ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มต่อ หลังปริมาณน้ำมันดิบตึงตัวต่อเนื่อง และความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มจากอากาศหนาวในสหรัฐฯ + ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อแตะระดับ 90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 2557 หลังกลุ่มโอเปกและพันธมิตร (OPEC+) ยังคงยึดมั่นตามข้อตกลงเดิมที่มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันสำหรับเดือน มี.ค. 65 เพียง 400,000 บาร์เรลต่อวัน + รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งกับรัสเซียเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ยูเครนยังคงตึงเครียด หลังยูเครนส่งสัญญาณเตือนว่า การสู้รบกับรัสเซียอาจจะลุกลามจนกลายเป็นสงคราม และจะส่งผลกระทบต่อทั้งทวีปยุโรป ขณะที่สหรัฐฯ จะส่งทหารเพิ่มเติมอีกเกือบ 3,000 นายเข้าไปยังโปแลนด์และโรมาเนีย เพื่อปกป้องยุโรปตะวันออก จากความเป็นไปได้ที่วิกฤตอาจลุกลาม +นอกจากนี้ สภาพอากาศหนาวเย็นอันเนื่องมาจากพายุฤดูหนาวในสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการเดินทาง และไฟฟ้าดับหลายพันครัวเรือน โดยอาจกระทบต่อการผลิตน้ำมัน และโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งต้องปิดทำการ ในขณะเดียวกัน ความต้องการใช้เชื้อเพลิงปรับเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบ จากความต้องการใช้น้ำมันเบนซินในอินโดนิเซียปรับเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมสำหรับช่วงเดินทางในเดือนรอมฎอน ในเดือนเม.ย. ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในเอเชียปรับเพิ่มขึ้น โลกต้องเตรียมพร้อม เผชิญหน้าภาวะ “น้ำมันแพง” ! ที่มา: Thai Oil ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-857674
Person read: 404
04 February 2022
เครดิตภาพ : สำนักอนามัย กทม. อัพเดตข่าว 4 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 08.35 น. ศบค.รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่วันนี้ (4 ก.พ.) เพิ่ม 9,909 ราย ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ 188 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 22 คน ส่วนผลตรวจ ATK พบผู้ติดเชื้อเข้าข่ายเพิ่มอีก 4,973 ราย วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ศูนย์ข้อมูล COVID-19 ของรัฐบาล และศูนย์ EOC กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รายงานข้อมูลเบื้องต้น สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 9,909 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 9,721 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 188 ราย ผู้ป่วยสะสม 252,197 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) วันนี้มีหายป่วยกลับบ้าน 7,827 ราย หายป่วยสะสม 198,415 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษาตัว 86,473 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 22 ราย ทางด้านกรมควบคุมโรครายงานผลตรวจ ATK วันนี้ว่า พบผู้ติดเชื้อเข้าข่ายเพิ่ม 4,973 ราย รวมสะสม 451,784 ราย ร้อยละของการตรวจพบเชื้อเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 12.81% ส่วนผุ้ป่วยอาการหนักหรือปอดอักเสบมีจำนวน 516 คน ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 105 คน สรุปยอดผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิตย้อนหลังตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565: ผู้ติดเชื้อ 7,422 ราย : เสียชีวิต 12 ราย วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 : ผู้ติดเชื้อ 8,587 ราย : เสียชีวิต 22 ราย วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 : ผู้ติดเชื้อ 9,172 ราย : เสียชีวิต 21 ราย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-857501
Person read: 429
04 February 2022
กรมอุตุฯออกประกาศเตือนภัยฉบับที่ 4 อากาศแปรปรวนบริเวณภาคเหนือตอนบน มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 4 – 6 กุมภาพันธ์ 2565 มีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศา วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือนภัยลักษณะอากาศ เรื่อง”อากาศแปรปรวนบริเวณภาคเหนือตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 4 – 6 กุมภาพันธ์ 2565)” ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า ในช่วงวันที่ 4 – 6 กุมภาพันธ์ 2565 คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน และแพร่ มีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียสในภาคเหนือตอนบน สำหรับยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 3-12 องศาเซลเซียส กับมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย อนึ่ง บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลง จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือที่ 0-2399-4012-13 และ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง คลิกดูประกาศฉบับเต็มที่นี่ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-857663
Person read: 416
04 February 2022
ภาพ:Pirak Anurakyawachon คอลัมน์ Office Design “Ascend Group” เป็นบริษัทที่ spin-off ออกมาจาก True Corporation ปัจจุบันอยู่ภายใต้ C.P.Group โดยมุ่งเน้นการทำธุรกิจออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเป้าหมายคือให้บริการโซลูชั่นทางด้าน digital infrastructure ด้วยรูปแบบธุรกิจที่มีความทันสมัย จึงทำให้องค์กรเป็นที่รวมตัวของพนักงาน ที่ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ทั้งสิ้น ดังนั้น Ascend Group จึงตั้งใจสร้างออฟฟิศที่สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจ และความเป็นมืออาชีพ เพราะสถานที่แห่งนี้เน้นการออกแบบตกแต่งสไตล์เปิดโล่ง เพื่อให้มองเห็นมุมมองที่กว้างไกล เนื่องจากหน้าต่างออฟฟิศเป็นกระจกบานใหญ่ สามารถมองเห็นวิวกรุงเทพฯได้อย่างดี นอกจากนั้น โต๊ะทำงานของพนักงานจะถูกเรียงตามแนวหน้าต่าง ทำให้ตอนนั่งทำงานสามารถมองออกไปนอกตึก เพื่อพักผ่อนสายตา ทั้งยังให้ความรู้สึกโล่งผ่อนคลาย เพราะโต๊ะทำงานมีความเป็นส่วนตัว แต่ไม่กีดกั้นการทำงานร่วมกันกับพนักงานคนอื่น ๆ พนักงานจึงไม่ได้ถูกจำกัดให้นั่งทำงานในพื้นที่เดิม ๆ แต่สามารถเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ ออฟฟิศได้อย่างอิสระ ส่วนล็อบบี้ของบริษัทเป็นพื้นที่มัลติฟังก์ชั่น สามารถใช้สำหรับจัดสัมมนา และเป็นที่พบปะแขกผู้มาเยือน เนื่องจากใช้พื้นที่ทำงานร่วมกัน ที่สำคัญ ยังจัดงานปาร์ตี้ได้อีกด้วย ส่วนแนวคิดการออกแบบพื้นจะเน้นการใช้คอนกรีตขัดมัน ไม่ทาสี ขณะที่ในส่วนของเพดานจะเปิดเปลือยให้เห็นระบบท่อ และเฟอร์นิเจอร์ โดยเน้นงานไม้และโลหะ เพื่อให้อารมณ์อุตสาหกรรมนิด ๆ แต่มีการเพิ่มลูกเล่นด้วยสไลเดอร์สีแดงที่ผู้ใหญ่ใช้ได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าออฟฟิศแห่งนี้ทำงานด้วยความสนุกสนาน ไม่มีความเครียด จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือผนังจะมีคำคมของเหล่าบรรดากูรูที่ประสบความสำเร็จในแวดวงต่าง ๆ เพื่อกระตุ้น และสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมไปกับคำคมต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย เพื่อวันหนึ่งเขาจะได้นำไปประยุกต์ใช้กับการทำงานต่อไป หมายเหตุ – องค์กรใดต้องการนำเสนอมุมมองการออกแบบองค์กร ส่งรูป พร้อมคำบรรยายคอนเซ็ปต์การออกแบบองค์กรสั้น ๆ มาที่ saroj_maneerat@hotmail.com เราจะพิจารณาลงในคอลัมน์ Office Design เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ที่มา : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-181713
Read modeการแต่งห้องครัวแบบโมเดิร์นในสมัยนี้ นิยมใช้ชั้นวางของแบบเปิดโล่งกันมากขึ้นนอกจากการใช้ชั้นวางของแบบนี้จะดูสวยทันสมัยแล้ว ยังมีเหตุผลดี ๆ ที่ไม่น่าพลาดอีก 8 ข้อดังนี้ 1.ชั้นวางของแบบเปิดโล่ง ทำให้มีทางเลือกมากขึ้นในการเก็บของ : ตู้และเคาน์เตอร์นั้นเข้าถึงยาก จัดเก็บและหยิบของยาก บางคนต้องปีนขึ้นไปเปิดตู้ บางตู้ก็ทั้งเล็ก ทั้งแคบ ทำให้การใช้งานไม่สะดวก แต่ชั้นวางของแบบเปิดนั้น ใช้ง่ายกว่า ดูสวยทันสมัย หยิบของจัดของได้สบายมากกว่า 2.ดูแล้วอบอุ่น และเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนมากกว่า : ชั้นวางของแบบเปิดนั้น สร้างความรู้สึกเชิญชวนแขกมากกว่า เพราะแขกสามารถเดินไปหยิบของใช้ต่าง ๆ มาได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องถามเจ้าของบ้านว่าอะไรอยู่ที่ไหน ทำให้รู้สึกเป็นกันเอง 3.ทำให้พื้นที่ดูสว่างและโปร่งขึ้น : ถ้าครัวมีขนาดเล็ก และมีสีเข้ม การใช้ตู้จะยิ่งทำให้ดูแคบเข้าไปใหญ่ ดังนั้นชั้นเปิดจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ทำให้ดูกว้าง สว่างกว่า โปร่งตามากกว่า 4.จัดการกับฝุ่นได้ง่ายกว่า : ชั้นเปิดนั้น เราสามารถมองเห็นฝุ่นได้ง่ายและสามารถทำความสะอาดได้ง่าย ทำให้ของและจานชามสะอาดอยู่เสมอ 5.ชั้นวางของแบบเปิดจัดเรียงสิ่งของได้ง่าย : สำหรับผู้ที่ชอบความสะดวกสบาย ชั้นแบบเปิดนี้ทำให้เราจัดของได้ง่าย มองหาของหยิบใช้ของได้ง่าย 6.ชั้นวางของแบบเปิดมีราคาไม่แพง : แน่นอนว่าตู้ในครัวนั้นมีราคาแพงกว่าชั้นวางของแบบเปิดค่อนข้างมาก การใช้ชั้นแบบเปิดจึงประหยัดกว่า ดูทันสมัยกว่า และใช้สะดวกกว่า การซื้อหามาใช้ก็ทำได้ง่าย มีขายทั่ว ๆ ไป แม้กระทั่งแบบ diy ที่เราสามารถทำให้เสร็จเองได้ภายในวันเดียว 7.ชั้นวางของแบบเปิดทำให้เราโชว์จานชามที่มีสไตล์ได้ : สำหรับผู้ที่มีจานชามเป็นชุดสวยงาม การเลือกใช้ชั้นวางของแบบเปิด ก็เป็นทางเลือกที่ดี ทำให้เราโชว์จานชามที่สวยงามนั้นได้ด้วย 8.สามารถนำมาลองใช้ดูก่อนได้ : ชั้นวางของแบบเปิดนี้เคลื่อนย้ายได้ ทำให้เราสามารถลองจัดวางในจุดต่าง ๆ ได้ หากไม่ชอบ ไม่เหมาะก็เปลี่ยนที่ได้ ไม่เหมือนตู้ที่เมื่อลงทุนไปแล้วเปลี่ยนแปลงได้ยากและสิ้นเปลืองงบประมาณ ขอบคุณบทความจาก : sanook.com
