ข่าวประชาสัมพันธ์

“เอไอเอส”ท็อปฟอร์มโชว์ผลงานQ1/2562 กำไร7,615ล้านบาท ลูกค้ารายเดือนทุบสถิติโตสูงสุดรอบ11ไตรมาส

รายงานข่าวจากบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 1/2562 ของบริษัทมีกำไรสุทธิ 7,615 ล้านบาท มีลูกค้า 4G ขยายตัวเพิ่มต่อเนื่อง คิดเป็นร้อยละ 63 ของฐานลูกค้ารวมทั้งหมด 41.5 ล้านเลขหมาย มีการใช้งานดาต้าเพิ่มเป็น 11.4 กิกะไบต์ โดยมีลูกค้าระบบรายเดือนเติบโตสูงสุดในรอบ 11 ไตรมาส จำนวน 353,900 เลขหมาย ครองส่วนแบ่งการตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นอันดับ 1 ขณะที่ธุรกิจเน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์ สร้างปรากฎการณ์ปิดไตรมาสแรก ปี 62 ด้วยจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 64,500 ราย สูงที่สุดในรอบ 7 ไตรมาส นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “อุตสาหกรรมโทรคมนาคมยังคงเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ และสร้างโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจในทุกๆ กลุ่ม ดังนั้น เป้าหมายของการเป็น Digital Life Service Provider คือ มุ่งมั่นพัฒนาโครงข่ายทั้ง Mobile, Fixed Broadband และโซลูชั่นส์ดิจิทัลต่างๆ ที่ดีที่สุด รวมไปถึงการพัฒนาองค์กรและบุคลากรให้มีขีดความสามารถอย่างสอดคล้องกับบริบทการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน เพื่อสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนให้แก่ลูกค้า ตลอดจนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ล่าสุดปีนี้ได้รับการยอมรับจากหลากหลายหน่วยงานสำคัญระดับโลก อาทิ Brand Finance จัดอันดับให้เป็น “World’s Strongest Telecoms Brand” หรือ “แบรนด์โทรคมนาคมที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก” จากการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม การลงทุนทางการตลาดอย่างสมเหตุสมผล ผลประกอบการที่แข็งแกร่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยความแข็งแกร่งของเอไอเอส สะท้อนมาถึงภาพรวมผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2562 ที่มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 7.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 1.7% เทียบกับไตรมาสก่อน และมีกำไรสุทธิ 7,615 ล้านบาท ลดลง 5.3% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นกว่า 11% เทียบกับไตรมาสก่อน  และยังครองความเป็นผู้นำส่วนแบ่งการตลาดเชิงรายได้มากที่สุดในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่กว่าร้อยละ 48 ปัจจุบันเอไอเอสมีลูกค้า 4G เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นร้อยละ 63 ของฐานลูกค้าทั้งหมดกว่า 41.5 ล้านเลขหมาย และจากการพัฒนาคอนเทนต์ผ่านวิดีโอแพลตฟอร์มอย่าง AIS PLAY และ AIS PLAYBOX อย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้นำคอนเทนต์ความบันเทิงระดับโลกที่รู้จักกันดีอย่างซีรีส์ดัง Game of Thrones และการรับชม Live Concert ศิลปินชื่อดังได้ทุกที่ ทุกเวลา ส่งผลให้การใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 11.4 กิกะไบต์ จาก 7.6 กิกะไบต์ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ เอไอเอสยังเดินหน้าสร้างปรากฏการณ์ Game Changer ในธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่ประกาศพลิกโฉมวงการเน็ตบ้านไปอีกขั้นด้วยแนวคิด “เร็วกว่า ดีกว่า ง่ายกว่า” รายแรกในไทยที่ดูแลลูกค้าแบบครบวงจร ซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เอไอเอส ไฟเบอร์ เป็นผู้ให้บริการเน็ตบ้านที่มาแรงและกวาดลูกค้าใหม่เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว จากการออกแบบนวัตกรรมแพ็คเก็จและสร้างสรรค์งานบริการคุณภาพที่แตกต่าง ตอบโจทย์ความต้องการอย่างหลากหลาย และเป็นเครือข่ายเดียวที่ได้รับการจัดอันดับจาก Netflix ISP Speed Index ให้เป็นอันดับที่ 1 ของอินเทอร์เน็ตบรอดแบรนด์ติดต่อกันถึง 2 ปีซ้อน และเป็นเพียงรายเดียวเช่นกันที่มอบประสบการณ์ชม Netflix ได้อย่างสะดวกสบายผ่านเมนูในกล่อง AIS PLAY BOX  โดยในไตรมาสแรก ปี 2562 เอไอเอส ไฟเบอร์ มีจำนวนลูกค้าอยู่ที่ 795,000 ราย ครอบคลุมการใช้งานในพื้นที่ 57 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีลูกค้าเพิ่มขึ้นจำนวน 64,500 ราย สูงที่สุดในรอบ 7 ไตรมาสที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน เอไอเอสได้รุกขยายบริการดิจิทัลเซอร์วิส เชื่อมโยงสู่บริการในอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ผ่านมาได้เปิดตัวบริการ AIS Insurance Service ดำเนินธุรกิจโบรกเกอร์ ประกันภัยทางออนไลน์ เพื่อส่งเสริมคนไทยเข้าบริการด้านประกันภัยผ่านช่องทางดิจิทัลได้อย่างสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น การพัฒนาบริการ Mobile Money ภายใต้ความร่วมมือกับ LINE และ VGI ที่คนไทยนิยมใช้บริการมากเป็นอันดับ 1 ในชื่อบริการ Rabbit LINE Pay ซึ่งมีลูกค้าลงทะเบียนใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปฏิวัติรูปแบบงานบริการอย่างสอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้ายุค Gen C ผ่าน AIS DigitALL Shop ด้วยแนวคิด “The Unmanned Store” แห่งแรกในประเทศไทย พร้อมนำเทคโนโลยี AI มายกระดับ Virtual Agent  เพื่อให้บริการลูกค้าได้ครบทั้ง Offline และ Online แบบ Full Service Digitization รวมถึงการผนึกกำลังกับ China Unicom ประกาศความร่วมมือระดับทวิภาคี เสริมศักยภาพบริการ ICT ครบวงจร ขยายฐานการรองรับลูกค้าระหว่างไทย-จีน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อการให้บริการกลุ่มลูกค้าองค์กร นอกจากนี้ยังผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์เครือข่าย AIAP พัฒนานวัตกรรม IoT อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรูปแบบบริการใหม่ๆ ที่สร้างโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการและเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค อาทิ การลงนามความร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพื่อพัฒนา Smart Meter บริหารจัดการระบบพลังงานไฟฟ้าจาก IoT ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการพัฒนาเครือข่ายด้วยนวัตกรรมระดับโลกอย่างต่อเนื่อง พร้อมยังคงได้รับการจัดอันดับจาก OOKLA® Speedtest® ให้เอไอเอสเป็นเครือข่ายมือถือที่เร็วที่สุดในไทยถึง 4 ปีซ้อน พร้อมครองอันดับ 1 เครือข่ายมือถือที่เร็วที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นายสมชัย กล่าวสรุปว่า “สำหรับภาพรวมปี 2562 เอไอเอสได้คาดการณ์การเติบโตของรายได้จากการให้บริการหลักจะเติบโตด้วยอัตราเลขตัวเดียวระดับกลาง (mid-single digit) เมื่อเทียบกับปีก่อน และตั้งเป้าอัตรากำไร EBITDA ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ประมาณร้อยละ 43 พร้อมจัดสรรงบลงทุนมูลค่า 20,000 – 25,000 ล้านบาท ในการพัฒนาคุณภาพและเสริมประสิทธิภาพโครงข่ายเพื่อรองรับการใช้งานและมอบประสบการณ์ใช้งานที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากแนวทางทั้งหมดที่กล่าวมา เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าจะสามารถรักษาความเป็นเบอร์ 1 และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัลของชาติได้ต่อไป” หมายเหตุ ตัวเลขทางการเงินที่แสดงในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ ไม่รวมผลกระทบของมาตรฐานบัญชีไทยฉบับที่ 15* ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-325216  

จำนวนผู้อ่าน: 2002

10 พฤษภาคม 2019

พรีเมี่ยม “สมาร์ทโฟน” เจอทางตันในตลาดโลก

คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก โดย ไพโรจน์ พงศ์พานิชย์ “ไอดีซี” บริษัทวิจัยการตลาดระดับโลก เผยแพร่ตัวเลขยอดขายสมาร์ทโฟนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 นี้ออกมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม มีหลายประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อย ประเด็นแรกสุดก็คือ “ยอดขาย” ที่ประเมินจากปริมาณสมาร์ทโฟนที่บริษัทส่งมอบออกไป หรือที่เรียกว่ายอดชิปเมนต์นั้น เมื่อรวมกันทั่วโลกแล้วตลอดไตรมาสแรกของปีนี้ ขายได้เพียง 310.8 ล้านเครื่อง เมื่อเทียบกับยอดในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาแล้ว ลดลงมากถึง 6.6 เปอร์เซ็นต์ ยอดชิปเมนต์สมาร์ทโฟนโดยภาพรวมแล้วแสดงให้เห็นว่า ผู้ผลิตแทบทุกรายกำลังประสบปัญหายุ่งยาก จะมีข้อยกเว้นอยู่เพียงรายเดียวเท่านั้น นั่นคือ “หัวเว่ย” ยักษ์ใหญ่ของจีน ที่ยอดชิปเมนต์เพิ่มขึ้นมากถึง 50.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบไตรมาสแรกของปีนี้กับปีที่ผ่านมา ทำยอดได้ถึง 59.1 ล้านเครื่อง ซึ่งทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของสมาร์ทโฟนจากหัวเว่ย เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปี 2018 ซึ่งอยู่ที่ 11.8 เปอร์เซ็นต์ เป็น 19 เปอร์เซ็นต์ของตลาดทั้งโลกในปีนี้ ยึดอันดับ 2 ของตลาดสมาร์ทโฟนไปจากยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิลได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว เหตุผลที่น่าสนใจก็คือ ในขณะที่แอปเปิล มีเพียงแค่ไอโฟน ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมในตลาดเท่านั้น หัวเว่ย มีสมาร์ทโฟน วางจำหน่ายในทุกเซ็กเมนต์ของตลาด ทั้งที่เป็นพรีเมี่ยม ระดับกลางและระดับล่าง สมาร์ทโฟนในระดับมิดเรนจ์ และระดับโลว์เอนด์ นี่แหละที่ทำยอดขายให้กับหัวเว่ยได้เป็นกอบเป็นกำ ในการสำรวจของไอดีซี แม้จะขยายตัวได้น่าประทับใจ ปริมาณขายของหัวเว่ยยังคงเป็นรองเจ้าตลาดสมาร์ทโฟนโลกอย่าง “ซัมซุง” อยู่ดี เพราะถึงแม้ว่าจะทำยอดโดยรวมได้ต่ำลงในไตรมาสแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 8.1 เปอร์เซ็นต์ แต่ซัมซุงยังมียอดชิปเมนต์อยู่มากถึง 71.9 ล้านเครื่อง และยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ถึง 23.1 เปอร์เซ็นต์ ซัมซุงอ้างว่า กาแล็คซี่ เอส 10 ของตนเองทำยอดขายได้ดีทีเดียวในช่วงไตรมาสแรก แต่ไอดีซีชี้ให้เห็นว่า รายได้ของซัมซุงที่เผยแพร่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีกำไรเพียง 6.2 ล้านล้านวอน หรือราว 5,300 ล้านดอลลาร์ ลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 14 เปอร์เซ็นต์ แต่ไอดีซีคาดว่า ซัมซุง น่าจะทำยอดขายได้ดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ทั้งจากการวางตลาด กาแล็คซี่ เอส 10 รุ่นที่รองรับ 5 จี ซึ่งในเวลานี้วางจำหน่ายเฉพาะในประเทศเกาหลีใต้ แต่จะขยายไปยังสหรัฐอเมริกาในอีกไม่ช้าไม่นาน เพราะมีการเปิดรับ “พรีออร์เดอร์” ที่นั่นกันแล้ว รวมถึงการวางขายอย่างจริง ๆ จัง ๆ ของกาแล็คซี่ โฟลด์ ที่ต้องชะลอออกไปอยู่ในเวลานี้ ผู้ผลิตรายใหญ่ที่ย่ำแย่ที่สุดจากตัวเลขการสำรวจของไอดีซีก็คือ แอปเปิล อิงก์ ที่แม้จะยังครองตลาดสมาร์ทโฟนเป็นอันดับ 3 อยู่ แต่มาร์เก็ตแชร์ก็หดเล็กลงมาจาก 15.7 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 11.7 เปอร์เซ็นต์ ยอดชิปเมนต์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 ลดลงมาอยู่ที่ 36.4 ล้านเครื่อง ซึ่งเมื่อเทียบกับในช่วงไตรมาสเดียวกันนี้ของปีที่แล้ว ซึ่งทำยอดไว้ได้สูงถึง 52.2 ล้านเครื่องก็เท่ากับว่า ยอดหายไปมหาศาลถึง 30.2 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ตัวเลขของไอดีซีแสดงให้เห็นว่า ในเวลานี้ผู้ผลิตจะมุ่งโฟกัสอยู่ที่พรีเมี่ยมสมาร์ทโฟนเพียงอย่างเดียวเห็นทีจะลำบากมากขึ้น เพราะตลาดพรีเมี่ยมแข่งขันกันสูงมากและยิ่งนับวันจะยิ่งยากมากขึ้นที่ผู้ผลิตจะหาหนทางทำให้สมาร์ทโฟนของตนเองโดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ เมื่อผสมกับข้อเท็จจริงที่ว่า ราคาพรีเมี่ยมสมาร์ทโฟนแต่ละค่ายขยับขยายปรับตัวสูงขึ้นทุก ๆ ปี ก็ทำให้ผู้บริโภคต้องตัดใจ ถือสมาร์ทโฟนในมือไว้นานขึ้นกว่าเดิม แทนที่จะเปลี่ยนใหม่ทุกปี หรือไม่อย่างนั้นก็หันไปหาสมาร์ทโฟนระดับรองลงมา ในช่วงมิดเรนจ์แทน ข้อสรุปที่ว่านี้ สอดคล้องกับความเห็นของ “รูท พอแรท” ซีอีโอของกูเกิล ที่ยอมรับเมื่อไม่นานมานี้ว่า ยอดขายพิกเซล 3 พรีเมี่ยมสมาร์ทโฟนของกูเกิล ลดลงมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพราะ “แรงกดดันเมื่อเร็ว ๆ นี้ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยม” และเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุให้กูเกิลเตรียมวางจำหน่าย “มิดเรนจ์” สมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาในไลน์ของพิกเซล อาทิ พิกเซล 3 เอ และพิกเซล 3 เอ เอ็กซ์แอล ในเร็ว ๆ นี้ ตัวอย่างของความสำเร็จจากหัวเว่ย ที่อาศัยมิดเรนจ์ และโลว์เอนด์สมาร์ทโฟน เข้ามาชดเชยยอดขายในเซ็กเมนต์พรีเมี่ยมที่ขาดหายไป ทำให้หลาย ๆ แบรนด์ เริ่มขยับตัวออกมาในแนวนี้แล้วเช่นกัน นอกจากพิกเซล 3 เอ ที่ว่าแล้ว ซัมซุงเองก็เริ่มเน้นให้ความสำคัญกับสมาร์ทโฟนกาแล็คซี่ เอ ของตนเองมากขึ้นเช่นเดียวกัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-325217

จำนวนผู้อ่าน: 1863

10 พฤษภาคม 2019

อัดฉีดสายสีแดงรอบที่ 5 รถไฟสร้างบานตะไท 6 ปี ทะลุแสนล้าน

คอลัมน์ เวนคืนอัพเดต ไม่ใช่แค่สร้างกันมาราธอนอย่างเดียว ล่าสุด กลายเป็นโปรเจ็กต์ที่ทุบสถิติขอเพิ่มงบประมาณก่อสร้างบ่อยที่สุดถึง 5 ครั้ง สำหรับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วง “บางซื่อ-รังสิต” ระยะทาง 26 กม. มี “ร.ฟ.ท.การรถไฟแห่งประเทศไทย” เป็นผู้ดำเนินการ ค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นมีหลายสาเหตุ ย้อนไป ครั้งแรกเมื่อปี 2552 เพิ่ม 15,660 ล้านบาท จาก 59,888 ล้านบาท เป็น 75,548 ล้านบาท หลังแบบก่อสร้างฉบับเดิมที่บริษัทที่ปรึกษาคำนวณไว้ไม่สอดคล้องกับต้นทุนในขณะนั้น ถัดมาปี 2555 ขยับเพิ่มเป็นครั้งที่ 2 อยู่ที่ 80,375 ล้านบาท เนื่องจากผู้รับเหมาเสนอราคาประมูลทั้ง 3 สัญญา เกินจากกรอบราคากลาง ทำให้ “ร.ฟ.ท.” ขอขยายกรอบวงเงินเพิ่ม 4,827 ล้านบาท ครั้งที่ 3 ในปี 2558 ขอเพิ่ม 8,104 ล้านบาท หลังปรับแบบก่อสร้าง “สถานีกลางบางซื่อ” ส่วนของชานชาลาสถานีและโครงการทางให้รองรับกับรถไฟความเร็วสูง และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ในอนาคต ทำให้ค่าก่อสร้างเพิ่มอยู่ที่ 88,479 ล้านบาท ครั้งที่ 4 ในปี 2559 เกิดจากผลเจรจาประมูลสัญญาที่ 3 กับกลุ่มร่วมค้า MHSC (มิตซูบิชิ เฮฟวี่-ฮิตาชิ-สุมิโตโม) ผู้ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งติดหล่มการประมูลอยู่นานนับปีกว่าจะเคาะราคาสุดท้ายที่ 32,399 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากเดิม 25,656 ล้านบาท อีก 6,743 ล้านบาท ทำให้ค่าก่อสร้างโครงการเพิ่มเป็น 95,222 ล้านบาท ล่าสุด นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า กำลังจะขอเพิ่มอีกเป็นครั้งที่ 5 กว่า 9,000 ล้านบาท ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการ (บอร์ด) ร.ฟ.ท.แล้ว อยู่ระหว่างทำข้อมูลเพิ่มเติมส่งให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาก่อนเสนอ ครม. เพื่อขอขยายกรอบวงเงินเพิ่ม ซึ่งขอเป็นกรอบไว้แต่เวลาเบิกงบประมาณใช้จริงอาจจะไม่ถึงก็ได้ “วงเงินที่เพิ่มมามีหลายส่วน เช่น มีการปรับสร้างรางเพิ่มจาก 3 ราง เป็น 4 ราง ผู้รับเหมาขอค่าชดเชยขยายเวลา ภาษีนำเข้ารถ เป็นต้น” รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างงานโยธาขอค่าชดเชยจากการขยายเวลาก่อสร้าง เนื่องจากโครงการนี้ใช้เงินกู้จากไจก้า (องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น) ในสัญญาระบุให้ผู้รับเหมาเรียกค่าชดเชยได้ หากมีการขยายเวลาก่อสร้าง แยกเป็นสัญญาที่ 1 งานสถานีกลางบางซื่อ และศูนย์ซ่อมบำรุง มีกลุ่มกิจการร่วมค้า SU (บมจ.ซิโน-ไทยฯ และ บมจ.ยูนิคฯ) เป็นผู้ก่อสร้างขอขยายเวลาถึงเดือน พ.ย. 2562 ขอค่าชดเชยประมาณ 3,000 ล้านบาท เพราะมีการรื้อสิ่งปลูกสร้างของ ร.ฟ.ท.ออกจากพื้นที่และปลูกสร้างขึ้นใหม่ขึ้นมาแทน เช่น ย้ายตึกบริการสินค้า เนื่องจากเป็นงานที่ไม่ได้อยู่ในการดำเนินการตั้งแต่แรก และสัญญาที่ 2 งานโครงสร้างทางวิ่งยกระดับและระดับพื้น งานสถานี 8 แห่ง และถนนเลียบทางรถไฟและถนนทางข้าม มี บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ขอขยายถึงเดือน ก.ย. 2562 เนื่องจากติดส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างสกายวอล์ก ขอค่าชยเชยประมาณ 1,000 ล้านบาท เมื่อรวม 5 ครั้งที่สะสมมา เท่ากับรถไฟฟ้าสายสีแดงบางซื่อ-รังสิต ที่ใช้เวลาก่อสร้างมาถึงปีที่ 6 ได้ใช้เงินก่อสร้างรวมกว่า 104,222 ล้านบาท แต่สิ่งที่น่าติดตามต่อไป นั่นคือไทม์ไลน์การเปิดบริการที่ ร.ฟ.ท.ย้ำหมุดหนักหนาจะเปิดในเดือน ม.ค. 2564 จะยังเป็นไปตามเป้าหรือเจอโรคเลื่อน เพราะดูจากที่ของบประมาณเพิ่มแล้ว ไม่รู้ยังมีเนื้องานใหม่งอกขึ้นมาระหว่างทางอีกหรือไม่ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-325213

จำนวนผู้อ่าน: 1841

10 พฤษภาคม 2019

“กสทช.”ย้ำเส้นตายคืนทีวีดิจิทัล ช่องใหญ่ต้นทุนลด-กอดไลเซนส์

“กสทช.” เดินหน้าเคลียร์สิทธิประโยชน์ทีวีดิจิทัล กรณีคืนไลเซนส์ ย้ำเส้นตาย 10 พ.ค. ยื่นเอกสารครบเร็วมีโอกาสได้เงินเยียวยาภายใน 90 วัน พร้อมดึงเงินกองทุน กทปส.จ่ายก่อน “วงใน” ชี้ช่องทีวีที่พอทำกำไรได้ไม่คุ้ม เหตุต้นทุนธุรกิจลดฮวบ เคาะตัวเลขเงินเยียวยาช่องเด็กมีสิทธิได้เกือบ 200 ล้านบาท ช่องข่าว 300-400 ล้านบาท ลุ้น 3-5 รายคืนช่อง   นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ขอให้ผู้ประกอบการช่องทีวีดิจิทัลสบายใจได้ เพราะมีค่ายมือถือมายื่นแสดงควาามจำนงขอรับการจัดสรรคลื่น 700 MHz แล้ว 1 ราย ฉะนั้นมีเงินมาเยียวยาแน่นอน แต่ถึงยังไม่จัดสรรคลื่นก็เบิกเงินค่าชดเชยได้ก่อนเลย โดยใช้เงินกองทุน กทปส. ซึ่งจ่ายให้ได้ทันที เมื่อบอร์ด กสทช.กำหนดวันยุติออกอากาศของแต่ละช่อง คาดว่าจะใช้เวลาอีก 90 วัน หลังวันที่ 10 พ.ค.นี้ และอาจเร็วขึ้นได้อีก หากช่องที่ขอคืนยื่นเอกสารมาครบ ส่วนที่มีข้อทักท้วงว่า กสทช.จ่ายค่าเยียวยาให้ทีวีดิจิทัลมากไปนั้น ยืนยันว่า การได้ช่องคืนมายิ่งได้คลื่นไปประมูลโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นอีก รัฐไม่ได้เสียประโยชน์อะไร คลื่นมีมูลค่าสูงขึ้น ดังนั้นรัฐจึงได้ประโยชน์มากกว่า แถมยังแก้ปัญหาทีวีดิจิทัลด้วย หากมีการคืนช่องมากจนต้องปิดโครงข่ายจะมีการชดเชยผู้ให้บริการด้วย โดยใช้เงินจากการจัดสรรคลื่นมาจ่าย “ช่องที่จะไปต่อต้องจ่ายเงินประมูลงวด 4 ตามประกาศประมูลช่องเดิมให้ครบก่อน” ช่องที่กำไร-คืนไม่คุ้ม แหล่งข่าวจากวงการทีวีดิจิทัล เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากเกณฑ์เยียวยาของ กสทช. ที่ประกาศออกมาประเมินว่า หากเป็นช่องทีวีที่ผลประกอบการพอมีกำไรอยู่บ้างอาจไม่คุ้มค่าที่จะคืนช่อง เนื่องจากได้เงินเยียวยาที่คำนวณจะช่วงเวลาไลเซนส์ที่เหลืออยู่ลดลง และหากออกอากาศต่อไปจะมีต้นทุนแค่ค่าคอนเทนต์และค่าบุคลากรเท่านั้น เนื่องจากตามคำสั่ง คสช. จะได้เงินอุดหนุนค่าเช่าโครงข่ายในการออกอากาศภาคพื้นดินและดาวเทียมตลอดอายุใบอนุญาตที่เหลือ แม้ในการชี้แจงและตามประกาศของ กสทช.ครั้งล่าสุดจะยังไม่ระบุว่าช่องที่ไปต่อจะได้รับเงินอุดหนุนใดเพิ่มหรือไม่ แต่ตามคำสั่ง คสช.ข้อที่ 2 ระบุให้เป็นอำนาจของเลขาธิการ กสทช.วินิจฉัยได้ เท่าที่เลขาธิการ กสทช.ระบุคือ อย่างน้อยไม่ต้องจ่ายเงินค่าประมูลในงวดที่ 5 และ 6 ตามเกณฑ์ประมูลเดิม “เท่ากับช่องเด็กและครอบครัวไม่ต้องจ่ายเงินประมูลอีกราว 110 ล้านบาท ช่องข่าวเกือบ 200 ล้านบาท ช่องวาไรตี้เกือบ 800 ล้านบาท แต่ถ้าตัดสินใจคืนช่อง เท่าที่คำนวณในส่วนของช่องเด็กน่าจะได้เงินเยียวยาเกือบ 200 ล้านบาท ส่วนช่องข่าวจะได้ราว 300-400 ล้านบาท ส่วนช่องวาไรตี้ ถ้าเป็นช่อง HD ความคมชัดสูงน่าจะไม่มีคนคืน เพราะส่วนใหญ่เริ่มตั้งหลักได้แล้ว ส่วนช่อง SD ความคมชัดปกติ หากคืนอาจได้ราว ๆ 500-600 กว่าล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่าที่ผ่านมาขาดทุนมากน้อยแค่ไหน ยิ่งขาดทุนมากก็ยิ่งได้คืนมาก” ช่องเด็กดีรอลุ้นเงินคืน ด้านนายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านคอนเทนต์และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ข้อมูลที่ กสทช.ชี้แจงยังเน้นที่ช่องที่ต้องการขอคืนใบอนุญาต ขณะที่ช่องที่ต้องการทำธุรกิจต่ออย่างกลุ่มทรูยังเดินหน้ากลยุทธ์เดิมที่มุ่งใช้ช่องทางสื่อภายในมือเพื่อซินเนอร์ยีกับธุรกิจทั้งเครือ แหล่งข่าวช่องทีวีดิจิทัลอีกรายระบุว่า ช่องทีวีที่ต้องการทำธุรกิจต่อยังต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับรายละเอียดในการจ่ายเงินงวดที่เหลือ เนื่องจากมีบางส่วนที่ไม่ได้ใช้สิทธิขยายงวดจ่ายเงินตามคำสั่ง คสช.ก่อนหน้านี้ เท่ากับได้จ่ายเงินบางส่วนไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งไม่ชัดเจนว่าจะได้รับเงินส่วนนี้คืนเมื่อใด รวมถึงแบงก์การันตีที่วางไว้ต่างจากผู้คืนช่องที่ชัดเจนแล้วว่า น่าจะได้เงินเยียวยาราวเดือน ส.ค.นี้ “กลายเป็นว่าคนที่จะทำธุรกิจต่อ งงและสับสนกว่าคนที่จะเลิกอีก แถมมีแววจะได้เงินคืนช้ากว่าด้วย” ไม่กระทบเม็ดเงินโฆษณา แหล่งข่าวทีวีดิจิทัลอีกรายกล่าวว่า คาดว่าจะมีช่องทีวีคืน 2-3 ช่อง และไม่ส่งผลกระทบกับช่องที่เหลือมากนัก เพราะส่วนใหญ่มีเรตติ้งน้อย และมักได้เม็ดเงินโฆษณาไม่มากอยู่แล้ว จึงไม่มีผลทำให้ช่องที่เหลือได้โฆษณาหรือมียอดผู้ชมมากขึ้น กองทุนพร้อมจ่ายเยียวยา ด้านแหล่งข่าวจากสำนักงาน กสทช. เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทปส.) ยังมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ประกอบการที่จะคืนช่องก่อนได้เงินจากการจัดสรรคลื่น 700 MHz แม้ยังมีภาระผูกพันต้องเบิกจ่ายเงินในโครงการเน็ตชายขอบและเน็ตประชารัฐเฟสใหม่ แต่ถ้ามีการคืนจำนวนมาก และแต่ละช่องมียอดเงินเยียวยามากกว่า 400 ล้านบาท ก็อาจมีบางส่วนต้องรอให้จัดสรรคลื่น 700 MHz ก่อน คาดคืน 5 ช่อง นายสมชาย รังษีธนานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบรท์ทีวี จำกัด ผู้บริหารช่องไบรท์ทีวี กล่าวถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลว่า ตอนนี้มีความเป็นไปได้ทั้งสองส่วน คือ คืนและไม่คืนช่อง โดยกลุ่มที่จะคืนคาดว่าจะมีแค่ 5 ช่อง เนื่องจากค่าชดเชยที่จะได้ก็ค่อนข้างจูงใจ เช่น ถ้าคิดแล้วได้ชดเชย 200-300 ล้านบาท เท่ากับไม่มีต้นทุนค่าคอนเทนต์และบริหารจัดการต่าง ๆ และมีเงินเหลือ แต่ถ้าเดินต่อตลอดอายุใบอนุญาตที่เหลืออีก 10 ปี ก็อาจมีรายได้น้อยกว่าเงินชดเชยที่ได้ เนื่องจากเม็ดเงินโฆษณายังกระจุกตัวอยู่ที่ 10 ช่องใหญ่ “ถ้าท้ายที่สุดแล้ว มีผู้ประกอบการหลายรายคืนช่องและเหลือผู้เล่นแค่ 12-15 ช่อง จาก 22 ช่อง จะสร้างสมดุลให้ตลาดโฆษณา เพราะที่ผ่านมาเม็ดเงินส่วนนี้ก็ไม่ได้โตขึ้น” อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงที่จะอยู่ครบทั้ง 22 ช่อง เพราะจากนี้ไปจะไม่มีต้นทุนด้านโครงข่ายและใบอนุญาต ซึ่งที่ผ่านมาหลายช่องมีโมเดลในการหารายได้อยู่แล้ว และในส่วนไบรท์ทีวี นายสมชายย้ำว่า ยังให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ว่าจะคืนหรือไม่คืนช่อง ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งสองแนวทาง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับมติของบอร์ดบริหาร “ตอนนี้ไบรท์ทีวีขาดทุนสะสมอยู่ประมาณ 700 ล้านบาท แต่แนวโน้มของรายได้ตั้งแต่ปี 2557-2561 โตขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะรายได้จากช่องทางออนไลน์” นายสมชายขยายความต่อว่า กรณีถ้าคืนช่อง บริษัทพร้อมนำคอนเทนต์ไปออกอากาศบนออนไลน์ทันที เพราะทุกวันนี้ในแง่รายได้และจำนวนคนดูจากช่องทางนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามเทรนด์ของตลาด อีกทั้งยังคาดว่าจะได้ค่าชดเชยคืนจาก กสทช.อีกประมาณ 400 ล้านบาท แต่ถ้าไม่คืนก็สามารถเดินต่อได้เช่นกัน เพราะเท่ากับไม่มีต้นทุนค่าโครงข่าย และใบอนุญาต ซึ่งไบรท์ทีวีจะเหลือแค่ต้นทุนจากการผลิตคอนเทนต์เอง และจากการจ้างพนักงานอีก 7-8 ล้านบาทต่อเดือนเท่านั้น และไม่มีต้นทุนจากการซื้อคอนเทนต์ “บีอีซี” ทบทวนแผนคืนช่อง นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารช่อง 33 เอชดี ช่อง 28 เอสดี และช่อง 13 แฟมิลี่ กล่าวว่า คงต้องกลับไปพิจารณารายละเอียดจากหลักเกณฑ์ที่ได้จาก กสทช.อีกครั้ง แต่บริษัทจะคืนหรือไม่คืนช่องไม่ส่งผลต่อแผนธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายอริยะให้ข้อมูลว่า หากบริษัทไม่คืนช่องก็สามารถเดินหน้าต่อได้ เพราะ กสทช.จะช่วยจ่ายค่าโครงข่ายให้ตลอดอายุใบอนุญาตที่เหลืออีก 9 ปี 6 เดือน และไม่ต้องจ่ายค่างวดที่เหลืออีก 2 งวด เท่ากับว่าประหยัดเงินลงทุนได้อีก 2,000 กว่าล้านบาท คิดหนัก คุ้มไม่คุ้ม ด้านนายปารเมศ เหตระกูล กรรมการ บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด ผู้บริหารช่องนิวส์ทีวี กล่าวว่า ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าจะคืนหรือไม่คืนช่อง เนื่องจากต้องรอประชุมบอร์ดบริหารก่อน โดยนำหลักเกณฑ์ที่ กสทช.ชี้แจงในการพิจารณาอีกครั้ง เช่นเดียวกับ นายธนะชัย วงศ์ทองศรี รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานสนับสนุนองค์กร บมจ.อสมท ผู้บริหารช่องเอ็มคอท 30 เอชดี และช่อง 14 แฟมิลี่ กล่าวสั้น ๆ ว่า ยังให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ เนื่องจากต้องรอมติจากที่ประชุมบอร์ดบริหาร แต่ในแต่ละปีใช้เงินลงทุนกับช่อง 14 แฟมิลี่ไม่สูงมากนัก คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่.. ป๋าจัดให้! ประเมินตัวเลขเยียวยา “คืนช่อง” ทีวีดิจิทัล “กสทช.” พร้อมจ่าย ส.ค. นี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-325020

