สาระน่ารู้

งานโครงสร้าง

Ascend Group ออฟฟิศแห่งแรงบันดาลใจ

ภาพ:Pirak Anurakyawachon คอลัมน์ Office Design “Ascend Group” เป็นบริษัทที่ spin-off ออกมาจาก True Corporation ปัจจุบันอยู่ภายใต้ C.P.Group โดยมุ่งเน้นการทำธุรกิจออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเป้าหมายคือให้บริการโซลูชั่นทางด้าน digital infrastructure ด้วยรูปแบบธุรกิจที่มีความทันสมัย จึงทำให้องค์กรเป็นที่รวมตัวของพนักงาน ที่ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ทั้งสิ้น ดังนั้น Ascend Group จึงตั้งใจสร้างออฟฟิศที่สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจ และความเป็นมืออาชีพ เพราะสถานที่แห่งนี้เน้นการออกแบบตกแต่งสไตล์เปิดโล่ง เพื่อให้มองเห็นมุมมองที่กว้างไกล เนื่องจากหน้าต่างออฟฟิศเป็นกระจกบานใหญ่ สามารถมองเห็นวิวกรุงเทพฯได้อย่างดี นอกจากนั้น โต๊ะทำงานของพนักงานจะถูกเรียงตามแนวหน้าต่าง ทำให้ตอนนั่งทำงานสามารถมองออกไปนอกตึก เพื่อพักผ่อนสายตา ทั้งยังให้ความรู้สึกโล่งผ่อนคลาย เพราะโต๊ะทำงานมีความเป็นส่วนตัว แต่ไม่กีดกั้นการทำงานร่วมกันกับพนักงานคนอื่น ๆ พนักงานจึงไม่ได้ถูกจำกัดให้นั่งทำงานในพื้นที่เดิม ๆ แต่สามารถเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ ออฟฟิศได้อย่างอิสระ ส่วนล็อบบี้ของบริษัทเป็นพื้นที่มัลติฟังก์ชั่น สามารถใช้สำหรับจัดสัมมนา และเป็นที่พบปะแขกผู้มาเยือน เนื่องจากใช้พื้นที่ทำงานร่วมกัน ที่สำคัญ ยังจัดงานปาร์ตี้ได้อีกด้วย ส่วนแนวคิดการออกแบบพื้นจะเน้นการใช้คอนกรีตขัดมัน ไม่ทาสี ขณะที่ในส่วนของเพดานจะเปิดเปลือยให้เห็นระบบท่อ และเฟอร์นิเจอร์ โดยเน้นงานไม้และโลหะ เพื่อให้อารมณ์อุตสาหกรรมนิด ๆ แต่มีการเพิ่มลูกเล่นด้วยสไลเดอร์สีแดงที่ผู้ใหญ่ใช้ได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าออฟฟิศแห่งนี้ทำงานด้วยความสนุกสนาน ไม่มีความเครียด จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือผนังจะมีคำคมของเหล่าบรรดากูรูที่ประสบความสำเร็จในแวดวงต่าง ๆ เพื่อกระตุ้น และสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมไปกับคำคมต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย เพื่อวันหนึ่งเขาจะได้นำไปประยุกต์ใช้กับการทำงานต่อไป หมายเหตุ – องค์กรใดต้องการนำเสนอมุมมองการออกแบบองค์กร ส่งรูป พร้อมคำบรรยายคอนเซ็ปต์การออกแบบองค์กรสั้น ๆ มาที่ saroj_maneerat@hotmail.com เราจะพิจารณาลงในคอลัมน์ Office Design เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ที่มา : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-181713

จำนวนผู้อ่าน: 7915

12 กรกฎาคม 2018

งานโครงสร้าง

8 เหตุผลที่ควรเลือกชั้นวางของแบบเปิดโล่งในห้องครัว

การแต่งห้องครัวแบบโมเดิร์นในสมัยนี้ นิยมใช้ชั้นวางของแบบเปิดโล่งกันมากขึ้นนอกจากการใช้ชั้นวางของแบบนี้จะดูสวยทันสมัยแล้ว ยังมีเหตุผลดี ๆ ที่ไม่น่าพลาดอีก 8 ข้อดังนี้     1.ชั้นวางของแบบเปิดโล่ง ทำให้มีทางเลือกมากขึ้นในการเก็บของ : ตู้และเคาน์เตอร์นั้นเข้าถึงยาก จัดเก็บและหยิบของยาก บางคนต้องปีนขึ้นไปเปิดตู้ บางตู้ก็ทั้งเล็ก ทั้งแคบ ทำให้การใช้งานไม่สะดวก แต่ชั้นวางของแบบเปิดนั้น ใช้ง่ายกว่า ดูสวยทันสมัย หยิบของจัดของได้สบายมากกว่า 2.ดูแล้วอบอุ่น และเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนมากกว่า : ชั้นวางของแบบเปิดนั้น สร้างความรู้สึกเชิญชวนแขกมากกว่า เพราะแขกสามารถเดินไปหยิบของใช้ต่าง ๆ มาได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องถามเจ้าของบ้านว่าอะไรอยู่ที่ไหน ทำให้รู้สึกเป็นกันเอง 3.ทำให้พื้นที่ดูสว่างและโปร่งขึ้น : ถ้าครัวมีขนาดเล็ก และมีสีเข้ม การใช้ตู้จะยิ่งทำให้ดูแคบเข้าไปใหญ่ ดังนั้นชั้นเปิดจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ทำให้ดูกว้าง สว่างกว่า โปร่งตามากกว่า     4.จัดการกับฝุ่นได้ง่ายกว่า : ชั้นเปิดนั้น เราสามารถมองเห็นฝุ่นได้ง่ายและสามารถทำความสะอาดได้ง่าย ทำให้ของและจานชามสะอาดอยู่เสมอ 5.ชั้นวางของแบบเปิดจัดเรียงสิ่งของได้ง่าย : สำหรับผู้ที่ชอบความสะดวกสบาย ชั้นแบบเปิดนี้ทำให้เราจัดของได้ง่าย มองหาของหยิบใช้ของได้ง่าย 6.ชั้นวางของแบบเปิดมีราคาไม่แพง : แน่นอนว่าตู้ในครัวนั้นมีราคาแพงกว่าชั้นวางของแบบเปิดค่อนข้างมาก การใช้ชั้นแบบเปิดจึงประหยัดกว่า ดูทันสมัยกว่า และใช้สะดวกกว่า การซื้อหามาใช้ก็ทำได้ง่าย มีขายทั่ว ๆ ไป แม้กระทั่งแบบ diy ที่เราสามารถทำให้เสร็จเองได้ภายในวันเดียว     7.ชั้นวางของแบบเปิดทำให้เราโชว์จานชามที่มีสไตล์ได้ : สำหรับผู้ที่มีจานชามเป็นชุดสวยงาม การเลือกใช้ชั้นวางของแบบเปิด ก็เป็นทางเลือกที่ดี ทำให้เราโชว์จานชามที่สวยงามนั้นได้ด้วย 8.สามารถนำมาลองใช้ดูก่อนได้ : ชั้นวางของแบบเปิดนี้เคลื่อนย้ายได้ ทำให้เราสามารถลองจัดวางในจุดต่าง ๆ ได้ หากไม่ชอบ ไม่เหมาะก็เปลี่ยนที่ได้ ไม่เหมือนตู้ที่เมื่อลงทุนไปแล้วเปลี่ยนแปลงได้ยากและสิ้นเปลืองงบประมาณ   ขอบคุณบทความจาก : sanook.com

จำนวนผู้อ่าน: 7694

23 พฤศจิกายน 2017

งานโครงสร้าง

5 เทคนิคแต่งบ้านอย่างมืออาชีพ

ทุกวันนี้เราสามารถเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ จากร้านค้าออนไลน์ได้ง่าย เพียงแค่เลือกแบบที่ชอบ คลิกสั่งซื้อ รอไม่นานเฟอร์นิเจอร์ทั้งชุดก็มาส่งถึงบ้าน แต่บ่อยครั้งที่เมื่อคุณเปิดกล่องออกมาแล้ว ไม่รู้จะต่อพวกมันเข้าไปได้อย่างไร และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เฟอร์นิเจอร์ที่ได้มา อาจจะไม่ได้เข้ากับของอื่น ๆ ในบ้านคุณเลย อีกทั้งยังมีขนาดไม่ลงตัวอีกด้วย   ผู้เชี่ยวชาญด้านการตกแต่งบ้านบอกว่า จริง ๆ แล้ว การจัดเฟอร์นิเจอร์นั้นนับว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ถ้าหากคุณมีแนวทางคุณก็สามารถจะจัดเฟอร์นิเจอร์ให้สวยเหมือนมืออาชีพได้ไม่ยาก ซึ่ง 5 เทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญต่อไปนี้จะช่วยคุณได้     1.ให้คุณคิดให้เสร็จก่อนว่าพื้นที่ส่วนไหน จะใช้ทำอะไร : การจัดเฟอร์นิเจอร์นั้นควรเริ่มจากการกำหนดส่วนต่าง ๆ ในห้องว่าจุดไหนจะใช้ทำอะไร เช่นอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง อย่างทีวีจะอยู่ตรงไหน ตรงไหนจะเป็นที่นั่งเล่น ตรงไหนจะเป็นโต๊ะอาหาร นอกจากนี้ห้องควรมีจุดเด่น หากภายในห้องนั้นยังหาจุดเด่นไม่เจอ ก็อาจจะเลือกใช้งานศิลปะชิ้นใหญ่มาจัดวางไว้ใกล้ ๆ ทีวี เพื่อทำให้ห้องมีจุดเด่นขึ้นมาได้ และยังมีสิ่งที่ต้องคิดอีกอย่างหนึ่งคือ บ้านนั้นมีคนอยู่มากน้อยแค่ไหน แต่ละคนก็ย่อมต้องการความสะดวกสบาย จำนวนเก้าอี้ และขนาดของเก้าอี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้เหมาะกับจำนวนคนด้วย 2.ในห้องที่เป็นพื้นที่สำหรับให้ทุกคนมารวมตัวกัน ควรตั้งเฟอร์นิเจอร์ให้ห่างจากผนัง : แม้คำแนะนำในข้อนี้จะดูแล้วไม่น่าเห็นด้วยเท่าไรนัก เพราะการตั้งเฟอร์นิเจอร์ไม่ชิดผนังนั้น เปลืองพื้นที่ แต่จริง ๆ แล้วการตั้งในลักษณะนี้ จะทำให้ดูโล่งกว่า รู้สึกอบอุ่นกว่า จะเป็นการดีกว่า ถ้าจะเลือกเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว แค่ตั้งเฟอร์นิเจอร์ให้ห่างจากผนังแค่ไม่กี่นิ้ว ก็ทำให้รู้สึกสบายขึ้นมาแล้ว ทำให้ดูมีความโล่ง โปร่ง ไม่อึดอัด     3.ไม่ต้องยึดติดอยู่กับกฎใด ๆ ให้มากนัก : เราไม่ควรตั้งเฟอร์นิเจอร์สูงกว่าหน้าต่าง หากจะวางเฟอร์นิเจอร์ติดหน้าต่าง เพราะจะบังวิว แต่ทุกวันนี้ บ้านจะมีหน้าต่างมาก บางครั้งก็เป็นการยากที่จะจัดวาง ดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับกฎมากนัก แต่ให้คิดหาแนวทางที่สร้างสรรค์มาใช้แทน ในบางครั้งสถานที่ดีที่สุดในการวางเฟอร์นิเจอร์กับหน้าต่างก็คือการวางติดหน้าต่างนั่นเอง จากนั้นก็อาจจะติดม่านเข้าไปก็ได้ 4.วางผังให้กับทุกสิ่ง : เฟอร์นิเจอร์ควรมีสัดส่วนที่พอดีกับห้อง เราต้องทราบผังห้องว่ามีความกว้าง ความยาว ความสูงแค่ไหน ก่อนจะเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ ก็ต้องวัดขนาด แล้วลองนำมาทำผัง เพื่อจะได้แน่ใจว่า เมื่อจัดวางลงไปแล้ว มีขนาดที่เหมาะสม     5.หาที่ตั้งให้ได้ก่อนซื้อ : เมื่อเราเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเลือกซื้อจากร้านค้า หรือเลือกซื้อออนไลน์ เราต้องรู้ว่า ซื้อมาแล้วจะวางไว้ตรงไหน วางลงไปได้หรือเปล่า ขนาดพอดีหรือไม่ อย่าเลือกซื้อมาโดยเห็นว่า สวย ราคาน่าซื้อ แต่เมื่อนำกลับมาแล้ว ไม่รู้จะวางตรงไหน   ขอบคุณบทความจาก : sanook.com

