2563 ด้านสภาเกษตรกรหวั่นปีหน้าชาวนาอาจต้องถึงขั้นซื้อข้าวเขากิน โรงสีข้าวจี้รัฐบาลต้องออกมาตรการพิเศษจ่ายเงินเยียวยาพิเศษให้ชาวนาที่ข้าวเสียหายหมด เผยชุดนโยบายประกันรายได้ไม่มีประโยชน์กับชาวนา เพราะไม่มีข้าวจะขาย ด้าน ก.เกษตรฯขยับ “เฉลิมชัย” ควง 3 รมช.ดูเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์ สถานการณ์น้ำและการเพาะปลูกพืชหลักของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ข้าว” กำลังตกอยู่ในสภาวการณ์น่าเป็นห่วงจากภัยแล้ง “ฝนน้อยน้ำน้อย” ที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยสภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2562 ปรากฏเหลือปริมาตรน้ำใช้การได้เพียง 12,450 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 24 มีปริมาณน้ำไหลลงอ่าง 67.17 ล้าน ลบ.ม. แต่มีปริมาณน้ำระบายถึง 124.38 ล้าน ลบ.ม. ในขณะที่สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของประเทศเหลือปริมาตรน้ำใช้การได้แค่ 11,000 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 23 ในจำนวนนี้มีน้ำไหลลงอ่าง 59.79 ล้าน ลบ.ม. แต่ปริมาณน้ำระบายมีถึง 118.87 ล้าน ลบ.ม. จนหลายฝ่ายกังวลกันแล้วว่า ด้วยปริมาณน้ำใช้การได้ที่เหลืออยู่ในขณะนี้ “ไม่น่าเพียงพอ” ต่อกิจกรรมการใช้น้ำในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงในปี 2563 ทั้ง ปท.น้ำคงเหลือแค่ 38% มีรายงานจากคณะทำงานด้านอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเข้ามาว่า ภาพรวมน้ำทั้งประเทศไทยขณะนี้มีปริมาณน้ำคงเหลือแค่ร้อยละ 38.85 “ยกเว้น” ภาคใต้เพียงภาคเดียวที่มีปริมาณเกินกว่าร้อยละ 50 ความชื้นในอากาศ ซึ่งจะมีผลต่อปฏิบัติการในการทำฝนหลวงก่อนจะเข้าสู่ฤดูแล้งปี 2563 จากภาพถ่ายดาวเทียมมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ก็ “ยกเว้น” ภาคกลาง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญของประเทศที่มีความชื้นสูงขึ้น “ช้ากว่าภูมิภาคอื่น ๆ” ส่วนพายุมูนที่เป็นพายุลูกแรก ๆ ของฤดูฝนปีนี้นั้น “ไม่ได้ช่วยปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำภาพรวมของประเทศเลย” สำหรับภาพรวมของสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาจาก 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์-แควน้อยบำรุงแดน-ป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำรวมกันใช้การได้เพียง 1,560 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 มีน้ำใช้การได้คิดเป็นร้อยละ 34 เฉพาะเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน กับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ตอนนี้ไม่มีน้ำไหลลงอ่างเลย ทั้ง ๆ ที่ฤดูฝนยังไม่สิ้นสุด ส่อให้เห็นว่า สถานการณ์แล้งในปี 2563 จะเข้าขั้นรุนแรงเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2550 ค่อนข้างแน่นอนแล้ว “จากแผนการจัดสรรน้ำระหว่างวันที่ 1 พ.ค.-31 ส.ค. 2562 ที่ปริมาณน้ำ 31,280 ล้าน ลบ.ม. ปรากฏมีการจัดสรรน้ำใช้ไปแล้ว 7,176 ล้าน ลบ.ม.ในต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หรือคิดเป็นร้อยละ 23 ในส่วนลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่เป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญ รวมพื้นที่ 7.65 ล้านไร่ มีน้ำใช้การ 2,245 ล้าน ลบ.ม. แผนการจัดสรรน้ำ 11,280 ล้าน ลบ.ม. จัดสรรน้ำไปแล้ว 3,007 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 27 แม้ว่าการจัดสรรน้ำยังอยู่ในแผน แต่ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำหลักทั้ง 4 เขื่อนน้อยลงมาก ช่วงเวลาที่จะถึงฤดูแล้งปี 2563 เดือนเมษายนหน้าเหลืออีก 9 เดือน มีความจำเป็นที่จะต้องปรับแผนการใช้น้ำของประเทศก่อนที่จะเริ่มต้นฤดูน้ำของปี 2563 ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้” พท.ปลูกข้าวลดลง 50% ด้านสถานการณ์การปลูกข้าวในประเทศขณะนี้ จากภาพถ่ายดาวเทียมการเพาะปลูกข้าวเปรียบเทียบกับปี 2561 พบว่า ทั่วประเทศมีการปลูกข้าวลดลงถึง 50% หรือครึ่งหนึ่งเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา การปลูกข้าวได้ลดลงร้อยละ 26 โดยเชื่อว่า พื้นที่ปลูกข้าวที่ลดลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเป็นผลมาจากภัยแล้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่หมดฤดูฝนของปีนี้ นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า สมาคมอยู่ระหว่างประเมินพื้นที่ปลูกข้าวที่ประสบความเสียหายจากภัยแล้ง เนื่องจากจะเริ่มฤดูเพาะปลูกในเดือนสิงหาคม และหากฝนทิ้งช่วงหลังจากนี้ถึงเดือนสิงหาคม จะทำให้ชาวนาที่ปลูกข้าวนาปีต้องเก็บเกี่ยวช้ากว่าปกติที่ควรจะเกี่ยวได้ในเดือนธันวาคม หรืออาจจะทำให้ผลผลิตที่เกี่ยวได้ขาดความสมบูรณ์ “หากข้าวเสียหายอย่างรุนแรงจากภัยแล้งจนชาวนาไม่มีข้าวไปขาย ก็เท่ากับว่าชาวนาจะไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายประกันรายได้ของรัฐบาลเลย เพราะตามหลักการประกันราคาจะต้องเอาข้าวไปขายและหักส่วนต่างราคาตลาดกับราคาตลาดอ้างอิง ถ้าไม่มีผลผลิตเสียหายโดยสิ้นเชิง ชาวนาก็ไม่มีข้าวไปขาย ดังนั้นผลผลิตข้าวที่ลดลงจะทำให้ราคาข้าวในตลาดขยับขึ้นไปเกินกว่าตันละ 15,000 บาทแน่” แนวทางที่รัฐต้องทำเพิ่มจากการประกันรายได้ก็คือ “วางมาตรการเสริมพิเศษเรื่องภัยแล้ง” ช่วยเหลือชาวนาที่ประสบปัญหาข้าวเสียหายโดยสิ้นเชิง ด้วยการจ่ายเยียวยาค่าใช้จ่าย เช่น ปัจจัยการผลิต, พันธุ์ข้าว, ปุ๋ย, ยา, ค่าแรง กำหนดอัตราค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุมต้นทุนการปลูกข้าวของชาวนาทั้งหมด “ตอนนี้เป็นห่วงว่า สถานการณ์ราคาข้าวอาจจะปรับขึ้นไปสูงจนส่งผลกระทบเชื่อมโยงไปถึงภาคการส่งออกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2561/62 ซึ่งตอนนั้น ข้าวหอมมะลิเสียหาย 4-5 จังหวัด ทำให้ผลผลิตข้าวเปลือกลดลงจาก 8 ล้านตันเหลือ 6.5-7 ล้านตัน ดันราคาข้าวเปลือกต้นฤดูขึ้นไปถึงตันละ 18,000 บาท ราคาส่งออกตันละ 1,200 เหรียญสหรัฐ ผลคือตลาดรับไม่ได้” ด้านนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ คาดการณ์ GDP ภาคเกษตร ซึ่งมีสัดส่วน 8% ของ GDP ประเทศ “อาจติดลบ” เพราะพืชไร่ทุกรายการได้รับผลกระทบจากภัยแล้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้าว, ข้าวโพด, มันสำปะหลัง, ยางพารา ผลไม้ จะเสียหายอย่างหนักมาก ข้าวนาปีน้ำฝนในภาคเหนือและอีสานจะเป็น 0 เขตชลประทานพอทำได้บ้างแต่ไม่เต็มที่ ปลายปีนี้ชาวนาอาจต้องซื้อข้าวกิน” รัฐอ้อมแอ้มมาตรการเสริม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการดูแลราคาสินค้าเกษตรว่า จะใช้นโยบายการประกันรายได้ของเกษตรกรเป็นแนวทางหลักที่จะนำมาสนับสนุนและช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อให้มีรายได้ที่ดี ส่วนรายละเอียดในการปฏิบัติต้องหารือร่วมกับ 3 ฝ่ายคือ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และเกษตรกร “ผมขอเวลาหารือกับหน่วยงานทั้ง 3 ฝ่ายเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน อย่าง สินค้าเกษตรตัวไหนราคาต่ำกว่า 60 บาท/กก. ขายได้ในราคา 55 บาท/กก. รัฐบาลก็พร้อมจ่ายส่วนต่างให้ แต่หากสินค้าเกษตรตัวไหนขายในราคาสูงกว่าราคาที่ประกันรายได้ไว้ รัฐก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายส่วนต่างให้อีก” นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ภัยแล้งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องวางมาตรการรับมือ “ฤดูทำนาปีนี้น้ำจะน้อยต้องประชาสัมพันธ์ไปถึงเกษตรกรและเตรียมแผนรับมือ ส่วนการช่วยเหลือเยียวยาภัยแล้งยืนยันว่า ยังไม่ถึงวิกฤตที่จะต้องประกาศเขตภัยแล้ง” นายเฉลิมชัยกล่าว สทนช.ปรับแผนการจัดสรรน้ำ ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า จะมีการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 8/2562 ในวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ โดยที่ประชุมจะพิจารณาวิเคราะห์ทบทวนปริมาณน้ำต้นทุน 15 กรกฎาคม-31 ตุลาคม 2562 การปรับแผนการจัดสรรน้ำเพื่อกิจกรรมการใช้น้ำต่าง ๆ และปริมาณน้ำต้นฤดูแล้งปี 2562/63 ตลอดจนการพิจารณามาตรการป้องกันภาวะวิกฤตขาดแคลนน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ การทยอยลดการระบายน้ำ รวมไปถึงขั้นการใช้น้ำจาก dead storage ของเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-352141

จำนวนผู้อ่าน: 1903

23 กรกฎาคม 2019

ดัชมิลล์รุกเครื่องดื่มเกลือแร่ ขย่มบัลลังก์แชมป์สปอนเซอร์

เกลือแร่ 5 พัน ล. คึกรับกระแสออกกำลังกาย “ดัชมิลล์” ส่ง “พาวดูแรนซ์” เขย่าบัลลังก์เจ้าตลาด รุกหนักอีเวนต์วิ่ง จับมืออินฟลูเอนเซอร์ สื่อสารตรงกลุ่มเป้าหมาย พร้อมปูพรมสินค้าเข้าเซเว่นฯ ด้าน “สปอนเซอร์” ย้ำเบอร์หนึ่ง ดึงทัพนักกีฬา-ผนึกเกมออนไลน์ ขยายฐานคนรุ่นใหม่ หวังตรึงมาร์เก็ตแชร์ 90% ส่วนค่ายอื่น โพคารี่สเวท-100 พลัส อัดกิจกรรมหนักไม่แพ้กัน ที่ผ่านมา “เครื่องดื่มเกลือแร่” ถือเป็นตลาดปราบเซียนอีกแคทิกอรี่หนึ่งเลยก็ว่าได้ หากย้อนกลับไปก็จะพบว่าที่ผ่านมา แม้จะมีแบรนด์ใหม่ ๆ กระโดดเข้ามาในตลาดเป็นระยะ ๆ แต่ก็ไม่สามารถจะเขย่าบัลลังก์เจ้าตลาดได้สำเร็จ ตรงกันข้าม เจ้าตลาดก็ยังรักษาแชมป์และมีมาร์เก็ตแชร์ที่นำลิ่ว แต่รอบนี้ จากกระแสของความใส่ใจและรักสุขภาพที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาออกกำลังกายในรูปแบบต่าง ๆ กันอย่างจริงจังและมากขึ้น กลายเป็นโอกาสสำคัญของเครื่องดื่มประเภทนี้ที่จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ตลาดรวมคึกคัก นายศุภชัย จุนเกียรติ ผู้อำนวยการสายงานการตลาดโกลเบิล กลุ่มธุรกิจ TCP (หรือกลุ่มบริษัทกระทิงแดงเดิม) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มเกลือแร่ “สปอนเซอร์” กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กระแสการใส่ใจดูแลสุขภาพของผู้บริโภคที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ ทำให้ปีนี้เป็นอีกปีที่ตลาดเกลือแร่มีความคึกคักมากขึ้น และกระตุ้นให้ภาพรวมของตลาดมีกิจกรรมใหม่ ๆ แคมเปญที่ออกมากระตุ้นการบริโภค รวมถึงการมีสินค้าใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาดเป็นระยะ เพื่อชิงส่วนแบ่งในตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีมูลค่าอยู่ประมาณ 4,800-5,000 ล้านบาท ในปัจจุบัน สำหรับสปอนเซอร์ ในฐานะผู้นำตลาดที่ครองมาร์เก็ตแชร์เกือบ 90% ยังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำด้วยการส่งแคมเปญ “สดชื่นทุกความท้าทาย” ซึ่งมีทั้งการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นนักกีฬารุ่นใหม่ อาทิ ชาริล ชัปปุยส์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย, ริว วชิรวิชญ์ อรัญธนวงศ์ นักกีฬาปิงปองเยาวชนทีมชาติ สื่อสารผ่านภาพยนตร์โฆษณา สื่อออฟไลน์ ออนไลน์ และเน้นการสื่อสารที่ไม่จำกัดอยู่แค่กลุ่มนักกีฬาหรือผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกายเท่านั้น “นอกจากนี้ สปอนเซอร์ยังเพิ่มรูปแบบการทำกิจกรรมใหม่ ๆ เช่น การจับมือกับแอปพลิเคชั่นเกมออนไลน์ อาทิ Speed Drifters แจกไอเท็มในเกม รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น การเพิ่มวิตามินซี ซิงก์ และแมกนีเซียม ให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ยิ่งขึ้น” นายศุภชัยกล่าว “ดัชมิลล์” ท้าชนแชมป์ รายงานข่าวจากบริษัท ดัชมิลล์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายโยเกิร์ตพร้อมดื่มดัชมิลล์พาสเจอไรส์ โยเกิร์ตดัชชี่ นมสดดัชมิลล์ และนมเปรี้ยวดีไลท์ เปิดเผยว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เริ่มทยอยส่งดื่มเกลือแร่ภายใต้แบรนด์ “พาวดูแรนซ์” (Powdurance)เข้ามาทำตลาด โดยได้เริ่มกระจายสินค้าในช่องทางร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ รวมทั้งมีการให้ความสำคัญกับการสื่อสารแบรนด์ผ่านกิจกรรมออนกราวนด์ ที่เจาะตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการเข้าไปเป็นสปอนเซอร์จัดงานวิ่งต่าง ๆ อาทิ “โคราช พาวดูแรนซ์ มาราธอน 2019” รวมถึงการนำผลิตภัณฑ์เข้าไปสนับสนุนงานวิ่งต่าง ๆ อาทิ เมืองพนัส มินิ-ฮาล์ฟมาราธอน และ Healthy Lifestyle Run by Dutch Mill ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หรืองานสิงห์ ซีรีส์ รัน 2019 ที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานไทยเฟล็กซ์ 2019 ที่ผ่านมา ดัชมิลล์ได้นำผลิตภัณฑ์ของพาวดูแรนซ์เข้าไปออกบูท เพื่อประชาสัมพันธ์ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น และนอกจากกิจกรรมดังกล่าว ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พาวดูแรนซ์ยังใช้กลยุทธ์การสื่อสารผ่าน KOL (key opinion leader) ที่เป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบการวิ่ง และออกกำลังกายหลายราย รวมถึงเฟซบุ๊กแฟนเพจเกี่ยวกับการวิ่ง เช่น วิ่งไหนดี : Wingnaidee, ThaiRun ฮับความสุขนักวิ่ง ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักโดยตรง สำหรับเครื่องดื่มเกลือแร่พาวดูแรนซ์ มี 2 สูตร คือ reboost และ rehydrate ด้วยการชูจุดเด่นในแง่ของการให้พลังงานต่ำ เพียง 35 แคลอรี น้ำตาลน้อย โลว์โซเดียม และไม่มีกาเฟอีน 350 กรัม ราคาขวดละ 16 บาท นอกจากเกลือแร่แล้ว พาวดูแรนซ์ยังมีผลิตภัณฑ์เจลให้พลังงานที่วางตลาดมาก่อนหน้านี้ด้วย รองรับความต้องการของกลุ่มนักกีฬาที่ต้องมีการออกกำลังกายเป็นเวลานาน ๆ เช่น วิ่งมาราธอน, ปั่นจักรยาน, ไตรกีฬา มี 3 รสชาติ ได้แก่ ส้ม, เลม่อนไลม์ และมิกซ์เบอรี่ วางขายผ่านช่องทางเฉพาะ เช่น ร้านอาริ รันนิ่ง คอนเซ็ปต์ สโตร์, ร้านรองเท้าวิ่ง Run2Paradise, ร้านจำหน่ายจักรยาน รวมถึงช่องทางออนไลน์ ทุ่มงบฯจัดกิจกรรม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ด้านของความเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ “โพคารี่สเวท” แบรนด์ดังจากญี่ปุ่น ที่ดึง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ดาราชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับทุ่มงบฯโฆษณาทางทีวี และสื่อต่าง ๆ และเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับทีมบาสเกตบอล โมโนแวมไพร์ รวมถึงสนับสนุนเครื่องดื่มสปอร์ตดริงก์ให้กับสโมสรฟุตบอล ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ตลอดจนปรับกลยุทธ์การทำตลาดด้วยการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ส่วนทาง “เอ็ม เกลือแร่” ของบริษัทโอสถสภา ที่มีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 2 ของตลาด หรือประมาณ 5.4% ล่าสุดได้เข้าไปเป็นผู้สนับสนุนเครื่องดื่มของการแข่งขันจักรยานยนต์ รึคแคร์เอ็กซ์ คัพ ส่วน “100 พลัส” ของบริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ในเครือไทยเบฟ ได้หันมาสื่อสารกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยเพิ่มพระเอกวัยรุ่นอย่าง ลี ฐานัฐพ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในทีวีซี ควบคู่กับ ตูน บอดี้สแลม พร้อมกับสปอนเซอร์การแข่งขันกีฬาเช่น เทนนิสเยาวชน 100 พลัส จูเนียร์ แชมเปี้ยนชิพส์ 2019 บุรีรัมย์มาราธอน 2019 ในช่วงที่ผ่านมา เป็นต้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-351989

จำนวนผู้อ่าน: 1725

23 กรกฎาคม 2019

เอเชียทีค 2 เข้าข่ายกม.ร่วมทุน อคส.ลากยาวโปรเจ็กต์หรูริมน้ำเจ้าพระยา

ลากยาวอีก “อคส.” ทบทวนแผนพัฒนาคลังสินค้าธนบุรี เป็นศูนย์การช็อปปิ้งริมน้ำ “เอเชียทีค 2” หวั่นเข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุนฉบับใหม่ ปี’62 ก่อนสรุปชง รมว.พาณิชย์อีกรอบ เดินหน้าปล่อยเช่าคลังมิกซ์ยูสเซอร์หวังดันรายได้ ปี’62 ถึงเป้า 500 ล้านบาท พร้อมเคลียร์สต๊อกสินค้าเกษตรเก่า ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ปัญหาความล่าช้าของโครงการพัฒนาพื้นที่คลังธนบุรี 1 ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) เพื่อเป็นแหล่งช็อปปิ้งริมแม่น้ำเจ้าพระยา หรือที่เรียกว่าเอเชียทีค 2 ซึ่งเริ่มศึกษามานานถึง 2 ปี กำลังเข้าสู่ปีที่ 3 อาจแล้วเสร็จไม่ทันกำหนดเวลาที่วางไว้ในปีนี้ โดยหลังจาก พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ) มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนมีนาคม 2562 ทำให้ อคส.ต้องดึงโครงการดังกล่าวกลับมาพิจารณาทบทวนอีกครั้งว่าจะสามารถดำเนินการต่อเนื่องได้หรือไม่ แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะรับฟังความเห็นประชาชนไปแล้ว 3 ครั้ง แต่ด้วยเหตุที่คาดว่าจะใช้งบประมาณลงทุน 1,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งอาจเข้าเกณฑ์ภายใต้กฎหมายใหม่ ในมาตรา 7 (12) ประเภทกิจการอื่น ๆ ตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา และมาตรา 9 ซึ่งกำหนดว่าโครงการร่วมลงทุนที่มีมูลค่าต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท หรือต่ำกว่ามูลค่าที่กําหนด ต้องดําเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกําหนด หากคณะกรรมการเห็นว่าโครงการร่วมลงทุนดังกล่าว มีความสําคัญหรือสอดคล้องกับแผนการจัดทําโครงการร่วมลงทุนตามมาตรา 12 คณะกรรมการจะกําหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดําเนินการตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กําหนดไว้ก็เป็นได้ ล่าสุดนายไพศาล เตี๋ยวงษ์สุวรรณ์ รองผู้อำนวยการ อคส. รักษาการผู้อำนวยการ อคส. เปิดเผยว่า ขณะนี้ อคส.ต้องศึกษาทบทวนเพื่อเปรียบเทียบแผนการร่วมทุนพัฒนาพื้นที่คลังธนบุรี 1 ว่า มีสอดรับกับกฎหมายใหม่หรือไม่ หรือต้องปรับปรุงอย่างไร เพื่อป้องกันปัญหาการร่วมทุนในอนาคต สร้างความมั่นใจในการลงทุน ซึ่งหลังจากพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายเรียบร้อยแล้วจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ก่อนที่จะเสนอให้กับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต่อไป “พื้นที่คลังธนบุรี 1 ประมาณ 15-19 ไร่ เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ติดริมน้ำ นอกจากนี้ ยังมีคลังสินค้าประมาณ 9 หลังที่สามารถเปิดให้เอกชนมาเช่าเพื่อเก็บสินค้าได้ ซึ่งปัจจุบันให้เอกชนเข้ามาเช่าคลังหลายราย เพื่อเก็บสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ขณะที่โครงการใหม่นั้นก็จะเปิดให้เช่าคลังแบบครบวงจรเพื่อขยายลูกค้าที่สนใจมาเช่าคลัง ซึ่งก็เป็นการสร้างรายได้ให้กับ อคส.เอง” อย่างไรก็ตาม อคส.ยังมีแผนดำเนินโครงการปรับโครงสร้างเพื่อสร้างรายได้ ลดการขาดทุน และสร้างกำไรให้กับ อคส. โดยปีนี้มีเป้าหมายสร้างได้ 500 ล้านบาท จากการให้เช่าพื้นที่คลังธนบุรี 1 อีกทั้ง อคส.อยู่ระหว่างจัดทำโครงการมัลติยูสเซอร์ โดยนำพื้นที่บางส่วนประมาณ 1,000 ตารางเมตร ให้บริการเช่าคลังแบบครบวงจร เพื่อเป็นการสร้างรายได้ ระหว่างที่รอการพิจารณาโครงการเอเชียทีค 2 นอกจากนี้ อคส.อยู่ระหว่างศึกษาพิจารณาความเหมาะสมในการลงทุน อีก 2 โครงการ คือ พัฒนาพื้นที่คลังสินค้าบัวใหญ่ อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา มีเนื้อที่ 30.8 ไร่ เพื่อให้บริการเกษตรกรคาดว่าใช้เงินลงทุน 50 ล้านบาท และการพัฒนาที่ดินคลังสินค้าที่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เนื้อที่ 18.25 ไร่ ให้เป็นคลังสินค้าในกลุ่ม AEC เชื่อมโยงกับ สปป.ลาว ซึ่งอาจเปิดให้เอกชนหรือเป็นการลงทุนแบบรัฐต่อรัฐก็ได้ อีกด้านหนึ่ง อคส.มุ่งบริหารจัดการสินค้าเกษตรจากโครงการรับจำนำที่ยังคงค้างอยู่ในคลังของ อคส. โดยเหลือข้าวสารในสต๊อกรัฐ 208,600 ตัน จากการไม่มารับมอบข้าวที่เคลียร์คดีและแถลงหลักเกณฑ์การประมูลข้าวไปมั่นใจว่า จะระบายได้หมด ทั้งนี้ยังเหลือข้าวอีก 80,000 ตันที่รอการระบาย พร้อมกันนี้ อคส.ยังต้องสะสางคดีโครงการจำนำข้าวโดยส่งข้อมูลให้ศาลปกครองไปแล้ว ส่วนคดีข้าวถุงช่วยเหลือประชาชน อยู่ในขั้นตอนการหารือกับอัยการสูงสุด จากนี้รายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รับทราบ เช่นเดียวกับการพิจารณาสรรหา ผอ.อคส. ที่จะมารับหน้าที่แทนนางอินทิรา โภคปุณยารักษ์ ซึ่งได้ยกเลิกผลการรับสมัครครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากมีผู้มาสมัครเพียงแค่ 3 ราย   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-351954