จำนวนผู้อ่าน: 1964

10 พฤษภาคม 2019

ลูกจ้างรอเก้อ ! เลื่อนถกค่าจ้างขั้นต่ำไม่มีกำหนด เหตุ’รมต.-ปลัดแรงงาน’ลาออก

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า หลังจากที่  พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อไปเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยใบลาออกจะมีผลในวันที่ 9 พ.ค.62 นี้ ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ยังได้มีการทาบทาม “นายจรินทร์ จักกะพาก” ปลัดกระทรวงแรงงาน ลาออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน เพื่อไปเป็น ส.ว. เช่นกัน จึงทำให้หน้าที่ในการดูแลกระทรวงแรงงานตกไปอยู่กับ “นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล” รองปลัดกระทรวงแรงงานที่มีอาวุโสสูงสุด ที่จะรักษาการปลัดกระทรวงแรงงานไปก่อน จนกว่าจะมีรัฐมนตรีใหม่เข้ามา อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อปลัดกระทรวงแรงงานลาออกจากตำแหน่ง จึงทำให้การประชุมบอร์ดค่าจ้างกลางที่กำหนดจัดการประชุม เพื่อพิจารณาวาระการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในวันที่ 10 พ.ค. 62 จำเป็นต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีรัฐมนตรี และปลัดคนใหม่ “การปรับขึ้นค่าจ้างขึ้นต่ำถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของกระทรวงแรงงาน และเมื่อปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานบอร์ดค่าจ้างกลางลาออก จึงทำให้การประชุมพิจารณาการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่อนุกรรมการวิชาการเสนอมานั้น ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด” สำหรับตัวเลขอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะอนุกรรมการวิชาการได้เสนอมายังบอร์ดค่าจ้างกลางนั้น ประกอบด้วย อัตรา 2-10บาท/ วัน ตามที่คณะกรรมการค่าจ้างจังหวัด ทั้ง 31 จังหวัดเสนอ ขณะที่อีก 46 จังหวัดที่คณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดไม่เสนอปรับขึ้นค่าจ้างให้ปรับขึ้นในอัตรา 2 บาท/วัน โดยจังหวัดที่ได้รับการเสนอให้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดที่ 10 บาท/วัน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และภูเก็ต ปรับขึ้น 7 บาท/วัน ได้แก่ สมุทรปราการ ส่วนชลบุรี, ระยอง ให้ปรับขึ้น 5 บาทอีกด้วย   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-325028

จำนวนผู้อ่าน: 1888

10 พฤษภาคม 2019

รับเหมาจีนยึดหัวหาดไฮสปีดสายอีสาน หั่นค่าระบบ-แท็กทีมรายกลางดัมพ์ราคาแข่งบิ๊กเนม

สนามประมูลรถไฟไทย-จีน “กทม.-โคราช”เดือด งานโยธา 1.2 แสนล้าน แบ่งสร้าง 14 สัญญา จับตารับเหมาจีนผนึกรายกลาง ปาดหน้าขาใหญ่ ดัมพ์ราคา 13-20%ปักหมุดพื้นที่ “ดอนเมือง-นวนคร-บ้านโพ” คมนาคมเจรจาค่าระบบเหลือ 50,600 ล้านบาท หลังจีนหั่นค่าขบวนรถรุ่นใหม่ จาก 1,200 ล้าน/คัน เหลือ 1,166 ล้าน/คัน พร้อมรื้อรูปแบบก่อสร้างบางพื้นที่จากหินโรยทางเป็นคอนกรีต หวั่นเงินลงทุนเกินกรอบ 1.79 แสนล้าน แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. วงเงิน 179,413 ล้านบาท โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน เฉพาะงานก่อสร้างแบ่ง 14 สัญญา วงเงิน 120,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้หมดทั้งโครงการภายในเดือน ก.ย.-ต.ค.2562 นี้ ตามแผนจะเสร็จในปี 2565 ขยับจากเดิมปี 2564 รับเหมาจีนผนึกรายกลาง ขณะนี้กำลังก่อสร้างสัญญาแรกช่วงสถานีกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กม. ซึ่งกรมทางหลวงเป็นผู้ก่อสร้าง มีความคืบหน้า 48% มีกำหนดแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.นี้ จากนั้นเมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมาได้แจ้งเริ่มงานสัญญา 2 ระยะทาง 11 กม. ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก เซ็นสัญญาไปแล้วมีบริษัท ซีวิลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง วงเงิน 3,115 ล้านบาท นอกจากนี้กำลังรออนุมัติผลประมูล 2 สัญญา ได้แก่ ช่วงนวนคร-บ้านโพ ระยะทาง 23 กม. ราคากลาง 13,293 ล้านบาท มีกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท ไชน่าสเตทคอนสตรัคชั่น เอ็นจิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด, บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดอยู่ที่ 11,525 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 1,768 ล้านบาทหรือ 13.30% ส่วนสัญญาช่วงดอนเมือง-นวนคร ระยะทาง 21.80 กม. ราคากลาง 10,917 ล้านบาท มีกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท ซิโนไฮโดร จำกัด บริษัท สหการวิศวกร จำกัด และบริษัท ทิพากร จำกัด เสนอราคาต่ำสุด 8,626 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 2,291 ล้านบาทหรือ 20.98% จับตายื่น 3 สัญญา 14 พ.ค.นี้ “วันที่ 14 พ.ค.นี้ จะเปิดยื่นซอง 3 สัญญา รวมระยะทาง 99.26 กม. วงเงินรวม 33,958 ล้านบาท มีช่วงแก่งคอย-กลางดง และปางอโศก-บ้านม้า ระยะทาง 30.21 กม. เงินลงทุน 11,063 ล้านบาท, ช่วงลำตะคอง-สีคิ้ว และกุดจิก-โคกกรวด ระยะทาง 37.45 กม. เงินลงทุน 11,655 ล้านบาท และช่วงพระแก้ว-สระบุรี ระยะทาง 31.60 กม. เงินลงทุน 11,240 ล้านบาท ขณะนี้กำลังขายซองทีโออาร์ถึงวันที่ 13 พ.ค. คาดว่าจะได้ผู้รับเหมาก่อสร้างในเดือนมิ.ย.เริ่มงานก่อสร้างก.ค.นี้” แหล่งข่าวกล่าวและว่าอีก 7 สัญญาที่เหลืออยู่ระหว่างปรับรายละเอียดและจัดทำราคากลางร่วมกับจีน จะประกาศทีโออาร์ พ.ค. และยื่นซองประมูลก่อน 6 สัญญาประมาณเดือนมิ.ย.-ก.ค.นี้ ค่าก่อสร้างเฉลี่ยสัญญาละ 10,000 กว่าล้านบาท ได้แก่ 1.อุโมงค์ช่วงมวกเหล็ก-ลำตะคอง 2.ช่วงบ้านบันไดม้า-ลำตะคอง 3.ช่วงโคกกรวด-นครราชสีมา 4.งานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย 5.ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว และ 6.ช่วงสระบุรี-แก่งคอย ส่วนช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง รอความชัดเจนของรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)ที่กลุ่มซี.พี.และพันธมิตรเป็นผู้ชนะประมูลก่อสร้างโครงการ เนื่องจากมีพื้นที่ทับซ้อนกัน งานระบบลดเหลือ 5.06 หมื่นล้าน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รายงานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมาถึงผลการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 25-27 เม.ย.2562 ณ กรุงปักกิ่งประเทศจีนให้ ครม.รับทราบ หลังจากมีการเจรจาหารือข้อตกลงโครงการความร่วมมือ ด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ในร่างสัญญา 2.3 งานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและฝึกอบรมบุคลากร ล่าสุด กรอบวงเงินเพิ่มขึ้นจาก ครม.อนุมัติ 38,588 ล้านบาท เนื่องจากมีการนำวงเงินในส่วนของเครื่องจักรกลบำรุงทางวงเงิน 7,000 ล้านบาท จากเดิมรวมอยู่ในงานโยธามารวมไวัในสัญญา 2.3 ด้วย รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนรถไฟความเร็วสูง เป็นรถรุ่นใหม่ “ฟู่ซิ่งเฮ่า” มีเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น และปรับการก่อสร้างโครงสร้างทางรถไฟแบบไม่ใช่หินโรยทางจึงทำให้ต้นทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้น จึงทำให้กรอบวงเงินเพิ่มเป็น 51,000 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายไทยตั้งเป้าจะเจรจาจีนให้ลดราคาลงมาอยู่ที่ประมาณ 50,000 ล้านบาท แต่สามารถเจรจาลดกรอบวงเงินเหลือ 50,600 ล้านบาท รวมทั้งการพิจารณาเงื่อนไขในข้อสัญญาทั้ง 21 ข้อ โดยมี 3 ข้อที่ขอให้คณะกรรมการ (บอร์ด) ร.ฟ.ท. พิจารณาเงื่อนไขสัญญา นอกจากนี้ยังมีการลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOC) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟ ระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์ เพื่อผลักดันไปสู่การเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟ ทั้ง 3 ประเทศ โดยมีขนาดทางรถไฟ 1 เมตร และขนาด 1.435 เมตรอีกด้วย จีนหั่นค่าขบวนรถให้ 200 ล้าน รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับวงเงินที่จีนปรับลดให้ฝ่ายไทยในสัญญาที่ 2.3 จำนวน 400 ล้านบาท แยกเป็นในส่วนของตัวรถจำนวน 6 ขบวน ๆ ละ 8 ตู้ รวม 48 ตู้ ที่จีนยอมลดราคาให้ 200 ล้านบาท จาก 7,200 ล้านบาท เหลือ 7,000 ล้านบาท หรือจากขบวนละ 1,200 ล้านบาท เหลือ 1,166.66 ล้านบาท อีก 200 ล้านบาท เป็นค่างานในส่วนอื่น ๆ ทั้งนี้วงเงินที่เกินจากที่ครม.อนุมัติไว้จาก 38,588 ล้านบาท เป็น 50,600 ล้านบาท จะรายงานให้ ครม.รับทราบถึงข้อเท็จจริงว่าเพิ่มขึ้นจากสาเหตุอะไร และมั่นใจว่าจะไม่ทำให้วงเงินลงทุนทั้งโครงการเพิ่มขึ้น เนื่องจากการประมูลงานโยธายังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งจากผลการประมูลที่ผ่านมามีการแข่งขันสูง น่าจะทำให้เงินลงทุนทั้งโครงการอยู่ในกรอบ แต่หากว่าเกินจะขอ ครม.ขยายกรอบวงเงินเพิ่มต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-324975

จำนวนผู้อ่าน: 1959

10 พฤษภาคม 2019

“เคาน์เตอร์ทัวร์” ใต้ปิดตัวระนาว “มาเลย์-สิงคโปร์” แห่จองผ่านเว็บ OTA

ดิจิทัลดิสรัปชั่นทำพิษธุรกิจ SMEs “ทัวร์ตั้งโต๊ะ” หาดใหญ่ใกล้อวสาน ลูกค้ามาเลย์-สิงคโปร์ทยอยเลิกใช้บริการ หันจองห้องพักออนไลน์ผ่านเว็บต่างชาติ ค่าบริการถูกกว่า แถมเจอมรสุมเศรษฐกิจมาเลเซียซบเซา เจ้าหน้ารัฐไทย-มาเลย์ออกมาตรการตรวจเข้มธุรกิจสีเทาด่านพรมแดน ทำเม็ดเงินนอกระบบชะงัก กระทบธุรกิจท่องเที่ยวทั้งระบบ คาด 5 ปีทัวร์รายย่อยยุติกิจการ นายสุรินทร์ นกแก้ว เจ้าของสุรินทร์ทัวร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการธุรกิจทัวร์กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการลดลง โดยเฉพาะผู้ประกอบการทัวร์รายเล็กรายย่อยใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หลายรายมีผลประกอบการขาดทุน และได้ทยอยปิดกิจการลง รวมถึงกิจการของสุรินทร์ทัวร์เอง ได้ยกเลิกประกอบกิจการไปเมื่อเดือนมีนาคม 2562 เนื่องจากปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ ซึ่งเป็นลูกค้าหลักที่เคยใช้บริการ 70-80% ได้เปลี่ยนแปลงการใช้บริการเหลือเพียง 20% โดยหันไปใช้บริการจองโรงแรมผ่านเว็บไซต์ของบริษัทผู้ให้บริการสำรองห้องพักทางออนไลน์ของบริษัทต่างประเทศ (OTA) และจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้บริการทัวร์ไทย “ปัจจุบันการเดินทางมาท่องเที่ยวของลูกค้าต่างชาติเปลี่ยนแปลงไป ลูกค้านิยมหันไปใช้บริการสั่งจองผ่านเว็บไซต์ของบริษัทต่างประเทศ และบางครั้งนักท่องเที่ยว โทร.ตรงเพื่อสั่งจองเองจะได้ราคาถูกกว่าการจองผ่านบริษัททัวร์ ประมาณ 20-30% อีกทั้งเว็บไซต์ของบริษัทต่างประเทศยังมีอำนาจต่อรอง สั่งจองตามจำนวนที่ต้องการได้ นอกจากนี้ มาตรการของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งการนำเที่ยว เรื่องรถบริการผิดประเภท เรื่องการประกันการท่องเที่ยว ถือเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการเลิกกิจการไป” นายสุรินทร์กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจการทัวร์ที่อยู่ได้เป็นบริษัททัวร์ระดับมาตรฐาน มีการให้บริการครบวงจรทั้งจัดนำเที่ยวตลาดในประเทศ และธุรกิจจัดนำเที่ยวไปต่างประเทศ โดยมีรถบัสขนาดใหญ่ของตัวเองให้บริการ ทั้งนี้ คาดว่ากิจการทัวร์ขนาดเล็กขนาดย่อยในช่วง 4-5 ปีนี้ คงทยอยปิดตัวหมด “ตอนนี้นอกจากกิจการทัวร์ขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบแล้ว ผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งยอดขายห้องพัก ยอดบริการนักท่องเที่ยว รวมถึงคนที่ทำอาชีพมัคคุเทศก์ก็มีผู้มาใช้บริการน้อยลงตามลำดับ” แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจทัวร์เปิดเผยว่า ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการธุรกิจทัวร์รายเล็กรายย่อยใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เติบโตขึ้นเร็วมาก ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นกว่า 100 ราย โดยลักษณะการให้บริการของบริษัทเหล่านี้จะใช้การเช่าพื้นที่ขนาดเล็กตั้งโต๊ะเปิดรับบริการลูกค้าทั้งขายเป็นแพ็กเกจมีห้องพัก และรถทัวร์พาเที่ยว โดยไม่มีรถบัสเป็นของตัวเอง เมื่อได้ลูกค้าครบตามจำนวนที่ต้องการจะใช้วิธีการไปเช่ารถบัสมาให้บริการนักท่องเที่ยวที่จองทัวร์เข้ามา แต่เมื่อปริมาณนักท่องเที่ยวลดลงจากดิจิทัลดิสรัปชั่น (digital disruption) ที่มีเว็บไซต์ให้บริการสำรองห้องพักทางออนไลน์ เช่น อโกด้า (Agoda) และ Booking.com เป็นต้น มาเปิดให้บริการ และเศรษฐกิจกำลังซื้อของคนมาเลเซียที่ซบเซา ส่งผลกระทบทำให้บริษัททัวร์ขนาดเล็กเหล่านี้ต้องทยอยปิดกิจการลง แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการไทยในมาเลเซียเปิดเผยว่า สาเหตุที่ชาวมาเลเซียเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยลดลง เพราะกำลังซื้อของคนมาเลเซียซบเซาจากหลายปัจจัย ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัฐบาล ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด เช่น นโยบายป้องกันปราบปรามคอร์รัปชั่นและสิ่งผิดกฎหมาย รวมถึงมีการปราบปรามการค้าสินค้าหนีภาษีอย่างหนักตามแนวพรมแดนไทย-มาเลเซีย ทั้งสุรา บุหรี่ และการซื้อขายน้ำมันเถื่อน ส่งผลให้ธุรกิจนอกระบบที่สร้างเม็ดเงินจำนวนมากหดตัวลง ส่งผลต่อกำลังซื้อ รายได้ ทำให้ภาวะเศรษฐกิจชายแดนไทย-มาเลเซียซบเซา “ปัจจุบันรัฐบาลมาเลเซียเองมีหนี้สินสาธารณะมาก ประชาชนรอดูท่าทีระหว่างการเปลี่ยนผ่าน จาก ดร.มหาธีร์ มาเป็น นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรี จะมีทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมาเลเซียไปทิศทางใด” ทางด้านผู้ประกอบการร้านอาหาร อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เปิดเผยว่า จากภาวะธุรกิจสีเทาถูกปราบปรามจับกุมอย่างหนัก ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืน อนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคใต้ ไตรมาสที่ 1 ปี 2562 ด้านการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติมีจำนวนลดลงจากปีก่อนถึง 10% ตามที่นักท่องเที่ยวจีนได้ลดลงต่อเนื่อง โดยยังคงได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นใจในการท่องเที่ยวทางทะเลภาคใต้ พร้อมกับเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัว ส่วนนักท่องเที่ยวมาเลเซียนั้นขยายตัวชะลอลงเช่นกัน หลังจากที่ขยายตัวสูงมากในช่วงก่อนหน้า ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-324952

จำนวนผู้อ่าน: 1817

10 พฤษภาคม 2019

ทุ่มหมื่นล้านปั้นบิ๊กซีลุย CLMV BJC เปิดเกมจับมือตปท.ลงทุนรอบทิศ

บีเจซีโกยรายได้ปี 2561 ทะลุเป้า 1.5 แสนล้านบาท เร่งเพิ่มความหลากหลายสินค้า-นวัตกรรมใหม่รับเทรนด์ลูกค้า เล็งทุ่มงบฯหมื่นล้าน ขยายสาขาบิ๊กซี ปักธงกัมพูชา-ลาว พร้อมเดินหน้าลงทุนตลาดต่างประเทศรองรับการเติบโตต่อเนื่อง นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตขึ้น 5% หรือมีรายได้ประมาณ 156,142 ล้านบาท ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ประมาณ 7,000 บาท โดยแบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีก 70% ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ 14% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 11% และกลุ่มเวชภัณฑ์ 5% เนื่องจากปีที่ผ่านมาบีเจซีได้พัฒนาทุกกลุ่มธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตไปพร้อม ๆ กัน โดยได้เปิดศูนย์กระจายสินค้ามินิบิ๊กซีแห่งใหม่ที่ธัญบุรี เพื่อรองรับการขยายตัวของสาขา รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขนส่งให้มีประสิทธิภาพขึ้น และยังได้เปิดเตาแก้วใหม่ที่จังหวัดสระบุรี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตแก้วเพิ่มขึ้น 400 ตันต่อวัน ซึ่งปัจจุบันกลุ่มบีเจซีเป็นผู้ผลิตแก้วที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 4,000 ตันต่อวัน นอกจากนี้ บริษัทยังต้องหาลูกค้าและหาตลาดใหม่จากต่างประเทศ เพื่อเสนอความหลากหลายของผลิตภัณฑ์แก้วด้วยการพัฒนาคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ มาปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้มีมาตรฐาน และการเข้าไปร่วมมือด้านกำลังการผลิตกับผู้ร่วมทุนในต่างประเทศ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันบีเจซีมีกิจการที่ร่วมทุนในประเทศมาเลเซียกับบริษัทโอเว่น อิลลินอยส์ ในประเทศเวียดนามกับบริษัทโอเว่น อิลลินอยส์ และบริษัทซาเบโก้ ขณะเดียวกัน การแข่งขันในการทำธุรกิจดุเดือดขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจค้าปลีกทั้ง 3 ราย ได้แก่ บิ๊กซี เทสโก้ โลตัส และซีพี ออลล์/แม็คโคร ซึ่งทุกรายมีรูปแบบร้านค้าที่หลากหลาย และมีเครือข่ายทั่วประเทศ ดังนั้น บริษัทจึงพัฒนาแบรนด์บิ๊กซีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้นด้วยการขยายสาขาบิ๊กซีให้ครอบคลุม ได้แก่ บิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 8 สาขา มินิบิ๊กซี 168 สาขา ร้านขายยาเพรียว 5 สาขา รวมถึงบิ๊กซี ฟู้ดเพลซ เป็นร้านค้ารูปแบบใหม่ที่เน้นขายอาหารสด และอาหารพร้อมทาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้ากลุ่มคนเมือง สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2562 บริษัทยังคงเน้นพัฒนาสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น กลุ่มขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มกาโตะ กลุ่มผลไม้บรรจุภัณฑ์ และกลุ่มปาร์ตี้แดรี่ ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันสูงจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย แคมเปญ/โปรโมชั่นลดราคา ส่งผลให้บริษัทต้องทำการตลาดสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้า และเตรียมนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีกลุ่มสินค้าหลากหลาย และเป็นที่ต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมกับปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ หรือตราสินค้าให้ทันสมัยขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งอันดับที่ 2 ของตลาดขนมขบเคี้ยว พร้อมกันนี้ บริษัทมีแผนใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายสาขาบิ๊กซีทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง และกลางปีนี้มีแผนจะเปิดห้างบิ๊กซีในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตที่กัมพูชาและลาว ซึ่งคาดว่าภายใน 5 ปีจะสามารถขยายห้างบิ๊กซีในประเทศซีแอลเอ็มวีได้ไม่ต่ำกว่า 10 สาขา พร้อมทำการตลาดผ่านกลยุทธ์หลัก ได้แก่ มีราคามาตรฐาน บริการลูกค้าด้วยใจ และเข้าใจลูกค้า โดยปัจจุบันบิ๊กซีทุกรูปแบบมีประมาณ 1,500 สาขา แบ่งเป็นในประเทศไทย 1,000 สาขา และต่างประเทศ 500 สาขา ด้านตลาดต่างประเทศ บีเจซีได้สร้างฐานการผลิตอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำในประเทศเวียดนามด้วยการบริหารจัดการเครือข่ายร้านเอ็มเอ็ม เมก้า มาร์เก็ต จำนวน 19 สาขา ซึ่งในอีก 1-2 ปีมีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา ภายใต้งบฯลงทุนเฉลี่ยสาขาละประมาณ 200-300 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ต่อด้วยประเทศกัมพูชา ปัจจุบันได้เดินหน้าหาโอกาสทำธุรกิจการค้าและการลงทุนในกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น โรงงานกระดาษทิสชูเซลล็อกซ์ และน้ำมันปาล์ม ยังต้องขยายธุรกิจทางการค้าและลงทุนในตลาดกัมพูชาต่อไป ส่วนประเทศลาวจะเน้นขยายธุรกิจค้าปลีก ปัจจุบันมีธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อเอ็มพ้อยท์มาร์ทในเวียงจันทน์ และมีแผนพัฒนาสินค้าประเภทกาแฟอราบิก้า ซึ่งเป็นผลผลิตจากไร่กาแฟทางตอนใต้ของ สปป.ลาว เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดกาแฟอีกด้วย รวมถึงประเทศจีนถือว่าเป็นประเทศที่มีภาวะเศรษฐกิจเติบโต ทั้งเรื่องการส่งออกของจีนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น บีเจซีจึงต้องเพิ่มสัดส่วนทางการค้ากับจีนโดยได้จัดตั้งสำนักงานตัวแทนที่เมืองกว่างโจว เพื่อทำการจัดซื้อ จัดหาสินค้าใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพและตรงกับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภค และยังเป็นลู่ทางสำหรับการลงทุนในอนาคต นายอัศวินย้ำว่า เครือข่ายที่กว้างขวางของบีเจซีในภูมิภาคยังเปิดโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย เพื่อแนะนำสินค้าเข้าสู่ตลาดต่างประเทศผ่านการจับคู่ธุรกิจโดยตัวแทนของบริษัทในประเทศนั้น ๆ คาดว่าจะช่วยสร้างโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยเพื่อการขยายตัวเข้าสู่การเติบโตในภูมิภาคอาเซียนได้   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-320837

จำนวนผู้อ่าน: 1941

30 เมษายน 2019

“แกร็บฟู้ด”โตทะลุเดือด 4 เดือนแรกปี’62 ทะลุ 4 ล้านออร์เดอร์ ทุบสถิติปี’61

รายงานข่าวจาก “แกร็บ”(Grab) ผู้ให้บริการซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่าธุรกิจการให้บริการสั่งอาหารแบบออนดีมานด์บนแอปพลิเคชั่นภายใต้ชื่อ แกร็บฟู้ด (GrabFood)มียอดสั่งอาหารกว่า 4 ล้านออเดอร์ภายใน 4 เดือนแรกของปี 2562 แซงหน้าปี 2561 ที่มียอดสั่งอาหารตลอดปี 3 ล้านออเดอร์ โดย “แกร็บฟู้ด”ได้ขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาดด้านสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่นในเดือนตุลาคมปี 2561 ใช้เวลาเพียงแค่ 8 เดือนหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว จากการวิจัยทางการตลาดโดยกันตาร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา “แกร็บฟู้ด”ขึ้นเป็นแพลตฟอร์มการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่นอันดับ 1 ของผู้บริโภคในไทย โดย 44 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคลงคะแนนให้แกร็บฟู้ดเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคนิยมใช้มากที่สุดในประเทศไทย และเป็นแพลตฟอร์มบริการส่งอาหารที่ใช้บ่อยที่สุด หลังจากที่ธุรกิจแกร็บฟู้ดเติบโตอย่างมากในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ “แกร็บฟู้ด”เตรียมขยายการให้บริการอีกอย่างน้อย 6 เมืองทั่วประเทศไทยภายในปี 2562 เพื่อส่งตรงความสะดวกสบายของบริการส่งอาหารให้กับผู้บริโภคไทยให้มากขึ้น โดยเชื่อว่าการร่วมเป็นพันธมิตรกับเซ็นทรัลกรุ๊ป ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกออมนิแชแนลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการขยายบริการของแกร็บฟู้ดยิ่งขึ้น และทำให้สามารถขยายเครือข่ายร้านอาหารไปยังเมืองที่เป็นจุดมุ่งหมายได้อย่างรวดเร็ว นายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในเดือนเมษายน มีผู้สั่งแกร็บฟู้ดมากกว่า 1 ล้านออเดอร์ภายใน 3 อาทิตย์ การที่แกร็บฟู้ดเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้เราสามารถเอาชนะคู่แข่งที่อยู่ในอุตสากรรมการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่นในไทยมานาน ได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ทั้งหมดนี้เกิดจากการสนับสนุนที่แข็งแกร่งของพาร์ทเนอร์ผู้ส่งอาหารและพาร์ทเนอร์ร้านค้า เราจะทำงานหนักขึ้นเพื่อเสริมสร้างโอกาสในการหารายได้ รวมถึงช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจของพาร์ทเนอร์เราเติบโตยิ่งกว่าเดิม”  แกร็บระบุว่า ประโยชน์สำหรับผู้บริโภคในไทยมีดังนี้ จำนวนพาร์ทเนอร์ผู้ส่งอาหารที่มากกว่าทำให้ส่งอาหารได้เร็วกว่า: พาร์ทเนอร์ผู้ส่งอาหารของแกร็บฟู้ดมีรายได้ต่อเดือนเพิ่มขึ้นกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้มีพาร์ทเนอร์มาสมัครให้บริการกับแกร็บฟู้ดเพิ่มขึ้น โดยจำนวนพาร์ทเนอร์ผู้ส่งอาหารของแกร็บฟู้ดเพิ่มขึ้น 55 เท่า นับจากเดือนมกราคม 2561 ถึงเมษายน 2562   พาร์ทเนอร์ร้านค้าที่มากกว่าทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากกว่า: จำนวนพาร์ทเนอร์ร้านค้าของแกร็บฟู้ดเติบโตขึ้น 250 เท่านับจากเดือนมกราคม 2561 ถึงเมษายน 2562 โดยหลังจากที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับแกร็บฟู้ด พาร์ทเนอร์ร้านค้ามีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าต่อเดือน จากการที่แกร็บมีฐานผู้ใช้บริการอย่างกว้างขวาง  นายธรินทร์เสริมว่า “ด้วยเครือข่ายร้านอาหารดังระดับประเทศ ระดับนานาชาติ ไปจนถึงร้านอาหารรายย่อย ทำให้แกร็บฟู้ดสามารถให้บริการส่งตรงอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์โปรดของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทุกความต้องการ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเราถึงขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 และเป็นบริการส่งอาหารออนดีมานด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย” โดยแกร็บฟู้ดให้บริการส่งอาหารจากเครือข่ายร้านอาหารชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น Bon Chon, Pepper Lunch, Tenya, Ootoya,  After You,  Auntie Anne’s, KOI Thé, Dakasi, Kamu รวมถึงร้านสตรีทฟู้ดชื่อดังอย่าง เจ๊ไฝ, ผัดไทยประตูผี, นายเพ้ง ราชาก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่, เจ๊เกียง, รุ่งเรืองก๋วยเตี๋ยวหมู, ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ วัฒนาพานิช, โกอ่าง ข้าวมันไก่ประตูน้ำ แกร็บฟู้ด เปิดให้บริการมากที่สุดหลายพื้นที่ในระดับภูมิภาค และเป็นบริการส่งอาหารเดียวที่มีการดำเนินธุรกิจใน 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยแกร็บฟู้ดตั้งเป้าที่จะเป็นบริการส่งอาหารอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ภายในปีนี้   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-321091