Read modeทุกวันนี้เราสามารถเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ จากร้านค้าออนไลน์ได้ง่าย เพียงแค่เลือกแบบที่ชอบ คลิกสั่งซื้อ รอไม่นานเฟอร์นิเจอร์ทั้งชุดก็มาส่งถึงบ้าน แต่บ่อยครั้งที่เมื่อคุณเปิดกล่องออกมาแล้ว ไม่รู้จะต่อพวกมันเข้าไปได้อย่างไร และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เฟอร์นิเจอร์ที่ได้มา อาจจะไม่ได้เข้ากับของอื่น ๆ ในบ้านคุณเลย อีกทั้งยังมีขนาดไม่ลงตัวอีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านการตกแต่งบ้านบอกว่า จริง ๆ แล้ว การจัดเฟอร์นิเจอร์นั้นนับว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ถ้าหากคุณมีแนวทางคุณก็สามารถจะจัดเฟอร์นิเจอร์ให้สวยเหมือนมืออาชีพได้ไม่ยาก ซึ่ง 5 เทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญต่อไปนี้จะช่วยคุณได้ 1.ให้คุณคิดให้เสร็จก่อนว่าพื้นที่ส่วนไหน จะใช้ทำอะไร : การจัดเฟอร์นิเจอร์นั้นควรเริ่มจากการกำหนดส่วนต่าง ๆ ในห้องว่าจุดไหนจะใช้ทำอะไร เช่นอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง อย่างทีวีจะอยู่ตรงไหน ตรงไหนจะเป็นที่นั่งเล่น ตรงไหนจะเป็นโต๊ะอาหาร นอกจากนี้ห้องควรมีจุดเด่น หากภายในห้องนั้นยังหาจุดเด่นไม่เจอ ก็อาจจะเลือกใช้งานศิลปะชิ้นใหญ่มาจัดวางไว้ใกล้ ๆ ทีวี เพื่อทำให้ห้องมีจุดเด่นขึ้นมาได้ และยังมีสิ่งที่ต้องคิดอีกอย่างหนึ่งคือ บ้านนั้นมีคนอยู่มากน้อยแค่ไหน แต่ละคนก็ย่อมต้องการความสะดวกสบาย จำนวนเก้าอี้ และขนาดของเก้าอี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้เหมาะกับจำนวนคนด้วย 2.ในห้องที่เป็นพื้นที่สำหรับให้ทุกคนมารวมตัวกัน ควรตั้งเฟอร์นิเจอร์ให้ห่างจากผนัง : แม้คำแนะนำในข้อนี้จะดูแล้วไม่น่าเห็นด้วยเท่าไรนัก เพราะการตั้งเฟอร์นิเจอร์ไม่ชิดผนังนั้น เปลืองพื้นที่ แต่จริง ๆ แล้วการตั้งในลักษณะนี้ จะทำให้ดูโล่งกว่า รู้สึกอบอุ่นกว่า จะเป็นการดีกว่า ถ้าจะเลือกเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว แค่ตั้งเฟอร์นิเจอร์ให้ห่างจากผนังแค่ไม่กี่นิ้ว ก็ทำให้รู้สึกสบายขึ้นมาแล้ว ทำให้ดูมีความโล่ง โปร่ง ไม่อึดอัด 3.ไม่ต้องยึดติดอยู่กับกฎใด ๆ ให้มากนัก : เราไม่ควรตั้งเฟอร์นิเจอร์สูงกว่าหน้าต่าง หากจะวางเฟอร์นิเจอร์ติดหน้าต่าง เพราะจะบังวิว แต่ทุกวันนี้ บ้านจะมีหน้าต่างมาก บางครั้งก็เป็นการยากที่จะจัดวาง ดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับกฎมากนัก แต่ให้คิดหาแนวทางที่สร้างสรรค์มาใช้แทน ในบางครั้งสถานที่ดีที่สุดในการวางเฟอร์นิเจอร์กับหน้าต่างก็คือการวางติดหน้าต่างนั่นเอง จากนั้นก็อาจจะติดม่านเข้าไปก็ได้ 4.วางผังให้กับทุกสิ่ง : เฟอร์นิเจอร์ควรมีสัดส่วนที่พอดีกับห้อง เราต้องทราบผังห้องว่ามีความกว้าง ความยาว ความสูงแค่ไหน ก่อนจะเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ ก็ต้องวัดขนาด แล้วลองนำมาทำผัง เพื่อจะได้แน่ใจว่า เมื่อจัดวางลงไปแล้ว มีขนาดที่เหมาะสม 5.หาที่ตั้งให้ได้ก่อนซื้อ : เมื่อเราเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเลือกซื้อจากร้านค้า หรือเลือกซื้อออนไลน์ เราต้องรู้ว่า ซื้อมาแล้วจะวางไว้ตรงไหน วางลงไปได้หรือเปล่า ขนาดพอดีหรือไม่ อย่าเลือกซื้อมาโดยเห็นว่า สวย ราคาน่าซื้อ แต่เมื่อนำกลับมาแล้ว ไม่รู้จะวางตรงไหน ขอบคุณบทความจาก : sanook.com
Read modeใช้เครื่องไฟฟ้า . . . หน้าฝน (momypedia) ขึ้นชื่อว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็เป็นที่รู้กันละค่ะว่าไม่ถูกกับน้ำ ยิ่งฝนตกฟ้าคะนองด้วยแล้ว ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าค่ะ อ่านเคล็ดลับการใช้เครื่องไฟฟ้าให้ปลอดภัย ในหน้าฝน ต้องทำอย่างไร เราไปดูกันเลย คอมพิวเตอร์ : หลังใช้อินเตอร์เน็ตแล้ว อย่าลืมถอดสายโทรศัพท์ออกจากตัวโมเด็มเพื่อป้องกันไฟฟ้ากระชากมาตามสายโทรศัพท์ ซึ่งจะทำให้โมเด็มเสียหายได้ และจะดีมากถ้าถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ออกจากเต้าเสียบไฟบ้านด้วย โทรทัศน์ : ควรติดตั้งเสาอากาศให้มั่นคงแข็งแรง และห่างจากแนวสายไฟแรงสูง กะระยะว่าหากเสาอากาศล้มหรือหักลงมาจะต้องไม่โดนสายไฟฟ้าแรงสูง หากที่บ้านหรืออาคารที่อยู่ไม่ได้มีสายล่อฟ้า ก็ควรถอดสายอากาศออกจากทีวีทุกครั้ง (โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน) รวมทั้งไม่เปิดทีวีขณะที่ฝนตกฟ้าร้องด้วย เครื่องทำน้ำอุ่น : ต้องย้ำกับช่างผู้มาติดตั้งให้ต่อสายดินให้เรียบร้อยนะคะ และไม่ควรใช้เครื่องทำน้ำอุ่นหากไม่แน่ใจว่าต่อสายดินหรือไม่ เครื่องปรับอากาศ : พอเข้าหน้าฝนก็ควรมีการตรวจสอบสภาพเครื่องกันหน่อยว่ามีกระแสไฟฟ้ารั่วหรือไม่ โดยเฉพาะสายไฟฟ้าที่ใช้ต่อเข้ากับเครื่องปรับอากาศ และเครื่องปรับอากาศต้องไม่ติดตั้งใกล้สารหรือวัตถุไวไฟ โคมไฟสนาม : ต้องหมั่นดูแลตรวจสอบสภาพเปลือกสายไฟให้ดีอยู่เสมอ ตัวเสาโคมก็ควรต่อสายกลับไปที่แผงสวิตซ์แล้วต่อลงดิน เพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลลงดิน เพราะหากเกิดไฟรั่วขึ้นลูกอาจจะไปสัมผัสทำให้ได้รับอันตรายได้ สวิตช์กริ่งไฟฟ้า : หากมือเปียกชื้นหรือยืนอยู่ในพื้นที่แฉะไม่ควรสัมผัสกริ่งโดยตรง เพราะจะทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านทำให้เกิดไฟดูดได้ ทางที่ดีควรติดตั้งสวิตช์กริ่งไฟฟ้าที่กันฝน มีฝาปิด และหมั่นตรวจตราให้อยู่ในสภาพปลอดภัยพร้อมใช้งาน อย่ามองข้ามสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้นะคะ เพราะหากไม่ใส่ใจการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าให้ถูกวิธี หรือไม่รีบแก้ไขเมื่อชำรุดเสียหาย อาจจะเป็นภัยต่อชีวิตของคนทั้งครอบครัวได้ค่ะ 8 วิธีป้องกันไฟฟ้าดูด 1. หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์และสายไฟ และควรซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด 2. ควรวางสายไฟให้พ้นทางเดิน และบริเวณที่วางสายไฟไม่ควรวางสิ่งของที่หนักๆ ทับ 3. ห้ามใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปียกน้ำ 4. ห้ามซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเองโดยที่ไม่มีความรู้เรื่องนี้ 5. ไม่ควรใช้ไฟฟ้าหลายอย่างกับเต้าเสียบปลั๊กไฟตัวเดียว 6. ต่อสายดินกับเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้น (ที่จำเป็น) เพื่อให้ไฟฟ้าลงดิน 7. อย่าแตะอุปกรณ์ไฟฟ้าเมื่อร่างกายเปียกชื้น เพราะกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านร่างกายได้สะดวก 8. ควรจะติดตั้งเครื่องตัดไฟฟ้าลัดวงจรภายในบ้าน เพื่อความปลอดภัยและเป็นการป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า รู้หรือเปล่าว่า . . . ควรติดตั้งสวิตซ์และเต้ารับที่มีขั้วสายดิน เช่น ติดตั้งเต้ารับแบบหลุมไว้ภายในบ้าน เพื่อใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีจุดต่อสายดินหรือมีเครื่องหมาย (มีรูปเครื่องหมายให้ค่ะ) กำกับอยู่ และควรติดตั้งสวิตซ์และเต้ารับในตำแหน่งที่ปลอดภัย สูงพ้นมือเด็กเล็ก หรือห่างจากสภาพที่อาจเกิดอันตรายหรือน้ำท่วมถึงได้ ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก โดย: พู่กันต์ ที่มา : https://hilight.kapook.com/view/37283
Read modeนอกจากบ้านที่ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามแล้วแสงสว่างก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้บ้านของเราสวยงามน่าอยู่มากขึ้น แสงมีวิธีใช้หลายรูปแบบ และยังช่วยปรับอารมณ์ให้ห้องแต่ละห้องเหมาะสมกับรูปแบบการใช้งาน และสิ่งสำคัญ แสงสว่างจะทำให้เรามองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน ป้องกันการสะดุด หกล้ม เตะตู้ หรือแม้แต่ช่วยให้เราแต่งหน้าได้ไม่พลาดหากเลือกใช้หลอดไฟถูกประเภท โทนสีของหลอดไฟ 1. แสง Warm White • แสงโทนสีแดงอมส้ม นิยมใช้สร้างบรรยากาศให้ดูผ่อนคลาย • แสง Warm White ทำให้สีของวัตถุผิดเพี้ยน • นิยมใช้ในห้องนั่งเล่น ห้องนอนให้ความรู้สึกนุ่มนวล อบอุ่น ชวนพักผ่อน 2. แสง Cool White • แสงโทนสีขาวอยู่ระหว่างแสง Daylight กับแสง Warm White • ให้ความรู้สึกทันสมัย สว่างสะอาด • ใช้กับห้องที่ต้องการความสดใสเช่น ห้องทำงาน 3. แสง Daylight • แสงโทนสีขาวอมฟ้า มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด • คล้ายแสงธรรมชาติในตอนกลางวันจึงได้ค่าสีไม่เพี้ยน • ใช้กับบริเวณที่ต้องการเห็นรายละเอียดชัดเจน เช่น โต๊ะแต่งหน้า โต๊ะทำงานฝีมือ 1. Ambient Light / ไฟบริเวณ ไฟที่ให้แสงสว่างพื้นที่โดยรวมของห้องนั้นๆ เช่น ไฟซาลาเปา ไฟแขวนกลางห้อง 2. Accent Light / ไฟส่องเน้น ไฟที่ช่วยส่งเสริมความสวยงามของพื้นที่ให้เป็นจุดสนใจ เช่น ไฟส่องภาพแขวนผนังหรืองานศิลปะ 3. Task Light / ไฟเฉพาะจุด ไฟที่ให้แสงสว่างเฉพาะจุด เช่น โคมไฟตั้งโต๊ะ ไฟแขวนเหนือโต๊ะกินข้าว ไฟหัวเตียง 4. Concealed Light / ไฟหลืบ ไฟที่ติดตั้งในตำแหน่งที่เราไม่สามารถมองเห็นหลอดไฟ เห็นเพียงแต่แสงสว่างเท่านั้น เช่น ไฟหลืบในผนัง ไฟใต้ตู้ในครัว Living Room ให้ความสว่างที่สามารถปรับเพิ่ม - ลดได้ตามการใช้งาน • ไฟเพดาน • ไฟตั้งโต๊ะ • ไฟส่องผนัง • ไฟตกแต่ง Dining Room ให้แสงที่สวยงามเหนือโต๊ะอาหารสร้างมิติของแสงรอบ ๆ ห้อง • ไฟแขวนเหนือโต๊ะอาหาร • ไฟส่องผนัง Kitchen ต้องการความสว่างของแสงที่เหมาะสมสำหรับการทำอาหาร • ไฟเพดาน • ไฟใต้ตู้แขวน • ไฟเหนือเตา Home Office ให้ความสว่างและสว่างมากในบางจุด • ไฟส่องผนัง • ไฟตั้งโต๊ะที่ปรับได้ Bathroom ให้ความสว่างแต่ไม่สว่างจนเกินไป • ไฟเพดาน • ไฟซ่อนหลังกระจก Bedroom ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ชวนพักผ่อน • ไฟผนัง • ไฟตั้งโต๊ะ ขอบคุณบทความจาก : sanook.com