จำนวนผู้อ่าน: 1792

23 กรกฎาคม 2019

Learn, unlearn & relearn คิดรับโลกเปลี่ยนแบบ “กูเกิล” จุดประกายบนเวที “AIS ACADEMY for THAIs”

เปิดประเดิมแล้วที่ “เชียงใหม่” กับกิจกรรม “AIS ACADEMY for THAIs : to the Region” องค์ความรู้ สู่ภูมิภาค ภารกิจคิดเผื่อเพื่อคนไทยได้รับมือกับกระแสดิจิทัลเปลี่ยนโลก โดยเปิดเวทีให้วิทยากรชั้นระดับโลกถ่ายทอดแนวคิดในการทรานฟอร์มองค์กรรับโลกยุคใหม่ “Yuval Dvir” Global Head of Scaled Partnership, Google Cloud ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจ โดยระบุว่า เมื่อพูดถึงการการทรานฟอร์มเมชั่นหรือการพลิกโฉมทางดิจิทัล คนมักจะนึกถึงเรื่องของเทคโนโลยี. แต่จริงๆ แล้วการจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ดีขึ้นนั้น เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่ใช่แนวทางที่จะเปลี่ยนองค์กรทั้งหมดได้ แต่จะต้องมี 4 ปัจจัยสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญคือ “เทคโนโลยี คน ธุรกิจ และโครงสร้างองค์กร” ถ้าทำแค่จุดใดจุดหนึ่งจะไม่สามารถพลิกโฉมทางธุรกิจได้ หรือต้องใช้เวลานานและยากลำบาก ขณะที่เดียวกันยังมีงานวิจัยล่าสุดที่ระบุว่า “สัญชาตญาณ” หรือสิ่งที่รู้สึกลึกๆ อยู่ในใจว่า นี่น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แม้จะไม่สามารถอธิบายได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีอะไรในเชิงวิทยาศาสตร์” แต่อาจจะต้องใช้ข้อมูลเข้ามาถ่วงดุล ซึ่งทำให้ความรู้สึกเรื่องสัญชาตญาณเป็นเหมือนสมองที่สอง “ผู้นำทางธุรกิจต่างๆ ระบุว่า สัญชาตญาณมีความสำคัญมากกว่าความเฉลียวฉลาดของสมองเสียอีก” และยังมีอีกสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วคือ “learn, unlearn and relearn” คือพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเมื่อเรียนรู้แล้วก็ต้องพร้อมจะลืมแล้วเริ่มเรียนสิ่งใหม่ได้เสมอ เหมือนเด็กทารกที่ได้เรียนรู้จากโลกใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้สมองเกิดประสิทธิภาพ และมีศักยภาพที่จะรับมือกับดิจิทัลดิสรัปชั่น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-351723

จำนวนผู้อ่าน: 1888

20 กรกฎาคม 2019

มิตรผลเบรกลงทุน3หมื่นล้าน ชุมชนรุมค้าน”ไบโอชีวภาพ”

แฟ้มภาพ “มิตรผล” เบรกโครงการนิคม “อุตสาหกรรมชีวภาพ” 4,000 ไร่ที่ขอนแก่น มูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้าน ขอเวลาเคลียร์ปัญหาทำความเข้าใจกับชุมชนก่อน แจงขอเน้นลงทุนโรงงานน้ำตาลเป็นหลัก ทั้งยอมรับตลาดยังไม่พร้อมเพราะ “ไบโอพลาสติก” ต้นทุนสูง ด้าน GGC เดินหน้าคุยผู้ร่วมทุนขยาย “ไบโอคอมเพล็กซ์” เฟส 2 ปตท.ขีดแผนลงทุนปี”63 ตั้งงบฯธุรกิจสีเขียวลุยนวัตกรรมไบโอพลาสติก ด้านกระทรวงอุตฯ อ้อมแอ้มยันยุทธศาสตร์ “ไบโออีโคโนมี” ไม่สะดุด หลังจากรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เดินหน้านโยบายโครงการเขตเศรษฐกิจชีวภาพ หรือ bioeconomy ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยได้จัดทำแผนพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ (2561-2570) วางแผนการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และในพื้นที่ส่วนต่อขยายในบริเวณจังหวัดภาคหนือตอนล่างกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ครอบคลุม 3 จังหวัด จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร ขอนแก่น รวมมูลค่าโครงการ 5 ปี 133,000 ล้านบาท นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ศึกษาความเป็นไปได้ที่จะ “ขยาย” พื้นที่ที่มีความเหมาะสมจะพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชีวภาพอีก 7 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี, ยโสธร, อำนาจเจริญ, ศรีสะเกษ, ฉะเชิงเทรา, อุบลราชธานี และลพบุรี พร้อมเตรียมเสนอให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ขยายสิทธิประโยชน์เพิ่มลดหย่อนภาษีเงินใต้นิติบุคคล 50% อีก 5 ปีไปทั่วประเทศจากเดิมแค่ 3 จังหวัด แต่ก็ติดช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเสียก่อน มิตรผลเบรก “ไบโออีโคโนมี”  ล่าสุด นายคมกริช นาคะลักษณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานองค์กรสัมพันธ์และบริหารองค์กรเพื่อความยั่งยืน บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจำเป็นต้องชะลอแผนการลงทุนโครงการนิคมอุตสาหกรรมชีวภาพ พื้นที่ 4,000 ไร่ มูลค่า 29,705 ล้านบาท ที่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ภายใต้อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ตามนโยบายรัฐบาลออกไป แม้ว่าบริษัทได้ประกาศเป็นหนึ่งในแผนการลงทุนแล้ว เนื่องจากยังต้องใช้เวลาสร้างความเข้าใจกับชุมชนก่อนว่าอุตสาหกรรมนี้ไม่ใช่อุตสาหกรรมหนักที่จะสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นการช่วยเกษตรกร นำวัตถุดิบในพื้นที่มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงนอกจากการผลิตน้ำตาล ทั้งในรูปพลาสติก เอทานอล ซึ่งจะช่วยยกระดับราคาอ้อยให้สูงขึ้น และมีเสถียรภาพในระยะยาว เช่นเดียวกับนโยบายที่บราซิลใช้ดังนั้น ระหว่างนี้บริษัทจะเดินหน้าลงทุนเฉพาะส่วนโรงงานน้ำตาลไปก่อน “เรื่องผังเมืองไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่ปัญหาคือความเข้าใจกับคนในพื้นที่ มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไบโอที่รัฐบาลประกาศออกมานั้น สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ก็สนับสนุนเต็มที่ ส่วนเราเองหนุนให้เกิด เพราะจะทำให้ใช้อ้อยไปแปรรูปเป็นอย่างอื่นได้นอกจากน้ำตาล ขณะที่บริษัทก็ต้องศึกษาว่าผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่ลงทุนทำแล้วคุ้มค่า เช่น ไบโอพลาสติก น้ำตาลแคลอรีต่ำ” อย่างไรก็ตาม การลงทุนก็อยู่ที่เทคโนโลยีและความพร้อมของตลาดด้วย เพราะไบโอพลาสติก ต้นทุนสูงกว่าพลาสติกจากปิโตรเลียมเบส โดยรัฐบาลจะต้องส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ไบโอพลาสติกเติบโตได้ ซึ่งในช่วงแรกจะยังไม่ใช่ไบโอพลาสติกเพียว 100% เพราะยังคงต้องมีการใช้พลาสติกผสม 10-20% จึงจะกระทบต้นทุนไม่มาก GGC ลุยขยายเฟส 2 ด้านนายวิทูร ซื่อวัฒนากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC บริษัทลูก PTTGC กล่าวว่า นโยบาย bioeconomy ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือผู้ร่วมทุนขยายลงทุนเฟส 2 ต่อจากโครงการ “นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์” ซึ่งต่อยอดอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ 2 กลุ่ม คือไบโอพลาสติกและไบโอเคมิคอล โดยอยู่ระหว่างการคัดเลือกผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพซึ่งมีอยู่หลายประเภท รวมถึง polylactic acid (PLA) ที่เป็นการนำเอาเทคโนโลยีขั้นสูงปิโตรเคมีในการย่อยสลายได้ทางชีวภาพ “ทิศทางตลาดผลิตภัณฑ์ไบโอพลาสติกเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาด PLA ทั่วโลกเติบโต 10% ต่อปี ทั้งนี้ คาดว่าจะสรุปแผนลงทุนทั้งหมดได้ในปี 2563 และพร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2566” สำหรับความคืบหน้านครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์นั้น อยู่ระหว่างคัดเลือกผู้รับเหมาเพื่อดำเนินโครงการระยะที่ 1 มูลค่าลงทุน 7,500 ล้านบาท ประกอบด้วย การก่อสร้างโรงหีบอ้อย กำลังผลิต 24,000 ตันต่อวัน การก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอล 600,000 ลิตรต่อวัน และโรงผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ กำลังการผลิตไฟฟ้า 85 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 475 ตันต่อชั่วโมง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ ก.ย.-ต.ค.นี้ และจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2564 ปตท.ตั้งงบฯรุกธุรกิจสีเขียว นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่ม ปตท. อยู่ระหว่างแยกบัญชีเพื่อทำแผนการลงทุนเกี่ยวกับอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นสัดส่วนเฉพาะ เป้าหมายเพื่อผลักดันการพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ กระตุ้นการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์สีเขียวในประเทศ โดยล่าสุด สถาบันนวัตกรรม ปตท. และบริษัทในเครืออย่าง PTTOR และ GC ร่วมกับพัฒนานำเยื่อกาแฟ (coffee chaff) ซึ่งเป็นของเหลือหลักจากโรงคั่วกาแฟ นำมาบดและอบเพื่อไล่ความชื้น และขึ้นรูปเป็นวัสดุคอมโพสิต ร่วมกับน้ำยา อีพอกซี เรซิน (biobased epoxy) ใช้เป็นวัสดุตั้งต้นในการทำโต๊ะ ตู้ เคาน์เตอร์ ชั้นวางของ และเฟอร์นิเจอร์ เบื้องต้นจะเปลี่ยนอุปกรณ์ของใช้ภายในร้านคาเฟ่อเมซอน ให้เป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้โดยธรรมชาติ อาทิ แก้วร้อน (bio PBS) ที่เป็นแก้วกระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพย่อยสลายสู่ธรรมชาติได้ 100% แก้วเย็น (bio PLA) ที่ทำจากพืช 100% หลอด (bio PBS+PLA) รวมถึงการใช้ถุงกระดาษแทนถุงพลาสติกใส่เบเกอรี่ ซึ่งจะลดปริมาณขยะพลาสติกของร้านได้ถึง 645 ตันต่อปี เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน นายอดิทัต วะสีนนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้เอกชนบางรายจะเบรกลงทุนไบโออีโคโนมี และบางรายก็ยังพร้อมลงทุน ในส่วนของภาครัฐยังคงเดินหน้าส่งเสริมต่อเพราะเป็นมติ ครม. ซึ่งขณะนี้ความคืบหน้าเป็นไปตามแผน และยังไม่มีแผนการปรับมาตรการในช่วงระยะเวลาใกล้ ๆ นี้ มีแต่จะเร่งขับเคลื่อนตามแผน ทั้งนี้ bioeconomy ถือเป็นต้นน้ำที่จะนำไปสู่ผลิตอย่างพลาสติกชีวภาพ ล่าสุดได้ร่วมกับสถาบันพลาสติก นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมพลาสติก โดยกระทรวงการคลัง ออกมาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยผู้ซื้อ เช่น ห้างสรรพสินค้า ซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพชนิดที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ จะได้รับลดหย่อนภาษี 1.25 เท่า เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2562-31 ธ.ค. 2564 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-351443

จำนวนผู้อ่าน: 1959

20 กรกฎาคม 2019

เปิดแผนล้างหนี้แสนล้าน ขสมก. ทุ่มซื้อรถใหม่-โละคน-ที่ดินปั๊มรายได้

เป็นรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนตั้งแต่เริ่มก่อตั้งปี 2519 สำหรับ “ขสมก.-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ”ณ สิ้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มียอดหนี้สะสมกว่า 118,000 ล้านบาท แม้ปัจจุบันจะได้รับงบฯสนับสนุนจากรัฐบาลทุกปี และล่าสุดรัฐบาลเพิ่งอนุมัติให้กระทรวงการคลังปล่อยกู้เงินเสริมสภาพคล่องให้วงเงิน 11,319 ล้านบาท ใช้หมุนเวียนการชำระค่าเชื้อเพลิง ค่าเหมาซ่อม และเสริมสภาพคล่องทางการเงิน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ยังลุ้นต่อแผนฟื้นฟูที่รัฐบาล คสช.ไฟเขียว จะพลิกฟื้น ขสมก.ให้หลุดพ้นจากพันธนาการหนี้สินล้นพ้นตัวได้แค่ไหน เปิดรายละเอียดแผนฟื้นฟูจะประกอบด้วย 1.ปรับปรุงและจัดหารถใหม่ 3,000 คัน มีจัดหารถแบบใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติ (NGV) 489 คัน ซึ่งซื้อไปแล้ว ปรับปรุงสภาพรถเดิม 323 คัน วงเงิน 138 ล้านบาท จัดหารถเมล์ไฟฟ้า (EV) 35 คัน รถแบบไฮบริด 1,453 คัน และเช่าอีก 700 คัน รวม 5,423 ล้านบาท แยกเป็นรถ NGV 300 คัน 1,855 ล้านบาท และ ไฮบริด 400 คัน 3,568 ล้านบาท ซึ่งแผนจัดซื้อทั้งหมด เป็นการทบทวนมติ ครม.เดิมที่อนุมัติไว้วันที่ 9 เม.ย. 2556 ให้จัดหารถใหม่ 3,183 คัน 13,162 ล้านบาท 2.นำเทคโนโลยีใหม่ยกระดับการบริการ เช่น ติดตั้งระบบ e-Ticket, GPS, WiFi, ป้ายอัจฉริยะ, ระบบ QR code 3.ปรับปรุงเส้นทางเดินรถตามแผนการปฏิรูปรถเมล์ 137 เส้นทางที่ทับซ้อนกับรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑลจะเปิดใช้อีก 4-5 ปี ขณะนี้กรมการขนส่งทางบกในฐานะหน่วยงานดูแลกำลังทำข้อมูลเพื่อเสนอสภาพัฒน์ฯ 4.ปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับขึ้น จากปัจจุบันมีพนักงาน 13,599 คน จะเปิดเออร์ลี่รีไทร์ 5,051 คน ใช้งบฯ 6,000 ล้านบาท ปีแรก 655 คน ปีที่ 2-3 ปีละ 2,198 คน และต้องปรับทักษะพนักงานให้รับกับงาน เช่น ให้พนักงานหญิงมาขับรถ 5.พัฒนาพื้นที่อู่รถเมล์ในรูปแบบ TOD หรือการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน เหมือนสถานีีรถไฟฟ้า ที่บริเวณอู่บางเขน 11 ไร่ และอู่มีนบุรี 14 ไร่ ทั้งนี้แผนฟื้นฟูจะสำเร็จได้ ทางรัฐจะต้องรับภาระหนี้เก่าไป จากนี้คมนาคมจะหารือกับคลังเรื่องหนี้สิน 118,000 ล้านบาท ส่วนหนี้ใหม่ขสมก.จะรับภาระเอง นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ ขสมก.กล่าวว่า แผนงานทั้งหมดได้กำหนดไทม์ไลน์ไว้แล้ว (ดูกราฟฟิก) ในเดือนต.ค.นี้เริ่มจากปรับปรุงสภาพรถ 323 คันจะเสร็จในเดือนมิ.ย.2563 ขอใบอนุญาตการปฏิรูปเส้นทางรถเมล์ 137 เส้นทางจากคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง เนื่องจากมี 20 เส้นทางที่ทับซ้อนกับรถไฟฟ้า และติดตั้งอินเทอร์เน็ต WiFi ในเดือน มิ.ย.2563 ซื้อรถไฟฟ้า 35 คัน จัดหารถเช่า 700 คัน เปิดเออร์ลี่รีไทร์ 655 คน ประมูล PPP TOD ให้เอกชนลงทุนพัฒนา 30 ปี เพราะแต่ละแห่งมีมูลค่าที่ดินเกิน 1,000 ล้านบาท ที่ “อู่บางเขน” เสนอพัฒนาเป็นศูนย์การค้าหรือคอมมิวนิตี้มอลล์ อยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ส่วน “อู่มีนบุรี” เป็นตลาดจะก่อสร้างเป็นอาคารพาณิชย์ ชั้นล่างเป็นอู่รถเมล์ ชั้นบนเป็นตลาดขายสินค้า ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูแคราย-มีนบุรี คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 600 ล้านบาท ปี 2564 จัดหารถไฮบริด 700 คันเปิดเออร์ลี่รีไทร์ 2,198 คน ปี 2565 ซื้อรถไฮบริด 753 คัน เปิดเออร์ลี่รีไทร์ 2,198 คน และปี 2567 จะขึ้นค่ารถเมล์ 1 บาท หากทุกอย่างเดินหน้าตามแผน จะทำให้ ขสมก.หารายได้เลี้ยงตัวเองและกลับมามีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม ในปี 2566 จากนั้นปี 2567 จะเลี้ยงตัวเองได้ และปี 2588 จะชำระหนี้เงินกู้ได้หมด มาจากหนี้ก้อนใหม่กู้ซื้อรถ NGV กว่า 1.8 พันล้าน รถไฮบริด 1,453 คัน 12,000 ล้านบาท และกู้มาใช้จ่ายในการเออร์ลี่พนักงาน 6,000 ล้านบาท อยู่ที่คลังจะรับ-ไม่รับหนี้แสนล้าน เพราะถึงปลดแอกหนี้เก่า ก็สร้างหนี้ใหม่เพิ่มเรื่อย ๆ ฉะนั้นการเข็นให้ ขสมก.ให้มีกำไร น่าจะยังอีกห่างไกล !   “รถทันสมัย-บริการดี” สิ่งที่ประชาชนคาดหวังจากรัฐบาล หากว่ากันที่ตัวแผนฟื้นฟูล้วน ๆ อาจจะดูไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่ใช้บริการ แต่เมื่อส่องถึงรายละเอียดมีหลายองค์ประกอบส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนคนใช้บริการขนส่งสาธารณะอย่างมาก โดยเฉพาะการซื้อ-เช่ารถใหม่ 2,511 คัน ทดแทนรถเก่ามีอายุการใช้งาน 16-26 ปี ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นคนใช้บริการรถเมล์ หลังจากที่ ครม.มีมติเห็นชอบแผนฟื้นฟู ขสมก. “คุณพสุ” อาชีพค้าขาย ให้ความเห็นว่า เคยได้ยินเรื่องการจัดหารถเมล์ครั้งสุดท้ายคือ ในสมัยนายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็งงเพราะจู่ ๆ เรื่องก็เงียบหายไป “รู้สึกดีใจ อยากให้รัฐเร่งผลักดัน ผมเองก็นั่งรถเมล์สาย 134 (หมอชิต-บัวทองเคหะ) เป็นประจำ เป็นรถแอร์ครีม-น้ำเงิน แต่ถ้ามีรถใหม่น่าจะสะดวกสบายขึ้น” ด้าน “คุณพร” อาชีพแม่บ้านกล่าวว่า ส่วนตัวนั่งรถเมล์สาย 516 (เทเวศร์-บัวทองเคหะ) ไปตลาดตอนเช้า ไม่มีอะไรวิจารณ์เพราะรู้สึกว่ารถเมล์ที่ขึ้นประจำให้บริการดีอยู่แล้ว แต่การจัดหารถใหม่ อยากให้รถสูงน้อยกว่านี้ เพราะผู้สูงอายุก็ใช้บริการกันเยอะ ทำให้ใช้บริการลำบาก “คุณปอ” อาชีพนักศึกษากล่าวว่า นั่งรถเมล์สาย 134 เป็นประจำ ก็ให้บริการโอเคอยู่แล้ว และรู้สึกชอบจอแสดงผลในรถเพราะบอกตำแหน่งป้ายรถเมล์ที่จะจอดถัดไป แต่อยากให้เพิ่มความแม่นยำมากกว่านี้ เพราะมีบางครั้งบอกตำแหน่งคลาดเคลื่อน เรื่องรถเมล์ใหม่ต้องดูสเป็กของรถที่ซื้อก่อนเป็นแบบไหน ตอนนี้รู้แต่ว่าจะซื้อรถใหม่แต่ยังไม่เห็นแบบรถจะซื้อแบบไหน กี่ที่นั่ง กว้างกว่าเดิมไหม สิ่งอำนวยความสะดวกเป็นยังไง เช่น ราวจับหรือที่นั่งสำหรับผู้โดยสารพิการ เป็นเสียงสะท้อนของประชาชนผู้ใช้บริการรถเมล์ ขสมก. เส้นเลือดใหญ่ของบริการขนส่งสาธารณะในปัจจุบัน น่าจะถึงเวลาที่รัฐบาลใหม่ต้องหันมาใส่ใจมากขึ้น แม้จะปูพรมสร้างรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ แต่ท้ายที่สุด “รถเมล์” ก็เป็นหมวดการเดินทางที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ได้มากกว่านั่นเอง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-351304

จำนวนผู้อ่าน: 1925

20 กรกฎาคม 2019

“บิ๊กโอ๋”รื้องบคมนาคมรับนโยบายรัฐ-พรรคร่วมดันเทอร์มินัล2แก้สุวรรณภูมิ-กำชับมอบพื้นที่ซี.พี.สร้างไฮสปีดต้องรอบคอบ