จำนวนผู้อ่าน: 2763

30 เมษายน 2019

กรมอุตุฯยันพายุไซโคลน“ฟานิ” ไม่กระทบไทย คาดขึ้นฝั่งอินเดีย-บังคลาเทศ 2-4 พ.ค.นี้

วันที่ 30 เมษายน 2562 เมื่อเวลา 11.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้าว่า ลักษณะอากาศทั่วไป ภาคใต้จะมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักกับลมกระโชกแรงบางแห่ง สำหรับประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด กับมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบางพื้นที่ ในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากลมกระโชกแรง ควรอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงฟ้าผ่า ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมภาคใต้และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น สำหรับประเทศไทยตอนบนยังคงมีความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุม ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมบริเวณดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในระยะนี้ อนึ่ง พายุไซโคลน “ฟานิ” (FANI) มีศูนย์กลางอยู่บริเวณอ่าวเบงกอล มีแนวโน้มเคลื่อนตัวทางทิศเหนือค่อนตะวันตกเล็กน้อย คาดว่าพายุนี้จะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศอินเดียตอนบนและบังคลาเทศในช่วงวันที่ 2-4 พ.ค. 62 โดยพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย   พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 12:00 วันนี้ ถึง 12:00 วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ อากาศร้อนจัดโดยทั้วไป โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง ส่วนมากบริเวณจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา แพร่ อุตรดิถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ตาก และกำแพงเพชร อุณหภูมิต่ำสุด 24-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 40-43 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศร้อนถึงร้อนจัด โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู หนองคาย บึงกาฬ สกลนครนครพนม มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 38-40 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ภาคกลาง อากาศร้อนถึงร้อนจัด โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง ส่วนมากบริเวณจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ ลพบุรี และสระบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 38-42 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ภาคตะวันออก อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง ส่วนมากบริเวณจังหวัด ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 25-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37-39 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 15-20 กม./ชม. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/

จำนวนผู้อ่าน: 2575

30 เมษายน 2019

“ทรูมูฟเอช”เพิ่มความพร้อมเครือข่ายมือถือเต็มกำลัง รองรับงานพระราชพิธีบรมราชาภิเศก 2-6พ.ค.นี้

รายงานข่าวจากกลุ่มทรู เปิดเผยว่า “ทรูมูฟ เอช”ได้จัดเตรียมความพร้อมด้านการสื่อสารอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ให้แก่ประชาชนที่จะเดินทางมาร่วมงานในช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 โดยได้เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ Wi-Fi และดาต้า ในเขตพื้นที่ตามแนวเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน เพื่อรองรับการใช้งานของพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ที่คาดว่าจะเดินทางมาร่วมเฝ้ารับเสด็จประมาณ 200,000 คน นายจิระชัย คุณากร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านปฏิบัติการโครงข่าย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เพื่อร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และเพื่อร่วมถวายความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ทรูมูฟ เอช ได้เตรียมขยายสัญญาณมือถืออย่างเต็มที่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนชาวไทยที่จะมาร่วมชมพระราชพิธี ในระหว่างวันที่ 2-6 พฤษภาคมนี้ โดยติดตั้งเพิ่มทั้งเสาส่งสัญญาณและอุปกรณ์กระจายสัญญาณ ณ บริเวณพระบรมมหาราชวัง ท้องสนามหลวงโดยรอบ วัดเทพศิรินทราวาส บริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนิน บริเวณเชิงสะพานพุทธ สะพานพระปิ่นเกล้า รวมทั้งจุดรับส่งประชาชนเข้าสู่บริเวณงานพระราชพิธี ตลอดจนเส้นทางขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค โดยเสด็จเลียบพระนครไป 3 วัด ได้แก่ วัดบวรนิเวศวิหาร, วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม นอกจากนี้ ยังกระจายสัญญาณมือถือครอบคลุมไปถึงตลอดเส้นทางที่ริ้วขบวนยาตราผ่านอีกด้วย ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะสามารถรองรับการใช้งานของประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ทั้งการโทรเข้า-ออก การใช้ดาต้าผ่าน 4G+ ได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน” “ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าประชาชนชาวไทย จะสามารถใช้งานมือถือได้อย่างสะดวกตลอดช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ทรูมูฟ เอช ยังมีศูนย์บริหารและจัดการโครงข่ายระดับมาตรฐานโลก (Network Operation Center) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลคุณภาพโครงข่ายให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ในช่วงวันที่ 2-6 พฤษภาคมนี้ ตลอดจนมีทีมเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ 1242 เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงด้วยเช่นกัน” นายจิระชัย กล่าวสรุป   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-321104

จำนวนผู้อ่าน: 1913

30 เมษายน 2019

ผู้ประกันตนฟังทางนี้! ประกันสังคมชี้ตรวจสุขภาพฟรี ได้ทุก รพ. ที่เข้าร่วมโครงการ

“นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ” เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงแรงงาน ในการเพิ่มสิทธิให้ผู้ประกันตนด้านการส่งเสริมและป้องกันโรคว่า สำนักงานประกันสังคมให้ความสำคัญในพัฒนาระบบการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค ให้กับผู้ประกันตนได้เข้าถึงบริการการรักษาที่มีคุณภาพให้มากที่สุด โดยกำหนดให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงและป้องกัน และหากพบความผิดปกติ ผู้ประกันตนจะได้รับการบำบัดตั้งแต่ระยะแรก อาทิ การตรวจเต้านมเพื่อคัดกรองมะเร็งเต้านม, การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด, การตรวจน้ำตาลในเลือด, การตรวจการทำงานของไต, การตรวจไขมันในเส้นเลือดเพื่อหาความเสี่ยงโรคเรื้อรัง, ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน, โรคไขมันในเลือดสูง, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดอุดตันฯลฯ อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการพัฒนาระบบคุณภาพบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคให้กับผู้ประกันตนอย่างทั่วถึง ขณะนี้คณะกรรมการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม ได้ออกประกาศ เรื่อง ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 โดยมีเนื้อหาสาระให้สิทธิผู้ประกันตนที่มีความประสงค์จะตรวจสุขภาพสามารถเข้ารับการตรวจสุขภาพกับสถานพยาบาลที่สมัครเข้าร่วมโครงการตรวจสุขภาพกับสำนักงานประกันสังคม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่งผลให้ผู้ประกันตนมีทางเลือกและมีความสะดวกในการตรวจสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตนที่จะเข้ารับการตรวจสุขภาพตรวจสอบข้อมูลสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการตรวจสุขภาพได้ที่ได้ที่ www.sso.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขาทุกแห่งทั่วประเทศ และที่หมายเลขโทรศัพท์ 1506 (เจ้าหน้าที่ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-320858

จำนวนผู้อ่าน: 1773

30 เมษายน 2019

เช็คเส้นทางปิดถนน40สาย ช่วงงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก2-5พ.ค.นี้

“นอสตร้า แมพ”แอปพลิเคชั่นแผนที่นำทาง จัดทำแผนที่พิเศษ อำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการเดินทางช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 2-5 พ.ค. ใช้ฟรีผ่านแอปเรียลไทม์ 24 ชม. นายวิชัย แสงหิรัญวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลบเทค จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่นแผนที่นำทาง “นอสตร้า แมพ” (NOSTRA MAP) เปิดเผยว่า ในช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่จะมาถึงในวันที่ 4 พฤษภาคมนี้ ได้มีการแจ้งปิดถนน 40 สายในเขตกรุงเทพมหานคร ในช่วงวันที่ 2-5 พฤษภาคม ทางนอสตร้าจึงจัดทำแผนที่พิเศษให้ประชาชนดูรายละเอียดการปิดเส้นทางจราจรผ่านแอปอีกช่องทาง เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางและใช้สำหรับวางแผนการเดินทางในเส้นทางดังกล่าว รวมถึงประชาชนที่หาข้อมูลเส้นทางเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในหลวงรัชกาลที่ 10 โดยการใช้งานแอปแผนที่ใช้ได้ด้วยการกดเลือกชั้นข้อมูล “แผนที่ปิดการจราจรพระราชพิธีบรมราชาภิเษก” หรือเข้าไปที่  https://map.nostramap.com/NostraMap/?layer=RoadClosed ทั้งนี้การปิดการจราจรในแต่ละวันตั้งแต่วันที่ 2 – 5 พ.ค. 2562 จะแตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการเข้าใช้งานและง่ายต่อการเปิดดูแผนที่ นอสตร้าจึงได้ทำข้อมูลการปิดเส้นทางจราจรในแอพพลิเคชัน โดยแยกตามวันที่ ประชาชนที่สนใจแผนที่ สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชันแผนที่ และใช้งานได้ฟรี ในทุกระบบได้แล้วตั้งแต่วันนี้ บน App Store และ Google Play ที่ https://map.nostramap.com/mobile สำหรับรายละเอียดการปิดถนนดังนี้ ในวันที่ 2 พ.ค. 2562 จะทำการปิดการจราจรเตรียมการจัดงานพระราชพิธีฯ พื้นที่ชั้นใน เริ่มปิดการจราจร ตั้งแต่เวลา 00.01น. เป็นต้นไป ในถนน 8 สาย คือ ถนนหน้าพระลาน ตลอดสาย ถนนหน้าพระธาตุ จาก แยกสามเหลี่ยมประตูวิเศษไชยศรี ถึง แยกพระจันทร์ ถนนราชดำเนินใน จากแยกผ่านพิภพ ถึง แยกป้อมเผด็จฯ ถนนสนามไชย จาก แยกป้อมเผด็จ ถึง แยกท้ายวัง (วงเวียน รด.) ถนนหับเผย ถนนหลักเมือง ถนนกัลยาณไมตรี ถึง สะพานช้างโรงสี ซอยสราญรมย์ และจัดการเดินรถทางเดียว 5 สาย ถนนพระจันทร์ จากแยกพระจันทร์ ถึง ท่าพระจันทร์ ถนนมหาราช จากท่าพระจันทร์ ถึง ปากซอยเศรษฐการ ถนนท้ายวัง จากท่าเตียน ถึง แยกท้ายวัง (วงเวียน รด.) ถนนเชตุพน จาก ถนนมหาราช ถึง ถนนสนามไชย และซอยเศรษฐการ จากถนนมหาราช ถึง ถนนสนามไชย วันที่ 3 พ.ค. 2562 จะเริ่มทำการปิดการจราจรเวลา 15.00 น. เป็นต้นไป และเปิดจุดคัดกรองเวลา 06.00 น. โดยจะขยายการปิดการจราจรชั้นในเพิ่มเติมอีก 6 สาย คือ ถนนราชินี จาก แยกผ่านพิภพ ถึง ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า ถนนสนามไชย จาก แยกท้ายวัง ถึง แยกตัดถนนพระพิพิธ ถนนหน้าพระธาตุ ตลอดสาย ถนนพระจันทร์ตลอดสาย ถนนมหาราช จากท่าพระจันทร์ ถึง ปากซอยเศรษฐการ และถนนท้ายวัง วันที่ 4 พ.ค. 2562 จะปิดการจราจรต่อเนื่องจากวันที่ 3 พ.ค. 2562 จนถึงเวลา 24.00 น. และเปิดจุดคัดกรอง 06.00 น. วันที่ 5 พ.ค. 2562 จะขยายการปิดการจราจรเพิ่มเติมอีก 34 สาย คือ ถ.ราชดำเนินนอก จาก แยก จปร. ถึง แยกผ่านฟ้า. ถ.นครสวรรค์ จาก แยกผ่านฟ้า ถึง แยกจักรพรรดิพงษ์ ถ.หลานหลวง จาก แยกผ่านฟ้า ถึง แยกหลานหลวง ถ.มหาไชย จาก  แยกป้อม มหากาฬ ถึง แยกสำราญราษฎร์ ถ.ดินสอ จาก แยก กทม. ถึง แยกวันชาติ ถ.ประชาธิปไตย จาก แยกวันชาติ ถึง แยกวิสุทธิกษัตริย ถ.ตะนาว จาก  วงเวียนสิบสามห้าง  ถึง สี่กั๊กเสาชิงช้า ถ.สิบสามห้าง ถ.ข้าวสาร ถ.รามบุตรี ถ.ตานี ถ.ไกรสีห์ ถ.พระสุเมรุ ถ.สามเสน จากแยก บางขุนพรหม ถึง แยกบางลำพู ถ.จักรพงษ์ สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ถึง แยก ผ่านพิภพ ถ.บุญศิริ จาก ถ.อัษฎางค์ ถึง ถ.บูรณศาสตร์ ถ.ราชบพิธ ถ.บำรุงเมือง จาก สี่กั๊กเสาชิงช้า ถึง แยกศิริพงษ์ ถ.เจริญกรุง จาก สี่กั๊กพระยาศรี ถึง แยกเฉลิมกรุง ถ.บ้านหม้อ จาก สี่กั๊กพระยาศรี ถึง แยกบ้านหม้อ ถ.อัษฎางค์ จาก แยกสะพานมอญ ถึง แยกพระพิทักษ์ ถ.ราชินี จาก แยกผ่านพิภพ ถึง แยกพระพิทักษ์ ถ.พระพิพิธ จาก ถ.สนามไชย ถึง แยกพระพิทักษ์ ถ.พาหุรัด ถ.มหาราช จาก ท่าพระจันทร์ ถึง แยกปากคลองตลาด ถ.ท้ายวัง ถ.เชตุพน ซอยเศรษฐการ สะพานพุทธ ถ.ตรีเพชร ถ.ตีทอง ถนนสะพานพระพุทธยอดฟ้า (ถนนใต้สะพานพุทธยอดฟ้า) ถนนจักรเพชร และจาก ปากคลองตลาด(สะพานเจริญรัช) ถึง ทางร่วมหน้าการไฟฟ้านครหลวง (วัดเลียบ) ทั้งขยายการปิดการจราจรชั้นนอก เพื่อรองรับประชาชนที่มาเข้าร่วมพระราชพิธีฯและรอเฝ้ารับเสด็จในเส้นทางฯ เพิ่มเติมอีก 10 สาย คือ ถ.ราชดำเนินนอก จาก แยกจปร. ถึง แยกพระรูป ร.๕ ถ.ศรีอยุธยา จาก แยก พล.๑ ถึง แยกวัดเบญจ ถ.พิษณุโลก จาก แยกวังแดง ถึง แยกยมราช ถ.ลูกหลวง จาก แยกประชาเกษม ถึง แยกสะพานขาว ถ.กรุงเกษม จาก แยกเทเวศร์ ถึง แยกกษัตริย์ศึก คู่ขนานลอยฟ้า จากทางลงสิรินธร ข้ามสะพานพระราม ๘ ถึง แยกวิสุทธิกษัตริย์ ถ.วิสุทธิกษัตริย์ ตลอดสาย ถ.จักรพรรดิพงษ์ จากแยก จปร. ถึง แยกแม้นศรี ถ.หลานหลวง จาก แยกหลานหลวง ถึง แยกยมราช ถ.นครสวรรค์ จากแยกจักรพรรดิพงษ์ ถึง แยกนางเลิ้ง และจะจัดเดินรถทางเดียว ในถนนสวรรคโลก จาก แยกยมราช ไป แยกเสาวนีย์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-319227

จำนวนผู้อ่าน: 1977

30 เมษายน 2019

คลังแจกสะบัด2.2หมื่นล้าน ซื้อชุดนร.500บ. คนพิการ200บ./ด. แถมอีก1,500บ.ไปเที่ยวเมืองรอง

อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจกระทรวงการคลังกำลังออก คาดว่าจะนำเสนอคณะรัฐมนตี(ครม.) เห็นชอบในวันที่ 30 เมษายนนี้ โดยจะมีทั้งหมด 4-5 มาตรการ คาดว่าจะใช้งบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะเข้ามาช่วยดูแลเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ในช่วงที่รอรัฐบาลชุดใหม่ โดยขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)กำลังดูรายละเอียดของโครงการว่าจะใช้งบประมาณในแต่ละโครงการเท่าใด แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอครม. ประกอบด้วย เติมเงินเข้าไปในบัตรสวัสดิการให้กับกลุ่มคน 3 กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้ปกครองที่มีลูกหลานกำลังเรียนอยู่จะได้รับเงินคนละ 500 บาทต่อบุตร 1 คน ถ้ามีบุตร 3 คน จะได้รับเงินรวม 1,500 บาท เพื่อให้นำเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียน โดยอิงข้อมูลบุตรกำลังศึกษาจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เกษตรกรถือบัตรสวัสดิการและขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับเงินคนละ 1,000 บาทครั้งเดียว คนพิการที่ขึ้นทะเบียนไว้และถือบัตรสวัสดิการรับเงินเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาทไปจนถึงเดือนกันยายน 2562 คาดว่าทั้ง 3 ส่วนนี้ใช้เงินประมาณ 7,000 บ้านบาท   แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ส่วนโครงการเที่ยวเมืองรอง แจกเงินให้คนละ 1,500บาท ผ่านระบบอีเพย์เมนต์เพื่อนำไปใช้จ่ายเที่ยวเมืองรอง โดยคนที่จะได้รับเงินต้องลงทะเบียนก่อน และนำบัตรประชาชน แอคติเวท หรือแสดงตัวตนยังเมืองรองทั้ง 55 จังหวัด เพื่อยืนยันตัวตัวว่าได้ไปจริง หลังจากยืนยันตัวตัวแล้วธนาคารกรุงไทยจะโอนเงินเข้าบัญชีและสามารถกดเป็นเงินสดเพื่อใช้จ่าย หรือนำบัตรไปรูดซื้อสินค้าและบริการยังเมืองรองดังกล่าว คาดว่าจะมีคนมาลงทะเบียนรับแจกเงินเที่ยวเมืองรองดังกล่าว 10 ล้านคน รัฐต้องใช้เงิน 15,000 ล้านบาท ที่มา:มติชนออนไลน์ ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.prachachat.net/finance/news-318673

จำนวนผู้อ่าน: 1834

24 เมษายน 2019

ประกาศเตือนภัย”พายุฤดูร้อน” ฉบับที่ 1 มีผลกระทบตั้งแต่ 26-28 เมษายนนี้

กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือนภัยลักษณะอากาศ ฉบับที่ 1 เรื่อง“พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 26-28 เมษายน 2562)” ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า ในช่วงวันที่ 26-28 เมษายน 2562 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับมีลูกเห็บตกและฟ้าผ่าเกิดขึ้นบางพื้นที่ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก จะเริ่มมีผลกระทบในวันที่ 26 เมษายน 2562 ส่วนภาคเหนือ และภาคกลาง จะได้รับผลกระทบในวันถัดไป จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดนำความชื้นเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในระยะนี้โดยจะเริ่มมีผลกระทบบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกก่อน   จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ประกาศ ณ วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 17.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปใน วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 11.00 น. (ลงชื่อ) ภูเวียง ประคำมินทร์ (นายภูเวียง ประคำมินทร์) อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-318670

จำนวนผู้อ่าน: 1888

24 เมษายน 2019

ทีมโบราณคดีพบซากเรือ ‘กองทัพออสซี่’ ถูกญี่ปุ่นยิง ‘ตอร์ปิโด’ จมทะเลสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

(CSIRO) เมื่อวันที่ 23 เมษายน สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ทีมนักโบราณคดีของออสเตรเลียค้นพบซากเรือ SS Iron Crown ซึ่งเป็นเรือขนส่งขนาดใหญ่ของกองทัพเรือออสเตรเลีย ที่ถูกเรือดำน้ำของกองทัพญี่ปุ่นยิงตอร์ปิโดถล่มในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จมอยู่ใต้ทะเลนอกชายฝั่งรัฐวิกตอเรียของออสเตรเลีย โดยตัวเรือยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งนักโบราณคดีชี้ว่าการค้นพบครั้งนี้ที่มีขึ้น 77 ปีหลังจากเกิดเหตุ ถือเป็นการค้นพบที่สำคัญของประเทศออสเตรเลีย ทีมค้นหาจากพิพิธภัณฑ์ทางทะเลแห่งชาติออสเตรเลียได้พบซากเรือขนส่งลำนี้ที่มีขนาดลำเรือยาว 100 เมตร อยู่ห่างจากชายฝั่งของรัฐวิกตอเรียออกไปราว 100 กิโลเมตร ลึกลงไปในมหาสมุทรจากผิวน้ำราว 700 เมตร โดยซากตัวเรืออยู่ในลักษณะตั้งตรงและดูไม่บุบสลาย การค้นพบเรือขนส่งลำนี้มีขึ้นหลังจากทีมค้นหาได้ใช้อุปกรณ์ค้นหาวัตถุใต้น้ำด้วยคลื่นเสียงและกล้องหย่อนลงไปค้นหาในก้นทะเลและร่างแผนที่ระบุตำแหน่งที่พบซากเรือลำนี้เอาไว้   จากประวัติเรือ SS Iron Crown ของกองทัพเรือออสเตรเลีย ได้ประสบเหตุโจมตีในระหว่างที่กำลังขนสินแร่จากรัฐเซาท์ออสเตรเลียไปยังรัฐนิวเซาท์เวลส์ ในช่วงปี ค.ศ.1942 ก่อนจะถูกเรือดำน้ำของกองทัพญี่ปุ่นยิงโจมตีด้วยตอร์ปิโดจนเรือขนส่งจมหายไปในช่องแคบบาสส์ภายใน 60 วินาที เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ลูกเรือบนเรือลำนี้เสียชีวิต 38 ราย เหลือรอดชีวิตมาได้ 5 คน นายจอร์จ ฟิเชอร์ หนึ่งในลูกเรือที่รอดชีวิตจากเหตุโจมตีครั้งนั้นที่มีอายุมากสุด ซึ่งเสียชีวิตลงแล้วในปี 2012 ได้บอกกับนักประวัติศาสตร์ในปี 2003 ว่าเหตุโจมตีครั้งนั้นเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เศร้าใจที่สุดในชีวิตของเขา อย่างไรก็ดียังไม่มีการเปิดเผยถึงตำแหน่งที่พบซากเรือขนส่งลำนี้ต่อสาธารณชน เนื่องจากทางการต้องการปกป้องพื้นที่พบดังกล่าวเอาไว้ ขณะที่ทางการออสเตรเลียมีแผนที่จะจัดพิธีรำลึกถึงเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นครั้งนั้นด้วย ที่มา มติชนออนไลน์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-318632

จำนวนผู้อ่าน: 1881

24 เมษายน 2019

กต.แจงกรณีคนไทยโดนตม.เกาหลีใต้กักตัวจำนวนมาก

น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวที่ระบุว่ามีคนไทยหลายร้อยคนถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้กักอยู่ที่สนามบินในช่วงวันหยุดเทศกาลที่ผ่านมาว่า กระทรวงได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต(สอท.) ณ กรุงโซล และได้ตรวจสอบข้อมูลกับทางการเกาหลีใต้ทราบว่า ในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ไทยมีคนไทยเดินทางเข้าเกาหลีใต้จำนวนมาก ส่งผลให้มีการปฏิเสธนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศเกาหลีใต้มีหลายสัญชาติไม่ใช่เฉพาะนักท่องเที่ยวไทย ขณะที่ในช่วงปลายเทศกาลสงกรานต์สายการบินต่างๆ มีจำนวนที่นั่งว่างน้อยลงสำหรับให้ผู้ถูกปฏิเสธเข้าเมืองเดินทางกลับ จึงต้องรอในห้องพักที่สนามบินอินชอนจำนวนมาก น.ส.บุษฎีกล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ามีคนไทยที่ตกค้างที่สนามบินยกลำถึง 300 คนนั้น สอท. ณ กรุงโซลรายงานว่าขณะนี้มีผู้โดยสารคนไทยตกค้างอยู่ที่สนามบินอินชอน 54 คน ซึ่งจะบินกลับคืนนี้ 50 คน เหลืออีก 4 คนรอเที่ยวบินกลับต่อไป   โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวอีกว่า การดำเนินมาตรการตรวจจับของฝ่ายเกาหลีใต้เป็นไปตามที่ประกาศไว้กับผู้ที่เดินทางเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายหรือประสงค์จะลักลอบทำงานในเกาหลีใต้โดยผิดกฏหมายอย่างจริงจัง หลังจากมาตรการของเกาหลีใต้ให้ผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเดินทางออกจากเกาหลีใต้โดยสมัครใจและไม่ ต้องรับโทษตามความผิดได้สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา ที่มา มติชนออนไลน์   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-318629