Read modeพวกแมลงและศัตรูพืช มักจะหาที่อยู่อาศัยที่สามารถเข้าถึงน้ำและอาหารได้ง่าย และพวกสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ มักจะเข้ามาในบ้านของเราตามท่อแอร์ พวกมันจะได้กลิ่นอาหารจากแอร์ และได้น้ำจากน้ำที่หยดออกมาจากคอมเพรสเซอร์ เมื่อพวกมันหาวิธีเข้ามาในบ้านเราทางท่อแอร์ได้แล้ว มันก็จะรบกวนทั้งเราและสัตว์เลี้ยงในบ้าน เราจึงต้องรู้วิธีกำจัดพวกมันอย่างถูกต้อง ดังนี้ 1.ไม่ควรใช้ยาฆ่าแมลงกำจัดแมลงในท่อแอร์ : คนส่วนใหญ่ เมื่อเห็นแมลงเข้ามาในบ้าน ก็จะกำจัดด้วยการฉีดยาฆ่าแมลง ซึ่งหาซื้อมาได้ง่าย ๆ แต่สำหรับแมลงในท่อแอร์นี้ การใช้ยาฆ่าแมลงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะเมื่อเราเปิดแอร์ใช้งาน ยาฆ่าแมลงที่อยู่ในท่อแอร์นั้น ก็จะถูกพ่นออกมา ทำให้คุณภาพอากาศในบ้านของเราเสียไป และอาจจะทำให้คนและสัตว์เลี้ยงในบ้านป่วยได้อีกด้วย 2.ควรให้มืออาชีพมาช่วยทำความสะอาด : ทางเลือกที่ดีที่สุดในการกำจัดแมลงในท่อแอร์ก็คือ การทำความสะอาด เพื่อที่จะขจัดแมลงออกไป และป้องกันการกลับเข้ามาใหม่ การทำความสะอาดท่อแอร์โดยช่างแอร์ หรือมืออาชีพ ช่วยได้ และไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในบ้านด้วย 3.เมื่อกำจัดแมลงออกจากท่อแอร์ได้แล้ว ก็ต้องป้องกันพวกมันไม่ให้เข้ามาอีก : หลังการล้างทำความสะอาดท่อแอร์แล้ว ให้ติดตาข่ายถี่ ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันเข้ามาในท่อแอร์ได้อีก จากนั้น เราก็จะสามารถใช้งานแอร์ได้อย่างสบายใจ ขอบคุณบทความจาก : sanook.com
Read modeครม.เห็นชอบ สุดยอดมาตรการประหยัดน้ำ คิดให้เสร็จสรรพละเอียดยิบ ทั้งตรวจก๊อกน้ำ ตรวจส้วม จดมาตรวัดน้ำ อย่าทิ้งเศษอาหารลงชักโครก ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อน ดื่มน้ำให้หมดทุกครั้ง ล้างจานในอ่าง ไม่เปิดสายยางล้างรถรดน้ำต้นไม้ ไม่เปิดน้ำทิ้งขณะล้างหน้า ชี้หน่วยราชการไหนทำไม่ได้เจอดีแน่ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กรมทรัพยากรน้ำในฐานะเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน สั่งการให้จัดทำแนวทางประหยัดน้ำในหน่วยงานภาครัฐตามความเห็นที่ประชุม โดยมีเป้าหมายในการลดปริมาณการใช้น้ำลงอย่างน้อย 10% เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้น้ำในปีงบประมาณ 2557 เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาวิกฤติการขาดแคลนน้ำ รวมทั้งสร้างความเสมอภาคระหว่างภาคส่วนต่างๆในการลดปริมาณการใช้น้ำและเป็นการปลูกฝังค่านิยมร่วมกันในการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและรู้คุณค่ารวมถึงลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้น้ำอย่างไม่เหมาะสม</p> ทั้งนี้ ได้กำหนดให้มีกลไกบริหารจัดการในระดับนโยบาย คือให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่ง จัดตั้งคณะทำงานปฏิบัติการประหยัดน้ำ ขณะที่ในระดับปฏิบัติ ทางกรมทรัพยากรน้ำจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รณรงค์และให้คำแนะนำ วิธีการประหยัดน้ำกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และประชาชนทั่วไป สำหรับแนวทางปฏิบัติภายในหน่วยงานภาครัฐที่จะช่วยบรรเทาปัญหาวิกฤติการขาดแคลนน้ำควรกำหนดให้มีตัวชี้วัดระดับความสำเร็จของการดำเนินมาตรการประหยัดน้ำเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลการปฏิบัติราชการ โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดให้การประหยัดน้ำเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้บริหารระดับสูงของทุกหน่วยงานรัฐรวมถึงรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองท้องถิ่น หน่วยงานตุลาการ รัฐสภาและโรงเรียน โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 โดยทางสำนักงาน ก.พ.ร.และกรมทรัพยากรน้ำจะร่วมกันพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการประเมินผล นอกจากนั้นให้กรมทรัพยากรน้ำเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามผลและรายงานให้ ครม.ทราบ จดมาตรวัดน้ำเพื่อตรวจสอบการรั่วซึม ส่วนแนวทางลดปริมาณการใช้น้ำระยะสั้น ประกอบด้วย 1.การสำรวจตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำตั้งแต่ท่อน้ำรั่วภายในหน่วยงาน โดยการปิดก๊อกน้ำทุกตัวหลังจากที่ทุกคนกลับบ้านแล้วให้จดเลขมาตรวัดน้ำไว้ หากมีการเคลื่อนไหวโดยที่ไม่มีใครเปิดน้ำใช้ให้เรียกช่างมาซ่อมทันที 2. ตรวจสอบชักโครกว่ามีจุดรั่วซึมหรือไม่ โดยหยดสีผสมอาหารลงในถังพักน้ำและสังเกตดูคอห่านหากมีน้ำสีลงมาโดยไม่ได้กดชักโครกให้รีบซ่อมแซม 3.ไม่เปิดน้ำไหลตลอดเวลาขณะล้างหน้าเพราะจะสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์นาทีละหลายๆลิตร ไม่ทิ้งเศษกระดาษลงชักโครก 4.ไม่ทิ้งเศษอาหาร กระดาษ สารเคมีทุกชนิด ลงในชักโครกเพราะจะสูญเสียน้ำปริมาณมากในการชักโครกเพื่อไล่สิ่งของดังกล่าวลงท่อ 5.ให้ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเมื่อต้องการล้างมือเพราะการใช้สบู่ก้อนล้างมือจะใช้เวลามากกว่าการใช้สบู่เหลว ที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมากกว่า แต่การล้างมือด้วยสบู่เหลวที่เข้มข้นก็จะใช้น้ำมากกว่าการล้างมือด้วยสบู่เหลวที่ไม่เข้มข้นเช่นกัน 6.ไม่ทิ้งน้ำดื่มที่เหลือในแก้วโดยไม่เกิดประโยชน์อันใด อาจนำไปใช้รดน้ำต้นไม้ ใช้ชำระพื้นผิวหรือใช้ทำความสะอาดสิ่งต่างๆ ตลอดจนให้ใช้เหยือกน้ำกับแก้วเปล่าในการบริการน้ำดื่มและให้ผู้ที่ต้องการดื่มรินน้ำดื่มเองและควรดื่มให้หมดทุกครั้ง 7.การจะล้างจานให้ล้างในภาชนะที่ขังน้ำไว้ จะประหยัดน้ำได้มากกว่าการล้างจานด้วยวิธีที่ปล่อยให้น้ำไหลจากก๊อกน้ำตลอดเวลา ไม่เปิดสายยางรดน้ำต้นไม้ 8.การล้างรถไม่ควรใช้สายยางและเปิดน้ำให้ไหลตลอดเวลา เพราะจะใช้น้ำมากถึง 400 ลิตร แต่การล้างด้วยน้ำและฟองน้ำในกระป๋องหรือภาชนะบรรจุน้ำจะลดการใช้น้ำได้มากถึง 300 ลิตรต่อการล้าง 1 ครั้ง ที่สำคัญไม่ควรล้างรถบ่อยครั้งจนเกินไป เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำแล้วยังทำให้เกิดสนิมตัวถังได้ด้วย 9.การรดน้ำต้นไม้ให้ใช้สปริงเกิลหรือฝักบัวรดน้ำแทนการฉีดน้ำด้วยสายยางและไม่ควรรดน้ำต้นไม้ตอนแดดจัด เพราะน้ำจะระเหยหมดไปเปล่าๆ แต่ควรรดน้ำต้นไม้ในตอนเช้าที่อากาศยังเย็นอยู่จะช่วยประหยัดน้ำได้มาก จากนั้นให้นำหลักการ 3R คือลดการใช้น้ำ (Reduce) ใช้ซ้ำ (Reuse) และนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) มาปรับใช้ตามความเหมาะสมกับหน่วยงานด้วย ส่วนแนวทางปฏิบัติเพื่อประหยัดน้ำในระยะยาวให้รณรงค์ส่งเสริมและปลูกฝังค่านิยมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและรู้คุณค่า รวมทั้งสร้างพฤติกรรมการประหยัดน้ำ และให้ออกแบบติดตั้งระบบน้ำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเก็บและการจ่ายน้ำตามแรงโน้มถ่วงของโลกเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานไปสูบและจ่ายน้ำภายในอาคาร นอกจากนี้ กรณีที่อุปกรณ์ชำรุดจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ ค้นหาอุปกรณ์ที่ประหยัดน้ำทดแทน และให้มีการติดตั้งอุปกรณ์เติมอากาศ เพื่อช่วยเพิ่มอากาศให้แก่น้ำที่ไหลออกจากหัวก๊อกและลดปริมาณการไหลของน้ำด้วย. อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/514802
Read modeชักโครกไม่ใช่ถังขยะมหัศจรรย์ ที่เราจะทิ้งอะไรลงไปก็ได้ เพราะบางสิ่งบางอย่างที่เราทิ้งลงไปนั้น ไม่สามารถกำจัดให้หายไปได้ด้วยการกดชักโครก เพราะมันจะอุดตันอยู่ในท่อ กลายเป็นสิ่งเน่าเสีย ที่วันหนึ่งจะย้อนกลับมาทำลายสภาพแวดล้อมของเรา และทราบหรือไม่ว่าจากการที่คนจำนวนไม่น้อย ไม่เข้าใจในจุดนี้ ทำให้ในแต่ละเดือน แต่ละปี คนมีปัญหาเรื่องท่อตันกันเป็นล้าน ๆ ครั้ง และเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว เราควรจะต้องทราบว่า 11 สิ่งต่อไปนี้ เราต้องไม่ทิ้งลงไปในชักโครกอย่างเด็ดขาด 1.กระดาษทิชชูเปียก : ทราบหรือไม่ในช่วงไม่กี่ปีหลังจากที่มีการผลิตกระดาษทิชชูเปียกสำหรับทำความสะอาดเด็กออกจำหน่าย ปัญหาท่อตันก็เกิดขึ้นทั่วไปหมด เพราะผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยเลือกใช้กระดาษแบบนี้ในการทำความสะอาดเด็ก ๆ กันเป็นประจำ เมื่อใช้เสร็จ ก็ทิ้งลงชักโครก แม้ว่าจะมีคำแจ้งเตือนที่หน้าซองอยู่ก็ตาม ว่าไม่ให้ทิ้งลงชักโครก แน่นอนว่า กระดาษแบบนี้ใช้ง่าย ทิ้งง่าย กดลง แต่มันไม่สามารถย่อยสลายได้และก่อให้เกิดการอุดตัน และส่งผลเสียต่อระบบการกำจัดของเสียอีกด้วย เพราะกระดาษพวกนี้ มีส่วนผสมของไฟเบอร์พลาสติก วิธีที่ถูกสำหรับการทิ้งกระดาษทิชชูเปียกก็คือ ทิ้งลงถังขยะ 2.ถุงยางอนามัย : แม้จะเป็นการสะดวกที่จะทิ้งลงในชักโครก แต่นั่นไม่ใช่ที่ทิ้ง เพราะถุงยางเหล่านั้นจะอุดตันในท่อ ทำให้ต้องเสียเวลา และเสียงบประมาณในการมาแก้ไขที่ทิ้งที่ถูกต้องก็คือถังขยะเช่นกัน 3.ยาต่าง ๆ : ยาที่เราไม่ใช้แล้ว หรือยาหมดอายุ ก็ไม่ควรจะทิ้งในชักโครกเช่นกัน แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการปลอดภัย ต่อการที่เด็ก หรือสัตว์เลี้ยง แต่การทิ้งยาลงในชักโครกนั้น ส่งผลกระทบต่อระบบการกำจัดของเสีย ในกรณีที่มีการนำสิ่งปฏิกูลเหล่านี้ ไปใช้เป็นปุ๋ย ก็จะส่งผลต่อต้นไม้ นอกจากนั้น ตัวยาอาจจะละลายลงดิน และลงสู่แหล่งน้ำได้ในที่สุด สถานที่ทิ้งที่เหมาะที่สุดก็คือ ถังสำหรับทิ้งยาของสถานพยาบาลในท้องถิ่นที่เราอาศัย 4.สารเคมีต่าง ๆ : การทิ้งสารเคมี พวกน้ำยาทำความสะอาด หรือสารเคมีอื่น ๆ ลงในชักโครก ก็ส่งผลเสียในลักษณะเดียวกับการทิ้งยาลงในชักโครก วิธีที่ถูกก็คือ ไม่เททิ้ง และหาที่ทิ้งลงในถังที่แยกไว้สำหรับการทิ้งสารเคมี 5.