“ศักดิ์สยาม” เครื่องร้อนดันเทอร์มินัล 2 สุวรรณภูมิ จี้รถไฟรอบคอบส่งมอบพื้นที่ไฮสปีด ซี.พี.หวั่นซ้ำรอยค่าโง่โฮปเวลล์ รีวิวงานระบบรถไฟไทย-จีน 5 หมื่นล้าน ขอดูข้อมูล “ด่วนพระราม3 -ยกระดับพระราม 2” ก่อนเซ็นสัญญา หาช่องลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การนัดหน่วยงานภายใต้กระทรวงคมนาคมมารายงานและสรุปความคืบหน้าของแผนงานต่างๆ ตลอด 2 วันที่ผ่านมามีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เห็นภาพรวมของแผนงานต่างๆ ชัดขึ้น แต่การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ก็อาจจะยังมีไม่มาก จึงอยากให้มีการประสานงานการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่มีลักษณะการดำเนินงานแบบเดียวกัน @ทบทวนงบปี’63 รับนโยบายหาเสียง ทั้งนี้ ยังได้หารือเรื่องการจัดทำร่างงบประมาณประจำปี 2563 ที่เคยทำกรอบวงเงินไว้ 420,000 ล้านบาท จะต้องนำกลับมาทบทวนว่า ตรงไหนต้องปรับให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและพรรคร่วม จะทำได้แค่ไหน และมีข้อสังเกตให้ศึกษารัฐธรรมนูญปี 2560 ให้ดี เพราะมีเขียนกำกับเกี่ยวกับการจัดร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย ต้องทำให้ถูกต้อง “แต่ในช่วงสุญญากาศ 3 เดือน ของการใช้งบประมาณปี 2563 ซึ่งตามแผนจะล่าช้าออกไปเป็น ม.ค.2564 จะปรึกษากับสำนักงบประมาณเพื่อนำงบเหลือจ่ายแต่ละปีมาเบิกจ่ายใช้ในส่วนของรายจ่ายประจำไปก่อน” ส่วนการจัดสรรคณะกรรมการ (บอร์ด) ใหม่ตามหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ ขอให้ทุกท่านทำงานกันก่อน ถ้าทำงานมีประสิทธิภาพก็ไม่ต้องปรับ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องคุยกัน ขณะที่การแต่งตั้งหัวหน้าที่ยังรักษาการณ์ เช่น ขสมก. การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท. ) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ก็ให้สรรหามาตามขั้นตอน @ทุกโครงการส่งให้ “วิษณุ” ดู กม.ก่อนเสนอ ครม. นอกจากนี้ ได้บอกกับทุกหน่วยงานแล้วว่า ทุกเรื่องที่จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีความละเอียดรอบคอบมากขึ้น เพราะต่อจากนี้นอกจากจะมีการส่งให้รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงเป็นผู้เสนอ ครม.แล้ว ต่อไปจะต้องส่งให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมายอีกชั้นหนึ่งเพิ่มเข้ามา ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการไว้ในที่ประชุม ครม.เมื่อวันอังคารที่ 16 ก.ค.ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีประเด็นไหนที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้กระทรวงทบทวนใหม่แต่อย่างใด @จี้รถไฟเข้มส่งมอบพื้นที่ไฮสปีด 3 สนามบิน สำหรับแผนงานที่น่าสนใจ เริ่มที่ ร.ฟ.ท.กำชับในเรื่องการส่งมอบพื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. เงินลงทุน 224,544 ล้านบาท แม้ ร.ฟ.ท.จะรายงานถึงรายละเอียดทุกอย่างได้ดี แต่ต้องดูข้อกฎหมายให้รอบคอบด้วย “เพราะอุปสรรคเรื่องพื้นที่บุกรุกก็ไม่ใช่จะแก้กันได้ง่ายๆ ไม่อยากให้เกิดปัญหาค่าโง่เหมือนกรณีโฮปเวลล์ ส่วนจะลงนามในสัญญาได้ภายในเดือน ก.ค.นี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ ร.ฟ.ท.ว่าได้ทบทวนได้ดีแค่ไหน ต้องตรวจสอบให้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ก็จะเร่งให้ทัน” ส่วนเรื่องการเจรจากับประเทศจีน เรื่องงานสัญญางานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) โครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 252.35 กม. มูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท ยังต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมก่อน เพื่อเพิ่มความเข้าใจ และเป็นการลดการทำงานแบบราชการเก่าๆ ไปด้วย ด้านการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก็ได้ขอข้อมูลเรื่องการโอนสิทธิ์รถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) มาทบทวน ก็ไม่มีปัญหา ส่วนค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง ต้องเอาแต่ละสายมาดู เพราะหากเป็นเส้นทางที่เอกชนลงทุน รัฐจะต้องเข้าไปอุดหนุนโดยใช้เงินภาษี ก็ต้องดูรูปแบบว่าจะทำอย่างไรให้ค่าโดยสารปัจจุบันมีเหตุผล เพราะะต้องยอมรับว่ารัฐไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานเองได้ทั้งหมด ต้องอาศัยเอกชนด้วย @เดินหน้าเทอร์มินัล 2 สุวรรณภูมิ ขณะที่แผนงานของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เบื้องต้น ยืนยันว่าจะต้องผลักดันโครงการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 (Terminal 2) สนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการ 42,000 ล้านบาท เพราะปริมาณผู้โดยสารในสนามบินแออัดจนใกล้เกินศักยภาพที่รับได้คือ 150 ล้านคน/ปี แล้ว ทอท.รายงานว่าในปี 2564 จะมีผู้โดยสารใช้งานอยู่ที่ 141 ล้านคน/ปี และในปี 2567 จะทะลุไปที่ 170 ล้านคน/ปี จึงจำเป็นต้องสร้าง @รอทางด่วนพระราม 3 – ยกระดับพระราม 2 เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการที่รอเซ็นสัญญาอย่างโครงการทางด่วนพระราม 3 – ดาวคะนอง 4 สัญญา รวมมูลค่าโครงการ 29,154.230 ล้านบาท ของการทางพิเศษฯและโครงการมอเตอร์เวย์สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงแรกจากบางขุนเทียนถึงเอกชัย 1 ระยะทาง 10.8 กม. มูลค่าโครงการ 10,500 ล้านบาท ของกรมทางหลวง (ทล.) จะได้เซ็นในเร็วๆนี้หรือไม่ นายศักดิ์สยามตอบว่า ยังไม่เห็นทั้งสองเรื่องดังกล่าว แต่จะพยายามเร่งให้ทุกเรื่อง ส่วนมากยังติดเรื่องงบประมาณ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-351713

จำนวนผู้อ่าน: 1803

20 กรกฎาคม 2019

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า รับคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ยสิ้นเดือนนี้

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงสัปดาห์นี้ เปิดตลาดในวันจันทร์ (15/7) ที่ระดับ 30.92/93 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ก่อนหน้า (12/7) ที่ระดับ 30.86/88 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินบาทปรับตัวเคลื่อนไหวแถวระดับ 30.90 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ในวันศุกร์ (12/7) หลังมีแรงขายเงินบาทภายหลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับหลักเกณฑ์มาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ในส่วนของยอดคงค้างบัญชีเงินฝากสกุลเงินบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (NR) ทั้ง Non-resident Baht Account for Securities (NRBS) และบัญชี Non-resident Baht Account (NRBA) ที่เปิดไว้กับสถาบันการเงินในประเทศไทยเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารทางการเงิน และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ทั่วไป เช่น การชำระค่าสินค้าและบริการ โดยปรับเกณฑ์ยอดคงค้าง ณ สิ้นวันของบัญชี NRBS และ NRBA ให้ลดลง จากเดิมกำหนดไว้ที่ 300 ล้านบาท เป็น 200 ล้านบาทต่อราย NR ต่อประเภทบัญชี ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 ก.ค. 2562 นอกจากนี้ทาง ธปท.ยังมีมาตรการยกระดับการรายงานข้อมูลการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติด้วย ซึ่งการดำเนินมาตรการดังกล่าว ทาง ธปท.ได้ติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและมีความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม จึงพร้อมดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ ค่าเงินบาทได้เคลื่อนไหวตามปัจจัยในต่างประเทศ โดยเพาะการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในสัปดาห์นี้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมายังไร้ทิศทาง โดยเมื่อคืนวันอังคาร (16/7) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายนออกมาสูงขึ้นกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งตัวเลขนี้บ่งชี้ถึงปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง ประกอบกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีการเปิดเผยรายงานตัวเลขการผลิตภาคโรงงานเพิ่มสูงขึ้น 0.4% ในเดือนมิถุนายน โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ นอกจากนี้สำหรับปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ความคืบหน้าในการเจรจาประเด็นข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้กล่าวในวันอังคาร (16/7) ว่า สหรัฐยังคงมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนได้ และสหรัฐอาจจะต้องจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนเป็นมูลค่าเพิ่มอีก 3.25 แสนล้านดอลลาร์ ถ้ารัฐบาลจีนไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ในเรื่องของจัดซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐ ส่วนสถานการณ์การดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐนั้นในคืนวันพฤหัสบดี (18/7) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญหลังนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังจะชะลอตัว และสร้างความกังวลให้กับหลายภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ โดยหลังการแสดงความเห็นดังกล่าว ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 30-31 ก.ค.นี้ โดย FedWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐของ CME Group บ่งชี้ว่า มีโอกาส 65.1% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% จากปัจจุบันที่ระดับ 2.25-2.50% และมีโอกาส 34.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 1.75-2.00% โดยจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ ทั้งนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 30.74-30.94 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดวันศุกร์ (19/7) ที่ระดับ 30.76/78 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินยูโรเปิดตลาดในวันจันทร์ (15/7) ที่ระดับ 1.1271/72 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (12/7) ที่ระดับ 1.1257/60 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินยูโรมีการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับเงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังแปรผันตามปัจจัยภายใน โดยระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาไม่สู้ดีนัก ในวันอังคาร (16/7) สถาบัน ZEW เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของนักลงทุนเยอรมนีลดลงมากกว่าช่วงเดือนก่อนหน้า โดยลดลงสู่ระดับ -24.5 ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และความขัดแย้งในประเทศอิหร่าน นอกจากนี้ค่าเงินยูโรได้ถูกกดดันเพิ่มเติมหลังจากนักลงทุนมีความคาดหวังว่าทางธนาคารกลางยุโรปจะส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในการประชุมที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมไว้ที่ระดับ 0% ในการประชุมครั้งนี้และคาดว่าจะมีการส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ย 0.1% ในการประชุมเดือนกันยายน อย่างไรก็ตามในช่วงปลายสัปดาห์ค่าเงินยูโร ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ในสัปดาห์นี้ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1200-1.1284 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (19/7) ที่ระดับ 1.1247/49 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินเยนเปิดตลาดวันจันทร์ที่ (15/7) ระดับ 107.85/86 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (12/7) ที่ระดับ 108.30/40 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินเยนยังเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าวกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่เคลื่อนไหวแข็งค่าในฐานะเงินสกุลปลอดภัย เนื่องจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลก รวมถึงการคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ และประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกในสัปดาห์นี้ของประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ ในวันพฤหัสบดี (18/7) มีรายงานดุลการค้าที่ออกมาเกินดุลอยู่ 5.895 แสนล้านเยน เกินดุลสูงกว่าระดับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะมียอดเกินดุลที่ 4.035 แสนล้านเยน และในวันศุกร์ (19/7) มีตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของเดือนมิถุนายนออกมาที่ 0.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี เท่ากับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ในสัปดาห์นี้ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวระหว่าง 107.20-108.38 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดในวันศุกร์ (19/7) ที่ระดับ 107.66/78 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-351653

จำนวนผู้อ่าน: 1674

20 กรกฎาคม 2019

ธนชาตยันไม่ปลดพนง. แต่พัฒนาทักษะให้เก่งขึ้น ไม่ว่าจะรวมกิจการหรือไม่ก็ตาม

ธนาคารธนชาตยันไม่ปลดพนักงาน แต่พัฒนาทักษะให้เก่งขึ้น ไม่ว่าจะรวมกิจการหรือไม่ก็ตาม หลังจากวันนี้ที่ทางสหภาพแรงงานธนาคารธนชาตได้ยื่นหนังสือถึง นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เพื่อให้กระทรวงการคลัง ช่วยพิจารณาคุ้มครองผลประโยชน์ของพนักงาน หากมีการรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาต และทีเอ็มบี โดยสหภาพฯ มีความกังวลต่อสถานภาพการจ้างงานของพนักงาน นั้น นายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่า ธนาคารฯ ไม่มีนโยบายปลดพนักงานใดๆ ทั้งสิ้น โดยขณะนี้ ธนาคารธนชาตและทีเอ็มบีอยู่ระหว่างพิจารณาและหารือกันถึงโอกาสการรวมกิจการ แต่หนึ่งในหลักการสำคัญที่เห็นพ้องตกลงร่วมกันคือ หากมีการรวมกิจการกันก็จะต้องดูแลพนักงานทุกคนอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง เพื่อให้ได้รับผลกระทบจากการรวมกิจการน้อยที่สุด ทั้งในเรื่องนโยบายสวัสดิการก็จะจัดการให้ดี เท่าเทียมและสอดคล้องเหมาะสมกับพนักงาน “ปกติธนาคารของเรา พัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มทักษะใหม่ๆ ให้กับพนักงาน พร้อมรองรับการแข่งขันและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งไม่ว่าจะรวมกิจการหรือไม่ พนักงานของเราก็ต้องมีความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา และหากมีการรวมกิจการ ก็เป็นประโยชน์ต่อพนักงานที่จะมีโอกาสใหม่ๆ รองรับการให้บริการลูกค้าเพิ่มขึ้นถึงสิบล้านคน“ นายประพันธ์กล่าว นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการที่เครือข่ายสหภาพแรงงานของธนาคารและสถาบันการเงิน (BFUN) เรียกร้องให้ธนชาต และทีเอ็มบี มีแผนชัดเจนเกี่ยวกับการรวมกิจการดังกล่าว เพื่อให้แน่ใจว่า พนักงานทั้งสองแห่งจะไม่ได้รับผลกระทบนั้น ในอนาคต จะมีการเปิดเผยแผนที่ชัดเจนดังกล่าวแน่นอน หลังการทำ Due Diligence ระหว่างกันเสร็จสมบูรณ์ก่อน หลังจากนั้น จะเสนอแผนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับทราบแผนการรวมกิจการ และเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ทราบต่อไป คลิกอ่านเพิ่มเติม… สหภาพแรงงานแบงก์ฯ ยื่นหนังสือ รมว.คลัง หวั่นควบรวม “TMB-TBANK” คนตกงาน 4-5 พันคน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-351706

จำนวนผู้อ่าน: 1704

20 กรกฎาคม 2019

โมโนเรล “ชมพู-เหลือง” วางคานทางวิ่งเสร็จ ม.ค.64

คอลัมน์ เวนคืนอัพเดต ปัจจุบันกลุ่มกิจการร่วมค้า BSR (บีทีเอส-ซิโน-ไทยฯ-ราชบุรีโฮลดิ้งส์) ผู้ลงทุนรถไฟฟ้าสายสีชมพูแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลืองลาดพร้าว-สำโรง รถไฟฟ้าโมโนเรล 2 สายแรกของประเทศไทยกำลังเร่งเครื่องตอกเข็มอย่างหนักหน่วง หลังเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2560 และได้รับส่งมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2561 โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน ตามสัญญามีกำหนดเสร็จเปิดใช้ในเดือนตุลาคม 2564 นับเป็นความท้าทายของ “ซิโน-ไทยฯ” ผู้รับเหมาก่อสร้างของโครงการ ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาที่เหลือ 18 เดือนนับจากนี้ โดยรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย ใช้วัสดุก่อสร้างจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปที่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ที่ซิโน-ไทยฯ ใช้เงินลงทุนเนรมิตที่ดิน 250 ไร่เป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนป้อนใหักับสายสีชมพูและสีเหลืองโดยเฉพาะ นายวิฑูรย์ สลิลอำไพ ผู้อำนวยการโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ผู้แทนจาก บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น กล่าวว่า คานทางวิ่งทางบริษัทเป็นผู้ผลิตเองที่โรงงานไทรน้อย เพื่อรองรับรถไฟฟ้าโมโนเรลทั้ง 2 สายโดยเฉพาะ เป็นคานทางวิ่งหรือ guideway beam เป็นแบบหล่อสำเร็จขนาดใหญ่ แต่ละชิ้นมีความยาว 30 เมตร น้ำหนักประมาณ 80 ตัน ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างทางวิ่งที่แข็งแรงสำหรับให้รถไฟฟ้าโมโนเรลวิ่งคร่อมอยู่ด้านบน “คานทางวิ่งจะผลิตที่โรงงาน ส่วนการติดตั้งแต่ละครั้งจะต้องมีการขนย้ายเพื่อไปประกอบในจุดที่ต้องการติดตั้งตามขั้นตอน อาจจะส่งผลกระทบต่อการจราจร จึงได้ประสานตำรวจจราจรปิดเบี่ยงจราจรชั่วคราวในช่วงเวลา 22.00-04.00 น. การวางคานทางวิ่งจะเริ่มจากหัว-ท้ายมายังตรงกลาง หลังจากติดตั้งจุดแรกที่สถานีสามัคคี บนถนนติวานนท์เป็นจุดแรกจะเริ่มสถานีมีนบุรี เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ สายสีเหลืองเริ่มที่ศรีนครินทร์ จะเริ่มทยอยติดตั้งตั้งแต่ปลาย ก.ค.นี้ไป คาดว่าจะใช้เวลา 18 เดือน หรือแล้วเสร็จในเดือน ม.ค. 2564” นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข รองผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า รถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองเป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยว 2 สายแรกของประเทศไทย และเป็นเส้นทางยกระดับที่มีระยะทางยาวที่สุดที่ รฟม.เคยสร้างมา รวม 64.9 กม. แยกเป็นสายสีชมพูระยะทาง 34.5 กม. และสายสีเหลืองระยะทาง 30.4 กม. “ผู้รับเหมาเริ่มงานทั้ง 2 สายพร้อมกัน เดินหน้าก่อสร้างมาได้ 1 ปี ในช่วงแรกมีปัญหาเรื่องส่งมอบพื้นที่ รื้อย้ายสาธารณูปโภค ตอนนี้เคลียร์เกือบหมดแล้ว จะเดินหน้าก่อสร้างเต็มที่ เพราะสัญญาให้เวลาสร้าง 3 ปี 3 เดือนปัจจุบันสายสีชมพูคืบหน้า 32.9% ล่าช้าจากแผน 5% ส่วนสีเหลืองคืบหน้า 33.47% ยังอยู่ในแผนงาน เพราะมีปัญหาน้อยกว่าสีชมพู” แม้งานก่อสร้างจะล่าช้าจากแผนไปบ้าง แต่จะเร่งผู้รับเหมาทั้ง 2 โครงการให้สร้างเสร็จตามสัญญาในเดือน ต.ค. 2564 เนื่องจากโครงการก่อสร้างงานโยธาและระบบอาณัติสัญญาณไปพร้อม ๆ กัน โดยระบบรถได้เริ่มออกแบบการผลิตแล้วเช่นกัน เป็นระบบรถของบอมบาร์ดิเอร์ จะมาถึงประเทศไทยในเดือน ก.ย. 2563 จากนั้นจะเริ่มกระบวนทดสอบตามขั้นตอนต่อไป นายสุรเชษฐ์กล่าวว่า ปัจจุบันทั้ง 2 เส้นทางได้ดำเนินการก่อสร้างจากระดับฐานราก เข้าสู่ขั้นตอนของทางยกระดับช่วงหัว-ท้ายโครงการ โดยได้มีการติดตั้ง guideway beam หรือคานทางวิ่งสำหรับโมโนเรลแห่งแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2562 สายสีชมพูเริ่มที่สถานีสามัคคีและสายสีเหลืองที่บริเวณศรีนครินทร์และตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค.นี้ไปจนถึงเดือน ม.ค. 2564 จะทยอยติดตั้งไปยังจุดอื่น เช่น สถานีมีนบุรี เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ เป็นต้น โดยแต่ละสายจะติดตั้งคานทางวิ่งสายทางและคานทางวิ่งสถานี ประมาณ 3,000 ชิ้นต่อเส้นทาง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-351615  

จำนวนผู้อ่าน: 1763

20 กรกฎาคม 2019

“ประยุทธ์” ระทึก! ศาล รธน. รับสอบปมจนท.อื่นของรัฐ-มติ 5 ต่อ 4 รับคำร้องยุบ’อนาคตใหม่’

แฟ้มภาพ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องของส.ส.พรรคฝ่ายค้านจำนวน 110 คนที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีปัญหาขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งเนื่องจากเป็นหัวหน้า คสช.เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่อื่นรัฐ ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง( 4 ) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98(15) หรือไม่ไว้พิจารณาวินิจฉัย และให้แจ้งประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบ พร้อมส่งสำเนาคำร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้ถูกร้องเพื่อยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากลับมายังศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับสำเนาคำร้อง อย่างไรก็ตามศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีคำสั่งให้พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากเห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสองบัญญัติเงื่อนไขไว้ว่า “จะต้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง “ซึ่งตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้องที่จะทำให้เกิดความเสียหายแต่ประการใด ประกอบกับประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้มีคำร้องขอในส่วนนี้จึงยังไม่เข้าเงื่อนไขที่จะสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนกรณีคำร้องที่กกต. ขอให้พิจารณาวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม และนายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษา ในขณะนั้น ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันเป็นส.ว.นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรมว.วิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเป็นรมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง(5) หรือไม่ เนื่องจากถือครองหุ้นสัมปทานรัฐ4รัฐมนตรีถือครองหุ้นสัมปทานรัฐวันนี้ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญได้มีการอภิปราย เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้จึงไม่ทำการไต่สวนและนัดออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังน ในวันที่ 27 ส.ค. เวลา 14 .00น. อย่างไรก็ตามหลังจากนี้หากคู่กรณีประสงค์ยื่นคำแถลงการณ์ผิดคดีเป็นหนังสือสามารถยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ภายใน 15 วันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้ง นอกจากนี้ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญยังมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 รับคำร้องที่ นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถูกร้องที่ 2 นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ถูกร้อง 3 และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหมผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่า นายณฐพร ได้ใช้สิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสองแล้ว แต่อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสามที่นายณฐพรจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ จึงมีคำสั่งรับคำร้องและแจ้งนายณฐพร ส่งสำเนาคำร้องให้ผู้ถูกร้องทั้ง 4 ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ด้านนายณฐพร โตประยูร ซึ่งยื่นคำร้องดังกล่าว ระบุว่าตนไปยื่นร้องเรื่องนี้เงียบ ๆ ประเด็นที่ร้องมีหลายประเด็นทั้งพฤติกรรมการกระทำของหัวหน้าและแกนนำพรรคอนาคตใหม่ รวมถึงข้อบังคับพรรคอนาคตที่มีการเขียนในลักษณะไม่ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยก่อนหน้านี้ได้ยื่นร้องต่ออัยการสูงสุด และทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบโดยเตรียมที่จะยื่นเรื่องมายังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการดำเนินการเรื่องดังกล่าวไม่ได้มีเบื้องหลังหรือไปรับงานใครมา รวมทั้งตนก็ไม่ได้ทำเพราะโกรธแค้นหรือมีปัญหาอะไรกับนายธนาธร นายปิยบุตรมาก่อนเพราะไม่เคยรู้จัก เพียงตนเห็นว่าการกระทำของแกนนำและพรรคอนาคตใหม่มีลักษณะเอาระบอบประชาธิปไตยมาอ้าง แต่แท้จริงแล้วมีเจตนาที่ไม่มีดีกับสถาบันเบื้องสูง “ก่อนหน้านี้ผมเป็นที่ปรึกษาหลายองค์กรก็ลาออกจากทุกตำแหน่งมาทำเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย ถ้าได้อ่านสำนวนที่ผมทำเต็ม ๆ จะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องประชาธิปไตยโดยตรงตรง ผมไม่ต้องการให้ใครแอบแฝงเอาประชาธิปไตยมาอ้าง ผมเก็บข้อมูลของเขาตั้งแต่พฤติการณ์เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน รวมถึงข้อบังคับพรรคบอกได้เลยว่ามันเป็นอันตรายกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณฐพร เคยเป็นอดีตทนายความของนายวีระ สมความคิด อดีตทนายความเครือข่ายหัวใจคนไทยรักชาติ และอดีตที่ปรึกษากฎหมายของประธานผู้ตรวจการแผ่นดินมาก่อน อย่างไรตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กำหนดไว้เพียงว่าผู้ใดทราบว่ามีการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระกษัตริย์ทรงเป็นประมุขสามารถร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ หากอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วันผู้ร้องสามารถยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงได้ แต่ทั้งนี้การกระทำที่เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเป็นเหตุยุบพรรค เพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคยังกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 92 ซึ่งกรณีดังกล่าวยังไม่แน่ชัดว่า จะต้องเป็นกรณีที่ศาลพิจารณาจากคำร้องของกกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองเท่านั้นหรือไม่ หรือหากศาลฯดำเนินการไต่สวนแล้วมีหลักฐานอันควรได้ว่าพรรคการเมืองมีการกระทำการที่มีการล้มล้างการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็สามารถพิจารณาสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองได้   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-351686