จำนวนผู้อ่าน: 5936

23 พฤศจิกายน 2017

งานโครงสร้าง

ห้องทำงานของพ่อ ห้องทรงงานส่วนพระองค์ในหลวง ร.9

ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 ทรงงานหนักเพื่อคนไทย พระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์แก่พสกนิกรชาวไทยมากมายหลายอย่าง วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปชมห้องทรงงานส่วนพระองค์ของในหลวง ร.9 ที่ทรงงานหนักให้เราชาวไทย ที่เมื่อครั้งสำนักข่าว BBC ได้ทำสารคดีเกี่ยวกับพระองค์ ห้องทรงงานนี้อยู่ใกล้ห้องพระบรรทมบนชั้น 3 ของพระตําหนักนั่นเอง ถ้าในความคิดเรา ห้องทำงานของพระราชา คงนึกถึงความหรูหราสีทองเป็นประกายเหมือนในละคร หรือหนังทั่วๆ ไป แต่สำหรับห้องทรงงานของในหลวง ร.9 หาเป็นแค่นั้น ห้องทำงานของพ่อ พ่อของคนไทยทั้งประเทศ ห้องทรงงานเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3 x 4 เมตร เรียบๆ ที่เต็มไปด้วยแผนที่ที่ติดตามผนัง และม้วนแสดงถึงพื้นที่หมู่บ้าน แม่น้ำ ภูเขาและป่าอย่างละเอียด เพื่อให้ทรงทราบว่าในแต่ละภูมิภาคของประเทศเป็นเช่นไร ในห้องทรงงานจะมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรสาร โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เทเล็กซ์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์อากาศ และอื่นๆ เฉลียงเล็กๆ กว้างสัก 3 วา ยาว 4 วา ที่เฉลียงนี้ ทรงปลูกไม้เพาะทดลองไว้หลายพันธุ์ ครั้งหนึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่าเคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ? ในหลวงทรงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ"   ขอบคุณบทความจาก : sanook.com              

จำนวนผู้อ่าน: 5258

29 ตุลาคม 2017

งานโครงสร้าง

Decorative Paint

เคล็ดลับการเลือกสีทาบ้าน...ให้เหมาะสมและลงตัว บ้านเป็นสถานที่พักพิง เป็นที่ๆคนหลายคนมาอยู่รวมกันเป็นครอบครัว และเป็นสถานที่สร้างความสุขให้กับผู้อยู่อาศัย การเลือกสีทาบ้านเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้บ้านของเราน่าอยู่มากขึ้น มีหลายท่านที่เลือกสีทาบ้านตามวันเกิด เพราะเชื่อในเรื่องดวงชะตา แต่ก็มีอีกหลายท่านเช่นกันที่เลือกสีทาบ้านตามความชอบของตนเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ควรศึกษารายละเอียดและหลักในการเลือกสีทาบ้าน เพื่อทำให้บ้านซึ่งเป็นสถานที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราดูเหมาะสมและลงตัวมากทีสุด เคล็ดลับการเลือกสีทาบ้านให้เหมาะสมและลงตัว 1. พิจารณาจากแสงสว่างภายในบ้าน : สำหรับท่านที่ต้องการให้บ้านดูสว่างสดใส ควรเลือกสีทาบ้านเป็นสีขาว หรือสีอ่อน ๆ อย่างสีครีม สีเบจ หรือสีโอลด์โรส และทำให้บ้านดูกว้างขึ้น ไม่ควรใช้สีโทนนี้กับห้องใต้ดินหรือบ้านที่หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพราะจะยิ่งทำให้บ้านหรือห้องของคุณดูสลัวและให้ความรู้สึกหดหู่มากขึ้น กรณีัที่บ้านของคุณดูกว้างเกินโล่งเกินไป การเลือกสีทาบ้านโทนสีเข้มอย่างสีน้ำตาล สีดำ หรือสีน้ำเงิน ก็สามารถมาช่วยแก้ไขจุดนี้ได้ ทำให้บ้านของคุณดูลงตัวยิ่งขึ้น 2. สีทาบ้านสีกลางๆอาจเป็นสีที่ไม่เหมาะกับบ้านเสมอไป : หลายท่านอาจคิดว่าการทาสีทาบ้านเป็นสีกลางๆ อย่างสีเบจ สีน้ำตาลอมเทา หรือสีเทา เป็นสีที่ตกแต่งบ้านได้ง่ายที่สุด เพราะเป็นสีที่เข้ากับสิ่งอื่นๆได้ง่าย แต่ในบางครั้งสีกลางๆก็อาจทำใ้ห้มองดูน่าเบื่อ การเลือกสีทาบ้านให้เข้มขึ้นหรือเลือกผสมสีให้ได้โทนใหม่ก็อาจเป็นอีกทางเลือกให้บ้านของคุณดูสดใส มีชีวิตชีวามากขึ้น 3. ตรวจสอบสีที่เลือกให้แน่ใจเสียก่อนที่จะซื้อ : หลังจากตัดสินใจเืลือกสีทาบ้านได้แล้ว อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจซื้อเพราะมีหลายท่านที่รีบตัดสินใจซื้อแล้วสีที่ได้ไม่ใช่สีที่ตัวเองต้องการ เพราะสีทาบ้านแต่ละยี่ห้อแต่ละแบรนด์ให้เฉดสีออกมาต่างกัน ฉะนั้นคุณควรทดสอบสีให้แน่ใจก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ โดยการลองซื้อสีนั้นมาแล้วเพ้นท์ลงบนแผ่นตัวอย่างแล้วนำไปติดไว้บนผนังตามส่วนต่าง ๆ ของบ้าน หรือพื้นที่ที่คุณต้องการ แล้วทิ้งเอาไว้อย่างน้อย 2 วันเพื่อสังเกตความเหมาะสมของสีตามการใช้งานจริง และดูการเปลี่ยนแปลงของเนื้อสีด้วย หากได้ตามที่คุณต้องการก็ไปซื้อเลยค่ะ 4. เปรียบเทียบสีทาบ้านกับของต่างๆภายในบ้าน : การนำสีทาบ้านที่คุณต้องการมาเปรียบเทียบกับของต่างๆภายในบ้าน จะำทำให้การตกแต่งบ้านของคุณดูลงตัวยิ่งขึ้น โดยการนำสีทาบ้านที่เลือกมาเทียบกับจุดต่าง ๆ ในบ้านของคุณ อาทิ พื้นบ้าน พื้นที่บริเวณข้างหน้าต่าง หลังงานศิลปะ และเทียบกับเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ อย่างเช่น ตู้โชว์ โซฟา เตียงนอน และควรนำไปเทียบตามช่วงเวลาต่าง ๆ ด้วยทั้งตอนเช้า ตอนกลางวัน ตอนเย็น และช่วงค่ำด้วยก็ยิ่งดี ที่มา: www.beger.co.th

จำนวนผู้อ่าน: 5310

27 กันยายน 2017

งานโครงสร้าง

5 เทคนิคการเลือกกระเบื้องปูพื้น

กระเบื้อง วัสดุพื้นฐานที่มีความหลากหลายและสามารถเลือกใช้ได้กับหลายพื้นที่ในบ้าน ข้อดี คือ การทำความสะอาดง่าย หาซื้อได้ไม่ยาก หากชำรุดก็เปลี่ยนเฉพาะบางแผ่นได้ แต่จะเลือกกระเบื้องแบบไหนให้เข้ากับบ้านนั้น วันนี้เรามีเทคนิคง่ายๆ มาฝากกัน        สำหรับคนที่กำลังปรับปรุงหรือสร้างบ้านใกล้จะสำเร็จเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว งานโครงสร้างหลักของบ้านเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเกือบเสร็จสมบูรณ์ เหลือเพียงขั้นตอนส่วนตกแต่งจิปาถะต่างๆ ที่แม้จะเป็นงานที่ดูยิบย่อย แต่ก็อย่าได้มองข้ามความสำคัญไปเสียเพราะต้องใช้เวลาและความใส่ใจไม่แพ้กัน จุดนี้เราจะมาโฟกัสไปที่กระเบื้องปูพื้นถึงเทคนิคเคล็บลับต่างๆ ในการเลือกซื้อหามาใช้งานเพื่อบ้านที่งดงามของคุณ        1. ควรเลือกกระเบื้องที่มีความหนาเสียหน่อย กระเบื้องปูพื้นควรมีความหนามากกว่ากระเบื้องปูผนัง เพื่อการรองรับน้ำหนักจากการเดินเหยียบให้ได้มากขึ้น กระเบื้องที่ต้องปูติดกับพื้นบ้านผิวหน้าควรจะเคลือบด้านหรือมีความสากเล็กน้อยสำหรับป้องกันการลื่นไถลเวลาเดิน        2. ขนาดสัดส่วนของกระเบื้องปูพื้นก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกขนาดกระเบื้องให้สัมพันธ์กับการใช้งานในห้องนั้นๆ เช่น กระเบื้องปูพื้นขนาด 12 x 12 ตารางนิ้ว เหมาะสำหรับปูห้องโถงทั่วไป ขนาดใหญ่พอเหมาะ ไม่เป็นตารางถี่มากนัก ส่วนห้องน้ำก็เลือกใช้กระเบื้องขนาดเล็กลงมา เพิ่มตารางความถี่ให้เป็นเหมือนเพิ่มพื้นที่ผิวหยาบเพื่อลดอุบัติการณ์เดินลื่นล้มในห้องน้ำ หันมาใช้กระเบื้องปูพื้นขนาดประมาณ 8 x 8 ตารางนิ้วก็เพียงพอ        3. สีกระเบื้องที่สวยงามและเหมาะสมกับพื้นที่การใช้งาน นอกจากจะเลือกสีให้สวยงามตามความชอบของคุณแล้ว ควรเลือกให้ตอบโจทย์ความเหมาะสมกับลักษณะของพื้นที่การใช้งานแถมไปด้วย ก็จะได้ประโยชน์เป็น 2 เท่า               สีโทนอ่อน              เริ่มที่สีโทนอ่อนสบายตาเหมาะกับการใช้กับห้องภายในอาคาร เพราะกระเบื้องสีอ่อนจะมีปัญหาเรื่องความสกปรกที่เห็นได้ง่าย ถ้านำไปปูอยู่นอกอาคาร ผิวกระเบื้องก็ต้องสัมผัสกับแดด ลม และฝนตลอดเวลา ทำให้เกิดริ้วรอยด่างและคราบต่างๆ ขึ้นมาชัดเจน บดบังลวดลายที่เคยสวยงามและเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรกไปซะเปล่าๆ  จึงควรเลือกปูพื้นที่ในอาคาร และกระเบื้องโทนสีอ่อนยังสามารถเข้าไปเสริมจุดอ่อนให้กับพื้นที่ห้องขนาดเล็กเพราะทำให้ห้องแคบๆ ดูกว้างขึ้นได้อีกด้วย                 สีโทนเข้ม               กระเบื้องโทนสีเข้มขรึมเหมาะกับพื้นที่นอกอาคาร ที่ต้องโดดแดดฝนอยู่บ่อยๆ ริ้วรอยต่างๆ ที่จะไม่เห็นเด่นชัด  หรือพื้นที่ภายในบ้านส่วนที่ต้องรองรับการเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์วางสิ่งของจำนวนมากๆ พื้นผิวที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี คราบน้ำมัน น้ำ อยู่บ่อยๆ เช่น ห้องครัว โรงรถ ห้องน้ำ ระเบียง เพราะกระเบื้องในโทนสีเข้มจะช่วยลดปัญหาในการทำความสะอาด ดูแลรักษาได้ง่าย ไม่ต้องทำความสะอาดบ่อย  เราก็แค่เลือกเสริมคุณสมบัติความทนทานเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง เลือกกระเบื้องสีเข้มชนิดที่มีการเคลือบพิเศษ และมีความแข็งแรงสามารถรับแรงกดที่สูงกว่าปกติ        4. ลวดลายกระเบื้อง นอกจากโทนสีและขนาดแผ่นกระเบื้องแล้ว ลวดลายบนแผ่นกระเบื้องในปัจจุบันก็มีลวดลายให้เราเลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งลายรูปร่างที่ต่อเนื่องกันเป็นชุดใหญ่ ลายที่เลียนแบบพื้นผิวตามธรรมชาติ จนไปการออกแบบลวดลายเฉพาะตามที่คุณต้องการก็สามารถทำได้               ลวดลายขนาดใหญ่                มักเป็นลวดลายที่ไม่มีความต่อเนื่อง จบลวดลายไว้ใน 1 แผ่น มักจะใช้ผสมผสานกับกระเบื้องลายเรียบ เพื่อเพิ่มจุดสนใจให้กับพื้นที่ เราจึงไม่ควรเลือกให้กระเบื้องที่มีลวดลายใหญ่ทั้งหมดในพื้นที่ที่ต้องการพักผ่อน เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องนอน เพราะลายกระเบื้องจำนวนมากๆ จะทำให้เราลายตา น่าเวียนหัวจนเกินไป               ลวดลายขนาดเล็ก                มักเป็นรูปแบบของลายที่ต่อเนื่อง ต้องใช้กระเบื้องหลายแผ่นถึงจะได้ลายที่กำหนดไว้ เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ หรือห้องที่ต้องการโชว์ความสวยงามให้แก่เพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมเยียน เช่น โถงรับแขก ห้องน้ำ ระเบียง               กระเบื้องปูพื้นลายไม้สัก เลียนแบบพื้นผิวแบบธรรมชาติ               ภายใต้ความสวยงามของกระเบื้องปูลายไม้  ยังมีคุณสมบัติซ่อนอยู่มากมายที่หลายคนอาจจะยังไม่สามารถ ยังมีความคงทน ดูแลรักษาง่าย ไม่ดูดซับความชื้น ไม่ขยายตัวหรือโก่งงอในสภาพอากาศร้อนหรือชื้นจนเกินไป ไม่สึกหรอจากการทำความสะอาดเป็นประจำ และสามารถรับน้ำหนักได้ดี  กระเบื้องปูพื้นลายไม้สักสามารถนำไปปูระเบียง ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ห้องครัว                 นอกเหนือจากคุณประโยชน์มากมาย กระเบื้องปูพื้นลายไม้สักจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลามธรรมชาติ ทำให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย กระเบื้องปูพื้นลายไม้สักยังถือเป็นลวดลายที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากด้วยโทนสีและลวดลายสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ เลียนแบบลวดลายเนื้อไม้สักทองตามธรรมชาติ จะช่วยสร้างบรรยากาศให้บ้าน อาคาร หรือพื้นที่ใช้สอยของเราดูสวยงามขึ้น        5. เลือกซื้อเกรดคุณภาพของกระเบื้องตามท้องตลาด ตามทั่วไปนั้นกระเบื้องปูพื้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 เกรดหลักด้วยกัน คือ               กระเบื้องปูพื้นแบบมาตรฐาน สภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยตำหนิ สีเรียบเสมอกันทั้งแผ่น หรือจะรู้จักกันทั่วไปว่า กระเบื้องปูพื้นเกรดเอ               กระเบื้องปูพื้นแบบมีตำหนิ สภาพไม่สมบูรณ์ 100% มีตำหนิอยู่บ้างแต่ไม่มีเกิน 3 จุดและสังเกตได้ยาก เรียกว่า กระเบื้องปูพื้นเกรดบี          กระเบื้องเกรดบีที่มีตำหนิอาจจะนำมาใช้ปูในห้องที่ไมได้โชว์พื้นผิวการใช้งานหรือลวดลายเป็นหลัก อย่างห้องเก็บของหรือส่วนที่มาได้โชว์ภายในบ้าน แต่ส่วนใหญ่เราก็คงต้องมองหากระเบื้องเกรดเอมาใช้งานปูพื้นให้กับบ้านของเราอยู่แล้ว  โดยเฉพาะการเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้นจำนวนมากเพื่อใช้ในห้องเดียว ควรตรวจสอบมาตรฐานของกระเบื้องปูพื้นให้ดีว่ามีรอยตำหนิหรือสีเรียบเสมอกันหรือไม่ เพราะถ้ามีตำหนิก็จะเห็นเด่นชัดอยู่ในห้อง และควรกะจำนวนเผื่อในกรณีเกิดความเสียหายระหว่างปูหรือซ่อมแซมในภายหลังด้วย        Tip        สำหรับท่านที่อาจกำลังมีช้อยส์เลือกใช้กระเบื้องยางปูพื้นห้องอยู่ในใจ เรามีข้อเปรียบเทียบการใช้งานระหว่างกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องยางมาให้พิจารณากันครับ  กระเบื้องเคลือบ มีความสวยงาม คงทน พื้นผิวสามารถทนต่อการกัดกร่อนของกรดและรอยด่างได้อย่างดี ดูแลรักษาง่าย เวลาเดินอาจจะเกิดเสียงดัง และเมื่อน้ำหกลงบนพื้นกระเบื้องจะลื่นมาก  ส่วน กระเบื้องยาง นั้นเมื่อใช้ไปนานๆ มักจะเกิดรอยขีดข่วนง่าย ลดความสวยงามลงไป ไม่ทนต่อกรดและด่าง เมื่อเปื้อนแล้วทำความสะอาดยาก ในขณะที่กระเบื้องยางมีผิวสัมผัสนิ่ม เวลาเดินจะไม่เกิดเสียงดัง นิยมใช้ปูพื้นในห้องนั่งเล่นหรือในห้องนอน ที่มา: www.scgbuildingmaterials.com