สำลี ทิชชู กระดาษเช็ดมือ : ของเหล่านี้เราอาจจะคิดว่า มันไม่ต่างอะไรกับกระดาษชำระ แต่จริง ๆ แล้ว เมื่อเราทิ้งลงชักโครก และกดน้ำไป จะมีผลที่แตกต่างกัน เพราะกระดาษชำระ สามารถแตกตัวได้ ในเวลาไม่กี่วินาที แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่แตกตัว และอาจจะอุดตัน กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ของเหล่านี้ ต้องทิ้งลงในถังขยะ 6.ผ้าอนามัย : ผ้าอนามัยทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบแผ่น แบบสอด เราทิ้งลงในชักโครกไม่ได้ เพราะมันจะอุดตันในท่อ ยากต่อการนำออกมา เพราะผ้าอนามัยเหล่านี้ จะดูดน้ำ และขยายตัวอยู่ในท่อ ต้องทิ้งในถังขยะ 7.ผ้าอ้อม : เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ก่อปัญหามาก คนบางคนบอกว่า เขาสามารถม้วนผ้าอ้อม ให้มีขนาดเล็กเพียงพอที่จะใส่เข้าไปในชักโครกได้ แต่แน่นอนว่า เมื่อใส่ลงไปแล้ว มันก่อให้เกิดปัญหาอุดตัน และยากต่อการแก้ไขเช่นกัน 8.เส้นผมและไหมขัดฟัน : ถ้าเราเห็นว่าเส้นผมที่ร่วงออกมานั้น อุดท่อระบายน้ำ ตอนที่เราอาบน้ำอย่างไร เราก็จะเข้าใจได้ว่า เวลาใส่ลงไปในชักโครกแล้ว มันจะอุดตันในลักษณะเดียวกัน เส้นผม และไหมขัดฟัน ไม่แตกตัวเมื่อโดนน้ำ และมันจะกลายเป็นสิ่งกีดขวางในท่อน้ำ 9.ทรายแมวและอึแมว : แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากมาขุดทรายแมวเพื่อตักอึแมวออก แต่ทั้งนี้เราไม่ควรกำจัดด้วยการนำไปเทในชักโครก ทรายแมวทำให้เกิดการอุดตันในท่อน้ำ และก่อให้เกิดความเสียหายภายในท่อได้ แม้แต่อึแมว ก็ไม่ควรทิ้งลงไป เพราะอาจจะมีพยาธิ ส่งผลต่อระบบการกำจัดของเสียเช่นกัน 10.ซากสัตว์: รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ อื่น ๆ ไม่ใช่สิ่งที่จะทิ้งลงในชักโครก เพราะซากสัตว์เหล่านี้ อาจจะมีเชื้อโรคและพยาธิ ก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบน้ำ หากเกิดการอุดตันก็ก่อให้เกิดเชื้อโรค ซากสัตว์เหล่านี้ เราควรกำจัดด้วยการฝัง หรือทิ้งขยะก็ได้ 11.อาหาร : ชักโครกไม่ใช่ที่กำจัดขยะจากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกากกาแฟ หรือเศษอาหาร ก็ไม่ควรทิ้งลงในชักโครกทั้งนั้น เพราะมันจะอุดตันในท่อเช่นกัน ขอบคุณบทความจาก : sanook.com
Read modeเชื้อราชอบความชื้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นเชื้อรารอบ ๆ อ่างน้ำ หรือบริเวณฝักบัว เชื้อราเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ยากที่จะกำจัดออก แต่การทำให้ห้องน้ำมีความชื้นน้อยลง ก็พอจะช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ เราสามารถลดความชื้นในห้องน้ำได้ด้วยการติดพัดลมระบายอากาศ แต่ทั้งนี้ต้องเช็คประสิทธิภาพของพัดลมด้วยว่าเพียงพอต่อการรองรับการทำงานของพื้นที่ในห้องน้ำหรือไม่ หากพัดลมมีขนาดเล็กเกินไป หรือมีประสิทธิภาพต่ำเกินไป ก็ควรจะเปลี่ยนใหม่ให้ได้ขนาดที่เหมาะสมกับห้องน้ำ ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ที่ไหน สภาพอากาศแบบไหน ความชื้นที่มีอยู่สูงในห้องน้ำก็ทำให้เกิดเชื้อราขึ้นมาได้ทั้งนั้น และเมื่อเชื้อราเกิดขึ้นมา ก็ยากที่จะกำจัดออก ไม่ว่าเราจะทำความสะอาดห้องน้ำดี และบ่อยแค่ไหนก็ตาม ดังนั้น การลดความชื้นในห้องน้ำ จึงเป็นหัวใจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เชื้อราเติบโต ซึ่งเรามีวิธีง่าย ๆ เป็นขั้นเป็นตอนดังนี้ 1.หลังอาบน้ำให้เช็ดน้ำออกจากผนังห้องอาบน้ำ จะช่วยลดความชื้นในห้องน้ำได้ประมาณ 3 ใน 4 เพื่อป้องกันการเติบโตของเชื้อรา 2.เปิดพัดลมระบายอากาศในระหว่างที่อาบน้ำ และเปิดต่อเนื่องประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อระบายความชื้นออกไป อาจจะใช้วิธีตั้งไทม์เมอร์เพื่อให้ปิดอัตโนมัติก็ได้ 3.หากถึงเวลาที่ต้องยาแนวใหม่ ให้เลือกยาแนวที่มีมาตรฐาน และเป็นแบบกันน้ำ 4.ในการขจัดเชื้อราที่มีอยู่ ให้ขัดด้วยผงซักฟอกและน้ำ จากนั้นก็ปล่อยให้พื้นผิวแห้งสนิท อาจจะใช้น้ำยาฟอกขาวประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ผสมน้ำ 90 เปอร์เซ็นต์ในการกำจัดเชื้อรา การใช้น้ำยาฟอกขาวในความเข้มข้นที่มากกว่านี้ก็ไม่ได้ให้ผลดีแตกต่างกัน เมื่อผสมน้ำยาแล้วให้นำใส่ขวดสเปรย์ ฉีดบริเวณที่มีเชื้อราและทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีก่อนล้างออกและปล่อยให้แห้ง 5.ในกรณีที่พัดลมไม่สามารถระบายความชื้นได้หลังจากเปิดไปแล้วประมาณ 5 ถึง 10 นาที นั้นอาจจะหมายถึงว่า พัดลมที่เราใช้ ไม่สามารถหมุนเวียนอากาศได้ ให้เปลี่ยนไปใช้พัดลมที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ขอบคุณบทความจาก : sanook.com
Read modeเปิดตัว "เอ็มดีเฟนซ์” ช่วยธุรกิจองค์กรวิเคราะห์ข้อมูล เฝ้าระวังความผิดปกติการทำงานแอพพลิเคชั่น-ภัยคุกคาม มุ่งเจาะองค์กรขนาดใหญ่ กลุ่มโทรคมนาคม การเงิน ค้าปลีก นายธนกร ชาลี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ(ซีโอโอ) บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด(มหาชน) หรือ เอ็มเฟค กล่าวว่า ดึงเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิงเข้ามาช่วยเพิ่มจุดต่างบริการด้านไอที มองว่าฐานธุรกิจเดิมบริการให้คำปรึกษา พัฒนา และวางระบบคอมพิวเตอร์ รวมถึงเครือข่ายงานเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับบริษัทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่มีการแข่งขันที่รุนแรง โอกาสถดถอยลงได้ ดังนั้นไม่อาจพึ่งพาเพียงการซื้อมาขายไป และจำต้องสร้างธุรกิจที่มีมูลค่า เปลี่ยนแปลงพร้อมสร้างการเติบโตด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ล่าสุด พัฒนาโซลูชั่น “เอ็มดีเฟนซ์ เดอะ ฟิวเจอร์ ออฟ อินเทลลิเจนท์ โปรเทคชัน(mDefense - The Future of Intelligent Protection)" ที่ใช้เทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิง(Machine Learning) ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลในการทำนายและแจ้งเตือนล่วงหน้า สามารถป้องกันการเกิดผลกระทบต่อแอพพลิเคชั่นภายในองค์กรเป็นเจ้าแรกของไทย เอ็มดีเฟนซ์ พัฒนาต่อยอดจากซิสโก้ เททเทรชัน แพลตฟอร์ม(Cisco Tetration Platform) โดยบริษัท ซิสโก้ เปรียบเสมือนถังข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับเก็บบันทึกเหตุการณ์การใช้งานโครงข่ายและข้อมูลการใช้งาน ขณะเดียวกันเป็นกล้องวงจรปิดขององค์กรที่สามารถนำมาดูย้อนหลังเพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ผิดปกติของการใช้งานในโครงข่ายภายใน “บริการนี้นับว่าเป็นโซลูชั่นที่มีความชาญฉลาดสามารถจดจำ เรียนรู้พฤติกรรม ทั้งกับสภาวะปกติอย่างการใช้งานทั่วไป และไม่ปกติ เช่น การโจมตีของภัยคุกคามทางไซเบอร์ ไวรัสเรียกค่าไถ่ หรือแรนซัมแวร์ โดยจะวิเคราะห์พฤติกรรมที่อาจส่งผลในด้านลบเป็นภัยคุกคาม หรือเสี่ยงต่อการทำให้เกิดความเสียหายให้ระบบ” นอกจากนี้ สามารถต่อยอดไปทำเป็นพรีดิกชั่น(Prediction) หรือการคาดการณ์เพื่อป้องกันผลกระทบอื่นที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจ โดยผลการวิเคราะห์ที่ได้จะส่งไปยังผู้ดูแลระบบให้สามารถอ่านและดูรายละเอียดจากจอแดชบอร์ด(dashboard) ได้ชัดเจน เข้าใจง่ายต่อการแก้ไขและวางแผนป้องกันความเสียหายได้ทันท่วงที อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของภัยคุกคามใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น ส่วนขั้นถัดไปอาจมีการพัฒนาไปถึงการให้คำแนะนำแก่ผู้ดูแลระบบว่าควรใช้วิธีใดในการแก้ปัญหา สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลัก มุ่งเจาะกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่อุตสาหกรรมโทรคมนาคม และที่กำลังเติบโตได้ดีเช่น การเงิน ประกันภัย พร้อมเพิ่มโฟกัสกลุ่มเอ็นเตอร์ไพรซ์ ค้าปลีก และเฮลธ์แคร์ซึ่งระยะหลังมานี้เห็นได้ว่าตื่นตัวอย่างมากกับการลงทุนไอทีเพื่อรองรับการมาของสังคมผู้สูงอายุ "เอ็มดีเฟนซ์เหมาะกับกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีแอพพลิเคชั่น ซอฟต์แวร์ เป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหากระบบแอพเกิดความผิดปกติ ถูกโจมตี หรือมีข้อบกพร่องจะเกิดความเสียหายอย่างมากต่อธุรกิจ บริษัทตั้งเป้าไว้ว้า ภายในสิ้นปี 2562 โซลูชั่นดังกล่าวจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท" ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/807443
Read modeธุรกิจและเศรษฐกิจโลกยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง และมีเหตุการณ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาธุรกิจทั่วโลกได้พบกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งจากการลบล้างการดำเนินธุรกิจแบบเดิม ๆ (Disruption) การก่อกำเนิดธุรกิจในแนวทางใหม่ (Start Up) ส่งผลให้ “รูปแบบ-แลนด์สเคป” ของโลกธุรกิจเปลี่ยนไป แม้แต่ธุรกิจใหญ่ ๆ ไม่สามารถยืนอยู่บนฐานที่มั่นของตัวเองได้ เพราะมีคู่แข่งหน้าใหม่ที่คาดไม่ถึงเข้ามาแย่งลูกค้าแบบไม่ทันตั้งตัว “หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ” จัดงานสัมมนาสุดยิ่งใหญ่แห่งปี “GAME CHANGER…เกมใหม่ เปลี่ยนอนาคต” ในวาระครบรอบ 42 ปี ที่จัดขึ้นในวันนี้ (23 พ.