กลุ่มทุนจีนบินลงภาคใต้ สำรวจสถาบันการศึกษาเอกชนหลายแห่งใน “หาดใหญ่-ภูเก็ต” หลังแห่ร่วมทุน-ไล่ซื้อกิจการสถาบันอุดมศึกษาในกรุงเทพฯไปแล้วหลายแห่ง เล็งเป้าเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ด้านการค้า-การเงิน-การท่องเที่ยว-การศึกษาในภาคใต้ ด้านอาจารย์มหาวิทยาลัยดังเผยที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหลายแห่งแข่งขันกันสูง เหตุนักศึกษาลดลงฮวบ บางแห่งจากหลัก 1,000 คน/ปีการศึกษา เหลือหลัก 100 คน/ปีการศึกษา ต้องเปิดรับกันหลายรอบ หวั่นจีนเข้ามากระทบหนักอีก สืบเนื่องจากที่มีกระแสข่าวที่กลุ่มนักลงทุนจีนเข้ามามีบทบาทในธุรกิจการศึกษาภายในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปี 2561 ทั้งการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังในกรุงเทพมหานคร รวมถึงการเข้ามาไล่ซื้อมหาวิทยาลัยเอกชนในประเทศไทยอีกหลายแห่ง ทั้งการเปิดเผยชื่อและในรูปนอมินีนั้น ล่าสุดได้เกิดกระแสความเคลื่อนไหวดังกล่าวในหลายจังหวัดของภาคใต้ ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรณีที่นักลงทุนจากประเทศจีนสนใจเข้ามาลงทุนทางการศึกษา โดยร่วมทุนกับสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งนั้น สำหรับภาคใต้มีกระแสข่าวว่า จีนเข้ามาสำรวจสถานศึกษาที่น่าลงทุน ทั้งที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ จ.ภูเก็ต ซึ่งถือเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภาคใต้ทั้งทางด้านการค้า การเงิน การท่องเที่ยว และการศึกษา แต่การลงทุนที่เป็นรูปธรรมคงยังต้องใช้เวลาพอสมควร ทั้งนี้ แนวโน้มสถาบันการศึกษาอุดมศึกษาจะเกิดการแข่งขันกันสูง จะส่งผลกระทบให้สถาบันการศึกษาไทยพบอุปสรรค เพราะการดำเนินนโยบายการศึกษาของไทยนั้นเดิมให้การศึกษาให้ความรู้ ไม่เน้นผลกำไร ไม่มีการแข่งขัน แต่หากจีนเข้ามาลงทุน มีเป้าหมายทางธุรกิจ ภาครัฐต้องมีมาตรการดูแล “ต้องยอมรับว่าจีนมีความพร้อมทั้งเทคโนโลยี นวัตกรรม ล้ำหน้าทันสมัย ค่าธรรมเนียม ค่าเทอม ค่าหน่วยกิต ราคาไม่สูง อีกทั้งจบง่าย เป็นการตอบโจทย์ รูปแบบของนักลงทุนจีน เรื่องนี้เก่ง ถนัดและเป็นมืออาชีพ ดังนั้น การลงทุนเรื่องสถาบันการศึกษาจีนมองเห็นเป็นโอกาสช่องทางหนึ่งของการลงทุน และสามารถทำการตลาดได้ เพราะจีนได้ศึกษาดูทิศทางแล้ว เมื่อลงทุนแล้วก็จะเกิดผลคุ้มค่า แต่การร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เพียงแต่มีข่าวว่าเข้ามาสำรวจเท่านั้น” ผศ.ดร.วิวัฒน์กล่าวและว่า สำหรับคณะสาขาวิชาที่จีนจะเปิดสอนแนวคิดของจีนจะพิจารณาจากความสนใจของประชาชน ซึ่งเทรนด์การศึกษาแต่ละปีไม่เหมือนกัน บางคณะวิชาที่สำคัญ แต่ไม่มีผู้สนใจ จะไม่ลงทุนเปิดสอน หลังจากเลือกคณะสาขาวิชาที่จะเปิดสอนแล้ว จะมีการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ชำนาญการที่เก่งและมีชื่อเสียง มีความน่าเชื่อถือเข้ามาสอน โดยให้อัตราผลตอบแทนที่สูง ผศ.ดร.วิวัฒน์กล่าวต่อไปว่า การที่จีนเข้ามาลงทุนในสถาบันอุดมศึกษาของเอกชนในประเทศไทย จะส่งผลกระทบต่อสถาบันอุดมศึกษาของรัฐบ้าง แต่น้อยมาก โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาเก่าแก่ เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ฯลฯ จะต่างกับสถาบันศึกษาเอกชน ซึ่งขณะนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบ และที่ผ่านมาสถาบันการศึกษาหลายแห่งก็ประสบปัญหาเช่นกัน เพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการลงทุนเปิดสถาบันการศึกษากันเป็นจำนวนมาก แต่ถัดมานักศึกษา นักเรียนปริมาณลดลง แต่ค่าใช้จ่ายสถาบันการศึกษาคงที่ ไม่คุ้มทุน จึงเริ่มปิดตัวลง บางแห่งเดิมมีนักเรียน นักศึกษา ประมาณ 1,000 คน แต่ปัจจุบันเหลือประมาณกว่า 100 คน และสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งต้องเปิดรับสมัครนักศึกษาถึงหลายรอบ เพื่อรับเข้าศึกษาให้ตรงกับเป้าหมาย “ปกติถ้าสถาบันการศึกษาปิดตัวลง นักลงทุนไทยคงไม่มีใครจะกล้าเข้าไปลงทุน แต่จีนกลับมองอีกมุมหนึ่งว่า มีความเป็นไปได้ เพราะจีนเป็นมืออาชีพ ทำอย่างมืออาชีพ ศึกษาละเอียดรอบด้าน และก็ทำเชิงรุก ผมเองพูดเป็นการส่วนตัว จากการที่ได้คลุกคลีทำงานวิจัยกับจีนมา” ผศ.ดร.วิวัฒน์กล่าว ผศ.ดร.วิวัฒน์กล่าวว่า สำหรับการลงทุนการศึกษาเป็นการลงทุนต้นทุนคงที่ ต่างกับการลงทุนสินค้าเป็นต้นทุนผันแปร อย่างต้นทุนการศึกษา นักศึกษาห้องเรียนละ 30-50 คน ต้นทุนเท่าเดิมคงที่ ดังนั้นต้องเน้นปริมาณที่มากไว้ เมื่อปริมาณมาก กำไรก็จะผันแปรตามปริมาณ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-376089
จำนวนผู้อ่าน: 2830
01 ตุลาคม 2019
รุ่งนภา พิมมะศรี : เรื่อง “คนไม่เข้าใจไม่เคยเห็นตอนผมสร้างธุรกิจ เพราะไม่มีใครสนใจทำ มาเห็นตอนที่ธุรกิจของผมสำเร็จแล้ว จึงคิดว่า ซี.พี.ผูกขาด แต่ไม่รู้ว่าตอนผมสร้างธุรกิจ ลองผิดลองถูกอยู่นั้นมันลำบากขนาดไหน” เจ้าของคำพูดนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ “เจ้าสัวธนินท์” แห่งอาณาจักร ซี.พี. เส้นทางความสำเร็จของ ซี.พี. เป็นสตอรี่น่าสนใจที่คนมากมายอยากรู้ อยากศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีคิด วิสัยทัศน์ของธนินท์ เจียรวนนท์ ผู้ทำให้ ซี.พี.เติบโตยิ่งใหญ่ไพศาล อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ที่ผ่านมา ไม่บ่อยครั้งที่เจ้าสัวธนินท์จะปรากฏตัวในสื่อและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองและ ซี.พี. แต่ ณ เวลานี้ นายใหญ่แห่ง ซี.พี. คงจะเห็นว่าเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเอง เจ้าสัวธนินท์จึงได้บอกเล่าเส้นทางการสร้างธุรกิจของ ซี.พี. ครบทุกมิติ ทั้งแนวความคิด วิธีปฏิบัติ การแก้ปัญหา ไว้ในหนังสือ “ความสำเร็จ ดีใจได้วันเดียว” ที่เพิ่งออกวางขายสด ๆ ร้อน ๆ ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน ซึ่งผู้อ่านที่เป็นนักธุรกิจน่าจะได้แนวคิดและมุมมองที่น่าจะเป็นประโยชน์มาก แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าสัวธนินท์บอกไว้ในหนังสือว่า “ไม่มีสูตรสำเร็จ” และนี่คือ 3 เรื่องจริงในการสร้างธุรกิจของ ซี.พี. ที่พลิกปัญหาให้กลายเป็นความสำเร็จได้ด้วยความคิดและวิสัยทัศน์ ของธนินท์ เจียรวนนท์ ชายผู้ทำให้บริษัทไทยกลายเป็นบริษัทระดับโลก ไก่ : ต้นแบบธุรกิจครบวงจร เจ้าสัวธนินท์ยกให้ธุรกิจไก่เป็นธุรกิจสำคัญที่สุด ที่ทำให้ ซี.พี.ขยายเติบโตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ธนินท์เริ่มต้นธุรกิจไก่เนื้อเมื่อราว 50 ปีก่อน ยุคที่ไก่ยังราคาสูงและเป็นอาหารของคนรวย “ผมทำอะไรต้องหาเทคโนโลยีมาช่วย ผมต้องศึกษาว่า เทคโนโลยีอันไหนดีและดีอย่างไร ผมจึงเริ่มต้นด้วยการศึกษาเรื่องการผลิตที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงไก่ ทั้งสามารถลดต้นทุนการผลิต สามารถควบคุมคุณภาพได้ และเหมาะสมที่จะใช้ในประเทศไทย” ในตอนเริ่มต้น ธนินท์ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนของพี่ชายให้ซื้อลูกไก่ของอาเบอร์ เอเคอร์ส (Arbor Acres) บริษัทสัญชาติอเมริกัน ผู้เพาะพันธุ์ไก่เนื้อรายใหญ่ของโลก เขาซื้อมาทดลองเลี้ยง 1 พันตัว ปรากฏว่าไก่เติบโตดี จึงเป็นอันว่าไก่พันธุ์นี้เลี้ยงได้ดีในประเทศไทย ขณะที่ทดลองเลี้ยงไก่นั้น เขาก็ไปดูงานศึกษาการเลี้ยงไก่ที่สหรัฐ และเห็นว่าคนอเมริกัน 1 คน เลี้ยงไก่ได้มากถึง 10,000 ตัว “ทำไมคนอเมริกันคนเดียวเลี้ยงไก่ได้ถึง 10,000 ตัว แล้วคนไทยจะทำได้บ้างไหม” นี่คือโจทย์ที่เขาตั้งและศึกษาหาคำตอบ การได้ไปเรียนรู้จากอาเบอร์ เอเคอร์ส ทำให้ธนินท์พบว่าการเลี้ยงไก่ต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูง ยิ่งเกษตรกรไม่มีความรู้ ยิ่งต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูง เขาจึงนำระบบของสหรัฐมาปรับใช้ หลังจากทดลองจนมั่นใจว่าได้ผลดี จึงเริ่มเอาความรู้และเทคโนโลยีที่ได้มาส่งเสริมให้เกษตรกร โดยเริ่มที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี “ช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเลี้ยงไก่ระบบเดิมมาเป็นระบบใหม่ลำบากมาก เราไปเสนอโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไก่ให้เกษตรกร โครงการนี้เป็นระบบ contract farming ที่ผมนำรูปแบบมาจากสหรัฐที่เขาทำสำเร็จมาแล้ว ตอนนั้นเกษตรกรสนใจเข้าร่วมยาก เพราะเกษตรกรเขายังไม่มั่นใจว่าเราจะทำได้ ที่สำคัญ เกษตรกรกลัวจะถูกหลอก 6 เดือนผ่านไปก็ยังไม่มีใครสนใจเข้าร่วมโครงการ จนมาพบลุงแถม ประธานสหกรณ์การเกษตรศรีราชา มีแนวคิดทันสมัย ท่านรู้จักกับนายอำเภอ จึงไปปรึกษานายอำเภอเรื่องโครงการที่ผมเสนอ โชคดีที่นายอำเภอรู้จักผม ท่านเห็นการทำงานของผมตั้งแต่สมัยผมเป็นลูกน้องท่านอธิบดี ชำนาญ ยุวบูรณ์ ที่บริษัท สหสามัคคีค้าสัตว์ จึงแนะนำให้ลุงแถมมาร่วมโครงการ ผมจึงได้เกษตรกรรายแรกเข้าร่วมโครงการ” หลังจากที่เกษตรกรรายแรกทำได้สำเร็จ จึงมีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการถึง 240 ครัวเรือน ในที่สุด ซี.พี.ก็สามารถตั้งโรงอาหารสัตว์ที่ศรีราชาได้เมื่อ พ.ศ. 2523 และการเลี้ยงไก่ในระบบของ ซี.พี.ก็ขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ “ทุกวันนี้การเลี้ยงไก่ไม่ใช่การเลี้ยงตามใต้ถุนบ้านอีกต่อไป แต่กลายเป็นอุตสาหกรรม จากเดิมที่เลี้ยงกันได้ไม่กี่ตัว ปัจจุบันเกษตรกรหนึ่งคนสามารถเลี้ยงไก่ได้ 170,000 ตัวแล้ว ต้นทุนการเลี้ยงต่อตัวก็ลดลง ราคาไก่จึงถูกลง แม้ว่ากำไรต่อตัวจะน้อยลง แต่เลี้ยงไก่ได้เยอะขึ้น รายได้ก็มากขึ้น ทุกคนไม่ว่ารวยหรือจนก็กินไก่ได้ เพราะไก่ถูกลง” “กำไรน้อย แต่ขายมาก ไม่ได้หมายความว่า กำไรน้อย กำไรมาก ขายน้อย ไม่ได้หมายความว่า กำไรมาก กำไรมาก ขายน้อย คือ กำไรน้อย กำไรน้อย ขายมาก คือ กำไรมาก” นี่คือเคล็ดลับธุรกิจของเจ้าสัวธนินท์ “ราว 40-50 ปีก่อน คนไทยในประเทศไทยส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำ ถ้าจะผลิตสินค้าขายให้กับคนส่วนใหญ่ เราต้องผลิตสินค้าที่คนซื้อรู้สึกว่าคุ้มค่าทั้งราคาและคุณภาพ ต้องคิดหาวิธีผลิตสินค้าให้เหมาะสมกับรายได้ของคนส่วนใหญ่ ผมจึงเริ่มต้นด้วยการศึกษาเรื่องการผลิตที่ทั้งสามารถลดต้นทุนการผลิต สามารถควบคุมคุณภาพได้ตลอดห่วงโซ่การผลิตและเหมาะสมที่จะใช้กับประเทศไทย แล้วผมก็พบกับ ระบบครบวงจร” นั่นคือที่มาของระบบครบวงจร ธนินท์บอกข้อดีของระบบนี้ว่า เป็นการลดขั้นตอนที่อยู่ตรงกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ต้นทุนลดลง และเป็นการให้ผู้ที่มีทุนมารับความเสี่ยงแทนเกษตรกรด้วย ซี.พี.นำแนวคิดเรื่อง “ระบบครบวงจร” ที่ธนินท์ศึกษาจากสหรัฐ มาใช้กับ “ไก่” เป็นธุรกิจแรก และเป็นต้นแบบระบบครบวงจรในธุรกิจอื่น ๆ ต่อมา โดยทำเบ็ดเสร็จตั้งแต่ต้นจนถึงปลายน้ำ คือ ผลิตอาหารสัตว์ ผลิตและคัดเลือกพันธุ์สัตว์ เลี้ยงสัตว์ แปรรูป และกระจายสินค้า “การเลี้ยงไก่ของ ซี.พี. ถือว่าเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ ซี.พี. เดินหน้าขยายธุรกิจให้เติบโตได้มาจนถึงทุกวันนี้” เจ้าสัวธนินท์ว่าไว้ในหนังสือ จีน : ขุมทรัพย์ที่ได้มาด้วยวิสัยทัศน์ “คิดต่าง” ซี.พี.เป็นเจ้าของใบอนุญาตลงทุนในจีน หมายเลข 0001 นั่นหมายความว่า ซี.พี.เป็นบริษัทต่างชาติรายแรกที่เข้าไปลงทุนในจีน ซี.พี.เข้าไปเจรจาลงทุนแทบจะทันทีหลังจากที่จีนประกาศเปิดประเทศ ในขณะที่บริษัทต่างชาติอื่น ๆ มองจีนว่า “ยังไม่พร้อม” “ถ้าไม่พร้อม เขาก็ไม่ลงทุน แต่ ซี.พี.ไม่คิดแบบนั้น เราไม่รอให้เขาทำให้พร้อม แต่เราจะเข้าไปทำให้ความพร้อมเกิดขึ้น” เจ้าสัวธนินท์บอกถึงวิสัยทัศน์ ณ เวลานั้น ปลายปี พ.ศ. 2521 ปีเดียวกับที่จีนเปิดประเทศ ทีมงาน ซี.พี.ไปเจรจาที่เมืองจีน การเจรจาบรรลุผล ซี.พี.ได้รับทะเบียนอนุญาตที่เขตปกครองพิเศษเสิ่นเจิ้น เมื่อ พ.ศ. 2524 และธุรกิจแรกของเครือ ซี.พี. ในเมืองจีน ก็เริ่มขึ้นที่นี่ ซี.พี.