จำนวนผู้อ่าน: 3547

22 กันยายน 2017

งานโครงสร้าง

10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

การปลูกบ้าน หรือสร้างบ้านใหม่ จะเริ่มสร้างจากล่างขึ้นบน กล่าวคือต้องเริ่มจากโครงสร้างเสาเข็ม ฐานราก จากนั้นจะเริ่มงานโครงสร้างจากชั้นหนึ่ง และชั้นสองตามลำดับ แล้วจึงติดตั้งหลังคา ก่อผนัง เตรียมงานระบบ จนเมื่องานโครงสร้างเรียบร้อยก็จะตกแต่งงานสถาปัตย์ เก็บรายละเอียดงาน ทำความสะอาดจนพร้อมส่งมอบบ้านให้แก่เจ้าของบ้าน ทั้งนี้ แต่ละขั้นตอนต้องวางแผนการดำเนินงานเป็นอย่างดี เพราะมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย และสำหรับตัวเจ้าของบ้านเองควรเข้าใจลำดับขั้นตอนเพื่อสามารถตรวจและควบคุมงานในเบื้องต้น รวมถึงจดบันทึกตำแหน่งหรือข้อมูลทั้งงานระบบท่อไฟฟ้า-ประปา ตำแหน่งระบบสุขาภิบาล เผื่อการบำรุงซ่อมแซมในอนาคต                                                                             ภาพ: การก่อสร้างบ้าน 10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้านที่เจ้าของบ้านทุกคนควรทราบ มีดังนี้ 1. เตรียมพื้นที่        เมื่อมีแบบก่อสร้างบ้าน และทำสัญญากับผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้ว ทางผู้รับเหมาจะเริ่มเข้าหน้างานเตรียมพื้นที่ กำหนดจุดวางและขนย้ายเครื่องมืออุปกรณ์ อาจมีสถานที่พักสำหรับคนงาน (ในกรณีที่คนงานพักในพื้นที่) หากมีบ้านเดิมจะต้องรื้อถอนออกก่อน หรือหากเป็นที่ดินเปล่าจะมีการขอน้ำและไฟฟ้าชั่วคราวสำหรับใช้งาน        สำหรับงานเตรียมพื้นที่ จะครอบคลุมอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ระดับพื้นบ้านที่ต้องพิจารณา อาจต้องถมที่ดินเพื่อปรับระดับ ให้เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะถมให้สูงกว่าระดับถนน 50-80 ซม. และควรสูงกว่าท่อระบายน้ำสาธารณะ ส่วนระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถมดินอยู่ในช่วงหน้าแล้ง (ช่วงเดือนธันวาคม – พฤษภาคม) เพราะสามารถทำงานได้สะดวก ได้ดินที่แน่นและมีคุณภาพ เพราะหากถมในช่วงหน้าฝนอาจเกิดเหตุการณ์ดินไหลได้                                                                    ภาพ: การปรับระดับดินก่อนลงเสาเข็ม 2. งานวางผังอาคาร        เมื่อเตรียมพื้นที่เรียบร้อย จะเริ่มวางผังแนวอาคารซึ่งเป็นการกำหนดตำแหน่งของเสาเข็มโดยอ้างอิงจากแบบ เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งเจ้าของบ้าน ผู้ออกแบบ วิศวกร บริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทรับเหมางานเสาเข็มมีความเข้าใจที่ตรงกัน ในขั้นตอนนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับระยะต่างๆ ให้เหมาะสมได้เนื่องจากอาจพบอุปสรรคที่หน้างาน เช่น แนวต้นไม้ใหญ่ แนวเสาเข็มโครงสร้างอาคารเดิม หรือตำแหน่งอาคารข้างเคียงที่มีผลต่อพื้นที่ใช้สอยอาคาร เป็นต้น โดยผู้รับเหมาจะนำเสนอแนวทางแก้ไขให้ผู้ออกแบบเซ็นชื่อรับรอง เพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป                                                                             ภาพ: ตรวจแบบก่อสร้างเพื่อเตรียมวางผังอาคาร (กำหนดจุดลงเสาเข็ม) 3. งานเสาเข็ม        สำหรับงานเสาเข็มมักจะจ้างบริษัทรับเหมางานเสาเข็มโดยเฉพาะ ซึ่งทางผู้ออกแบบจะสำรวจหน้างานและกำหนดมาแล้วว่าบ้านแต่ละหลังเหมาะจะใช้เสาเข็มประเภทใด ไม่ว่าจะเป็นเสาเข็มตอกหรือเสาเข็มเจาะ           การตรวจสอบคุณภาพเสาเข็มต้องทดสอบความแข็งแรง (Load Test) สามารถรับน้ำหนักได้ตามมาตรฐาน ไม่เยื้องศูนย์ แต่หากเกิดความผิดพลาดหรืออุปสรรคในการตอกหรือเจาะเสาเข็ม ผู้ออกแบบอาจต้องแก้ไขแบบเพื่อให้เสาเข็มและฐานรากดังกล่าวสามารถรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้สำหรับการตัดหัวเสาเข็มเพื่อเตรียมหล่อฐานราก ผู้รับเหมางานเสาเข็ม และผู้รับเหมาหลักต้องยืนยันระดับฐานรากให้ตรงกันก่อนส่งต่องาน                                                                ภาพ: การทำเสาเข็มเจาะ 4. งานฐานรากโครงสร้างชั้นล่าง        เมื่อตัดหัวเสาเข็มแล้ว ผู้รับเหมาหลักจะเริ่มงานส่วนโครงสร้างฐานราก ซึ่งประกอบด้วยฐานรากและเสาตอม่อ จากนั้นจึงขึ้นโครงสร้างชั้น 1 ซึ่งประกอบด้วย คานคอดิน เสา คาน และพื้นชั้นล่าง โดยอาจอาจเลือกเป็นพื้นหล่อในที่ (พื้นห้องน้ำ) ร่วมกับพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป          หากโครงสร้างต่างๆ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ควรมีขนาดและค่ากำลังอัด ตามที่วิศวกรได้คำนวณไว้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการบ่มคอนกรีต และถอดแบบค้ำยัน ช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ประมาณ 14-28 วัน ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและประเภทปูน) เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรง พร้อมรับน้ำหนักโครงสร้างอื่นๆ ต่อไป แต่ในกรณีที่สร้างบ้านโครงสร้างเหล็ก ก็จะเริ่มนำชิ้นส่วนเหล็กในแต่ละส่วนมาเชื่อมกันทั้งในส่วน เสา คาน ตง เป็นต้น           ในระหว่างขั้นตอนนี้ จะมีการขุดดินเพื่อวางระบบสุขาภิบาล เช่น บ่อพัก  Manhole ระบบท่อน้ำทิ้ง ท่อประปา เป็นต้น ซึ่งเจ้าของบ้านควรถ่ายรูปและจดบันทึกตำแหน่งและระยะงานระบบเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงหากมีการซ่อมแซมในอนาคต                                                                         ภาพ: งานเตรียมเหล็กเสริมโครงสร้างคานและเสาชั้นล่าง 5. งานโครงสร้างชั้นสอง โครงหลังคา และโครงสร้างงานระบบสุขาภิบาล        งานโครงสร้างชั้นสองก็ทำเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง ทั้งเสา คาน อเส (คานหลังคา) และอาจมีงานหล่อชิ้นส่วนตกแต่ง เช่น บัว กันสาด ขอบปูน ซึ่งโครงสร้างแต่ละส่วนจะต้องใช้ระยะเวลาบ่มคอนกรีตเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง นอกจากนี้จะเริ่มขึ้นโครงหลังคา ซึ่งมีหลายประเภท เช่น โครงหลังคาเหล็ก หรือโครงหลังคาสำเร็จรูป เป็นต้น          ในส่วนของงานระบบประปาและสุขาภิบาลทั้งถังเก็บน้ำใต้ดิน ท่อน้ำทิ้ง และถังบำบัดจะถูกติดตั้งในช่วงนี้โดยสมบูรณ์เพื่อเตรียมการเดินท่อเข้าภายในบ้าน                                                                       ภาพ: ติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก 6. งานมุงหลังคา และโครงสร้างบันได        เมื่องานโครงสร้างหลักเสร็จเรียบร้อย จะเริ่มติดตั้งวัสดุมุงหลังคาเพื่อให้ภายในบ้านมีร่มเงาและลดอุปสรรคจากลมฟ้าอากาศในการทำงาน ในช่วงนี้จะเริ่มหล่อโครงสร้างบันไดคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือติดตั้งบันไดเหล็กตามที่แบบระบุ  นอกจากนี้อาจเก็บงานโครงสร้างในส่วนอื่นๆ ให้พร้อมก่อนเริ่มงานก่อผนังและติดตั้งวัสดุปิดผิว                                                               ภาพ: (บน) มุงหลังคากันแดดและฝน  (ล่าง) ติดตั้งบันไดโครงสร้างเหล็ก 7. งานก่อผนัง ติดตั้งวงกบไม้ประตู-หน้าต่าง และงานระบบไฟฟ้า-ประปา        เมื่อมุงหลังคาเรียบร้อย จะเข้าสู่ขั้นตอนการก่อผนังและหล่อเสาเอ็น - คานเอ็น ในขั้นตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับบ้านแต่ละหลังว่าเลือกใช้ผนังบ้านแบบใด เช่น ผนังก่ออิฐ หรือผนังเบา ซึ่งในช่วงนี้จะเดินท่องานระบบต่างๆ ที่ฝังในผนังไปด้วย ทั้งระบบไฟฟ้าและประปา รวมถึงติดตั้งวงกบไม้ประตูหน้าต่างตามตำแหน่งที่ระบุตามแบบ                                                                     ภาพ: การก่อผนัง หล่อเสาเอ็น-คานเอ็น และฝังท่อไฟฟ้า-ประปาในผนัง 8. งานฉาบผนัง และงานติดตั้งฝ้าเพดาน        ในงานฉาบผนังก่ออิฐ จะต้องจับปุ่ม  จับเซี้ยม หรืออาจขึงลวดกรงไก่ เพื่อฉาบผนังให้เรียบสม่ำเสมอ ส่วนผนังเบาจะต้องฉาบเก็บรอยต่อระหว่างแผ่นผนังให้เรียบเนียน เตรียมพร้อมก่อนขั้นตอนการปิดผิว ในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความชำนาญของช่างเพื่องานที่ละเอียดเรียบร้อย ผนังต้องได้ดิ่ง-ฉากทุกพื้นที่        สำหรับฝ้าเพดานจะมีการกำหนดระดับความสูงตามแบบทั้งภายในและภายนอกบ้าน โดยติดตั้งโครงฝ้าและปิดด้วยวัสดุฝ้าเพดาน เช่น แผ่นยิปซั่ม แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ เป็นต้น ในขั้นตอนนี้จะมีการติดตั้งระบบไฟฟ้า โคมไฟ และช่องเซอร์วิสไปพร้อมกัน                                                                      ภาพ: การฉาบผนัง และติดตั้งฝ้าเพดานทั้งภายนอกและภายใน 9. งานวัสดุตกแต่งพื้นผิว ติดตั้งอุปกรณ์ ติดตั้งประตู-หน้าต่าง และงาน Build-In        เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความประณีตของช่างอย่างมาก เพราะทำให้บ้านเนี้ยบสวยงาม ซึ่งในขั้นตอนนี้จะประกอบไปด้วย 9.1 วัสดุตกแต่งผนังและพื้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบและความชอบของเจ้าของบ้าน โดยวัสดุพื้นผิวผนัง เช่น ทาสี ฉาบสกิมโค้ท ปูกระเบื้องเซรามิก ติดวอลล์เปเปอร์ ฯลฯ ส่วนวัสดุพื้น เช่น หินขัด กรวดล้าง/ทรายล้าง ปูกระเบื้องเซรามิก ไม้ปาร์เกต์ ไม้ลามิเนต เป็นต้น 9.2 ระบบแสงสว่างและติดตั้งดวงโคมการติดตั้งแสงสว่างและหลอดไฟจะเริ่มในช่วงนี้เพราะติดตั้งฝ้าเพดาน โคมไฟ และเดินงานระบบเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ช่างจะเดินสายไฟเชื่อมกับสวิตช์ไฟ ปลั๊ก และติดตั้งเครื่องปรับอากาศ 9.3 ติดตั้งบานประตู หน้าต่างไม้ ชุดประตู-หน้าต่างไวนิล/อะลูมิเนียม ขั้นตอนนี้จะเป็นการติดตั้งบานประตู บานกระจก หน้าต่างเข้ากับวงกบไม้ที่ติดตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงติดตั้งชุดประตู-หน้าต่างไวนิลหรืออะลูมิเนียมเข้ากับผนังที่เว้นช่องไว้ ซึ่งขอบผนังโดยรอบต้องเรียบสม่ำเสมอ ได้ระดับดิ่ง-ฉาก เพื่อให้ชุดประตู-หน้าต่างติดตั้งได้พอดี ลดความเสี่ยงการรั่วซึมในอนาคต 9.4 งาน Build-in   ด้านงาน Build-in อาจมารวมอยู่ในช่วงนี้ได้ เช่น ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ เคาน์เตอร์ครัว เป็นต้น 9.5 ติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ และอุปกรณ์เครื่องครัว วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อติดตั้งแล้วควรคลุมด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันฝุ่นละออง รอยขีดข่วน และสีที่อาจกระกระเด็นเปรอะเปื้อนในช่วงการเก็บงาน 9.6 สวนและทางเดินรอบบ้านอาจเริ่มทำในช่วงนี้ หรืออาจทำในช่วงที่บ้านสร้างเสร็จแล้วก็ได้                                                                     ภาพ: การตกแต่งภายใน ติดตั้งวัสดุปูพื้น-ผนัง ประตูหน้าต่าง (บานเฟี้ยม) และงานBuild-in  10. ทำความสะอาดและตรวจความเรียบร้อยในขั้นตอนการเก็บงาน         ช่างจะเก็บรายละเอียดต่างๆ เช่น งานทาสี ตรวจสอบงานระบบต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้เจ้าของบ้านควรเข้ามาตรวจสอบด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าเจอข้อผิดพลาด ควรแจ้งให้ช่างแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนจะส่งจะส่งมอบงาน จากนั้นจะเริ่มทำความสะอาด (โดยมากจะจ้างบริษัททำความสะอาดหลังงานก่อสร้างโดยตรง) แล้วเสร็จจนพร้อมส่งมอบงานให้เจ้าของบ้านขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้าอยู่                                                                    ภาพ: บ้านที่อยู่ในช่วงการเก็บงาน         การเรียงลำดับขั้นตอนตามที่กล่าวมาอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือซ้อนทับกันได้ในแต่ละงาน อาจมีเพิ่ม หรือแยกย่อยมากกว่า 10 ลำดับได้ขึ้นอยู่กับปลายปัจจัย เช่น วัสดุที่เข้าหน้างาน ความถนัดของช่าง/ผู้รับเหมา ปัจจัยสภาพคล่องทางการเงิน ปัญหาแรงงานช่าง และสภาพลมฟ้าอากาศที่ไม่อำนวย เป็นต้น  ที่มา: www.scgbuildingmaterials.com  