ค.) ประเทศไทยเป็น rising star ของภูมิภาค นักลงทุนมาไม่ขาดสาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งว่า 2 วันที่แล้วสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาตรา 1 เป็นตัวเลขที่ดีแน่นหนาน่าพอใจ จีดีพีเติบโตร้อยละ 4.8 ไม่ได้ดีแค่ดัชนีหรือสองดัชนี เครื่องยนต์ทุกตัวติด ตัวเลขที่ดี ตัวเลขภาคเกษตร 6.5 หมายความว่าจากที่เคยหดตัวมานาน ตอนนี้เริ่มโตขึ้นมา เงินที่หล่อเลี้ยงชนบทก็จะมีมากขึ้น ตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนซึ่งแต่เดิมพยายามผลักดันตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เอกชนเริ่มมั่นใจที่จะลงทุน เพราะโตถึงร้อยละ 3.1 ในภาคอุตสาหกรรมนอกจากการผลิตโต 3.7 แต่ตัวอัตราการใช้กำลังการผลิตโตถึง 7.2 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดจะเป็นจุดหมุนของเศรษฐกิจทุกภาคส่วน “ส่งออกคงไม่ต้องพูดถึง เดือนที่แล้วโตขึ้นมาร้อยละ 12 กว่า ตุนคะแนนไว้แล้ว ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศขอให้มั่นใจ เราจับมากับมือเรารู้ ประเทศไทยเป็น rising star ของภูมิภาค นักลงทุนมาไม่ขาดสายวานนี้กูเกิลมาเอง สัปดาห์ที่แล้วเกาหลีใต้มา เป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการลงทุนของต่างประเทศ ส่วนการใช้จ่ายในภาครัฐบาลแม้ที่ผ่านมายังไม่คล่องตัวเท่าที่ควร แต่ถ้ามีโอกาสได้ฟังคุยใน ครม. อาจมีกฎหมายทำให้ ข้าราชการไม่กล้าผลีผลามใช้จ่าย แต่ไม่นานจะเข้ารูปเข้ารอย การท่องเที่ยว รายได้โตถึงร้อยละ 20 นักท่องเที่ยวโตขึ้นมาร้อยละ 15 ท่องเที่ยวจะเป็น sector หลัก ด้วยตัวแปรดัชนีที่เป็นสาหลัก ตัวเลขประกาศออกมาถ้าไม่มีปัจจัยมาขัดขวาง ความเชื่อของคนจะมีมากขึ้นแน่นอน การจะจับจ่ายมาก ต่างประเทศก็ลงทุนมากขึ้น ทุกอย่างจะออกผล ตัวเลขจีดีพี 4.8 เป็นตัวเลขที่ดี ดีใจไหม ก็แน่นอนทุกคนก็ต้องดีใจ แต่ไม่แปลกใจ เพราะเป็นสิ่งที่พยายามมานานแล้ว เพียงแต่จะออกมาเมื่อไหร่” นายสมคิด กล่าว ซัดไม่มีรัฐบาลไหนที่ทำความรวยกระจายออกไป สมคิดกล่าวต่อว่า เศรษฐกิจไปได้ดีพอสมควรขอให้เชื่อมั่น และอยากให้ทุกฝ่ายรักษาโมเมนตัมนี้ให้ดี จะทำให้เราโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาขนาดจีดีพีขยายขึ้นมา 2 ล้านล้าน ใช่ความว่ามั่งคั่งของประเทศหรือไม่ เมื่อความมั่นคั่งเกิด ทุกภาคส่วนต้องทำให้ความมั่งคั่งก่อตัวมากขึ้นและยั่งยืน เมื่อความมั่งคั่งลงไปถึงเกษตรกร คนยากคนจน คนที่ใช้แรงงาน ได้มีโอกาสสัมผัส เป็นหน้าที่ของรัฐบาลทุกรัฐบาล ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลนี้ คำว่ารวยกระจุก มันเป็นมานานแล้วไม่มีรัฐบาลไหนที่ทำโครงสร้างเศรษฐกิจให้รวยกระจายออกไป แต่ถ้าดูสิ่งที่เราทำมาตลอด ไม่ใช่ไม่พยายาม ที่มีคำพูดหลายอย่างว่าเราทำหลายอย่างเอื้อธุรกิจไม่เอื้อคนยากคนจนเกษตรกร จริงหรือว่าเท็จ ถ้าภาคเกษตรโตถึง 6.5 เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยหรือ ถ้าหากว่าอัตราการผลิต การใช้กำลังการผลิตโตขึ้นมา 7.2 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีผลเลยเหรอการซื้อวัตถุดิบ การจ้างงานในโรงงาน การลงทุนจากต่างประเทศไม่มีผลจากการจ้างงานเลยหรือ ต่างประเทศที่มาลงในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้เป็นพื้นฐานต่อไปในคนรุ่นข้างหน้า ไม่ได้มีผลต่อประชาชนรากหญ้า เกษตรกร เลยหรือ การที่ลงสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ไทยนิยมยั่งยืน เพื่อใคร ไม่ได้ประโยชน์กับคนยากคนจนเลยหรือ “ถ้าเราทำใจให้เป็นธรรม ดูสิ่งที่ทำ รัฐบาลพยายามทำมาตลอด เมื่อมีโอกาสขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารต้องเพื่อคนส่วนใหญ่ เพื่อคนที่ด้อยกว่าเรา ตัวเลขที่ขึ้นมานั้นดี แต่จะให้เป็น inclusive growth ครอบคลุมชนชั้นล่าง ชั้นกลาง ถ้าดัชนีตลาดหุ้นขึ้นมา 4.4 ล้านล้านต่อปี ถามว่าคนชั้นกลางไม่ได้ประโยชน์ตรงนี้เลยหรือ เราพยายามมากแล้วและจะพยายามต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเวลาจะหมด ยอมอดทน ยอมฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่จะมีสติของเราเองว่าถ้าผมบริหารเศรษฐกิจจะไม่บริหารตามใจคน ผมมองว่าอนาคตต้องเป็นอย่างไรและจะเปลี่ยนสิ่งนั้นเพื่ออนาคต ไม่ใช่เพื่อคนรุ่นนี้แต่เพื่ออนาคตคนรุ่นหน้า รัฐบาลถึงเวลาก็ไป ดังนั้น สิ่งที่เคยพูดเมื่อ 3ปีที่แล้วเข้ามาพร้อมกับทีมเศรษฐกิจ 1.เข้ามาไม่ให้มันทรุด จะทรุดอยู่แล้วชีพจรเต้นต่ำ ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป 2.ปฏิรูป อย่าให้พลาดโอกาสในครั้งนี้ เมื่อปี 2548 คล้ายๆ อย่างนี้ทุกอย่างดีหมด แต่พลาดโอกาสปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้เข้มแข็งเอื้อคนส่วนใหญ่ให้ได้แต่เราพลาด ครั้งนี้ไม่พลาดโอกาส ร่วมกันทุกคนให้ก้าวข้ามช่วงเวลาเหล่านี้ให้ได้” นายสมคิด กล่าว 5 ตัวแปร Game Changer สมคิดกล่าวต่อว่า เสาหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เป็นเสาหลักต่อไป มี 5 สิ่ง ตัวแปรแรก คือ Value driven ภาคการผลิตและบริการ โดยการสร้างคุณภาพ มาตรฐาน เทคโนโลยีเพื่อให้เกิดนวัตกรรม ดีไซน์ ตัวแปรตัวที่สอง คือ เศรษฐกิจของผู้ประกอบการรายใหม่ (Entrepreneur Economy) คนหนุ่มสาว เพื่อให้เป็น Inclusive Growth อย่างยั่งยืน สร้างระบบ Ecosystem ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และทุกภาคส่วนไปดูว่าจะทำอย่างไรให้ไทยเป็นประเทศที่เรียกว่า Start Up Nation ที่แท้จริง ตัวแปรตัวที่สาม สำคัญอย่างยิ่ง คือ ดิจิทัล โดยการสร้าง Partner ทั้งจีน ญี่ปุ่นและยุโรป อเมริกา ฉะนั้นนโยบายหลักของกระทรวงอุตสาหกรรม คือ การเปลี่ยนผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เป็นดิจิทัลให้ได้ เพื่อไม่ให้ตกโลก เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพบผู้บริหารบริษัท Google รับผิดชอบภาคพื้นแปซิฟิกจะร่วมกับบริษัทไทยทำโครงการ Google for Thailand เพื่ออบรมคนให้สามารถใช้อินเตอร์เน็ต เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็กมีความรู้ในการสร้างธุรกิจขึ้นมาผ่านแพลตฟอร์มก้าวขึ้นเป็น Start Up ตัวแปรตัวที่สี่ คือ Service Sector การสร้าง New Frontier ขึ้นมา เพื่อสร้างธุรกิจเล็ก ๆ ใน Value Chain ของภาคการท่องเที่ยวได้ เมื่อก่อนภาคบริการภาคเล็ก การท่องเที่ยวเป็นตัวแถม ปัจจุบันภาคการผลิตเล็กกว่าภาคบริการ ภาคเอกชนต้องเข้ามาร่วมกันสนับสนุน ถ้าไม่ทำจะประสบกับปัญหาการจ้างงานเพราะในอนาคตจะเข้าสู่การใช้เครื่องจักรและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากขึ้น ตัวแปรที่ห้า คือ City State ประเทศไทยที่รวยกระจุกเพราะไม่มีเมืองใหญ่ในหลายจังหวัด จึงเป็นเหตุผลของการจัดสรรงบประมาณงบประมาณกลุ่มจังหวัด การท่องเที่ยวเมืองรอง การตัดถนน การสร้างรถไฟเพื่อสร้างกิจกรรมจากการท่องเที่ยว ทั้งหมดเป็น Real Game Changer ทุกอย่างตั้งอยู่บนข้อสันนิษฐานข้อเดียว คือ ประเทศไทยต้องโดดเด่น โดยการเป็น Game Changer สร้างเกมด้วยตัวเอง เป็นศูนย์กลางของ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์และเวียดนาม) ภายใน 5 ปีต้องเป็น Growth Area ประเทศไทยต้อง Set Game ด้วยตัวเอง “แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อตัวเราเอง เรากำลังกลายเป็นสังคมที่ขาดความเชื่อถือซึ่งกันและกัน เวลาเราอ่านเฟซบุ๊กน่ากลัวมาก กลุ่มหนึ่งก็จะเกลียดชังอีกกลุ่มหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา เป็นสังคมที่แตกแยก นี่คือสังคมทอนกำลังที่ครั้งหนึ่งนักวิชาการเคยกล่าวคำนี้ออกมาว่า สังคมไทยอย่าเป็นสังคมทอนกำลัง การปฏิรูปต้องใช้พลังมวลชนทั้งหมดที่มุ่งไปสู่ทางเดียวกัน เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณ มีคนเสียประโยชน์ มีคนไม่เข้าใจ มันต้อง move ไปข้างหน้าด้วยพลังมหาศาล ถ้าขาดความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่นต่อกัน คิดเพียงอย่างเดียวคือการเมืองคือการได้มาซึ่งอำนาจ ไม่ใช่อำนาจคือการบริหารเพื่อประชาชน ลักษณะเช่นนี้เป็นการทอนกำลังของประเทศ ต้องเตือนว่าอย่าให้เกิดลักษณะเช่นนี้” นายสมคิด กล่าว “อุตตม” ตั้งธงภายใน 5 ปี ไทยต้องเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV ให้ทั่วโลก ด้าน อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Game Changer ประเทศไทย” ว่า เป้าหมายของประเทศไทยตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 คือการไปสู่ Thailand 4.0 นั่นคือการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ขึ้นมาให้เป็นตัวขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในประเทศ ดึงการลงทุนที่ไม่เน้นเม็ดเงิน แต่ให้เกิดความร่วมมือเพื่อพัฒนาร่วมกันอย่างบุคลากร โดย 3 อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลชัดเจนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ คือ 1.อุตสาหกรรมยานยนต์ ที่กำลังก้าวไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยไทยเป็นฐานการผลิตให้กับทั่วโลก ดังนั้นเป้าหมายไม่ใช่เพียงการประกอบตัวรถ แต่ไทยจะเป็นผู้พัฒนาผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่ ระบบควบคุมสำหรับ EV มั่นใจว่าภายใน 5 ปี EV ต้องเกิดในการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ให้ได้และป้อนให้กับทั่วโลก ดังนั้นภายใต้เงื่อนไขการลงทุนต่างๆ กากติดอุปสรรคด้านใด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งบีโอไอ กระทรวงการคลัง พร้อมที่จะนำมาตรการสนับสนุนมาใช้ 2.อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ด้วยไทยขาดแคลนแรงงานและพึ่งพาแรงงานจากเพื่อนบ้านมาตลอด บวกกับการแข่งขันในหลายธุรกิจ การนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาทดแทนแรงงานจึงสำคัญ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่เริ่มปรับตัวลงทุนใช้หุ่นยนต์ในภาคการผลิตแล้ว รัฐจึงออกมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงการเร่งสร้าง ผู้สร้างระบบรวมด้านอัตโนมัติ System Integrator (SI) จากปัจจุบันมีอยู่ 400 ราย ให้เพิ่มเป็น 1,000 ราย เพื่อสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และใช้ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่อนาคต (Industry Transformation Center: ITC) ที่มีอยู่ 11 แห่งทั่วประเทศมาช่วยรองรับเพื่อสร้างอุตสาหกรรมต่างๆ ดันอุตสาหกรรมไบโอชีวภาพ เข้าครม.ภายในเดือนนี้ 3.