จำนวนผู้อ่าน: 1775

20 กรกฎาคม 2019

เทรนด์ไดรฟ์ทรูมาแรง “กาแฟ-ซาลาเปาวราภรณ์”ร่วมวง

“ร้านอาหาร-กาแฟแบรนด์ดัง” เดินหน้าเปิดสาขา “ไดรฟ์ทรู” รับพฤติกรรมผู้บริโภคชอบสะดวก-หนีค่าเช่าพื้นที่ห้างแพง ชี้ช่วยเพิ่มโอกาสขาย “สตาร์บัคส์” เปิดอีกเบาะ ๆ 10 จุด ด้าน “เคเอฟซี” ไม่น้อยหน้า ประกาศปูพรม 100 สาขา ภายในปีหน้า “เดลี่ คาเฟ-กาแฟพันธุ์ไทย” ล่าสุด ซาลาเปาวราภรณ์ ขอลุยด้วยคน เล็งยึดทำเลทอง มหาชัย หวังดักรถลงใต้ แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก เปิดเผย “ประชาชาติธรกิจ” ว่า ขณะนี้การขยายสาขาร้านในแบบไดรฟ์ทรูกำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความสนใจมากขึ้น เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว ประกอบกับสภาพการจราจรที่ติดขัด การเปิดจุดให้บริการแบบไดรฟ์ทรูที่ให้ผู้บริโภคแวะเข้ามาซื้ออาหาร-เครื่องดื่มก่อนเดินทางต่อ จึงได้รับความนิยมมากขึ้น นอกจากแบรนด์ใหญ่ที่มีแผนจะขยายสาขาไดรฟ์ทรูเพิ่มแล้ว เช่น สตาร์บัคส์ เตรียมเปิดสาขาไดรฟ์ทรูเพิ่มอีก 10 สาขา จากที่มีกว่า 80 สาขา เป็นต้น ขณะนี้ก็มีแบรนด์ใหม่ ๆ จะเปิดสาขาไดรฟ์ทรูเพิ่ม อาทิ ร้านกาแฟ เดลี่ คาเฟ่ ที่มีสาขาหลัก ๆ อยู่ในปั๊มเชลล์ประมาณ 80 สาขา ก็อยู่ระหว่างการเลือกทำเลเพื่อเปิดไดรฟ์ทรู ขณะที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยของ PT ที่เดิมเปิดไดรฟ์ทรูไปแล้ว 4 สาขา และดังกิ้นที่มี 1 สาขา ก็เตรียมจะเปิดเพิ่มอีก รวมทั้งร้านซาลาเปาวราภรณ์ ก็มีแผนจะเปิดสาขาแบบไดรฟ์ทรูเช่นกัน นายภูมิ สุธัญญา กรรมการบริหาร บริษัท วราภรณ์ สมพงษ์ ฟู๊ดส์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ “ซาลาเปาวราภรณ์” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า นอกจากการขยายร้านเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ 90 สาขาแล้ว ขณะนี้เตรียมจะเปิดสาขาไดรฟ์ทรูในย่านมหาชัย ที่เป็นเส้นทางผ่านไปสู่เมืองท่องเที่ยวสำคัญในภาคใต้ เพื่อเป็นการทดลองตลาด เคเอฟซีเดินหน้าขยายเพิ่ม นางสาวแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์เคเอฟซี ในประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมของไดรฟ์ทรูมีแนวโน้มเติบโตขึ้น เห็นได้ชัดจากยอดขายของเคเอฟซีที่มาจากสาขาไดรฟ์ทรูโตขึ้น จากนี้ไปมีแผนขยายร้านในรูปแบบไดรฟ์ทรูมากขึ้น ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพและย่านที่มีกำลังซื้อ ได้แก่ ชุมชน ที่มีจำนวนประชากรหนาแน่น และมีรถสัญจรไปมา ส่วนใหญ่เป็นการเช่าพื้นที่ เน้นบริการที่สะดวกและรวดเร็ว จากปัจจุบันเคเอฟซีมีสาขาทั้งสิ้นประมาณ 743 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นไดรฟ์ทรู 73 สาขา ตั้งเป้าขยายสาขาไดรฟ์ทรูให้ครบ 100 สาขา ภายในปี 2563 หนีค่าเช่าห้างแพง-แข่งขันสูง แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทผู้ให้บริการร้านกาแฟไดรฟ์ทรูรายหนึ่งเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการในธุรกิจกาแฟ ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด หันมาให้ความสำคัญกับการเปิดสาขาในรูปแบบไดรฟ์ทรูมากขึ้น เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่มีความรีบเร่งและไม่ต้องเดินลงมาจากรถ เมื่อซื้อเสร็จก็สามารถรับประทานและเดินทางต่อได้ทันที นอกจากนี้ โมเดลไดรฟ์ทรูนี้ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย เนื่องจากให้บริการลูกค้าได้ทุกช่วงเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ต่างจากสาขาในห้างสรรพสินค้าที่มีเวลาจำกัดและการแข่งขันสูง เนื่องจากมีร้านอาหารหลากหลายประเภทอยู่ในที่เดียวกัน ที่สำคัญ คือ ค่าเช่าพื้นที่ในห้างจะค่อนข้างสูง หลายรายจึงพัฒนาโมเดลใหม่ ๆ มาเสริม ซึ่งไดรฟ์ทรูก็ตอบโจทย์ “ร้านแบบไดรฟ์ทรูยังมีศักยภาพจะเติบโตได้อีก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในทุก ๆ โลเกชั่น ซึ่งหลัก ๆ จะต้องเป็นย่านชุมชน ย่านที่อยู่อาศัย มีจำนวนรถผ่านไปมามาก เป็นต้น” การเปิดสาขาไดรฟ์ทรูส่วนใหญ่มักจะเป็นในรูปแบบของการเช่า และแบ่งปันกำไรกัน หรือบางรายที่เป็นแบรนด์ดังแบรนด์ใหญ่ก็อาจจะจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างแบรนด์กับเจ้าของที่ดินเป็นสำคัญ ไอทีโซลูชั่นโตตาม นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ได้สิทธิ์จากบริษัท HM Electronics แบรนด์ผู้เชี่ยวชาญด้านไดรฟ์ทรูโซลูชั่น เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การที่ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฟาสต์ฟู้ด หันมาให้ความสำคัญกับการเปิดสาขาไดรฟ์ทรูมากขึ้น คาดว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการให้บริการโซลูชั่นครบวงจรจากร้านค้าแบบไดรฟ์ทรูเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาก็มีผู้ประกอบการหลายรายที่ติดต่อเข้ามาให้ติดตั้งระบบมากขึ้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านความเคลื่อนไหวของธนาคารพาณิชย์ก็มีการเปิดจุดให้บริการรูปแบบไดรฟ์ทรูเช่นกัน โดยธนาคารกสิกรไทยได้เปิดทดลองให้บริการเอทีเอ็ม ไดรฟ์ทรู ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ถนนบรมราชชนนี ฝั่งตรงข้ามสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ โดยธนาคารกสิกรไทยระบุว่าจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นในการกดเงินสด รวมถึงลดปัญหาไม่ต้องลงจากรถไปกดเงินในช่วงที่ฝนตกหนัก ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-350955

จำนวนผู้อ่าน: 1728

20 กรกฎาคม 2019

เคลียร์ต่อไม่รอแล้ว! BTS-BEM ถกส่วนขยาย”สีเหลือง”ปักหมุดปลายปี’64 ได้นั่งแน่โมโนเรล2สายใหม่

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) กล่าวถึงกรณีการสร้างส่วนต่อขยายสายสีเหลืองช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยให้ BTSC ไปหารือกับ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง – บางซื่อ เนื่องจากมีข้อกังวลเรื่องทางแข่งขัน ซึ่งได้นัดหมายวันเวลาที่จะเจรจาร่วมกันแล้ว “การเสนอให้สร้างช่วงดังกล่าวเป็นการเสนอของกลุ่ม BTSC เอง เพราะมองว่าเป็นประโยชน์กับประชาชน ทำให้เดินทางสะดวกและเชื่อมโยงระบบการเดินทาง โดยบีทีเอสลงทุนเอง 100% อย่างไรก็ตาม จะต้องรอฟังรายละเอียดของ รฟม.ในฐานะเจ้าของสัมปทานก่อน เพราะยังไม่ได้ให้รายละเอียดไว้” ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม. และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง ระยะทาง 32 กม. กำหนดแล้วเสร็จของทั้ง 2 สายยังอยู่ที่ประมาณปลายปี 2564 เนื้องานส่วนใหญ่ยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ แต่มีบางจุดที่ติดขัดบ้างคือเรื่องเวนคืนและส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง เชื่อว่า รฟม.จะสามารถเคลียร์พื้นที่ให้ได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-347541

จำนวนผู้อ่าน: 1807

09 กรกฎาคม 2019

MOU เกาหลีใต้รับซื้อ “ไม้ไผ่เศรษฐกิจ” 21 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเร็วๆ นี้ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งเสริมเกษตรผสมผสานผ่านการปลูกไผ่เศรษฐกิจ พืชแห่งอนาคต โดยมีนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภาคีภาคเอกชนจากประเทศเกาหลีใต้ นาย เฟลิก มูน ประธานกรรมการ ผู้จัดการ บริษัทดีเค เอเนอร์จี จำกัด ดร.ลีชัง ซู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเค เอเนอร์จี จำกัด ดร.ซอง เฮจา กรรมการผู้จัดการ บริษัท วูแอม คอร์เปอเรชั่น นายคิม จวา ดู กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีบี เอเนอร์จี จำกัด นายวิทย์ธีรัชชัย ยินดีชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วู้ดพลัส จำกัด นายชาตรี วชิระเผด็จศึก ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากร ป่าไม้ที่ 13 ร่วมลงนาม สืบเนื่องจากสภาเกษตรกรแห่งชาติ โดยสภาเกษตรกรจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับ ศอ.บต. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ริเริ่มและขยายผลโครงการส่งเสริมการทำเกษตรผสมผสานของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2560 ไปสู่การทำเกษตรผสมผสานในวงกว้างมากขึ้นให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านและชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายในปี พ.ศ. 2565 ทั้งนี้ มีเป้าหมายหลักเพื่อปรับเปลี่ยนการทำเกษตรกรรมพื้นที่ จากเดิมเป็นการปลูกยางเชิงเดี่ยวหรือพืชเชิงเดี่ยวอื่นๆ ให้เป็นฟาร์มสวนยาง ที่นำหลักการเกษตรผสมผสาน มาปรับและพัฒนาให้เข้ากับวิถีชีวิตประชาชน รวมทั้งให้สอดคล้องกับหลักภูมิศาสตร์ ภูมิสังคมของพื้นที่ไปพร้อมกัน นำไปสู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดคุณค่าและประโยชน์สูงสุด สร้างงานสร้างอาชีพที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และเป็นหลักประกันการสร้างรายได้ในระยะยาว ศอ.บต.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงมีแนวทางที่จะส่งเสริมเกษตรผสมผสาน ผ่านการปลูกไผ่เศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าเป็นพืชแห่งอนาคตตัวใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะช่วยเพิ่มช่องทางการสร้างเศรษฐกิจและรายได้ให้กับเกษตรกรร่วมกับพืชเดิมที่เกษตรกรเพาะปลูก ทั้งนี้โครงการมีการขับเคลื่อนจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น สภาเกษตรกรแห่งชาติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และภาคเอกชนจากประเทศเกาหลีใต้ สำหรับภาคเอกชนจากประเทศเกาหลีใต้ นำโดย บริษัท ดีเค เอเนอร์จี จำกัด บริษัท วูแอม คอร์เปอเรชั่น บริษัท จีบี เอเนอร์จี จำกัด บริษัท วู้ดพลัส จำกัด จะเป็นหน่วยรับซื้อไม้ไผ่เศรษฐกิจ ที่มีขนาดลำต้นเหมาะสมของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทุกราย “โดยกำหนดอัตราการซื้อขายที่ราคาระหว่าง 650-700 บาทต่อตัน เป็นระยะเวลา 21 ปี (พ.ศ. 2563-2583)” นอกจากนี้ การกำหนดราคาข้างต้น จะเป็นไปในราคาเช่นใดนั้น ให้พิจารณาตามราคามาตรฐานอ้างอิงตลาดต่างประเทศและพิจารณาถึงประโยชน์และรายได้ของเกษตรกรเป็นสำคัญ จะมีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้การผลิตไผ่เศรษฐกิจ ต้นแบบอุตสาหกรรมป่าไม้เศรษฐกิจ และการแปรรูปแบบครบวงจร โดยดำเนินธุรกิจในพื้นที่ภายใต้ข้อตกลงของ United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) ว่าด้วย Clean Development Mechanism (CDM) โดยไม่ดำเนินการใดใดที่จะนำไปสู่การสร้างปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ และมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน นอกจากนี้ภาคีภาคการเกษตรจะดำเนินการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนและกำหนดพื้นที่นำร่อง ในเบื้องต้นจะเริ่มดำเนินการที่ ต.กาบัง จ.ยะลา ในการคัดกรองเกษตรกร ที่มีความต้องการปลูกไผ่ในพื้นที่ พล.ร.ต. สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. เปิดเผยว่า ศอ.บต. จะเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนให้เป็นไปตามเป้าหมาย ตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ การร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ซึ่งการปลูกไผ่เศรษฐกิจ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ภายใต้พลังงานสีเขียว ทิศทางนี้จะสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตในพื้นที่ได้อย่างแน่นอน ขอบคุณข้อูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-347497

จำนวนผู้อ่าน: 1770

09 กรกฎาคม 2019

หัวหน้าคสช. ออกคำสั่ง ม.44 ต่ออายุกรรมการ กสทช.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 เว็บไชต์ราชกิจจานุเษกษา ได้เผยแพร่คำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)คําสั่งที่ 8/2562 เรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาความต่อเนื่อง ของกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติรวมทั้งการขยายบริการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงและประโยชน์สาธารณะของประเทศ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกสทช. ไว้ก่อนจนกว่าจะมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)​ องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในส่วน ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหาและคณะบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง หรือจนกว่านายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.)​ จะมีความสั่งเป็นอย่างอื่น กรณีกรรมการกสทช. จะพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุที่อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ให้กรรมการยังคงทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีกรรมการชุดใหม่ กรณีที่กรรมการจะพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุอื่นให้กรรมการที่เหลือยังคงทำหน้าที่ต่อไป โดยให้เพิ่มความในข้อ (5) ของมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 โดยมีถ้อยคำ จัดให้มีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงหรือประโยชน์สาธารณะ (มาตราของพระราชบัญญัติการโทรคมนาคมเป็นการระบุถึงหน้าที่ของกรรมการกสทช. ในการจัดให้มีบริการด้านโทรคมนาคม โดยทั่วถึงและให้มีอำนาจในการ ให้ผู้ได้รับอนุญาตจากให้มีบริการทางโทรคมนาคม) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-347494

จำนวนผู้อ่าน: 1984

09 กรกฎาคม 2019

รูดปรื๊ดเปิดศึกชิงเค้กเที่ยวนอก “บาทแข็ง” ดันยอดใช้จ่าย ตปท.พุ่ง 4 แสนล.

ตะลุมบอนชิงเค้กบัตรเครดิตกลุ่มท่องเที่ยว ชี้อานิสงส์ “บาทแข็ง” ดันคนไทยเที่ยวนอกเพิ่มขึ้น หนุนยอดรูดปรื๊ดต่างประเทศกระฉูด “เคทีซี” เผย 5 เดือนแรกยอดสเปนดิ้งต่างประเทศโต 14% จับมือ “ยูเนี่ยนเพย์” เปิด 3 บัตรใหม่อัดโปรฯขยายตลาดท่องเที่ยวจีน-มาเก๊า “กรุงศรี-กรุงเทพ” รุกหนักเตรียมอัดโปรฯท่องเที่ยวต่างประเทศรับไฮซีซั่นปลายปี นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่ามากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนไทยไปเที่ยวต่างประเทศกันมากขึ้น ประกอบกับที่คนไทยนิยมเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น ทำให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตต่างประเทศเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2561 ยอดใช้จ่ายต่างประเทศผ่านบัตรเครดิตเติบโต 8% และบัตรเดบิตโต 20% และคาดว่าปี 2562 จะยิ่งเติบโตมากขึ้น โดยบัตรเครดิตน่าจะโต 10-15% และบัตรเดบิตเกือบ 30% “คนไปเที่ยวนอกโตขึ้นมากปีละ 8-9% ยิ่งช่วงนี้บาทแข็งมากเป็นพิเศษ น่าจะทำให้คนไทยไปเที่ยวนอกเพิ่มขึ้นเกิน 10% ส่งผลให้ยอดใช้จ่ายต่างประเทศปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท ทำให้บัตรเครดิตหลายค่ายมีการทำโปรโมชั่นกระตุ้นการใช้จ่ายของลูกค้า เช่น การไปรูดบัตรที่ต่างประเทศไม่คิดค่าธรรมเนียมอัตราแลกเปลี่ยน หรือการให้แต้มพิเศษสำหรับรูดใช้จ่ายต่างประเทศ เป็นต้น” นายนริศกล่าว นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจบัตรเครดิต บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) กล่าวว่า ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่เป็นธุรกรรมต่างประเทศ 6,000 ล้านบาท เติบโต 14% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยคิดเป็น 8% ของยอดใช้จ่ายรวมทุกหมวด 8.3 หมื่นล้านบาท และคาดว่าถึงสิ้นปีนี้ ยอดใช้จ่ายต่างประเทศจะถึง 15,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ยอดใช้จ่ายรวมทุกหมวดผ่านบัตรเครดิตเคทีซีอยู่ที่ราว 2.2 แสนล้านบาท “ปัจจุบันยอดใช้จ่ายหมวดท่องเที่ยวของเคทีซีโตราว 6-7% ซึ่งจากที่ราคาตั๋วเครื่องบินถูกลง พบว่าจำนวนทรานแซ็กชั่นการใช้จ่ายเติบโตกว่า 10% และปีนี้บริษัทก็ขยายฐานเจาะตลาดท่องเที่ยวจีน, ฮ่องกง, มาเก๊า และไต้หวันเพิ่มขึ้น โดยร่วมมือกับยูเนี่ยนเพย์ เปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ 3 บัตร คือ 1.เคทีซี ยูเนี่ยนเพย์ แพลทินัม 2.เคทีซี ยูเนี่ยนเพย์ ไดมอนด์ และเคทีซี ยูเนี่ยนเพย์ เอเชีย เพรสทีจ ไดมอนด์ คาดว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าปีนี้ได้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนราย  และช่วยหนุนยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น” พร้อมกับโปรโมชั่นเช่นส่วนลดร้านอาหารชื่อดังในจีน 100 หยวน เมื่อใช้จ่ายตั้งแต่ 500 หยวนขึ้นไปต่อเซลส์สลิป ระหว่าง 1 มิ.ย.-20 พ.ย. 2562 หรือรับคะแนนเพิ่ม 2 เท่า เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี ยูเนี่ยนเพย์ แพลทินัม เป็นสกุลเงินท้องถิ่น เป็นต้น แม้จะมีกลุ่มลูกค้าไปเที่ยวจีนมากขึ้น แต่เทียบกับญี่ปุ่น ยุโรปแล้วก็ยังถือว่าน้อย แต่เมื่อมีการเปิดตัวบัตรยูเนี่ยนเพย์และมีการทำโปรโมชั่น คาดว่าจะทำให้คนหันไปเที่ยวในสถานที่ใหม่ ๆ มากขึ้น นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลังเคทีซีจะร่วมกับพันธมิตรทำโปรโมชั่นให้ลูกค้าได้รับสิทธิพิเศษในการเดินทางทั่วโลกมากขึ้น นายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ กล่าวว่า ครึ่งปีแรกบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา มียอดใช้จ่ายอยู่ที่ 165,000 ล้านบาท เติบโต 12% และมียอดบัตรใหม่ 290,000 ใบ ตั้งเป้าว่าครึ่งปีหลังยอดใช้จ่ายจะอยู่ที่ 330,000-340,000 ล้านบาท ส่วนยอดบัตรใหม่ตั้งเป้าที่ 580,000 ใบ ขณะที่การใช้จ่ายในต่างประเทศ คาดว่าจะเติบโตที่ 10% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศที่มีจำนวนการรูดบัตรสูงสุดของบัตรเครดิตกรุงศรีฯ ยังกระจุกตัวอยู่ในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี และไต้หวัน ส่วนปัจจัยเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้น มองว่าไม่ได้ส่งผลให้ยอดสเปนดิ้งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และช่วงนี้ยังไม่ใช่ไฮซีซั่นของการเดินทางท่องเที่ยว แต่พฤติกรรมของคนไทยท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น กลยุทธ์ในช่วงครึ่งปีหลัง นายฐากรกล่าวว่า จะเริ่มมีการออกโปรโมชั่นร่วมกับแบรนด์ต่าง ๆ และห้างสรรพสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะโปรโมชั่นผ่อน 0% ส่วนโปรฯ ท่องเที่ยวจะออกในช่วงเดือน ส.ค. เนื่องจากเป็นช่วงที่คนจะเริ่มวางแผนเพื่อเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. ขณะที่นางสาวมยุรี ตันตินภา เจ้าหน้าที่บริหารระดับ Vice President ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารรุกขยายฐานลูกค้าบัตรเครดิตใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว จากปัจจุบันมีฐานลูกค้ากลุ่มท่องเที่ยว 2.5 แสนใบ หรือราวกว่า 10% ของลูกค้าบัตรเครดิตทั้งหมด 2.2-2.3 ล้านใบ โดยจะเน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในวัยทำงาน และกลุ่มคนที่มีบัญชีเงินฝากและบัญชีเงินเดือนกับธนาคารอยู่แล้ว ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเล่นแคมเปญท่องเที่ยวมากขึ้น ล่าสุด ธนาคารได้จับมือ กับ บมจ.เว็บ สวัสดี พันธมิตรใหม่ด้านการท่องเที่ยว เปิดตัวบัตรเครดิตวีซ่า แพลทินัม เว็บ สวัสดี ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งคาดว่าจะได้ฐานลูกค้าใหม่ราว 4-5 หมื่นใบในปีนี้ นางสาวมยุรีกล่าวว่า ภาพรวม 5 เดือนแรก บัตรเครดิตของแบงก์มียอดใช้จ่ายเติบโตใกล้ 10% เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอทำให้คนใช้จ่ายน้อยลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นยอดรูดใช้จ่ายเติบโตมากขึ้น ขอบคุณข้อมูล : https://www.prachachat.net/finance/news-347456

จำนวนผู้อ่าน: 1876

09 กรกฎาคม 2019

พ่อค้าตรังหนุนตั้ง “กองทุน” อนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเล

ภาพข่าวสด นักธุรกิจตรังผนึกรัฐผลักดันกิจกรรมระดมทุนหนุนตั้ง “กองทุนอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเล” อย่างยั่งยืน หลังกระแส “พะยูนน้อยมาเรียม” ฟีเวอร์ ทั้งขายสินค้าที่ระลึก จัดงานคอนเสิร์ต รับเงินบริจาค นายลือพงษ์ อ๋องเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีตรัง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด เปิดเผยว่า พะยูนถือเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่คู่ทะเลตรังมาอย่างยาวนาน ถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของจังหวัดตรัง ปัจจุบันมีพะยูนอาศัยอยู่ในทะเลตรังเกือบ 200 ตัว และที่ผ่านมาสถานการณ์พะยูนค่อนข้างวิกฤต หากไม่ได้รับการดูแลอย่างจริงจังมีโอกาสสูญพันธุ์สูงมาก แต่ละปีมีพะยูนตายปีละหลายตัว ส่วนใหญ่มีผลกระทบจากการทำประมงและความเสื่อมโทรมของหญ้าทะเลที่ถือเป็นแหล่งอาหารหลักของพะยูน หากไม่มีหญ้าทะเล ก็ไม่มีพะยูน ดังนั้นการอนุรักษ์พะยูนจะต้องอนุรักษ์แหล่งหญ้าทะเลควบคู่กันไปด้วย ดังนั้นจึงมีแนวคิดในการรวมพลคนตรังรักษ์พะยูนและหญ้าทะเลขึ้น โดยร่วมกับทุกภาคส่วนหามาตรการในการอนุรักษ์พะยูนอย่างจริงจัง เป็นระบบและมีความยั่งยืน ด้วยการจัดตั้งกองทุนอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเลขึ้น โดยมีกลุ่มนักธุรกิจและภาคส่วนราชการที่เกี่ยวข้องลงมาร่วมมือกันก่อตั้งแล้ว และคาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้กองทุนดังกล่าวจะเป็นรูปเป็นร่างและสามารถดำเนินการในการขับเคลื่อนการอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเลอย่างจริงจังต่อไป “ที่ผ่านมากองทุนอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเลไม่เคยมีเป็นเรื่องเป็นราว ได้แค่งบกิจกรรมลาดตระเวน งบฟื้นฟูเป็นครั้งคราว ตามงบประมาณที่ทางราชการและเอกชนสนับสนุน ที่ผ่านมามีแค่แนวความคิด หลังจากกระแสพะยูนน้อย “มาเรียม” ที่ถูกแม่ทิ้งและทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปดูแล จนมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับคน และมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเกิดกระแสข่าวมาเรียมฟีเวอร์โด่งดังไปทั่วประเทศและทั่วโลก” จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ทางหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง ได้จุดประกายการจัดตั้งกองทุนอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเลจังหวัดตรังขึ้น โดยจะมีกิจกรรมจัดหาทุนในรูปแบบต่าง ๆ เช่นจัดงานคอนเสิร์ตเพื่อหารายได้ จัดงานขายสินค้าที่ระลึก สินค้าทั่วไป ตลอดจนรับเงินสนับสนุนจากภาคเอกชนเพื่อเข้ากองทุน ซึ่งทางหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบงได้ปรึกษาหลายฝ่ายเพื่อจัดตั้งกองทุนอนุรักษ์พะยูน” ดังนั้นจึงมีการจัดแคมเปญ รวมพลคนตรังรักษ์พะยูนและหญ้าทะเลขึ้น อย่างจังหวัดอื่นมีกองทุนสิ่งแวดล้อมเช่นกระบี่ แต่ที่ผ่านมา จ.ตรังไม่มีกลุ่มนักธุรกิจที่คิดเรื่องกองทุนสิ่งแวดล้อม ครั้งนี้ถือเป็นมิติใหม่ในการดำเนินการด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของ จ.ตรัง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-347442