จำนวนผู้อ่าน: 3986

19 กันยายน 2017

งานโครงสร้าง

ระบายความร้อนให้บ้านเย็น ด้วยฝ้าชายคาระบายอากาศ

การแก้ปัญหาบ้านร้อนหรือทำบ้านให้เย็นขึ้นนั้น ควรเน้นการลดความร้อนจากหลังคาเป็นอันดับแรก หนึ่งในวิธีที่แนะนำคือ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายอากาศภายในหลังคา โดยติดตั้งฝ้าระบายอากาศใต้ชายคาบ้านหรือทำเป็นระแนงระบายอากาศ เพื่อให้ความร้อนจากบริเวณหลังคาระบายออกไปได้ โดยเจ้าของบ้านควรหาวิธีป้องกันแมลงไม่ให้เข้าไปรบกวนภายในหลังคาด้วย เมื่อพูดถึงฝ้าชายคาระบายอากาศ เจ้าของบ้านบางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมฝ้าชายคาจะต้องมีช่องระบายอากาศซึ่งเสี่ยงต่อการที่แมลงจะมุดเข้าไปก่อความรำคาญและสร้างความสกปรกได้  ทว่าประโยชน์ของมันนอกจากจะช่วยระบายอากาศแล้วยังช่วยพาเอาความร้อนหลังคาออกไปจากด้วย ซึ่งเหมาะมากกับเมืองร้อนอย่างประเทศไทย        ปกติแล้ว 70% ของความร้อนที่เข้าสู่บ้านจะมาจากทางหลังคา ดังนั้น หากจะแก้ปัญหาบ้านร้อนจึงควรเริ่มที่หลังคา เป็นอันดับแรกอย่างไม่ต้องสงสัย ช่องหลังคาที่มีระบบระบายอากาศที่ดีนับเป็นอีกปัจจัยสำคัญซึ่งช่วยลดความร้อนได้ โดยธรรมชาติอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสูง ดังนั้น ยิ่งรูปทรงหลังคาสูง  อากาศร้อนจะยิ่งลอยตัวสูงห่างจากเบื้องล่าง ทำให้ผู้อาศัยในบ้านรู้สึกร้อนน้อยลง  (สังเกตได้ว่าชั้นบนของบ้านมักร้อนกว่าชั้นล่าง) ทั้งนี้ ความร้อนที่ลอยขึ้นไปกักเก็บไว้บนหลังคา ควรจะมีช่องทางให้สามารถระบายออกไปได้  หนึ่งในวิธีที่นิยมกันคือ “การติดตั้งฝ้าชายคาระบายอากาศ” ฝ้าชายคาระบายอากาศจะมีรูหรือช่องสำหรับให้อากาศเย็นจากภายนอกไหลผ่านเข้ามาแทนที่อากาศร้อนภายในหลังคา ทำให้อุณหภูมิภายในช่องหลังคาลดลง นับเป็นอีกช่องทางที่ช่วยลดปัญหาบ้านร้อนได้ โดยฝ้าชายคาระบายอากาศจะมีหลายแบบหลายพื้นผิวให้เจ้าของบ้านเลือก รวมถึงสามารถสร้างสรรค์แพทเทิร์นลวดลายต่างๆ สลับกันได้ด้วย ทั้งนี้ สำหรับเจ้าของบ้านที่ชอบความสวยงามแบบอบอุ่น ดูเป็นธรรมชาติ อาจเลือกติดตั้งระแนงไม้ หรือไม้เทียมแบบเว้นร่องระบายอากาศแทน ก็ได้เช่นกัน   มาถึงตรงนี้ เจ้าของบ้านคงได้ทราบถึงความสำคัญของการทำช่องระบายอากาศบริเวณใต้ชายคาบ้านเพื่อระบายความร้อน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเรื่องการทำบ้านเย็นหรือบ้านประหยัดพลังงานได้  อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะทำฝ้าชายคาระบายอากาศหรือระแนงระบายอากาศ ควรคำนึงเรื่องการป้องกันแมลงไม่ให้เข้าไปในช่องหลังคาได้ โดยติดตั้งมุ้งลวดเพิ่ม หรือเลือกใช้ฝ้าเพดานที่ มีมุ้งลวดติดตั้งในตัว หรือมีช่องระบายอากาศซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันแมลงโดยเฉพาะ   ขอบคุณบทความจาก : scgbuildingmaterials.com            