เปิดตลาดจีนด้วยสิ่งที่ถนัด คือ ธุรกิจอาหารสัตว์ โดยร่วมทุนกับบริษัท คอนติเนนทัล เกรน จัดตั้งบริษัทชื่อ เจียไต๋ คอนตี้ สร้างโรงงานขนาดใหญ่กำลังการผลิต 180,000 ตันต่อปี ถือว่าใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น ระหว่างสร้างโรงงานก็ได้รับอนุญาตให้เช่าที่ดินสร้างฟาร์มหมูและฟาร์มไก่ จากนั้นก็ขยายการลงทุนกระจายไปอีก 10 มณฑล และทำธุรกิจที่ไม่ได้ทำในไทย คือ มอเตอร์ไซค์ “การเข้าไปลงทุนที่เมืองจีนของเราถือว่าจังหวะดี เขาประกาศเปิดประเทศไม่นานเราก็เข้าไป ขณะที่บริษัทต่างชาติรายอื่นเขายังลังเล เพราะจีนเวลานั้นอะไร ๆ ก็ยังไม่พร้อม” “จังหวะ คือ ปัจจัยสำคัญความสำเร็จอันดับ 1 แต่ต้องมีเรื่องอื่นมาช่วยด้วย คือ โอกาส และสุดท้าย คือ คน ถ้าขั้นตอนเหล่านี้ส่วนไหนผิดพลาดก็ล้มเหลว ถึงเรามีโอกาส เราเอาเทคโนโลยีผิดมา ก็เจ๊งแน่ และถึงได้เทคโนโลยีเหมาะสมมา แต่ไม่มีคนเก่งไปบริหารก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน การบริหารอยู่ที่คน” ที่เล่ามานี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในบริบทแวดล้อมของอดีต เจ้าสัวธนินท์จึงบอกว่า “กลยุทธ์ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเมื่อ 30 ปีก่อน ก็ไม่แน่ว่าจะใช้ได้ผลกับวันนี้ พูดง่าย ๆ คือ ไม่มีสูตรสำเร็จ” แต่ก็ยังมีคำแนะนำว่า “หนึ่งเรื่องที่นักธุรกิจต้องระลึกไว้เสมอ คือ มีวิกฤต ก็ตามมาด้วยโอกาส แม้จะมีเรื่องไม่ดีเข้ามาบ้าง แต่ในฐานะนักธุรกิจต้องเข้าใจว่า ธุรกิจก็เหมือนกับคน บางทีป่วยบ้าง หายแล้วก็กลับมาแข็งแรง เวลาที่ดีที่สุดต้องเตรียมพร้อมว่า แย่ที่สุดเราจะทำอย่างไรให้อยู่รอดได้ ไม่ล้มละลาย ตอนแย่ที่สุด ต้องเตรียมพร้อมว่า ตอนที่ดีแล้วจะทำธุรกิจให้สำเร็จมากขึ้นได้อย่างไร” 7-Eleven : ผลสำเร็จของการศึกษาลึกซึ้ง และไม่มองอะไรด้านเดียว เมื่อ 30 ปีก่อน ธนินท์สนใจ 7-Eleven ของสหรัฐ เขาคิดว่าเมืองไทยถึงเวลาแล้วที่จะมี 7-Eleven แต่เจ้าของกิจการ 7-Eleven กลับไม่คิดเช่นนั้น “คุณธนินท์ เมืองไทยยังไม่ถึงเวลา” คือ คำตอบจากเจ้าของ 7-Eleven เพราะฝรั่งดูที่รายได้ประชากรต่อหัว ซึ่งตอนนั้นรายได้ต่อหัวของคนไทยยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ฝรั่งกำหนด แต่ธนินท์ไม่ล้มเลิก เขาเชิญเจ้าของ 7-Eleven มาเมืองไทย แต่คำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากเดิม “คุณธนินท์ ผมขอพูดด้วยความหวังดีคำสุดท้าย ผมว่าเมืองไทยยังไม่พร้อม ถ้าคุณลงทุนไปอาจจะขาดทุน นี่เป็นความหวังดี แต่ถ้าคุณยอมขาดทุน ผมก็จะยอมให้คุณและไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ผมขอเตือนคุณว่า ตามสถิติตัวเลขรายได้ของคนไทยยังไม่พอ” ฝั่งธนินท์ เจียรวนนท์ ที่รู้จักเมืองไทยดีกว่ามองว่า “ภาพที่ผมเห็นกลับแตกต่างออกไป ฝรั่งคิดแต่ค่าครองชีพ รายได้ จีดีพี แล้วบอกว่าไทยไม่พร้อม แต่ผมไม่ได้มองเฉพาะจีดีพี ผมมองในมุมอื่น ๆ ด้วย” “ก่อนที่จะตัดสินใจ ผมไปนับด้วยตัวเองที่เขตพระโขนงก่อนว่า คนจะผ่านร้านกี่คน ร้านที่สหรัฐ คนเข้าน้อยเพราะเขาไม่ได้อยู่กันหนาแน่น ส่วนไทยมีรายได้ต่ำกว่าเขาก็จริง แต่มีคนอยู่หนาแน่นในที่ที่เจริญ คนจึงเข้ามาร้านเยอะ ถ้าสหรัฐคนเข้าร้าน 1 คน ในไทยคนจะเข้าร้าน 10 คน เมืองไทยคนเข้าร้านมากกว่าสหรัฐถึง 10 เท่า แม้ว่าคนไทยรายได้น้อยกว่าก็จริง แต่เมื่อรวมหลาย ๆ คนแล้ว ยอดขายก็ไม่แพ้เหมือนกัน แถมลงทุนต่ำกว่าสหรัฐอีก เพราะที่ดินเมืองไทยถูกกว่า ค่าจ้างแรงงานก็ถูกกว่า… มองอะไรอย่ามองมุมเดียว ถ้าศึกษาอย่างลึกซึ้ง มองมุมอื่น ๆ ให้รอบด้าน เราจะเห็นอะไรที่แตกต่าง และกล้าที่จะลงมือทำ เห็นก่อน ทำก่อน ซี.พี.ตัดสินใจลงทุนในธุรกิจที่มีอนาคตก่อนที่ใครจะเห็น” เจ้าสัวอธิบาย “ผมเรียนรู้อะไรมากมายจากการทำ 7-Eleven สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือเรื่อง คน การขาดทุนของร้าน 7-Eleven ในช่วงเริ่มธุรกิจในเมืองไทยนั้น ไม่ใช่เพราะธุรกิจนี้แย่ แต่เป็นเพราะบริการไม่ดี เวลานั้นในฐานะผู้นำ ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนผู้บริหาร และเมื่อเปลี่ยนแล้วก็ส่งเสริมสนับสนุนให้เขาทำงานได้อย่างเต็มที่ ในที่สุดคนที่ผมเลือก คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ก็สามารถพลิกสถานการณ์ของ 7-Eleven จากขาดทุนมาเป็นกำไร และสร้าง 7-Eleven ให้เติบโตอย่างมั่นคงมาได้จนถึงทุกวันนี้” “ผู้นำต้องรู้จักเลือกคนที่เหมาะสม ให้โอกาสคน และกล้าเปลี่ยนแปลง” นี่คือสิ่งที่ธนินท์บอกทิ้งท้ายไว้ในบทนี้ เรื่องราวที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในหนังสือ “ความสำเร็จ ดีใจได้วันเดียว” ที่ธนินท์บอกเล่าเส้นทางการสร้างธุรกิจ และถ่ายทอดวิธีคิดของเขาแบบไม่กั๊ก สำหรับใครที่อยากฟังเจ้าสัวธนินท์ถ่ายทอดเรื่องราวสด ๆ ด้วยตัวเอง ในวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคมนี้ ธนินท์ เจียรวนนท์ จะขึ้นเวทีพูดคุยสุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งแรกในชีวิต ณ The Portal Ballroom อิมแพ็ค เมืองทองธานี บนเวที “ความสำเร็จ ดีใจได้วันเดียว” exclusive talk ดำเนินรายการโดย สรกล อดุลยานนท์ นักเขียนและคอลัมนิสต์ชื่อดัง สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังทอล์กสุดพิเศษนี้ ติดตามรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/matichonbook ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/d-life/news-376159
จำนวนผู้อ่าน: 2406
01 ตุลาคม 2019
วันที่ 30 กันยายน 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา โปรดเกล้าฯ ต่ออายุภาษีมูลค่าเพิ่ม แวต VAT 7% ออกไปอีก 1 ปี เริ่ม 1 ต.ค.2562 – 30 ก.ย. 2563 พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 684) พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2562 เป็นปีที่ 4 ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 684) พ.ศ. 2562” มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 646) พ.ศ. 2560 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 669) พ.ศ. 2561 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๔ ให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละหกจุดสาม สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ซึ่งความรับผิด ในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563” ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) นั้นเป็นภาษากฎหมาย โดยที่ประกาศร้อยละ 6.3 หรือ 6.3% นั้น ยังไม่รวมภาษีท้องถิ่นอีก 10% ของ 7% หรือคิดเป็น 0.7% ดังนั้นเมื่อรวม 2 ตัวนี้ ภาษีมูลค่าเพิ่มจะเท่ากับ 7% เหมือนในปัจจุบัน โดยประกาศดังกล่าวเป็นการคงอัตราแวต 7% ออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง วันที่ 30 กันยายน 2563 ทั้งนี้การประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นเพียงเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเท่านั้น คลิกอ่านประกาศฉบับเต็มที่นี่ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-376371
จำนวนผู้อ่าน: 2138
01 ตุลาคม 2019
คอลัมน์ ดาต้าเบส REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในภูมิภาค พบปรากฏการณ์สินค้าบ้านเดี่ยวยังครองใจผู้บริโภคตลอดกาล โดยมีสัดส่วนการออกใบอนุญาตก่อสร้าง ณ ครึ่งปีแรก 2562 กินขาดถึง 73.4% จำนวน 67,148 หน่วย เหตุผลไม่ซับซ้อน เพราะที่ดินยังเหลือเฟือ ราคาไม่แพงระห่ำเหมือนในเมืองกรุง อันดับถัดมายังคงเป็นสินค้าแนวราบ นั่นคือ ทาวน์เฮาส์ สัดส่วน 10.8% จำนวนเกือบ 10,000 หน่วย เพราะกูรูสำนักวิจัยล้วนฟันธงตรงกันว่าสินค้าแนวราบเป็น norm ของผู้บริโภคอสังหาริมทรัพย์ ซื้อแล้วได้โฉนดกรรมสิทธิ์ ได้เหยียบดิน อันดับสามมาจากการลงทุนของผู้ประกอบการเป็นหลัก มีสัดส่วน 10.1% จำนวน 9,271 หน่วย ในขณะที่ใบอนุญาตสร้างอาคารพาณิชย์มีอันดับรองบ๊วย สัดส่วน 4.1% จำนวน 3,744 หน่วย และบ้านแฝดมีเพียง 1.6% จำนวน 1,456 หน่วย ตลาดบ้านแฝดต่างเหตุผลกับในกรุงเทพฯ ซึ่งซื้อบ้านแฝดเพื่อทดแทนบ้านเดี่ยว เพราะที่ดินแพงเหลือใจ จำยอมต้องอยู่บ้านแฝดไซซ์ 36 ตารางวา ทดแทนการซื้อบ้านเดี่ยว 50 ตารางวา แต่บ้านแฝดในต่างจังหวัดไม่รู้จะไปใช้คู่เทียบกับใครดี เพราะต้นทุนที่ดินยังเอื้อมถึง (affordable) นั่นเอง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-376362
จำนวนผู้อ่าน: 2043
01 ตุลาคม 2019
ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย และส่วนราชการ พบปะสื่อมวลชน ตามโครงการ “ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย และหัวหน้าส่วนราชการ พบสื่อมวลชน” เพื่อประชาสัมพันธ์ยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดแบบบูรณาการ สร้างการรับรู้ ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน โดยในครั้งนี้ได้ประชาสัมพันธ์งานประเพณีออกพรรษา “บั้งไฟพญานาคโลก” ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 10 – 21 ตุลาคม 2562 นี้ ยืนยันมีความพร้อมในการจัดงานฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (30 ก.ย. 62) ที่ห้องประชุมโรงแรมหนองคายธาวิลล่า อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย พร้อมด้วย ส่วนราชการในจังหวัดหนองคาย นายอำเภอและตัวแทนอำเภอที่มีกิจกรรมในช่วงงานประเพณีออกพรรษา “บั้งไฟพญานาคโลก” ได้พบปะสื่อมวลชนทุกแขนงในจังหวัดหนองคาย ตามโครงการ “ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย และหัวหน้าส่วนราชการ พบสื่อมวลชน” ครั้งที่ 7 ประจำปีงบประมาณ 2562 ที่สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดหนองคาย เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ โครงการผู้ว่าพบสื่อมวลชนฯ จัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์ยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดแบบบูรณาการ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมสำคัญตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด เพื่อสร้างการรับรู้ ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ต่อการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการและแสวงหาความร่วมมือในการปฏิบัติงาน เพื่อเป็นการรายงานผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดแบบบูรณาการแก่ประชาชนในพื้นที่ และเพื่อให้สื่อมวลชนทุกแขนงมีความรู้ความเข้าใจยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด สามารถนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้องและทั่วถึงกัน มีสื่อมวลชนทุกแขนงในจังหวัดหนองคาย เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง สำหรับกิจกรรมที่ฝากให้สื่อมวลชนได้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้ คืองานประเพณีออกพรรษา “บั้งไฟพญานาคโลก” ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 10 – 21 ตุลาคม 2562 ซึ่งปีนี้มีการจัดกิจกรรมในหลายพื้นที่ประกอบด้วย ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย จัดกิจกรรมในระหว่างวันที่ 10 – 16 ตุลาคม 2562 กิจกรรมที่สำคัญคือการแสดงแสงเสียง “เปิดตำนานบั้งไฟพญานาค” ที่จะมีการแสดง 3 วัน คือวันที่ 11 – 13 ตุลาคม 2562 ณ บริเวณวัดศรีบุญเรือง นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมแข่งเรือยาว และการลอยเรือไฟบูชาพญานาค/การแสดงกระทงยักษ์ เป็นต้น , จุดที่ 2 ที่มีการจัดกิจกรรม คือ ในเขตพื้นที่อำเภอโพนพิสัย มีการจัดงานในระหว่างวันที่ 12 – 21 ตุลาคม 2562 กิจกรรมที่สำคัญคือพิธีบวงสรวงวันเปิดโลก บูชาพระพุทธเจ้าและบูชาพญานาค และการรำบวงสรวงบูชาพญาพิสัยตนาคราช ณ ลานนาคาเบิกฟ้า ในช่วงเย็นวันที่ 13 ตุลาคม , จุดที่ 3 ที่จะมีการจัดกิจกรรม คืออำเภอรัตนวาปี จัดระหว่างวันที่ 12 – 14 ตุลาคม 2562 กิจกรรมที่สำคัญคือ การรำบวงสรวงองค์พญานาคราช และการแสดงวีดีทัศน์ชุดตำนานบั้งไฟพญานาคและตำนานนาคารัตนบุรี จัดในช่วงเย็นวันที่ 12 ตุลาคม ณ หน้าที่ว่าการอำเภอรัตนวาปี , จุดที่ 4 คือ อำเภอท่าบ่อ จัดกิจกรรมในระหว่างวันที่ 8 – 9 ตุลาคม 2562 กิจกรรมที่สำคัญคือ พิธีรำบวงสรวงงานเทศกาลบั้งไฟพญานาคโลก และการแสดงแสง สี เสียง ตำนานเมืองพรานพร้าวและบั้งไฟพญานาค ประกอบกับการไหลเรือไฟและกระทงสายบูชาพญานาค จัดในช่วงเย็นของวันที่ 8 ตุลาคม 2562 ณ ลานอเนกประสงค์ริมเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำโขง ต.โพนสา และจุดสุดท้ายที่มีการจัดกิจกรรม คืออำเภอศรีเชียงใหม่ จัดในระหว่างวันที่ 10 – 12 ตุลาคม 2562 กิจกรรมที่สำคัญคือ พิธีรำบูชาพญาศรีสุวรรณหงส์สัตตนาคราช และงานซุมข้าวแลง แงงเวียงจันทน์ จัดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 11 ตุลาคม 2562 ณ ลานวัฒนธรรมเบิ่งเวียง สำหรับภาพรวมในการเตรียมความพร้อมในการจัดงานประเพณีออกพรรษา “บั้งไฟพญานาคโลก” นั้น ขณะนี้การเตรียมความพร้อมเป็นไปตามเป้าที่ตั้งในการดำเนินการไว้ ส่วนปรากฏการณ์ “บั้งไฟพญานาค” ปีนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม 2562 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-376349
จำนวนผู้อ่าน: 2832
01 ตุลาคม 2019
นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด EEC) ซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า วันพรุ่งนี้ (1 ต.ค.2562) เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจาณาเห็นชอบและอนุมัติในการดำเนินโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) มูลค่า 47,900 ล้านบาท ในระยะเวลา 30 ปี ซึ่งหลังจากที่ ครม.เห็นชอบแล้วนั้น ในเวลา 12.00-13.00 น. จะทำการลงนามในสัญญาการร่วมลงทุนระหว่าง กนอ. และกลุ่มกิจการร่วมค้ากัลฟ์ และพีทีที แทงค์ (บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด) ซึ่งจะเป็นโครงการแรกใน EEC Project List 1 ใน 5 โครงการที่ได้ลงนามเป็นโครงการแรก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับการนำเข้า – ส่งออกขนถ่ายสินค้า และ LNG รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคต “การลงนามในสัญญาร่วมลงทุนหลัง ครม.อนุมัติ เพื่อจัดพื้นที่ส่งมอบให้กับบริษัทเอกชนเข้าดำเนินการ ออกแบบรายละเอียดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยทันที ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะในการพัฒนาแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2568 และเชื่อว่าจะเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในด้านการลงทุนทั้งในและต่างชาติได้อย่างแน่นอน” นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ. หรือเลขาฯ EEC) กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ดได้พิจารณา 1.เห็นชอบ ระบบการใช้บริการเบ็ดเสร็จ EEC – OSS โดย สกพอ.ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบริการรับคำขออนุมัติ อนุญาต และประสานหน่วยงานเจ้าของกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้ง 8 ฉบับ 2.เห็นชอบให้ดำเนินการแนวทางการพัฒนาบุคลากรใน EEC 3.รับทราบการแก้ไข (ร่าง) ระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ว่าด้วยกองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. … 4.เห็นชอบ แผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ขณะที่ความก้าวหน้าโครงการ EEC Project List ทั้ง 4 โครงการนั้น 1.โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 จะเข้า ครม. ในวันที่ 1 ต.ค. 2562 และพร้อมลงนามในสัญญา 2.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก คณะกรรมการคัดเลือกจะดำเนินการต่อ โดยกำหนดพิจารณาเอกสารทางเทคนิคให้จบภายในวันที่ 9 ต.ค. 2562 และเปิดซองการเงิน เพื่อหาผู้เข้าเจรจาสัญญา ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 2562 3.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รับทราบ การวางกำหนดการส่งมอบที่ดินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คือ ส่งมอบที่ดิน 72% ภายใน 1 ปี หลังลงนามในสัญญาร่วมลงทุน 4.โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F หลังจากศาลปกครองมีมติให้ถอนฟ้องคำสั่งของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ที่ให้กิจการร่วมค้าเอ็นซีพี ไม่ผ่านการประเมินในซองที่ 2 ดังนั้นกิจการร่วมค้าเอ็นซีพีจึงกลับเข้าสู่กระบวนการ PPP ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-376331
จำนวนผู้อ่าน: 2679
01 ตุลาคม 2019
คณะกรรมการหอการค้าไทย เข้าพบ รมว.ท่องเที่ยวฯ ร่วมผลักดันการท่องเที่ยวไทย พร้อมขับเคลื่อนโครงการ 1 หอการค้า 1 ท่องเที่ยวชุมชน สนับสนุนโครงการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (EEC) โครงการทัวร์ริมโขง และพัฒนาท่องเที่ยวรองรับผู้สูงอายุ นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และในฐานะหัวหน้าคณะทำงานด้านการท่องเที่ยว EEC เปิดเผยภายหลังการนำคณะกรรมการเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) เพื่อหารือความร่วมมือและนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ของภาคเอกชนต่อการผลักดันเศรษฐกิจ โดยมีข้อเสนอประเด็นต่าง ๆ ประกอบด้วย 1) Digital Tourism Platform ขอรับการสนับสนุนแหล่งข้อมูลด้านการท่องเที่ยว และการประชาสัมพันธ์ในสื่อต่างๆ ของกระทรวงและหน่วยงานภายใต้กำกับของกระทรวง เพื่อให้ Application “TAGTHAI” หรือ “ทักทาย” เป็น Application ที่เป็นทางการ และเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ในด้านการพัฒนา Application “TAGTHAI” ที่จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้ประเทศนั้น ทางกระทรวงเห็นว่าจะช่วยด้านการท่องเที่ยวได้มาก และขอให้เร่งรัดการนำ Application มาใช้งานโดยขอให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในปี 2563 2) Downtown VAT Refund หอการค้าไทยขอขอบคุณกระทรวงฯ ที่ได้ร่วมผลักดันให้เกิดการจัดตั้งจุดรับคืนภาษีในเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นแบบถาวร นอกจากนี้ ยังได้เสนอเพิ่มเติม โดยขอให้มีการทำ VAT Refund ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งตรงกับแนวทางของกระทรวงฯ และขอให้ช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มจุดในการดำเนินการ VAT Refund จากเดิมที่กำหนดให้เพียง 5 จุด รวมทั้ง ขอให้ช่วยผลักดัน เรื่องการสำแดงสินค้าของนักท่องเที่ยวต่อเจ้าหน้าที่ ที่กำหนดโดยกรมสรรพากร โดยให้สำแดงสินค้าเฉพาะยอดที่ซื้อสินค้าเกิน 8,000 บาท ซึ่งจะอำนวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวมากขึ้น 3) การอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว สนับสนุนให้มีการปรับปรุง พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 อาทิ พิจารณาออกประกาศปรับปรุงระเบียบวิธีการปฏิบัติ เรื่อง การแจ้งที่พักอาศัยชั่วคราวของคนต่างด้าว จัดทำระบบ Application บนมือถือ Smart Phone เพื่อให้ผู้ให้สถานที่พักอาศัยสามารถกรอกข้อมูลการแจ้งที่พักอาศัยของคนต่างด้าวได้โดยสะดวก รวมทั้ง เร่งรัดแก้ไขระบบออนไลน์ ของการแจ้งรายงานตัวให้สามารถเชื่อมต่อและใช้งานได้จริงทั่วประเทศ และขอให้ยกเลิกการบังคับใช้เอกสารตรวจคนเข้าเมือง (ตม.6) สำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งเรื่องนี้ กระทรวงฯ เห็นด้วย และแจ้งว่ากำลังพิจารณายกเลิกการรายงาน ตม.30 ตามมาตรา 37 และกำลังศึกษาวิธีเก็บข้อมูลจากแหล่งอื่นแทนเอกสาร ตม.6 4 ) สนับสนุนโครงการพัฒนาการท่องเที่ยว ตามแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเรือสำราญ พ.ศ. 2561-2570 ให้มีผลในทางปฏิบัติ ขอให้มีการแก้ไข ให้พื้นที่ Cruise Terminal ย้ายจากแหลมฉบังมาอยู่ที่เมืองพัทยา เพื่อเร่งผลักดันการก่อสร้างท่าเทียบเรือเล็กที่หน้าทอนเกาะสมุย เนื่องจากมีขนาดเล็กและรองรับเรือได้น้อยและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว อีกทั้ง พิจารณาแนวทางยกเว้นภาษีนำเข้า (Input Tax) ร้อยละ 7 สำหรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Super Yacht) ที่เข้ามาประกอบการในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังสนับสนุนโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ EEC กลุ่มท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ บริเวณเมืองพัทยา ได้แก่ โครงการ Cruise Terminal, Pattaya on Pier และรถไฟรางเบา (Tram) เมืองพัทยา โดยทางกระทรวงฯ แจ้งว่าได้มีการศึกษาเรื่องการสร้างท่าเรือที่ราชกรูด จังหวัดระนอง ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปยังมะริดและตะนาวศรีได้ อย่างไรก็ดี ต้องดูความพร้อมทางฝั่งเมียนมาด้วย ในส่วนการพัฒนาพัทยา โดยเฉพาะที่แหลมบาลีฮาย หากทำได้ก็ดีเพราะเป็นจุดที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ จะต้องนำไปหารือใน ครม.เศรษฐกิจเพื่อพิจารณาต่อไป 5 )โครงการทัวร์ริมโขง ขอให้กระทรวงฯ ช่วยผลักดันการดำเนินโครงการทัวร์ริมโขงให้มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม และร่วมพัฒนาแผนแม่บทกับภาคเอกชน ซึ่งกระทรวงฯ แจ้งว่าจะจัดประชุมเพื่อรับทราบปัญหาและข้อเสนอแนะ 2 ครั้งที่ บึงกาฬ และ นครพนม โดยเชิญชวนจังหวัดใกล้เคียงมาร่วมด้วย โดยให้แล้วเสร็จในเดือนตุลาคม เพื่อศึกษาว่าแต่ละจังหวัดที่อยู่ริมโขงมีความต้องการพัฒนาอย่างไรบ้าง 6 )โครงการไทยแลนด์ริเวียร่า หอการค้าไทยสนับสนุนโครงการ โดยขอเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนแม่บท และแผนพัฒนาภายใต้โครงการไทยแลนด์ริเวียร่า โดยหากมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ หรือ คณะทำงาน ที่เกี่ยวข้องเรื่องดังกล่าว หอการค้าไทยยินดีเข้าร่วมฯ เพื่อขับเคลื่อนโครงการฯ ด้วย อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทย ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวขึ้น จึงขอให้มีผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมในคณะกรรมการชุดนี้ด้วย นอกจากนี้ หอการค้าไทยมีแนวคิดให้มีการเชื่อมโยงโครงการไทยแลนด์ริเวียร่า โดยให้มีการ เชื่อมโยงกิจกรรมการท่องเที่ยวระหว่างภาคตะวันออก ภาคกลางและภาคใต้ (รวม 3 ภาค ครอบคลุม 12 จังหวัด) โดยในเรื่องนี้ ทางกระทรวงฯ เห็นด้วย และมีแนวคิดที่จะพัฒนาในลักษณะกลุ่มจังหวัด โดยอยู่ระหว่างการวางแผนกิจกรรมและเรื่องราวที่น่าสนใจ ทางกระทรวงยังขอให้หอการค้าสนับสนุนให้มีการกระตุ้นการใช้จ่ายประเทศ เช่น ลดภาษีสินค้านำเข้า เพื่อให้คนไทยซื้อสินค้าในประเทศแทนต่างประเทศ 7) โครงการ 1 หอการค้า 1 ท่องเที่ยวชุมชน เป็นโครงการที่หอการค้าไทยจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน จึงขอให้กระทรวงฯ สนับสนุนในการขับเคลื่อนโครงการ โดยการร่วมจัดหลักสูตรการอบรมให้ ความรู้ชุมชน โดยหอการค้าไทยได้เชิญหอการค้าญี่ปุ่น และ JETRO มาให้ความรู้เรื่องการสร้างเรื่องราวและการชูเอกลักษณ์สินค้าที่มีความโดดเด่นของท้องถิ่น ด้านการบริหารจัดการ การตลาด การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ รวมทั้ง ขอให้มีการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน 8) การพัฒนาการท่องเที่ยวรองรับกลุ่มผู้สูงอายุ ขอให้ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการที่มีคุณภาพที่ดีรองรับกลุ่มผู้สูงอายุ โดยขอให้มีการปรับปรุงแผนพัฒนาการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ และหากมีการจัดตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อจัดทำแผนพัฒนาฯ อย่างเป็นรูปธรรม หอการค้าไทย ยินดีให้ความร่วมมือเป็นคณะกรรมการฯ เพื่อเสนอความเห็นที่เป็นประโยชน์ กระทรวงฯ ได้เริ่มดำเนินการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ในการทำโครงการต้นแบบ โดยเริ่มที่จังหวัดเพชรบุรี (ชะอำ) เพื่อให้เอกชนเข้ามาศึกษาดูงาน และในอนาคตจะขยายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ นายกลินท์ กล่าวว่า รมว.กระทรวงท่องเที่ยวฯ ได้รับข้อเสนอของหอการค้าไทย ซึ่งข้อเสนอส่วนใหญ่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และได้ขอให้หอการค้าไทยช่วยผลักดันเรื่องต่างๆ ไปพร้อมๆ กับกระทรวงฯ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการท่องเที่ยว และจะทำให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-376326
จำนวนผู้อ่าน: 2633
01 ตุลาคม 2019
“สมคิด” ถอดสลักปัญหาเศรษฐกิจ เล็งต่อมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” เฟส 2 หลังผลตอบรับเกินคาด ชูธงยกระดับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้คลุมถึง “มนุษย์เงินเดือน” แถมเพิ่มสิทธิประกันอุบัติเหตุและประกันโรคร้ายที่ “30 บาทรักษาทุกโรค” คลุมไม่ถึง ดันแผนกระตุ้นจ้างงานผู้สูงอายุ เพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษีเป็น 3-4 เท่า จี้เอกชนเร่งลงทุนช่วงบาทแข็ง สั่งขุนคลังต่อสาย “เจบิก” แจงปมไม่ค้ำประกันเงินกู้ไฮสปีด 3 สนามบิน ยันเคลียร์ ซี.พี.ประเด็นส่งมอบพื้นที่เรียบร้อย มั่นใจได้เซ็นสัญญาหวังจุดพลุความเชื่อมั่นต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อ 25 กันยายนที่ผ่านมาได้มีมติคงดอกเบี้ย 1.5% พร้อมปรับลดอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2562 ว่าจะขยายตัวเพียง 2.8% ทั้งที่ได้รวมผลพวงจากมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” แล้ว จากเดือน มิ.ย.