จำนวนผู้อ่าน: 1789

09 กรกฎาคม 2019

ย้ายมหาดไทยไปฝั่งธน ผุด 4 ตึกทำเลฮอตริมเจ้าพระยา

มหาดไทยได้ที่ดินริมเจ้าพระยา - หลังผิดหวังจากการขอใช้ที่ดินของกรมชลประทาน ล่าสุด กระทรวงมหาดไทยได้รับไฟเขียวจากกรมธนารักษ์ให้ใช้ที่ดินราชพัสดุเนื้อที่รวม 18 ไร่เศษ ทำเลถนนเจริญนคร ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ ที่ตั้งแปลงที่ดินอยู่ใกล้วัดเศวตฉัตร ไม่ห่างจาก "ไอคอนสยาม" ทำให้ที่ดินทำเลฝั่งธนฯฮอตขึ้นอีก มหาดไทยเฮ ! ได้ที่ดินติดริมน้ำเจ้าพระยา เจริญนคร ที่ตั้งกระทรวงแห่งใหม่ กรมโยธาฯเร่งออกแบบ หลังธนารักษ์ไฟเขียวใช้ที่ราชพัสดุ 18 ไร่ ทุ่ม 3 พันล้าน ผุดตึกสูง 20 ชั้น 4 ตึก ท่าเรือ รองรับ 6 กรม ข้าราชการกว่า 5 พันคน ดีเดย์ตอกเข็มปี”63 มท.1 ลุยเอง นำทีมบิ๊กคลองหลอดสำรวจพื้นที่ก่อสร้าง “สะพานจันทน์-เจริญนคร” แจ็กพอตส่อโดนพับเก็บใส่ลิ้นชัก ด้านโบรกเกอร์ชี้อีก 5 ปีกว่าเรียลเอสเตตจะบูม ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ขณะนี้แผนย้ายที่ตั้งกระทรวงมหาดไทยมีความคืบหน้าไปมาก และได้ที่ดินแปลงใหญ่สำหรับใช้ก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่แล้ว ล่าสุด กระทรวงมหาดไทย โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้ทำหนังสือลงวันที่ 7 พ.ค. 2562 ถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในขณะนั้น ขอใช้พื้นที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.1989 แขวงบางลำพู เขตคลองสาน กทม. โฉนดเลขที่ 869,870 และ 3400 เพื่อก่อสร้างกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ บิ๊กป๊อกนำทีมสำรวจทำเลที่ตั้ง โดยที่ดินแปลงนี้เดิมสำนักงานสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้ทำหนังสือถึงกรมธนารักษ์ ขอใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคารที่พักสวัสดิการข้าราชการรัฐสภา และกรมธนารักษ์ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่าง 3 หน่วยงาน คือ กรมธนารักษ์, สำนักงานสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ทำหนังสือมาขอใช้ที่ดินแปลงดังกล่าว นายพรเพชร ในฐานะประธาน สนช. (ปัจจุบันเป็นประธานวุฒิสภา) ไม่ขัดข้อง ทำให้กระบวนการพิจารณาทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในวันเดียว ต่อมา 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ ได้ลงสำรวจพื้นที่ด้วยตนเอง พร้อมคณะประกอบด้วย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมที่ดิน นายชานน วาสิกศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ น.ส.อารียา เพ็งประเสริฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต รักษาราชการแทนผู้อำนวยการเขตคลองสาน และคณะผู้บริหารเขต ทุ่ม 3 พันล้าน สร้าง 3 ปี แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า แผนการก่อสร้างกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเห็นชอบแบบแปลนการก่อสร้าง พร้อมเสนอให้ พล.อ.อนุพงษ์เห็นชอบแล้ว และมีแผนจะย้ายกรมที่ดิน กรมการพัฒนาชุมชน กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานปลัดกระทรวง ไปยังกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ เนื้อที่ 18 ไร่ และได้จัดทำแผนของบประมาณในส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เป็นงบผูกพัน 3 ปี ตั้งแต่ 2563-2565 ใช้ก่อสร้างทั้งหมด งบทั้งหมด 3,735.5550 ล้านบาท แบ่งเป็นงบปี 2563 จำนวน 747.1110 ล้านบาท ปี 2564 ใช้งบ 1,494.2342 ล้านบาท และปี 2565 1,494.2098 ล้านบาท ส่วนที่ตั้งกระทรวงมหาดไทยเดิมบนถนนอัษฎางค์นั้น จะรื้ออาคารโดยรอบซึ่งเคยเป็นอาคารของกรมการพัฒนาชุมชนเดิม และอาคารของกรมการปกครอง เพราะบดบังภูมิทัศน์ของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม คงไว้เฉพาะอาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ต้องอนุรักษ์ไว้ ธนารักษ์ไฟเขียวใช้ที่ดิน อ.อ.ป. นายอำนวย ปรีมนวงศ์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้ทำเรื่องขอใช้ที่ราชพัสดุ บริเวณย่านเจริญนคร ใกล้กับศูนย์การค้าไอคอนสยาม ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ปัจจุบันไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว เนื้อที่รวม 18 ไร่ ก่อสร้างเป็นที่ตั้งกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ โดยกรมธนารักษ์ได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ไปแล้ว เมื่อเดือน มิ.ย. 2562 ที่ผ่านมา พื้นที่ดังกล่าวมีทางเข้าออกและติดแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นที่ว่างเปล่า ไม่มีอาคาร แต่ทางค่อนข้างแคบ ซึ่งทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) จะเข้าไปดูแลเรื่องการปรับปรุงทางเข้าออก โดยผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยลงไปดูพื้นที่แล้ว และค่อนข้างจะเร่งรัดเรื่องนี้ แต่ไม่แน่ใจในรายละเอียดว่าจะย้ายมาเมื่อใด ผุดตึกสูง 20 ชั้น-ท่าเรือ สำหรับความคืบหน้าในการออกแบบก่อสร้าง แหล่งข่าวจากกรมโยธาธิการและผังเมืองเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เพิ่งได้รับมอบนโยบายจากกระทรวงมหาดไทยเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา ให้ออกแบบและประเมินค่าก่อสร้างโครงการทั้งหมด หลังกรมธนารักษ์เซ็นมอบที่ราชพัสดุ 18 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เดิม ให้ก่อสร้างกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ สภาพปัจจุบันเป็นพื้นที่โล่ง ด้านหน้าติดถนนเจริญนคร ขนาดกว้าง 30 เมตร ด้านหลังติดแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ “ด้วยข้อจำกัดพื้นที่ 18 ไร่ ด้านหน้าติดถนนก็จริงแต่มีหน้าแคบกว่าด้านหลัง ต้องก่อสร้างรองรับข้าราชการ 6 กรม ร่วม 5,000 คน เบื้องต้นจะออกแบบเป็นอาคารสำนักงานสูงประมาณ 20 ชั้น 4 อาคาร ถอยร่นจากแม่น้ำ 45 เมตร มีที่จอดรถ มีการสร้างท่าเรือ ค่าก่อสร้างอาจเกิน 3,000 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ตั้งเป้าเริ่มก่อสร้างภายในปี 2563” ดับฝัน “สะพานจันทน์-เจริญนคร” ทั้งนี้ ที่ดินแปลงนี้อยู่ห่างจากศูนย์การค้าไอคอนสยามไปทางด้านใต้ 1-2 กม. ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าบีทีเอสและสายสีทอง ที่กำลังก่อสร้างเฟสแรกสถานีกรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน จะเปิดบริการในเดือน ก.ย. 2563 ขณะที่โครงข่ายคมนาคมอื่น ๆ ไม่มี นอกจากถนนเจริญนครและการเดินทางทางเรือ อย่างไรก็ตาม ในอนาคต กทม.มีแผนจะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนจันทน์ ชื่อโครงการ “สะพานจันทน์-เจริญนคร” ระยะทาง 1.3 กม. วงเงิน 4,000 ล้านบาท มีจุดเริ่มต้น ถ.จันทน์ ซอย 42 ผ่าน ถ.เจริญกรุง ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบรรจบ ถ.เจริญนคร 24 บริเวณที่ดินองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จุดเดียวกับที่สร้างกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ จึงมีแนวโน้มที่โครงการนี้จะไม่ได้เดินหน้าก่อสร้าง สำนักงบฯให้ยื่นของบใน 2 เดือน ขณะที่นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า มหาดไทยได้ส่งคำของบประมาณปี 2563 เข้ามาแล้ว สำหรับการย้ายกระทรวงไปยังพื้นที่ใหม่ ที่ต้องก่อสร้างอาคารที่ทำการของกระทรวงและกรมต่าง ๆ วงเงินราว 3,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอแบบก่อสร้างที่ยังไม่แล้วเสร็จ สำนักงบฯจึงให้กลับไปดำเนินการออกแบบให้เสร็จเรียบร้อยก่อนสนอมาใหม่จะพิจารณากรอบงบประมาณให้ แต่ต้องส่งแบบฯที่เสร็จแล้ว พร้อมคำขอมาใหม่ภายในไม่เกิน 2 เดือนนี้ (ก.ค.-ส.ค.) หากไม่ทันต้องรอของบปี 2564 ปรับเป็นอาคารอนุรักษ์ แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า การก่อสร้างกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่จะใช้เวลาเร็วที่สุด 2-3 ปี โดยมีการจัดเตรียมแบบก่อสร้างและวางแผนแม่บทไว้หมดแล้ว การก่อสร้างแบ่งเป็นเฟส ๆ ส่วนบริเวณกระทรวงเดิมริมคลองหลอดจะปรับปรุงพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยว เป็นส่วนหนึ่งของเกาะรัตนโกสินทร์ ที่ปัจจุบันอาคารที่มีทำเลที่ตั้งบนเกาะรัตนโกสินทร์อย่างสองฝั่งถนนราชดำเนิน ได้มีการกำหนดผังเมืองและคุมโทนสีอาคารให้เป็นสีเบจแล้ว ซึ่งการปรับปรุงและพัฒนาจะดูว่าเป็นอาคารที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไว้ หรือเป็นลักษณะอาคารทรงคุณค่า ก็จะอนุรักษ์ไว้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวรอบกรุงรัตนโกสินทร์และพระบรมมหาราชวังรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-หลักสอง ที่จะเปิดบริการอย่างเป็นทางการในเดือน ก.ย. 2562 มีสถานีวังบูรพาและสถานีสนามไชย อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ โบรกเกอร์ชี้ทำเลยังไม่คึก ด้านนายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินิกซ์ พร็อพเพอรตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด เปิดเผยว่า แม้ว่ากระทรวงมหาดไทยจะสร้างศูนย์ราชการใหม่ ทำเลเจริญนครด้านใต้ ทำเลที่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ทำเลนี้น่าจะใช้เวลาอีก 5 ปีกว่าจะคึกคัก เนื่องจากไม่มีรถไฟฟ้าพาดผ่าน มีแต่ถนน สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 2 แห่ง คือสะพานสาทรกับสะพานตากสิน แต่หากโครงการเอเชียทีค 2 ที่จะมาสร้างฝั่งเจริญนครเกิดขึ้นจะช่วยให้คึกคักขึ้นได้ ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยมีคอนโดฯทั้งเก่าและเปิดใหม่ ล่าสุดมีของค่ายพฤกษา เสนา และแกรนด์แอสเสท ประมาณ3,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ยยูนิตละ 3.5 ล้านบาทด้านราคาที่ดินประมาณ 3 แสนบาทต่อตารางวา “หน่วยงานราชการที่จะย้ายมาอยู่ย่านนั้น ไม่ได้ช่วยเรื่องทำให้ทำเลโดดเด่นเท่าไหร่ ดูได้จากศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ สนามบินน้ำ ที่ยังมีคอนโดฯเหลือขายอยู่ แต่จะช่วยทำให้บรรยากาศร้านค้าคึกคัก” ทำเลเจริญนครฝั่งไอคอนสยามจะคึกคักกว่า เนื่องจากจะมีรถไฟฟ้าทำให้การเดินทางสะดวก และในอนาคตจะมีหอชมเมืองกรุงเทพเป็นแลนด์มาร์กใหม่ ดึงดูดนักท่องเที่ยว พลาดสนามกอล์ฟกรมชลฯ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แผนย้ายที่ตั้งกระทรวงมหาดไทยดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 ก่อนหน้านี้ได้นำที่ดินราชพัสดุหลายแปลงมาพิจารณาสำหรับใช้เป็นที่ทำการแห่งใหม่ อาทิ ที่ดินเรือนจำคลองเปรม ที่ดินราชพัสดุ คลอง 5 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ที่ดินราชพัสดุ ต.บางปิ้ง จ.สมุทรปราการ ที่ดินราชพัสดุ ย่านพระราม 9 ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และปลายเดือน ก.ย. 2561 ได้ทำหนังสือขอใช้ที่ดินสนามกอล์ฟชลประทาน 100 ไร่ ย่านปากเกร็ด แต่ถูกปฏิเสธจากกระทรวงเกษตรฯ และกรมชลประทาน ล่าสุดจึงได้ที่ดินในทำเลติดริมเจ้าพระยา คมนาคมย้ายไปบางซื่อ ส่วนการย้ายกระทรวงคมนาคม แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวว่าอยู่ระหว่างเตรียมแผนจะย้ายจากถนนราชดำเนินไปอยู่ย่านพหลโยธิน บนถนนกำแพงเพชร ใกล้สถานีกลางบางซื่อ โดยเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) 11 ไร่ ก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่สูง 30 ชั้น 1 อาคาร รองรับหน่วยงานที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย, สำนักงานคณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ของอากาศยาน และศูนย์ปลอดภัยคมนาคม โดยขอผูกพันงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีแล้ววงเงิน 3,710 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2563 จำนวน 741.61 ล้านบาท ปี 2564 จำนวน 1,484.22 ล้านบาท และปี 2565 จำนวน 148.22 ล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-347174

จำนวนผู้อ่าน: 1845

09 กรกฎาคม 2019

โรงงานแปรรูปยางใต้วูบปิดกิจการ Q2 บาทแข็ง-สต๊อกล้น-จีนชะลอซื้อ

สต๊อกล้น - สถานการณ์ตลาดส่งออกยางพาราครึ่งปี 2562 ยังไม่ดีขึ้นส..ำหรับเกษตรกร โรงงานแปรรูปยางพาราขนาดเล็กในพื้นที่เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นมาก และจีนผู้ซื้อหลักยังชะลอการซื้อต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคายังปรับขึ้นได้ไม่มากนัก โรงงานแปรรูปยางส่งออกภาคใต้อ่วม ปิดกิจการหลายแห่ง เหตุไตรมาส 2 ออร์เดอร์วูบ บาทแข็ง ตลาดโลกซบ พิษสงครามการค้าจีน-สหรัฐ แบงก์งดปล่อยสินเชื่อเพิ่ม แถมสถาบันเกษตรกรถูก กยท.มีนโยบายชี้นำให้ช่วยซื้อราคาสูง ขาดทุน 5 บาท/กก. เสนอ “บียู” เข้าชี้นำราคาทุกตลาด นายกัมปนาท วงศ์ชูวรรณ ผู้จัดการกลุ่มเกษตรกรทำสวนธารน้ำทิพย์ ผู้แปรรูปส่งออกยางรายใหญ่ทางภาคใต้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้มีโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปยางส่งออกหลายแห่งต้องปิดตัวลง และอีกหลายแห่งขายกิจการเปลี่ยนมือหรือให้เทกโอเวอร์ไป เพราะธนาคารพาณิชย์งดปล่อยสินเชื่อ ป้องกันความเสี่ยง เนื่องจากสถานการณ์ยางพาราไตรมาส 2 ภาพรวมการค้าส่งออกขาดทุนเกือบประมาณ 5 บาท/กก. หรือประมาณ 5,000 บาท/วัน จากปริมาณรับซื้อประมาณ 1 ตัน/วัน สาเหตุหลักมาจากหลายปัจจัยทั้งค่าเงินบาทแข็งขึ้นมาก ตลาดโลกซื้อขายล่วงหน้าราคาลดลง จีนผู้ซื้อรายใหญ่ชะลอการรับซื้อเหลือประมาณ 20% เนื่องจากผลพวงของสงครามการค้าที่สหรัฐตั้งกำแพงภาษี 25% ส่งผลให้โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตในจีน ทั้งขนาดเล็กขนาดกลางยังไม่เปิดการผลิตเต็ม รวมถึงการที่รัฐบาลโดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) มีนโยบายชี้นำราคาให้สถาบันเกษตรกรช่วยเหลือสมาชิกด้วยการซื้อยางราคาสูง แต่ขายออกได้ราคาต่ำ ยกตัวอย่างกลุ่มตนขายได้ประมาณ 1,460 เหรียญ/ตัน ขณะที่ต้นทุนประมาณ 1,500 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่งผลกระทบต่อสถาบันเกษตรกรหลายแห่งหากขายก็ขาดทุน หากไม่ขายก็เต็มสต๊อก “ค่าเงินบาทแข็งขึ้นมากส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกยางเม็ด เงินจะหายไปประมาณ 100 บาท/กก. บริษัทอุตสาหกรรมแปรรูปยางส่งออกทั้งขนาดกลางขนาดเล็กต่างประสบปัญหาจนถึง 5 บริษัทส่งออกขนาดใหญ่ก็ยังมีสต๊อกเหลือจำนวนมาก ส่งผลให้ตลาดยางแปรรูป ยางแท่ง เอสทีอาร์ ยางรมควันเงียบมาก เพราะแต่ละแห่งมีปริมาณยางในสต๊อก แต่ไม่มีผู้ซื้อ แต่ถ้าจะซื้อก็ราคาต่ำ ไตรมาส 2 ปี 2562 จนถึงตอนนี้บางบริษัทขนาดใหญ่ในจังหวัดสงขลา แต่ละแห่งมีปริมาณยางอยู่เต็มสต๊อก ก็ไม่รับซื้อเพิ่ม หรือบางแห่งรับซื้อจะดึงราคาต่ำลง” นายกัมปนาทกล่าวและว่า นอกจากนี้ มีสิ่งที่น่าวิตกคือการที่ กยท.ได้สรุปจำนวนโควตาส่งออกยางจำนวน 1.2 แสนตัน และขอความร่วมมือลดการส่งออกในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน หรือเท่ากับลดโควตาการส่งออกไปประมาณ 40% โดยเฉพาะยางรมควัน ยางแท่ง ยางก้อนถ้วย โดยเฉพาะในกลุ่มตนประสบปัญหาต้องซื้อยางเก็บไว้ในสต๊อก มีค่าบริหารจัดการ ดอกเบี้ย ความเสี่ยงต่อราคาว่าจะลงอีก และคาดว่ายางจะเต็มสต๊อกในเร็ว ๆ นี้หากยังไม่มีออร์เดอร์เข้ามา ที่สำคัญลูกค้าหลักอย่างประเทศจีนก็ยังมีปริมาณสต๊อกยางในเมืองชิงเต่าสามารถซื้อไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ “ปริมาณยางที่เต็มสต๊อกจะสังเกตเห็นว่า โรงงานอุตสาหกรรมมีการผลิตไม่เต็มกำลัง จากทำงาน 2 กะ เหลือ 1 กะ จากที่ต้องจ้างแรงงานทำล่วงเวลา (OT) ตอนนี้ไม่มี จะเหมือนกันหลายแห่ง และบางแห่งปิดรับซื้อแล้วโดยเฉพาะยางแผ่น ส่วนน้ำยางสดยังไม่ส่งผลกระทบเพราะนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ ถุงมือยาง ถุงยางอนามัยได้” นายกัมปนาทกล่าวต่อไปว่า ทิศทางผู้ซื้อยางจะต้องมีการป้องกันความเสี่ยง จะมีการปรับปรุงราคาทุกตัว ตั้งแต่น้ำยางสด ยางแผ่น ยางรมควัน ยางแท่ง คาดการณ์ว่าราคาจะมาอยู่ที่ 40-45 บาท/กก. ซึ่งขณะนี้น้ำยางอยู่ที่ 49-50 บาท/กก. และยางรมควัน 50-55 บาท/กก. “ส่วนราคาชี้นำของ กยท. 65 บาท/กก. เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้เมื่อรัฐบาลต้องใช้เงินเข้ามาบริหารจัดการซื้อเข้าเก็บในสต๊อก” แหล่งข่าวจากเจ้าของสวนยางขนาดเล็ก อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เปิดเผยว่า ภาวะราคายางโดยเฉพาะน้ำยางสด ราคาเคลื่อนไหวระหว่าง 48-49-50 บาท/กก.มานานพอสมควร และได้ขยับขึ้นมา 52 บาท/กก. ราคาได้ขยับลงมาตั้งแต่สัปดาห์ปลายเดือนมิถุนายน 2562 มาจนถึงขณะนี้ประมาณวันละ 1 บาท/กก. และ ณ วันที่ 4 ก.ค. 62 มาอยู่ที่ 49 บาท/กก. สำหรับบางพื้นที่ และบ่อรับซื้อน้ำยางบางราย นายไพรัช เจ้ยชุม ประธานกรรมการ ชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางจังหวัดพัทลุง จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้นายเยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ ผู้ว่าการกยท.ได้มาประชุมร่วมกับผู้นำชาวสวนยางภาคใต้ ที่ จ.สงขลา กยท.มีนโยบายให้หน่วยธุรกิจ หรือบียู ตั้งราคาชี้นำเป็นราคากลางเพื่อประมูลในตลาดกลาง จึงมีการเสนอให้บียูตั้งราคากลาง และเข้าประมูลทุกตลาดหรือไม่ต้องประมูล หากรายใดประมูลราคาสูงกว่าราคากลางก็ได้ยางไป และหากราคาต่ำกว่า บียู ก็เอายางไป แต่บียูจะต้องเข้าทุกตลาด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-347171

จำนวนผู้อ่าน: 1889

09 กรกฎาคม 2019

นั่งฟรี2เดือน BTS หมอชิต-เซ็นทรัล เริ่ม11ส.ค.นี้ สิ้นปียิงยาวถึง ม.เกษตร ปีหน้าลุ้นตีตั๋วถึงคูคต