จำนวนผู้อ่าน: 4517

09 กันยายน 2017

งานโครงสร้าง

แบบบ้านโมเดิร์นชั้นเดียวขนาดเล็ก งบประมาณ 5 แสนบาท ครบถ้วนด้วยประโยชน์ใช้สอย

วันนี้เรานำเสนอบ้านตัวอย่างที่สร้างจริงจากแบบบ้านโมเดิร์นชั้นเดียวขนาดเล็กแบบ MD06 จากบ้านป่าตาลโมเดอเรท เป็นแบบบ้านขนาดเล็กพื้นที่ใช้สอยประมาณ 60 ตารางเมตร ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ท่านที่ต้องการสร้างบ้านขนาดเล็กและมีงบประมาณก่อสร้างอย่างจำกัด การออกแบบที่ลดส่วนที่ไม่จำเป็นของบ้านและลักษณะทรงหลังคาของบ้านโมเดิร์นที่ประหยัด จึงทำให้งบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 แสนบาทเท่านั้นแต่ถึงแม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็ครบถ้วนด้วยประโยชน์ใช้สอยมากมายอย่างครบครัน บ้านขนาดเล็กใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 5 แสนบาท ออกแบบด้วยรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์และสวยงาม พื้นที่ใช้สอยอย่างครบครับถึงแม้ว่าจะเป็นบ้านขนาดเล็ก ลักษณะที่ดินหน้าแคบเนื่องจากตัวบ้านมีความกว้างเพียง 7.5 เมตรเท่านั้นพื้นที่ใช้สอยประมาณ 63 ตร.ม แบบบ้านในรหัส MD06 ซึ่งหลังนี้นำไปก่อสร้าง ที่ จ.ยโสธร มีการต่อเติมบ้านด้านหลังให้มี ห้องครัวแยกต่างหากจากตัวบ้านเพิ่มเติม จะได้พื้นที่ใช้สอยของบ้านเพิ่มขึ้น ซึ่งการดัดแปลงนี้สามารถทำได้หากท่านมีที่ดินในรูปทรงลึก 3 ห้องนอน 1 รับแขก 1 ห้องน้ำ   สำหรับเพื่อนๆ iHome108 ที่สนใจสามารถ ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.planmodernhome.com แฟนเพจแบบบ้านโมเดิร์น Modern-บ้านป่าตาลโมเดอเรท และ บริษัทบ้านป่าตาลโมเดอเรทจำกัด 90/2 ม.4 ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50100 Email : banpatan2006@gmail.com Line id: @banpatan            

จำนวนผู้อ่าน: 3750

23 สิงหาคม 2017

งานโครงสร้าง

รีโนเวทบ้านไม้เก่าๆ ครึ่งไม้ครึ่งปูน กลายเป็นบ้านสุดหรู ด้วยงบเพียง 4 แสนปลายๆ

วันนี้ Smart fix จะพาไปชมการรีโนเวทบ้านจากบ้านไม้เก่าๆ เป็นบ้านหลังใหม่สวยสุดหรู บ้านหลังนี้เป็นผลงานการรีโนเวทบ้านของ สถาปนิก WV Architects ที่มีแนวคิดอยากได้บ้านที่กว้างขึ้น และมีพื้นที่โล่งมากขึ้น โดยจะเน้นตกแต่งภายในเป็นพิเศษมากกว่าภายนอก บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ที่ : บ้านโนนแย้ ต.หญ้าปล้อง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ บ้านหลังนี้เป็นบ้านครึ่งปูนครึงสมัยเก่า โดยใช้งบประมาณรีโนเวทประมาณ 450,000 บาท ใช้เฉพาะค่าวัสดุประมาณ 300,000 บาท  ค่าช่างประมาณ 150,000 บาท ซึ่งผู้รับเหมาที่รู้จักกันเลยได้ราคาค่อนข้างถูก ซึ่งถ้าประเมินราคาอาจจะแพงกว่านี้ก็ได้  ต้องขอบอกก่อนนะครับว่าการรีโนเวทครั้งนี้จะถูกหรือแพงนั้นขึ้นอยู่กับสภาพบ้านเดิมด้วยส่วนหนึ่งด้วยนะครับ และต้องค่ารื้อถอนอีกด้วย และอีกอย่างคือการเลือกใช้วัสดุ การซื้อวัสดุอีกด้วย ไปชมกันเลยครับ สภาพบ้านหลังเก่า กำลังรื้อถอน   หลังรีโนเวท สวยเลยย หรูหรามากก หืม... ชั้น 2 ห้องน้ำหรูหรามาก โอ้โห!! สวยงามมากๆ  รีโนเวทจากบ้านไม้ครึ่งปูนเก่าเป็นบ้าสุดหรูหราเลยที่เดียวด้วยงบเพียง 4 แสนปลายๆเท่านั้น ขอบคุณข้อมูจาก : http://thaihitz.com/        

จำนวนผู้อ่าน: 4617

18 สิงหาคม 2017

งานโครงสร้าง

วิธีทำความสะอาดคราบสบู่ออกจากประตูห้องอาบน้ำ

ประตูตู้อาบน้ำหรือห้องอาบน้ำนั้น มักจะมีคราบสบู่ติดอยู่ การล้างทำความสะอาดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งใช้ไปนาน ๆ ประตูสวย ๆ ใส ๆ ก็กลายเป็นขุ่นมัวดูไม่สะอาดน่าใช้เหมือนเดิม แต่ทั้งนี้ หากเรารู้วิธีในการดูแลทำความสะอาด คราบสบู่ คราบน้ำเหล่านั้น ก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะนอกจากจะทำความสะอาดได้แล้ว ยังป้องกันไม่ให้คราบเหล่านั้นกลับมาใหม่ได้อีกด้วย สิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้ เบกกิ้งโซดา น้ำส้มสายชูขาว ช้อน และภาชนะเล็ก ๆ ฟองน้ำล้างจาน ที่เช็ดกระจกแบบฟองน้ำ ขนาด 10 นิ้ว ที่เช็ดกระจกแบบยาง ขนาด 12 นิ้ว Rain-X แบบ 2 อิน 1 ที่ใช้สำหรับกันไม่ให้น้ำฝนเกาะกระจก ผ้าเช็ดมือ เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็เริ่มกระบวนการทำความสะอาดได้เลย ดังนี้ ทำความสะอาดพื้นผิว จากนั้นก็ใช้เบกกิ้งโซดา ผสมกับน้ำส้มสายชู ทาบนประตูกระจก ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที น้ำส้มสายชูนั้นเป็นกรด แต่ก็สามารถนำมาใช้ในเรื่องของการทำความสะอาดได้ดี กรดในน้ำส้มสายชูนี้จะช่วยขจัดฝุ่น และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ดี ส่วนเบกกิ้งโซดานั้นเป็นโซเดียม คาร์บอเน็ต เมื่อนำมาผสมกับน้ำส้มสายชู จะกลายเป็น กรดคาร์บอนิค ซึ่งมีประสิทธิภาพในการขจัดคราบได้อย่างรวดเร็ว สำหรับส่วนผสมของน้ำส้มสายชูกับเบกกิ้งโซดานั้น ให้ใช้เบกกิ้งโซดา ½ ถ้วย ใส่ลงในภาชนะเล็ก ๆ แล้วใส่น้ำส้มสายชูลงไป ใช้ช้อนคนให้เข้ากัน ใช้ฟองน้ำล้างจานชุบส่วนผสม แล้วทาลงบนประตูกระจก ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ใช้ที่ทำความสะอาดกระจกแบบฟองน้ำ และน้ำเปล่า ขัดทำความสะอาด ใช้ที่ทำความสะอาดกระจกแบบยาง ปาดบริเวณประตูกระจกจนแห้ง และเช็ดตามขอบด้วยผ้า เมื่อเสร็จกระบวนการนี้ เราจะไม่เห็นคราบสกปรกบนประตูแล้ว และถ้าหากไม่ต้องการให้คราบสกปรกนั้นกลับขึ้นมาอีก ก็ให้ใช้ Rain-X แบบ 2 อิน 1 ช่วย โดยฉีดสเปรย์ให้ทั่ว จากนั้นก็ใช้ผ้านุ่ม ๆ เช็ด และอาจจะใช้ซ้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อป้องกันคราบอย่างต่อเนื่อง เทคนิคนี้ ไม่เพียงใช้ได้ดีกับประตูกระจกห้องอาบน้ำเท่านั้น ยังใช้กับกระจกหน้าต่างได้อีกด้วย   ขอบคุณบทความจาก : sanook.com      

จำนวนผู้อ่าน: 3269

11 สิงหาคม 2017

งานโครงสร้าง

วิธีขจัดสีออกจากคอนกรีต

เมื่อสีเลอะบนคอนกรีต ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะล้างขัดออกไปได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็พอมีวิธีที่จะช่วยขจัดคราบสีเหล่านั้นออกไปได้เช่นกัน สิ่งที่ต้องเตรียมเพื่อใช้การขจัดคราบสีออกจากคอนกรีต มีดังนี้ น้ำยาล้างสี แปรงขัด ผ้านุ่ม ๆ สายยาง เมื่ออุปกรณ์พร้อม ก็มาดูขั้นตอนการขจัดคราบสีกันได้เลย ทุก ๆ บริษัทที่ผลิตสี จะต้องผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับขจัดสีด้วย ดังนั้นเราสามารถหาน้ำยาขัดสี หรือน้ำยาล้างสี ได้จากบริษัทผู้ผลิตสีรายนั้น ๆ หากเรารู้ว่า เป็นสีของบริษัทไหน อาจจะสามารถขอคำปรึกษาจากผู้ผลิตโดยตรงได้ เมื่อได้ผลิตภัณฑ์ล้างสีที่เหมาะสมมาแล้ว ก็ให้นำไปทาลงบนพื้นผิวที่เปื้อน ปล่อยให้น้ำยาทำงานสักพัก เมื่อทิ้งไว้พอสมควร ก็ให้นำแปรงมาขัดออก หลังขัดคราบสีออกไปแล้ว ก็ต้องทำความสะอาดบริเวณนั้นให้ทั่ว เพื่อให้สีซึมกลับเข้าไปอีก อย่างไรก็ตามมีคำแนะนำเพิ่มเติมดังนี้ ผลิตภัณฑ์ล้างสีนั้นมีให้เลือกหลายสูตร เราอาจจะลองเลือกสูตรเจล ที่ไม่มีสารพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ได้ และแบบเจลนั้นใช้ง่าย แค่ทาลงไปบนพื้นที่เปื้อน แล้วเช็ดออก น้ำแรงดันสูง ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้ผลในการขจัดคราบสีเช่นกัน แรงดันน้ำนี้ สามารถขจัดคราบสีบนพื้นคอนกรีตได้ โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี   ขอบคุณบทความจาก : sanook.com

จำนวนผู้อ่าน: 3317

11 สิงหาคม 2017

งานโครงสร้าง

5 วิธีกำจัดสนิมที่ถูกต้องและน่าลอง

เมื่อวัสดุโลหะโดนน้ำ และเราปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นเพียงไม่กี่วัน กระบวนการแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ก็จะเกิดขึ้น และผลก็คือการเกิดสนิม แต่เมื่อเครื่องมือเครื่องใช้ของเรามีสนิม ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเลิกใช้ หรือโยนทิ้งเสมอไป หากรู้วิธีที่ถูกต้องในการขจัดสนิม ดังต่อไปนี้ 1.เบกกิ้งโซดา : ให้นำเอาอุปกรณ์โลหะที่ขึ้นสนิมนั้น ไปล้างน้ำ แล้วสะบัดให้แห้ง จากนั้นให้โรยเบกกิ้งโซดาลงไป เบกกิ้งโซดาจะติดอยู่กับบริเวณที่มีความชื้น ต้องแน่ใจว่า เบกกิ้งโซดา ปิดคลุมบริเวณที่เป็นสนิมไว้ทั้งหมดแล้วทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยก่อนจะใช้แปรงขัดคราบสนิมนั้นออก ล้างด้วยน้ำเปล่า แล้วเช็ดให้แห้ง วิธีการนี้ ได้ผลดีกับวัสดุจำพวกกระทะ แหวนและโลหะบาง ๆ เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ไม่เสียค่าใช้จ่ายมากเพราะใช้ของที่มีอยู่ในครัวเรือน แต่ก็มีข้อเสียคือ หลังโรยเบกกิ้งโซดาแล้ว ต้องทิ้งไว้นาน และต้องออกแรงขัด 2.น้ำส้มสายชู : นำอุปกรณ์ที่เป็นสนิม ไปแช่ในน้ำส้มสายชู แล้วทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นนำขึ้นมาขัดด้วยแปรง ในกรณีที่วัสดุมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถนำลงไปแช่ได้ ให้ใช้ผ้าขี้ริ้วจุ่มลงในน้ำส้มสายชู จากนั้นเอามาห่อจุดที่เป็นสนิม วิธีการนี้เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ต้องแช่ทิ้งไว้นานข้ามคืนจึงจะให้ผลที่ดี 3.มันฝรั่งและน้ำยาล้างจาน : ฟังดูเหมือนไม่น่าเชื่อว่าของพวกนี้จะใช้ขจัดสนิมได้ แต่จริง ๆ แล้ว สามารถใช้ได้ดีเสียด้วย ให้ผ่าครึ่งมันฝรั่ง จากนั้นก็นำน้ำยาล้างจานทาลงไป ให้ใช้มันฝรั่งเสมือนเป็นอุปกรณ์ในการขัด วิธีนี้ให้ผลดีกับการขจัดสนิมในบริเวณที่ไม่มากนัก บนพื้นผิวที่ขัดง่าย เช่นพวกเครื่องครัว แต่วิธีนี้ ค่อนข้างจะทำให้เลอะเทอะ ควรทำในอ่างน้ำ หรือบริเวณนอกบ้านที่ทำความสะอาดง่าย 4.กรดซิตริก : วิธีการคือ ให้นำน้ำร้อนใส่ลงในถ้วย แล้วใส้กรดซิตริกใส่ลงไป 2-3 ช้อนโต๊ะ แล้วนำอุปกรณ์ที่เลอะสนิม ลงไปแช่ทิ้งไว้ทั้งคืน พอตอนเช้าให้ใช้แปรงขัดออกแล้วล้างด้วยน้ำเปล่า เช็ดให้แห้ง แต่ทั้งนี้กรดซิตริกนี้ อาจจะหาซื้อได้ไม่ง่ายนัก ต้องเลือกซื้อจากร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพ หรือตามร้านค้าออนไลน์ 5.มะนาวและเกลือ : ให้นำเกลือไปทาให้ทั่วบริเวณที่มีสนิม จากนั้นให้ผ่ามะนาว และบีบน้ำลงไป ทิ้งไว้สักพักหนึ่ง แล้วจึงขัดออก ถ้าหากขัดแล้ว ยังมีสนิมหลงเหลืออยู่ ก็ให้ทำซ้ำอีก โดยทิ้งไว้ให้นานขึ้นอาจจะเป็น 1-2 ชั่วโมง เมื่อขัดสนิมออกแล้วก็ให้ล้างและเช็ดให้แห้ง วิธีนี้ใช้กับเครื่องครัว เช่นมีด ได้ดี และเพื่อความปลอดภัย ควรสวมถุงมือ   ขอบคุณบทความจาก : sanook.com      