คาดว่าจะเติบโตระดับ 3.3% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิม และต่ำกว่าระดับศักยภาพจากการส่งออกที่ลดลง ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศซบเซาลงกว่าที่คาด ระดมอัดฉีดมาตรการกระตุ้น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ที่ความร่วมมือกันของภาคส่วนต่าง ๆ ถ้าช่วยกันก็จะไปได้ดี ก็เป็นข้อจำกัดการทำงานภายใต้รัฐบาลผสมหลายพรรค ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็พยายามกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศผ่านโครงการและมาตรการต่าง ๆอย่างโครงการ “ชิม ช้อป ใช้” ที่เปิดให้ประชาชนมาลงทะเบียนรับเงิน 1,000 บาทก็เป็นการจูงใจให้คนออกมาเที่ยว ดึงคนไปเที่ยวเมืองรอง ไปจับจ่ายใช้สอยสร้างมัลติพลายเออร์ ไม่ใช่แค่ให้คนเที่ยวแต่เป็นการกระตุ้นให้เงินหมุนเวียน “เชื่อว่าคนไปเที่ยว ไม่ใช้เงินแค่ 1,000 บาทแน่นอน แต่ 1,000 บาทที่รัฐให้แค่ดึงคนออกจากบ้านไปเที่ยวออกไปจับจ่าย ซึ่งการตอบรับดีมาก แต่ละวันที่เปิดลงทะเบียนครบ 1 ล้านคนภายในไม่กี่ชั่วโมง” รองนายกฯกล่าวและว่า ส่วนที่จะมีการขยายมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ออกไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับเงิน ซึ่งถ้าจะทำต่อต้องใช้งบประมาณปี 2563 เพราะตอนนี้งบประมาณ 2562 ปิดหมดแล้วซึ่งในมุมมองก็อยากทำให้ต่อเนื่อง เพราะเป็นฤดูท่องเที่ยวซึ่งก็จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไตรมาส 4 ดีขึ้นแต่ในทางปฏิบัติก็ต้องขึ้นอยู่ที่เงินงบประมาณ ขณะที่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมีประมาณ 1.5 แสนร้านค้า เป้าหมายต้องการให้ไปสู่ร้านค้าย่อยมากขึ้น เพราะร้านค้าถ้าไม่เข้าร่วมก็จะตกขบวน และเสียโอกาส เพราะต่อไปการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลที่จะส่งลงไปถึงประชาชนก็จะผ่านช่องทางนี้ ถ้าร้านค้าไม่เข้าร่วมก็จะเสียโอกาสที่จะได้เม็ดเงินที่รัฐบาลใส่ลงไป ขณะเดียวกันก็เป็นการดึงร้านค้าทั้งหลายเข้าสู่ระบบภาษี ช่วยมนุษย์เงินเดือน-รายได้ต่ำ นายสมคิดกล่าวว่า นอกจากนี้ได้สั่งให้กระทรวงการคลังไปศึกษาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่รายได้ต่ำซึ่งไม่เคยได้อะไร ว่าจะช่วยอะไรได้ เพราะการช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็จะเป็นผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ดังนั้นตอนนี้จึงให้ไปหาแนวทางที่จะให้กลุ่มมนุษย์เงินเดือนระดับล่างที่มีภาระ เช่น มีลูก จะทำอย่างไรให้ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วย ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าคนเหล่านี้อยู่ที่ไหน ก็อาจจะต้องหาวิธีสำรวจเหมือนตอนทำบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย “คลังต้องเร่งศึกษา เพราะถ้าเรามีข้อมูล เช่น มนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งตั้งตัว มีภาระ เราก็อยากช่วย แต่ต้องมีข้อมูล อยู่ที่ไหน มีรายได้ไม่เกินนี้จริงหรือเปล่า โดยปีหน้าจะมีการเปิดให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการฯใหม่ เพื่อปรับปรุงฐานข้อมูลให้ได้ข้อมูลที่แม่นมากขึ้นเรื่อย ๆ คัดกรองคนที่เข้ามา เพื่อป้องกันการสูญเสีย ซึ่งอาจจะมีลูกเล่นใหม่ ๆ เพิ่มเติม” รองนายกฯสมคิดกล่าว เพิ่มสิทธิประกันสุขภาพ/อุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังมีนโยบายเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯมากขึ้นโดยได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ไปศึกษาการทำประกันสุขภาพ โดยให้ครอบคลุมโรคร้ายแรงที่โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคไม่ครอบคลุมถึง หรืออย่างโรคไต ที่เป็นแล้วมีค่าใช้จ่ายมหาศาล รวมถึงการทำประกันอุบัติเหตุก็ทำไมยาก แต่เป็นการสร้างหลักประกันขั้นพื้นฐานให้กับผู้มีรายได้น้อย นายสมคิดกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันในภาวะที่ประเทศมีประชากรสูงวัยมากขึ้น แต่ปัจจุบันพบว่าการจ้างงานผู้สูงอายุยังไม่มาก ซึ่งก็ต้องไปดูว่าทำไมบริษัทต่าง ๆ ถึงไม่จ้างงานผู้สูงอายุ เพราะบางอาชีพก็มีประโยชน์มาก ดังนั้นก็มีการหารือกันว่าจะกระตุ้นการจ้างงานผู้สูงอายุ โดยให้บริษัทสามารถหักลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 3-4 เท่าตัว จากปัจจุบันให้ 2 เท่า ต่อสายเจบิกเคลียร์ปมไฮสปีด นายสมคิดกล่าวว่า สำหรับในส่วนของการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ก็จะต้องผลักดันให้โครงการเดินหน้าไปตามแผน โดยเฉพาะโครงการลงทุนในพื้นที่อีอีซี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศ “กรณีโครงการไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบินก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เอกชนจะไม่เซ็นสัญญา เราก็ช่วยเต็มที่ ปัญหาเงื่อนไขการเงินก็ไม่น่าติดอะไรแล้ว เพราะกรณีที่ต่างประเทศต้องการให้รัฐค้ำประกันเงินกู้นั้นคงทำไม่ได้ เพราะโครงการเซฟอยู่แล้ว เป็นโครงการของรัฐและจ่ายเงินผ่านอีอีซี ซึ่งได้มอบหมายให้รัฐมนตรีคลัง (นายอุตตม สาวนายน) ต่อสายทำความเข้าใจกับทางเจบิกแล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไร” นายสมคิดกล่าวและว่า ส่วนเรื่องปัญหาการส่งมอบพื้นที่ตามเส้นทางไฮปีดซึ่งทางกลุ่ม ซี.พี.ต้องการให้ส่งมอบพื้นที่ทั้งหมดก่อนนั้น การทำโครงการขนาดใหญ่แบบนี้คงทำไม่ได้ ซึ่งก็ได้มีการเคลียร์กับทางผู้บริหาร ซี.พี.แล้วว่าจะส่งมอบโดยแบ่งเป็นท่อน ๆ ซึ่ง ร.ฟ.ท.ก็เห็นด้วยก็น่าจะเริ่มได้ ซึ่งก็เข้าใจว่าทางกลุ่ม ซี.พี.ประมูลได้ในราคาต่ำ กำไรน้อย ก็ต้องมีการเจรจาต่อรองเต็มที่ “อย่างไรก็ตามถ้าโครงการไฮสปีดเซ็นไม่ได้ไม่ใช่ว่าซี.พี.เสียหาย แต่ประเทศที่เสียหาย แต่ผมมองโลกในแง่ดี หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยภายในกำหนด” เข็นโครงการแจ้งเกิดอีอีซี รองนายกฯกล่าวว่า สิ่งที่ทำมาทั้งหมดเหมือนปั้นดินให้เป็นดาว ต่างประเทศก็เริ่มยอมรับ ดังนั้นต้องพยายามทำดินก้อนนี้ให้เป็นดาวให้ได้ ถ้าโครงการต่าง ๆ เดินได้ก็ทำให้เกิดความมั่นใจ ความเป็นจริงก็จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งตอนนี้โครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 เกิดแล้ว ส่วนโครงการไฮสปีด 3 สนามบินก็รอเซ็นสัญญา รวมถึงโครงการสนามบินอู่ตะเภา ถ้าเดินหน้าตามแผนก็จะสามารถสร้างความมั่นใจได้ “ด้วยระบบด้วยกลไกการเมืองพรรคร่วมแบบนี้มันยาก ต้องยอมรับว่าเราเจอสภาพขรุขระ ก็หวังว่าเมื่อทำงานด้วยกันสักพักจะไหลลื่น” กระทุ้งเอกชนลงทุน นายสมคิดเพิ่มเติมว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ไปพูดที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่ากรณีเรื่องเงินบาทแข็งค่าอย่างนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเอกชนมีการลงทุนน้อยไป ดังนั้นก็ต้องช่วยเร่งลงทุนเครื่องมือเครื่องจักร ปรับปรุงเทคโนโลยี เร่งพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับในอนาคต “เอกชนอยากให้บาทอ่อน แต่ไม่ลงทุน แล้วจะให้ ธปท.แทรกแซงแต่ละทีก็ต้องใช้ทุนสำรอง ขณะที่ดอลลาร์ออ่อนลงอีก อีกอย่างกระทรวงคลังก็สั่ง ธปท.ไม่ได้ ฉะนั้นสถานการณ์อย่างนี้เอกชนต้องมีความมั่นใจในตัวเองและลงทุนก่อน ถ้าย้อนไป 20 ปีที่แล้ว ค่าเงินบาทอยู่ที่ 25 บาท/ดอลลาร์ พอเกิดต้มยำกุ้งพุ่งไป 50 บาท/ดอลลาร์ สภาพเราตอนนี้ดีกว่าปี 2540 มาก จะอยู่อย่างนั้นได้อย่างไร หรือคุณจะรอให้เงินบาทแข็ง 25 บาทแล้วค่อยลงทุน” ตอนนี้ก็พยายามผลักดันผ่านช่องทางสภาอุตฯอย่างเต็มที่ เพราะในนี้ซึ่งมีตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรมทุกจังหวัด ซึ่งต้องช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิด จะมานั่งรอรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ และในภาวะวิกฤต เอกชนที่คิดว่าต้องกำเงินสดไว้นั้นไม่ถูกต้องแล้ว ต้องใช้จังหวะบาทแข็งลงทุนเทคโนโลยี ยกระดับศักยภาพเพื่อลดต้นทุนในอนาคต เล็งเพิ่ม “ชิมช้อปใช้” หมื่น ล. นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านแคมเปญ “ชิม ช้อป ใช้” ได้รับความสนใจจากประขาชนอย่างท่วมท้น จึงอยู่ระหว่างพิจารณาว่าหากครบตามกำหนดเวลา และเป้าหมาย10 ล้านคน 10 วันแล้ว หากยังมีความต้องการเข้าร่วมเพิ่มก็จะขยายเวลาและจำนวนผู้เข้าร่วมไปอีก 1 เท่า คืออีก 10 ล้านคน โดยหากมีการขยายเวลาจำนวนผู้เข้าร่วมก็อาจพิจารณาใช้เงินจากงบประมาณรายจ่าย ในส่วนงบกลาง ปี 2563 ส่วนเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งตามกฎหมายจะใช้งบประมาณปีละ 46,000 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลกำลังศึกษาวิธีการเพิ่มประกันอุบัติเหตุและสวัสดิการรักษาพยาบาลโรคร้ายแรงเพิ่มเติมคาดว่าจะเพิ่มเป็นเฟส โดยเฟสแรกคงใช้วงเงินไม่มาก ก็จะพิจารณาจากงบกลางเช่นกัน นายอุตตมกล่าวว่า หลังจากนี้ก็อาจมีมาตรการดูแลด้านการท่องเที่ยวออกมาต่อเนื่อง โดยทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะมีโครงการมาเชื่อมต่อเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยว ทั้งนี้การจะออกมาตรการเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยกระทรวงการคลังก็มีการประเมินสถานการณ์อยู่ต่อเนื่องทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ในการประชุมคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม นายอุตตมกล่าวว่า ที่ประชุมได้อนุมัติการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ประกอบด้วย 1.ช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเดือนละ 230 บาทต่อครัวเรือน ตั้งแต่ ต.ค. 2562-ก.ย. 2563 เป็นเวลา 11 เดือน 2.ช่วยเหลือค่าน้ำประปาเดือนละ 100 บาทต่อครัวเรือนเป็นเวลา 11 เดือนเช่นเดียวกัน และ 3.คืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการในอัตรา 5% ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2562-ก.ย. 2563 โดยมาตรการเหล่านี้จะครอบคลุมผู้ถือบัตรสวัสดิการ 14.6 ล้านคน นอกจากนี้กระทรวงพลังงานและ บมจ. ปตท.ยังมีมาตรการลดภาระค่าก๊าซหุงต้ม ครัวเรือนละ 100 บาท ในส่วนของผู้ถือบัตรสวัสดิการจำนวน 8.8 หมื่นครัวเรือน ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. 2562 ชงคุ้มครองอุบัติเหตุ 1 แสน นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้สำนักงานคปภ.ได้นำเสนอแผนประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) เพื่อสนับสนุนเพิ่มเข้าไปในบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย(บัตรคนจน) โดยเบื้องต้นได้นำเสนอแผนด้วยอัตราเบี้ยประกันภัยรายย่อยเพียงแค่ 99 บาทต่อปี เฉลี่ยแค่คนละ 8.25 บาทต่อเดือน ให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตด้วยทุนประกันภัยที่ 1 แสนบาท ซึ่งจะเริ่มเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ขณะเดียวกันสำนักงาน คปภ.ยังอยู่ระหว่างศึกษาแผนประกันสุขภาพ โดยพิจารณาในกรณีสิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ยังไม่ครอบคลุม “คปภ.ได้ยื่นข้อเสนอในส่วนที่เป็นตัวผลิตภัณฑ์ไป แต่ในส่วนงบประมาณที่จะหนุนด้วยงบราว ๆ 700-800 ล้านบาทนั้น ขึ้นอยู่กับทางรัฐบาล ซึ่งหากมองว่าใช้งบประมาณเยอะไป ก็สามารถปรับลดทุนความคุ้มครองเหลือแค่ 5 หมื่นบาทเบี้ยก็จะลดลงมาอีกได้” นายสุทธิพลกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-375935
จำนวนผู้อ่าน: 2081
01 ตุลาคม 2019
ตลาดเอสยูวีพุ่งแรงขยายตัวแบบก้าวกระโดด 9 เดือน ทะลุ 5 หมื่นคัน ค่ายรถจ้องส่งรถใหม่เบียดแชร์ จับตา “เอ็มจี” บายซีพีสปีดแรงเกินพิกัด พรวดเดียวขยับตำแหน่งขึ้นเบอร์ 2 ของตาราง เก็บตัวเลขขายมากกว่า 1.2 หมื่นคัน จี้ติดผู้นำฮอนด้า “พงษ์ศักดิ์” ย้ำโปรดักต์ทุกรุ่นตอบโจทย์ลูกค้าครบถ้วน ทั้งคุ้มค่า คุ้มราคา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดรถยนต์ช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา กลุ่มรถยนต์ที่มีอัตราการเติบโตที่สุด คือ กลุ่มรถเอสยูวี ขยายตัวกว่า 15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมการเลือกใช้รถของลูกค้าเปลี่ยน หันมานิยมรถยนต์ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ครบ ทั้งขับขี่ภายในเมืองช่วงวันทำงานและใช้งานกิจกรรมช่วงวันหยุด เจซีซีชี้ 8 เดือนเฉียด 5 หมื่นคัน รายงานข่าวจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ หอการค้าญี่ปุ่น (เจซีซี) เปิดเผย”ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ยอดขายรถยนต์ในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.62) กลุ่มรถอเนกประสงค์ (เอสยูวี) มีทั้งสิ้น 47,316 คัน แบ่งเป็น ฮอนด้า 19,541 คัน,เอ็มจี 11,468 คัน, โตโยต้า 10,736 คัน,มาสด้า 7,710 คัน อื่น ๆ 2,139 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 40,355 คัน “ตัวเลขข้างต้นมองเห็นการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะค่ายเอ็มจีสปีดได้เร็วมาก กระโดดข้ามยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้า และมาสด้า มาแบบดุดันมาก” นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่ากลุ่มเอสยูวีถือเป็นตลาดที่เอ็มจีคาดหวังมาก เอ็มจีมีโปรดักต์ที่หลากหลายมากกว่า 6 รุ่น เริ่มจากเอ็มจี จีเอส เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร, เอ็มจี จีเอส เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร, เอ็มจี แซดเอส เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ซึ่งตอนนี้ถือเป็นพระเอกของแบรนด์ และยังมีเอ็มจี แซดเอส อีวี รถยนต์ไฟฟ้า100% ซึ่งได้การตอบรับจากลูกค้าอย่างมาก ถึงวันนี้ยอดขายเเตะ 1,600 คันแล้ว ซึ่งทยอยส่งมอบถึงมือลูกค้าไปแล้วกว่า 800 คัน ล่าสุดเอ็มจีเปิดตัว เอ็มจี เอชเอส พรีเมี่ยมเอสยูวีเสริมตลาดเข้าไปอีก 1 รุ่น คาดว่าส่งมอบครบภายในพฤศจิกายน 2562 ส่วนกำลังการผลิตชองเอ็มจีอยู่ที่ราว 1 แสนคันต่อปี ปัจจุบันผลิตเพียง 40,000 คันต่อปี คาดว่าปี 2563 เมื่อยอดขายดีขึ้น บริษัทจะเพิ่มยอดการผลิตให้มากขึ้น ตอบครบทุกโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ ตอนนี้ต้องบอกว่าเอ็มจีมีโปรดักต์ให้ลูกค้าเลือกตั้งแต่ระดับ 7 แสนบาท ไปจนถึง 1.2 ล้านบาท รวมทั้งถ้าลูกค้าใส่ใจสิ่งแวดล้อม ก็มีรถอีวีให้เลือกอีกหนึ่งรุ่น ตอบทุกโจทย์ ทั้งความสะดวกสบาย ประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ลูกค้าจะได้รับ และความคุ้มค่าของโปรดักต์ของเอ็มจี “ลูกค้านิยมรถเอสยูวีมากขึ้น เพราะขับง่าย ทัศนวิสัยดี และหากทำราคาได้ดี คาดว่าในอนาคตรถกลุ่มเอสยูวีน่าจะมีสัดส่วนยอดขายมากกว่ารถซีดาน แม้ว่าสัดส่วนขายปัจจุบันรถยนต์นั่งจะเยอะกว่าก็ตาม” สำหรับเอ็มจี เอชเอส พรีเมี่ยมเอสยูวี บริษัทตั้งเป้าขายไว้ที่ 1,000 คันต่อเดือน และช่วงเเนะนำยังมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้า 1,000 คันแรก รับส่วนลด 34,000 บาท มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย 4 สี ได้แก่ รุ่น C ราคา 919,000 บาท, รุ่น D ราคา 1,019,000 บาท และรุ่น X ราคา 1,085,000 บาท ค่ายรถแห่เปิดเอสยูวีใหม่ นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มาสด้าเตรียมแนะนำรถยนต์เอสยูวี มาสด้า 8 ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งตั้งใจทำราคาให้สามารถแข่งขันได้ เบื้องต้นวางไว้ไม่ให้เกิน 1.6 ล้านบาท มี 6 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง ให้ลูกค้าเลือก และมาสด้าเชื่อว่าน่าจะได้การตอบรับจากแฟนมาสด้า และลูกค้าทั่วไปด้วย ขณะที่นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดกล่าวว่า โตโยต้าได้เปิดตัว เลกซัสอาร์เอ็กซ์ใหม่ รถครอสโอเวอร์หรูระดับโลก เน้นการออกแบบที่ีพิถีพิถันก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีความสะดวกสบายและความปลอดภัย ควบคู่ไปกับสมรรถนะการขับขี่ ลงตลาดอีกหนึ่งรุ่น โดยมีให้เลือก 3 รุ่น รุ่น Luxury ขับเคลื่อนล้อหน้า ราคา 4,230,000 บาท, รุ่น Premium ขับเคลื่อนล้อหน้า ราคา 4,740,000 บาท และรุ่น F SPORT ขับเคลื่อนสี่ล้อ ราคา 5,350,000 บาท ขณะที่ก่อนหน้านี้มีค่ายรถทยอยคลอดรถเอสยูวีใหม่ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ซุบารุ ซึ่งมีทั้งรุ่นเอ็กซ์วีใหม่ และฟอเรสเตอร์ใหม่ โดยนายตวัน คำฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังจะเร่งส่งมอบ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ รุ่น Eyesight พร้อมทั้งพัฒนาการบริการหลังการขายและเพิ่มจำนวนศูนย์บริการให้ครบ 45 แห่งทั่วประเทศ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าสิ้นปีนี้ ซูบารุน่าจะสามารถทำยอดขาย 4,500 คันได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมีค่ายเปอโยต์ที่กลับมาทำตลาดอีกครั้ง ภายใต้กลุ่ม เอ็มจีซี-เอเชีย เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก็ส่งเอสยูวี 2 รุ่น ลงตลาดทั้งเปอโยต์ 3008 ราคาเริ่มต้น 1.549 ล้านบาท และเปอโยต์ 5008 ราคาเริ่มต้นที่ 1.749 ล้านบาท ราคาดังกล่าวรวมโปรแกรมบำรุงรักษานาน 3 ปี หรือ 60,000 กม. หวั่นเศรษฐกิจซบฉุดกำลังซื้อ นางปวีณา นันทิกุลวาณิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนสิงหาคม 2562 มียอดขายรวม 80,838 คัน ซึ่งใกล้เคียงกับยอดขายในเดือนกรกฎาคม แต่ลดลง 6.9% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย รถยนต์นั่งมีปริมาณ 33,036 คัน ลดลง 3.3% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 47,802 คัน ลดลง 9.2% ขณะที่รถกระบะขนาด 1 ตัน มีจำนวน 38,202 คัน ลดลง 7.5% ประเด็นสำคัญ ตลาดหดตัวสืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค ตลาดรถยนต์สะสม 8 เดือน มีปริมาณการขาย 685,652 คัน เพิ่มขึ้น 4.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 6% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 3.1% เป็นผลจากการเติบโตของตลาดในช่วงครึ่งปีแรก ที่มีทั้งการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่และการนำเสนอข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ จากค่ายรถยนต์ แนวโน้มตลาดรถยนต์ในเดือนกันยายนน่าจะทรงตัว รัฐบาลได้พยายามดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ยังคงทยอยแนะนำรถรุ่นใหม่ ประกอบกับนำเสนอกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจจะส่งผลต่อกำลังซื้อและการตัดสินใจซื้อ ซึ่งจะส่งผลให้แนวโน้มตลาดรถยนต์ในเดือนกันยายนยังอยู่ในสภาวะทรงตัว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/motoring/news-375932
จำนวนผู้อ่าน: 2016
01 ตุลาคม 2019
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ว่าขณะนี้กองทุนมีงบประมาณ 1.25 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมกับจำนวนเงิน 1 หมื่นล้านบาทที่ผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.)แล้ว และหากงบประมาณปี63 เรียบร้อย กองทุนจะมีเงินเติมเข้ามาประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท โดยที่ประชุมเห็นชอบให้มีการขยายเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา รวมทั้งเห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 5% โดยใช้งบประมาณรวมทั้งหมด 1,870 ล้านบาท สำหรับขอบเขตมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า เดือนละ 230 บาทต่อครัวเรือน เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.62- ก.ย.63 ระยะเวลา 11 เดือน ส่วนค่าน้ำประปานั้น ช่วยเหลือเดือนละ 100 บาทต่อครัวเรือน ตั้งแต่เดือน ต.ค.62- ก.ย.63 ระยะเวลา 11 เดือน และสำหรับการคืนภาษี VAT ให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 5% โดยรัฐจะเก็บภาษี VAT จากผู้มีรายได้น้อยเพียง 2% ตั้งแต่เดือน พ.ย.62-ก.ย. 63 ระยะเวลา 10 เดือน นอกจากนี้ยังมีมาตรการของกระทรวงพลังงาน โดย บมจ. ปตท ที่จะลดภาระค่าก๊าซหุงต้ม ครัวเรือนละ 100 บาท จำนวน 100,000 ครัวเรือน โดยแบ่งเป็นในส่วนของผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 88,000 ครัวเรือน ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.62 ระยะเวลา 3 เดือน โดยในวันที่ 30 ก.ย. นี้ กรมบัญชีกลาง จะลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ บมจ. ปตท ในการเข้ามาใช้ระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับมาตรการลดค่าก๊าซหุงต้ม อย่างไรก็ดี มาตรการเพิ่มเติมดังกล่าว คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาจากการประเมินผลการดำเนินการของโครงการช่วงที่ผ่านมา พบว่า เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และส่งผลดีต่อการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ จึงได้ดำเนินการต่อเนื่อง ทั้งนี้ สำหรับความคืบหน้าในการเปิดลงทะเบียนเพื่อเข้าโครงการสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่นั้น คาดว่าจะดำเนินการได้อย่างเร็วที่สุดภายในปี 2562 หรืออย่างช้าที่สุดในช่วงต้นปี 2563 และขณะนี้ สศค. อยู่ระหว่างจัดเตรียมหลักเกณฑ์การลงทะเบียนให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-375356
จำนวนผู้อ่าน: 1998
27 กันยายน 2019
แฟ้มภาพ เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 30.66 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าสอดคล้องสกุลเงินเอเชีย เหตุดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (27 ก.ย.) ที่ระดับ 30.66 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อน ที่ระดับ 30.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับกรอบค่าเงินบาทวันนี้ อยู่ที่ 30.60-30.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เงินบาทยังคงถูกขายทำกำไรเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินเอเชียทั่วไป ประเด็นหลักในช่วงนี้อยู่ในฝั่งสหรัฐ ที่เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ปลอดภัยทั้งหมดเมื่อปัญหาการเมืองกดดันตลาดทุน “อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าจะเห็นแรงขายของผู้ส่งออกที่ระดับเหนือ 30.70 บาทต่อดอลลาร์ อย่างหนาแน่น ถ้ายังไม่ทะลุผ่านแนวต้านนี้ก็ไม่ง่ายที่จะเห็นเงินบาทกลับไปเป็นขาอ่อนค่า” ดร.จิติพลกล่าว ดร.จิติพล กล่าวอีกว่า ในคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงถูกปกคลุมด้วยปัญหาการเมือง หลังมีการเผยแพร่รายงานของผู้แจ้งเบาะแสกล่าวหาประธานาธิบดีว่าใช้อำนาจในทางมิชอบ (Whistleblower report) ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ย่อตัวลง 0.25% สวนทางกับนักลงทุนยุโรป ที่อยู่ในโหมด Risk On จากความหวังว่าสงครามการค้าผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว ดัชนี STOXX50 และ ดัชนี FTSE100 ของอังกฤษต่างปรับตัวขึ้น 0.6% และ 0.8% ตามลำดับ สำหรับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 2.0% จากไตรมาสก่อนหน้า ชะลอตัวจากระดับ 3.1% ในไตรมาสแรก เพราะการลงทุนในภาคธุรกิจหดตัว 1.0% ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-375379
จำนวนผู้อ่าน: 1932
27 กันยายน 2019
“ชิมช้อปใช้” ฮอตปรอทแตก แห่ลงทะเบียนถล่มทลาย 2 วันแรกยอดทะลักเกินเป้า ห้างยักษ์-ร้านค้าย่อย 1.5 แสนรายทั่วประเทศ ตะลุมบอนชิงเค้กหมื่นล้าน ยักษ์ใหญ่ค้าปลีก “บิ๊กซี-เทสโก้ โลตัส-เซ็นทรัล-โรบินสัน-แม็คโคร” โหมแคมเปญพิเศษ ให้โบนัสท็อปอัพหวังกวาดลูกค้า ด้านกลุ่มโรงแรม สปา ค้าปลีกไอที-มือถือ ร้านอาหาร กาแฟ ร้านธงฟ้า ไม่ยอมตกขบวน คลังคาดเงินหมุนสะพัด 35,000 ล้าน ด้านสมาคมท่องเที่ยวลุ้นอานิสงส์เงินไหลเข้า 3 พันล้าน มาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาล ที่ออกมาพร้อม ๆ มาตรการใส่เงินเพิ่มในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูบุตรผู้มีบัตรสวัสดิการ การช่วยเหลือค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อย 14 ล้านคน ทุกรายการวงเงิน 30,000 ล้านบาทได้รับการตอบรับเกินคาด ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา ยอดผู้ประกอบการ ร้านค้าลงทะเบียนมีกว่า 1.3 แสนราย ทั้งส่วนกลาง ต่างจังหวัด ในจำนวนนี้มีผู้ประกอบการ ร้านค้าทั้งรายใหญ่ รายเล็ก หลากหลายประเภทสินค้า ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ค้าปลีก ร้านค้า ร้านอาหารชื่อดัง สวนสนุก สปา ร้านกาแฟ ร้านขายมือถือ สมาร์ทโฟน คาร์แคร์ ฯลฯ ต้องการมีส่วนร่วมแบ่งเม็ดเงิน 10,000 ล้านบาท “ห้างยักษ์-ร้านย่อย” ชิงหมื่นล้าน ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า จากการตรวจสอบรายชื่อร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” พบว่า ณ วันที่ 24 ก.ย. มีร้านเข้าร่วมแล้วทั้งสิ้น 136,781 ร้านค้า แบ่งเป็น ร้านประเภทชิม 33,048 ร้านค้า, ร้านประเภทช้อป 45,939 ร้านค้า, ร้านประเภทช้อปธงฟ้า 33,653 ร้านค้า, ร้านประเภทใช้ 3,457 ร้านค้า และร้านประเภททั่วไป 20,684 ร้านค้าในจำนวนนี้มีร้านขายสินค้าหลากหลาย อาทิ ร้านเสริมสวย, ร้านเพ็ดช็อป, ร้านเสื้อผ้า แฟชั่น, ร้านขายยา, ร้านตัดแว่น, อู่ซ่อมรถ, ร้านซักรีด, คลินิกทำฟัน, ร้านเฟอร์นิเจอร์, ร้านเครื่องประดับ กิฟต์ช็อป, คาร์แคร์, รีสอร์ต เป็นต้น และนอกจากร้านค้าขนาดเล็กแล้ว ห้างสรรพสินค้าใหญ่เกือบทุกรายสมัครลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการด้วย ได้แก่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา, บจ.เซ็นทรัลพัฒนา พระราม 2, บจ.เซ็นทรัลพัฒนา พระราม 3, บจ.เซ็นทรัลพัฒนา รัตนาธิเบศร์, บจ.เซ็นทรัลเวิลด์ (สาขาอุดรธานี), โรบินสัน สาขาเชียงใหม่, โรบินสัน พระราม 9, บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา, บจ.โรงแรมเซ็นทรัลเวิลด์, บจ.สรรพสินค้าเซ็นทรัล (สาขาชิดลม), บจ.บางนา เซ็นทรัล พร็อพเพอร์ตี้, บจ.เซ็นทรัลสมุยวิลเลจ, บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (สมุทรปราการ), ยืดเวลาเพิ่มร้านค้า 2 หมื่นแห่ง นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มีร้านค้าสมัครเข้าร่วมมาตรการมากขึ้น หลังภาครัฐยืนยันชัดเจนว่า มาตรการนี้ไม่เกี่ยวกับการเข้าสู่ฐานภาษี ถึง 20 ก.ย.