เมื่อเวลา 10.00 น. นายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม (เคที) วิสาหกิจ ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วยนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข รองผู้ว่าการฝ่ายวิศวกรรมและก่อสร้าง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) ร่วมกันทดสอบความพร้อมการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ 1 สถานี ช่วงสถานีหมอชิต-สถานีห้าแยกลาดพร้าว นายมานิตกล่าวว่า กทม. และบีทีเอสจะดำเนินการเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการโดยไม่เก็บค่าโดยสารช่วง 1 สถานีจากสถานีหมอชิตไปสู่สถานีห้าแยกลาดพร้าวในวันที่ 11 ส.ค.นี้ โดยจะเปิดให้บริการทั้งวัน และจะให้บริการฟรีไปก่อนอย่างน้อย 2 เดือน โดยจะทราบระยะเวลาที่ชัดเจนมากขึ้นหลังการเจรจาตามคำสั่งหัวหน้า คสช.มีผลสำเร็จในเดือน ก.ย.นี้ ด้านนายสุรพงษ์กล่าวว่า หลักการให้บริการจะเหมือนกับรูปแบบของสถานีสำโรงไปสถานีเคหะสมุทรปราการคือ ผู้โดยสารจะต้องลงมารอเปลี่ยนขบวนรถที่สถานีหมอชิต เพื่อเดินทางต่อ 1 สถานีไปยังสถานีห้าแยกลาดพร้าว ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนในช่วงเช้า 07.00-09.00 น. และช่วงเย็น 17.00-19.00 น โดยปรับการให้บริการเป็นแบบขบวนเว้นขบวนแทน คือในช่วงเวลาดังกล่าวจะจัดรถวิ่งไปหมอชิตสลับกับวิ่งไปห้าแยกลาดพร้าว ส่วนเวลาปกติจะสามารถให้บริการถึงห้าแยกลาดพร้าวได้ทุกขบวน โดยไม่ต้องลงจากรถ “คาดการณ์ผู้โดยสารเบื้องต้น ขณะนี้สถานีหมอชิตมีคนใช้บริการเฉลี่ยวันละ 80,000 คน ก็คาดว่าจะมีผู้โดยสารอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสถานีหมอชิต หรือ 40,000 คนมาใช้บริการสถานีนี้” นายสุรพงษ์กล่าว นายสุรเชษฐ์กล่าวว่า รฟม. กทม. และบีทีเอส ได้ปรับแผนการเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดนจะทยอยเปิดตามความพร้อมของงานก่อสร้าง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการเร็วขึ้นและช่วยบรรเทาการจราจร ต่อจากสถานีลาดพร้าวภายในสิ้นปีนี้จะเปิดถึงสถานี ม.เกษตร และจะพยายามเร่งให้สามารถเปิดให้บริการถึงปลายทางที่สถานีคูคตภายในเดือน ธ.ค.2563 จะเร็วกว่าจากแผนเดิมที่จะเปิดบริการปี 2564 ขณะที่การเจรจากับบีทีเอสตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2562 นายมานิตระบุว่า คณะกรรมการตามมาตรา 44 ที่มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน อยู่ในระหว่างหาข้อสรุป ซึ่งจะให้จบใน 90 วัน หรือประมาณเดือน ก.ย.นี้ ส่วนค่าโดยสารสูงสุดตลอดสายตามนโยบายผู้ว่า กทม.ยังยืนที่ 65 บาท และเก็บค่าแรกเข้าครั้งเดียว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-347298

จำนวนผู้อ่าน: 1874

09 กรกฎาคม 2019

จี้รัฐบาลใหม่อัดแผนกระตุ้น เอกชนชงข้อเสนอถกทีมเศรษฐกิจ

เอกชนพาเหรดเรียกร้อง “รัฐบาลใหม่” เร่งอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทันทีหลังรับตำแหน่ง สะท้อนกำลังซื้อทรุดหนักทั่วไทย กกร.เตรียมเข้าหารือทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ชงข้อมูล-แนวทางแก้ปัญหา “สหพัฒน์” จี้แก้ปมราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ แบงก์ชาติเผยสัญญาณ “เลิกจ้าง” กลุ่มส่งออก เรียกร้องมาตรการกระตุ้น ศก. นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ออกมาขณะนี้ส่วนใหญ่มีทีมเศรษฐกิจชุดเดิม ถึงแม้จะมีมือใหม่ผสมบ้าง แต่เชื่อว่าจะสามารถสานต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ถือว่าเป็นข้อดีเนื่องจากจะสร้างความมั่นใจให้เอกชนที่เตรียมจะลงทุนสามารถตัดสินใจได้ ขณะเดียวกันต้องการให้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาโดยด่วน หลังจากที่เข้าทำงานตั้งแต่สัปดาห์แรก เพราะเชื่อว่าคนที่รู้ตัวว่าจะมีชื่ออยู่ใน ครม. โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจคงมีการหารือกันว่าจะทำอะไรหลังจากเข้ารับตำแหน่ง เพราะต้องยอมรับว่าตอนนี้เศรษฐกิจในประเทศค่อนข้างสะดุด และอาจถึงขั้นซบเซาในอนาคตอันใกล้ หากมีมาตรการช่วยเหลือออกมาโดยด่วนก็จะช่วยในส่วนนี้ได้บ้าง ซึ่ง ส.อ.ท.ก็พร้อมที่จะให้ข้อมูลและทำงานร่วมกับทีมเศรษฐกิจของคณะทำงานชุดใหม่อย่างเต็มที่ เตรียมหารือทีม ศก.ชุดใหม่ ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนยังคงมั่นใจและเชื่อมั่นในการเดินหน้าบริหารงานของรัฐบาลและทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ สิ่งที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญมากสุดคือการเดินหน้าทำงานตามแผนงานเดิมที่รัฐบาลชุดเดิมได้ดำเนินการไว้เพื่อให้งานเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นกับทั้งนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในส่วนของสภาหอฯรวมถึงคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะร่วมกันสรุปข้อมูลปัญหาและอุปสรรค รวมถึงประเด็นที่ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดูแล โดยจะรวบรวมข้อมูลเพื่อที่จะเข้าไปนำเสนอให้กับรัฐบาลชุดใหม่ รวมไปถึงผู้บริหารกระทรวงเศรษฐกิจในการผลักดันแก้ไขต่อไป โดยเฉพาะเรื่องของการแก้ไขกฎระเบียบของภาครัฐในการประกอบธุรกิจ อุตฯส่งออกดิ้นลดต้นทุน นายยุทธนา ศิลป์สรรค์วิชช์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เปิดเผยว่า จากปัญหาเงินบาทแข็งค่า ยอมรับว่า ทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบหมด ไม่เพียงแค่อุตฯเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งมีผลต่อต้นทุนเพิ่มขึ้น เช่น ส่งออกสินค้าราคา 200 บาท แต่จากบาทแข็งทำให้ได้เงินกลับมาเพียง 190 บาท โดยผู้ส่งออกมองว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมไม่ควรต่ำกว่า 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ สิ่งที่ผู้ส่งออกทำได้ในตอนนี้คือการเจรจาต่อรองและทำความเข้าใจกับผู้นำเข้า “เงินบาทที่แข็งค่าทำให้ราคาสินค้าไทยสูงขึ้น อย่างไรก็ตามช่วงนี้เป็นช่วงการส่งสินค้าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งการเจรจาซื้อขายไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้การส่งออกมีรายได้ที่กลับมาน้อยลงสำหรับคำสั่งซื้อจะเข้ามาอีกทีช่วงปลายปี 2562 ซึ่งมองว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น ช่วงนี้ผู้ผลิตสินค้าส่งออกก็ต้องปรับตัวลดต้นทุน” ธปท.เตือนสัญญาณ “เลิกจ้าง” ขณะที่นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก ธปท.ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2562 ลงมาอยู่ที่ 3.3%โดยในช่วงครึ่งปีหลังมีสัญญาณที่ต้องจับตาหลายตัว โดยเฉพาะการบริโภคภาคครัวเรือนที่ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัว โดยธปท.เริ่มเห็นสัญญาณการเลิกจ้างงานในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกซึ่งอาจกระทบถึงการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลงไป สหพัฒน์จี้แก้ราคาเกษตรตกต่ำ นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภครายใหญ่ แสดงความเห็นกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำเร่งด่วนคือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ทำอย่างไรให้เกษตรกรไม่ขาดทุน อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาคงต้องใช้เวลา เพราะกำลังซื้ออยู่ ๆ ไม่ใช่ว่าจะดีได้เลย ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร จะแก้ปัญหาราคาพืชผลอย่างไร เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้มีนโยบายดีก็จะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ “ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร สหพัฒน์ก็ต้องประคับประคองธุรกิจให้เดินหน้าต่อไป กำลังซื้อรากหญ้าไม่ดี เราก็จะจัดแคมเปญขึ้นมากระตุ้นเป็นระยะ ๆ อย่างเดือน ก.ค.นี้ มาม่า คัพ ก็มีแคมเปญชิงโชครถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ทำมาตลอดปีที่แล้วก็มีแจกรถยนต์ กิจกรรมต้องมีต่อเนื่อง” ด้านนายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งและค้าปลีกไทย กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าส่งผลกระทบถึงกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้ไม่กล้าจับจ่ายและกระทบเป็นลูกโซ่ถึงธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง สิ่งที่น่าเป็นห่วงและรัฐบาลควรให้ความสำคัญก็คือ เรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับกำลังซื้อของเกษตรกรโดยตรง ธุรกิจอัดงบฯกระตุ้นยอด นายณรงค์ ตรีสุชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดนท์สุ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทวางแผนสื่อโฆษณารายใหญ่ ระบุว่า ครึ่งปีหลังนี้ธุรกิจก็คงจะอัดงบโฆษณาและกิจกรรมแคมเปญการตลาดออกมาเป็นระลอก ๆ มากกว่าครึ่งปีแรก ขณะนี้หลาย ๆ ธุรกิจเริ่มมีความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก ร้านอาหาร ที่ทยอยออกแคมเปญต่อเนื่อง คาดว่าในช่วงไตรมาส 3 ก็จะเห็นภาพกลุ่มรถยนต์ที่จะกลับมาทำกิจกรรมจัดอีเวนต์มากขึ้น “หลังจากช่วงหน้าฝนที่เป็นโลว์ซีซั่นคาดว่าธุรกิจคงปล่อยแคมเปญ ใส่งบการตลาดเต็มที่ เพราะต้องกระตุ้นยอดขาย” CPF เดินหน้าลงทุนต่อ สำหรับนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย ก็จะช่วยให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจ และจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังให้มีขยายตัวดีขึ้น ขณะที่บริษัทยังคงมีแผนขยายการลงทุนปีละ 30,000 ล้านบาท ทั้งเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและการควบรวมกิจการ (M&A) “กรณีผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าเราก็ดูเรื่องการทำเฮดจิ้งโพซิชั่นอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามซีพีเอฟมีสัดส่วนส่งออกประมาณ 5% เท่านั้น ขณะที่มีการนำเข้าสินค้าจำนวนเยอะเหมือนกัน พอหักลบกันระหว่างที่ส่งออกและนำเข้า สุทธิแล้วเราเป็นนำเข้าประมาณ 100-200 ล้านเหรียญแต่แน่นอนว่าใครดูแลส่งออกจะแย่หน่อยรายได้เข้าน้อยลง แต่เราได้ประโยชน์ในฝั่งนำเข้าซึ่งเป็นไซด์ที่มากกว่าส่งออก” ค้าปลีกอุดรดิ้นดึงกำลังซื้อ นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งงี่สุนซูเปอร์สโตร์ จำกัด จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ผลการตั้งรัฐบาลล่าช้าทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าช้าลง การเมืองไม่มีความที่ชัดเจน ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี การท่องเที่ยวก็หดตัวและโครงการประชารัฐยังคงเป็นวิธีการที่พ่อหาเงินป้อนให้ลูกอย่างเดียว และบางคนได้ บางคนไม่ได้ อาจกระตุ้นกำลังได้แต่ไม่ยั่งยืน สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาเร็วที่สุด “ผมในฐานะผู้ประกอบการต้องดิ้นรนทุกวิถีทาง ต้องคุยกับทุกฝ่ายอัดโปรโมชั่นหนัก ๆ เพื่อให้ไปต่อได้ ต้องแย่งลูกค้ากับเจ้าอื่น แม้ลูกค้าบางกลุ่มมีเงินน้อยแต่ก็ยังต้องการสินค้า โดยสถานการณ์ปัจจุบันทำรายได้หดไปประมาณ 10-15% ฉะนั้นถ้ามีการตั้งรัฐบาลได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร” อสังหาฯชลบุรีชะลอหนัก นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจในจังหวัดชลบุรีค่อนข้างนิ่ง เนื่องจากการท่องเที่ยวในพื้นที่พัทยาชะลอตัว โดยภาคเอกชนทั้งในสภาอุตสาหกรรมและหอการค้าจังหวัดก็มีการหารือ แต่ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนว่าจะสามารถผลักดันนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เป็นจุดขายของพื้นที่ ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นได้อย่างไร ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เดิมเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจในพื้นที่ ปัจจุบันการซื้อขายชะลอตัวลงกว่า 30% ขณะที่ราคาที่ดินก็ไม่ได้ปรับลง ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากราคาที่ดินปรับตัวขึ้นไปสูงมาก จนทำให้การนำที่ดินมาพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์ไม่ตอบสนองต่อกำลังซื้อของคนในพื้นที่ ประกอบกับผู้บริโภคส่วนใหญ่มีภาระหนี้ค่อนข้างสูง ทั้งบัตรเครดิต และรถยนต์ ส่งผลให้ยอดปฏิเสธการขอสินเชื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์สูง ปัจจุบันพบว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในชลบุรีหลายรายมีการชะลอโครงการ และบางรายก็หันมาตัดขายที่ดินเปล่าแทนการพัฒนาโครงการ ขณะที่นายวโรดม ปิฏกานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลได้ใช้เวลาสืบเนื่องค่อนข้างนาน ทำให้ช่วงที่ผ่านมากระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีล่าช้า ไม่สามารถหมุนเวียนลงสู่ภาคเศรษฐกิจในเชียงใหม่ได้ตามเป้าหมาย ในพื้นที่ไม่ได้เกิดการลงทุนหรือจัดกิจกรรมขึ้น โดยเฉพาะกำลังซื้อและการบริโภคของประชาชนได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามหวังว่าหลังจากการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้วจะมีมาตรการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจตามมา ซึ่งคาดว่าไตรมาสสุดท้ายเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-347138

จำนวนผู้อ่าน: 1824

09 กรกฎาคม 2019

ป่วน! ดัน กฟผ.เพิ่มส่วนแบ่งไฟฟ้า โยน รมต.ใหม่ชี้ขาดรื้อแผน PDP

กระทรวงพลังงานวุ่น ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอรื้อแผน PDP 2018 ใหม่ กำหนดสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าให้ กฟผ.เกินกว่า 51% จากปัจจุบันอยู่ที่ 35% โยนรัฐมนตรีใหม่ตัดสินใน 120 วัน ด้านผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเผยสัดส่วนผลิตไฟฟ้าถูกผูกมัดไว้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหมดแล้วตลอดแผน 20 ปี หนังสือแจ้งผลการวินิจฉัยผู้ตรวจการแผ่นดินเรื่องการดำเนินการให้รัฐมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ภายในกำหนดระยะเวลา 10 ปีนับจากปี 2562 ได้สร้างความกังวลให้กับหน่วยงานและภาคเอกชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 (PDP 2018) เนื่องจากตามแผนฉบับปัจจุบันที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วางกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ไปจนกระทั่งถึงปี 2580 ภายใต้การเตรียมความพร้อมของระบบไฟฟ้าเพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านการผลิตไฟฟ้า (ระหว่างภาครัฐ (กฟผ.)-ภาคเอกชน) ภายใต้ความเชื่อว่า การแข่งขันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ “ดีกว่า” ที่จะถูก “ผูกขาด” โดยผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานเข้ามาว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัยประเด็นนี้ตามข้อร้องเรียนของนายสุทธิพร ปทุมทวาภิบาล มีความเห็นกรณีรัฐมิได้เป็นเจ้าของระบบการผลิตไฟฟ้าจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า และส่งผลต่อ “สัดส่วน” การผลิตไฟฟ้าของรัฐที่ปัจจุบันมี “น้อยกว่า” ร้อยละ 51 นั้น เป็นประเด็นที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติตามมาตรา 56 (2) ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ระบุสาระสำคัญไว้ว่า รัฐต้องจัดการระบบสาธารณูปโภค (หมายรวมถึงระบบผลิตไฟฟ้า) โดยไม่ยอมให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือรัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ 51 ไม่ได้ พร้อมกันนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ให้ข้อ “เสนอแนะ” ต่อกระทรวงพลังงานใน 2 ประเด็นคือ 1) ให้พิจารณา “ทบทวน” ยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน (2559-2563) กับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2018) เพื่อกำหนดแนวทางให้รัฐมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้า “ไม่น้อยกว่า” ร้อยละ 51 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน กับ 2) ต้องดำเนินการให้รัฐมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ภายในกำหนดเวลา 10 ปีนับจากปี 2562 สัดส่วน กฟผ.เหลือ 24% สำหรับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของรัฐ ซึ่งหมายถึงโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามแผน PDP 2018 ในระบบผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง ระบุกำหนดผลิตไฟฟ้าช่วงปี 2561-2580 กำลังผลิตสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 46,090 เมกะวัตต์ (MW) กำลังผลิตที่ปลดออกปี 2561-2580 ที่ -25,310 MW กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ปี 2561-2580 ที่ 56,431 MW ดังนั้นกำลังผลิตไฟฟ้า ณ สิ้นปี 2580 จะอยู่ที่ 77,211 MW โดยปี 2560 กฟผ.มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าร้อยละ 34.9 แต่เมื่อถึงปี 2580 กฟผ.จะมีสัดส่วนผลิตไฟฟ้าเหลืออยู่แค่ร้อยละ 24 เท่านั้น ดังนั้นพอถึงสิ้นปี 2580 กำลังผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงตามที่กำหนดไว้ในแผน PDP 2018 จะถูกเพิ่มขึ้นให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน กล่าวคือ VSPP ร้อยละ 25, กฟผ.ร้อยละ 24, IPP ร้อยละ 13, SPP ร้อยละ 11, การรับซื้อไฟจากต่างประเทศร้อยละ 11 และโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเข้าระบบ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจจะให้ใครเป็นผู้ผลิตอีกร้อยละ 11 (ประมาณ 8,300 MW) “แม้จะนำโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยังไม่ได้ตัดสินว่าจะให้ใครผลิตอีกร้อยละ 11 มาให้ กฟผ.ทั้งหมดก็จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เท่าสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าปี 2560 ต่ำกว่าที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญที่สัดส่วนร้อยละ 51 ดังนั้นการเพิ่มสัดส่วนให้ถึงร้อยละ 51 หมายถึงต้องรื้อแผน PDP 2018 ที่สำคัญ โรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเข้าระบบใน 20 ปีข้างหน้ามากกว่าร้อยละ 90 มีสัญญาการรับซื้อไฟฟ้า ไว้กับ IPP-SPP-VSPP แล้ว” แหล่งข่าวในผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ตั้งข้อสังเกต ยันมติ กพช.ตามกรอบ รธน. รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่าได้มีการพิจารณาในประเด็น “ข้อเสนอแนะ” ของผู้ตรวจการแผ่นดินจะมีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างไร โดยนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กำลังพิจารณาข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน “ตามขั้นตอน” แต่ยืนยันว่า แผน PDP ฉบับที่ผ่าน ๆ มา ภาคเอกชน (รวมถึง IPP-SPP-VSPP) มีบทบาทในการผลิตไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2532 และแผน PDP ทุกฉบับ ครม.ก็ได้ให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ “จึงเป็นการดำเนินการตามกรอบรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด” เปิดช่องเคลียร์ผู้ตรวจ ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานกรณีที่กระทรวงพลังงานได้รับ “ข้อเสนอแนะ” จากผู้ตรวจการแผ่นดินตามมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน 2560 จะให้เวลากระทรวงพลังงานดำเนินการเป็นระยะเวลา 120 วัน และขยายต่อไปได้ไม่เกิน 60 วัน หากยังไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะโดยไม่มีเหตุอันควร ให้ถือว่ากระทรวงพลังงานจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอันทําให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และให้ผู้ตรวจการแผ่นดินแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบโดยเร็ว โดยให้ถือว่า รายงานของผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นสํานวนการสอบสวนของ ป.ป.ช. แต่ในกรณีที่กระทรวงพลังงานเห็นว่า ข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินไม่อาจดําเนินการได้ก็ให้แจ้งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบภายใน 120 วัน และให้ปรึกษาหารือร่วมกับผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคนั้นโดยเร็ว เพื่อให้ได้ข้อยุติ หากไม่อาจหาข้อยุติได้ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องต่อ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควร และให้กระทรวงพลังงานดําเนินการไปตามมติ ครม.   “มีความเป็นไปได้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่จะเข้ามาตัดสินใจในเรื่องนี้ เนื่องจากยังอยู่ในเวลา 120 วัน อาจจะส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เป็นผู้พิจารณาข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินว่า จะหาทางออกในเรื่องนี้อย่างไร” แหล่งข่าวในกระทรวงพลังงานกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-347064  

จำนวนผู้อ่าน: 1707

09 กรกฎาคม 2019

“แอร์พอร์ตลิงก์” เตรียมเปิดตัวบัตรสมาร์ทพาสลายใหม่ฉลองยอดจำหน่ายบัตรทะลุ 3 แสนใบ

รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เตรียมเปิดตัวบัตรสมาร์ทพาสลายใหม่ล่าสุดทุกประเภท ทั้งประเภทบุคคลทั่วไป, ประเภทนักเรียน และนักศึกษา และประเภทผู้สุงอายุ และบัตรสมาร์ทพาสประเภทบุคคลทั่วไปลายพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 1,500 ใบเท่านั้น สำหรับโอกาสพิเศษและการสะสม เพื่อเฉลิมฉลองยอดจำหน่ายบัตรสมาร์ทพาสที่ทะลุ 300,000 ใบ นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองยอดจำหน่ายบัตรโดยสารสมาร์ทพาสที่ทะลุ 300,000 ใบ และกำลังก้าวสู่แสนที่ 4 ในปัจจุบัน บริษัทจึงเตรียมเปิดตัวบัตรสมาร์ทพาสลายใหม่ล่าสุดทุกประเภท ทั้งประเภทบุคคลทั่วไป, ประเภทนักเรียน และนักศึกษา และประเภทผู้สุงอายุ และบัตรสมาร์ทพาสประเภทบุคคลทั่วไปลายพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 1,500 ใบเท่านั้น สำหรับโอกาสพิเศษและการสะสม โดยเตรียมเปิดจำหน่ายบัตรสมาร์ทพาสลายใหม่ประเภทผู้สูงอายุเป็นประเภทแรกช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ทั้งนี้บัตรสมาร์ทพาสทุกประเภทยังคงเต็มไปด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย ทั้งเดินทางฟรีในวันเกิด ส่วนลดร้านค้าและบริการต่างๆ ภายในสถานีแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เป็นต้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-347547

จำนวนผู้อ่าน: 1787

09 กรกฎาคม 2019

เค้กมอเตอร์เวย์ 6 หมื่นล้านแข่งเดือด “BTS-กัลฟ์” เต็งจ๋าสู้ “ทุนจีน-ยูนิค”