จำนวนผู้อ่าน: 3237

11 สิงหาคม 2017

งานโครงสร้าง

ข้อแตกต่างระหว่างผนังอิฐมอญกับผนังคอนกรีตมวลเบา

การวัดคุณภาพของบ้านจะดีหรือไม่ดี สามารถประหยัดพลังงานได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับวิธีการก่อสร้าง ความชำนาญงานของช่าง ทีนี้มาเจาะในวัสดุที่เป็นอิฐ ว่าปัจจุบันเขาใช้อิฐแบบไหนในการก่อสร้างและข้อแตกต่างระหว่างผนังอิฐมอญ กับผนังคอนกรีตมวลเบา อิฐมอญ คืออะไร มีลักษณะคุณสมบัติอย่างไร? “อิฐมอญ” หรือ “อิฐแดง” ผลิตจากดินเหนียวผสมแกลบ หรือวัสดุอื่นผสมน้ำ เผาด้วยเตาจนสุก โดยทั่วไปมีขนาดความกว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 14 เซนติเมตร และหนา 3 เซนติเมตร โครงสร้างบล็อกมีลักษณะตัน ไม่สามารถก่อเป็นผนังรับแรง การดูดซึมน้ำสูง ความหนาของปูนก่อระหว่างก้อน 1.5 มิลลิเมตร ความหนาของปูนที่ฉาบ 20-25 มิลลิเมตร น้ำหนักวัสดุ 130 กิโลกรัมต่อตารางเมตร น้ำหนักผนังรวมฉาบปูน 2 ด้าน 180 กิโลกรัมต่อตารางเมตร การใช้งานต่อ 1 ตารางเมตรต้องใช้จำนวน 130 – 145 ก้อน ค่าการนำความร้อน ( Thermal Conductivity ) 1.15 วัตต์ต่อ ม.เคลวิน อัตราการทนไฟ ( Fire Rating ) กรณีความหนา 10 เซนติเมตร อยู่ระดับ 2 อัตราการกันเสียง ( STC Rating ) 43 เดซิเบล ระยะเวลาในการก่อสร้าง 6-12 ตารางเมตรต่อวัน การติดตั้งวงกบประตู-หน้าต่าง หล่อเสาเอ็นทับหลังและต้องมีค้ำยัน อิฐมวลเบา คืออะไร มีลักษณะคุณสมบัติอย่างไร? “อิฐมวลเบา” หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “คอนกรีตมวลเบา” ขนาดความกว้าง 4 นิ้ว ยาว 9 นิ้ว หนา 7 เซนติเมตร โครงสร้างบล็อกมีลักษณะกลวง ก่อเป็นผนังรับแรงได้ การดูดซึมน้ำปานกลาง ความหนาของปูนก่อระหว่างก้อน 2.3 มิลลิเมตร ความหนาของปูนที่ฉาบ 10 มิลลิเมตร น้ำหนักวัสดุ 45 กิโลกรัมต่อตารางเมตร น้ำหนักผนังรวมฉาบปูน 2 ด้าน 90 กิโลกรัมต่อตารางเมตร การใช้งานต่อ 1 ตารางเมตรต้องใช้จำนวน 8.33 ก้อน ค่ากำลังอัด ( Compressive Strength ) 30-80 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ค่าการนำความร้อน ( Thermal Conductivity ) 0.13 วัตต์ต่อ ม.เคลวิน อัตราการทนไฟ ( Fire Rating ) กรณีความหนา 10 เซนติเมตร อยู่ระดับ 4 อัตราการกันเสียง ( STC Rating ) 38 เดซิเบล ระยะเวลาในการก่อสร้าง 15-25 ตารางเมตรต่อวัน การติดตั้งวงกบประตู-หน้าต่าง ไม่ต้องเททับหลังและไม่ต้องมีค้ำยัน ข้อแตกต่างระหว่างผนังอิฐมอญกับผนังคอนกรีตมวลเบา: อิฐมวลเบาจะมีค่าการนำความร้อนที่ต่ำกว่าอิฐมอญประมาณ 8-11 เท่า แต่การก่อผนังภายนอก อิฐจะต้องมีความหนา 10 เซนติเมตร และผนังภายในหนา 7 เซนติเมตร จึงสามารถกันความร้อนได้ดี แต่ในกรณีใช้อิฐมวญก่อ 2 ชั้น ตัวช่องว่างตรงกลางจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนที่ดี และอิฐแถวด้านในไม่สัมผัสความร้อนโดยตรง จึงทำให้คุณสมบัติตรงนี้ของอิฐมอญจะมีความสามารถในการกันความร้อนได้ดียิ่ง กว่า แต่ยกเว้นช่องว่างไม่ควรต่ำกว่า 5 เซนติเมตร ส่วนคุณสมบัติอย่างอื่นๆ เช่น การกันเสียง ปกติอิฐมวญเบาจะกันเสียงได้ดีกว่าอิฐมอญประมาณ 20% แต่ในกรณีที่ใช้อิฐมอญก่อ 2 ชั้น ช่องว่างตรงกลางจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันเสียงได้ดีกว่าเกือบ 2 เท่า แต่อิฐมวญเบาจะลดการสะท้อนของเสียงได้ดีกว่า สำหรับกันไฟ อิฐมวญก่อ 2 ชั้น และมีฉนวนตรงกลาง (ช่องว่างตรงกลาง) จะกันไฟได้ดีกว่าอิฐมวลเบาเล็กน้อย ในด้านความแข็งแรง การใช้งานทั่วไปไม่ต่างกัน แต่ผนังอิฐมอญจะเหมาะสำหรับการใช้วัสดุกรุผนังที่มีน้ำหนักมาก เช่น หินแกรนิต หรือหินอ่อน   ขอบคุณบทความจาก :sanook.com

จำนวนผู้อ่าน: 3556

11 สิงหาคม 2017

งานโครงสร้าง

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับการต่อเติมบ้าน

1 สิ่งที่ควรรู้ก่อนต่อเติมบ้าน คอนโด ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว 1.1 ประเด็นด้านกฏหมายในการต่อเติมบ้านใหม่ การต่อเติมหรือดัดแปลงอาคาร ตามรายละเอียดต่อไปนี้ จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจกาทางราชการ -การขยายพื้นที่ชั้นหนึ่งชั้นใด ตั้งแต่ 5 ตร.ม. -เปลี่ยนหลังคา หรือขยายหลังคาให้ปกคลุมเนื้อที่มากขึ้นกว่าเดิม -เพิ่ม-ลด จำนวน หรือ เปลี่ยนเสา คาร บันได และผนัง อาคารจะต้องมีระยะถอยร่นจากแนวเขตที่ดิน ดังนี้ -สำหรับทาวน์เฮาส์และตึกแถว พื้นที่ว่างด้านหลังกว้าง 2 ม. จะต้องเว้นว่างไว้เพื่อเป็นทางหนีไฟ -ผนังด้านที่เปิดประตู หน้างต่าง ที่สูงไม่เกิด 9 ม. ต้องอยู่ห่างจากเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 2.0 ม. สำหรับ ที่สูงเกิน 9.0 ม. ต้องห่าง 3.0 ม. ผนังที่ไม่มีช่องเปิดต้องห่างจากเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 0.50 ม. ยกเว้น แต่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินข้างเคียง จะเห็นได้ว่าตามกฏหมายนั้น ทาวน์เฮาส์ และตึกแถวแทบจะไม่สามารถต่อเติมใด ๆ ได้ตามกฏหมาย ยกเว้น แต่มีพื้นที่เหลือด้านหลังมาก ๆ แต่อย่างไรก็ตามหากต้องการต่อเติมอย่างถูกต้องก็ต้องมีการ ยื่นขออนุญาตก่อสร้างด้วย แต่ที่เห็นว่ามีการก่อสร้างต่อเติมอยู่ทั่วไปก็เพราะทางราชการอนุโลมให้ หากไม่มีปัญหาใด ๆ กับบ้านข้างเคียง   1.2 ประเด็นความขัดแย้งกับบ้านข้างเคียง จากประเด็นที่ 1 จะเห็นได้ว่าการที่จะสามารถต่อเติมได้อย่างไม่มีปัญหานั้น จำเป็นจะต้องมีการ พูดคุยกับบ้านข้างเคียงก่อนว่าจะมีการต่อเติมบ้าน เพราะหากบ้านข้างเคียงไม่ยินยอม และไป ร้องเรียนกับทางราชการก็จะมีปัญหาตามมาค่อนข้างมาก แต่หากบ้านใดมีพื้นที่มากพอจนสามารถยื่นขออนุญาตก่อสร้างได้ เจ้าของบ้านก็ยังคงต้อง รับผิดชอบต่อความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการก่อสร้างต่อบ้านข้างเคียงด้วย เช่น แรงสั่นสะเทือนจากการตอกเสาเข็ม การเคลื่อนตัวจากการขุดดิน ปัญหาเสียง หรือ ฝุ่นผง ซึ่งหากมีปัญหาจนบ้านข้างเคียงรับไม่ได้ อาจเกิดการฟ้องร้อง ให้หยุดการสร้าง และ สามารถเรียกร้องค่าใช้จ่ายในกรณีที่เกิดความเสียหาย 1.3 การต่อเติมบ้าน คอนโด ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว เป็นงานที่ต้องอาศัยวิศวกรเป็นผู้ออกแบบงานส่วนต่อเติมให้ เนื่องจากพื้นที่ส่วนที่ต่อเติมมักเป็นพื้นที่จำกัด และต้องคำนึงถึง สภาพปัจจุบันของอาคาร ตลอดจนสภาพพื้นที่ส่วนที่จะต้องการ ต่อเติม ซึ่งมีข้อจำกัดในการทำงาน การเลือกใช้ระบบของเสาเข็ม การขนย้ายวัสดุก่อนสร้าง ตลอดจนการแก้ไขปัญหาน้ำรั่วบริเวณ รอยต่อของอาคารเดิมและส่วนต่อเติม   2 ข้อแนะนำในการต่อเติมบ้าน คอนโด ทาวน์เฮาส์  2.1 รูปแบบทางสถาปัตยกรรม โดยทั่วไปการออกแบบบ้าน ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงการระบายอากาศ แสงสว่าง ตลอดจน ความปลอดภัยเมื่อเกิดปัญหาเพลิงไหม้ แต่เมื่อมีการต่อเติมพื้นที่ใช้สอยอาคารแล้ว สิ่งที่ เจ้าของบ้านมักจะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป มักจะมองเฉพาะต้องการพื้นที่ใช้งานสูงสุด โดยเฉพาะ ทาว์เฮาส์ที่มีพื้นที่ด้านหลังชิดกับบ้านข้างเคียงทั้ง 3 ด้าน เมื่อต่อเติมแล้วมีปัญหาว่าร้อน ลมไม่พัดเข้าบ้าน ภายในบ้านมืด ต้องติดตั้งระบบปรับอาการศ และต้องเปิดไฟตลอดทั้งวัน รูปแบบที่แนะนำสำหรับการต่อเติมพื้นที่หลังบ้านก็คือ พยายามให้เปิดช่องระบายอากาศ โดย ให้อากาศสามารถถ่ายเทจากหน้าบ้านมาออกที่ช่องที่เปิดไว้ในส่วนหลังบ้าน หากมีพื้นที่จำกัด ให้ออกแบบหลังคาเป็น 2 ชั้น เพื่อเป็นช่องระบายอากาศ หรือหากมีพื้นที่หลังบ้านกว้างพอ ก็ให้เปิดเป็นพื้นที่่ว่างโดยไม่มีผนัง เพื่อให้สามารถใช้เป็นพื้นที่ซักล้างให้แห้ง และลมสามารถ เข้าถึงได้ ก็จะทำให้ภายในบ้านไม่มีปัญหาอับลมและมีตลอดเวลาได้ 2.2 รูปแบบทางด้านโครงสร้างบ้าน คอนโด ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว บ้านใหม่ หลักการในการต่อเติมจะต้องแยกโครงสร้างส่วนต่อเติมใหม่ให้เป็นโครงสร้างต่างหาก ที่สามารถอยู่ได้โดยตัวเอง การแยกโครงสร้างจะต้องให้แยกขาดจริง ๆ โดยต้องเว้นให้เกิดช่องว่าง ระหว่างอาคาร ถ้ามีพื้นที่พอ แต่ถ้าไม่มีก็ให้กั้นด้วยโฟม เพื่อไม่ให้มีการเชื่อมต่อของโครงสร้างเดิม กับโครงสร้างใหม่ ซึ่งรวมถึงห้ามเชื่อมต่อวัสดุปูผิว และผนังก็ควรเว้นช่องไว้ แล้วอุดด้วยวัสดุยาแนว ประเภท โพลียูรีเทน เพื่อป้องกันปัญหาน้ำรั่วซึม ส่วนหลังคาก้ให้ทำปีกนอกยึดติดกับตัวอาคารเดิม ยื่นมาคลุมอาคารที่ต่อเติม เพื่อป้องกันน้ำรั่วบริเวณรอยต่อ ข้อมูลจาก : สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.)   3 ปัญหาการต่อเติมบ้านผิดวิธี 3.1 ทำให้อาคารทรุดตัวไม่เท่ากัน 3.2 ทำให้อาคารฉีกขาดจากโครงสร้างที่เชื่อมกัน   4 หลักการต่อเติมบ้านอย่างถูกวิธีต่อเติมบ้านอย่างถูกวิธี 4.1 โครงสร้างอาคารส่วนต่อเติม -ต้องแยกจากอาคารเดิม (บ้านของโครงการ) ต้องแยกจากรั้วรอบด้าน โดยเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยง ความเสียหายที่เกิดจากการทรุดตัวต่างระดับระหว่างอาคารเดิมกับอาคารส่วนต่อเติม 4.2 ลักษณะฐานรากของอาคารส่วนต่อเติมแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ -ต่อเติมโดยใช้ Micro Pile ที่มีความยาวเท่ากับความยาวเสาเข็มของอาคารบ้านเดิม -ต่อเติมโดยใช้เสาเข็มสำเร็จรูป ความยาวประมาณ 6 เมตร (ยกเว้น เขตกรุงเทพฯ โซนใต้ เช่น ปากน้ำ พระประแดง แนะนำให้ใช้เข็มยาวเท่านั้น) ต่อเติมบ้านแล้วดูใหม่เวลาขายบ้านก็ได้ราคาจริงหรือเปล่าค่ะ :)   ที่มา : sanook.com      