อุตสาหกรรมไบโอชีวภาพ ที่จะเข้า ครม. ภายในเดือนนี้ เป้าหมายคือการนำวัตถุดิบของประเทศ อ้อย ปาล์ม ข้าว มัน เพิ่มมูลค่าไปสู่การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่ต่อยอดจากเกษตร ขยายพื้นที่ลงทุนจากที่ภาคตะวันออกไปยังภาคอีสาน ส่งผลให้รายได้ครัวเรือนของชาวไร่ชาวสวนเพิ่มขึ้นจาก 66,000 บาท/ครอบครัว เป็น 85,000 บาท/ครอบครัว เปิดTOR รถไฟเชื่อม 3 สนามบินพรุ่งนี้ สำหรับภาพรวมการลงทุนในขณะนี้ ต้องยอมรับว่าโครงการ EEC คือสิ่งที่รัฐบาลนำมาปัดฝุ่นต่อยอดจากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดเดิมเพื่อให้มีการลงทุนชุดใหม่เกิดขึ้น ดังนั้นเกมที่เปลี่ยนเศรษฐกิจไทยคือสิ่งนี้ การปรับตัวสู่ยุคใหม่จำเป็น ต้องมีเรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อเป็นเครื่องมือปรับอุตสาหกรรม รวมถึงคนจำเป็นต้องสร้างมาเพื่อรองรับ อย่างไรก็ตามในวันที่ 24 พ.ค. 2561 เตรียมขายซองเพื่อให้นักลงทุนที่สนใจในโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา ซึ่งจะทำให้รู้กรอบของ TOR ชัดเจนขึ้น โดยสัดส่วนการถือหุ้นจะยึดตามกฎหมายไทย และพิจารณาตามรายโครงการ เมื่อโลกเปลี่ยน ผู้ใช้เปลี่ยน! ปตท.เผยกลยุทธ์ 3D Now ขณะที่ด้านอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธาน เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Game Changer เกมใหม่เปลี่ยนอนาคต” ว่า ธุรกิจด้านพลังงานปัจจุบันมีการ เปลี่ยนแปลงไปพร้อมความต้องการและเทคโนโลยีที่เดินหน้าไปอย่างต่อเนื่องประกอบกับความต้องการใช้พลังงานสะอาดเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพื่อลดในเรื่องของปัญหามลพิษ โดยในหลายประเทศทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญ ขณะที่ ปตท. ต้องปรับธุรกิจให้สอดรับไปกับสิ่งที่เปลี่ยนไปโดยนำกลยุทธ์ 3D NOW เข้ามาปรับใช้ สำหรับ 3D NOW นั้น 1. Do Now เพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน คือการลดต้นทุน เพื่อให้สามารถทำกำไรให้กับบริษัท เหมือนเป็นการ “รีดไขมัน” ส่วนเกินออกไปและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจเพื่อการแข่งขัน 2.Decide Now การขยายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่ง ปตท. มองว่าควรจะดำเนินการในทันทีโดยเฉพาะ ธุรกิจแก๊ซ พลังงานสะอาด ซึ่งปัจจุบันนอกจากความต้องการใช้มีมากขึ้น การขนส่งก็ง่ายและสะดวก สามารถส่งข้ามประเทศด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ และ3.Design Now แสวงหาธุรกิจใหม่ ซึ่ง ปตท. มีโครงการ กิจกรรมที่จะสร้างการลงทุนในเรื่องนี้เพื่อสร้างธุรกิจใหม่ให้กับสายงาน อย่างไรก็ดี ทั้ง 3D Now นั้นจะต้องเดินหน้าไปพร้อมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมไปถึงการปรับธุรกิจในองค์กรเพื่อรอบรับการให้บริการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องของการใช้รถไฟฟ้าที่อนาคตที่จะต้องเข้ามาแน่นอน และการสร้างบริการแบบครบวงจรในปั้มน้ำมัน ที่ไม่ใช่เพียงการให้บริการเติมน้ำมันเพียงอย่างเดียว ซึ่งอนาคตต้องปรับเปลี่ยนทั้งแนวคิด วิธีคิดในการธุรกิจ รวมไปถึงการ ลงทุนในธุรกิจใหม่ในอนาคตต่อไปด้วย กล้าคิดต่างเพื่ออนาคต ฉบับ “มาสด้า” ส่วนชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหารบริษัท มาสด้า เซลล์(ประเทศไทย) จำกัด บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Game Changer อุตฯยานยนต์ไทย” ว่า “Game Changer ของมาสด้าเริ่มต้นจากสิ่งที่เราคิดไม่เหมือนคนอื่น กล้าที่จะแตกต่าง ใส่ใจทุกรายละเอียด โดยมีแผนการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคตแบบเป็นขั้นเป็นตอนอย่าง “Mazda Building Block Strategy” มี 3 องค์ประกอบที่สำคัญคือ พัฒนาและนำเทคโนโลยีในอนาคตมาใช้ในกรอบเวลาที่เหมาะสม, คำนึงถึงโมเดลทางธุรกิจที่เหมาะสมทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และ Industry Transformation การเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีที่เหมาสมแบบเป็นขั้นตอน จากเทคโนโลยีปัจจุบันสู่อนาคต กุญแจแห่งความสำเร็จ คือการคิดออกนอกกรอบ กล้าคิดต่าง ในการพัฒนาเครื่องยนต์ ทุกคนกำลังมุ่งไปพัฒนาพลังงานทางเลือกใหม่ พลังงานไฟฟ้า แต่กลับลืมไปว่า เรายังมีช่องว่างที่จะพัฒนาเครื่องยนต์เบนซินไปสู่ความสมบูรณ์แบบ คุณสมบัติเชิงความร้อน ที่จะเกิดการพัฒนาทางวิศวกรรม จนมาเป็นเทคโนโลยีสกายแอคทีฟโดยสกายแอคทีฟ คือเทคโนโลยีของรถทั่งคัน ความสมบูรณ์แบบในอุดมคติ ธีมการออกแบบยนตรกรรม เน้นความสวยงาม เคลื่อนไหวแล้วสง่างาม รูปทรงที่ดูเคลื่อนไหว แม้ดูสงบนิ่ง สำหรับอีกหนึ่งในกลยุทธ์ Game Changer ของมาสด้าคือให้ความสำคัญกับ “Customer Centric”ทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างละเอียดเเละผลิตสินค้าคุณภาพ โดยการผลิตที่พัฒนาจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ปรับจากการผลิตเพื่อเน้นปริมาณ เเละการบริหารต้นทุนสู่การผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าอย่างเเท้จริง อีกทั้งยังต้องพัฒนาการทำงานที่เชื่อมโยงทั้งระบบ Integrated Supply-Demand System พฤติกรรมเปลี่ยน! “คน” ทำให้เกิดการถูกดิสรัป ปิดท้ายด้วยนายธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Marketing Offcer ธนาคารไทยพาณิชย์ บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Game Changer in Digital ERA” ว่า หากจะพูดถึงการถูกทำลาย (disruption) หลายคนคิดว่า เกิดจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยน จึงทำให้เกิดการทำลายไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหลายอุตสาหกรรม แต่ตนมองว่า ความเป็นจริงแล้ว การถูกดิสรัปที่แท้จริงมาจาก “คน” ที่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้หลายอุตสาหกรรมต้องปรับตัว เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว โดยพฤติกรรมของคนในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล หากเทียบกับช่วง 10 ปีก่อน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่โลกดิจิทัล สู่มือถือมากขึ้น อย่างสถิติการดูมือถือของคนไทย พบว่า ปัจจุบันคนไทยดูมือถือมากสุดในโลก คือกว่า 400 ครั้งต่อวัน เทียบกับคนสหรัฐ ที่มีสถิติดูมือถือเพียง 150 วันต่อครั้ง ดูทำให้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน ต้องผ่านมือถือทั้งหมด ทั้งซื้อ เที่ยว จ่าย ฯลฯ Age of Now ทุกอย่างรอไม่ได้ ดังนั้นจึงทำให้เกิดพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงมาก จึงทำให้เกิด Age of Now ทุกอย่างรอไม่ได้ ต้องเรียลไทม์ทั้งหมด ทำให้เกิดผู้เล่นใหม่ ๆ มากมายเข้ามาในตลาด ทั้งอาลีบาบา หรือ แกร็บ ที่เข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยมักจะเริ่มต้นด้วยการให้บริการฟรี เช่น ส่งสินค้าฟรี ฟังเพลงฟรี ดูหนังฟรี เป็นต้น เพราะต้องการข้อมูล (data) เพื่อต่อยอดไปสู่การให้บริการอื่น ๆ เช่น การปล่อยกู้จากดาต้า เป็นต้น นั่นจึงเป็นจุดเริ่มให้ทำไมธนาคารต้องกลับหัวตีลังกา โดยการประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) บนธุรกรรมดิจิทัล เพราะหากแบงก์ไม่ปรับตัว แบงก์ก็จะถูกดิสรัปจากคนที่เห็นช่องว่าง เห็นโอกาสตรงนี้ และผู้บริโภคก็ยังคงมองแบงก์ว่า “งก ช้า ห่วย” ต่อไป ทั้งนี้ การยกเลิกค่าฟี ก็เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม ทำให้ธนาคารมีดาต้า เอาลูกค้ามาอยู่บนดิจิทัล เพื่อทำให้ธนาคารมีข้อมูลนำไปต่อยอดและใช้นำไปปล่อยกู้ได้ เพราะอนาคตมีคำกล่าวที่ว่า มีแบงก์จะอยู่ทุกที่ ยกเว้นที่แบงก์ เปลี่ยนภาพแบงก์ “งก ช้า ห่วย” “หลายที่บอกแบงก์จะถูกดิสรัปเป็นอันดับแรก แต่แบงก์อยู่อันดับ 3 กลุ่มแรกที่โดนคือ มีเดีย เทเลคอม แล้วถึงมาแบงก์ ทุกวันนี้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงเยอะ จากคนที่เข้ามาที่ทำให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดช่องว่าง ทำให้อาลีบาบาเข้ามา เปลี่ยนโลก เปลี่ยนพฤติกรรมคน หรือ เจดี ดอทคอม ที่ส่งสินค้าเรียลไทม์ ทำให้ถือเป็นจุดเปลี่ยนด้านโลจิสติกส์ รายย่อย (รีเทล) จึงได้รับผลกระทบ เพราะเวลามีค่า เดี่ยวนี้จึงต้องเป็นทุกอย่าง และทุกอย่างฟรีหมด ทั้งฟังเพลง ดูหนัง ฟรีจนลูกค้าไม่ค่อยยอมจ่ายอะไรแล้วตอนนี้ นั่นทำให้เราต้องยกเลิกค่าฟี เพราะลูกค้าไม่รอแล้ว ลูกค้าเคยคิดว่า แบงก์ งก ช้า ห่วย ลูกค้าก็จะคิดอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ หากเราไม่เปลี่ยน” นายธนากล่าว ทั้งนี้ จากการยกเลิกค่าฟีของธนาคารในช่วงเม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้เห็นปริมาณการทำธุรกรรม (Transaction) ออนไลน์มากขึ้น โดยล่าสุดมีปริมาณการทำธุรกรรมเกิน 2 ล้านธุรกรรมต่อวันแล้ว จากเดือน ส.ค.2560 ที่มีธุรกรรมแค่ 1 ล้านธุรกรรมต่อวัน โดยปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์มีจำนวนลูกค้าที่สมัครใช้แอปพลิเคชั่น scb easy แล้วกว่า 6 ล้านบัญชี กระโดดเล่นเกม…แบงก์ต้องทำให้ลูกค้ารักมากขึ้้น ซึ่งทั้งหมดเป็น Game Changer โดยแบงก์ไม่ได้เริ่ม แต่ยักษ์ใหญ่ในวงการ (ดิจิทัลไจแอนท์) เป็นคนเริ่ม แบงก์จึงต้องเล่นตาม และนำมาปรับเปลี่ยนเป็นบริบทของธนาคาร โดยทำให้ลูกค้าอยู่กับธนาคารมากขึ้น รักธนาคารมากขึ้น ซึ่งกลับหัวจากสิ่งในอดีต แม้ว่าแบงก์จะชอบมันหรือไม่ แต่เกมส์มันเปลี่ยน แบงก์ก็จำเป็นต้องเปลี่ยน สะสมลูกค้าบนดิจิทัลให้มากที่สุด และพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อให้โมบายแบงกิ้งสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อรับมือการแข่งขัน และต้องคิดว่า ต้องเริ่มจากการไม่รู้ เพื่อพัฒนไปสู่สิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น เพราะแม้ข้างหน้าแบงก์ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ภายใต้อันตรายก็ยังมีโอกาสสำหรับแบงก์อยู่ ชมภาพบรรยากาศงาน “GAME CHANGER…เกมใหม่ เปลี่ยนอนาคต” ทั้งหมด คลิกที่นี่ ที่มา : https://www.prachachat.net/economy/news-163113