เป็นไปตามคาดที่ “ทล.-กรมทางหลวง” ประเมินจะมี 3 กลุ่มเข้ายื่นซองประมูลติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงินมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะเวลา 30 ปี มูลค่า 61,086 ล้านบาท ผลยื่นซองวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา มี 3 กลุ่มทุนยักษ์ตบเท้าเข้าร่วมสนามประมูล ว่ากันว่าแต่ละกลุ่มทุ่มทำราคากันจนวินาทีสุดท้าย เผยโฉม 3 กลุ่มทุน ประเดิมเจ้าแรก “BEM-บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ” ที่ถือฤกษ์เวลา 09.00 น. มาพร้อมกับความมั่นใจสุดขีด ด้วยประสบการณ์บริหารทางด่วนมายาวนานร่วม 30 ปี “สงวน คุณาธินันท์” รองกรรมการผู้จัดการวิศวกรรมทางพิเศษ บมจ.BEM กล่าวว่า ทางกลุ่มตัดสินใจยื่นในนาม BEM เนื่องจากมีคุณสมบัติพร้อมและเป็นธุรกิจหลักอยู่แล้ว งานนี้บริษัทก็สู้เต็มที่ หากได้งานจะให้ บมจ.ช.การช่าง บริษัทแม่เป็นพันธมิตรการก่อสร้าง วงเงินกว่า 10,000 ล้านบาท ในช่วงบ่ายบรรยากาศเริ่มคึก มี “กลุ่มกิจการร่วมค้า UN-CCCC” ประกอบด้วย บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ บจ.ไชน่า คอมมูนิเคชั่น คอนสตรัคชั่น จากประเทศจีน ขนเอกสารประมูลร่วม 130 กล่องมาประชัน งานนี้ “ยูนิค” บิ๊กโฟร์รับเหมาควง “CCCC” ยักษ์วิสาหกิจจากจีนและเป็นบริษัทแม่ของรับเหมาไชน่าฮาร์เบอร์ ซึ่งมีประสบการณ์บริหารทางด่วนและมอเตอร์เวย์ให้กับประเทศจีนมาขย่มขวัญคู่แข่ง โดย “ยูนิค” ถือหุ้น 51% CCCC ถือหุ้น 49% ด้วยชื่อชั้น “CCCC” ทำให้รัศมีโดดเด่นเป็นเต็งหนึ่ง และทำให้บิ๊กเนมในประเทศเริ่มสะท้าน หวั่นสู้เกมถล่มราคาไม่ไหว ทีมเวิร์ก – กลุ่มกิจการร่วมค้าบีจีเอสอาร์ มีบีทีเอส-กัลฟ์-ซิโน-ไทยฯ-ราชบุรีโฮลดิ้งยกทีมผู้บริหารร่วมยื่นซองประมูล นำทีมโดย “สุรพงษ์ เลาหะอัญญา” ซีอีโอบีทีเอส และ”ภาคภูมิ ศรีชำนิ” เอ็มดีซิโน-ไทยฯ ปิดท้ายด้วย “กลุ่มกิจการร่วมค้าบีจีเอสอาร์” ประกอบด้วย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์, บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง มี “สุรพงษ์ เลาหะอัญญา” ซีอีโอบีทีเอส และ “ภาคภูมิ ศรีชำนิ” หัวเรือใหญ่ซิโน-ไทยฯนำทีมยื่นด้วยตัวเอง งานนี้ “บีทีเอส” ถึงจะเชี่ยวชาญระบบเก็บเงินรถไฟฟ้า จะไม่ชำนาญธุรกิจระบบทางด่วนเท่าคู่แข่ง แต่ก็มี “บัตรแรมบิท” ที่สามารถนำมาต่อยอดธุรกิจได้ครบวงจร แถมยังผนึกพันธมิตรที่เงินทุนหนาจากธุรกิจด้านพลังงานมาเสริมแกร่ง โดยครั้งนี้บีทีเอสลงขัน 40% กัลฟ์ 40% ซิโน-ไทยฯ 10% และราชบุรีโฮลดิ้ง 10% ส่วน “กัลฟ์” เข้ามาลงสนามแข่ง เพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวเหมือนสัมปทานโรงไฟฟ้าที่เป็นธุรกิจหลัก และเป็นการแตกไลน์ธุรกิจให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยรับหน้าที่บริหารภาพรวมทั้งหมด เช่น การเงิน จีน-บีทีเอส แข่งราคาเดือด แหล่งข่าวจากวงการรับเหมาก่อสร้างกล่าวว่า ตอนนี้กลุ่มยูนิค-CCCC ดูเหมือนจะมีภาษีมากกว่าคนอื่น เพราะมีแนวโน้มจะฟันราคาต่ำ แต่ว่าบีทีเอสก็ทราบว่าสู้ราคาไม่ถอยเช่นกัน คาดว่าทั้ง 2 กลุ่มนี้น่าจะฟันราคากันดุเดือด “ทั้งนี้ มีแนวโน้มสูงที่กลุ่มบีทีเอสจะได้งาน เพราะมีเงินทุนหนา ขณะที่จีนโดยธรรมชาติแล้ว จะไม่ลงทุนโครงการที่เป็นระยะยาว ส่วน BEM น่าจะสู้ราคา 2 กลุ่มนี้ไม่ไหว” แหล่งข่าววิเคราะห์ นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขั้นตอนจากนี้จะทยอยเปิดซองที่เอกชนยื่นมา 3 ซอง ในวันที่ 2 ก.ค. จะเปิดซอง 1 คุณสมบัติและประสบการณ์ หากผ่านแล้วเปิดซอง 2 ด้านราคาภายในเดือน ส.ค. และซอง 3 ข้อเสนออื่น ๆ ทล.เซ็นสัญญาปลายปีนี้ กรมจะพิจารณาข้อเสนอเอกชนและต่อรองสัญญาในเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2562 และเสนอขออนุมัติพร้อมลงนามสัญญา ร่วมทุนในเดือน ธ.ค. 2562 สำหรับการลงทุนมี 2 ระยะ ระยะที่ 1 เอกชนออกแบบ ลงทุนก่อสร้างงานระบบและอื่น ๆ โดยบางปะอิน-โคราช ลงทุน 7,965 ล้านบาท บางใหญ่-กาญจนบุรี 6,089 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ระยะที่ 2 เอกชนจะจัดเก็บค่าผ่านทางและบำรุงรักษาตลอด 30 ปี ตลอดอายุสัญญาจะได้รับผลตอบแทนไม่เกิน 61,088 ล้านบาทตลอดอายุสัญญา โดย สายบางปะอิน-โคราช ไม่เกินจำนวน 33,258 ล้านบาท และบางใหญ่-กาญจนบุรี ไม่เกินจำนวน 27,828 ล้านบาท ติดตั้งเสร็จปลายปี’65 “ขึ้นอยู่กับข้อเสนอของเอกชนรายใดที่เสนอค่าตอบแทนต่ำสุดจะเป็นผู้ชนะ เนื่องจากกรอบวงเงินที่ระบุยังเป็นผลการศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น หลังได้เอกชนผู้ชนะแล้ว จะเริ่มดำเนินการในปี 2563 แล้วเสร็จในปี 2565” สำหรับการเปิดบริการสายบางปะอิน-โคราช คาดว่าจะเปิดบริการเต็มรูปแบบปลายปี 2565-2566 แต่หากการก่อสร้างเสร็จก่อนจะเปิดให้ใช้ฟรีไปก่อนในปี 2564 ด้านสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ยังติดเรื่องเวนคืนอาจจะเปิดเต็มรูปแบบในปี 2567-2568 นอกจากราคาที่ว่าจะแข่งกันดุเดือดแล้ว น่าลุ้น 3 กลุ่ม ใครที่จะเสนอระบบเทคโนโลยีทันสมัย ตรงกับสเป็กที่ “กรมทางหลวง” ต้องการ เพื่อยกระดับบริการมอเตอร์เวย์ประเทศไทยให้ทันสมัย แก้ปัญหาคอขวดหน้าด่านและรับกับระบบอีเพย์เมนต์ของรัฐบาลได้อย่างสมบูรณ์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-345941  

จำนวนผู้อ่าน: 2123

04 กรกฎาคม 2019

ส่องหุ้นไทยครึ่งปีหลัง ลุ้นต่างชาติซื้อต่อ6หมื่นล้าน จับตา! 2 ปัจจัยเสี่ยง

โบรกฯส่องตลาดหุ้นครึ่งปีหลัง “ทิสโก้” ประเมินฟันด์โฟลว์เข้าซื้อสุทธิต่ออีก 6 หมื่นล้าน “บัวหลวง” ปรับลดกำไร บจ.ปี’62 รับผลกระทบเศรษฐกิจไทยชะลอตัว ครึ่งปีแรกกำไรต่ำเป้า บล.ไทยพาณิชย์ชี้โอกาสดัชนีปรับขึ้นมีจำกัด จับตา 2 ปัจจัยกระทบตลาดหุ้น “สงครามการค้า-เฟดลดดอกเบี้ย” ฝรั่งซื้อหุ้นไทยต่ออีก 6 หมื่นล้าน นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า บริษัทคงเป้าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ปีนี้ไหลเข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมากกว่า 1 แสนล้านบาท เนื่องจากมองว่าตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย (laggard) แม้ตัวเลขฟันด์โฟลว์ที่ซื้อสุทธิหุ้นไทยเดือน มิ.ย. 62 จะออกมาสูงที่สุดในภูมิภาค แต่นโยบายการเงินที่เปลี่ยน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้น ต่างชาติจึงหันมาหาโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นที่ยังขึ้นไม่มาก หรือตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติยังลงทุนน้อยอย่างตลาดหุ้นไทยรวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาลที่ใกล้เข้ามาซึ่งคาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เดินต่อไปได้ โดยปัจจุบันมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาซื้อสุทธิแล้ว 5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าครึ่งปีหลังจะเห็นฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาซื้อสุทธิอีก 6 หมื่นล้านบาท หรือเข้ามาซื้อสุทธิเดือนละ 1 หมื่นล้านบาท หลังจากช่วง 6 ปีที่ผ่านมาฟันด์โฟลว์มีการขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 6 แสนล้านบาท ดังนั้น การที่ฟันด์โฟลว์จะไหลกลับเข้ามาซื้อสุทธิถึงระดับ 1.1 แสนล้านบาทจึงเป็นไปได้ไม่ยาก นายไพบูลย์กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าในปัจจุบันเชื่อว่าเป็นเพียงภาวะชั่วคราวหรือเป็นปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งเป็นผลจากการที่ฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินในตลาดตราสารหนี้สูงกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็เริ่มตื่นตัวกับการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าแล้ว ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจส่งออก เชื่อว่ารัฐบาลจะมีมาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจช่วยเหลือ นอกจากนี้เชื่อว่าเงินบาทที่แข็งค่าจะไม่กดดันขีดความสามารถของตลาดหุ้น เนื่องจากภาคการส่งออกที่มีสัดส่วนสูงถึง 70% ต่อจีดีพีประเทศไทย ไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมหลักที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น ลุ้นเฟดลดดอกเบี้ยดันดัชนี นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ มองว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET index) ในเดือน ก.ค. 62 จะปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1,760 จุดได้ โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยสงครามการค้าสหรัฐกับจีนสงบศึกกันชั่วคราว รวมถึงได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะเห็นการปรับดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 31 ก.ค.นี้ หาก SET index สามารถเคลื่อนผ่านแนวต้าน 1,760 จุดได้ คาดว่าจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1,810 จุด และ 1,850 จุด บัวหลวงหั่นกำไร บจ.  นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยปรับลดกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2562 จากเดิมประเมินไว้ที่กำไรต่อหุ้น (EPS) 110 บาท/หุ้น ลดลงมาที่ 103 บาท/หุ้น เนื่องจากกำไร บจ.ไตรมาส 1/62 ออกมาต่ำกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ เป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ดีนัก สงครามการค้ากดดันการส่งออก นักท่องเที่ยวฟื้นตัวช้า และการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาช้ากว่าที่คาดเอาไว้ ขณะที่เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET index) ปีนี้ยังคงไว้ที่ 1,670 จุด ในกรณีปกติ และ 1,750 จุด ในกรณี best case “เหตุที่เรายังไม่ปรับเป้า SET index ขึ้น เนื่องจากมองว่าทิศทางผลประกอบการ บจ.ไตรมาส 2/62 จะหดตัวลงเช่นกัน ทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2562 โดยเมื่อดูจากปัจจัยพื้นฐานของ บจ.ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง กำไร บจ.ครึ่งปีแรกต่ำกว่าที่ประมาณการ และตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ยังไม่สดใส จึงยังคงเป้าดัชนีปีนี้ไว้ที่ระดับเดิม” นายชัยพรกล่าว SCBS จับตา 2 ปัจจัยเสี่ยง นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงต้องติดตามประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงนี้จะเป็นสถานการณ์พักรบ แต่คาดว่าเงื่อนไขเจรจาการขึ้นภาษีคงจะเข้มขึ้น และยังคงมีความเสี่ยงที่จะเป็นตัวฉุดรั้ง ทั้งตลาดการเงินและภาวะเศรษฐกิจโลก ในขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงปลายวัฏจักรขาขึ้นอยู่แล้ว โดยสงครามการค้าอาจจะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงเชื่อว่าสหรัฐกับจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าบางอย่างร่วมกันได้บ้างในอนาคต ส่วนทิศทางดอกเบี้ยของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประเมินว่าจากการที่สหรัฐชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้การประชุมเฟดในสิ้นเดือน ก.ค. 62 “น่าจะคงดอกเบี้ย” ซึ่งอาจจะต้องดูทิศทางเศรษฐกิจอีกทีหนึ่ง โดยเป็นไปได้เฟดอาจจะรอปรับลดดอกเบี้ยช่วงเดือน ก.ย. 62 ถ้าเฟดลดดอกเบี้ยคาดว่าทาง ธปท.ก็จะลดดอกเบี้ยด้วย เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี และแข็งสูงสุดในภูมิภาคด้วย แม้ว่าแบงก์ชาติจะออกมาตรการลดปริมาณการออกพันธบัตรเพื่อลดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ซึ่งคงจะไม่ได้ผลมากนัก ฉะนั้นทิศทางดอกเบี้ยไทยคงเป็นไปตามในทิศทางดอกเบี้ยโลก ช่วงครึ่งปีหลังแนะนำการปรับพอร์ตการลงทุนเน้นหุ้น domestic play เพื่อเตรียมรับกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่คาดว่าจะออกช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4/62 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-345782

จำนวนผู้อ่าน: 1843

04 กรกฎาคม 2019

ประกาศเตือนภัย ฉบับ 11 พายุ “มูน” (Mun) ’30 จว’ ระวังฝนตกหนัก-ท่วมฉับพลัน

วันที่ 4 กรกฎาคม 2562 กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนภัยลักษณะอากาศ ฉบับที่ 11 เรื่อง “พายุ “มูน” (Mun) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน (มีผลกระทบถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2562)” ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันนี้ (4 ก.ค. 62) พายุโซนร้อน “มูน” (Mun) เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามแล้วเมื่อคืนนี้ โดยได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันมีศูนย์กลางอยู่บริเวณกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม หรือที่ละติจูด 21.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 106.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าพายุนี้จะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาว และประเทศเวียดนามตอนบนในบ่ายวันนี้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งกับมีลมแรง โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศลาว และประเทศเวียดนามตอนบน ควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วยโดยจะมีฝนตกหนักตามภาคต่าง ๆ ดังนี้ ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และตาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร ขอนแก่น ชัยภูมิ และนครราชสีมา ภาคกลาง: จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี และสระบุรี ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และพังงา อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรง ทำให้คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยยังคงมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง โดยหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์ กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประกาศ ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 11.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปใน วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.00 น. (ลงชื่อ) ภูเวียง ประคำมินทร์ (นายภูเวียง ประคำมินทร์) อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-346066

จำนวนผู้อ่าน: 1850

04 กรกฎาคม 2019

หุ้นไทยปิดตลาดภาคเช้าบวก4จุด ซื้อขายกว่า3.1หมื่นล้าน ชี้แรงบวกฟันโฟลว์ต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง

แฟ้มภาพ วันที่ 4 กรกฎาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ แต่ก็ยังยืนอยู่ในแดนบวก โดยการซื้อขายในภาคเช้า ดัชนีขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 1,747 จุด ก่อนจะปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,743.08จุด มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 31,523 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 4 ก.ค.62 ว่า มีมุมมองเป็นกลางและคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะแกว่งตัวในกรอบ 1,730 – 1,745 จุด เนื่องจากภาวะตลาดยังคงได้เซนติเมนต์บวกจากทิศทางฟันโฟลว์ต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง ตามคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุม 30 – 31 ก.ค. หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายรายการชะลอตัวลงทั้งการจ้างงานภาคเอกชน คำสั่งซื้อภาคโรงงาน ดัชนีภาคบริการ รวมถึงการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พรีวิวผลประกอบการไตรมาส 2/62 ของกลุ่มหลัก เช่น ธนาคาร และพลังงาน ที่คาดว่าจะทรงตัวถึงอ่อนตัวลง รวมถึงภาวะ “Overbought” ตามสัญญาณเทคนิคจะเป็นตัวถ่วงให้ดัชนีอ่อนตัวลง ด้านกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “Selective Buy” ในกลุ่มที่คาดว่างบไตรมาส 2/62 จะเติบโตขึ้น ได้แก่ PTTEP, EA, BGRIM, GPSC, CKP, CPF, GFPT, TFG, CPALL, MTC, THANI, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK และ MAJOR กลุ่มขนส่งทางเรือ ได้แก่ PSL และ TTA ที่ได้อานิสงส์ค่าระวางเรือปรับตัวขึ้นต่อเนื่องล่าสุด 1,549 จุด กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและรับเหมา ที่จะได้อานิสงส์ความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรืออุตฯมาบตาพุดระยะที่ 3 ได้แก่ AMATA, WHA ,STEC, SEAFCO และ CK ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-346064

จำนวนผู้อ่าน: 1837

04 กรกฎาคม 2019

กทม.ออกประกาศจัดระเบียบคนใช้สวนสาธารณะ

นายชาตรี วัฒนเขจร ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กทม. เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานคร โดยสำนักสิ่งแวดล้อม กำหนดแนวทางการพัฒนาพื้นที่สวนสาธารณะเพื่อลดจุดอับสายตา และกำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวก และเสริมสร้างความปลอดภัยหรับประชาชนผู้มาใช้บริการสวนสาธารณะของกรุงเทพมหานคร โดยประสานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถานีตำรวจนครบาลในพื้นที่ร่วมดูแลความปลอดภัยโดยติดตั้งตู้แดงบริเวณจุดต่างๆ ของสวนสาธารณะ รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสำนักงานรักษาความปลอดภัย องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกที่อยู่ประจำจุดทางเข้า-ออก สังเกตผู้เข้ามาใช้บริการสวนสาธารณะ ตรวจตราสัมภาระ หากพบพบอาวุธ วัตถุมีคม หรือสิ่งผิดระเบียบห้ามนำเข้าสวน เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เจ้าหน้าที่จะตรวจยึด รวมทั้งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตรวจบัตรประจำตัวหากพบเป็นชาวต่างด้าวที่เข้ามาในสวน นอกจากนี้ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซักซ้อมแนวทางการดูแลความปลอดภัย และใช้รถปฏิบัติการวิ่งวนตรวจพื้นที่เป็นประจำทุกวัน เพื่อเป็นการป้องปรามและระมัดระวังการก่อเหตุรุนแรง โดยหากพบผู้มีลักษณะต้องสงสัยจะประสานแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหากพบการก่อเหตุ จะนำตัวไปดำเนินคดีที่สน.ท้องที่ทันที นอกจากนี้ ยังได้กำชับเจ้าหน้าที่ประจำสวนสาธารณะ สอดส่องดูแล รวมทั้งประชาสัมพันธ์กฎระเบียบของสวนสาธารณะ เพื่อป้องกันและระวังเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงเชิญชวนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสื่อสารผ่าน Application Line ที่ตั้งกลุ่มร่วมกันเพื่อแจ้งข่าวสารและเฝ้าระวังเหตุอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงทีด้วย   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-346029

จำนวนผู้อ่าน: 1663

04 กรกฎาคม 2019

เช้าวันนี้เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยที่ 30.56 บาท/ดอลลาร์ ต่างชาติเริ่มขายบอนด์ทำกำไร

เช้าวันนี้เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยที่ 30.56 บาท/ดอลลาร์ นักวิเคราะห์ธนาคารกรุงไทยชี้ต่างชาติชะลอลงทุนบอนด์ไทย เหตุเริ่มขายทำกำไร-ปรับพอร์ตโยกลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน คาดกรอบค่าเงินบาทวันนี้ 30.60 – 30.70 บาทต่อดอลลาร์ นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักวิเคราะห์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (4 ก.ค.) ที่ระดับ 30.65 บาทต่อดอลลาร์  อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ 30.56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงวันนี้จะยังคงมีความผันผวนสูง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนในตราสารหนี้ (บอนด์) ไทย แม้เงินบาทจะแข็งค่าต่อ โดยเริ่มขายทำกำไรและปรับพอร์ตไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่ค่าเงินเริ่มแข็งค่าขึ้น “เรามองว่าภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอทั่วโลก มีโอกาสดึงให้ตลาดพลิกกลับไปปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) ง่ายขึ้น การขายทำกำไรสกุลเงินเอเชียจึงเกิดขึ้นได้ นอกเหนือจากนั้นการที่โดนัลด์ ทรัมป์ (ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา) พยายามระบุว่ายุโรปและจีนกำลัง “แทรกแซงค่าเงิน” ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะกดดันให้ทั้งยูโรและหยวนให้อ่อนค่ารับข่าว ซึ่งจะส่งผลกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าได้เช่นกัน” นายจิติพลกล่าว สำหรับกรอบค่าเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ในช่วง 30.60 – 30.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นายจิติพลกล่าวว่า ในคืนที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 0.8% ทำสถิติจุดสูงสุดใหม่ที่ 2995 จุด โดยตลาดมีความเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยในปลายเดือน ก.ค.นี้ ส่งผลให้แทบทุกอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น เช่นเดียวกับกับฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 และ FTSE100 ก็ปรับตัวขึ้น 0.9% และ 0.7% ตามลำดับ โดยจุดที่น่าสนใจอยู่ที่ฝั่งตลาดตราสารหนี้ที่อัตราผลตอบแทน (ยีลด์) ทั่วโลกปรับตัวลงเรื่อย ๆ ล่าสุด บอนด์ยีลด์เยอรมนีอายุ 10ปีปรับตัวลง 2.0bps สู่ระดับ -0.38% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะนอกจากจะได้รับผลจากนโยบายการเงินสหรัฐฯ ก็มีเรื่องการแต่งตั้งประธาน ECB คนใหม่ และการที่คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ตัดสินใจ “ไม่ลงโทษ” อิตาลี ในกรณีที่ขาดดุลงบประมาณเกินกว่าที่กำหนดของ EU (2.0% ของจีดีพี) อย่างไรก็ดี ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจยังคงดูไม่สดใส โดยดัชนี Caixin Services PMI ของจีน ลดลงแตะระดับ 52.0จุด พร้อมกันกับฝั่งสหรัฐฯ ที่ดัชนี ISM Services PMI ลดลงจากระดับ 56.9จุด สู่ระดับ 55.1จุด ชี้ว่าภาคการบริการสหรัฐฯไม่ฟื้นตัว นอกจากนี้ ยอดการจ้างงานเอกชนโดย ADP (Nonfarm employment change) ก็เพิ่มขึ้นเพียง 1.0แสนราย น้อยกว่าที่ตลาดคาดว่าที่ 1.4แสนราย พร้อมกันนี้ ยอดสั่งซื้อภายในโรงงาน (Factory Order) ก็หดตัวลงกว่า 0.7% จากเดือนก่อนหน้า ย้ำภาพการผลิตสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-345984

จำนวนผู้อ่าน: 1749

04 กรกฎาคม 2019

โบรกฯชี้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อ เชียร์ซื้อ 17 หุ้นกำไร Q2 สดใส

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 4 ก.ค.62 ว่า มีมุมมองเป็นกลางและคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะแกว่งตัวในกรอบ 1,730 – 1,745 จุด เนื่องจากภาวะตลาดยังคงได้เซนติเมนต์บวกจากทิศทางฟันโฟลว์ต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง ตามคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุม 30 – 31 ก.ค. หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายรายการชะลอตัวลงทั้งการจ้างงานภาคเอกชน คำสั่งซื้อภาคโรงงาน ดัชนีภาคบริการ รวมถึงการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พรีวิวผลประกอบการไตรมาส 2/62 ของกลุ่มหลัก เช่น ธนาคาร และพลังงาน ที่คาดว่าจะทรงตัวถึงอ่อนตัวลง รวมถึงภาวะ “Overbought” ตามสัญญาณเทคนิคจะเป็นตัวถ่วงให้ดัชนีอ่อนตัวลง ด้านกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “Selective Buy” ในกลุ่มที่คาดว่างบไตรมาส 2/62 จะเติบโตขึ้น ได้แก่ PTTEP, EA, BGRIM, GPSC, CKP, CPF, GFPT, TFG, CPALL, MTC, THANI, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK และ MAJOR กลุ่มขนส่งทางเรือ ได้แก่ PSL และ TTA ที่ได้อานิสงส์ค่าระวางเรือปรับตัวขึ้นต่อเนื่องล่าสุด 1,549 จุด กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและรับเหมา ที่จะได้อานิสงส์ความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรืออุตฯมาบตาพุดระยะที่ 3 ได้แก่ AMATA, WHA ,STEC, SEAFCO และ CK ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-345976