จำนวนผู้อ่าน: 1899

24 เมษายน 2019

ออกกฎคุมธุรกิจค้าไม่แฟร์ ค้าปลีกหนาวเพิ่มบทลงโทษ

รัฐเตรียมคลอดไกด์ไลน์ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง จัดระเบียบแข่งขันเสรี-เป็นธรรม วางบทลงโทษปรับสูงสุด 10% ของรายได้ เร่งประชาพิจารณ์ บังคับใช้ มิ.ย.ก่อนยกร่างฉบับสองคุมแฟรนไชส์ สมาคมผู้ค้าปลีกชี้ยังไม่กระทบ สมาคมข้าวถุงหนุนสุดตัว หลังพบพฤติกรรมเอาเปรียบ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งมูลค่ากว่า 2.5 ล้านล้านบาท มีการขยายตัวและขยายสาขาต่อเนื่อง แต่ก็มักจะมีปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างธุรกิจค้าปลีกค้าส่งประเภทเดียวกัน ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งและซัพพลายเออร์เกิดขึ้น จนกระทั่งมีการ “ร้องเรียน” พฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นเสมอ จนต้องออก พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้าขึ้นมาดูแล ใกล้คลอดไกด์ไลน์คุมค้าปลีก/ส่ง นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ กรรมการการแข่งขันทางการค้า (บอร์ดแข่งขัน) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและโฆษก เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บอร์ดกำลังยกร่าง ประกาศคณะกรรมการแข่งขันเกี่ยวกับแนวทางการพิจารณาการปฏิบัติการค้าที่ไม่เป็นธรรมในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (ไกด์ไลน์) เป็นธุรกิจแรก โดยเป็นไปตาม มาตรา 57 พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 เพื่อเป็นแนวปฏิบัติให้การค้าปลีกและค้าส่งในประเทศเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน ทั้งนี้ มาตรา 57 ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจกระทําการใด ๆ อันเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นในลักษณะดังนี้ (1) กีดกันการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นอย่างไม่เป็นธรรม (2) ใช้อํานาจตลาดหรืออํานาจต่อรองที่เหนือกว่าอย่างไม่เป็นธรรม (3) กําหนดเงื่อนไขทางการค้าอันเป็นการจํากัดหรือขัดขวางการประกอบธุรกิจของผู้อื่น และ (4) กระทําการในลักษณะอื่นตามที่ประกาศกําหนด “ได้เชิญตัวแทนผู้ค้าปลีกและสมาคมที่เกี่ยวข้องมาให้ความเห็นต่อร่างไกด์ไลน์แล้ว เมื่อ 3 เม.ย. 2562 ซึ่งเอกชนก็ยอมรับในไกด์ไลน์ เดิม พ.ร.บ.ฉบับปี 2542 แม้มีไกด์ไลน์ แต่ไม่มีบทลงโทษ เมื่อฉบับใหม่ออก จึงกำหนดโทษทางปกครองสำหรับพฤติกรรมการค้าไม่เป็นธรรมตามมาตรา 57 ให้ปรับไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำผิด โดยหากเป็นความผิดในปีแรกจะปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท” นายสันติชัยกล่าว   ร่างไกด์ไลน์ฉบับนี้ จะครอบคลุมธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทุกประเภท ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้า, ดิสเคานต์สโตร์, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าปลีกเฉพาะสินค้า เช่น ร้านขายยา แต่ไม่รวมสถานีบริการน้ำมัน เนื่องจากมีกฎหมายเฉพาะกำกับอยู่แล้ว ส่วนพฤติกรรมเข้าข่ายการกระทำที่ไม่เป็นธรรมจะพิจารณาใน 3-4 ด้าน อาทิ เป็นการกระทำที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ไม่ใช่การดำเนินการตามธุรกิจปกติ หรือเป็นเงื่อนไขที่มิได้กำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ได้แจ้งให้คู่ค้าทราบล่วงหน้า หรือไม่มีเหตุผลชอบธรรมทางการตลาด หรือด้านเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น ขณะนี้ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น 30 วัน คาดว่าจะประกาศบังคับใช้ได้ภายในมิถุนายนนี้ 8 พฤติกรรมเข้าข่ายไม่เป็นธรรม สำหรับพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมของธุรกิจค้าปลีก จะครอบคลุม 8 ด้าน คือ 1) การกำหนดราคาที่ไม่เป็นธรรม เช่น กดราคารับซื้อต่ำเกินควร 2) การเรียกรับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม เช่น การเรียกค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าธรรมเนียมการวางสินค้า ค่าธรรมเนียมส่วนเพิ่มหรือการขอส่วนลดในวาระพิเศษ ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย และส่วนลดเมื่อซื้อสินค้าได้ตามเป้าหมาย (รีเบต) 3) การคืนสินค้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น กรณีที่ไม่เป็นเหตุบกพร่องของผู้ผลิต การคืนจากกรณีที่สั่งผลิตในปริมาณมาก การปรับปรุงร้านหรือคลังสินค้า รวมถึงกรณีที่ไม่ยอมรับภาระความเสียหายจากการคืนสินค้า 4) การใช้สัญญาการฝากขายที่ไม่เป็นธรรม 5) การบังคับให้ซื้อหรือจ่ายค่าบริการอย่างไม่เป็นธรรม เช่น บังคับให้ซื้อสินค้าบางส่วนหรือทั้งหมด บังคับให้จ่ายค่าโฆษณาส่งเสริมการขาย บังคับให้ซื้อบริการที่เป็นการผลักภาระ 6) การใช้พนักงานของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายอย่างไม่เป็นธรรม เช่น บังคับให้มีพนักงานไปประจำ ณ ที่จำหน่ายของผู้ประกอบการค้าส่งค้าปลีก หรือบังคับให้จ่ายเงินพิเศษกรณีส่งพนักงานไปประจำ โดยไม่มีเหตุผล 7) การปฏิเสธการรับสินค้าที่สั่งซื้อหรือผลิตเป็นพิเศษ (house brand) โดยไม่มีเหตุผล และ 8) การปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น ประวิงเวลาจ่ายสินค้า ลดปริมาณการสั่งซื้อ หยุดหรือไม่ประกอบธุรกิจ หรือถอนสินค้าออกจากชั้นวาง การนำข้อมูลหรือความลับทางการค้าหรือเทคโนโลยีของลูกค้ามาใช้อย่างไม่เป็นธรรม หรือพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การค้าปกติ ออกร่างไกด์ไลน์คุมแฟรนไชส์ต่อ นอกจากนี้ บอร์ดแข่งขันทางการค้ายังเตรียม “ยกร่างไกด์ไลน์ในธุรกิจแฟรนไชส์”ฉบับที่ 2 เนื่องจากมีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น และยังไม่มีกฎหมายเฉพาะกำกับดูแล จึงมักเกิดปัญหาความไม่ยุติธรรมระหว่างเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์และผู้ซื้อแฟรนไชส์ จึงจำเป็นต้องมีแนวทางปฏิบัติดูแลเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจ หากยกร่างแล้วเสร็จก็จะมีการจัดทำประชาพิจารณ์ คาดว่าจะสามารถประกาศไกด์ไลน์ธุรกิจแฟรนไชส์ให้มีผลบังคับใช้ได้ภายในปีนี้ ไม่ทำผิด กม. ไม่มีผลกระทบ ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ได้เข้าร่วมประชุมหารือกับคณะอนุกรรมการและทราบถึงการยกร่างไกด์ไลน์แล้ว โดยมองว่าสาระสำคัญของร่างยังเป็นร่างไกด์ไลน์ค้าปลีกตามกฎหมายแข่งขันทางการค้าฉบับปี 2542 อยู่ แต่ได้นำมาปรับใช้ตามกฎหมายใหม่ แม้ว่าจะมีรายละเอียดและมีความเข้มงวด รวมถึงมี “บทลงโทษ” แต่ทางสมาคมเห็นว่า ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจ หากผู้ประกอบการในธุรกิจค้าปลีกค้าส่งไม่ได้ทำผิดกฎหมายการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ด้านนายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ค้าปลีกไทย มองว่า พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มีจุดประสงค์ต้องการป้องกันการผูกขาดทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และถูกออกแบบมาเพื่อดูแลพฤติกรรมการขายของผู้ประกอบการที่มีทั้งผู้เล่นรายเล็กและรายใหญ่ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่มักจะได้เปรียบคู่แข่งรายที่เล็กกว่า “ผมยกตัวอย่างกรณีการจำหน่ายน้ำมันพืชขวดใหญ่ราคา 20 บาท โดยราคามาตรฐานในตลาดจะอยู่ที่ 30 บาท ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายยอมขาดทุนลดราคา เพื่อสร้างกระแสและดึงดูดลูกค้า ส่งผลให้ผู้ประกอบรายย่อยหรือรายเล็กได้รับผลกระทบในการแข่งขันด้านราคา อย่างนี้ เป็นต้น” ขณะเดียวกัน สิ่งที่ผู้ประกอบการสามารถฟ้องเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ก็ต่อเมื่อได้รับการยินยอมให้เข้าไปจำหน่ายสินค้าในพื้นที่เช่าแล้วจ่ายค่าเช่าพื้นที่ขายในระยะเวลา 3 เดือน แต่แบรนด์สินค้าไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าที่กำหนด ทางบริษัทเจ้าของพื้นที่เช่าจึงมองว่า เสียผลประโยชน์ เลยอยากหาแบรนด์อื่นเข้ามาขายแทนที่ แล้วมีกำหนดให้ออกก่อนสัญญา แสดงถึงพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น ผู้ประกอบการก็สามารถฟ้องได้ แต่เมื่อรัฐบาลได้ออก พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้าออกมาบังคับใช้แล้ว ทุกฝ่ายก็ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้การแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมและเกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคมากที่สุด สมาคมข้าวถุงหนุนสุดตัว ด้าน นายสมเกียรติ มรรคยาธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตข้าวถุงตรามาบุญครอง ในฐานะนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า การออกไกด์ไลน์ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งจะมีส่วนช่วยผู้ผลิตสินค้า (แวนเดอร์) ที่ส่งสินค้าไปจำหน่ายในห้างค้าปลีกค้าส่ง ให้มีช่องทางเลือกในการดำเนินการกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้ไกด์ไลน์ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเชื่อมโยงไปยังสินค้าอื่นที่จำหน่ายในค้าปลีกนั้นด้วย หากสามารถทำได้ เชื่อว่าจะมีผู้ผลิตที่ใช้ช่องทางนี้เรียกร้องความเป็นธรรม โดยที่ผ่านมาสมาชิกสมาคมได้เคยเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการค้าปลีกและผู้ผลิตสินค้ามาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากผู้ค้าข้าวถุงพึ่งพาช่องทางการจำหน่ายผ่านค้าปลีกสูงมาก เช่น มาบุญครอง ส่งข้าวถุงผ่านช่องทางค้าปลีกค้าส่งประมาณ 30-35% “เดิมแวนเดอร์มักประสบปัญหาต่าง ๆ เช่น การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม แต่ไม่มีใครอยากมีปัญหากับผู้ค้าปลีก ค้าส่งหลายรายหันไปจำหน่ายเองผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น แต่สำหรับข้าวถุง ยังต้องพึ่งค้าปลีกเพราะเรื่องโลจิสติกส์ดีกว่าส่งเอง ตอนนี้พฤติกรรมที่เป็นประเด็นมากที่สุดในขณะนี้ คือ การนำสินค้าออกจากชั้นวางจำหน่ายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ไม่ให้เวลาปรับตัว โดยให้เหตุผลว่าสินค้าขายไม่ดี ส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าเดือดร้อนมาก แต่ด้วยความที่มีสินค้าหลายเอสเคยูที่ขายในค้าปลีกก็กลัวจะมีการเชื่อมโยงกันจึงมักไม่ร้องเรียนหากมีไกด์ไลน์ต้องดำเนินการในเชิงป้องกันปัญหาอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-318114

จำนวนผู้อ่าน: 1966

24 เมษายน 2019

18 รายรุมซื้อซองประมูลทางด่วนพระราม3 รับเหมาจีน 5 รายแข่ง ‘ITD-ช.การช่าง-ซิโน-ไทย-ยูนิค’ ปาดเค้ก3หมื่นล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) เปิดขายทีโออาร์ประมูลโครงการทางด่วนสายพระราม3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ในส่วนของงานโยธา จำนวน 4 สัญญา วงเงินรวม 29,154 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม-วันที่ 23 เมษายน 2562 ปรากฎว่ามีผู้รับเหมาไทยและต่างชาติสนใจซื้อทีโออาร์จำนวน 18 ราย แยกเป็นผู้รับเหมาจากจีน 5 ราย ไทย 12 ราย และญี่ปุ่น 1 ราย ได้แก่ 1.บริษัท ไชน่าสเตทคอนสตรัคชั่น เอ็นจิเนียริ่งคอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด จากจีน ซื้อ 4 สัญญา 2.บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)จากไทย ซื้อ 4 สัญญา , 3.บริษัท ซูมิโมโต มิตซุย คอนสตรัค จำกัด จากญี่ปุ่น ซื้อสัญญาที่4 4.บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) จากไทยซื้อสัญญา 1-3   5. บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) จากไทยสัญญา 1-3 6. บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) จากไทยซื้อ7 สัญญา 7.บริษัท ทิพากร จำกัด จากไทย ซื้อสัญญา 1-3 8. บริษัท China Harbour Engineering Company Limited จากจีน ซื้อสัญญาที่1-3 9.บริษัท บุญชัยพาณิชย์ (1979) จำกัด จากไทยซื้อสัญญาที่2 10. บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) จากไทยซื้อ4 สัญญา 11. บริษัท China Gezhouba Group Company Limted จากจีนซื้อ 4 สัญญา 12.บริษัท พี.พี.ดี. คอนสตรัคชั่น จำกัด จากไทย ซื้อสัญญาที่4 13.บริษัท China Railway 11 th Bureau Group Corporaton จากจีนซื้อสัญญาที่2 14. บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด จากไทยซื้อสัญญาที่1และสัญญาที่3 15. บริษัท China Raiway Number 10 Engineering Group Co.,Ltd.จากจีนซื้อสัญญาที่3 16.บริษัท บุรีรัมย์ธงชัยก่อสร้าง จำกัด จากไทยซื้อสัญญาที่2 17.บริษัท อสิตากิจ จำกัด จากไทยซื้อสัญญา1-3 และ18.บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริ่ง จำกัด จากไทย ซื้อสัญาที่3 โดยกทพ.จะเปิดให้ยื่นซองวันที่ 24 เมษายนนี้ จากนั้นวันที่ 25 เมษายน จะเปิดซองคุณสมบัติเบื้องต้น(พีคิว)ของแต่ละรายต่อไป โดยคาดว่าจะได้ผู้ชนะภายในเดือนพฤษภาคมนี้   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-318479

จำนวนผู้อ่าน: 1958

24 เมษายน 2019

ราชกิจจาฯเผยแพร่ประกาศรับรองรุ่นรถ ‘อีซูซุ-โตโยต้า’ ที่สามารถใช้น้ำมันดีเซล บี 20 ได้ (คลิกดูรุ่น-ปีผลิต)

แฟ้มภาพ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกรมธุรกิจพลังงานเรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้   ข้อ ๑ ประกาศนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๒ ให้เพิ่มเติมความตามตารางท้ายประกาศนี้ ในตารางหมายเลข ๒ รถยนต์ที่ผู้ผลิตรถยนต์ รับรองให้สามารถใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี ๒๐ ได้ แนบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนด ลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกาศ ณ วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/motoring/news-318021

จำนวนผู้อ่าน: 1984

24 เมษายน 2019

ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับให้โฮปเวลล์ชนะคดี รัฐชดใช้ 11,888 ล้านพร้อมดอกเบี้ย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 เมษายน ที่ศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุด พิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองกลางให้บังคับคดีโฮปเวลล์ ชนะคดีตาม คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้ภาครัฐจ่าย รวม 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี พร้อมคืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาท ที่ออกโดยธนาคารกรุงเทพ ซึ่งประกอบด้วยเงินที่บริษัทได้ชำระเป็นค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์จากที่ดินของ รฟท. ถึงก่อนวันบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน 2,850 ล้านบาท รวมถึงเงินค่าออกหนังสือค้ำประกัน 38 ล้านบาท และเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับคดีถึงที่สุด คลิกอ่านรายละเอียดคำพิพากษา ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-317741

จำนวนผู้อ่าน: 1975

24 เมษายน 2019

หวั่น “สายสีชมพู” ซ้ำรอยสายสีม่วง ที่ดินพุ่งวาละ 1.2-2.5 แสน

จริงหรือไม่ ทำเลรถไฟฟ้าสายสีชมพูเป็นทำเลอันตรายซ้ำรอยสายสีม่วง “ดร.โสภณ พรโชคชัย” ประธาน บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA นำเสนอรายงาน “ราคาที่ดินรถไฟฟ้าสายสีชมพู : สายอันตราย” สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี มีระยะทาง 34-36 กิโลเมตร เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยวแบบวางคร่อมราง (straddle-beam monorail) ทางวิ่ง ยกระดับความสูง 17 เมตร ตลอดโครงการ มีรางที่ 3 ตีขนานไปกับรางวิ่งสำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับตัวรถ   ตัวรถรุ่น Bombardier Innovia Monorail 300 ขนาดกว้าง 3.147 เมตร ยาว 11.8-13.2 เมตร สูง 4.06 เมตร ความจุ 356 คนต่อตู้ (คำนวณความหนาแน่น 4 คน/ตารางเมตร) มี 42 ขบวน 168 ตู้ ต่อพ่วงแบบ 4 ตู้ต่อขบวน รองรับผู้โดยสาร 24,100 คน/ชั่วโมง/ทิศทาง สถานีมีทั้งหมด 32 สถานี โดยราคาที่ดินต่ำสุดอยู่ที่ 1.2 แสนบาท/ตารางวา สูงสุดอยู่ที่ 2.5 แสนบาท/ตารางวา การเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินแต่ละสถานีเพิ่มขึ้นไม่มาก 5-10% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑลอยู่ที่ 7.9% จากจำนวน 130 สถานี “ดร.โสภณ” ประเมินว่า การสร้างที่อยู่อาศัยหรืออสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู อาจมีข้อจำกัด 4 ข้อด้วยกัน เริ่มจาก 1.สายสีชมพูไม่ใช่รถไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น BTS จึงขนส่งได้ไม่มากนัก 2.ประชากรในพื้นที่ไม่หนาแน่นมากนัก คล้ายรถไฟฟ้าสายสีม่วง 3.มีรถประจำทาง รถตู้เสริมในพื้นที่อยู่ตลอด 4.ไม่ใช่เส้นทางที่จะมีผู้สัญจรมาก ไม่เหมือนรถไฟฟ้าสายวิ่งเข้าเมือง โมเดลคล้ายกับทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยล้นเกินดีมานด์ ดังนั้น การลงทุนตามแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพูจึงต้องตัดสินใจลงทุนอย่างระมัดระวังเป็นอย่างสูง   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-318123

จำนวนผู้อ่าน: 1861

24 เมษายน 2019

KFC ยืนหนึ่งไก่ทอด 1.4 หมื่นล้าน สปีดโมเดล “24ชม.” เดินเกมยึดพันสาขา

ตลาดไก่ทอดโตไม่หยุด เจ้าตลาด “เคเอฟซี” เร่งงัดกลยุทธ์เมนูใหม่-โปรโมชั่นแรงทุกช่วงเทศกาล พร้อมเดินหน้าขยายสาขา 24 ชั่วโมง เจาะลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ตั้งเป้าขยายไดรฟ์ทรู 100 สาขาทั่วประเทศภายในปี 2563 นางสาวแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์เคเอฟซีในประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันภาพรวมตลาดไก่ทอดมีมูลค่าประมาณ 14,700 ล้านบาท ถือว่าเติบโตขึ้นจากปัจจัยการรับประทานอาหารนอกบ้านของกลุ่มคนรุ่นใหม่และเมนูไก่ทอด เป็นอาหารที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชื่นชอบ เนื่องจากเป็นเมนูที่รับประทานได้ในทุกโอกาสพิเศษ โดยที่ผ่านมาเคเอฟซีก็ได้ทำการตลาดอย่างหนักและหลากหลายรูปแบบเพื่อสร้างการรับรู้และแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง   ขณะเดียวกันการแข่งขันในตลาดสูงขึ้นเนื่องจากมีทั้งผู้ประกอบการรายเล็ก-รายใหญ่ทยอยเข้ามาทำธุรกิจไก่ทอดอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าเคเอฟซีจะยังเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 65% แต่ก็ยังไม่หยุดพัฒนาแบรนด์ด้วยการเพิ่มเมนูและโปรโมชั่นใหม่ทุกเทศกาลสำคัญ รวมถึงเร่งพัฒนาช่องทางการขายใหม่ ๆ โดยเฉพาะเรื่องของช่องทางดิจิทัลที่มีทั้งอีคอมเมิร์ซ โมบายแอปพลิเคชั่น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้สะดวกและรวดเร็ว สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2562 เคเอฟซีมุ่งขยายร้านเคเอฟซีมากขึ้น โดยแบ่งเป็นร้านรูปแบบปกติ และร้านไดรฟ์ทรู โดยจะเน้นขยายสาขาไปในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด ในทำเลที่มีศักยภาพในเรื่องจำนวนประชากร และเป็นย่านที่มีกำลังซื้อ โดยจะชูเรื่องความสะดวกสบายและบริการรวดเร็ว ตลอดจนการพัฒนาช่องทางการส่งดีลิเวอรี่ พัฒนาระบบหลังบ้านให้มีเซอร์วิสที่ดี เพื่อบริการลูกค้าอย่างครอบคลุม แววคนีย์ย้ำว่า ด้วยการขยายตัวของเมืองทำให้สามารถเปิดร้านได้มากขึ้น โดยเฉพาะในรูปแบบไดรฟ์ทรูในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งจะตอบสนองความต้องการของคนในละแวกนั้น ๆ และผู้สัญจรไปมา ซึ่งความสำเร็จของแบรนด์ไม่ได้มาจากการบริหารงานที่ประสบความสำเร็จของยัมฯ แต่มาจากพันธมิตรแฟรนไชส์ทั้งหมด ซึ่งร่วมสร้างนวัตกรรมและทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ทำให้ประเทศไทยเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก และยังเป็นแบรนด์ร้านอาหารที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ภาพการปรับตัวของเชนร้านอาหารเริ่มเห็นการปรับรูปแบบการให้บริการในแบบที่เป็นร้านสแตนด์อะโลนมากขึ้น จากการจำกัดระยะเวลาการให้บริการมาสู่รูปแบบของการขยายระยะเวลาการให้บริการเป็น 24 ชั่วโมง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย นอกเหนือจากการได้รับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการสถานที่สำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น เช่น พบปะพูดคุย โดยคาดว่าสาขาไดรฟ์ทรูของเคเอฟซีจะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ สำหรับกลยุทธ์ที่เคเอฟซีให้ความสำคัญ ยังคงเน้นทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ในราคาที่ตรงใจ ได้แก่ โปรโมชั่นชุดใหญ่มาแรงประจำหน้าร้อน ชุดไก่จัดใหญ่เพียง 199 บาท อิ่มจริงทั้งเซต ไก่ทอด 5 ชิ้น, วิงซ์แซ่บ 3 ชิ้น, นักเก็ต 3 ชิ้น ถึงแค่ 1 พ.ค. 62 อีกทั้งหน้าที่สำคัญของยัมฯยังคงให้การสนับสนุนแฟรนไชส์และพันธมิตรในธุรกิจให้สามารถรักษามาตรฐานของแบรนด์ได้อย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญกับการให้ความรู้สำหรับการขยายธุรกิจและการทำกำไรด้วยรูปแบบกลยุทธ์การทำตลาดเพื่อสนับสนุนให้กับแฟรนไชซี หรือผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าใหม่ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในเรื่องการบริการให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ปัจจุบันเคเอฟซีจะมีสาขารวมทั้งหมด 726 สาขา โดยในจำนวนนี้เป็นสาขาไดรฟ์ทรู 68 สาขา โดยอยู่ภายใต้การบริหารร้านของพาร์ตเนอร์ ได้แก่ เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ประมาณ 269 สาขา คิวเอสอาร์ออฟเอเชีย (QSA) 285 สาขา และเรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ (RD) 172 สาขา ตั้งเป้าขยายสาขาร้านเคเอฟซีให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่า 1,000 สาขา แบ่งเป็นรูปแบบไดรฟ์ทรูกว่า 100 สาขาในปี 2563 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-318033

จำนวนผู้อ่าน: 2230

24 เมษายน 2019

ต่ออายุรัฐบาลทหาร “ซาอุฯ-ยูเออี” ทุ่ม 96,000 ล้าน ช่วยซูดาน

ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้เห็นชอบที่จะส่งความช่วยเหลือมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 96,000 ล้านบาทให้กับซูดาน หลังกองทัพได้เข้ายึดครองอำนาจและขับไล่นายโอมาร์ อัล บาชีร์ ประธานาธิบดีที่ปกครองประเทศมานานกว่า 30 ปี ออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ซาอุดีอาระเบียและยูเออีระบุว่าจะส่งมอบเงิน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับธนาคารกลางของซูดาน ขณะที่ความช่วยเหลืออื่นๆมูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะถูกส่งไปในรูปแบบของอาหาร ยา และน้ำมัน การส่งมอบความช่วยเหลือดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางแรงกดดันที่สภากลาโหมเพื่อถ่ายโอนอำนาจของซูดานต้องเจอ หลังประชาชนและฝ่ายค้านยังคงประท้วงและเรียกร้องให้มีการแต่งตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นมาบริหารประเทศในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 2 ปี ที่มา : มติชนออนไลน์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-317680

จำนวนผู้อ่าน: 1950

22 เมษายน 2019

“ล็อตเต้” ซุ่มผนึกหมอเสริฐ ชิงเค้กดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิแสนล้าน

ขาใหญ่เปิดศึกประมูลดิวตี้ฟรี “สุวรรณภูมิ” มูลค่ากว่าแสนล้านเดือด “ล็อตเต้” ดิวตี้ฟรีเบอร์ 3 โลกซุ่มร่วมทุน “บางกอกแอร์เวย์ส” ของหมอเสริฐ ท้าชน “คิง เพาเวอร์” หลังพลาดโปรเจ็กต์ “อู่ตะเภา” ฟาก “คิง เพาเวอร์” เล่นใหญ่ใช้ทีมที่ปรึกษาต่างชาติวางแผนทั้งหมด จับตากลุ่ม “รอยัล ออคิด” เครือข่ายธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค โดดร่วม หลังจากคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติตามที่อนุกรรมการด้านกฎหมายเสนอว่า กิจการดิวตี้ฟรี หรือร้านค้าปลอดอากร ไม่ถือว่าเป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็น จึงไม่ต้องดำเนินการภายใต้กฎหมาย PPP แต่เป็นการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เอง ส่งผลให้กระบวนการการประมูลของ ทอท.ที่ได้ขายซองทีโออาร์ไปแล้วนั้นสามารถเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ต่อไป โดย ทอท.ได้ปิดขายซองทีโออาร์เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ประกอบการที่ซื้อซองประมูลดิวตี้ฟรี 5 ราย ประกอบด้วย บจก.สรรพสินค้าเซ็นทรัล, บจก.คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี, บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, บมจ.การบินกรุงเทพ และ บมจ.โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน (ประเทศไทย) ส่วนผู้ประกอบการที่ซื้อซองประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ มี 4 ราย ได้แก่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา, บจก.คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ, บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และ บจก.เดอะมอลล์ กรุ๊ป ตามเงื่อนไขผู้ที่จะยื่นซองต้องแจ้งรายชื่อ joint venture ที่จะร่วมประมูลกับ ทอท. ภายในวันที่ 8 พฤษภาคม และกำหนดยื่นซองประมูลวันที่ 22 พฤษภาคม และประกาศผลผู้ชนะการประมูล 31 พฤษภาคม 2562 ขณะที่สัญญาสัมปทานของคิง เพาเวอร์ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 28 ก.ย. 2563 ขาใหญ่เตรียมพร้อมเต็มที่ แหล่งข่าวระดับสูงในวงการดิวตี้ฟรีรายหนึ่งเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากเดิมที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่า กลุ่มคิง เพาเวอร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดิมน่าจะยังคงรักษาพื้นที่ไว้ได้ เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการที่ได้เปรียบในหลายประเด็นนั้น หลังจากเห็นรายชื่อผู้ซื้อซองประมูลทั้งในส่วนของร้านค้าปลอดอากร หรือดิวตี้ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์แล้ว คาดการณ์ว่าการประมูลทั้ง 2 สัญญาแข่งขันกันดุเดือดแน่นอน และเชื่อว่าการได้มาซึ่งสัมปทานของกลุ่มคิง เพาเวอร์ ในรอบนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายนัก เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างเตรียมพร้อมกันอย่างเต็มที่   บางกอกแอร์เวย์สผนึก “ล็อตเต้” แหล่งข่าวระบุว่า ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่ากลุ่ม บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) ผู้บริหารสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ของนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ได้เจรจาร่วมทุน 51% กับบริษัท ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมทั้งเป็นแกนนำในการเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ และรุกเข้าสู่ธุรกิจดิวตี้ฟรีในประเทศไทยอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายทั้งดิวตี้ฟรีในสนามบินหลักในกรุงเทพฯ และสนามบินหลัก ๆ ในภูมิภาค รวมถึงดาวน์ทาวน์ดิวตี้ฟรีด้วย “ก่อนหน้านี้ประเมินกันว่า คู่แข่งสำคัญของกลุ่มคิง เพาเวอร์ ในรอบนี้คือ กลุ่มเซ็นทรัล แต่หลังจากที่ทราบข่าวว่า กลุ่มบางกอกแอร์เวย์สซุ่มผนึกกำลังกับกลุ่มล็อตเต้ วงในจึงคาดกันว่า คู่แข่งสำคัญ ในรอบนี้กลายเป็นกลุ่มบางกอกแอร์เวย์ส” เดิมทีกลุ่มล็อตเต้ซึ่งเป็นดิวตี้ฟรีสัญชาติเกาหลีเบอร์ 3 ของโลก ได้เข้าไปเจรจาร่วมทุนกับกลุ่มสยามพิวรรธน์ ของคุณชฎาทิพ จูตระกูล เนื่องจากกลุ่มสยามพิวรรธน์อยากได้ล็อตเต้ดิวตี้ฟรีไปเปิดในโครงการไอคอนสยาม แต่สุดท้ายการเจรจาไม่ลงตัว ทางกลุ่มล็อตเต้จึงได้ไปเจรจากับกลุ่มบางกอกแอร์เวย์ส กระทั่งได้ข้อสรุปออกมา แข่งทั้งสนามบิน-ดาวน์ทาวน์ แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้กลุ่มบางกอกแอร์เวย์สยังมีแผนที่จะร่วมประมูลดิวตี้ฟรีของ 3 สนามบินภูมิภาคด้วย คือ สนามบินภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่ (สงขลา) ซึ่ง ทอท.ได้แยกสัญญาประมูล เนื่องจากทั้งล็อตเต้และบางกอกแอร์เวย์สนั้นพลาดการประมูลดิวตี้ฟรีที่สนามบินอู่ตะเภาไป เมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังเตรียมแผนรุกธุรกิจดาวน์ทาวน์ดิวตี้ฟรี ภายใต้แบรนด์ “ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี” อย่างจริงจัง “เซ็นทรัล” ดึงมือดีคุมโปรเจ็กต์ สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มเซ็นทรัลนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า ทั้งโครงการประมูลดิวตี้ฟรีและพื้นที่เชิงพาณิชย์ นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มเซ็นทรัล ได้มอบหมายให้ นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเป็นอดีตรองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเข้ามาดูแลโปรเจ็กต์นี้ “เซ็นทรัลน่าจะเป็นกลุ่มที่ถูกจับตามองสำหรับการประมูลครั้งนี้พอสมควร เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ส่งผู้บริหารระดับสูงเข้าไปนั่งเป็นนายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ติดต่อกันมาหลายปี ตั้งแต่ คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ และล่าสุดคือ คุณวรวุฒิ อุ่นใจ ซึ่งทั้ง 2 คนออกมาผลักดันเรื่องการเปิดเสรีธุรกิจดิวตี้ฟรี และเรียกร้องให้การประมูลดิวตี้ฟรีรอบนี้เป็นการประมูลตามแคทิกอรี่สินค้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะประเมินแล้วว่า หาก ทอท.แบ่งประมูลตามประเภทสินค้า กลุ่มเซ็นทรัลน่าจะมีโอกาสมากกว่าการประมูลรวมรายเดียว” ขณะที่แหล่งข่าวกลุ่มเซ็นทรัลกล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มเซ็นทรัลได้เข้าไปบริหารพื้นที่โครงการร้านค้าและบริการ ในพื้นที่สนามบินอู่ตะเภา ในนามเซ็นทรัล ดีเอฟเอส คอนซอร์เตี้ยม (กิจการร่วมทำงานระหว่างบริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และดีเอฟเอส เวนเจอร์ สิงคโปร์) ซึ่งจากที่เปิดให้บริการในช่วงที่ผ่านมา การตอบรับจากลูกค้าเป็นไปอย่างดี ในส่วนของการประมูลพื้นที่สนามบิน หรือพื้นที่ดิวตี้ฟรีอื่น ๆ นั้น ยังคงต้องรอบอร์ดบริหาร ซึ่งมี คุณทศ จิราธิวัฒน์ เป็นคนสรุปว่า กลุ่มเซ็นทรัลจะมีทิศทางอย่างไร จะไปกับกลุ่มพันธมิตรเดิมหรือไม่ คิง เพาเวอร์ ใช้ทีม ตปท. แหล่งข่าวระดับสูงกล่าวว่า กลุ่มคิง เพาเวอร์ ได้เตรียมการสำหรับการประมูลรอบใหม่ล่วงหน้ามานานแล้ว โดยได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในต่างประเทศทำการวิเคราะห์ ศึกษาข้อมูล รวมถึงทำแผนสำหรับการประมูลครั้งนี้ทั้งหมด ทั้งในส่วนการประมูลดิวตี้ฟรี ประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ สุวรรณภูมิ และประมูลดิวตี้ฟรี 3 สนามบินในภูมิภาคด้วย โดยเฉพาะ 2 โครงการที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นโครงการที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ และทำรายได้หลักให้กับกลุ่มคิง เพาเวอร์ ในสัดส่วนที่มากที่สุด ทำให้กลุ่มคิง เพาเวอร์ ต้องรักษาพื้นที่เดิมของตัวเองไว้ให้ได้ ไมเนอร์โดดร่วมวง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีประสบการณ์ในการขยายธุรกิจร้านอาหารในสนามบิน ผ่านบริษัท ซีเล็ค เซอร์วิส พาร์ทเนอร์ จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างไมเนอร์ ฟู้ด กับเอสเอสพี อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารในสนามบินในหลากหลายประเทศภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ เป็นที่น่าจับตาเพราะได้มีการซื้อซองทีโออาร์ทั้งในส่วนของพื้นที่ดิวตี้ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ สำหรับ บมจ.โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน (ประเทศไทย) ที่ซื้อซองประมูลดิวตี้ฟรี สุวรรณภูมิ เป็นบริษัทในเครือ บมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นเครือข่ายธุรกิจกับ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ของนายชายนิด อรรถญาณสกุล ถอดรหัสเงื่อนไขชิงดำ สำหรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกนั้นแบ่งเป็น ข้อเสนอด้านเทคนิค 80% และข้อเสนอด้านราคา 20% โดยข้อเสนอด้านเทคนิคได้แบ่งออกเป็น 4 หมวดใหญ่ ได้แก่ 1.ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในเชิงธุรกิจ 15 คะแนน 2.แผนการดำเนินงาน การบริหารจัดการกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอาการ และแผนการตลาด 40 คะแนน 3.แผนธุรกิจประมาณการรายได้และประมาณการกำไรขาดทุน รวมถึงความสามารถชำระหนี้ 25 คะแนน และ 4.ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี เสนอให้ ทอท. 20 คะแนน โดยประเด็นนี้ นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเด็นการพิจารณาด้านเทคนิคและราคาต้องสัมพันธ์กัน โดยให้น้ำหนักกับคะแนนเทคนิค 80% เนื่องจาก ทอท.เชื่อว่า เทคนิคที่ดีจะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ดีด้วย “รายละเอียดด้านเทคนิคเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ ทอท.มั่นใจว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น ผู้เข้าประมูลแต่ละรายช่วยให้ความมั่นใจเรานิดหนึ่งว่า แผนธุรกิจสามารถการันตีรายได้ให้ ทอท.ได้ปีละเท่าไหร่ ซึ่งเป็นตัวหนึ่งที่ใช้ชี้วัดความมั่นใจในการเข้ามาทำธุรกิจของผู้เข้าร่วมประมูล นี่คือเหตุผลที่เราต้องพิจารณาด้านเทคนิคกับราคาพร้อมกัน” นายนิตินัยกล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลประกอบการของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ในปี 2560 มีรายได้ 3.5 หมื่นบาท ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากรายได้ในส่วนของดิวตี้ฟรี สุวรรณภูมิ ขณะที่การประมูลครั้งนี้มีอายุสัมปทาน 10 ปี โดยคาดว่ามีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-317672