จำนวนผู้อ่าน: 3918

07 สิงหาคม 2017

งานโครงสร้าง

ความปลอดภัยในงานก่อสร้าง

รับเหมาก่อสร้างมักเป็นงานที่ทำในที่โล่งแจ้ง และขั้นตอนในการทำงานจะไม่ค่อยเป็นระบบ หรือมีขั้นตอนที่ชัดเจน เหมือนอย่างในโรงงานอุตสาหกรรมประกอบกับมีแรงงานฝีมือและไร้ฝีมือจำนวนมาก ที่มีการโยกย้ายแรงงานค่อนข้างบ่อย ทำให้ขาดระเบียบ วินัยด้านความปลอดภัยในการทำงานหลายครั้งที่โครงการก่อสร้าง มักจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอยู่ตลอด ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้ามีมาตราการป้องกันไว้อย่างดี ก็น่าจะทำให้อัตราการเกิดอุบัตินั้น น้อยลงได้        

จำนวนผู้อ่าน: 3690

03 สิงหาคม 2017

งานโครงสร้าง

รวม 5 สิ่งก่อสร้างสุดแปลกจากทั่วโลก

หลายปีที่ผ่านมานี้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองด้วยรูปแบบอาคารที่มีรูปทรงดูแปลกตาและทันสมัยมากขึ้น บ้างก็มีรูปทรงที่แปลกแหวกแนวแบบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน Sanook! Travel จึงรวบรวมสุดยอดสิ่งก่อสร้างที่มีรูปทรงสุดแปลกจากทั่วโลกมาให้ทุกคนได้ชมกัน 1.The Sky Pool (London,UK) หากใครต้องการความท้าทายด้วยการว่ายน้ำในกระจกใสที่อยู่สูงจากพื้นถึง 35 เมตร เราขอแนะนำ The Sky Pool ตั้งอยู่ในลอนดอน โดยอยู่บนอาคารที่อยู่อาศัย 10 ชั้น ที่มีสระว่ายน้ำพาดผ่านระหว่าง 2 ตึกเข้าด้วยกันโดยด้านล่างไร้สิ่งใดๆมารองรับ ซึ่งจะทำให้ที่นี่กลายเป็นสระว่ายน้ำโปร่งใสมองเห็นทะลุผ่านโลกภายนอกในขณะว่ายน้ำแห่งแรกของโลก! ด้วยความหนาของกระจกที่กั้นระหว่างตัวเรากับข้างนอกไว้เพียง 20 เซนติเมตร 2. The Louvre Abu Dhabi (Abu Dhabi, United Arab Emirates)   สหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ได้ซื้อลิขสิทธิ์พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์มาถึง 500 ล้านดอลลาร์ อีกทั้งพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในอาบูดาบีนี้เกิดจากความร่วมมือของอาหรับและฝรั่งเศส โดยได้รับการออกแบบให้เป็นอาคารรูปทรงโดม มีรอยแตกและรูบนหลังคา ที่ช่วยให้แสงส่องลงมาเมื่อเวลาเราเดินเข้าไปข้างใน ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ใต้น้ำ เป็นการออกแบบสุดมหัศจรรย์ 3.The San Francisco Museum of Modern Art (San Francisco, CA) พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ของ San Francisco หรือ SFMOMA ที่ออกแบบโดย Snøhetta มีพื้นที่ทั้งหมด 12,000 ตร.ม. ทั้งพื้นที่ในร่มและกลางแจ้ง โดยด้านล่างจะเป็นแกลลอรีติดกระจกที่สามารถให้คนทั่วไปเข้าชมได้ฟรี อีกทั้งในแต่ละชั้นมีการวางแบบแปลนที่ต่างกันออกไป มีลักษณะเฉพาะตัว ทำให้เป็นอาคารที่ถูกออกแบบมาอย่างสลับซับซ้อน 4.The Agora Garden (Taipei, Taiwan) อาคารสูง 20 ชั้น สุดหรูที่ตั้งอยู่ในไทเป ประเทศไต้หวัน เป็นอาคารสีเขียว รูปทรงบิดเป็นเกลียว ถูกออกแบบโดย Paris-based Vincent Callebaut Architecture ภายในมีขนาดพื้นที่กว่า 42,335 ตร.ม. พร้อมไปด้วยคลับเฮ้าส์, สระว่ายน้ำ, ยิม, ที่จอดรถ และที่พักอาศัยระดับ Luxury อาคารถูกออกแบบให้มีลักษณะบิดเป็นเกลียวคล้ายรูปทรงของ DNA โดยหมุนเข้าสู่แท่งตรงกลาง ภายนอกอาคารยังมีชั้นน้ำตกและสวนสวยสีเขียวที่เต็มไปด้วยพืชผักผลไม้ และพืชสมุนไพรที่จะช่วยส่งกลิ่นหอมให้บริเวณโดยรอบ 5.Zlota 44 (Warsaw, Poland) อาคารที่อยู่อาศัยสุดหรูสูง 54 ชั้น ถูกออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย และใช้นวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุดในโปแลนด์ กลายเป็นอาคารที่อยู่อาศัยสุดหรูและเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของโปแลนด์ ภายในประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมายเพื่อรองรับผู้ที่มาพัก ทั้งสระว่ายน้ำ, ซาวน่า และสปา อีกทั้งอาคารแห่งนี้ถูกสร้างและออกแบบขึ้นเพื่อให้เป็นมาตรฐานใหม่และสะท้อนถึงความสำเร็จ แรงบันดาลใจของคนในโปแลนด์ ที่มาบทความ : http://travel.sanook.com    