จำนวนผู้อ่าน: 1798

04 กรกฎาคม 2019

“พาณิชย์” เผยยอดค้าเอฟทีเอ 5 เดือนทะลุ 1 แสนล้าน “อาเซียน” นำลิ่วเบอร์ 1

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยสถิติการค้าไทยกับประเทศคู่เอฟทีเอ 5 กลุ่มประเทศ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ ครองแชมป์ประเทศคู่ค้าเอฟทีเอของไทยที่ทำมูลค่าการค้าสูงสุด นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถิติการค้ากับประเทศที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย 12 ฉบับ 17 ประเทศ ในช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค. – พ.ค.) ของปี 2562 พบว่า การค้ารวมระหว่างไทยกับ 17 ประเทศ มีมูลค่า 119,290.1 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเทศคู่เจรจาเอฟทีเอกับไทยมีมูลค่าการค้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) อาเซียน มีมูลค่าการค้า 44,600 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกหลักของไทย เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น และสินค้านำเข้าหลักจากอาเซียน เช่น น้ำมันดิบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ก๊าซธรรมชาติ เครื่องจักรไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น (2) จีน มีมูลค่าการค้า 31,700 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกหลักของไทย เช่น เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เป็นต้น และสินค้านำเข้าหลักจากจีน เช่น เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เคมีภัณฑ์ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น (3) ญี่ปุ่น มีมูลค่าการค้า 24,100ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกหลักของไทย เช่น รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกล และเม็ดพลาสติก เป็นต้น และสินค้านำเข้าหลักจากญี่ปุ่น เช่น เครื่องจักรกล เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องจักรไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ (4) ออสเตรเลีย มีมูลค่าการค้า 5,900 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และสินค้านำเข้าหลักจากออสเตรเลีย เช่น น้ำมันดิบ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ สินแร่โลหะ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน เป็นต้น และ (5) เกาหลีใต้ มีมูลค่าการค้า 5,800 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกของไทย เช่น น้ำตาลทราย เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์ยาง และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ สินค้านำเข้าหลักจากเกาหลีใต้ เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้ พบว่าการค้าระหว่างไทยกับคู่เอฟทีเอ 2 ประเทศ คือ อินเดียและเปรู ยังคงขยายตัวได้ดีในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2562 โดยการค้าระหว่างไทยกับอินเดีย มีมูลค่า 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 4.2) สินค้าส่งออกหลักของไทยไปอินเดีย เช่น เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้านำเข้าหลักของไทยจากอินเดีย เช่น เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น สำหรับการค้าระหว่างไทยกับเปรู มีมูลค่า 239 ล้านเหรียญสหรัฐ (ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 24.4) โดยสินค้าส่งออกหลักของไทยไปเปรู เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้ง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น และสินค้านำเข้าหลักของไทยจากเปรู เช่น สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ก๊าซธรรมชาติ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ เป็นต้น “หากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจคลี่คลาย ก็จะส่งผลดีกับสถานการณ์การค้าโลกและการค้าระหว่างประเทศของไทย ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ลองตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ ความแน่นอน และลดความเสี่ยงทางการค้า พร้อมทั้งเร่งใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและสร้างแต้มต่อทางการค้า” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-345971

จำนวนผู้อ่าน: 1871

04 กรกฎาคม 2019

ซื้อไม่หยุด! “ไทยเบฟ” เทคโอเวอร์ บริษัทจำหน่ายเมล็ดกาแฟในจีน

รายงานข่าวจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ว่า บริษัทได้เข้าซื้อกิจการของ “Dongguan LiTeng Foods” ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเมล็ดกาแฟ ในประเทศจีน เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคมที่ผ่านมา  ผ่านการดำเนินการของบริษัทย่อย “เอเชียยูโร อินเตอร์เนชั่นแนล เบฟเวอเรจ (กวางตุ้ง) จำกัด” (AIB) ที่ไทยเบฟได้ร่วมทุนกับบริษัทในจีนจัดตั้งขึ้นในปีที่แล้ว โดยเม็ดเงินในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้อยู่ที่ 300,000 หยวน หรือประมาณ 1.3 ล้านบาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ไทยเบฟได้รุกธุรกิจกาแฟในไทย ผ่านการคว้าสิทธิ์บริหารร้านสตาร์บัคส์ เชนร้านกาแฟรายใหญ่จากสหรัฐฯ ในประเทศไทยทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งสตาร์บัคส์มีสาขาในปัจจุบันอยู่ที่ 372 สาขา มีแผนจะที่จะขยายให้ครบ 400 สาขาในปีนี้ นอกจากนี้ธุรกิจในเครือเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี อย่างบิ๊กซี ยังได้เข้าซื้อกิจการของร้านกาแฟชื่อดังสัญชาติไทย “วาวี” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ตลอดจนมีฐานการปลูกกาแฟอยู่ที่ ที่ราบสูง โบโลเวน ปากซอง ในประเทศลาว ประมาณ 20,000 ไร่   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-345854

จำนวนผู้อ่าน: 1699

04 กรกฎาคม 2019

หลายกลยุทธ์ หลากอารมณ์ บนวิกฤต LTV-พรีเซลต่ำสุดรอบ 5 ปี

ยาแรงของแบงก์ชาติว่าด้วยมาตรการ LTV-loan to value ต้องการสกัดการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ด้วยการบังคับเพิ่มเงินดาวน์ซื้อบ้าน-คอนโดมิเนียม จากเดิม 5-10% เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 การขอสินเชื่อสัญญาที่ 2 ขึ้นไปถูกบังคับเพิ่มเงินดาวน์เป็น 20% จนกระทั่งผลกระทบไปโผล่ที่ตัวเลขสถิติยอดพรีเซลในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม 2562) ต่ำสุดในรอบ 5 ปี “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษยักษ์อสังหาฯ 3 ค่าย เพื่อร่วมแจมมุมมองตลอดจนช่วยกันประเมินเทรนด์ครึ่งปีหลัง ผู้ประกอบการ-ผู้บริโภคจะอยู่กับ LTV กันอย่างไรได้บ้าง “LTV กระทบลูกค้าเก็งกำไรหายไป 10%” เริ่มจาก “เต-ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” เอ็มดี บมจ.ศุภาลัย องค์กรที่มีไฮไลต์โมเดลธุรกิจให้น้ำหนักกับการเจาะตลาดลูกค้าซื้ออยู่เองหรือลูกค้าเรียลดีมานด์เป็นหลัก รักษาสถานะผลประกอบการเติบโตทั้งสินค้าแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ รวมทั้งสินค้าแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมได้อย่างเหนียวแน่น ล่าสุด บริษัทเพิ่งลอนช์ห้องชุดลักเซอรี่แบรนด์ “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” กลางเดือนมิถุนายน 2562 …ศุภาลัย ไอคอน สาทร ลูกค้าก็ให้ความสนใจดีต่อเนื่อง ตอนนี้มียอดพรีเซล 20% ของมูลค่าโครงการ ส่วนใหญ่ก็เข้ามาซื้อห้องใหญ่ ๆ ทั้งนั้น มากกว่า 50% เป็น 2-3 ห้องนอนเป็นหลัก เพราะถ้ามองว่าลูกค้ามีกำลังซื้ออย่างห้องราคาต่ำสุดก็ 8 ล้านกว่าบาท ถ้าลูกค้ามีเงินระดับ 10 ล้าน ถ้าเขาอยากได้แล้วคิดว่าเป็นทำเลที่ดี ราคาที่เหมาะสมกับทั้งวันนี้และก็อนาคต ความต่างสำหรับคนกลุ่มนี้จะซื้อ 10 ล้านหรือ 14 ล้าน เขามีกำลังซื้ออยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ในมุมเขาก็เลือกห้องที่คิดว่ามันลงตัวมากกว่า ถ้าคนที่ซื้อตารางเมตรละ 2-3 แสนไม่มีปัญหาที่จะขยับไปห้องที่ใหญ่กว่าอยู่แล้ว และคงมียอดต่อเนื่องด้วย ซึ่งวางเป้าไว้ว่าปีนี้จะมียอดพรีเซล 30% ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ทั้งนี้ ทั้งนั้น ศุภาลัย ไอคอน สาทรเป็นสินค้าระดับราคาสูง แบบห้องเรามี 40-50 แบบ ลูกค้าใช้เวลาคิดพอสมควร แต่จะเห็นว่าหลังจากที่เรามีการเปิดตัว มีลูกค้าทยอยมาจองเรื่อย ๆ คงไม่น่าเป็นห่วง เมื่อถามถึงผลกระทบ LTV มีมากน้อยแค่ไหน ? …จริง ๆ สำหรับคอนโดฯไม่ได้โดนผลกระทบจาก LTV เยอะมาก เพราะว่าเราทำคอนโดฯส่วนใหญ่ไม่ได้เพื่อการเก็งกำไรอยู่แล้ว ถ้าเน้นลูกค้าเรียลดีมานด์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยิ่งลูกค้าอย่างไอคอน สาทรเป็นลูกค้าระดับบน ซึ่งถามว่า LTV ส่งผลกับเขาไหมส่วนใหญ่จะซื้อเงินสดก็ซื้อได้อยู่แล้วไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ แต่ถ้ามองว่าเป็นเซ็กเมนต์อื่น ๆ ตัว LTV กระทบมากที่สุดก็คือ กระทบลูกค้าเก็งกำไรหรือมีบ้านอยู่แล้วอยากจะปล่อยเช่า สำหรับคอนโดฯกลุ่มนั้นจะโดนกระทบ แต่ดีเวลอปเปอร์อย่างเราก็พยายามเน้นลูกค้าที่แท้จริง เน้นลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่เอง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้มีผลกระทบเท่าไหร่ LTV ในไตรมาส 3-4 ผมมองว่าเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น ช่วงนี้เป็นช่วงปรับตัวมากกว่า และผลกระทบที่แท้จริงมันก็ไม่ได้เยอะอย่างที่หลายคนห่วง คือใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์ แต่ก่อนคนคิดว่าลูกค้าจะหายไป 20-30% ซึ่งก็ไม่ได้ขนาดนั้น คนซื้อจริง ๆ หายไปไม่ถึง 10% ในขณะที่ยอดขายที่หายไปเป็นกลุ่มเก็งกำไร ลูกค้าเรียลดีมานด์คงมีผลกระทบไม่เยอะ แต่ลูกค้าเก็งกำไรเขามองว่า sentiment เวลาขายต่อพอมี LTV เข้ามามันทำให้ยากขึ้น เขาก็จะหายไปบ้าง ซึ่งตรงนั้นมันก็ไม่ได้แย่ต่อตลาด ซึ่ง LTV มันทุบกำลังซื้อของคนเก็งกำไร แต่ถามว่าส่งผลอะไรมากไหมกับตลาด เมื่อคนซื้อเก็งกำไรหายไปก็ต้องหาลูกค้าเรียลดีมานด์มาซื้อต่ออยู่ดี ถ้าตราบใดที่คนจะซื้อที่แท้จริงยังสามารถซื้อได้ อันนั้นผมไม่ได้ห่วง อาจทำให้ไซซ์ตลาดหดลงไปบ้าง แต่เดี๋ยวเราก็จะมาปรับตัวกัน มีบางดีเวลอปเปอร์ที่เห็น LTV แล้วเปิดตัวโครงการน้อยลง หรือเลื่อนทำโครงการ ถ้าตลาดหดตัว (เปิดตัวใหม่) ไปในอัตราที่ไม่ได้น้อยไปกว่าการหดตัวของดีมานด์ก็ไม่มีปัญหา สำหรับกลยุทธ์รับมือในครึ่งปีหลัง บิ๊กผู้บริหารศุภาลัยโฟกัสไปที่ลูกค้าเรียลดีมานด์มากขึ้น …การแก้เกมเราก็คงทำตลาดลูกค้าเรียลดีมานด์อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เป็นช่วงที่คุณค่าที่แท้จริงของสินค้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้น มากไปกว่าภาพสวยหรูขายบรรยากาศ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็ต้องอยู่ที่ดีเวลอปเปอร์ ซึ่งเราจะเห็นว่าดีเวลอปเปอร์หลายรายก็เริ่มมารุกทำตลาดที่เป็นเรียลดีมานด์มากขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้บางรายอาจจะเน้นลูกค้าเก็งกำไรมากกว่าปัจจุบันก็ตาม สำหรับศุภาลัยกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์เราต้องดูมากขึ้น เราก็ต้องคุยกับแบงก์ว่ามีอะไรที่สามารถช่วยลูกค้าได้บ้าง จะเดินสเตตเมนต์ยังไงให้แบงก์เข้าใจได้มากขึ้น ทำให้แบงก์สามารถปล่อยลูกค้า สมมุติให้ไปถึง 90% หรือ 100% ได้ หรือเราจะทำยังไงที่จะเปิด window สิ่งของที่ลูกค้าต้องซื้ออยู่แล้วในอนาคตก็แอดเข้าไปมากขึ้น เช่น ของแถมต่าง ๆ อย่างเครื่องปรับอากาศหรือเฟอร์นิเจอร์ เป็นสิ่งที่ลูกบ้านต้องมีอยู่แล้ว ถ้าก่อนหน้านี้ไม่ได้แถมก็สามารถกู้อยู่ในวงเงินเดียวกันได้ วิธีการอัดของแถมเข้าไปให้ลูกค้ามากกว่าปกติ ถูกต้องตามกฎของแบงก์ชาติทุกประการ “บรรยากาศช่วงนี้ไม่อายที่จะพูดว่าหาลูกค้าได้ยากขึ้นทุกวัน” ถัดมา “ดร.ยุ้ย-ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ …LTV จริง ๆ มีผลมากที่สุดกับลูกค้า 2 กลุ่มที่เป็นลูกค้าซื้อหลังที่ 2 และ 3 ซึ่งโดยหลักการแล้วมี 20% กว่าของตลาดรวม เนื่องจากเป็นกฎเกณฑ์ของธนาคาร ดังนั้น เราไม่สามารถจะบอกได้ว่าคนที่ซื้อหลังที่ 2-3 เสนาฯจะทำเวทมนตร์อะไรบางอย่างให้เขากู้ได้ 100% เต็ม ทำไม่ได้เพราะเป็นกฎเกณฑ์ แต่สิ่งที่เราทำได้ คือ การสร้าง awareness และสร้างการเตรียมตัวที่ดีของลูกค้า จริง ๆ เวลาลูกค้าเข้ามาซื้อจะมีเวลาเตรียมตัวอย่างต่ำ 2-3 ปี เพราะคอนโดฯดาวน์ 2-3 ปี สิ่งที่เราทำก็คือ พยายามให้ลูกค้ากลุ่มที่ตัวเองจะกู้ได้แค่ 70-90% รู้ตัวตั้งแต่แรกว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้น และพยายามสร้างเงินดาวน์ incentive ให้ใกล้เคียงกับเงินที่เขาต้องจ่ายมากที่สุด แล้วก็สร้าง awareness ระหว่างทาง จริง ๆ ถ้ามาเป็นลูกค้าเราจะเริ่มเห็นว่าเรามีการเจอลูกค้าตอนหลังจองบ่อยมาก เราเรียก financial day จะถี่มากเพราะต้องการให้เขาทราบว่า ตอนนี้รู้ตัวไหมว่ากู้ได้แค่ 80% เพราะงั้นเขาต้องหาเงินดาวน์ 20% และถ้าเขาต้องหาเงิน 20% เขาต้องมีเงินเท่านี้นะ ถ้าซื้อบ้านในราคานี้ ซึ่งเราไม่สามารถจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ได้ แต่เราทำให้เขา (ลูกค้า) เตรียมตัวดีขึ้นได้ กับคำถามสำคัญถึงบรรยากาศยอดพรีเซลโครงการเปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก …ปฏิเสธไม่ได้ว่าเดือน 4-5 เป็นเดือนที่เงียบลง ซึ่งบางทีมันตอบยากว่าที่มันเงียบลงเพราะอะไร แต่จริง ๆ ก็ไม่ถึงขั้นเงียบแต่คนเข้า (วิสิตไซต์) ยากขึ้น ปิดการขายยากขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วเดือน 4-5 (เมษายน-พฤษภาคม) มีหลาย factor มาก หลัก ๆ มีอยู่ 3 อย่าง 1.LTV 2.สภาวะเศรษฐกิจ 3.ภาวะความไม่มั่นใจในเรื่องการเมือง ทำให้เดือน 4-5 เป็นความรู้สึกที่ยังไม่ค่อยดี ดังนั้น เราก็คงต้องมาดูกันต่อ ซึ่งเราก็มองโลกในแง่ดี ไม่ว่ายังไงก็ตาม direction ได้แล้ว รัฐบาลมีแล้ว และโดยปกติแล้วเวลามีรัฐบาลช่วงแรก เราก็มีความคาดหวังเต็มที่ในแง่เอกชน เราคาดหวังรัฐบาลใหม่มาจะช่วยกันกระตุ้นประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสังหาฯเป็น sector ที่รัฐบาลแต่ละรัฐบาลเข้ามาแล้วใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจจะเพราะเยอะและกระตุ้นง่าย และกระตุ้นมาแล้วหลายรอบก็ดูได้ผล ดังนั้น เราก็มีความคาดหวังในครึ่งปีหลังกับการที่รัฐบาลใหม่เข้ามาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เมื่อตรงนั้นดีขึ้นเศรษฐกิจดีขึ้น เราก็จะเหลือแค่ LTV อย่างเดียว ก็ไม่น่าจะกระทบหนักเหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงเดือน 4-5 ที่ผ่านมา แน่นอนว่าเป็นไปได้ที่ LTV จะทำให้ยอดพรีเซลต่ำกว่าปกติที่ควรจะเป็น สมมุติว่าเรามีบ้านหลายหลังมากแล้วปรากฏว่ากู้ได้ 70% บริษัทก็บอกว่าจะซื้อบ้าน 2 ล้านบาทต้องเตรียมเงินดาวน์ 6 แสนบาท แล้วลูกค้าก็คิดในใจไม่มีเงิน 6 แสนในการที่จะเก็บเงิน saving ไว้ เป็นเราเราก็ไม่จองเพราะเรากลัวว่าถ้าจ่ายไปแล้วตอนสุดท้ายหาเงินมา fill in (เติมเงินดาวน์) ที่เหลือไม่ได้ โดนยึดอีก เสียเวลาอีก เป็นเราเราก็ไม่จอง อันนี้คือเรื่องปกติ เสนาฯเราอยากให้รู้ตั้งแต่วันแรกเลยเพราะมันไม่มีประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ลูกค้าเข้ามาเราให้แอปพรูฟตั้งแต่วันแรก เลยว่าคุณกู้ได้แค่ 70% นะ ถ้าคุณเตรียมเงินไม่ไหว ซึ่งลูกค้าบางคนก็มีแบบขอวัดดวงอีกสัก 1 ปี คงหาได้ครบ 30% อันนี้เราก็ไม่ได้ห้าม ถ้าถามว่ามันจะกระทบแค่ไหน ก็ต้องตอบตามเรโช คนที่ซื้อหลัง 2-3 มี 20% กว่า แสดงว่าการกระทบก็อยู่ที่ 20% เรา as zoom ว่าเสนาฯมีบ้านราคาต่ำ ๆ เช่น Niche ID ราคา 1-2 ล้าน, Niche MONO ราคา 2-4 ล้าน และ Niche Pride ราคา 3-5 ล้าน ถ้าพูดถึงจำนวนยูนิต Niche MONO มากที่สุด 20,000 กว่ายูนิต ถามว่าในแง่หลักการ Niche ID ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าซื้อเป็นหลังแรก ทั้งนั้น แสดงว่าส่วนใหญ่กู้ได้เต็ม ถ้า Niche MONO ลูกค้าสัดส่วน 80-90% ซื้อเป็นหลังแรก แต่ก็จะมี 20% กว่าที่เริ่มซื้อเป็นหลัง 2-3 และ Niche Pride ก็จะเริ่มเป็นการซื้อหลัง 2-3 มากขึ้น ถ้าตอบตามเรโช สิ่งที่บริษัทผลิตคิดว่าผลกระทบน่าจะอยู่ที่ 30% มันก็คือตรงนั้นก็จะมีความเป็นไปได้ในการส่งผลมากกว่ากลุ่มที่เป็นระดับล่าง ๆ อันนี้คือดูตามจำนวนยูนิตกับการแบ่งเซ็กเมนต์ของระดับราคา เพราะมันไม่มีวิธีอื่นดูแล้ว ซึ่งในการบริหารจัดการ 30% นี้มันเปลี่ยนอะไรไม่ได้นอกจากให้ความเข้าใจตั้งแต่แรก เตือนสม่ำเสมอเพราะว่าจริง ๆ เขากับเราก็มีแรงจูงใจเท่ากัน คือ พยายามหาเงินดาวน์ 30% ให้ได้ แต่ถ้าเข้ามาปุ๊บดาวน์ 15% แล้วปรากฏว่าเขาเป็นคนกู้หลัง 3 แล้วเขาต้องดาวน์ 30% ถามเราจะให้เขาจองไหม เราให้อยู่แล้วในบรรยากาศแบบนี้ อีก 15% ถ้าเขามั่นใจว่าเขามีเราก็ต้องเชื่อ แต่หน้าที่เราคือบอกเขาระหว่างทาง ทุก 5 เดือนเราจะเตือนว่าเขาต้องเก็บเงินอีก 15% ไว้นะตอนโอน สรุปแล้ว 5 เดือนแรกพรีเซลน่าจะได้ 70-80% ของสิ่งที่ตั้งใจไว้ เพราะยังไม่ได้มีขึ้นโครงการใหม่เท่าไหร่ มาจากโครงการเดิมทั้งนั้นที่ขาย ๆ อยู่ ซึ่งยอดปฏิเสธสินเชื่อ 20-30% และจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะ LTV ใหม่ ต้องบอกว่าเราก็ช่วยลูกค้าหลายรูปแบบ บางทีก็เลื่อนระยะเวลาโอนเพื่อให้ลูกค้าผ่อนดาวน์ได้นานขึ้น 4-5 เดือน เพราะบรรยากาศช่วงนี้ไม่อายที่จะพูดว่าหาลูกค้าได้ยากขึ้นทุกวัน ดังนั้น ต้องมีการผสมผสานหลาย ๆ รูปแบบเพื่อทำให้ลูกค้าที่จ่ายเงินดาวน์ มาแล้วระดับหนึ่งสามารถที่จะโอนได้ “ต้องเพิ่มยอดขายเพื่อชดเชยรายได้ที่จะลดลง” สุดท้าย “ชายนิด อรรถญาณสกุล” ซีอีโอ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ให้คอมเมนต์บนประสบการณ์ที่ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศมาหลายรอบ บนวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ ขอเพียงแต่ปรับแผนกลยุทธ์ให้ถูกต้อง ที่สำคัญต้องทำให้ถูกที่ ถูกเวลา …5 เดือนแรกที่ผ่านมาสถานการณ์พรีเซลของเพอร์เฟค ถ้ารวมที่ญี่ปุ่นด้วยยอดพรีเซลรวม 8,000 กว่าล้าน เป็นยอดพรีเซลของเก่าของใหม่รวมกัน สำหรับของใหม่ที่พรีเซลในปีนี้เรามีที่เปิดชัดเจนก็คือ คอนโดฯลักเซอรี่ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” ซึ่งเราคาดว่าจะได้ยอดขาย 1,200-1,500 ล้านบาท คิดเป็น 20% กว่าของมูลค่าโครงการ ใกล้เคียงกับเป้าที่เรากำหนดไว้ ราคาเฉลี่ย 280,000 บาท/ตารางเมตร ในส่วน LTV กระทบกับคอนโดฯราคาถูก แต่คอนโดฯราคาปานกลางกับราคาสูงไม่กระทบ และในกลุ่มแนวราบก็กระทบกลุ่มสินค้าที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เพราะฉะนั้น ตอนนี้ LTV ที่กระทบคือบ้านและคอนโดฯที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท กระทบประมาณ 20% ของตลาดปกติ ขณะเดียวกัน ไม่ได้มีมาตรฐานตลาดที่ยอดพรีเซลจะต้องมี 30-40% ซึ่งยอดพรีเซลจะไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับโลเกชั่นและราคา ถ้าสินค้าราคาต่ำบางทีก็ขายดี หรือถ้าโลเกชั่นไหนมีซัพพลายออกมาต่ำ ยอดขายก็ขายได้สูง แผนธุรกิจเพอร์เฟคในครึ่งปีหลัง เราคงเน้นการเปิดโครงการแนวราบมากขึ้น และราคาที่ขายส่วนใหญ่สูงกว่า 3 ล้านบาท เพราะฉะนั้น เราคาดว่ากลุ่มนี้น่าจะมีผลกระทบ 10% การปรับตัวรองรับมีทั้งเพิ่มไซต์โครงการ และเพิ่มหรือขยายเฟสในโครงการเก่าที่ทำเลดี ๆ เพื่อเพิ่มยอดขายให้เป็นไปตามเป้าที่เราวางไว้ เช่น กรุงเทพกรีฑาที่มีถนนตัดใหม่, โซนสุขุมวิท 77 ที่มีห้างโรบินสันและโรงแรมจะมาเปิด กลยุทธ์คือเราเปิดบ้านแพงเพิ่มขึ้น 20 กว่าล้านบาทที่เราจอยต์เวนเจอร์กับกลุ่มเซกิซุยของญี่ปุ่น ส่วนนี้เราก็เปิดบ้านแพงเพิ่มขึ้น 10% และอันไหนที่ทำเลดีและมีชุมชนหนาแน่นเราก็เพิ่มยอดขายจากเดิม 10% เพื่อชดเชยกับ LTV ที่คาดว่าจะลดลง 10% ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-345607

จำนวนผู้อ่าน: 1850

04 กรกฎาคม 2019