จำนวนผู้อ่าน: 1979

22 เมษายน 2019

จับ 13 ผู้ต้องสงสัยเอี่ยวระเบิดศรีลังกา ตาย 207 เจ็บ 450

ประเทศศรีลังกาตกอยู่ในความเงียบงันเมื่อคืนวันที่ 21 เมษายน ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงเช้าวันที่ 22 เมษายน หลังทางการได้ประกาศเคอร์ฟิว เนื่องจากเหตุระเบิดต่อเนื่องถึง 8 ครั้งในหลายจุดทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 207 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 450 คน แม้ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นชาวศรีลังกา แต่ในขณะนี้มีรายงานว่ามีชาวต่างชาติที่เสียชีวิตด้วย 35 คน ซึ่งรวมถึงชาวอเมริกัน อังกฤษ จีน เนเธอร์แลนด์ อินเดีย และโปรตุเกส รายงานข่าวเผยว่าเหตุระเบิดส่วนใหญ่เป็นการระเบิดฆ่าตัวตาย โดยมีรายงานว่าเหตุระเบิดที่โรงแรมแห่งหนึ่งเกิดขึ้นขณะมือระเบิดจุดระเบิดตัวเองขณะเข้าแถวเพื่อรอตักอาหารเช้า   ขณะที่มีรายงานเช่นกันว่าเมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ทหารอากาศได้พบระเบิดแสวงเครื่องที่ทำจากท่อพีวีซียาว 1.8 เมตร และมีวัตถุระเบิดอัดเต็มอยู่ข้างในถูกทิ้งไว้ใกล้กับสนามบินนานาชาติในกรุงโคลัมโบ เมืองหลวงของประเทศศรีลังกา รัฐบาลศรีลังกายังไม่ได้ระบุชัดเจนว่ากลุ่มใดเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุโจมตีดังกล่าว แต่ล่าสุดได้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยไปแล้วรวม 13 ราย ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศอ้างว่าผู้บัญชาการตำรวจศรีลังกาได้ออกหนังสือแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ระดับสูงตั้งแต่ 10 วันก่อน ตามรายงานข่าวกรองที่ได้รับจากต่างชาติว่า กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงอาจวางแผนใช้เหตุระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีโบสถ์สำคัญในเทศกาลอีสเตอร์ ด้านนายกรัฐมนตรีศรีลังกายอมรับว่า มีข้อมูลข่าวกรองเตือนก่อนเกิดเหตุจริง และขณะนี้กำลังสั่งให้ทำการสอบสวนว่าเหตุใดจึงไม่มีการดำเนินมาตรการเตือนภัยที่เหมาะสมเพื่อป้องกันเหตุร้ายแรงดังกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-317669

จำนวนผู้อ่าน: 2534

22 เมษายน 2019

กรมอุตุฯเตือนหลายพื้นที่อากาศร้อนจัด! ‘เหนือ-อีสาน-กลาง’ร้อนสุด43องศา ‘กทม.’40องศา

แฟ้มภาพ วันที่ 22 เมษายน 2562 กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้าว่า ลักษณะอากาศทั่วไป ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนโดยทั่วไปและมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบางแห่ง บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อน ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และระวังอันตรายจากลมกระโชกแรง ควรอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา บริเวณความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนโดยทั่วไปและมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ ในขณะที่มีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนลมตะวันออกที่พัดปกคลุมภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.   ภาคเหนือ อากาศร้อนโดยทั่วไปและมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ ตาก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 22-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 39-43 องศาเซลเซียส ตอนบนของภาค ลมตะวันตก ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ตอนล่างของภาค ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศร้อนโดยทั่วไปและมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ ขอนแก่น และนครราชสีมา อุณหภูมิต่ำสุด 24-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 39-43 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ภาคกลาง อากาศร้อนถึงร้อนจัด กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ และมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์ อุณหภูมิต่ำสุด 27-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 39-43 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออก อากาศร้อนถึงร้อนจัด กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ และมีลมกระโชกแรง ส่วนมากบริเวณจังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 26-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-40 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) อากาศร้อน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา อุณหภูมิต่ำสุด 24-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) อากาศร้อน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนถึงร้อนจัด กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 28-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-40 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-317657

จำนวนผู้อ่าน: 1886

22 เมษายน 2019

แก้ร่าง กม.คุมซากแบตรถ EV เอกชนจี้รัฐ-ผู้ใช้ร่วมกองทุนกำจัดซาก

กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมชงกฎหมายคุมซากแบตเตอรี่รถ EV อีกรอบหลังถูกถอด พร้อมชงร่าง พ.ร.บ.กองทุนส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว ด้านเอกชนหนุนร่าง พ.ร.บ.กำจัดซากฯ เดิม 54 มาตรา จี้ “รัฐ-ผู้ใช้” ควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบกองทุนกำจัดซากร่วมกับผู้ผลิต-ผู้นำเข้า ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ตามที่เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2562 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาร่างกฎหมายพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …. (ร่าง พ.ร.บ.) ในวาระแรก ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ เพื่อให้มีระบบการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเบื้องต้นร่างดังกล่าวจะครอบคลุมซากของเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องโทรศัพท์และโทรศัพท์ไร้สาย เครื่องปรับอากาศเครื่องรับโทรทัศน์ ตู้เย็น และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงเท่านั้น แต่ไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในราชการทหาร นายอดิทัต วะสีนนท์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไว้ใน พ.ร.บ.การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และซากผลิตภัณฑ์อื่น พ.ศ…. เพิ่มเติม พร้อมทั้งขอให้กรมสรรพสามิตสนับสนุนเพิ่มเติม คือ การผลักดัน (ร่าง)พ.ร.บ.กองทุนส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว พ.ศ. ….ด้วย   เนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2560 ได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ครอบคลุมมาตรการส่งเสริมการลงทุน และการกระตุ้นตลาดภายในประเทศ ตลอดจนการเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน การจัดทำมาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้า การบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว และมาตรการอื่น ๆ โดยมาตรการสนับสนุนรถ EV ดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กำหนดให้ผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนผลิต xEV (PEV, PHEV, BEV) ต้องยื่นแผนการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีแผนการบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว เพื่อป้องกันปัญหาขยะและมลพิษจากแบตเตอรี่ในอนาคต ที่อาจจะมีปัญหากำจัดไม่ถูกวิธี นางกนิษฐ เมืองกระจ่าง ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การสนับสนุนให้เกิดรถ EV ที่ในอนาคตต้องมีแผนรองรับ จึงจำเป็นต้องผลักดันนำซากแบตรถ EV เข้าไปใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เคยเสนอให้นำแบตเตอรี่รถ EV ที่ใช้แล้วบรรจุไว้ในกฎหมายฉบับนี้เมื่อปี 2560 แต่ได้ถูกถอดออก ทำให้กฎหมายฉบับที่ผ่าน สนช.ครอบคลุมซากผลิตภัณฑ์ไว้เพียงแค่ 5 รายการ คือ คอมพิวเตอร์ เครื่องโทรศัพท์และโทรศัพท์ไร้สาย เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ ตู้เย็นเท่านั้น “การมีแผนบริหารจัดการซาก ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบซากขยะที่เกิดขึ้นร่วมกัน ทั้งผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ใช้ รวมถึงภาครัฐ ส่วนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การจัดการซากฯ ต้องหยุดไป หลังไม่มี สนช. แต่หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะต้องนำกลับมาร่างกันใหม่ แต่จะมากน้อยอย่างไรต้องหารือส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนำแบตรถ EV เข้าไปด้วย และการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมศักยภาพฯด้วย” แต่อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มต้องการให้กลับไปใช้ร่างกฎหมายเดิมที่มี 54 มาตรา แทนร่างที่ผ่าน ครม.และผ่านกฤษฎีกา ซึ่งตัดออกไปเหลือเพียง 36 มาตรา โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการตั้งกองทุน เพื่อนำเงินมาบริหารจัดการซากอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องการให้ภาครัฐและผู้ใช้เข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่เฉพาะให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเท่านั้นที่รับผิดชอบ “ปัญหาตอนนี้ที่ร่าง พ.ร.บ.ไม่สามารถออกมาได้ เพราะเราต้องการให้รัฐและผู้ใช้เข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วย มีกองทุนเพื่อนำเงินมาบริหารจัดการซาก ไม่ใช่ให้แค่ผู้ผลิตและผู้นำเข้ารับผิดชอบซากเพียงอย่างเดียว และควรตีความซากผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน เช่น คอมพิวเตอร์จะรวมถึงคีย์บอร์ด เมาส์ ด้วยหรือไม่ แอร์สำหรับใช้ในบ้าน อาคาร รถยนต์ ตีความอย่างไรเพราะมันแตกต่างกัน ซึ่งเราเสนอให้ระบุพิกัดภาษีไปเลย” ก่อนหน้านี้ นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มีแนวคิดสนับสนุนให้จัดตั้งโรงงานซ่อมแซมโซลาร์เซลล์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแผงที่ยังใช้ได้ และสนับสนุนการตั้งโรงงานรีไซเคิลซากแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อรองรับแผงโซลาร์เซลล์ที่เสื่อมสภาพหรือชำรุด เป็นโรงงานลำดับที่ 106 (ประกอบกิจการเกี่ยวกับการนําผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้ว หรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรมกากอุตสาหกรรม) ทั้งนี้ คาดว่าปัจจุบันประเทศไทยจะมีแผงโซลาร์เซลล์ที่กำลังจะหมดอายุการใช้งาน 20 ปี มากถึงประมาณ 620,000-790,000 ตัน ทางกระทรวงมอบให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมศึกษาความเป็นไปได้ และหาแนวทางในการบริหารจัดการ มีเป้าหมายจัดตั้งโรงงานใน 10 จังหวัด จังหวัดละ 10 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งจะรองรับแผงโซลาร์เซลล์เก่าได้ 90% ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-317584

จำนวนผู้อ่าน: 1926

22 เมษายน 2019

เพลิงไหม้ “นอเทรอดาม” ฟื้นวิกฤตสู่โอกาส “มาครง”

เปลวเพลิงที่ลุกโชนเหนือหลังคาไม้โอ๊กเก่าแก่ของมหาวิหาร “นอเทรอดาม” ที่ตั้งตระหง่านกลางแม่น้ำแซน กรุงปารีส ของประเทศฝรั่งเศสกว่า 850 ปี เมื่อ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวฝรั่งเศสและผู้คนทั่วโลก โบสถ์คาทอลิกศิลปะโกธิกแห่งนี้นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญ และศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของชาวฝรั่งเศส ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศมายาวนาน “คามิล ปาสคาล” นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส กล่าวด้วยว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงความเจ็บปวด แต่เป็นการจบชีวิตของความทรงจำและอัตลักษณ์ของฝรั่งเศส ที่มีมากว่า 8 ศตวรรษครึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยมีเหตุการณ์สำคัญใดที่ไม่ได้รับการเฉลิมฉลองหรือย้ำเตือนโดยระฆังของนอเทรอดาม สิ่งที่ถูกเผาไหม้ในคืนนี้ คือ หัวใจของคนทั้งชาติ” ขณะเหล่ามหาเศรษฐีเจ้าของแบรนด์ดังและองค์กรยักษ์ใหญ่ทั่วโลกที่ประกาศร่วมระดมทุนแล้วกว่า 1,000 ล้านยูโร เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์มหาวิหารอย่างเร่งด่วน   รายงานของ “โปลิติโก” สำนักข่าวของสหรัฐอเมริการะบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา “ฝรั่งเศส” เผชิญกับความรุนแรงที่สร้างความสูญเสียอยู่หลายครั้ง ทั้งจากการโจมตีโดยกลุ่มก่อการร้ายหลายระลอกในปี 2015 จนไปถึงกลุ่มผู้ชุมนุม “เสื้อกั๊กเหลือง” ที่ออกมาประท้วงต่อต้านการบริหารงานของรัฐบาลฝรั่งเศส ในช่วง 22 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายต่อสถานที่สำคัญมากมาย โดยเฉพาะอาคารร้านค้าบนถนนฌ็องป์เซลิเซ่ ที่ได้รับความเสียหายทั้งจากการปล้นและการเผาทำลาย รวมถึง “อาร์กเดอทรียงฟ์” ที่ถูกพ่นสีทับอีกด้วย เหตุการณ์เพลิงไหม้มหาวิหารนอเทรอดามในครั้งนี้ ทำให้ประธานาธิบดี “เอ็มมานูเอล มาครง” แห่งฝรั่งเศส ตัดสินใจเลื่อนกำหนดการเดิมที่จะแถลงการณ์นโยบายเพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลือง ก่อนที่จะแถลงการณ์อีกครั้งในเวลาต่อมา โดยได้กล่าวถึงเหตุการณ์เพลิงไหม้และแผนการฟื้นฟูมหาวิหารให้กลับมางดงามภายใน 5 ปี ด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาวฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวของ “โปลิติโก” ตั้งข้อสังเกตว่า คำพูดที่กระชับและท่าทีที่เคร่งขรึมของนายมาครงที่แสดงออกในระหว่างแถลงการณ์ เต็มไปด้วยสารทางการเมืองที่พุ่งตรงไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองที่ต่อต้านเขา อย่างคำกล่าวที่ว่า “ผมเชื่ออย่างจริงจังว่า สถานการณ์จะขึ้นอยู่กับเราว่าจะเปลี่ยนหายนะนี้ให้เป็นโอกาสที่จะร่วมมือกัน และคิดถึงเกี่ยวกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ หรือสิ่งที่เราควรจะเป็น เพื่อพัฒนาพวกเราเอง” ขณะที่ จอห์น ริชฟิลด์ บรรณาธิการข่าวต่างประเทศของ “ดิ อินดีเพ็นเดนต์” มองว่าเหตุการณ์เพลิงไหม้เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ฝรั่งเศสไร้เสถียรภาพและกำลังแตกแยก ถ้อยแถลงของผู้นำมาครงเป็นความพยายามที่จะสร้างความเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกัน” ของคนในชาติขึ้นอีกครั้ง แม้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองจะยุติการเคลื่อนไหวไปในไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะเกิดเหตุโศกนาฏกรรมนี้ ทว่าก็มีการนัดหมายและประกาศกร้าวว่า 20 เม.ย.นี้ จะชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อต่อต้านนโยบายของมาครง ซึ่งเดิมทางการฝรั่งเศสเกรงว่าจะเป็นการก่อจลาจลและปล้นสะดมในถนนฌ็องป์เซลิเซ่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้มหาวิหาร ซึ่งถือเป็นความสูญเสียของชาติ ก็ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่ากระแสการชุมนุมของเสื้อกั๊กเหลืองจะลดลง โดยริชฟิลด์มองว่า หากมีการชุมนุมจนเกิดจลาจลขึ้นอีก จะทำให้คะแนนนิยมของกลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองลดลงเช่นกัน ขณะที่คงต้องจับตาว่าข้อเรียกร้องความสามัคคีของชาวฝรั่งเศสของมาครงเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่และมาครงจะสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาส สร้างคะแนนนิยมจากการจัดการสถานการณ์ของชาติให้ผ่านพ้นความเลวร้ายไปได้ หรือฝรั่งเศสจะยังตกอยู่ในความวุ่นวายทางการเมืองต่อไป ท่ามกลางสัญลักษณ์ของชาติที่มอดไหม้   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-317302

จำนวนผู้อ่าน: 1894

22 เมษายน 2019

เศรษฐกิจติดหล่มการเมือง

ผ่านไปเกือบ 1 เดือนเต็มหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ทิศทางการเมืองยังไม่ชัดเจน แถมคาดเดาได้ลำบากว่าจะลงเอยอย่างไร เป็นตัวแปรที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นทั้งในการบริโภค การลงทุน ความวิตกกังวลในความไม่แน่นอน สะท้อนได้จากมุมมองของนักวิชาการ นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก ที่เห็นชัดเจนคือการหั่นเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปีนี้ลงจาก 3.5-4.8% เหลือ 3.5-4.0% แม้ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยลบเศรษฐกิจโลกที่ยังมีปัญหา อาทิ สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในฐานะเป็นคู่ค้า และเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักของไทย รวมทั้งเบร็กซิตที่ยังไร้ข้อสรุป   แต่ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเมืองเวลานี้ที่ยังไม่นิ่งมีส่วนอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจดำเนินกิจกรรมในทางเศรษฐกิจ การชะลอเลื่อนแผนลงทุนยังมีต่อเนื่อง การเลือกตั้งภายในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งถูกคาดหวังว่าจะนำพาประเทศก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้โดยเร็ว ปลุกความเชื่อมั่นให้ฟื้นคืนกลับมา นักธุรกิจ นักลงทุนทั้งไทย ต่างชาติมั่นใจมากขึ้น พร้อมเดินหน้าลงทุนโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ จึงค่อนข้างเลือนรางและยังห่างไกลความเป็นจริง ขณะเดียวกัน นอกจากหลายหน่วยงาน องค์กรจะทยอยปรับลดประมาณการขยายตัวของ GDP ลงจากก่อนหน้านี้แล้ว ดัชนีชี้วัดการลงทุน การบริโภคทั้งภาครัฐและเอกชนก็มีแนวโน้มปรับลดลง ส่งให้ระบบเศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนลดน้อยลงด้วย ท่ามกลางความสุ่มเสี่ยงจากปัจจัยลบสถานการณ์เศรษฐกิจโลกขณะนี้ที่ยังอ่อนไหว ทำอย่างไรให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันสามารถรับมือกับความผันผวนไม่แน่นอนจากภายนอกได้ การเมืองนิ่ง กลไกเศรษฐกิจขับเคลื่อนอย่างมีเสถียรภาพ เป็นคำถามที่รัฐบาล นักการเมือง รวมทั้งคนไทยทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขบคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้โจทย์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ให้นักธุรกิจนักลงทุนมองเห็นทิศทางการเมืองไทยชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ อย่าปล่อยให้เกิดสุญญากาศ ทุกอย่างตกอยู่ในสภาพอึมครึม ซ้ำเติมเศรษฐกิจ กำลังซื้อ การค้า การลงทุนที่ชะลอตัวอยู่แล้วให้ย่ำแย่ลงอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นนอกจากคนระดับกลางระดับล่างจะตกที่นั่งลำบากมากกว่าเดิมแล้ว ความเชื่อมั่นจะยิ่งจมดิ่ง กระทบการลงทุน การท่องเที่ยว เศรษฐกิจหลังเลือกตั้งแทนที่จะได้อานิสงส์การเมืองหนุนให้โตตามเป้า ก็กลายเป็นติดหล่ม…ดิ้นไม่หลุด   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-317390

จำนวนผู้อ่าน: 1824

22 เมษายน 2019

อู่ตะเภาเทอร์มินอล 2 ดีเดย์ พ.ค. รับดิวตี้ฟรีใหม่ “คิงเพาเวอร์-เซ็นทรัล”

สนามบินอู่ตะเภาคึกทะลัก 2 ล้านคนเปิดบริการอาคารผู้โดยสารหลังใหม่เต็มรูปแบบ รับดิวตี้ฟรี คิง เพาเวอร์-รีเทลเซ็นทรัล ดีเอฟเอส เชิญ “บิ๊กตู่” แกรนด์โอเพนนิ่ง พ.ค.นี้ เผยสถิติผู้โดยสารรัสเซียใช้บริการมากสุด แซงหน้าจีน แห่บินตรง 33 เส้นทาง ปีนี้ลุยลงทุนจุด pick up ต่อ   พลเรือตรีลือชัย ศรีเอี่ยมกูล ผู้อำนวยการท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง-พัทยา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ”ว่า เมื่อต้นเดือน มี.ค. 2562 ได้เปิดใช้อาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ของสนามบินอู่ตะเภา ให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยอาคารหลังใหม่มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 22,000 ตร.ม. รองรับผู้โดยสารได้ 3-5 ล้านคนต่อปี ปัจจุบันมีผู้โดยสารมาใช้บริการประมาณ 2 ล้านคนต่อปี และมีเที่ยวบินประมาณ 15,767 เที่ยวบินต่อปี คาดว่าอีก 1-2 ปีข้างหน้าจะเต็มขีดความสามารถ เนื่องจากมีสายการบินมาใช้บริการเพิ่มขึ้น 17 สายการบิน รวม 33 เส้นทางบิน ส่วนใหญ่เป็นชาร์เตอร์ไฟลต์ “หลังจากได้เอกชนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ 2,000 ตร.ม. ภายในอาคารหลังใหม่ ซึ่งใช้โมเดลเดียวกับสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ถือเป็นครั้งแรกที่กองทัพเรือเปิดให้เอกชนเข้าร่วม PPP ระยะเวลาสัมปทาน 10 ปี โดย บจ.คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี เป็นผู้ชนะบริหารพื้นที่สินค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) เสนอผลตอบแทนปีแรกประมาณ 230 ล้านบาท และคอนซอร์เตี้ยม กิจการร่วมการงานระหว่างบริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และดีเอฟเอส เวนเจอร์ สิงคโปร์ เป็นผู้ชนะประมูลพื้นที่ร้านค้าปลีก มีผลตอบแทนปีแรกประมาณ 100 กว่าล้านบาท ปัจจุบันรอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอนุมัติให้เซ็นสัญญากับเอกชนก่อน คาดว่าภายในเดือน พ.ค.นี้ และจะเชิญนายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานพิธีเปิด”  ยังเหลือพื้นที่เคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าดิวตี้ฟรี หรือ pick up counter ที่จะดำเนินการเอง ลงทุนระบบซอฟต์แวร์ 10 ล้านบาท แล้วแชริ่งพื้นที่ให้ผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีมาใช้ ผู้โดยสารที่ซื้อของจากดิวตี้ฟรีดาวน์ทาวน์ในกรุงเทพฯ หรือพัทยา แล้วมารับสินค้าที่อู่ตะเภาได้ เราจะเก็บค่าใช้บริการตามอัตราการเช่าพื้นที่ และตามรายได้ที่ขายสินค้าได้ ส่วนสถิติผู้โดยสารที่มาใช้บริการแยกตามสัญชาติ 10 อันดับ ระหว่างเดือนต.ค. 2561-ม.ค. 2562 มากที่สุด คือ รัสเซีย 59,058 คนถัดมาเป็นจีนที่ตกจากเบอร์ 1 ที่ 28,914 คน คาซัคสถาน 4,788 คน อังกฤษ 3,761 คน มาเลเซีย 2,579 คน ไทย 1,724 คน มาเก๊า 608 คน ฮ่องกง 278 คน ยูเครน 268 คน คีร์กีซ 253 คน และอื่น ๆ 2,159 คน อย่างไรก็ตาม เอกชนจะมีการสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 จะรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี อยู่ระหว่างกึ่งกลางรันเวย์ปัจจุบันและรันเวย์ที่ 2 รัฐจะลงทุนก่อสร้างให้อีก โดยมีสถานีไฮสปีดเทรนอยู่ชั้นใต้ดินอาคาร และจะมีกิจกรรมเกี่ยวเนื่องกับสนามบินอู่ตะเภารอบ ๆ เช่นคาร์โก้ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน ฟรีเทรดโซน เป็นต้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-317292

จำนวนผู้อ่าน: 1900

22 เมษายน 2019

เงินบาทอ่อนค่าใกล้ 31.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ จับตาสัปดาห์หน้า ตัวเลขส่งออกมี.ค.-ปัจจัยการเมือง

แฟ้มภาพ เงินบาทอ่อนค่ามาเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 31.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นตามแรงซื้อของสถาบัน   ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่าทเงินบาทอ่อนค่ากลับมาเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 31.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทขยับอ่อนค่าลงเล็กน้อยหลังตลาดในประเทศกลับมาเปิดทำการจากช่วงวันหยุดยาว โดยการอ่อนค่าของเงินบาทสอดคล้องกับสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่คาด (อาทิ ยอดขาดดุลการค้าที่ลดลงในเดือนก.พ. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่ยังคงปรับตัวลงตลอด 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา และยอดค้าปลีกในเดือนมี.ค. ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น)   ในวันศุกร์ (19 เม.ย.) เงินบาทอยู่ที่ 31.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 31.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (12 เม.ย.) สำหรับสัปดาห์ถัดไป (22-26 เม.ย.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 31.60-31.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยอาจต้องติดตามตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนมี.ค. ปัจจัยการเมืองในประเทศ ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น ตลอดจนความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ขณะที่ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญระหว่างสัปดาห์ ประกอบด้วย ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. และข้อมูลจีดีพีประจำไตรมาส 1/2562 (advanced) ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกเกือบตลอดสัปดาห์ โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับที่ 1,674.10 จุด เพิ่มขึ้น 0.82% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 12.43% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 45,444.22 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มขึ้น 1.28% มาปิดที่ 368.48 จุด ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดสัปดาห์ ตามแรงซื้อของนักลงทุนสถาบัน แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิหุ้นไทยก็ตาม นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีน ที่ออกมาดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ ซึ่งส่งผลทำให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศแกนหลักของโลก อย่างไรก็ดี ดัชนีฯ ลดช่วงบวกลงบางส่วนในช่วงปลายสัปดาห์ สำหรับสัปดาห์ถัดไป (22-26 เม.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,665 และ 1,655 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,685 และ 1,700 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ การทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2562 ของบริษัทจดทะเบียนไทย ปัจจัยการเมืองในประเทศ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าสำคัญ รวมถึงสถานการณ์ BREXIT ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2562 ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่และบ้านมือสองเดือนมี.ค. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค.ของญี่ปุ่น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-317232

จำนวนผู้อ่าน: 1967

22 เมษายน 2019

ชาวไร่ต้องฟัง! ฤดูผลิต 62/63 รง.น้ำตาลเข้มเกณฑ์รับอ้อยไฟไหม้แค่ 30% ต่อวัน ก.อุตฯมั่นใจลดปัญหาเผาอ้อยใน3ปี วันที่ 8 April 2019 - 10:16 น. 50 SHARES Facebook50TwitterGoogle+LINE

กระทรวงอุตสาหกรรมจับมือโรงงานน้ำตาล ร่วมแก้ปัญหา “อ้อยไฟไหม้” กำหนดให้โรงงานน้ำตาลรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบได้ไม่เกิน 30% ต่อวันเริ่มปีการผลิต 62/63 คาดภายใน 3 ปี ไม่มีเผาอ้อย พร้อมอัดเงินช่วยซื้อรถตัดอ้อย 6,000 ล้าน และเตรียมจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต 50 บาท/ตัน จ่ายรอบแรก เม.ย.นี้ นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เร็วๆ นี้เตรียมนำเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ในภาพรวมทั้งระบบ ประกอบด้วยมาตรการทางกฎหมาย โดยจะมีการออกระเบียบให้ทันในฤดูการผลิตปี 2562/2563 กำหนดให้โรงงานน้ำตาลจะรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบได้ไม่เกิน 30% ต่อวัน สำหรับในฤดูการผลิตปี 2563/2564 โรงงานน้ำตาลจะรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบได้ไม่เกิน 20% ต่อวัน และในฤดูการผลิตปี 2564/2565 จะลดปริมาณอ้อยไฟไหม้เข้าหีบเพียง 0-5% ต่อวัน ซึ่งจะทำให้อ้อยไฟไหม้หมดไปภายใน 3 ปีนับจากนี้   และยังมีมาตรการสนับสนุนให้ชาวไร่ใช้รถตัดอ้อย โดยมีสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร (ระยะที่ 2) ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะสนับสนุนสินเชื่อแก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร สถาบันชาวไร่อ้อย กลุ่มบุคคล และวิสาหกิจชุมชน ปีละ 2,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 6,000 ล้านบาท (งบประมาณปี พ.ศ. 2562 – 2564) โดยจะนำเสนอให้ ครม.เห็นชอบอัตราดอกเบี้ยสำหรับเกษตรกรรายบุคคลอยู่ที่ MRR-5 รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. แทนผู้กู้ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี และ ธ.ก.ส. รับภาระในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี สำหรับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร สถาบันชาวไร่อ้อย กลุ่มบุคคล และวิสาหกิจชุมชน คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการได้ นอกจากนี้ จะนำเสนอมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการรถตัดอ้อยไทยด้วยการเพิ่มศักยภาพการผลิตและจำหน่ายให้เพียงพอกับความต้องการ และส่งเสริมการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน โดยการใช้รถตัดอ้อย และเครื่องจักรกลการเกษตรอื่น ๆ นำไปจดทะเบียนเครื่องจักรตามกฎหมายกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อนำไปเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันกับแหล่งเงินกู้ได้อีกด้วย “ขณะเดียวกันกระทรวงฯ ยังได้มีมาตรการด้านการบริหารจัดการโดยความร่วมมือจากโรงงานน้ำตาลและชาวไร่อ้อย ในฤดูการผลิตปี 2562/2563 เป็นจังหวัดปลอดการเผาอ้อย ตัดอ้อยสด 100% ในแต่ละภาค รวม 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดเลย และจังหวัดอุตรดิตถ์ สำหรับความก้าวหน้าเกี่ยวกับโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อ ซื้อปัจจัยการผลิต (50 บาทต่อตันอ้อย) ขณะนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณในรอบแรกสำหรับอ้อยที่เข้าหีบในฤดูการผลิตปี 2561/2562 ตั้งแต่ต้นฤดูการจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2562 โดยมีปริมาณอ้อยที่ขอรับการช่วยเหลือ จำนวน 64 ล้านตัน เป็นเงิน 3,200 ล้านบาท สำหรับจ่ายให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย จำนวน 150,000 ราย โดยจะเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือรอบแรกภายในเดือนเมษายน 2562 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-312709