Read modeอุตสาหกรรมยานยนต์ในทุกทศวรรษจะมีปรากฏการณ์สำคัญอยู่เสมอ เฉกเช่นเดียวกระแส Electric Vehicle (EV) ในหลาย ๆ ประเทศเริ่มมีความชัดเจนแล้ว ในประเทศที่มีประชากรในเมืองใหญ่หนาแน่น ต่างนับถอยหลังรถยนต์ใช้น้ำมันกันอย่างถ้วนหน้า พร้อมกับมีมาตรการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานทดแทน นับตั้งแต่ Tesla จุดพลุได้สำเร็จ จนมูลค่าหุ้นของบริษัทนี้สูงกว่า Big 3 ของต้นกำเนิดอุตสาหกรรมรถยนต์เสียอีก อย่างไรก็ตาม แม้หลายค่ายรถยนต์ต่างอุบเงียบในการซุ่มพัฒนาสินค้าไม่เปิดตัวมากนัก นั่นเพราะเดิมทีสินค้าของตนเองกับเทคโนโลยีเดิมยังพอขายได้ ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงฮันนีมูนของค่ายรถยนต์ไม่กี่แบรนด์ แต่จากนี้ เชื่อเถอะว่า ทุกค่ายพร้อม …!!! บรรดาขาใหญ่ในโลกยานยนต์ต่างประกาศออกมาแล้วว่า ต้องเดินบนเส้นทางนี้ อุตสาหกรรมนี้ จึงน่าสนใจว่า เมื่อโลกกำลังหันหลังให้น้ำมัน จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเกี่ยวเนื่องอย่างไรบ้าง ธุรกิจปิโตรเลียมต่างกำลังหาทางออก ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้ผลิตแบตเตอรี่ ต่างเร่งพัฒนาสินค้าให้ชาร์จแล้วขึ้น ชัดเจนว่า การมาของรถยนต์ไฟฟ้า คือ การ Disruptive ที่น่าสนใจ จนทำให้อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องต้องหา New S- curve เพื่อมาทดแทนรายได้เดิม สำหรับคนไทย หากไม่มีอะไรผิดพลาด เราจะได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้ามาวิ่งบนท้องถนน ในราคารที่จับต้องได้ เพราะตอนนี้เราได้เห็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ เร่งติดตั้งสถานีชาร์จไปพอสมควร ด้านหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ ต้องมีผู้สูญเสีย แต่ส่วนใหญ่ของพลเมืองโลก ตลอดจนโลกใบนี้จะเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาดเร็วขึ้น ขอบคุณบทความจาก : thebusinessplus.com
Read modeว่ากันว่าการที่คนเรานั้นจะมีเงินใช้หรือไม่มีเงินใช้นั้น ขึ้นอยู่กับนิสัยทางการเงินของคนนั้น หากว่ามีนิสัยการเงินที่ดีก็จะช่วยให้ไม่มีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ แถมจะยังมีเงินเหลือเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินอีกด้วย แต่กลับกันหากว่ามีนิสัยการเงินที่ไม่ดี ก็จะทำให้เรามีปัญหาเรื่องเงินทองอยู่บ่อยครั้ง รวมอาจจะไม่มีเงินใช้สอยจนถึงขั้นเป็นหนี้ก็ได้ ดังนั้นพวกเราจึงควรที่จะสร้างนิสัยทางการเงินที่ดีให้ติดตัวไว้เพื่อที่จะได้ไม่ลำบาก และ MoneyGuru.co.thก็มี นิสัยทางการเงินที่ดี ที่ควรมีติดตัวไว้เพื่อไม่ให้ลำบาก มาฝากกันเพื่อที่จะได้เป็นแนวทางให้กับทุกคนๆ ได้สร้างนิสัยการเงินที่ดีเหล่านี้ไว้ติดตัวกัน นิสัยทางการเงินที่ดี ที่ควรมีติดตัวไว้เพื่อไม่ให้ลำบาก นิสัยวางแผนการเงิน ถึงจะฟังดูแล้วว่าจะยุ่งยากและใช้เวลามากในการทำ แต่หากเราค่อยๆ ทำไปอย่างตั้งใจ ไม่นานก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยาก รวมถึงจะทำให้การเงินของเราดีขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย ยิ่งเริ่มวางแผนตั้งแต่อายุยังน้อยก็ยิ่งดีครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่มีอายุมากแล้วจะเริ่มไม่ได้นะ เพราะไม่มีคำว่าสายหากเราตั้งใจที่จะทำให้มันดีขึ้น และสิ่งแรกๆ ที่เราจะได้รับจากการรู้จักวางแผนการเงินก็คือ เงินของเราในแต่ละเดือนจะเริ่มพอใช้มากขึ้น เพราะเรามีการวางแผนการใช้จ่ายและเก็บออมไว้แล้วนั่นเอง เป็นต้น รวมถึงการมีเงินเก็บออมนี่แหล่ะที่จะเป็นตัวเปิดโอกาสในชีวิตให้กับเรา เนื่องจากเราสามารถนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนทำธุรกิจเพื่อสร้างผลกำไรกลับมาให้เราได้ นิสัยเก็บออมก่อนใช้จ่าย ถือว่าสำคัญมากๆ สำหรับนิสัยนี้ เพราะหากไม่รู้จักเก็บออม ย่อมไม่มีทางเข้าใกล้ความร่ำรวยได้ เพราะนิสัยรู้จักการเก็บออมเงินนี้คือนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จจนร่ำรวยหลายๆ คน และหากใครยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ก็ให้ลองหักเงินออก 10% ทันทีเมื่อได้รับเงินเดือนมา เพื่อนำไปเก็บออม จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ ตามความเหมาะสมที่เราสามารถทำได้ นิสัยใช้จ่ายอย่างประมาณตน “จ่ายให้น้อยกว่าที่หามาได้” และ “ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น” ถือเป็นหลักสำคัญของการที่จะมีเงินเหลือเก็บออมและเหลือไว้ใช้เลยทีเดียว เพราะการที่เรารู้จักใช้จ่ายให้ไม่เกินจากที่ตัวเองมีนี้ ก็จะทำให้เราห่างไกลจากหนี้สิน และเมื่อเราห่างไกลจากหนี้สินเงินทองที่เรามีก็จะไม่จากไปไหนได้ง่ายๆ แน่ และก่อนการใช้จ่ายทุกครั้งเรานั้นต้องมีการคิดให้ดีอยู่เสมอว่าสิ่งที่เราจะใช้จ่ายนั้นจำเป็นหรือไม่ หากไม่จำเป็นก็อย่าพึ่งใช้จะดีกว่าครับ นิสัยไม่ค้างชำระหนี้สิน คงไม่มีใครอยากเป็นหนี้ใช่ไหมล่ะครับ แต่หากว่าเรามีความจำเป็นที่ต้องมีหนี้สิน ก็ควรที่จะมีนิสัยรีบจัดการหนี้สินที่มีด้วย เพราะว่าหากปล่อยไว้นานๆ ดอกเบี้ยของหนี้สินที่เรามีก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหนี้สินจากบัตรเครดิตที่มีดอกเบี้ยค่อนข้างสูง หากเราปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจจะบานปลายได้ ดังนั้นเป็นหนี้ก็ต้องรีบใช้คืนครับ จ่ายครบ จ่ายตรง ดีที่สุดครับหากว่าเราต้องการเคลียร์หนี้สินที่เรามี แต่จะดีกว่าถ้าเราหลีกเลี่ยงที่จะไม่มีหนี้สินได้ นิสัยวางแผนการใช้จ่าย เราทุกคนนั้นย่อมมีค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิต แต่หากเรารู้จักวางแผนและบริหารจัดการให้ดี ก็จะทำให้การใช้จ่ายของเรานั้นไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพการเงินของเรา เพราะเราได้มีการวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าที่จะใช้จ่ายแล้วนั่นเอง เราจึงรู้ว่าเราจะต้องมีการใช้จ่ายเท่าไหร่ และเราจะเหลือเงินอยู่เท่าไหร่ เมื่อลองวางแผนและเห็นตัวเลขของเงินแล้ว ก็อาจจะทำให้เราตัดสินใจลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงเพื่อทำให้มีเงินเหลือเก็บมากขึ้นก็เป็นได้ หากว่าเรานั้นไม่ต้องการให้สภาพการเงินของตัวเราย่ำแย่จนถึงขั้นไม่มีเงินใช้ ก็ควรที่จะหัดสร้างนิสัยทางการเงินที่ดีเหล่านี้ติดตัวไว้ เพื่อเป็นการสร้างสภาพการเงินที่ดีให้กับตัวเราเอง รวมถึงนิสัยการเงินที่ดีนี้ยังเป็นก้าวแรกสู่ความร่ำรวยอีกด้วย ที่มา : prachachat.net/finance/news-135901
Read modeเคล็ดลับในการลดน้ำหนักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากดูตามรายละเอียดแล้ว บางคนเลือกที่จะงดนั่น งดนี่ หันมาทานอาหารพิเศษๆ ที่ปกติไม่เคยทานมาก่อน (แต่รู้มาว่าดีต่อสุขภาพ) หรือออกกำลังกายแบบนั้น แบบนี้ไปตามข้อมูลที่รับมาจากคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก เรื่องมื้ออาหารก็สำคัญ บางคนเลือกที่จะทานให้น้อยลง แต่ทานให้ถี่ขึ้น ตามตำราในอินเตอร์เน็ตว่าให้ทาน 6 มื้อ แบ่งทานทีละน้อยๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายรู้สึกหิวจนทานมากเกินไป แต่บางก็เลือกที่จะงดมื้ออาหารลง จากปกติ 3 มื้อ เหลือ 2 มื้อ โดยงดมื้อเย็นที่คิดกันว่าน่าจะเป็นมื้อที่ทำให้อ้วนได้ง่ายที่สุด แต่ตกลงแล้ว.... วิธีไหนที่เป็นผลดีต่อร่างกายมากที่สุดกันล่ะ 6 มื้อเล็ก การแบ่งทานอาหารเป็นมื้อย่อยๆ ถึง 6 มื้อ เมื่อวัดกันที่การเผาผลาญพลังงานในแต่ละวันแล้ว กลายเป็นว่าไม่ได้ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานไปมากกว่าการทานอาหารครบ 3 มื้อเลย (หากวัดกันที่ปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่ทานเข้าไปทุกมื้อรวมกันเท่ากัน) แต่การแบ่งทานเป็นมื้อย่อยไปตลอดทั้งวัน อาจทำให้เราไม่รู้สึกหิวระหว่างวัน และในมื้อสุดท้ายของวัน เราก็จะไม่รู้สึกอดโซจนทานเข้าไปมากจนเกินไปได้ อดมื้อเย็น ใครที่เลือกทานเพียง 2 มื้อต่อวัน แล้วอดมื้อเย็นยาวๆ ไปจนถึงตอนนอน จริงๆ แล้วหากเราไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่มื้อกลางวัน ไปจนถึงมื้อเช้าของอีกวัน เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากเกินไป ร่างกายขาดพลังงานจนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอื่นๆ ตามมา เช่น โรคกระเพาะอาหาร จากการทานอาหารไม่ตรงเวลา การขาดสารอาหาร เพราะขาดมื้อสำคัญของวันไปอีก 1 มื้อเต็มๆ ระบบการย่อยอาหารแปรปรวน หรือแม้กระทั่งอาการอ่อนเพลีย จากระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำเกินไป สรุปคือ อาจจะไม่ได้ผลทั้งคู่ แต่การงดมื้อเย็นส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่า ทานอย่างไร ให้ลดน้ำหนักอย่างได้ผล ไม่ว่ายังไง เราก็ไม่แนะนำให้งดมื้อเย็นเด็ดขาด ยังควรที่จะต้องทานอาหารให้ครบ 3 มื้ออยู่ดี แต่เราควรเลือกทานมื้อเย็นในช่วงเวลาที่เหมาะสม นั่นคือ ไม่ควรน้อยกว่า 3-4 ชั่วโมงก่อนนอน ใครที่จะนอน 5 ทุ่ม ก็ควรทานเข้าดึกสุดไม่เกิน 1-2 ทุ่ม เพื่อให้ร่างกายได้ย่อยอาหารก่อนที่จะล้มตัวลงนอน นอกจากนี้ มื้อเย็นสามารถเลือกทานอาหารที่ให้พลังงานต่ำได้ เน้นผัก ผลไม้ และโปรตีนที่ไขมันต่ำ เช่น ไก่ (ไม่มีหนัง) และปลา ใครที่อยากลองทานมื้อย่อย 6 มื้อ ก็สามารถลองทานได้ แต่อย่าลืมว่า หากอาหารที่ทานก็เหมือนๆ กับตอนทาน 3 มื้อตามปกติ ก็ไม่ได้ให้ผลดีไปกว่ากันในแง่ของการเผาผลาญพลังงาน เพียงแต่จะช่วยไม่ให้เราหิวโซมากจนทานเยอะกว่าเดิมเท่านั้น แล้วอย่าลืม ทานเข้าให้น้อยกว่าเอาออก ออกกำลังกายเบิร์นพลังงานที่ทานเกินออกไปกันด้วย เล่นทั้งคาร์ดิโอ และเวทเทรนนิ่งสลับกันจะให้ผลดีที่สุด ใครถนัดวิธีไหน ก็ลองเอาไปใช้กันดูนะ บทความจาก : sanook.com