จำนวนผู้อ่าน: 3843

03 สิงหาคม 2017

งานโครงสร้าง

ประเภทวัสดุมุงหลังคา เรื่องควรรู้ก่อนสร้างบ้าน

โครงสร้างหลังคา โครงสร้างหลังคาเปรียบเหมือนกระดูกสันหลังของหลังคาเลยนะคะ เพราะทำหน้าที่คงรูปทรงของหลังคาบ้าน โดยมีโครงสร้างหลังคาอยู่ 2 แบบ คือ 1.  โครงสร้างไม้ สามารถติดตั้งได้สะดวก ช่างธรรมดาสามารถติด ตั้งได้ เหมาะสำหรับบ้านไม้ เพราะการยึดติดกับเสาและคาน สามารถทำได้สะดวก แต่มีข้อเสียที่มีราคาค่อนข้างแพง และหาไม้ที่มีคุณภาพดีได้ ยาก มีการบิดงอง่าย ไม่เที่ยงตรง และมีปัญหาเกี่ยวกับปลวก 2.  โครงสร้างหลังคาเหล็ก มีความเที่ยงตรงในการทำงาน เหมาะสำหรับบ้าน ที่ก่อสร้างด้วยปูน มีราคาถูกกว่าไม้ ทั้งยังมีรูปแบบให้เลือกมากมาย แต่ต้องอาศัยช่างที่มีประสบการณ์ในการเชื่อมต่อโครงหลัง คาเหล็ก และถ้ามีการป้องกันผิวไม่ดี เวลาเกิดการรั่วซึมของหลัง คา จะมีปัญหาเรื่องการเกิดสนิมได้ ปัจจุบัน โครงหลังคามีวัสดุให้เลือกหลายชนิด โดยมีการผลิตวัสดุก่อสร้างชนิดใหม่ มาทดแทนเหล็กโครงสร้างแบบเดิม ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมระบบโครงสร้างหลังคาเหล็กพร้อมประกอบ เรียกว่าผลิตภัณฑ์โครงหลังคาเหล็กสมาร์ททรัส (Smartruss) ซึ่งเป็นโครงหลังคากึ่งสำเร็จรูปผลิตจากเหล็กเคลือบซิงคาลุม ซึ่งเป็นเหล็กเคลือบโลหะผสมระหว่างอลูมิเนียมกับสังกะสี ทำให้มีน้ำหนักเบา และกันสนิมได้ดีกว่าเดิมถึง 4 เท่า นอกจากนั้น เขายังคิดระบบวิธีการติดตั้งที่รวดเร็ว ประณีต ลดจำนวนของเสีย มีวิธีติดตั้งด้วยระบบสกรู ช่วยให้การก่อสร้างบ้านทำได้รวดเร็ว ปลอดภัยและสร้างความมั่นใจได้ จนเป็นที่นิยมกันอย่างรวดเร็ว มีโครงการต่างๆ เปลี่ยนมาใช้โครงหลังคาเหล็กสมาร์ทรัสกันหลายโครงการ ชนิดของวัสดุมุงหลังคา 1.  วัสดุมุงหลังคาชนิดแผ่นกระเบื้อง สามารถแบ่งออกได้เป็น – กระเบื้องดินเผา เป็นวัสดุธรรมชาติใช้เป็นวัสดุมุงหลังคากันมาแต่โบราณปัจจุบันใช้มุงหลังคาที่ต้องการโชว์หลังคาเช่น บ้านทรงไทย โบสถ์ วิหารกระเบื้องชนิดนี้ใช้มุงหลังคาที่มีความลาดเอียงมากๆ เพราะมีโอกาสจะรั่วได้ – กระเบื้องคอนกรีตหรือกระเบื้องซีเมนต์ วัสดุมุงหลังคาชนิดนี้มีความแข็งแรงและสวยงามแต่มีราคาค่อนค้างแพง และมีน้ำหนักมาก ทำให้โครงหลังคาที่จะมุงด้วยกระเบื้องชนิดนี้ต้องแข็งแรงขึ้นเพื่อรับน้ำหนักวัสดุมุงหลังคา กระเบื้องซีเมนต์มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันคือ กระเบื้องสี่เหลียมขนมเปียกปูน ขนาดเล็กที่ใช้มุงกับหลังคาที่มีความลาดเอียงตั้งแต่ 30-45 องศา ส่วนอีกชนิดนั้นเป็นกระเบื้องที่เรียกกันว่า กระเบื้องโมเนียร์ซึ่งสามารถมุงหลังคาในความชันตั้งแต่ 17 องศา – กระเบื้องซีเมนต์ใยหิน หรือกระเบื้องเอสเบสทอสซีเมนต์ กระเบื้องชนิดนี้มีคุณสมบัติกันไฟ และเป็นฉนวนป้องกันความร้อน มีราคาไม่แพงและมุงหลังคาที่มีความลาดชันตั้งแต่ 10 องศา มีทั้งขนาดที่ใช้กับบ้านพักอาศัย และอาคารขนาดใหญ่กว่า – กระเบื้องลอนคู่ ระบายน้ำได้ดีกว่ากระเบื้องลูกฟูกเนื่องจากมีลอนที่ลึกและกว้างกว่า จึงนิยมใช้มุงหลังคามากกว่า – กระเบื้องคอนกรีตแผ่นเรียบ หรือเรียกว่าแผ่นชิงเกิ้ล มีความสวยงามเพราะผิวกระเบื้องมีความเนียนเรียบ 2.   วัสดุมุงหลังคาโลหะ (Metal Sheet) หรือหลังคาเหล็กรีด ทำจากแผ่นเหล็กอาบสังกะสีดัดเป็นลอน เคลือบสี จะมีรอยต่อน้อย สามารถรีดเป็นแผ่นยาวตลอดได้  จึงลดปัญหาการรั่วซึม นิยมใช้ในการมุงหลังคาขนาดใหญ่เพิ่มสีสันให้กับอาคารสมัยใหม่ เพราะให้ความรู้สึกบางเรียบ และสามารถดัดทำหลังคาโค้งได้สะดวก แต่วัสดุชนิดนี้มีปัญหาเรื่องความร้อน เนื่องจากหลังคาโลหะกันความร้อนได้น้อยมาก และมีปัญหาเรื่องเสียงในเวลาฝนตก นอกจากนั้นยังมีวัสดุอื่น เช่น พลาสติกหรือไพเบอร์ที่เป็นแผ่นโปร่งใสทำเป็นรูปร่างเหมือนกระเบื้องชนิดต่างๆ เพื่อใช้มุงกับกระเบื้องเหล่านั้น ในบริเวณที่ต้องการแสงสว่าง และวัสดุประเภททองแดงหรือแผ่นตะกั่ว เป็นต้น - ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา…ในเมืองร้อนแบบประเทศไทย ฉนวนกันความร้อนเป็นสิ่งหนึ่งที่คงจะขาดไม่ได้เลย เพราะนอกจากจะบรรเทาความร้อนที่จะส่งเข้าสู่บ้านคุณแล้ว ยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย ฉนวนกันความร้อนที่มีในบ้านเรานั้น มีดังนี้ค่ะ 1.   แผ่นเงาสะท้อนความร้อน เป็นแผ่นบางๆมันวาว เช่น พวกอลูมินั่มฟลอยส์ ทำหน้าที่หลักคือ การสะท้อนรังสีความร้อนไม่ให้เข้ามาในบ้านเรา มักจะติดไว้ใต้หลังคากระเบื้อง  โดยแผ่นฟรอยด์จะทำหน้าที่สะท้อนความร้อนที่แผ่ ลงมาจากกระเบื้อง ไม่ให้ผ่านมายังตัวห้อง ซึ่งจะทำให้ห้องเย็นและสามารถประหยัดแอร์ได้ด้วย 2.   แผ่นยิปซั่มบอร์ด เป็นแผ่นบางๆ ใช้กั้นผนังหรือทำฝ้าเพดาน บางแผ่นก็ติดแผ่นสะท้อนความร้อนเข้าไปด้วย แผ่นยิปซั่มบอร์ดนี้จะป้องกันการนำความร้อนได้ 3.   ใยแก้ว เป็นฉนวนกันความร้อนอีกตัวหนึ่ง มีลักษณะเป็นแผ่นฟูโปร่งด้วยเส้นใย สีเหลืองหรือสีขาว บางอย่าง จะมีแผ่นเงาสะท้อนรังสีความร้อนหุ้มอยู่ด้วย ความหนาโดยประมาณ ๒ – ๔ นิ้วฟุต น้ำหนักเบา ป้องกันความร้อนได้ดีมาก ติดตั้งง่าย โดยใช้ติดตั้งทั้งที่ฝ้า เพดานและผนัง 4.   สารจำพวกโพลียูรีเทนโฟม ที่ฉีดไปที่ผิววัสดุหลังคาเลย ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่นอกจากจะช่วยกันความร้อนแล้วยังช่วยกันเสียงและกันสนิมให้วัสดุที่เป็นเหล็กอีกด้วย การเลือกหลังคาให้เหมาะสมกับบ้านของคุณต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่างนะคะ ทั้งสภาพอากาศ ความแข็งแรงทนทาน  ความปลอดภัย ความสวยงามกลมกลืนและงบประมาณ รวมไปถึงการประหยัดพลังงาน ช่วยไม่ให้โลกร้อนขึ้น อย่าลืมว่าคุณภาพและภาพลักษณ์ต้องมาคู่กันนะคะ สิ่งที่ได้มาจึงจะคุ้มค่ากับที่คุณลงทุนไป ไม่ใช่สวยแค่รูปแต่ต้องจูบหอมด้วยค่ะ… ขอบคุณที่มา  :  http://www.forfur.com เครดิตรูปภาพ : http://www.forfur.com

จำนวนผู้อ่าน: 5398

05 กรกฎาคม 2017

งานโครงสร้าง

ประเภทของหลังคา เรื่องควรรู้ก่อนสร้างบ้าน

หลังคาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ต้องใส่ใจกับมันมากทีเดียวค่ะ หลังคาช่วยในการปกป้องเราและตัวบ้านของเราจากแดด ลม ฝน ซึ่งหลังคาดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะนอกจากหลังคาจะมีคุณประโยชน์ในด้านการใช้งานแล้ว การเลือกรูปแบบของหลังคาที่เหมาะสมกับตัวบ้าน ก็จะทำให้บ้านดูดีมาแต่ไกลเลยละค่ะ ซึ่งนั่นเป็นหน้าที่ของสถาปนิกที่จะช่วยคุณตัดสินใจเลือกรูปแบบของมัน แต่วันนี้เรามีพื้นฐานของประเภทหลังคาแบบต่างๆมาให้คุณผู้อ่าน เพื่อจะได้สื่อสารกับสถาปนิกและผู้รับเหมาได้ง่ายขึ้นว่าคุณต้องการอะไรค่ะ ประเภทของหลังคา…รูปทรงของหลังคาที่นิยมใช้กันมีอยู่ 5 แบบ คือ 1.หลังคา แบน หรือหลังคา SLAB ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นที่นิยมตามบ้านแบบโมเดิร์น โดยสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยบนหลังคา เช่น ใช้เป็นที่พักผ่อน ตากผ้า หรือจัดสวนบนหลังคา ฯลฯ หลังคาแบนซึ่งทำด้วยคอนกรีตจะสะสมความร้อนไว้มากกว่าหลังคาแบบอื่นๆ ทำให้เกิดการคายความร้อนออกมาในช่วงที่อากาศเย็นลง คือ เวลากลางคืน ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกร้อนอบอ้าวเมื่อกลับมาบ้านในเวลาเย็น การที่หลังคาแบนมีความลาดเอียงน้อย น้ำฝนจึงมักขังอยู่บนหลังคาได้ง่าย ทำให้เกิดการรั่วซึมอยู่บ่อยๆ หลังคาทรงนี้จึงไม่เป็นที่นิยมสำหรับบ้านเรือนที่พักอาศัยในเขตร้อน มักใช้คลุมพื้นที่เล็กๆภายในบ้าน เช่น ส่วนทางเดินเชื่อมต่อระหว่างบ้านและเรือนบริการ 2. หลังคาเพิงหมาแหงน  เป็นหลังคาที่ยกให้อีกด้านสูงกว่าอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้สามารถระบายน้ำฝนได้ เหมาะสมสำหรับบ้านขนาดเล็ก เนื่องจากก่อสร้างง่าย รวดเร็ว ราคาประหยัด แต่ต้องระวังควรให้หลังคามีองศาความลาดเอียงมากพอ ที่จะระบายน้ำฝนออกได้ทันไม่ไหลย้อนซึมกลับเข้ามาได้ 3. หลังคาทรงมนิลา หรือหลังคาหน้าจั่ว  หลังคาที่มีสันตรงกลางและลาดลงทั้ง 2 ข้าง เป็นหลังคาที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นแบบเมืองไทยเรา ความสะดวกในการก่อสร้าง สามารถกันแดดกันฝนได้ดี และสามารถระบายความร้อน ใต้หลังคาได้ดีอีกด้วย ซึ่งใต้หลังคาจะมีพื้นที่เยอะ อาจดูเหมือนเปลืองพื้นที่ แต่สามารถใช้ประโยชน์เป็นเป็นห้องใต้หลังคาได้ 4. หลังคาทรงปั้นหยา  เป็นหลังคาที่กันแดดกันฝน ได้ทุกด้าน แต่ราคาค่อนข้างแพง  เนื่องจากเปลืองวัสดุมากกว่าหลังคาชนิดอื่นๆ ตลอดจนต้องใช้ช่างที่มีฝีมือพอสมควรในการก่อสร้าง เพราะมีรายละเอียดเยอะกว่าหลังคาชนิดอื่นๆ หลังคาปั้นหยาพบเห็นได้ในอาคารจำพวกรีสอร์ท หรือบังกะโล ไปจนถึงเรือนไทยซึ่งคุณสมบัติเด่นของมันคือการที่กันลมได้ดีกว่าหลังคาอื่น 5. หลังคาปีกผีเสื้อ   หลังคาชนิดนี้ประกอบด้วยหลังคาเพิงหมาแหงน 2 หลังหันด้านที่ต่ำกว่ามาชนกัน ไม่ค่อยเหมาะกับสภาพภูมิอากาศที่ฝนตกชุกแบบเมืองไทยสักเท่าไร เนื่องจากต้องมีรางน้ำที่รองรับน้ำฝนจากหลังคาทั้ง 2 ด้าน ทำให้รางน้ำมีโอกาสรั่วซึมได้สูง จึงไม่เป็นที่นิยมสร้างกันมากนัก ยกเว้นอาคารที่ต้องการลักษณะเฉพาะพิเศษที่แปลกตาออกไป   ที่มาบทความ : http://www.nucifer.com/2012/11/05/roof-k/  

จำนวนผู้อ่าน: 5370

03 กรกฎาคม 2017

งานโครงสร้าง

สาระน่ารู้ ตอน ติดตั้งรางน้ำไวนิล

บ้านร้าว ก๊อกน้ำซึม หลังคารั่ว สีหลุดร่อน ปลวกขึ้นบ้าน กดชักโครกไม่ลง และอีกหลากหลายปัญหาเรื่องบ้านที่กวนใจคุณ ไม่ว่าปัญหานั้นจะเล็กหรือใหญ่ จะยากหรือง่าย ช่างประจำบ้านจะไปช่วยปลดล็อกทุกปัญหา ไขก๊อกทุกข้อสงสัย ตั้งแต่แนะนำวิธีแก้ปัญหา การเลือกซื้อ เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมบ้านอย่า­งถูกต้องและตรงจุด ผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวจากพิธีกรมาดกวน ฮ่องเต้ กนต์ธร เตโชฬาร และกูรูมืออาชีพที่คุณมั่นใจได้ ออกอากาศทุกวันเสาร์ 15.30 น. ทาง AMARIN TV HD ช่อง 34 จานดาวเทียมและเคเบิลทีวีช่อง 44

จำนวนผู้อ่าน: 3458

29 มิถุนายน 2017