จำนวนผู้อ่าน: 1997

08 เมษายน 2019

โมเดลประเมินราคา “สวนยางพารา”

ประเทศไทยปลูกไม้เศรษฐกิจ 25 ล้านไร่ ส่วนใหญ่ 21 ล้านไร่ เป็นสวนยางพารา อีก 4.1 ล้านไร่ เป็นไม้เศรษฐกิจอื่น (ในจำนวนนี้ 3 ล้านไร่ ปลูกยูคาลิปตัส) ความสำคัญของไม้ยางพารามีมูลค่าการส่งออก 80% ของการส่งออกไม้ทั้งหมด การประเมินมูลค่าไม้ยางพาราจึงเป็นการประเมินที่อาจต้องใช้มากที่สุด “ดร.โสภณ พรโชคชัย” ประธานกรรมการบริหาร เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA นำเสนอบทความเกี่ยวกับ “การประเมินมูลค่าไม้ยางพาราตามอายุสวนยาง” ในโอกาสที่ประเทศไทยกำลังจะมีการประเมินมูลค่าต้นไม้เพื่อบังคับหลักประกัน   โดย “ต้นไม้มีค่า” สามารถจดจำนองเงินกู้ได้ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ ข้อมูลพื้นฐาน ยางพาราที่กรีดได้มักถูกนำไปแปรรูป 2 กลุ่ม ได้แก่ ยางแห้ง (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ยางเครป ยางแผ่นผึ่งแห้ง ยางสกิม) และยางน้ำ (น้ำยางข้นหรือยางลาเท็กซ์) ก่อนนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราพบได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ยางรถยนต์ ยางยืด-ยางรัดของ ถุงมือยางทางการแพทย์ รองเท้า อุปกรณ์กีฬา สายพานลำเลียง ฟองน้ำ เป็นต้น ในการประเมินค่าทรัพย์สิน อาจใช้วิธีการต้นทุนโดยพัฒนาสวนยางจากที่ดินเกษตรทั่วไปหรือที่ดินเปล่า นอกจากนี้อาจใช้วิธีการเปรียบเทียบตลาดว่าเขาซื้อขายสวนยางกันอย่างไร และวิธีสุดท้ายแปลงรายได้เป็นมูลค่า โดยเฉพาะรายได้จากการเก็บกิน-รายได้ในอนาคต ในที่นี้ เน้นการประเมินด้วยวิธีเปรียบเทียบตลาด โดยกรณีตัวอย่างสำรวจสวนยางพาราในจังหวัดระยอง ที่ดินสวนยางขนาด 10 ไร่ มียางอายุระหว่าง 1-35 ปี โจทย์คือราคาซื้อขายควรเป็นเท่าไหร่ ดัชนีเบื้องต้นจากการสำรวจ มีดังนี้ 1.สมมุติราคา ณ ปีแรกเป็นเงิน 100% 2.ในช่วง 7 ปีแรก ราคาเพิ่มเฉลี่ยปีละ 2.3% หรือเพิ่มขึ้นสูงสุดในปีที่ 7 รวมเป็น 117% (ปีที่ 7 ถือเป็นปีพร้อมที่สุดสำหรับการกรีดยาง ซึ่งจะกินระยะเวลาการกรีดออกไปอีก 25 ปี) 3.สวนยางที่มีต้นยางอายุ 8-32 ปี ราคาจะลดหลั่นตามลำดับ จาก 117% เหลือ 87% หรือลดลง 30% ของราคาสูงสุดในปีที่ 7 4.ตั้งแต่ปีที่ 32 เป็นต้นไป ราคาค่อนข้างคงที่เพราะน้ำยางน้อยเกินกว่าจะกรีดได้คุ้มค่า ชาวสวนจึงนิยมขายเป็นไม้เพื่อทำเฟอร์นิเจอร์แล้วปลูกใหม่ อาจกล่าวได้ว่าราคาที่ดินสวนยางกับที่ดินเกษตรพืชอายุสั้น เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฯลฯ มีความแตกต่างกันค่อนข้างสูงเพราะ การปลูกยางพาราใช้เวลาและต้นทุนเตรียมการสูงกว่าที่นาทั่วไป ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินสวนยางพาราสำรวจบางส่วนของจังหวัดระยอง กรณีจังหวัดอื่น เช่น ในภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคเหนือ อาจมีตัวเลขที่แตกต่างออกไปบ้าง อย่างไรก็ตาม แบบแผนการเปลี่ยนแปลงราคาตามจำนวนปีไม่แตกต่างกันมากนัก เนื่องจากปริมาณยางที่จะกรีดได้มีการถดถอยลงตามอายุของต้นยางนั่นเอง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-312700

จำนวนผู้อ่าน: 1977

08 เมษายน 2019

หลบหมอกควันพิษไปเที่ยวทะเล บินตรงจากเชียงใหม่สู่เมืองกระบี่

สถานการณ์หมอกควันและไฟป่าของภาคเหนือตอนบนในปีนี้ วิกฤตรุนแรงและกินเวลายาวนานเป็นเวลา 2 เดือนกว่าแล้ว (กุมภาพันธ์-มีนาคม) ย่างเข้าเดือนเมษายน 2562 สถานการณ์ยังอยู่ในสภาวะวิกฤต ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายมากกว่าทุกปี และวิกฤตสุดในรอบ 12 ปี ฝุ่นควันพิษ PM 2.5 อันตรายและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากได้หลบหมอกควันไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ไหนสักแห่งอย่างชายทะเล คงจะทำให้หายใจได้โล่งปอดขึ้น   เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ได้เปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ให้บริการเส้นทางบินใหม่ บินตรงเชียงใหม่-กระบี่ ผู้โดยสารเดินทางเกือบเต็มลำ จำนวน 123 คน มีทั้งคนท้องถิ่นในเชียงใหม่-ภาคเหนือตอนบน และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเชียงใหม่และเดินทางไปท่องเที่ยวต่อที่จังหวัดกระบี่ โดยเส้นทางบินเชียงใหม่-กระบี่ (เที่ยวเดียว) ให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อาทิตย์ อังคาร และพฤหัสบดี) เริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และจะเริ่มให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2562 ด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A319 ขนาด 144 ที่นั่ง ออกจากเชียงใหม่เวลา 12.00 น. ถึงกระบี่เวลา 13.55 น. ใช้เวลาบินเพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมง ก็ถึงเมืองชายทะเลที่สวยงามที่สุดอีกแห่งของฝั่งอันดามัน เชื่อมการท่องเที่ยวภาคเหนือกับภาคใต้ให้ไปมาหาสู่กันได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามน่าประทับใจ โดยเฉพาะชายหาดและเกาะของจังหวัดกระบี่ที่มีความงดงาม นายภูษิต พฤกษารัตน์ ผู้จัดการโรงแรมดุสิตดีทู อ่าวนาง (dusitD2) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเปิดเส้นทางบินตรงเชียงใหม่-กระบี่ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส นับเป็นเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ที่จะนำคนภาคเหนือและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังจังหวัดกระบี่ได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นการเดินทางท่องเที่ยวข้ามภูมิภาคที่มีศักยภาพในอนาคต ซึ่งทางโรงแรมดุสิตดีทูเองก็มีห้องพักให้บริการในหลายจังหวัด ในส่วนของโรงแรมดุสิตดีทู อ่าวนาง ได้รับการรีแบรนด์จากโรงแรมเดิมคือ โวค รีสอร์ท แอนด์ สปา โดยมีการปรับปรุงและตกแต่งใหม่ให้มีสไตล์โมเดิร์น ประกอบด้วยห้องพักและห้องสวีตจำนวน 173 ห้อง พร้อมปรับปรุงและเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ห้องอาหารที่เปิดให้บริการตลอดวัน ล็อบบี้บาร์ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย สปา และห้องจัดเลี้ยง โดยโรงแรมเพิ่งเปิดให้บริการได้ประมาณ 3 เดือน มีอัตราเข้าพักอยู่ที่ราว 70% ลูกค้าหลักคือนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป และด้วยปัจจัยบวกของเส้นทางบินตรงจากเชียงใหม่สู่กระบี่ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จะทำให้มีสัดส่วนของลูกค้าที่เดินทางมาจากภาคเหนือเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 3-5% โดยสถานที่ตั้งของโรงแรมดุสิตดีทู อ่าวนาง อยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติกระบี่ราว 25 กิโลเมตร โรงแรมตั้งอยู่บนเนินเขาในตัวเมืองอ่าวนาง นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังชายหาดและหมู่เกาะที่มีชื่อเสียง รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ภายในจังหวัดกระบี่ได้อย่างสะดวก โดยเฉพาะทริปล่องเรือไปยังชายหาดและเกาะหลายแห่งที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย   สำหรับเส้นทางบินตรงของบางกอกแอร์เวย์ส จากเชียงใหม่-กระบี่ จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางการท่องเที่ยวระหว่างหัวเมืองท่องเที่ยวของภาคเหนือกับภาคใต้ให้เติบโตมากขึ้น แค่ได้หลบหมอกควันพิษไปสูดอากาศดี ๆ คลีน ๆ บนเกาะ 2-3 วัน ก็ช่วยฟอกปอดให้สะอาดขึ้นได้มากทีเดียว   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-312696

จำนวนผู้อ่าน: 2964

08 เมษายน 2019

ทองราคาพุ่ง! ทองรูปพรรณขายออกพุ่งแตะบาทละ20,100บาท

แฟ้มภาพ วันที่ 8 เมษายน 2562 สมาคมค้าทองคำประกาศราคาซื้อขายราคาทองคำในประเทศวันนี้ ดังนี้(ตามตาราง) โดยราคาทองประกาศครั้งแรกของวันปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงสุดสัปดาหห์ที่ผ่านมาบาทละ100บาท และทำให้ทองคำแท่งขายออกอยู่ที่บาทละ19,600บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกพุ่งขึ้นไปที่บาทละ20,100บาท ช่วงเวลา ทองแท่ง ทองรูปพรรณ   เวลา ครั้งที่ รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) Gold Spot Baht / US$ ขึ้น / ลง 08/04/2562 09:25 1 19,500.00 19,600.00 19,147.08 20,100.00 1,297.00 n/a 100   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-312693

จำนวนผู้อ่าน: 1877

08 เมษายน 2019

ล้งตะวันออกวิกฤตแรงงานเถื่อน 40% รัฐจับกุมหนักฤดูผลไม้ทำส่งออกแสนล้านสะเทือน

แรงงานล้งมังคุด - ปัญหาการขาดแคลนแรงงานของผู้ประกอบการล้งผลไม้ภาคตะวันออกมีมาต่อเนื่องในทุกฤดูเก็บเกี่ยวผลไม้ของทุกปี แต่ภาครัฐไม่สามารถหาทางออกในการแก้ปัญหาที่ชัดเจนให้กับผู้ประกอบการได้ ทั้งที่การส่งออกผลไม้ เช่น มังคุด ทุเรียน ถือเป็นไม้ผลเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างรายได้ให้ประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท “สมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน มังคุด” รับแทบทุกล้งมีแรงงานไม่ถูกกฎหมาย 20-40% เสนอรัฐผ่อนปรนการจับกุม ชี้หากล้งใหญ่ปิดกิจการ 30-40% เกษตรกรชาวสวนได้รับผลกระทบหนัก เหตุต้นฤดูผลไม้ “มังคุด-ทุเรียน-เงาะ” 8 หมื่นตัน มูลค่าส่งออกกว่า 1 แสนล้านบาท กำลังทยอยออกสู่ตลาด นายธีระ วงษ์เจริญ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดจันทบุรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ผลไม้จังหวัดจันทบุรีสร้างมูลค่าได้ปีละ 80,000 ล้านบาท ราคาผลไม้ปีนี้ดี คาดว่าน่าจะสร้างรายได้ถึง 100,000 ล้านบาท แต่เกษตรกรกำลังเผชิญกับภาวะราคามังคุดตกต่ำช่วงปลายเดือนมีนาคม จาก 80 บาท/กก. เหลือ 50-35-30 บาท/กก. เม็ดเงินหายไปกว่า 400 ล้านบาท ขณะที่ล้งผลไม้มีปัญหาการขาดแคลนแรงงานเก็บผลไม้ โดยเหลือเวลาเพียง 7 วันก่อนสงกรานต์ที่แรงงานกัมพูชาสวนผลไม้ประมาณ 30,000 คนจะกลับบ้านหมด ทำให้ต้องรีบดำเนินการประชุม เพราะเดือนเมษายนนี้จะมีผลไม้ออกสู่ตลาดประมาณ 80,000 ตัน ซึ่งที่ประชุมเสนอแนวทางรองรับเร่งด่วน 4 ข้อ คือ 1) ปัญหาแรงงานกัมพูชากลับบ้านช่วงสงกรานต์ 15 วัน ซึ่งตรงกับมังคุด ทุเรียน เงาะออกสู่ตลาด ต้องหาแรงงานภายในประเทศมาทดแทน ส่วนแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานควรผ่อนปรนเรื่องการใช้เอกสารหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) และหนังสือผ่านแดน (บอร์เดอร์พาส) เพราะสภาพที่แท้จริง แรงงานกัมพูชาที่ไม่ถูกต้องในล้งประมาณ 40% หากถูกเจ้าหน้าที่จับกุมจะส่งผลให้ล้งปิดการรับซื้อ และเกษตรกรจะได้รับผลกระทบหนัก   2) ปัญหาด้านการตลาด เพื่อให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรม ล้งและลูกล้งผู้รับซื้อรายย่อยต้องประกาศราคารับซื้อทุกวันตั้งแต่ 09.00 น. 3) ล้งที่มีปัญหารับซื้อผลไม้ที่ไม่มี GAP และล้งเองไม่มี GMP ได้ให้หน่วยงานเข้ามาช่วยอำนวยการความสะดวกทำให้ถูกต้อง 4) การระบายผลผลิตทั้งในและต่างประเทศ นำกลไกของสหกรณ์มาใช้เพื่อให้สหกรณ์เป็นตัวนำตลาดให้ได้ ตัดพ่อค้าคนกลาง และสภาเกษตรกรจังหวัด 3 จังหวัดภาคตะวันออกช่วยกันกระจายผลผลิตทุกเกรดไปนอกพื้นที่ ส่วนการแก้ปัญหาแรงงานอย่างเร่งด่วนก่อนถึงช่วงสงกรานต์ มีการเสนอให้ผ่อนปรนการเข้มงวดจับกุมแรงงานในช่วงฤดูกาลผลไม้ และตั้งศูนย์ One Stop Service (OSS) ที่ชายแดน และหาวิธีการนำแรงงานภายในประเทศทดแทน ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี (อบจ.) ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามการบริหารจัดการผลผลิตเกษตรภาคตะวันออก เพื่อเฝ้าระวังดูแลแก้ปัญหาเรื่องผลไม้ตลอดฤดูกาล แรงงานในล้งไม่ถูกกฎ 40% นายสุชาติ จันทร์เหลือง หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า ราคามังคุดตกต่ำไม่ใช่ปัญหาการล้นตลาด แต่เกิดจากมังคุดสุกเร็วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม จากที่คาดการณ์ไว้ต้นเดือนเมษายน เนื่องจากฝนตกและแดดจัด ล้งมังคุดในจันทบุรี 60 กว่าแห่ง วางแผนจะเปิดรับซื้อเดือนเมษายน จึงเพิ่งเปิดเพียง 6 แห่ง และต้องรองรับผลผลิตทั้ง 3 จังหวัด ภาพรวมปีนี้ภาคตะวันออกมังคุดผลผลิตเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว นายภานุวัฒน์ ไหมแก้ว นายกสมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน มังคุด กล่าวว่า แรงงานกัมพูชาแทบทุกล้งเอกสารไม่ถูกต้อง 20-40% คือมีหนังสือเดินทาง หรือหนังสือผ่านแดน แต่บางคนยังไม่ได้ทำหรืออยู่ระหว่างขอทำใบอนุญาตทำงาน เพราะแรงงานมีการเข้า-ออกตลอดเวลา บางคนมา 4-5 วัน หนีไปทำงานที่อื่น ต้องรับเข้ามาใหม่ จึงอยากเสนอให้ภาครัฐตั้งหน่วยวันสต็อปเซอร์วิสบริการที่ชายแดนบ้านแหลม บ้านผักกาด เพื่อให้ดำเนินการทุกอย่างเสร็จสิ้นที่ชายแดน และระหว่างนี้ขอผ่อนปรนกรณีเจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุม ถ้าล้งใหญ่ 30-40% เกิดความตระหนกส่งคนงานกลับ หรือปิดล้ง เกษตรกรจะได้รับผลกระทบหนัก นายวุฒิพงศ์ รัตนมณฑ์ ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดตราด กล่าวว่า แรงงานกัมพูชาจังหวัดชายแดน เช่น พระตะบอง-ตราด ต้องมีการคุยกันระดับประเทศ เพราะมีรายละเอียดที่ยังไม่สะดวก แม้จะผ่อนผันให้จัดทำเอกสารบอร์เดอร์พาส แต่แรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในจังหวัดชายแดน ต้องใช้เวลานาน เสียค่าใช้จ่ายสูงคนละ 4,000 บาท นายจ้างต้องสำรองเงินไปก่อน และยังมีปัญหาแรงงานหนีไปทำงานกับนายจ้างอื่น ๆ อีก ภาครัฐควรผ่อนปรนการเข้ามาทำงานในช่วงฤดูกาลผลไม้สั้น ๆ 3-4 เดือน ส่วนการใช้แรงงานนอกพื้นที่ทดแทนเป็นเรื่องยาก และแรงงานกัมพูชามีความอดทนสู้งานมากกว่าแรงงานคนไทย จี้ล้งขึ้นป้ายราคาซื้อชัดเจน นายสว่าง ชื่นอารมณ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดตราด กล่าวว่า ภาครัฐควรผ่อนปรนปัญหาเรื่องแรงงาน เพราะมังคุดเป็นผลไม้ที่ต้องใช้แรงงานมากกว่าทุเรียน 2 เท่า และปีนี้ผลผลิตมากขึ้นกว่าเท่าตัว หรือกรณีล้งไม่มีมาตรฐาน GMP ส่งออกไม่ได้ ใช้วิธีสวมสิทธิ์กันอยู่ เจ้าหน้าที่ต้องดูแลทำแบบบูรณาการเพื่อความสะดวกรวดเร็ว และด้านการตลาด เห็นด้วยที่จะให้ล้งประกาศราคารับซื้อแต่ละวันช่วงเช้าตั้งแต่ 09.00 น. เพราะเกษตรกรจะได้ข้อมูลเลือกตัดสินใจ ที่ผ่านมากว่าล้งจะแจ้งราคา 15.00 น. หรือ 16.00 น. ชาวสวนกลับตัวไม่ทัน และไม่มีทางเลือก นายไพฑูรย์ โกเมน เกษตรและสหกรณ์จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า มีการแจ้งร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่ส่วนกลางจับกุมแรงงาน ล้งถูกปรับเป็นแสนบาท และส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อมีข่าวกระจายว่าจะดำเนินการตรวจสอบทุกล้ง จึงทำให้ล้งไม่กล้ารับซื้อเกรงถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วน GMP สวพ.6 สำรวจ ล้งทั้งหมดมี 605 ล้ง ได้ GMP 160 ล้ง จำนวนล้งที่เพิ่มขึ้นมาก เจ้าหน้าที่ต้องระดมช่วยกันให้ทันกับสถานการณ์ นายชวภณ ศตนันท์นารา จัดหางานจังหวัดจันทบุรี ชี้แจงว่า ปัญหาแรงงานที่จะเข้ามาในช่วงที่ขาดแคลน ที่ผ่านมาเป็นปัญหาทางจิตวิทยาสร้างความกลัว ความตกใจ บางเรื่องไม่สามารถบังคับหรือจัดการได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับนโยบายจากทางส่วนกลาง แต่ 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ปฏิบัติตามนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัด เรื่องค่าใช้จ่ายและกระบวนการขั้นตอนที่ยุ่งยากได้ผ่อนปรนในหลายเรื่องเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ และไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายสูง ค่าใบอนุญาต ค่าตรวจโรค ค่าใช้จ่ายประมาณ 1,325 บาทต่อคน ทำงาน 3 เดือน ส่วนปัญหาแรงงานไม่พอช่วงเดือนเมษายน หากต้องการให้มีจัดตั้งศูนย์ OSS พร้อมดำเนินการ   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-312705

จำนวนผู้อ่าน: 1959

08 เมษายน 2019

ทำไม “เดอะมอลล์” ต้องเปลี่ยน Winning Formula “ทุกสนามที่ปักธง…เราต้องชนะ”

ลังประกาศแผนการลงทุนรอบใหม่ครั้งใหญ่มูลค่ากว่าแสนล้านบาท สำหรับทิศทางลงทุนในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป โดยมีเมกะโปรเจ็กต์ยักษ์ “แบงค็อกมอลล์” “เอ็มสเฟียร์” “เดอะมอลล์ รามคำแหง” เป็น 3 หัวหอก พลิกโฉมการลงทุนเดอะมอลล์ กรุ๊ป อย่างเต็มรูปแบบศุภลักษณ์ อัมพุช (คุณแอ๊ว) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ฉายภาพการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ และยอมรับว่า new era ต่อไปของเดอะมอลล์ มีความท้าทายหลาย ๆ ด้าน เนื่องจากรีเทล อินดัสตรี เปลี่ยนไปอย่างมาก “เป็นเรื่องที่คาดเดายากพอสมควร เพราะเดี๋ยวนี้ทุกอย่างอยู่ในมือถือหมด การดิสรัปต์ที่เกิดขึ้นในธุรกิจต่าง ๆ เหมือน third world war ในโลกการค้า ซึ่งสู้รบกันด้วยเทคโนโลยี สมัยก่อนรีเทลจะขีดวงอยู่แค่ในประเทศ แต่ตอนนี้โลกไม่มีพรมแดนด้านการค้าอีกต่อไป และกลายเป็นโกลบอไลซ์ ทุกคนสามารถเข้าไปค้าขายได้ทุกที่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นอเมซอน ลาซาด้า หรือบรรดาแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่แข่งขันกันอย่างหนัก” การเปิดเกมรุกใหม่ครั้งนี้ยังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับกระแส “ช็อปปิ้งออนไลน์” ที่กำลัง “ดิสรัปต์” ธุรกิจรีเทล หากยังเป็นการ “ทรานส์ฟอร์ม” ครั้งสำคัญ ไม่เพียงเพื่อสร้างการเติบโตที่ต่อเนื่อง และยั่งยืน เพื่อก้าวสู่ทศวรรษที่ 4 ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป และรับมือกับความท้าทายของธุรกิจรีเทลในยุคดิจิทัล ศูนย์การค้ายังไปได้  “ศูนย์การค้ายังไปได้ แต่ต้องมีความแตกต่าง winning formula ต้องหาให้ได้ว่าอะไรจะเป็นตัวดึงให้คนอยากมา เพราะถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ คนก็ไม่ออกจากบ้าน ยกตัวอย่างที่เรากำลังเปลี่ยนเดอะมอลล์ ดีพาร์ตเมนต์สโตร์ ให้เป็น life store เพราะต้องการบอกลูกค้าว่า เราไม่ใช่แค่ดีพาร์ตเมนต์สโตร์อีกแล้ว”   หรือการที่เดอะมอลล์ร่วมทุนกับ AEG ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมความบันเทิงโลก สร้างสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตและความบันเทิงต่าง ๆ ที่เอ็มสเฟียร์ และแบงค็อกมอลล์ เกิดเป็น attraction และ powerfull magnet ซึ่งเป็นอาวุธที่สำคัญมาก และสร้างความแตกต่างให้โดดเด่นในการทำธุรกิจจากนี้ “เมื่อก่อนเราพูดกันแต่โลเกชั่น เดี๋ยวนี้โลเกชั่นดี ๆ อย่างเดียวไม่พอ ต้องทำให้ผู้มาใช้บริการได้รับบริการที่ดี ประสบการณ์ที่ดี ทำให้การคิดหาแอตแทรกชั่นกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก สมัยก่อนสร้างศูนย์การค้าขึ้นมามีของให้หลากหลายก็พอ แต่เดี๋ยวนี่ไม่ใช่ ต้องมีอะไรมากกว่านั้น ต้องครบ มีส่วนที่เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ต้องออนอินวัน ต้องเป็นมิกซ์ยูส มีที่อยู่อาศัย โรงแรม” ธรรมดา…เราไม่ทำ  นอกจากการขยายสาขาใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นแล้วนั้น big data ที่ถูกต้องและแม่นยำ เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกในยุคปัจจุบันที่ต้องเจอความท้าทายมากขึ้นจากเดิม การเข้ามาของอีคอมเมิร์ซ หรือค้าปลีกออนไลน์ ทำให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัว “แนวทางการทำงานของเดอะมอลล์ชัดเจนว่า ธรรมดา…เราไม่ทำ การแข่งขันของธุรกิจไม่จำเป็นต้องไปสู้ทุกสนาม แต่ทุกสนามและทุกทำเลที่ไปลงทุน เราต้องชนะ เพราะฉะนั้น สูตรในการทำธุรกิจของเดอะมอลล์ต้องเลือก อะไรคือ winning formula ที่สอดคล้องกับการทำงานของเรา” เช่นเดียวกับหลังจากนี้จะเห็นภาพการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ ที่มากขึ้น ทั้งในระดับโลคอลและโกลบอลที่เราจะสร้างการเติบโตของธุรกิจร่วมกัน ทิศทางของกลุ่มเดอะมอลล์จะไม่ได้เป็นเพียงห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าอีกต่อไป เพราะในยุคของการแข่งขัน ทุกธุรกิจต้องมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในแต่ละทำเลแต่ละสาขาจะมีความหลากหลาย เดินหน้า New Era  ในช่วง 2-4 ปีจากนี้ไปจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มเดอะมอลล์อย่างชัดเจน ทั้งแบงค็อกมอลล์ โครงการซึ่งเป็น grand statement บนที่ดินกว่า 100 ไร่ ขนาดโครงการ 1,200,000 ตร.ม. ภายใต้คอนเซ็ปต์ City Within The City จะเปิดให้บริการในปี 2565ดิ เอ็มสเฟียร์ พื้นที่กว่า 200,000 ตร.ม. ใจกลางสุขุมวิท และเมื่อสร้างเสร็จในปี 2565 จะรวมกับดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ กลายเป็น “ดิ เอ็มดิสทริค” เดอะมอลล์ รามคำแหง เป็นการทุบตึกเก่าทิ้งและสร้างใหม่ในรูปแบบ “mixed use complex” บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ พื้นที่กว่า 230,000 ตร.ม. คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564-2565 เช่นเดียวกับการยกเครื่องสาขาเดิม เดอะมอลล์ ท่าพระ, งามวงศ์วาน, บางแค และบางกะปิ ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Mall Lifestore, A Happy Place To Live Life ด้วยรูปโฉมใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะทยอยเปิดในช่วง 2-3 ปีจากนี้ ขอเป็นปลาใหญ่ที่รวดเร็ว  “โปรเจ็กต์ต่าง ๆ ของเราช้ากว่าที่เคยบอกไว้ เพราะต้องหา winning formula ให้ได้ ซึ่งมันไม่ง่าย แต่ละโครงการยังใหญ่มาก ของเราโปรเจ็กต์เดียว เท่ากับคนอื่น 4 โปรเจ็กต์ ทำเล็ก ๆ ไม่มีประโยชน์ ซึ่งทำให้เราต้องเป็นทั้งปลาใหญ่ที่รวดเร็ว การเป็นปลาตัวใหญ่แต่ช้าก็ไม่ดี เล็กแต่เร็วสเกลก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นปลาตัวใหญ่ที่รวดเร็ว นี่คือจุดที่เดอะมอลล์ต้อง change ไปให้ได้” สอดคล้องกับภาพการสร้างทีมงานใหม่เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและการลงทุนครั้งใหญ่ในอนาคต ได้ดึงทีมผู้บริหารระดับสูงที่มีความเชี่ยวชาญในวงการค้าปลีกจากทั้งในประเทศและต่างประเทศมาเสริมทัพ “ที่ผ่านมาทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่ตัวคุณแอ๊วทั้งหมด มีอะไรเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ต้องมาหาคุณแอ๊ว แต่ตอนนี้มันไม่ได้แล้ว เพราะโลกมันเปลี่ยน เรื่องบางเรื่องคุณแอ๊วก็ไม่ได้รู้ทั้งหมด จึงเป็นการดึงคนเก่ง ๆ มาทำงานร่วมกัน เป็นการทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญของกลุ่มเดอะมอลล์ เราเรียกว่า M transformation เพื่อก้าวกระโดดของธุรกิจและเข้าสู่ทศวรรษที่ 4” เมื่อความเปลี่ยนแปลงของ “ลูกค้า” มีความซับซ้อน กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายในทุกวินาทีของการทำธุรกิจ “รีเทล” ที่ต้องก้าวไปให้มากกว่าและเร็วกว่าลูกค้า   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-312653