Read modeห้ามกินยากับน้ำอะไรบ้าง เชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่มีความรู้มาก่อนว่าการกินยากับน้ำบางชนิด อาจส่งผลเสียต่อร่างกายมากขึ้น หรืออาจขัดขวางการออกฤทธิ์ของยา แทนที่ตัวยาจะได้ไปรักษา กลับเป็นการกินยาฟรี ๆ เมื่อร่างกายเกิดอาการป่วยไข้ หากเป็นอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ เราก็มักจะหาซื้อยามารับประทานเอง หรือแม้แต่ในกรณีที่ไม่ได้แอดมิท ไปพบแพทย์แล้วรับยากลับมาที่บ้าน บ่อยครั้งที่เราก็มักจะลืมใส่ใจวิธีกินยาที่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดผลกระทบตั้งแต่ระดับเบา ๆ อย่างยาไม่ออกฤทธิ์ต่อร่างกาย หรือบางกรณีการกินยาคู่กับเครื่องดื่มบางอย่าง ก็อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มโอกาสการเสียชีวิต ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ กระปุกดอทคอมมีเกร็ดความรู้เรื่องวิธีกินยาที่ได้ประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยวันนี้เราจะมาดูกันว่า ห้ามกินยากับน้ำอะไรบ้าง 1. นม นมมีโปรตีนชนิดที่ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจขัดขวางการดูดซึมยา ทำให้ตัวยาไม่สามารถออกฤทธิ์รักษาได้ นอกจากนี้แคลเซียมในนมก็ยังมีผลต่อการดูดซึมของยาอีกด้วย โดยเฉพาะการกินยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อ กับนม ที่แคลเซียมจากนมจะเข้าไปจับตัวยาปฏิชีวนะ ทำให้ยาปฏิชีวนะที่เรากินเข้าไปเพื่อหวังผลในการรักษาอาการอักเสบในส่วนต่าง ๆ ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ควรได้รับการรักษาด้วยตัวยาได้ เท่ากับการกินยาปฏิชีวนะในครั้งนี้มีผลเป็นโมฆะนั่นเอง หรือแม้แต่การกินยาลดกรดกับนมก็ตาม ซึ่งบางคนอาจคิดว่า ในเมื่อยาลดกรดก็ช่วยเคลือบกระเพาะ และนมก็มีโปรตีนช่วยเคลือบกระเพาะ ทำไมจะกินพร้อมกันไม่ได้ คำตอบก็คือในนมนั้นมีแคลเซียมอยู่ในปริมาณไม่น้อย และแคลเซียมในนมนี่แหละที่อาจไปขัดขวางการออกฤทธิ์ของยาลดกรด หรืออาจไปเพิ่มสารบางในร่างกายที่ทำให้ยาลดกรดถูกดูดซึมเข้าไปในระบบลำไส้ คราวนี้คำถามคือ เมื่อยาลดกรดถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย อันตรายยังไง เราก็ขอเคลียร์ให้เข้าใจตรงกันก่อนค่ะว่า ยาลดกรดเป็นยาที่จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพราะยาลดกรดมีหน้าที่เคลือบกระเพาะอาหาร เพื่อไม่ให้กรดหรือน้ำย่อยมากัดกระเพาะได้ ดังนั้นหากแคลเซียมในนมเปิดทางให้ตัวยาในยาลดกรดถูกดูดซึมเข้าไป ก็อาจเป็นการสะสมพิษหรือยาในร่างกายโดยไม่จำเป็น ซึ่งการที่ตัวยาไม่ถูกขับออกจากร่างกายแบบนี้ ยังไงก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ ค่ะ 2. กาแฟ เชื่อว่าหลายคนเคยกินยาคู่กับกาแฟอย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะไม่ส่งผลกระทบอะไร หากคุณไม่ได้กินกาแฟคู่กับแคลเซียมในรูปแบบวิตามินหรืออาหารเสริม เพราะหากคุณดื่มกาแฟคู่กับแคลเซียม ก็จะเหมือนกินแคลเซียมเล่น ๆ เสียเงินไปฟรี ๆ เพราะกาแฟมีฤทธิ์ขับแคลเซียมออกจากร่างกายนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ในกรณีที่อันตราย ก็คือ การดื่มกาแฟกับยากลุ่มแก้หวัด หรือขยายหลอดลม (ซึ่งอาจได้ยาชนิดนี้มาตอนเป็นหวัด คัดจมูก หรือในคนที่เป็นโรคหอบหืดที่ต้องกินยาขยายหลอดลมเป็นประจำ) ต้องขอเตือนว่าอย่ากินยาขยายหลอดลมพร้อมกาแฟเด็ดขาดค่ะ เนื่องจากกาแฟมีฤทธิ์ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เช่นเดียวกับยาขยายหลอดลมที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อกินพร้อมกันอาจเกิดอาการใจสั่น รวมทั้งภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ หรือในคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว เคสนี้อันตรายมากเลยทีเดียวค่ะ 3. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน นอกจากกาแฟแล้ว เครื่องดื่มอย่างโกโก้ ช็อกโกแลต เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มเหล่านี้ก็มีคาเฟอีนอยู่เช่นกัน ดังนั้นอย่ากินยาขยายหลอดลมคู่กับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกชนิดจะดีกว่า เพราะอาจส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะได้ 4. น้ำอัดลม น้ำอัดลมมีทั้งกรดและคาเฟอีน ดังนั้นเราจึงไม่ควรกินยากับน้ำอัดลม โดยเฉพาะยาขยายหลอดลม ที่คาเฟอีนในน้ำอัดลมจะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ รวมไปถึงคนที่เป็นโรคกระเพาะ การกินยาลดกรดกับน้ำอัดลมอาจทำให้ตัวยาไม่สามารถลดกรดในกระเพาะอาหารได้ เนื่องจากในกระเพาะอาหารมีกรดจากน้ำอัดลมมาให้ยาจัดการจนหมดฤทธิ์ยาไปซะก่อน ส่งผลให้กระเพาะอาหารไม่ได้รับยาลดกรดไปช่วยเคลือบกระเพาะนั่นเอง หรือหากใครทานยาที่มีผลในการกระตุ้นประสาทอยู่แล้ว การทานยาพร้อมน้ำอัดลมผสมคาเฟอีน จะยิ่งทำให้การดูดซึมและระยะเวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์ช้าลง มีผลให้ฤทธิ์ของยาลดลง และอาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์และผลข้างเคียงของยามากขึ้น 5. น้ำผลไม้ น้ำผลไม้ที่เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ก็ไม่ควรกินคู่กับยานะคะ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว อย่างน้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำมะเขือเทศ หรือน้ำผลไม้รสเปรี้ยวชนิดอื่น ๆ ไม่ควรกินคู่กับยาลดกรดเด็ดขาด เนื่องจากคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารที่ต้องกินยาลดกรด จะมีภาวะร่างกายหลั่งกรดเกินปกติอยู่แล้ว ดังนั้นหากดื่มน้ำผลไม้ที่มีกรดเพิ่มไปอีก ตัวยาเคลือบกระเพาะอาหารหรือยาลดกรดอาจต้านทานไม่ไหว หรือออกฤทธิ์ลดกรดได้แต่ในส่วนของน้ำผลไม้มีกรดที่เราดื่มเข้าไป กลายเป็นว่ากระเพาะอาหารต้องเผชิญกับกรดโดยลำพังอย่างไร้ซึ่งผู้ช่วยใด ๆ 6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับยาเป็นสิ่งที่ไม่ควรกินคู่กัน แต่อย่างน้อยเราก็เชื่อว่าหลายคนคงไม่กินยากับเหล้า เบียร์ ไวน์ หรือค็อกเทลแน่ ๆ ทว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับยาที่อาจส่งผลให้เกิดอันตรายกับร่างกายก็คือในกรณีของคนที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ มีภาวะพิษสุราเรื้อรัง หากดื่มมาอย่างหนักแล้วเช้าขึ้นมาปวดหัว จัดยาพาราเซตามอลเข้าไป บอกเลยว่ายิ่งเป็นการทำร้ายตับซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรืออาจเพิ่มความเสี่ยงถึงภาวะตับวายได้เลยล่ะค่ะ ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนที่ดื่มเป็นประจำ ตับอาจมีการสูญเสียไปบางส่วน นั่นก็หมายความว่า ประสิทธิภาพในการกำจัดของเสียจากตับจะลดลงไปด้วย ดังนั้นการกินยาพาราเซตามอลเพื่อแก้เมาค้าง ก็จะยิ่งทำให้ยาพาราเซตามอลเข้าไปสะสมอยู่ในตับเรื่อย ๆ กระทั่งก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง นอกจากนี้ ด้วยความที่แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาท ดังนั้นคนที่กินยาที่มีกดฤทธิ์ประสาท อย่างยาแก้แพ้ ยานอนหลับ ยาแก้โรคซึมเศร้า ก็ต้องระวังให้มาก เพราะหากไปดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับทานยาด้วย จะยิ่งเสริมฤทธิ์กดประสาทให้รู้สึกง่วงซึม และขาดสมาธิมากขึ้น ถ้ารุนแรงก็อาจถึงขั้นหมดสติและหยุดหายใจได้เลย สรุปแล้วการกินยาอย่างปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคและอาการป่วยที่ดีที่สุด ก็คือการกินยาคู่กับน้ำเปล่านั่นเองค่ะ เพราะน้ำเปล่าคือตัวละลายยาที่ดีที่สุด และทางที่ดีควรกินยากับน้ำในอุณหภูมิห้อง โดยเฉพาะคนที่เป็นหวัด มีอาการเจ็บคอ ซึ่งน้ำเย็นอาจส่งผลให้ระคายคอมากยิ่งขึ้นได้ นอกจากนี้ก่อนกินยาอะไรก็ตาม ควรสอบถามวิธีกินยากับเภสัชกรทุกครั้ง และควรอ่านฉลากกำกับยาให้ชัดเจนทุกครั้งด้วยนะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มหิดล แชนแนล บทความจาก : kapook.com
Read modeSmartfix User Guide for Station Managers 1. Using the Smartfix system on the website 1.1 Login to the system with a password that can be requested through the Call center Empire Service Solution Company Limited. 1.2 The system repair notification will show the device type as shown in the picture, then select the type of device to be notified of repair. 1.3 The system will display the installed devices. They are sorted by S/N and device model. If there is no S/N and device model, click on " 1.4 The system will show device problems. Then select the problem to report for repair. 1.5 Attach a picture of the problem (minimum 2 images) and add a name for the repair notice. Then add the details of the repair. and press confirm to inform the repair 1.6 List of repair notices - Check the status of repair work - Check the details of the repair work. - cancel the repair 1.7 History of repair notification - Show work history only 'Done' status. - Check the details of the repair work. - Assessing contractors 2. Using the Smartfix system on the Application 2.1 Download Application Smartfix from Google Play or Appstore. 2.2 Login to the system and select the device group to report for repair 2.3 Select the installed assets by looking at the S/N and model, then select the faulty device. 2.4 Make a selection of bad symptoms Then add the relevant breakdown details along with the name of the notifier. 2.5 Attach an illustration of the repair notice Then check the repair notification and press submit. 2.6 List of repair notices and other items - Follow up on the situation - cancel the repair notification - User settings - Set the language - Basic User Manual
Read mode