ที่ปิดให้ร้านค้าลงทะเบียน ยังมีร้านค้าที่ธนาคารกรุงไทยทาบทามไว้อีกราว 2 หมื่นร้านค้า ยังลงทะเบียนไม่ทัน จึงได้ขยายเวลาลงทะเบียนออกไปอีกถึง 15 ต.ค.นี้ จะทำให้มีร้านค้าร่วมมาตรการรวมทั้งสิ้นกว่า 1.5 แสนร้านค้าทั่วประเทศ “ตอนแรกร้านค้ากลัวเรื่องภาษี แต่ตอนนี้ได้ร้านค้าใหม่ ๆ เข้ามาร่วมกว่า 7 หมื่นร้านค้า เมื่อรวมกับร้านที่มีอยู่เดิมอีกกว่า 8 หมื่นร้านค้า ทำให้มีร้านค้าเข้าร่วมทั้งหมดกว่า 1.5 แสนร้านค้า มีทั้งร้านอาหารดัง ๆ ของแต่ละจังหวัด อย่างกุ้งเผาอยุธยา ร้านแดงสมุทรสงคราม ร้านที่ได้ 3 ดาว จากเว็บไซต์ “วงใน” ไม่ว่าจะร้านรายย่อย หรือร้านดัง หากสนใจเข้าร่วมเรายินดี อย่างร้านอาหารเราพยายามลงไปถึงร้านที่ไม่ดังด้วย เช่น ร้านตามตลาดต่าง ๆ อยากให้เศรษฐกิจลงไปถึงคนข้างล่างจริง ๆ” คาดเงินหมุน 3 รอบครึ่ง สำหรับกรณีร้านค้าที่มีสาขาจำนวนมาก หากจะสมัครเข้าร่วมก็ทำได้ เพียงแต่ทุกสาขาต้องลงทะเบียนเอง ไม่ใช่ลงในนามบริษัทเดียวแล้วจะได้ทุกสาขา เช่นเดียวกับห้างสรรพสินค้า ที่ต้องสมัครแบบ 1 ต่อ 1 หากร้านค้าใดไม่เข้าร่วมก็ถือว่าเสียโอกาส “ถ้าลงทะเบียนครบ 10 ล้านคน แล้ว 10 ล้านคนนี้ แค่ใช้จ่ายเงิน 1,000 บาทที่ให้ไป ก็ปาเข้าไป 1 หมื่นล้านบาทแล้ว เราคาดว่าเงินจะหมุนต่อไปได้อีก 3 รอบครึ่ง” ร่วม 1 tax ID ต่อ 1 จังหวัด ขณะที่นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ยังมีร้านค้าติดต่อสอบถามและขอลงทะเบียนเพิ่มเติมอีกจำนวนมากกรณีห้างสรรพสินค้าที่สนใจสมัครเข้าร่วมมาตรการชิม ช้อป ใช้ เนื่องจากห้างมีหลายสาขาทั่วประเทศ ดังนั้น ห้างสรรพสินค้าเหล่านี้ (ที่มี tax ID เดียวกัน) จะต้องตัดสินใจเลือกลงทะเบียนในสาขาจังหวัดที่คิดว่าจะทำรายได้ให้กับห้างได้เพียงสาขาเดียวเท่านั้น อย่างเช่น ห้างเซ็นทรัล สมัครเข้าร่วมโครงการต้องเลือกว่าจะใช้สาขาในจังหวัดไหนเข้าร่วมโครงการ ซึ่งกรมบัญชีกลางจะให้จุดรับชำระเงิน หรือ “ถุงเงิน” ตามแคชเชียร์ไม่เกิน 20 จุด แก่ห้างนั้น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวก ดึงร้านค้าย่อยในห้างร่วม “ส่วนร้านค้าย่อยต่าง ๆ ที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า หากสนใจสมัครร่วมมาตรการก็สามารถทำได้ ซึ่งกรมบัญชีกลางจะให้ถุงเงินแก่ร้านค้านั้น ๆ ดังนั้น ต้องแยกระหว่างห้างสรรพสินค้า กับร้านค้าภายในห้าง ส่วน 7-Eleven หากสนใจเข้าร่วม คงต้องพิจารณาอีกที แต่ตอนนี้ยังไม่มีเข้าร่วม” รายงานข่าวจากกรมบัญชีกลางแจ้งว่า กรณีห้างบิ๊กซีที่มีเข้าร่วม 3 จังหวัดนั้น เนื่องจากห้างแต่ละจังหวัดใช้ tax ID ต่างกัน จึงเข้าร่วมได้ แต่หากห้างใดมีหลายสาขาในหลายจังหวัด แต่ใช้ tax ID เดียวกัน ก็จะเลือกเข้าร่วมได้จังหวัดเดียว ลงทะเบียน 1 ล้านราย/วัน นางสาวสุทธิรัตน์กล่าวว่า ในส่วนของประชาชนซึ่งวันที่ 23 ก.ย. 2562 เป็นวันแรกที่เริ่มเปิดให้ลงทะเบียน “ชิม ช้อป ใช้” ทางเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com มีผู้ลงทะเบียนครบ 1 ล้านราย ตั้งแต่เวลา 13.43 น. ส่วน 24 ก.ย.ที่เปิดลงทะเบียนวันที่ 2 มีผู้ลงทะเบียนครบ 1 ล้านราย ตั้งแต่เวลา 08.11 น. เมื่อลงทะเบียนครบ 1 ล้านราย ตามโควตาในแต่ละวัน ระบบจะปิดรับทันที โดยไม่มีการให้เข้าชื่อรอ (waitlist) “ผู้ที่ประสงค์รับสิทธิตามมาตรการจะต้องกลับเข้ามาลงทะเบียนใหม่ในวันถัดไป จนถึงวันที่ 15 พ.ย. 2562 หรือจนกว่าสิทธิจะเต็ม 10 ล้านราย” บิ๊กค้าปลีกโดดร่วมวง ดร.ปิยะวรรณ ปิยะพงษ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจบริการและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ระบุว่า บริษัทได้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวผ่าน 9 สาขา ใน 3 จังหวัด ได้แก่ สมุทรปราการ พิษณุโลก และขอนแก่น ประกอบไปด้วย สาขาสุขสวัสดิ์, สำโรง 1, เมกา บางนา, บางพลี, สมุทรปราการ, สำโรง 2, ศรีนครินทร์, พิษณุโลก และขอนแก่น 1 (ถนนมิตรภาพ) นางวรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ประธานกรรมการฝ่ายการตลาด เทสโก้ โลตัส กล่าวในทำนองเดียวกันว่า ได้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงผู้บริโภคให้ครอบคลุมมากที่สุด เทสโก้ โลตัส ได้เข้าร่วมโครงการ 20 สาขาเฉพาะกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ซีคอน พระราม 1 พระราม 2 พระราม 3 พระราม 4 มีนบุรี สุขาภิบาล 1 สุขาภิบาล 3 ฟอร์จูน รามอินทรา บางแค แจ้งวัฒนะ หลักสี่ ประชาชื่น บางปะกอก บางกะปิ ลาดพร้าว จรัญสนิทวงศ์ ปิ่นเกล้า และพัฒนาการ แหล่งข่าวจาก บมจ.โรบินสัน ผู้บริหารศูนย์การค้าโรบินสันกล่าวว่า ผู้บริโภคสามารถนำเงิน 1,000 บาทที่ได้รับซื้อสินค้าภายในดีพาร์ตเมนต์สโตร์ได้ทั้งหมด 14 สาขา แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 6 สาขา เช่น สุขุมวิท บางรัก บางแค พระราม 9 เป็นต้น ต่างจังหวัด 8 สาขา กระจายตามภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อุดรธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ จันทบุรี นครศรีธรรมราช เป็นต้น นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บมจ.สยามแม็คโคร กล่าวว่า ได้ร่วมส่งเสริมนโยบายของภาครัฐ ชิม ช้อป ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ 4 สาขาของ จ.ชลบุรี ประกอบด้วย สาขาชลบุรี, พัทยาใต้, พัทยาเหนือ, แหลมฉบัง โดยจัดแคมเปญการตลาดรองรับ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “รัฐบาลให้ 1,000 บาท สำหรับสมาชิกแม็คโครให้เพิ่มส่วนลดมูลค่า 1,000 บาท” ค้าปลีกไอที-มือถือร่วมวง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฟากผู้ค้าปลีกสินค้าไอทีในต่างจังหวัดหลายรายได้เข้าร่วมโครงการ พร้อมเริ่มโปรโมตให้ลูกค้าทราบว่าเป็นร้านค้าในโครงการชิม ช้อป ใช้ ซึ่งมีทั้งที่เป็นตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์ใหญ่อย่าง “เอไอเอส บัดดี้” (AIS BUD-DY) อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี และยะลา รวมถึง “ทรู พาร์ทเนอร์” อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ และดีแทคช็อป ที่ศูนย์การค้าเซ็นเตอร์วัน และเทสโก้ โลตัส วังหิน ในขณะที่ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยก็มี เช่น ร้านนัมเบอร์วัน ขายซิมการ์ดและโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในห้างบิ๊กซี พิษณุโลก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายร้านค้าสินค้าและอุปกรณ์ไอที คือ “แอดไวซ์” หลายแห่งในต่างจังหวัด เช่น สาขา อ.ขุนหาญ ศรีสะเกษ, อ.เบตง ยะลา, อ.เมือง ปัตตานี เป็นต้น แหล่งข่าวจาก บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) เปิดเผยว่า การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวจะเป็นส่วนที่ตัวแทนจำหน่ายดำเนินการเอง บริษัทไม่ได้มีนโยบายหรือแผนงานเฉพาะสำหรับโครงการนี้ เงินสะพัดท่องเที่ยว 3 พันล้าน ด้านแวดวงท่องเที่ยว นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเมินว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของเงินครั้งใหญ่ หากผู้ที่ลงทะเบียนนำมาใช้เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศจะทำให้เกิดการสะพัดของเงินเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว จากจำนวน 1,000 บาท ผู้ที่เดินทางท่องเที่ยว น่าจะใช้จ่ายที่เพิ่มเป็น 4,000-5,000 บาท/คน/ทริป ประเมินร้านค้าที่เข้าร่วมลงทะเบียน มีกลุ่มผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยว อาทิ บริษัทนำเที่ยว ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้าโอท็อป ฯลฯ สัดส่วน 40-50% คาดว่าตลาดทั้งโครงการนี้น่าจะมีเงินหมุนเวียนในภาคอุตฯท่องเที่ยวของประเทศไม่ต่ำกว่า 30% ของทั้งหมด หรือไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท ไทมิ่งได้-ดึงความเชื่อมั่น ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐ จะช่วยสร้างบรรยากาศการซื้อ-ขายในระบบ และดึงความมั่นใจเศรษฐกิจไทย ถือเป็นการดำเนินการถูกจังหวะ ถูกเวลา เพราะต่อจากนี้จะเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว จะมีความต้องการซื้อ (demand) มากขึ้น ที่สำคัญ เป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม 8 จังหวัดเหนือร่วม 6 พันร้าน สำหรับความเคลื่อนไหวในต่างจังหวัด นางลักษณา พงศ์ภิญโญโอภาส ผู้อำนวยการกลุ่มกำกับและบริหารการเงินการคลัง สำนักงานคลัง จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ยอดร้านค้าที่ให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมมาตรการเมื่อวันที่ 20 ก.ย. เป็นร้านค้าใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 6,630 ร้านค้า ในส่วนของเชียงใหม่มีร้านค้าเข้าร่วม 2,328 ร้านค้า แบ่งเป็น ร้านค้าประเภทชิม หรือร้านอาหาร 1,187 ร้านค้า ร้านช้อป 1,063 ร้านค้า และประเภทใช้ 78 ร้านค้า ซึ่งจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่จะลงทะเบียนใช้สิทธิตรวจสอบค้นหาพิกัดร้านค้าในแอปของธนาคารกรุงไทย สำหรับร้านค้าที่มีชื่อเสียงในเชียงใหม่ที่เข้าร่วม อาทิ ร้านวีทีแหนมเนือง ร้านกาแล ร้านแกงร้อนบ้านสวน ร้านกู๊ดวิว ร้านสามเสนวิลล่า ร้านบ้านไร่สเต็กเฮ้าส์ ร้านอาหารท่าพระจันทร์คาเฟ่ ร้านคั่วไก่นิมมาน ร้านชีวิตชีวา ร้านเฮือนใจ๋ยอง ร้านอาหารทูนอิน ที่พัก อาทิ ภูโอบฟ้ารีสอร์ท บ้านอิงดอย บ้านต้นน้ำโฮมสเตย์ ริมดอยรีสอร์ท โรงแรมดวงตะวัน ร้านขายของที่ระลึกบริเวณจุดท่องเที่ยว เช่น บนพระธาตุดอยสุเทพ 30 ร้านค้า ถนนวัวลาย 20 ร้าน ถนนคนเดินวันอาทิตย์ 50 ร้าน เป็นต้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-375112
จำนวนผู้อ่าน: 2178
27 กันยายน 2019
ตลาดทุเรียนส่งออก 40,000 ล้านบาท “แรงยังดีไม่มีแผ่ว” แม้ถูกสหรัฐตัด GSP แต่ขยายตัวต่อเนื่อง เหตุรสชาติไม่มีใครสู้ได้ โดยเฉพาะ “หมอนทอง-พวงมณี” มาแรงทิ้งห่าง “มูซังคิง” ทุเรียนมาเลเซียที่มีราคาแพงกว่าไทย และยังส่งออกเป็นทุเรียนสดแบบไทยไม่ได้ ด้านแบงก์ชาติแนะอนาคตต้องเร่งขยายตลาดไปอินเดีย เลิกพึ่งพาจีนตลาดเดียว แม้ว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย และจีน จะพัฒนาพันธุ์ทุเรียนและเริ่มปลูกเชิงพาณิชย์เพื่อทำการส่งออก แต่การส่งออกทุเรียนสด (95% ของการส่งออกทั้งหมด) ยังขยายตัวต่อเนื่อง ล่าสุด ม.ค.-ส.ค. 2562 ไทยส่งออกทุเรียนสด 40,920 ล้านบาท เพิ่ม 54.52%โดยจีนเป็นตลาดส่งออกสูงที่สุด 57.37%มูลค่า 23,477 ล้านบาท (เพิ่ม 92.79%)รองลงมาคือ เวียดนาม 10,211.9 ล้านบาท(20.74%), ฮ่องกง 6,341.6 ล้านบาท (28.25%), ไต้หวัน 377.8 ล้านบาท (-6.19%) และสหรัฐ 168.8 ล้านบาท (55.53%) เฉพาะตลาดสหรัฐ แม้ทุเรียนที่ส่งออกจากไทยจะถูกตัดสิทธิพิเศษ GSP ไป ตั้งแต่ พ.ย. 2561 แต่การส่งออกยังเติบโต 55.53% ส่วนทุเรียนแช่เย็นแช่แข็งซึ่งคิดเป็น 5% ของการส่งออกก็ยังโต0.73% โดย 83% การส่งออกไปจีน 2,733 ล้านบาท รองลงมา สหรัฐ 305.9 ล้านบาท (12.89%), ออสเตรเลีย 49.1 ล้านบาท (-46.41%), แคนาดา 42.4 ล้านบาท (-61.26%) และฮ่องกง 26.9 ล้านบาท (-5.68%) นางขวัญนภา ผิวนิล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศประจำลอสแองเจลิส (แอลเอ) กล่าวว่าทุเรียนไทยมีจุดแข็งด้านรสชาติทำให้การส่งออกทุเรียนไทยไปยังตลาดสหรัฐช่วง 7 เดือนแรกยังขยายตัว โดย”หมอนทอง” และน้องใหม่อย่าง “พวงมณี”ได้รับความนิยม ถ้าเทียบกับทุเรียนคู่แข่งจากมาเลเซีย อย่าง “มูซังคิง” ยังมีขนาดเล็ก และราคาสูงกว่า ส่วนโครงการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) โครงการปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธ.ค. 2563 นั้นฝ่ายไทยเตรียมขอต่ออายุ GSP ซึ่งจะครอบคลุมถึงทุเรียนด้วย โดยผลักดันร่วมกับกลุ่ม GSP Aliance ซึ่งเป็นเอกชนผู้นำเข้ารายใหญ่ ๆ ของสหรัฐ นางสาวพัดชา วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียกล่าวว่า มาเลเซียตั้งเป้าจะเป็นผู้ส่งออกทุเรียนไปตลาดจีนเป็นอันดับหนึ่ง เบื้องต้น จีนได้ “ปลดล็อก” ให้มาเลเซียส่งออกทุเรียนสายพันธุ์ “มูซังคิง(Musang King)” หรือทุเรียนสายพันธุ์ D24 และ D197 ในรูปแบบแช่แข็งเท่านั้น ยังส่งออกทุเรียนสดไม่ได้ และกำหนดให้ต้องมีมาตรฐานการผลิตเทียบเท่ากับผลผลิตจากประเทศไทยทั้งในส่วนของสวนและโรงงาน “ไทยส่งออกทุเรียนไปจีนได้ทั้งแบบสดแช่เย็น แช่แข็ง จึงต้องรักษาจุดแข็งทางด้านรสชาติไว้ จากผลผลิตทุเรียนไทย 601,884 ตัน/ปี เราส่งออกปริมาณหลายแสนตัน ส่วนมาเลเซียส่งออกไม่มากนัก ต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน” ในปี 2559 มาเลเซียส่งออกทุเรียน17,754 ตัน 18.1 ล้านเหรียญ ตลาดหลักอยู่ที่สิงคโปร์ (45%) ตามด้วย จีน 25%, ฮ่องกง 13%, สหรัฐ 6% และออสเตรเลีย 4% ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกทุเรียนมาก คือรัฐปะหัง, ยะโฮร์, กลันตัน, เปรัก, ซาบาห์ และซาราวัก โดยปลูกพันธุ์ มูซังคิงธนาคารประเทศไทย (ธปท.) ทำรายงานเกี่ยวกับทุเรียนไทยพบว่าทุเรียนไทยมีตลาดรองรับต่อเนื่องสามารถขยายไปได้อีกหลายมณฑลของจีน คู่แข่งยังไม่ได้สิทธิส่งออกทุเรียนสดไปจีนเหมือนกับไทย ทุเรียนหมอนทองของเวียดนามก็ยังสู้ไทยไม่ได้ ส่วนทุเรียนมูซังคิงของมาเลเซียมีราคาสูงกว่าไทย 3-4 เท่า ทำให้มีตลาดจำกัด แต่ไทยต้องเร่งขยายตลาดทุเรียนออกไปยังประเทศอื่นมากกว่าการพึ่งพาจีนตลาดเดียว โดยตลาดที่มีศักยภาพ ได้แก่ อินเดีย คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่..ทุเรียนไทย จะรุ่งหรือจะร่วง? ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-375009