จำนวนผู้อ่าน: 1968

08 เมษายน 2019

“สมคิด” เร่งท่องเที่ยวพยุงศก. สั่งเน้นมาตรการ “แรง-เร็ว” เห็นผลทันที

รองนายกฯ สมคิด สั่งเร่งเครื่องท่องเที่ยวพยุงเศรษฐกิจ เน้นมาตรการที่ส่งผลแรง เร็ว เห็นผลเป็นรูปธรรม มุ่งจับปลาตลาดใหญ่ “จีน-อินเดีย” เหตุสถานการณ์ไตรมาส 2 น่าห่วง ชี้เศรษฐกิจโลกป่วน-การเมืองไทยไม่นิ่ง พร้อมรับลูกต่ออายุมาตรการยกเว้นฟรี VOA ไปถึงสิ้นตุลาคมนี้  นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงต้นปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกส่อเค้าชะลอตัวจนหลายประเทศปรับลดเป้าทางเศรษฐกิจ และมองว่าประเทศไทยที่มีการส่งออกเป็นรายได้หลักจะต้องรับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่ไม่นิ่งและยังไม่ได้รัฐบาลใหม่ การท่องเที่ยวที่ถือเป็นเสาหลักหนึ่งของเศรษฐกิจไทยจำเป็นจะต้องถูกผลักดันอย่างเร่งด่วนเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ   นายสมคิดกล่าวว่าในสภาวะเร่งด่วนเช่นนี้นั้นจำเป็นจะต้องมีมาตรการที่ส่งผลแรงและเร็ว สร้างแรงกระเพื่อมในทิศทางบวกเพื่อให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม จับต้องได้ภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนที่จะถึงนี้ ดังนั้น การตลาดจะต้องโฟกัสให้ชัดเจน โดยเฉพาะจีนและอินเดียซึ่งเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ มีช่องว่างสำหรับการเติบโต และเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อมาก นอกจากนั้น เพื่อผลักดันให้นักท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น สินค้าและบริการที่ภาคการท่องเที่ยวเสนอขายควรต้องแตกต่างจากที่เคยทำมา โดยเน้นนำเสนอสินค้าที่มีในประเทศไทยและเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว รวมถึงควรจะมาอยู่รวมกันในร้านเดียวให้สามารถจับจ่ายได้ภายในร้านเดียวที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ควรจะเข้ามาช่วยส่งเสริมและผลักดันสินค้าเพื่อนักท่องเที่ยวด้วย นายสมคิดยังกล่าวด้วยว่า สำหรับการต่ออายุมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ ฟรี VOA ที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และภาคการท่องเที่ยวได้นำเสนอให้ต่ออายุออกไปจนถึง 31 ตุลาคม 2562 เพื่อให้ครอบคลุมวันชาติจีนนั้น สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป ส่วนการขยายเวลามาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับเมืองรองที่ ททท. เสนอให้ขยายครอบคลุมการท่องเที่ยวในประเทศทั้งหมดและเพิ่มให้ 2 เท่าสำหรับพื้นที่เมืองรอง (สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท) เบื้องต้นให้ ททท. ประสานงานพูดคุยกับกระทรวงการคลังต่อไป “ได้เสนอให้ ททท. และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องวางจุดหมายของการสร้างการท่องเที่ยวเมืองรองให้ชัดเจน พร้อมปรับการคมนาคมและภูมิทัศน์ให้เหมาะแก่การท่องเที่ยวมากเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับโครงการไทยแลนด์ ริเวียร่าที่ควรจะปักหมุดหมายเมืองเริ่มต้นพัฒนาให้ชัดเจนเพื่อบูมพื้นที่นี้ก่อนจะขยายผลต่อไป” นายสมคิดกล่าว ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวที่เสนอต่อรองนายกฯ ว่า นอกจากการต่ออายุมาตรการฟรีวีโอเอแล้วนั้น ททท.ยังได้เสนอการขยายเวลาปิดด่านชายแดนถาวรที่จังหวัดขอนแก่น มุกดาหาร อุบลราชธานี สุรินทร์ สระแก้ว เชียงราย และแม่ฮ่องสอนออกไปเป็นเปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันศุกร์ รวมถึงได้เสนอมาตรการ My first passport สำหรับดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ๆ และยังได้เสนอมาตรการลดราคาและสิทธิพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย อาทิ Passport Previllge, One plus one เป็นต้น   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-312515

จำนวนผู้อ่าน: 1856

08 เมษายน 2019

“ญี่ปุ่น” โอเค “จีน” ยังไม่เฟิร์ม “กลุ่ม ซี.พี.” รอตัวช่วยจุดพลุไฮสปีด

ไม่ถอดใจ ! แต่การเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา มูลค่ากว่า 2.24 แสนล้านบาท ก็ไม่ฉลุยอย่างที่ “กลุ่ม ซี.พี.และพันธมิตร” คิด จึงทำให้การเจรจาต้องขยับไทม์ไลน์อยู่หลายครั้ง ล่าสุด “กลุ่ม ซี.พี.” มีกำหนดประชุมร่วมกับคณะกรรมการคัดเลือกโครงการ รายงานผลการเจรจากับพันธมิตรด้านการเงินในวันที่ 4 เม.ย. 2562 พันธมิตรกลุ่ม ซี.พี.มีทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น และยุโรป ประกอบด้วย บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ถือหุ้น 5% บจ.ไชน่า คอนสตรักชั่นคอร์ปอเรชั่น จากประเทศจีน ถือหุ้น 10% บมจ.ช.การช่าง และ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM ถือหุ้น 15%   องค์กรความร่วมมือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และการพัฒนาเมืองในต่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น (JOIN), บจ.ซิติกกรุ๊ป จากประเทศจีน บจ.ไชน่า รีเสิร์ช (โฮลดิงส์) จากประเทศจีน, บจ.ซีเมนส์ จากประเทศเยอรมนี, บจ.ฮุนได จากประเทศเกาหลี, บจ.Ferrovie dello Stato Italiane (FS) จากประเทศอิตาลี, บจ.CRRC-Sifang จากประเทศจีน และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ประเทศญี่ปุ่น รายงานข่าวแจ้งว่า ตอนนี้ ซี.พี.รอคำตอบจากผู้ร่วมลงทุนจากจีนเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ร่วมลงทุน 10% ทั้งก่อสร้างและงานระบบ เนื่องจาก ซี.พี.จะใช้ระบบรถไฟของจีน ขณะที่เจบิกได้ข้อสรุปแล้วจะปล่อยกู้รูปแบบโปรเจ็กต์ไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ยต่ำไม่เกิน 2% ส่วนสถาบันการเงินในไทย 4-5 แห่งจะกู้ในรูปแบบสินเชื่อที่ให้กับบริษัทขนาดใหญ่ “ซี.พี.เขาเอาแน่โครงการนี้ แต่พันธมิตรเยอะ จึงต้องใช้เวลาเจรจากว่าจะลงตัว ซึ่งการเจรจากับจีนไม่ง่าย ดูได้จากรถไฟไทย-จีน ใช้เวลาหลายครั้งมาก อย่างไรก็ตาม ท่าที ซี.พี.ก็อ่อนไปมาก หากสามารถหาเงินกู้ต้นทุนต่ำเพื่อลดความเสี่ยงของโครงการไปได้บ้าง จะทำให้ปลดล็อกข้อเสนอด้านการเงินที่เขาพยายามยื่นเสนอก่อนหน้านี้ได้” ด้าน “วรวุฒิ มาลา” รักษาการผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกโครงการ เปิดเผยว่า กลุ่ม ซี.พี.ขอเวลาเจรจาด้านการเงินกับพันธมิตร โดยจะให้คำตอบภายในวันที่ 4 เม.ย.นี้ จากเดิมกำหนดจะประชุมร่วมกันวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา “ซี.พี.รอคำตอบจากพันธมิตรจีน ส่วนทางญี่ปุ่นเคลียร์จบแล้ว คาดว่าวันที่ 4 เม.ย.นี้การเจรจาน่าจะจบเรื่องข้อเสนอด้านการเงิน จากนั้นจะนำไปสู่การเจรจาในข้อเสนอที่ง่ายและได้ข้อสรุปสุดท้ายก่อนสงกรานต์อย่างที่ตั้งเป้าไว้” นายวรวุฒิกล่าวและย้ำว่า เนื่องจากโครงการใช้เงินลงทุนมาก กลุ่ม ซี.พี.ต้องการลดความเสี่ยง จึงต้องหาต้นทุนดอกเบี้ยต่ำที่สุด หากได้ข้อสรุป จะทำให้เงื่อนไขที่นอกเหนือทีโออาร์และมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่อนคลายหมด เช่น ขอให้รัฐจ่ายเงินอุดหนุนตั้งแต่ปีแรกหรือจ่ายค่าเช่าที่ดินมักกะสันภายหลัง อย่างไรก็ตาม จากท่าทีของพันธมิตรต่างชาติของ ซี.พี.ที่ยังไม่มีคำยืนยันเรื่องเงินลงทุน ว่ากันว่า อาจจะเป็นเพราะกำลังรอลุ้นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ เหมือนที่คนไทยทั้งประเทศกำลังลุ้นอย่างใจระทึก ! ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-311170

จำนวนผู้อ่าน: 2250

04 เมษายน 2019

ราคาน้ำมันดิบปรับลด หลังตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐสูงกว่าคาด

– ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับลดลง หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณนํ้ามันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 29 มี.ค. 62 ปรับตัวเพิ่ม 7.2 ล้านบาร์เรล โดยปรับเพิ่มจากปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น และปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 12.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่มากที่สุด + อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดิบที่ขาดหายไปจาการคว่ำบาตรสหรัฐฯ ที่จะเพิ่ม และอาจรวมถึงการไม่ยืดเวลาการยกเว้นการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านของ 8 ประเทศหลังเดือน พ.ค. รวมถึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากกลุ่มโอเปกที่ยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง   + สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่จากทางการจีนระบุว่ามีความคืบหน้าครั้งใหม่หลังการเจรจาในสัปดาห์ที่แล้ว และจีนให้คำมั่นที่จะเปิดเสรีในอุตสาหกรรมต่างๆ ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลงสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ จากอุปทานในภูมิภาคเอเชียเหนือที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามอุปสงค์ในภูมิภาคเอเชียยังคงสนับสนุนตลาด ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในภูมิภาคปรับตัวลดลง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-311166

จำนวนผู้อ่าน: 1979

04 เมษายน 2019

ผลวิจัยชี้ กินอาหารไม่ดีเป็นเหตุให้คนตาย 1 ใน 5 คนทั่วโลกทุกปี

แฟ้มภาพ ผลวิจัยชี้อาหารที่เรารับประทานกันทุกวันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรมาถึง 11 ล้านคนต่อปี หรือคิดเป็น 1 ใน 5 ของยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลก   งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์แลนเซ็ทซึ่งเป็นงานวิจัยจาก The Global Burden of Disease Study ที่มีการเก็บข้อมูลสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนทั่วโลกพบว่า การรับประทานอาหารในแต่ละวันของเราเป็นเหตุของการเสียชีวิตมากกว่าการสูบบุหรี่และเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้คน 1 ใน 5 คนต่อปี   การบริโภคเกลือมากเกินความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเกลือที่พบในขนมปัง ซีอิ๊ว หรือเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการแปรรูป ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนเสียชีวิตเร็วขึ้น ทั้งนี้ผู้เสียชีวิต 10 ล้านจาก 11 ล้านคนที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ มักจะเสียชีวิตอันเนื่องมาจากโรคหัวใจหรือโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งอธิบายว่าเหตุใดการบริโภคเกลือจึงถือเป็นปัญหาหลัก เพราะเกลือมีส่วนทำให้ความดันโลหิตสูง ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เกิดหัวใจวายตามมา ผลการวิจัยยังระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะของผู้คนทั่วโลกดังนี้ 1. การบริโภคเกลือมากเกินไปทำให้มีผู้เสียชีวิต 3,000,000 คน 2. การบริโภคธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีน้อยเกินไปทำให้มีผู้เสียชีวิต 3,000,000 คน และ 3. การบริโภคผลไม้น้อยเกินไปทำให้มีผู้เสียชีวิต 2,000,000 คน ขณะที่การบริโภคถั่ว ธัญพืช ผัก รวมถึงโอเมก้า-3 จากอาหารทะเล และไฟเบอร์น้อยเกินไป ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอีกด้วย ทีมนักวิจัยย้ำว่าผลการศึกษาดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน แต่มุ่งเน้นไปที่การรับประทานอาหารด้อยคุณภาพ ซึ่งส่งผลเสียต่อหัวใจและทำให้เกิดมะเร็ง และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้คนทั่วโลกมากกว่าที่เราคิดกัน   ที่มา:มติชนออนไลน์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/spinoff/health/news-311162

จำนวนผู้อ่าน: 1949

04 เมษายน 2019

WEF เปิด “ด้านมืด” รถยนต์ไฟฟ้า

ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้า หรือ “อีวี” เป็นที่จับตามองด้วยศักยภาพของรถยนต์อีวีที่ตอบโจทย์กระแสรักษ์โลก ลดการปล่อยมลพิษ และค่ายรถยนต์ก็ตอบรับผลิตรถออกมาในตลาดมากขึ้น นักวิเคราะห์มองว่ายอดขายรถอีวีอาจจะพุ่งขึ้นสูงถึง 1 ใน 3 ของยอดขายรถยนต์ใหม่ในอีก 10 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม การใช้งานรถอีวีในปัจจุบันยังมีสัดส่วนที่ต่ำ รายงานจาก “เวิลด์ อีโคโนมิกส์ ฟอรั่ม” (WEF) ระบุว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์อีวีทั่วโลกในปี 2018 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.4% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด   สาเหตุสำคัญมาจากโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งานรถยนต์อีวี โดยเฉพาะสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าที่ยังไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ใช้รถเกิดความไม่มั่นใจ สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของผู้มีส่วนในการออกนโยบายเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์อีวี ในการเพิ่มจุดชาร์จพลังงานไฟฟ้าอย่างทั่วถึง และสร้างความเชื่อมั่นในด้านอื่น ๆ เช่น รัฐบาลท้องถิ่นของ “ฮ่องกง” ที่มีการส่งเสริมการใช้งานรถยนต์อีวี ด้วยการเพิ่มจุดชาร์จพลังงาน อีกทั้งยังเชื่อมต่อระบบการจ่ายเงินค่าพลังงานไฟฟ้าเข้ากับระบบจ่ายเงินค่าขนส่งสาธารณะ ซึ่งเรียกว่า octopus เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ รายงานของ WEF ระบุถึง “พฤติกรรมของผู้ใช้” ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ เพราะส่วนมากยังนิยมใช้งานเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม การเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนจึงเป็นเรื่องที่ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน ขณะเดียวกัน WEF ก็มีรายงานเรื่อง “The dirty secret of Electric Vehicles” ที่เปิดด้านมืดในกระบวนการผลิตรถยนต์อีวี จากกรณีที่ “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล” ร้องเรียนอยู่บ่อยครั้ง ในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการใช้แรงงานเด็ก ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ “โคบอลต์” (cobalt) วัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์อีวี แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า คนงานเหมืองแร่โคบอลต์ในประเทศคองโก มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางเดินหายใจจากฝุ่น โดยผลวิจัยพบว่า คนงานที่อายุน้อยที่สุดมีอายุเพียง 7 ปีเท่านั้น และได้รับค่าแรงเพียงวันละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ การละเมิดสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ทำให้หลายประเทศเริ่มมีการออกกฎห้ามการซื้อขายโคบอลต์ที่มีกระบวนการผลิตที่ละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน รวมทั้งส่งเสริมการรีไซเคิลเพื่อลดการนำเข้าโคบอลต์ใหม่ ๆ ด้วย ดังนั้น “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่ถูกเรียกว่าเป็นรถพลังงานสะอาด ที่ทั้งค่ายรถและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างให้การตอบรับ หวังจะช่วยลดปัญหาโลกร้อน จึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า กว่าจะมาเป็นรถยนต์พลังงานสะอาด ในขั้นตอนกระบวนการผลิต โดยเฉพาะแบตเตอรี่นั้นก็สร้างทั้งมลพิษ และปัญหาการใช้แรงงานเด็กจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และยังไม่ได้พูดถึงหลังจากแบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน วิธีการทำลายหรือรีไซเคิล แล้วเช่นนั้นอีวีจะยังเป็นรถยนต์พลังงานสะอาดที่ไม่สร้างมลพิษให้กับโลกจริงหรือ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-311122

จำนวนผู้อ่าน: 1997

04 เมษายน 2019

ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค แลนมาร์กใหม่ใจกลางกรุง!

จากความตั้งใจเดิมของ “ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย” ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานบริษัท ดุสิตธานี จำกัด ที่ต้องการให้ “ดุสิตธานี กรุงเทพฯ” เป็นตัวแทนโรงแรมไทยของคนไทยที่มีมาตรฐานระดับโลก ซึ่งทำสำเร็จจนดุสิตธานีกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กเมืองไทย แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนการแข่งขันก็เปลี่ยนไป “ดุสิตธานี กรุงเทพฯ” จึงปิดตัวลง และเตรียมเกิดใหม่ภายใต้ชื่อ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC เผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กลุ่มดุสิตฯมีความตั้งใจที่จะพัฒนาพื้นที่บริเวณหัวมุมถนนสีลม-พระราม 4 ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนไปได้และกลับมาเป็นผู้นำตลาดได้อีกครั้ง จึงได้จับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ผู้นำในการพัฒนาโครงการศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ ทุ่มเงินลงทุนกว่า 36,700 ล้านบาท สร้าง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค”   โครงการดังกล่าวเป็นโครงการแบบผสมผสาน (mixed-use) พื้นที่รวม440,000 ตร.ม. บนที่ดินกว่า 23 ไร่ ภายใต้การเชิดชูความเป็นไทยบนมาตรฐานสากล และแนวคิด “Here for Bangkok” เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ ใน 4 ด้านได้แก่ 1.Here for Heritage & Innovation 2.Here for Unrivalled Connectivity 3.Here for a Lush Quality of Life และ 4.Here for Meaningful Experiences โดยเชื่อว่าโครงการจะยังผลให้เกิดซูเปอร์คอร์ซีบีดี (Super Core CBD)ที่เชื่อมโยง 4 ย่านสำคัญ ได้แก่ ย่านราชประสงค์ ย่านเจริญกรุง ย่านสุขุมวิท และย่านเยาวราช ทำให้เกิดเป็น “The New Junction” ที่เชื่อมโยงหลายย่านสำคัญของกรุงเทพฯ เข้าด้วยกัน โดยโครงการจะประกอบด้วย 3 อาคารที่ถูกเชื่อมโยงกันด้วยหนึ่งฐานราก และเป็นโครงการมิกซ์ยูสแห่งเดียวในประเทศไทยที่สามารถเชื่อมต่อกับการจราจรทุกระนาบ ตั้งแต่รถไฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ตลอดจนการจราจรบนท้องถนน และทุกอาคารสามารถมองเห็นวิวสวนลุมพินีได้อย่างชัดเจนไร้การบดบัง “ศุภจี” ยังบอกด้วยว่า ในส่วนของ “โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ” โรงแรมใหม่ในชื่อเดิมจะเป็นโรงแรมขนาด 250 ห้องที่มีความสูง 39 ชั้นซึ่งจะให้ความสำคัญกับการเก็บเรื่องราว องค์ประกอบสำคัญของโรงแรมดุสิตธานีเดิมเอาไว้ ตั้งแต่การออกแบบ การนำชิ้นส่วนเอกลักษณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะความภาคภูมิใจในการบริการที่น่าประทับใจแบบไทยที่ทั่วโลกให้การยอมรับ โดยมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 และจะเปิดให้บริการก่อนส่วนอื่น ซึ่งเชื่อว่าแม้จะมีจำนวนห้องลดลงกว่าครึ่ง แต่ห้องที่ถูกสร้างใหม่ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นจะสามารถสร้างรายได้ได้มากกว่าเดิม ด้านอาคารที่พักอาศัยนั้นมีความสูง 69 ชั้น จำนวน 389 ยูนิต บนพื้นที่ 80,000 ตร.ม. ซึ่งแบ่งเป็น ดุสิต เรสซิเดนเซส(Dusit Residences) จำนวน 159 ยูนิต สำหรับกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบที่อยู่อาศัยสไตล์คลาสสิกเหนือกาลเวลา และรักความเป็นส่วนตัว รวมถึงครอบครัวขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และ ดุสิต พาร์คไซด์ (Dusit Parkside)ดีไซน์โมเดิร์นเหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง จำนวน 230 ยูนิต สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำงานในเมือง และครอบครัวขนาดเล็ก โดยลักษณะของอาคารเป็นอาคารที่พักแบบเช่าสิทธิ์ระยะยาว หรือลีสโฮลด์ ทำให้ราคาสามารถเอื้อมถึงได้ โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดให้จองภายในกลางปีนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ต้องปิดตัวก็เท่ากับว่ากลุ่มดุสิตฯ จะต้องสูญเสียรายได้จากโรงแรมดังกล่าวไปในระยะเวลาหนึ่ง แต่ทางกลุ่มได้เตรียมความพร้อมเพื่อที่จะสร้างสมดุลทางด้านรายได้แล้ว โดยการเข้าบริหารโรงแรมในรูปแบบเช่า (lease model) ในโครงการที่พร้อมดำเนินการ เพื่อรับผลตอบแทนมากขึ้น ซึ่งประกอบด้วย 2 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการบ้านราชประสงค์ และโครงการป้อมปราบศัตรูพ่าย ซึ่งคาดการณ์ว่าจากการลงทุนและบริหารงานทั้งหมดจะทำให้รายได้ปีนี้ของเครือดุสิตฯ เติบโต 8-10% สำหรับอีก 2 ยูสนั้นจะดำเนินการโดย “เซ็นทรัลพัฒนา” ภายใต้แบรนด์ “เซ็นทรัล พาร์ค” (Central Park) นั้น ประกอบไปด้วยเซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส(Central Park Offices) อาคารออฟฟิศที่พัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงความสมดุลในการใช้ชีวิตและการทำงาน บนพื้นที่ 90,000 ตร.ม. และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค (Central Park) ซึ่งจะนำเสนอประสบการณ์รีเทลแห่งอนาคต ขนาด 7 ชั้น บนพื้นที่กว่า 80,000 ตร.ม. และเป็นตัวเชื่อมโยงทุกยูสของโครงการเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็น New Urbanised Lifestyleระดับเวิลด์คลาสแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-311107

จำนวนผู้อ่าน: 2117

04 เมษายน 2019

ห้างฯเซ็นทรัลทุ่ม250ล้าน ยกเครื่องออนไลน์โฉมใหม่

“ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล” ทุ่ม 250 ล้านบาท พลิกโฉม central.co.th ชู 3 จุดโดนใจ “ครบครัน รวดเร็ว วางใจได้” ณัฐธีรา จิราธิวัฒน์ บุญศรี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด เผยว่า “จากสถิติ พบว่า ปัจจุบัน พฤติกรรมของประชากรบนโลกเปลี่ยนไป อันเป็นผลจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งโลก ตรงกันกับคนไทยมีการใช้อินเทอร์เน็ต มากกว่า 80% แสดงชัดเจนว่าพฤติกรรมคนไทยใช้ชีวิตติดอินเตอร์เน็ต โดย 1 ใน 5 ของกิจกรรมยอดนิยมบนโลกออนไลน์ คือ การช้อปปิ้ง สอดคล้องกับสถานการณ์อีคอมเมิร์ชของทั้งโลก ได้มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับในประเทศไทย ในปีที่ผ่านมาได้มีการขยายตัวมากถึง 14% และคาดการณ์ว่าปี 2019 จะเติบโตขึ้น 20% จากสถิติที่กล่าวมา ทำให้เราเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ชัดเจน ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ต้องการผสมผสานความแข็งแกร่งของออฟไลน์ เข้ากับกระแสการเติบโตของการค้าออนไลน์ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นที่หนึ่งของออมนิชาแนลห้างสรรพสินค้าไทย โดยมีแกนหลักสำคัญ 3 ประการในการเชื่อมโยงการช้อปปิ้งอย่างไร้รอยต่อ เริ่มจาก ตัวห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ที่ได้รับความเชื่อถือมายาวนานกว่า 70 ปี จนเมื่อห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลได้สร้างโซเชียลมีเดียบนแพลทฟอร์มต่างๆ เพื่อเป็นช่องทางในการกระจายข่าวสารของห้างสรรพสินค้าให้ลูกค้ารับทราบ ทำให้มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มค้าปลีกหลายแพลทฟอร์ม อาทิ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ ยูทูบ และทวิตเตอร์ และเมื่อลูกค้าให้การตอบรับจากช่องทางโซเชียลมีเดีย ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจึงได้พัฒนา บริการ Central Chat & Shop ผ่านแอปพลิเคชั่น Line ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ผสานการช้อปปิ้งบนโลกออนไลน์ และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ก่อให้เกิดประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ (Seamless shopping experience) สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 250 ล้านบาทในปี 2018 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 111% และคาดว่าในปี 2019 จะสร้างยอดขายได้ถึง 500 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นถึง 100%   สำหรับเว็บไซต์ central.co.th คือแกนหลักสำคัญ ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เปิดตัวตั้งแต่ปี 2014 ถึงวันนี้ ได้ตัดสินใจพลิกโฉมใหม่ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการช้อปปิ้งที่เปลี่ยนไป โดยนำจุดเด่นของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ด้านแบรนด์สินค้าชั้นนำครบทุกหมวดสินค้า ทั้งเครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก สินค้าแม่และเด็ก สปอร์ต และแก็ดเจ็ต เสมือนยกห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลมาไว้ในหน้าจอ ทั้งยังพิเศษกว่าด้วยการนำเอาแบรนด์สินค้า Exclusive ขายทางออนไลน์เฉพาะที่ central.co.th แห่งเดียวเท่านั้น อาทิ สินค้าแบรนด์หรูอย่าง Giorgio Armani (จิออร์จิโอ อาร์มานี), Nespresso (เนสเปสโซ) และ Delonghi (ดิลองกี้) รวมถึงสินค้า House Brand ระดับท็อป อย่าง Dorothy Perkins (โดโรธี เพอร์กินส์), Marks & Spencer (มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์), Minimono (มินิโมโนะ) และ Sanrio (ซานริโอ) เป็นต้น” ด้าน สเตฟาน จูเบิร์ท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายออนไลน์ และออมนิ-แชนแนล ซีอาร์เอ็ม บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด (Stephane Jubert, Senior Vice President, Online & Omni-channel CRM Director Central Department Stores) เปิดเผยว่า “จากผลวิจัยการสำรวจความรู้สึกของผู้บริโภครุ่นใหม่ (Customer Feeling) ที่มีต่อการช้อปปิ้ง พบว่า คนรุ่นใหม่ มักมองหาสิ่งที่ชื่นชอบ อยากซื้อแบรนด์ที่ชื่นชม ไม่อดทนที่จะต้องรอสินค้านานๆ และมักมีความรู้สึกกังวลทุกครั้งที่สั่งสินค้าทางออนไลน์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเข้าใจถึงความรู้สึก และความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ จึงได้นำมาเป็นโจทย์ในการปรับโฉม central.co.th ให้เข้าถึงความต้องการของลูกค้า ที่นิยมการช้อปปิ้งออนไลน์ ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 250 ล้านบาท” “เว็บไซต์ central.co.th โฉมใหม่ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ ‘MY CENTRAL IS NOW’ ที่สะท้อนตัวตนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในฐานะแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากคนไทยมายาวนาน และคำว่า Now ที่มาช่วยเน้นย้ำความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการความสะดวก สามารถซื้อของได้ทุกที่ทุกเวลา มีความรวดเร็ว และทันสมัย จากการปรับโฉม และระบบใหม่ครั้งนี้ เว็บไซต์ central.co.th จะสามารถเสริมความแข็งแรงให้ภาพรวมของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โดยใช้ฐานลูกค้าจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเพื่อออกโปรโมชั่นที่ตรงใจ ซึ่งคาดว่าสิ้นปี 2019 จะมียอดจำหน่าย 1,500 ล้านบาท หรือขยายตัว 150% จากปีก่อน ทั้งนี้ภายในปี 2023 ออนไลน์จะเติบโตและสามารถสร้างยอดขายได้เป็น 15% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-310355

จำนวนผู้อ่าน: 2142

03 เมษายน 2019

ก้าวใหม่ “ทุนลดาวัลย์” “ไบโอฟาร์มา” จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ขณะที่ประเทศไทยประกาศที่จะเป็น “เมดิคอลฮับ” ของภูมิภาค แต่โจทย์ท้าทายคือประเทศไทยยังต้องนำเข้าทั้งยาและเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งหมายถึงการที่ต้องพึ่งพาต่างประเทศ และที่สำคัญทำให้ต้นทุนการรักษาพยาบาลของคนไทยสูงขึ้น โดยเฉพาะประชาชนฐานรากที่จะประสบปัญหาไม่สามารถเข้าถึงยาที่มีคุณภาพได้ ดังนั้นเพื่อสร้างความมั่นคงทาง “ยา” และสาธารณสุขของประเทศ บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จึงริเริ่มลงทุนในธุรกิจยา โดยก่อตั้ง บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เมื่อปี 2552 ด้วยการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลในการวิจัยพัฒนา เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตยาที่เรียกว่า “ไบโอฟาร์มา” ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำทั้งยังร่วมมือกับ CIMAB รัฐวิสาหกิจยาอันดับหนึ่งของประเทศคิวบา จัดตั้งบริษัทร่วมทุน “เอบินิส” เพื่อวิจัยพัฒนายารักษาโรคมะเร็งและโรคแพ้ภูมิตัวเอง   ทุนลดาวัลย์สู่ผู้ผลิตยา “อภิพร ภาษวัธน์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และบริษัท เอเพ็กซ์เซล่า จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายของทุนลดาวัลย์ในการลงทุนในธุรกิจยา ไม่ได้มุ่งเรื่องผลกำไรทางธุรกิจ แต่เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านยาและความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขให้กับคนไทย เพื่อรองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยสยามไบโอไซเอนซ์เป็นผู้ผลิตยาที่ใช้เทคโนโลยีไบโอฟาร์มา (ชีววัตถุ) ที่สร้างมาจากธรรมชาติ ไม่ใช้ยาเคมี โดยมีการวิจัยและผลิตยาอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นแห่งแรกในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้คนไทยได้รับยาที่มีคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผลเข้าถึงได้เนื่องจากประเทศไทยนำเข้ายาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดยาปีละกว่า 2 แสนล้านบาท ปัจจุบันสัดส่วนของยานำเข้าสูงถึง 80% ทำให้ไทยขาดดุลการค้าด้านการแพทย์อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวสู่การเป็น “เมดิคอลฮับ” อย่างแท้จริง   10 ปีแห่งความอดทน “อภิพร” บอกว่า ธุรกิจยาเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความอดทนมาก ๆ เพราะนอกจากต้องใช้เวลาในการวิจัยพัฒนา อีกสิ่งสำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่น เพื่อให้เป็นที่ยอมรับยาที่ผลิตในประเทศ ดังนั้นการที่ไบโอฟาร์มาเป็นอุตสาหกรรมอนาคต และเป็นหนึ่งใน new S-curve ของประเทศ จึงต้องมีความอดทนในการที่จะสร้างธุรกิจขึ้นมา เพื่อช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงยาที่มีคุณภาพดี ด้วยราคาที่ต่ำกว่ายานำเข้าจากต่างประเทศ “ปัจจุบันบริษัทเข้าสู่ปีที่ 10 จนถึงขณะนี้มีการลงทุนไปแล้วประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยปี 2559 บริษัทเริ่มผลิตยาออกจำหน่ายมี 2 รายการ คือยาเพิ่มเม็ดเลือดแดงสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย และยาเพิ่มเม็ดเลือดขาวสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่รับคีโมและภูมิต้านทานลดลง ซึ่งยาทั้ง 2 รายการได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และได้รับการบรรจุเข้าบัญชียาของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานประกันสังคมแล้ว” นอกจากนี้สยามไบโอไซเอนซ์ยังเป็นโรงงานยาแห่งเดียวของประเทศที่ได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐานสากล PIC/s GMP, ISO 9001 : 2015, ISO 17025 : 2016 ทำให้ได้รับการยอมรับจากองค์กรต่าง ๆ อย่างเช่น อย., เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่จ้างให้บริษัทผลิตยาบางชนิด รวมถึงผลิตยารักษาสัตว์ให้กับเครือเบทาโกร เป็นต้น “บริษัทจึงตั้งเป้าในช่วง 5 ปีนับจากนี้จะวิจัยและพัฒนายาเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 40 รายการ โดยเฉพาะการพัฒนายารักษามะเร็ง ซึ่งได้ร่วมทุนกับรัฐวิสาหกิจยาของคิวบา ซึ่งกำหนดที่จะเริ่มผลิตจัดจำหน่ายได้ในปี 2564 ซึ่งบริษัทจะเป็นฐานผลิตให้กับคิวบาและละตินอเมริกา” “ไบโอฟาร์มา” ลุยตั้งแต่ต้นน้ำ “ดร.ทรงพล ดีจงกิจ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด อธิบายถึงกระบวนการผลิตยาของบริษัทว่า เริ่มจากการวิจัยพัฒนาสารตั้งต้นชีววัตถุ หรือ “ไบโอฟาร์มา” ซึ่งเป็นโปรตีนจากสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกันกับที่มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์ตามธรรมชาติ ซึ่งได้จากกระบวนการหมักเชื้อจุลินทรีย์ จากนั้นใช้ชีววัตถุดังกล่าวมาผลิตเป็นตัวยา ซึ่งยาชนิดดังกล่าวจะทำหน้าที่เลียนแบบโปรตีนที่มีอยู่ในร่างกายของผู้ป่วย เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ อย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคไต และโรคภูมิแพ้ตนเอง (ข้ออักเสบรูมาตอยด์ สะเก็ดเงิน) “ข้อดีของยาประเภทนี้คือส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับยาเคมีชนิดอื่น ๆ และสามารถเข้าไปรักษาได้อย่างตรงจุดด้วยการเข้าไปทำลายเซลล์กำเนิดโรคโดยไม่ส่งผลกระทบอวัยวะส่วนอื่น ซึ่งต่างจากยาเคมีที่จะทำลายเซลล์ดีในร่างกายไปด้วย ทั้งนี้เดิมสารตั้งต้นผลิตยาต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่สยามไบโอไซเอนซ์ได้วิจัยและพัฒนากระบวนการหมักและเลี้ยงจุลินทรีย์เพื่อสกัดชีววัตถุได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้า และยาทั้ง 2 รายการที่ผลิตก็ช่วยให้ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ขณะที่ผู้ป่วยได้รับยาที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้” “ปัจจุบันยาของบริษัทเป็นที่ยอมรับ โรงเรียนแพทย์ทุกแห่งได้นำยาเพิ่มเม็ดเลือดแดงและยาเพิ่มเม็ดเลือดขาวไปใช้ในการรักษาแล้ว ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจ ทำให้โรงพยาบาลเล็ก ๆ ยอมรับและนำไปใช้มากขึ้น” โจทย์ใหญ่ “ความเชื่อมั่น” “ธวัชชัย พิเศษกุล” กรรมการบริหาร บริษัท เอเพ็กซ์เซล่า จำกัด บริษัทในเครือทำหน้าที่ด้านการขายกล่าวเสริมว่า แม้ว่าราคายาของบริษัทจะถูกกว่ายานำเข้า 2-3 เท่า ช่วยให้ผู้ป่วยที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น รวมถึงยาของบริษัทจะไปอยู่ในบัญชียาของ สปสช.และสำนักงานประกันสังคมแล้ว แต่การทำตลาดยังต้องเข้าไปสร้างความเข้าใจและการยอมรับกับแพทย์ของแต่ละโรงพยาบาลอย่างมาก อุปสรรคสำคัญมาจากเรื่องของความไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของยา เพราะคนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในยานำเข้าจากต่างประเทศมากกว่า “สิ่งสำคัญคือต้องเปลี่ยนทัศนคติทั้งของผู้ป่วยและแพทย์ หากสามารถทำให้แพทย์เชื่อมั่นในคุณภาพของยาได้จะทำให้ผู้ป่วยมั่นใจไปด้วย แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นที่ยอมรับมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถจำหน่ายยาทั้งสองชนิดได้ประมาณ 1 ล้านหลอด จากความต้องการใช้ทั้งหมดประมาณ 4 ล้านหลอด” นอกจากนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพยาดังกล่าว ด้านหนึ่งบริษัทจะขยายการส่งออกยามากขึ้น เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกวิธีที่จะทำให้คนไทยยอมรับและเชื่อมั่นในคุณภาพยาของบริษัทไทยมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้มีการส่งออกไปยังเมียนมาและกัมพูชาแล้ว และจะขยายการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันบริษัทจะผลักดันเรื่องการได้รับรองมาตรฐานจากยุโรป ทั้งในส่วนของโรงงานการผลิตและการนำยาที่ผลิตได้ไปขึ้นทะเบียนที่ยุโรป โดยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะค่อย ๆ สะสมคะแนนเพื่อพิสูจน์และตอกย้ำถึงคุณภาพยาของบริษัท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกลับมาในประเทศ ต่อยอดสู่ “เวชสำอาง” นอกจากนี้สยามไบโอไซเอนซ์ยังแตกบริษัทลูกที่ชื่อว่า “อินโนไบโอคอสเมด” ดำเนินธุรกิจเวชสำอาง โดยใช้ชีววัตถุที่ใช้ในการผลิตยามาเป็นองค์ประกอบ สำหรับเรื่องนี้ “นฤมล ชุนหกรณ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินโนไบโอคอสเมด จำกัด บอกว่า ปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ แบรนด์ “อาร์เดอร์มิส” ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อลดเลือนริ้วรอยและผลิตภัณฑ์ลดปัญหาผมร่วง และแบรนด์ “ยูเดอร์มา” ผลิตภัณฑ์ลดเลือนรอยแผลเป็น “ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่เรียกว่าฮิวเมนอีจีเอฟ หรือโปรตีนที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ผิว ซึ่งได้มาจากกระบวนการผลิตเดียวกันกับการผลิตยา” จึงนับเป็นความก้าวหน้าทางด้านการวิจัยและพัฒนา “ยา” สำหรับอนาคตอย่างยั่งยืน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-310141

จำนวนผู้อ่าน: 3153

03 เมษายน 2019

ชี้กลุ่มแบงก์ Q1 กำไร 4.4 หมื่นล. จับตาดอกเบี้ย “บ้าน-รถ-รายใหญ่” ขยับ

“ASP” ส่องกำไรกลุ่มแบงก์ไตรมาส 1/62 โกย 4.4 หมื่นล้านบาท ลดวูบ 15% คาดปีนี้สินเชื่อโต 5.7% รายได้สินเชื่อกลับมาตามเศรษฐกิจ จับตาแบงก์ขึ้นดอกเบี้ย “บ้าน-รถ-รายใหญ่” ระบุสินเชื่อบ้านหดหลัง LTV เริ่ม 1 เม.ย.นี้ หวังสินเชื่อรายใหญ่ขับเคลื่อน ค่าย RHB การเมืองไทยไม่ชัดเจน กระตุกเศรษฐกิจ คาดเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นทั้ง “สินเชื่อบุคคล-เอสเอ็มอี” นางสาวอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส (ASP) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลประกอบการงวดไตรมาส 1/62 (Q1) ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) จำนวน 10 แห่ง คาดการณ์ว่าจะมีกำไรสุทธิรวม 44,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% เทียบกับไตรมาส 4/61 (QOQ) ที่มีกำไร 42,108 ล้านบาท แต่ลดลงกว่า 15.5% เทียบไตรมาสแรกปีก่อน (YOY) ที่มีกำไร 52,402 ล้านบาท เนื่องจากปีที่แล้วงวดไตรมาส 1 กลุ่มแบงก์ยังมีรายได้จากค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) การทำธุรกรรมโอนเงินอยู่ จึงมีฐานรายได้ดังกล่าวสูง ก่อนจะมีการยกเลิกเก็บค่าฟีในช่วงไตรมาส 2 ปีที่แล้ว “ล่าสุดค่าฟีการขายประกัน ก็ได้รับแรงกดดันเช่นกัน เนื่องจากทางการหันมาควบคุมการขายอีก ส่วนรายได้จากดอกเบี้ย เรามองว่าปีนี้รายได้จากส่วนนี้จะเป็น “พระเอก” โดยประเมินว่าปีนี้สินเชื่อโตราว 5.7% ดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะสานต่อโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานน่าจะส่งผลบวกด้านสินเชื่อรายใหญ่แน่นอน” นางสาวอุษณีย์กล่าว ส่วนประเด็นมาตรการควบคุมสินเชื่อบ้าน (LTV) ที่เริ่มบังคับใช้ 1 เม.ย. 62 นี้ ซึ่งจะดันให้สินเชื่อบ้านในไตรมาส 1/62 โตได้ดีจากการทยอยเร่งโอนบ้าน แต่ไม่ใช่การโตแบบ “โป่ง” หรือทะลุขึ้นมา เนื่องจากแบงก์คงควบคุมคุณภาพการปล่อยสินเชื่อบ้านเช่นกัน แต่หลังมาตรการ LTV บังคับใช้แล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่สินเชื่อบ้านอาจหดตัวในไตรมาส 2 นี้เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมของสินเชื่อแบงก์ยังเติบโตได้ดี โดยมีสินเชื่อรายใหญ่เป็นตัวขับเคลื่อน นางสาวอุษณีย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านรายได้จากส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของกลุ่มแบงก์ ปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากแต่ละแบงก์มีแผนจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในสินเชื่อบางประเภทที่ยังมีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำผิดปกติอยู่ เช่น สินเชื่อบ้าน รถยนต์ และธุรกิจรายใหญ่ เป็นต้น ขณะที่ต้นทุนจ่ายจากดอกเบี้ยฝากของแบงก์ขยับขึ้น จึงคาดว่าปีนี้ส่วนต่างดอกเบี้ยกู้และดอกเบี้ยฝาก (spread) น่าจะประคองตัวไปได้   นอกจากนี้ กลุ่มแบงก์ยังมีประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายจากการลงทุนด้านเทคโนโลยี (IT) โดยเฉพาะตัวธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น ธ.กรุงไทย (KTB) และ ธ.ไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ยังเร่งตัวขึ้น ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คาดจะยังประคองตัวได้ในกรอบ 3.3-3.4% ของสินเชื่อรวม จะส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (coverage ratio) จะยังอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 150% อย่างไรก็ตาม กลุ่มแบงก์ยังมีความจำเป็นต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ เพื่อรองรับการตัดหนี้สูญและรับมาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS9) อีกด้วย “โดยภาพรวมปีนี้ทั้งปี ผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ขยายตัว 0.9% จากปีที่แล้ว เนื่องจากฐานสูงจากปีที่แล้ว ธนาคารทหารไทยมีบันทึกรายการ “กำไรพิเศษ” จากการขาย บลจ.ทหารไทยออกไปราว 9.57 พันล้านบาท แต่หากเทียบจากกำไรจากผลดำเนินงานกลุ่มแบงก์ จะเห็นปีนี้โต 3.4%” นางสาวอุษณีย์กล่าว นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) หรือ RHB เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรกลุ่มแบงก์ในไตรมาส 1/62 คาดว่าจะฟื้นตัวจากไตรมาส 4/61 (QOQ) เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง แต่จะลดลงเมื่อเทียบ YOY ซึ่งเป็นผลจากรายได้ค่าฟีที่มีฐานสูงของไตรมาสแรกปีก่อน รวมทั้งจะเห็นธนาคารหลาย ๆ แห่งทยอยตั้งสำรองสำหรับพนักงานที่เกษียณอายุตามกฎหมายใหม่กำหนด และยังมีค่าใช้จ่ายลงทุนด้าน IT อยู่ สำหรับการเติบโตของสินเชื่อโดยรวม คาดว่ายังทรงตัวจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว เนื่องจากยังมีความไม่ชัดเจนของการเมืองในประเทศ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก กระทบต่อการบริโภคอาจไม่ฟื้นตัว รวมถึงการส่งออกยังคงชะลอตัวเช่นกัน ส่วน NPL ประเมินว่าอาจเห็นการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง “และสุดท้าย NIM ของกลุ่มธนาคาร คาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ 3.1% เช่นกัน เนื่องจากในไตรมาส 4/61 ที่ผ่านมา ธนาคารบางแห่งมีการปรับดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นแล้ว แต่ยังไม่มีการปรับดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นตาม เรามองไตรมาส 1/62 ของกลุ่มแบงก์ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวา ถือเป็นไตรมาสที่ได้รับแรงส่งจากไตรมาส 4/61 ที่ฐานต่ำ แต่ก็มีแรงกดดันจากประเด็นการเลือกตั้งที่ยังไม่คลี่คลาย ส่วนตัวแปรของกำไรกลุ่มแบงก์จะเห็นในไตรมาส 2/62 เช่น การเร่งโอนบ้านก่อนมาตรการ LTV อาจส่งผลกระทบให้กำไรปรับตัวลง” นายธนเดชกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-310233

จำนวนผู้อ่าน: 1918

03 เมษายน 2019

เปิดตัวเลข “หนี้ครัวเรือน” ปี’61 คนไทยแบกหนี้ 12.83 ล้านล้านบาท ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 78.6% ต่อจีดีพี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดผยยอดคงค้างเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน หรือ “หนี้ครัวเรือนไทย” ขยับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 12.827 ล้านล้านบาทในไตรมาส 4/2561 สอดคล้องกับการเร่งตัวขึ้นของสินเชื่อรายย่อยหลายๆ ประเภท ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยหนี้ครัวเรือนในไตรมาส 4/2561 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ถึง 2.2% อย่างไรก็ตามในไตรมาส 4/2561 ที่ผ่านมา มีปัจจัยเฉพาะ ซึ่งก็คือ การปรับเกณฑ์การกำหนดการวางเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้าน (มาตรการ LTVใหม่) ที่มีผลทำให้ครัวเรือนบางกลุ่มเร่งตัดสินใจก่อหนี้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยก่อนที่มาตรการ LTV ใหม่จะมีผลบังคับใช้ในเดือน เม.ย. 2562   รายงานระบุว่า ภาพรวมหนี้ครัวเรือนในปี 2561 เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ขยับขึ้นไปที่ 78.6% ในปี 2561 จาก 78.3% ในปี 2560 โดยยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนของไทยเติบโตขึ้น 6.0% สูงกว่าอัตราการเติบโตของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ (Nominal GDP) ซึ่งอยู่ที่ 5.6% อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า กว่าครึ่งหนึ่งของหนี้ที่ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นนั้น ก่อให้เกิดสิทธิความเป็นเจ้าของในทรัพย์สิน เช่น ซื้อบ้าน-ซื้อรถ และขยายธุรกิจ ขณะที่การก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค (ไม่มีหลักประกัน) ทั้งในส่วนหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับภาพรวมของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนทั้งหมด สำหรับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนในปี 2562 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การที่สถาบันการเงินและผู้ประกอบการอื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินยังคงมุ่งปล่อยสินเชื่อรายย่อยอย่างต่อเนื่องในปีนี้ อาจทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปี 2562 ยังคงทรงตัวใกล้เคียงระดับปลายปี 2561 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในปี2562 อาจทรงตัวในกรอบประมาณ 77.5-79.5% ต่อจีดีพีจากระดับ 78.6% ต่อจีดีพีในปี 2561 โดยภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงในปีนี้ เมื่อผนวกกับภาระหนี้ของครัวเรือนที่น่าจะเพิ่มขึ้นจากผลของการก่อหนี้ก้อนใหญ่ (หนี้บ้านและหนี้รถ) ที่มีผลผูกพันหลายปี นับจากวันที่ก่อหนี้ อาจมีผลทำให้ครัวเรือนหลายส่วนใช้ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นในการก่อหนี้ก้อนใหม่ สำหรับประเด็นในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สัญญาณอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่มีโอกาสทรงตัวที่ระดับ 1.75% ตลอดช่วงที่เหลือของปีอาจมีส่วนช่วยลดทอนแรงกดดันจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ต่อครัวเรือนที่มีภาระหนี้ลงมาบางส่วน ในขณะที่ยังต้องติดตามมาตรการด้านเศรษฐกิจภายใต้การดำเนินการของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเข้ามาช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ และดูแลแก้ไขปัญหาด้านรายได้-ภาระหนี้ ของครัวเรือน โดยเฉพาะครัวเรือนในกลุ่มที่มีรายได้น้อย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-310028

จำนวนผู้อ่าน: 1922

03 เมษายน 2019

“แอร์” 5 หมื่นล้านระอุ! รับร้อน ขนรุ่นไฟติ้ง-ชู PM2.5 ชิงดีมานด์ตลาด

ตลาดแอร์ 5 หมื่นล้านระอุรับหน้าขาย ทุกค่ายมั่นใจอากาศร้อนจัดแน่ แถมรับอานิสงส์ฉลากเบอร์ 5 ใหม่-ฝุ่น PM 2.5 กระตุ้นดีมานด์อินเวอร์เตอร์-ระบบฟอกอากาศดันตลาดโต 5-6% ขาใหญ่ไดกิ้น-มิตซูฯระเบิดศึกรุ่นไฟติ้งชูอินเวอร์เตอร์ราคาเบาชิงแท่นเบอร์ 1 แอลจี-ซัมซุง-พานาฯพร้อมใจแห่ชูหลากระบบฟอกอากาศพ่วงฟังก์ชั่นสมาร์ทรับกระแส ด้านไมเดียลอนช์สินค้าใหม่ 20 เอสเคยูก่อนระดมการตลาดสร้างเชื่อมั่นแบรนด์จีน นายสมพร จันกรีนภาวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ฉายภาพตลาดแอร์บ้านและพาณิชย์ปี 2562 ว่า ตลาดมีโอกาสเติบโต 5-6% จาก 4.73 หมื่นล้านบาทเมื่อปีที่แล้วเป็น 5 หมื่นล้านบาท โดยแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ยังเป็นสินค้าหลักมาแรงด้วยแรงหนุนจากฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ที่ช่วยย้ำจุดเด่นด้านการประหยัดไฟของแอร์ระบบนี้ จึงคาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มจาก 60% เป็น 65% พร้อมกับสภาพอากาศที่น่าจะร้อนจัดและร้อนนานเช่นเดียวกับเมื่อปี 2553 ด้านปัจจัยการแข่งขันนอกจากความประหยัด ราคา และโปรโมชั่นผ่อน-ของแถมซึ่งเป็นพื้นฐานแล้ว การบริการและฟังก์ชั่นเสริมอื่น ๆ เช่น การเชื่อมต่อกับแอป ความทนทาน การไล่ความชื้น ฯลฯ จะถูกนำมาเป็นจุดขายและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วย   ดวลรุ่นไฟติ้งชิงลูกค้า สำหรับบริษัทปีนี้ได้อัพเกรดและเพิ่มไซซ์สินค้าในหลายซีรีส์ เน้นด้านสุขภาพและความทนทาน รวมถึงเพิ่มโอกาสการขาย มีซีรีส์สบายซึ่งเป็นแอร์อินเวอร์เตอร์รุ่นไฟติ้งเป็นไฮไลต์ ในรุ่นสบาย 2 ซึ่งเพิ่มไซซ์ 1.5 หมื่นและ 2 หมื่นบีทียู พร้อมระบบป้องกันกลิ่นอับ-รา รวมถึงแผงวงจรทนทานพิเศษ เพื่อให้ครอบคลุมดีมานด์ที่อยู่อาศัยขนาดต่าง ๆ รวมถึงตอบโจทย์ด้านสุขภาพและความมั่นใจ โดยสินค้าจะเข้าสู่ช่องทางขายในเดือน มี.ค.นี้ ส่วนการทำตลาดมีการจัดกิจกรรม-โปรโมชั่นแถมของพรีเมี่ยมและผ่อน 0% และอื่น ๆ ในช่องทางต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่ผ่านมา พร้อมเพิ่มช่องทางแอปพลิเคชั่น “มายไดกิ้น” (My Daikin) ช่วยหนุนด้านการบริการซ่อม-ล้างแอร์และสื่อสารข้อมูลโปรโมชั่น ทั้งนี้เชื่อว่าสินค้าและช่องทางสื่อสารใหม่จะช่วยให้บริษัทมียอดขายโต 15% เป็น 1.2 หมื่นล้านบาท และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 26% เป็น 28% สอดคล้องกับ “มิตซูบิชิ” นายประพนธ์ โพธิวรคุณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริก กันยงวัฒนา จำกัด กล่าวว่า ไฮไลต์ของปีนี้คือแอร์รุ่นไฟติ้ง “แฮปปี้อินเวอร์เตอร์” ซึ่งวางราคาสูงกว่าแอร์ระบบธรรมดาเพียง 10% พร้อมฟังก์ชั่นเย็นเร็ว เน้นจูงใจผู้ซื้อแอร์ครั้งแรกและผู้ที่อัพเกรดจากแอร์ระบบธรรมดาที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก พร้อมกับรับเทรนด์สุขภาพด้วยรุ่น จีอาร์ ซึ่งมีจุดขายเป็นแผ่นกรองอากาศ PM 2.5 โดยทุ่มงบฯ 1,000 ล้านบาท ทำตลาดครบวงจร รวมถึงย้ำจุดขายด้านการบริการ ด้วยเบอร์คอลเซ็นเตอร์ 4 หลัก 1325 และเพิ่มศูนย์บริการอีก 15 สาขา มั่นใจว่าจะช่วยให้มียอดขาย 1.55 หมื่นล้านบาท และครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 34% แห่เพิ่มฟังก์ชั่นฟอกอากาศ ขณะเดียวกันปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้สร้างดีมานด์เครื่องฟอกอากาศจนของหมด และลามมายังแอร์ที่มีฟังก์ชั่นฟอกอากาศให้ขาดตลาดไปด้วย หน้าร้อนนี้บรรดาแบรนด์สินค้าจึงหันมาเน้นฟังก์ชั่นนี้เพื่อทำตลาดแอร์อย่างคึกคัก โดยนายนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เพื่อรับกระแส PM 2.5 ได้ลอนช์แอร์รุ่นมีระบบฟอกอากาศความละเอียด PM 1.0 พร้อมเครื่องวัดคุณภาพอากาศในตัว ตั้งราคาสูงกว่ารุ่นใกล้เคียงประมาณ 20% ซึ่งจะใช้เป็นหัวหอกในการทำตลาดปีนี้ พร้อมติดตั้งจุดทดสอบฟังก์ชั่นฟอกอากาศในร้านค้า เพื่อย้ำจุดขายและดึงดูดความสนใจให้รุ่นอื่น ๆ ที่ต่างมีจุดขายเฉพาะตัว เช่น วัสดุกระจก ประหยัดไฟเบอร์ 5 ระดับ 3 ดาวตามฉลากใหม่ เป็นต้น เช่นเดียวกับ “พานาโซนิค” ซึ่งนายฮิเดคาสึ อิโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย กล่าวว่า ไลน์อัพแอร์ปี 2562 ซึ่งจะเปิดตัวช่วง มี.ค.นี้จะมีฟังก์ชั่นฟอกอากาศครบทุกรุ่นเพื่อรับดีมานด์ หลังช่วงเดือน ม.ค.สินค้ารุ่นที่มีฟังก์ชั่นนี้ขาดตลาดเช่นเดียวกับเครื่องฟอกอากาศ โดยตั้งเป้ายอดขายเติบโต 5-7% ส่วน “ซัมซุง” นายวรพันธ์ เขมะสิงคิ ผู้อำนวยการธุรกิจเครื่องปรับอากาศระบุว่า ระบบฟอกอากาศจะเป็นจุดขายของรุ่นวินฟรีและวินฟรีพลัส ร่วมกับระบบอินเวอร์เตอร์และฟังก์ชั่นสมาร์ทอย่างการสั่งงานด้วยเสียงตามทิศทางที่จะเน้นระบบสมาร์ทโฮมในปีนี้ ท้าชิงญี่ปุ่น-เกาหลี ด้าน “ไมเดีย” ยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติจีนนั้น นายไบรอัน จ้าว ประธานบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ไมเดีย กล่าวว่า ปีที่แล้วยอดขายแอร์ของบริษัทเติบโตถึง 54% สะท้อนว่าผู้บริโภคยอมรับแบรนด์จีนมากขึ้น ปีนี้จึงเพิ่มไลน์อัพแอร์อินเวอร์เตอร์สำหรับบ้านและพาณิชย์อีก 5 ซีรีส์ รวม 20 รุ่น ชูฟังก์ชั่นเย็นเร็วพิเศษ รวมถึงฟอกอากาศตามเทรนด์ พร้อมทำตลาดแบบ 360 องศา เน้นสื่อสารอายุแบรนด์ 50 ปี เพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดยเตรียมลอนช์แคมเปญทั่วประเทศช่วงเดือน มี.ค.นี้ ตามด้วยกิจกรรมบนโซเชียลยาวถึง มิ.ย. หลังกระจายสินค้าเข้าร้านค้าตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่องและชิงส่วนแบ่งจากแบรนด์ญี่ปุ่น-เกาหลี ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-310020

จำนวนผู้อ่าน: 1907

03 เมษายน 2019

“ญี่ปุ่น” ฉลองสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ในรัชสมัยใหม่เรียกว่า “เรวะ”

“เดอะ เจแปน ไทมส์” รายงานในวันนี้ (1 เม.ย.) โยชิฮิเดะ ซูกะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศคำเรียกขานรัชสมัยใหม่ของญี่ปุ่นว่า “เรวะ” อันถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะเริ่มต้นสืบราชบังลังก์ญี่ปุ่นครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ นาย ซูกะ ได้แสดงป้ายตัวอักษรคันจิคำว่า “เรวะ” ต่อหน้าสาธารณชน โดยคำดังกล่าวมาจาก “มังโยชู” ซึ่งเป็นบทกวีเก่าแก่ของญี่ปุ่น โดยอักษรตัวแรกหมายถึง “ความโชคดี” ขณะที่อักษรตัวที่สองหมายถึง “สันติ” หรือ “ประสานสามัคคี” นับเป็นครั้งแรกที่ตัวอักษรที่ได้รับเลือกมาเป็นคำเรียกขานศักราชหรือ “เก็งโก” มาจากวรรณกรรมของญี่ปุ่น ทั้งนี้ รัชสมัยที่ผ่านมามักจะเป็นการใช้คำจากวรรณกรรมของจีนทั้งสิ้น   บทกวีดังกล่าวกล่าวถึง “อุเมะ” ดอกบ๊วยญี่ปุ่นที่ผลิบานเต็มที่หลังจากที่ผ่านพ้นฤดูหนาว และกำลังเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ทั้งนี้ รัชสมัยใหม่ของญี่ปุ่นจะเริ่มต้นในวันที่ 1 พ.ค. เมื่อเจ้าชายนารูฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น เสด็จประทับบนราชบัลลังก์ดอกเบญจมาศ หลังจากที่สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ สละราชสมบัติในวันก่อนหน้านั้น 1 วัน การเริ่มต้นรัชสมัยเรวะ จะถือเป็นการสิ้นสุดรัชสมัย “เฮเซ” ที่ดำเนินมาถึง 30 ปี นับแต่วันที่ 8 ม.ค.1989 เป็นต้นมา ขณะที่นายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้กล่าวถึงสาเหตุที่รัฐบาลเลือกใช้อักษรคันจิ เนื่องด้วยเป็นสัญลักษณ์ของ “ความรุ่งเรืองที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างงดงาม และหล่อเลี้ยงผู้คนให้มารวมกัน” เขายังระบุด้วยว่า “มังโยชู” ซึ่งได้รวบรวมไว้กว่า 1,200 ปีมาแล้ว ได้บรรจุบทกวีของผู้คนที่มีสถานภาพทางสังคมต่างๆ ทั้งจักรพรรดิ ชนชั้นสูง นักรบ ไปจนถึงชาวนาสามัญชน “ผมหวังว่าคำเรียกขานรัชสมัยใหม่จะหยั่งรากในสังคมและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน” รัชสมัยใหม่นี้ถือว่าเป็นรัชสมัยที่ 248 ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ซึ่งใช้ระบบการระบุปีของจีนมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ค.ศ.645 โดยที่ในยุคใหม่คำเรียกขานแต่ละรัชสมัยจะนับตลอดระยะเวลาการครองราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดิของแต่ละพระองค์ ความแตกต่างของ “รัชสมัยเรวะ” จากทั้ง 4 รัชสมัยก่อนหน้านั้น ได้แก่ เฮเซ โชวะ ไทโช และเมจิ เนื่องจากมีการประกาศคำเรียกขานรัชสมัยใหม่ ในขณะที่สมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ในเดือน ส.ค. 2016 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงกระทำสิ่งที่หาได้ยากในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โดยทรงมีพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติเนื่องจากทรงพระชราภาพ ซึ่งต่างจากสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ก่อนๆ ที่ครองราชย์จนกระทั่งสวรรคต พระราชดำริของพระองค์นำไปสู่การเตรียมการสำหรับการสละราชสมบัติครั้งแรกของพระราชวงศ์ญี่ปุ่นในรอบ 200 ปี ทั้งนี้ การเลือกคำเรียกขานของรัชสมัยใหม่ ยังเป็นสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งคำเรียกขานแต่คำต่างมีนัยสำคัญสำหรับวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น ทั้งในทางปฏิบัติและในทางจิตวิทยา “เก็งโก” จึงเป็นภาพสะท้อนของจิตวิญญาณของปวงชนชาวญี่ปุ่น โดยก่อนหน้านี้จะมีการคาดเดามากมายว่าจะมีการเลือกใช้คำเรียกขานใดบ้าง คำเรียกขานรัชสมัยจะถูกใช้เป็นหลักในการระบุช่วงเวลาต่างๆ ทั้งในเอกสารราชการ และระบบคอมพิวเตอร์ของญี่ปุ่น เช่น รัชสมัยปัจจุบัน คือ “เฮเซ 31” ซึ่งตรงกับปี 2019 หมายความว่าการเปลี่ยน “เก็งโก” จะส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่เทศบาลท้องถิ่น วิศวกรคอมพิวเตอร์ และผู้ผลิตปฏิทินที่ต้องใช้ระยะเวลาในการปเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-309974

จำนวนผู้อ่าน: 1975

03 เมษายน 2019