จำนวนผู้อ่าน: 2166
27 กันยายน 2019
ควันพิษ - ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก จ.สงขลา คาดการณ์ผลกระทบต่อสถานการณ์หมอกควันไฟป่าจากประเทศอินโดนีเซียภาคใต้ยังคงได้รับผลกระทบเพราะมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันภาคใต้ และอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น ซึ่งจะพัดเอาหมอกควันเข้ามาปกคลุมภาคใต้มากขึ้น ธุรกิจท่องเที่ยว-โรงแรมภาคใต้กระอัก ปีนี้เจอ 2 เด้ง พิษเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซ้ำร้ายหวั่นควันไฟป่าทุบท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นเดี้ยง ร้องรัฐประสานรัฐบาลอินโดฯเร่งแก้ปัญหาซ้ำซากกว่า 10 ปี ตลอดช่วงสิงหาคม-ตุลาคมของทุกปี ด้านหาดใหญ่เผยสัปดาห์ก่อนนักท่องเที่ยวมาเลเซียยกเลิกทัวร์มาไทย 20% ด้านตรังกังวลไฟป่ายืดยาวรุนแรงกระทบฤดูท่องเที่ยวไฮซีซั่นหนัก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิกฤตหมอกควันจากการเผาไหม้ป่าบริเวณเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นปัญหาที่ประชาชนในภาคใต้ของไทยต้องเผชิญมาต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา และปีนี้ถือเป็นวิกฤตหมอกควันที่หนักสุด อากาศปิด ทั้งฝุ่นและควันส่งผลกระทบต่อสุขภาพในพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.เมือง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทำให้เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาประชาชนจำนวนหนึ่งได้นัดรวมตัวชุมนุมกันไปชูป้ายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่หน้าสถานกงสุลอินโดนีเซียประจำ อ.เมือง จ.สงขลาอย่างสันติ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอินโดนีเซียเร่งแก้ปัญหาหมอกควัน หลังจากที่ได้รับผลกระทบทุกปีและต่อเนื่องมา 10 ปี ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคมของทุกปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การดำรงชีวิต และมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก นายอำนาจ พฤกษ์พิกุล มัคคุเทศก์อาวุโส จ.สงขลา เปิดเผยว่า ควันไฟป่าจากประเทศอินโดนีเซียได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างเลี่ยงไม่พ้น ในกลุ่มเครือข่ายตน นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียได้ยกเลิกการเดินทางไปแล้ว 20% นายบรรจง นฤพรเมธี ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดตรัง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์หมอกควันไฟที่เข้ามาปกคลุมในพื้นที่จังหวัดตรังเริ่มส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายเริ่มกังวลว่าสถานการณ์จะยืดยาวและรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ตอนนี้ทุกคนกำลังติดตามสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดไว้ด้วย และอยากให้ทางจังหวัดเร่งหามาตรการป้องกัน รวมถึงติดตามข้อมูลข่าวสารเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้แก้ไขได้ทันท่วงทีกรณีสถานการณ์เกิดขึ้นยาวและรุนแรง นายภิญโญ เต็งรัง ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ โรงแรมธรรมรินทร์ ธนา อ.เมือง จ.ตรัง เปิดเผยว่า ปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้น เท่ากับซ้ำเติมผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพราะช่วงที่ผ่านมาเจอภาวะเศรษฐกิจไม่ดี นักท่องเที่ยวก็น้อย หวังว่าช่วงไฮซีซั่นนี้จะดีขึ้นก็มาเจอกับหมอกควันเข้ามา ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วนเริ่มลังเลและรอดูสถานการณ์ การตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวจึงช้าลงไปอีก นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากรายงานสถานการณ์หมอกควันภาคใต้ระบุว่า ความรุนแรงของมลพิษฝุ่นควันยังคงต่อเนื่องในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ได้แก่ จ.สตูล จ.สงขลา จ.ยะลา และ จ.ปัตตานี และเมื่อวันที่ 22 กันยายน พบว่าภาคใต้ตอนบนได้รับผลกระทบฝุ่นควันเพิ่มเติมได้แก่ จ.ตรัง จ.พัทลุง จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช จ.กระบี่ จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต เนื่องจากทิศทางลมได้พัดขึ้นทางเหนือ ซึ่งจะเข้าสู่ภาคใต้ตอนบนด้วยนั้น ในส่วนของจังหวัดภูเก็ตสังเกตด้วยสายตาพบว่าหลายพื้นที่เริ่มปกคลุมด้วยหมอกควัน จึงขอให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวพยายามหลีกเลี่ยงหรืองดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง และควรสวมใส่หน้ากาก N95 เมื่อออกนอกอาคาร เนื่องจากหมอกควันดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ด้านนายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตได้ประกาศกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต เรื่อง ผลกระทบจากสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2562 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์และเน้นย้ำมาตรการเฝ้าระวังอย่างมีประสิทธิภาพ นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เปิดเผย ว่า ขณะนี้สถานการณ์หมอกควันจากไฟป่าเพิ่งเข้าสู่จังหวัดภูเก็ต ตอนนี้นักท่องเที่ยวที่มาทำกิจกรรมกลางแจ้งยังอยู่ในภาวะปกติ และไม่มีการยกเลิกห้องพัก แต่ถ้าหากระยะยาวน่าจะไม่เป็นผลดีสำหรับภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยว เห็นได้จากผลกระทบจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและวิถีชีวิตของประชาชน นายสรายุทธ มัลลัม ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ปัญหาหมอกควันในภูเก็ตขณะนี้ยังไม่กระทบมากนัก มีการประกาศเตือนจากภาครัฐให้เฝ้าระวัง แต่ถ้าปกคลุมเป็นเวลานานหลายวันนับสัปดาห์จะเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ที่เข้ามาแล้วขอให้ ลมพัดพาออกไปให้เร็วที่สุด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-374986
จำนวนผู้อ่าน: 2311
27 กันยายน 2019
แฟ้มภาพ กรมสรรพากรเตรียมตั้ง “ดาวน์ทาวน์ แวต รีฟันด์” แบบถาวร ตัวแทน 5 บริษัท 18 จุด เฮ ! เปิดต่อได้ทันที พร้อมเปิดกว้างรายใหม่ ด้าน สทท.ชงเพิ่มจุดบริการให้ครอบคลุมพื้นที่หลักเมืองท่องเที่ยว นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กำลังพิจารณาการตั้งจุดรับคืนภาษีในเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Downtown VAT Refund) เป็นแบบถาวร หลังจากได้เปิดทดสอบ (แซนด์บอกซ์) ผ่านบริษัทตัวแทนจะสิ้นสุด ก.ย.นี้ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดกว้างรับตัวแทนรายใหม่ แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้กระทรวงการคลังเปิดให้บริการคืนภาษีให้นักท่องเที่ยวแบบถาวรตามข้อเสนอสภาหอการค้าไทยนี้ และให้ตัวแทนบริษัทเอกชนทั้ง 5 ราย ที่ได้รับการแต่งตั้ง รวม 18 จุด สามารถให้บริการต่อไปได้เลย พร้อมเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ สมัครเข้าเป็นตัวแทนคืนภาษีในเมืองได้ด้วย แหล่งข่าวรายนี้ยังให้ข้อมูลด้วยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ถึง 30 สิงหาคม 2562 รวม 11 เดือน พบว่า มีนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการขอคืนภาษีในเมืองทั้งสิ้น 10,171 ราย เป็นมูลค่ายอดซื้อสินค้า (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 182,691,649 บาท หรือเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม 11,951,790 บาท จุดที่นักท่องเที่ยวใช้บริการสูงสุด คือ สาขาสยามพารากอน สินค้าที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อ คือ เครื่องแต่งกาย นักท่องเที่ยวที่ขอคืนภาษีสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ จีน สิงคโปร์ และไต้หวัน “แม้ตัวเลขจะดูไม่มาก แต่ถือว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว ทำให้มีเงินไปจับจ่ายใช้สอยต่อไปได้อีก ทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น หากเปิดถาวรจะทำให้ตัวเลขเพิ่มขึ้น เพราะตัวแทนจะมีการโปรโมตจุดบริการนี้มากขึ้น” แหล่งข่าวกล่าว สำหรับตัวแทนคืนภาษีนักท่องเที่ยวในเมือง 5 ราย รวม 18 จุด ประกอบด้วย 1.บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด 5 จุดบริการ ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นสาขาแบงค็อกไนต์พลาซ่า, สาขาผดุงด้าว (เยาวราช), สาขาลิโด้ (สยามสแควร์), สาขารางน้ำ 6 และ สาขาไอคอนสยาม 2.บริษัท แวต รีฟันด์ เซ็นเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด มี 5 จุดบริการ ได้แก่ เซ็นทรัล ชิดลม, เซ็นทรัล เวิลด์, ดิ เอ็มโพเรียม, โรบินสัน สุขุมวิท และสยามพารากอน 3.บริษัท ไทย แวต รีฟันด์ จำกัด มี 3 จุดบริการ ได้แก่ ถนนหลวงแพ่ง เขตลาดกระบัง 2 จุด และถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม 4.บริษัท มันนี่ แวลู จำกัด มี 2 จุดบริการ ได้แก่ สาขาบริลเลี่ยนท์ เจมส์ เซ็นเตอร์ ถนนเทิดดำริ และสาขาเจมส์ แกลลอรี่ อินเตอร์เนชั่นแนล แมนูแฟคเจอเร่อ ถนนพระราม 6 และ 5.บริษัท คิง เพาเวอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มี 3 จุดบริการ ได้แก่ คิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ำ, คิง เพาเวอร์ มหานคร ย่านช่องนนทรี และคิง เพาเวอร์ ศรีวารี ย่านบางพลี เอกชนชงคืนภาษี ณ จุดขาย นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ได้นำเสนอภาครัฐให้ขยายจุดคืนภาษีนักท่องเที่ยวในเมืองให้ครอบคลุมพื้นที่หลัก ๆ ของเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น และเสนอให้ภาครัฐสร้างการรับรู้ในกลุ่มนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้นักท่องเที่ยวมีอัตราการใช้จ่ายต่อหัวต่อทริปเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภาคเอกชนเองยังได้นำเสนอแนวคิดให้ภาครัฐพิจารณาความเป็นไปได้ในการคืนภาษีให้นักท่องเที่ยว ณ จุดขาย หรือร้านค้าทันที เหมือนในต่างประเทศ ซึ่งจะยิ่งช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น “ที่ผ่านมาเรามีการมอนิเตอร์เรื่องดาวน์ทาวน์ แวต รีฟันด์ มาตลอด ซึ่งพบว่านักท่องเที่ยวยังมาใช้บริการไม่มากนัก เนื่องจากอยู่ในช่วงของการทดลอง ขณะที่นักท่องเที่ยวก็ยังไม่ได้รับรู้นัก แต่หลังจากนี้เชื่อว่าภาครัฐเองก็จะเดินหน้าประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวมาใช้เพิ่มมากขึ้น และเพิ่มจุดคืนภาษีในเมืองให้กระจายและเข้าถึงนักท่องเที่ยวในพื้นที่หลัก ๆ ได้มากยิ่งขึ้นด้วย” นายชัยรัตน์กล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-374768
จำนวนผู้อ่าน: 2139
27 กันยายน 2019
วันที่ 26 ก.ย. ภายหลังจากที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้มีการ เข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 74 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 21 – 27 กันยายน ว่า เมื่อเวลา เมื่อ 12.05 น. วันที่ 25 ก.ย.(ตามเวลาท้องถิ่น) ณ Asia Society นครนิวยอร์ก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้บริหาร Asia Society ได้แก่ มาดามโจเซ็ท ชีราน ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร Asia Society คุณทอม นากอร์สกี้ รองประธานบริหาร Asia Society และ แขกรับเชิญ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืนระหว่างประเทศ จากความแข็งแกร่งภายในสังคมไทย” นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า อินเตอร์เน็ตเป็นประโยชน์ ถ้าเอามาใช้เรื่องออนไลน์ ขายของ ให้ความรู้ ตนโอเคหมด วันนี้อยากรู้อะไร ก็เปิดดูจากเว็บไซต์ Google อยากรู้เรื่องอะไร ก็กดชื่อท่านเข้าไป และมันก็ออกมา ใช่ม่ะ รู้จัก แดเนียล รอฟเฟล กดแดเนียล รอฟเฟล มันก็ออกมา ประวัติมีหมดแหละ ทุกเรื่องอยากจะรู้เรื่องปลูกพืช เปิดหมด พวกเรานักบริหารจะเปิด Google เป็นส่วนใหญ่ ประชาชนจะไม่ค่อยเปิด นั่นแหละทำให้ปัญหามันเกิดขึ้น เพราะเขาไม่เรียนรู้ไง เพราะฉะนั้น การเรียนรู้จากอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์นั้น มีประโยชน์อย่างยิ่ง จนกลายเป็นประเด็นให้หลายคนต่างพูด และแสดงความคิด ความเห็นถึงเรื่องนี้เป็นจำนวนมากในโลกออนไลน์ และในเวลาต่อมาอีกหนึ่งคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้ออกมาทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ‘@Thanathorn_FWP‘ โดยระบุข้อความว่า “ผมสอนลูกอยู่เสมอ เวลาค้นหาความรู้โดยใช้กูเกิล ต้องระวังค.ถูกต้อง-ค.น่าเชื่อถือของข้อมูลเป็นอย่างยิ่ง แต่นี่คุณประยุทธ์กลับนำเรื่องที่ตัวเองหาข้อมูลจากกูเกิลมาเหยียดหยาม ปชช ที่ไม่เปิดกูเกิลว่าเป็นคนไม่เรียนรู้ เป็นพวกมีปัญหา นายกที่ดีย่อมไม่ดูถูก ปชช และไม่บริหารประเทศด้วยกูเกิล” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/social-media-viral/news-375373
จำนวนผู้อ่าน: 2069
27 กันยายน 2019
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ”รายงานว่าในวันนี้ (26 กันยายน 2562) บริษัท สิริเวนเจอร์ส จำกัด (SIRI VENTURES) ในเครือแสนสิริ ได้เปิดตัวโครงการ THE FOUNDER ปั้นพนักงานเป็นสตาร์ตอัพ โดยแสนสิริ และสิริเวนเจอร์ส จะให้การสนับสนุนด้านการเงินสูงสุด 36 ล้านบาท เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เกิดขึ้นได้จริงจากพนักงานแสนสิริ โดย นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด (SIRI VENTURES) กล่าวว่า การผลักดันการสร้างนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยให้เกิดระบบนิเวศสตาร์ตอัพ (Ecosystem Partner) เป็นสิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องและจริงจัง ซึ่งการริเริ่มโปรเจ็คต์ THE FOUNDER ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่เพียงสร้างความตื่นตัวให้กับพนักงานภายในองค์กรในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และพัฒนาระบบงานในองค์กรเท่านั้นแต่ยังส่งเสริมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และวงการสตาร์ตอัพไทยได้ด้วย นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริเวนเจอร์ส จำกัด “PropTechเป็นอาวุธสร้างความแตกต่างให้ผู้ระกอบการธุรกิจได้ แต่ในไทยยังมีสตาร์ตอัพด้านนี้ไม่มากแค่หลักสิบราย ขณะที่ในเอเชียมีกว่า 500 ราย และในระดับโลกมีกว่า 7 พันราย มูลค่าการลงทุนสูงถึง 1.5 หมื่นล้านเหรียญ หรือ4.5 แสนล้านบาท นี่คือตัวเลขในปี 2018 ทั้งบริษัทวิจัยด้านนี้ในสหรัฐฯยังคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งตลอด 2 ปีที่เราผลักดันการเรื่องนี้จริงจัง มองเห็นชัดเจนว่าอสังหาฯไทยต้องการ PropTech สตาร์ตอัพอีกมาก เราเองก็ตั้งใจว่าจะทำให้ได้อย่างน้อยปีละ 3 ผลงาน เพื่อยกระดับประสบการณ์ในการอยู่อาศัยให้ลูกบ้านแสนสิริ และเป็นอีกหนึ่งฐานรายได้จากการลงทุนในอนาคตทั้งในและต่างประเทศด้วย” ตัวแทนทีม Fur Full Feel โดยโปรเจค THE FOUNDER มุ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมแกร่ง Entrepreneurial Mindset ในองค์กร ต่อยอดไอเดียสร้างสรรค์ด้าน PropTech ของพนักงานแสนสิริ และพัฒนาสู่เวอร์ชั่นจริงพร้อมออกสู่ตลาด ผ่านหลักสูตรเข้มข้นภายใต้โรดแม็ป ‘Rise-Bounce-Shoot’ ครอบคลุมทั้งการฝึกอบรมสร้างแผนธุรกิจตั้งต้น การพัฒนาไอเดียผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Paper Prototype) และการต่อยอดไอเดียธุรกิจให้เกิดขึ้นจริง ด้วยเงินทุนเริ่มต้นทำธุรกิจ (Seed Funding) ไม่เกิน 3 ล้านบาทในแต่ละทีม แนะนำโปรเจ็คต์ The Founder,Everyone Can be กับพนักงานในเครือแสนสิริ “ครั้งแรกที่เปิดตัวโครงการนี้ก็คิดว่าจะมีสัก 20 ทีม แต่ได้รับการตอบรับที่ดีมีเสนอมากว่า 30 ทีม โดยคณะกรรมการก็คัดจนเหลือ 12 ทีมเพื่อเข้าสู่การบ่มเพาะใน 3 เฟส คือตั้งแต่ Rise ไป Bounce และShoot เรียกได้ว่าเริ่มตั้งแต่การสร้างแผนธุรกิจ การพัฒนาไอเดีย จนต่อยอดเป็นธุรกิจได้จริงเลย เมื่อโปรเจคสิ้นสุดลง ทีมที่ประสบความสำเร็จเลือกได้ว่าจะแยกออกมาประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพได้เต็มตัว หรือตั้งเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ของแสนสิริก็ได้” สำหรับ 3 ใน 12 ทีมที่ได้รับการคัดเลือกในรอบแรก มีทีม Con’s Go พัฒนาเทคโนโลยีสร้างความแม่นยำ และลดขั้นตอน-ข้อผิดพลาดจากการประเมินราคาในการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ, ทีม “Fur-Full-Feel” การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในคอนโดด้วยโมเดลธุรกิจการเช่าเฟอร์นิเจอร์ และทีม Decode พัฒนาโซลูชั่นที่ช่วยเฟ้นหาตลาดใหม่สำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น การปล่อยกู้สินเชื่อบ้านระหว่างคนที่ต้องการซื้อกับนักลงทุน ตัวแทนทีม Con’s go ที่ร่วมงานกับแสนสิริมาแล้ว 11 ปี นำเสนอเทคโนโลยีที่จะแก้ pain Point ในการประเมินราคาการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ นายจิรพัฒน์กล่าวถึงการลงทุนในสตาร์ตอัพของ “สิริ เวนเจอร์ส”ด้วยว่า ที่ผ่านมาลงทุนไปแล้ว 9 บริษัท เป็นบริษัทสตาร์ตอัพไทย 2 แห่ง อีก 7 แห่ง เป็นต่างประเทศ รวม 300 กว่าล้านบาท และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะลงทุนในสตาร์ทอัพใน 4 ด้าน ภายใต้งบลงทุน 600 ล้านบาท ได้แก่ 1.เทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง (ConsTech) เน้นเทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง (QC) 2.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainablity) 3.เทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) เน้นรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่ และ 4.เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยและสุขภาพ (LivingTech & HealthTech) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-375321
จำนวนผู้อ่าน: 2760
27 กันยายน 2019
หลังจากที่ มล.ณัฐกรณ์ เทวกุล หรือ ‘หม่อมปลื้ม’ ได้ออกมาวิจารณ์ ‘เกรตา ธันเบิร์ก’ เด็กหญิงวัย 16 ปี ชาวสวีเดน ที่ถูกเชิญไปแสดงปาฐกถา ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา ว่า เป็นตัวอย่างของเด็กสาวที่โดนล้างสมองในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเท่านั้น และยังระบุอีกว่า ธรรมชาติไม่ได้เป็นเจ้าของโลกใบนี้ มนุษย์ต่างหากที่เป็นเจ้าของ เพราะมนุษย์นั้นมีสติสัมปชัญญะ มีศักยภาพในการครอบครองและบุกเบิก จนต่อมา ในวันที่ 26 กันยายน นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้โพสต์แสดงความคิดเห็น ผ่านเจเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ‘ ต่อประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า “ผู้ใหญ่อย่ารังแกเด็ก” วันสองวันที่ผ่านมา มล.ณัฐกรณ์ เทวกุล หรือที่เรียกกันว่า หม่อมปลื้ม ได้ออกมาตำหนิติเตียน เด็กหญิงอายุ 16 ปี ที่ชื่อ เกรตา ธันเบิร์ก ซึ่งเป็นชาวสวีเดน ว่า การแสดงออกในเรื่องการต่อต้าน การทำลายสิ่งแวดล้อมของกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ฯลฯ เป็นการทำให้โลกร้อน และการที่เด็กหญิงเกรตา ได้รับเชิญไปแสดงปาฐกถา ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ว่า “เป็นเด็กอยากดัง และถูกล้างสมองมาจากกลุ่มสิ่งแวดล้อม” สำหรับผมแล้ว เกรตาฯ เป็นเด็กที่ยิ่งใหญ่มากในโลกนี้ เธอยังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยม แต่เธอกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาสู้ในเรื่องโลกร้อน เธอสู้เพื่อมนุษยชาติ ความเชื่อของเธอนั้นมีพื้นฐานความเชื่อมาจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เธอกล้าหาญที่จะลุกขึ้นมาแสดงออกในเรื่องที่กระผม ทุกๆคนในโลกนี้ ขณะที่พวกเรา (รวมทั้งผมด้วย) ยังมัวมะงุมมะงาหรา บ้าคลั่ง กับเรื่องราวของลัลลาเบล และนายน้ำอุ่น (ซึ่งคงกลายเป็นน้ำร้อนไปแล้ว) ถ้าเด็กไทยรวมทั้งผู้ใหญ่ไทย และคนในโลกนี้ เป็นอย่างเกรตา โลกนี้และประเทศนี้คงน่าอยู่กว่านี้มาก วันนี้ผู้ใหญ่อย่าง มล.ณัฐกรณ์ เทวกุล ได้ออกความเห็นรังแก เกรตาฯ เด็กอายุ 16 โดยกล่าวหาว่า เป็นเด็กอยากดัง ได้ข้อมูลมาผิดๆ ในเรื่องโลกร้อนผมเลยต้องเดือดร้อนไปด้วย เพราะผมคิดและเห็นด้วยกับ เกรตา ที่ตลกคือ ถ้าเกรตาได้ข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์ที่ต่อต้านโลกร้อน ในทำนองเดียวกัน มล.ณัฐกรณ์ฯ ในฐานะที่พูดภาษาอังกฤษ และอ่านภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วเหมือนภาษาตัวเอง ก็คงได้ข้อมูลมาจากอีกฝั่งหนึ่ง เช่นเดียวกับเกรตา ซึ่งฝ่ายที่ต่อต้านโลกร้อนนั้นก็มักจะเป็นกลุ่มทุน กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มการค้าที่ต้องการแสวงหาผลกำไร โดยไม่สนใจว่า สิ่งที่ตัวเองทำนั้นจะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง ที่ทำให้โลกร้อนและกลุ่มคนพวกนี้ ก็จะไปขุดค้น เสาะแสวงหา ว่าจ้าง นักวิทยาศาสตร์ ที่ออกมาต่อต้านนักวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าโลกกำลังร้อนขึ้นทั้ง ผม และเกรตา และคนอีกมากเชื่อว่า โลกกำลังร้อนขึ้น นอกจากสามัญสำนึก และความรู้สึกที่เราได้สัมผัสกับอากาศรอบตัวเรา รวมทั้งการรับทราบ และได้เห็นประสบการณ์ภัยพิบัติ ที่เกิดขึ้นในปริมาณที่มากขึ้นกว่าเก่ามาก ไม่ว่าจะเป็น พายุในหลายรูปแบบ เช่น ไต่ฝุ่น เฮอริเคน ทอนาโด รวมไปจนถึง ภาวะน้ำท่วมทั่วโลกตามที่ต่างๆ และรวมทั้งชั้นบรรยากาศที่ถูกทำลายมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกทั้งนักวิทยาศาสตร์อิสระ หรือนักวิทยาศาสตร์ที่มาจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก รวมทั้งบทสรุปที่องค์การสหประชาชาติ ได้ทบทวนเรื่อง ผลงานวิจัย เรื่องโลกร้อน จากนักวิทยาศาสตร์ 100 คน จาก 30 ประเทศ โดยการสรุปได้ความว่า โลกร้อนนั้นมีจริง และกำลังทวีเพิ่มมากขึ้น “โลกร้อนได้ไปถึงจุดที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้งตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติที่เกิดจากพายุ น้ำท่วม การละลายของน้ำแข็งทั่วโลก และน้ำทะเลที่ร้อนขึ้น ฯลฯ” ทั้งผม และ มล.ณัฐกรณ์ฯ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่ผมเชื่อในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในหลัก ปฏิจจสมุปบาท ว่า “เมื่อมีสิ่งนี้ ก็ต้องมีสิ่งนั้น ฯลฯ” ภาวะโลกร้อนที่เกิดจากเหตุต่างๆ ก็ตกอยู่กับหลัก อิทัปปัจจยตา อย่างไม่มีข้อสงสัย มล.ณัฐกรณ์ เทวกุล และพลพรรคอีก 3-4 คน ที่ออกมาประจำในช่อง Voice Tv. แสดงความคิดเห็นทางการเมืองตลอดเวลา มักจะชอบพูดเสมอว่า “คนเราต้องยอมรับความคิดเห็นต่างได้” แต่วันนี้ผู้ใหญ่อย่าง มล.ณัฐกรณ์ฯ กลับไม่ยอมรับความคิดเห็นต่างของเกรตาฯ เด็กวัย 16 มิหนำซ้ำ ยังกล่าวหาว่า เกรตาฯ ถูกล้างสมองมาอีก ทั้งๆที่ มล.ณัฐกรณ์ฯ ก็ถูกล้างสมองมาจากอีกฝ่ายหนึ่งเช่นกัน แล้วยังไปกล่าวหาว่า เกรตาฯ อยากดัง แต่พฤติกรรม ของ มล.ณัฐกรณ์ฯ ก็คงอยากดังเช่นกัน โดยการไปตำหนิเด็กเช่นนั้น อ้อ!! ลืมบอกไปว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ฉาวโฉ่ ไร้จริยธรรม และมุสา ในเรื่องต่างๆ รวมทั้งมีนิสัยที่เลวร้าย มากที่สุดในประวัติศาสตร์ผู้นำของสหรัฐอเมริกา ก็คิดแบบเดียวกับ มล.ณัฐกรณ์ฯ แต่ผมเชื่อว่า มล.ณัฐกรณ์ฯ คงไม่เลวร้าย และชั่วช้า แบบนายทรัมฯ เพียงแต่อยากดัง และถูกล้างสมอง และพูดโดยไม่ได้คิดตามหลักพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมต้องขอโทษด้วยที่มาวิพากษ์วิจารณ์ มล.ณัฐกรณ์ฯ ซึ่งผมไม่ควรเลย เพราะผมเป็นแค่อดีตนักโทษ คนที่เคยติดคุก สถานภาพผมต่ำต้อยกว่าเขามาก แต่ผมทนไม่ได้ ที่เห็นท่านรังแกเด็ก โดยไม่มีเหตุผล มันก็เป็นเพียงแค่นี้เองแหละครับ !! สนธิ ลิ้มทองกุล” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/social-media-viral/news-375275
จำนวนผู้อ่าน: 2121
27 กันยายน 2019
ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคารโครงการมหาดเล็กหลวง 2 เรสซิเดนส์ วันที่ 26 กันยายน 2562 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคารโครงการมหาดเล็กหลวง 2 เรสซิเดนส์ ของสำนักงานพระคลังข้างที่ โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ออกใบอนุญาตดังกล่าว เนื่องจากศาลฯ เห็นว่า การออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่พิพาท ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษ โดยอยู่ติดกับถนนมหาดเล็กหลวง 2 ที่มีเขตทางกว้างน้อยกว่า 18 เมตร เป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) ข้อ 2 วรรคสอง ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ประกอบกับที่ดินที่ใช้ก่อสร้างอาคารที่พิพาท อยู่ในเขตพื้นที่สีแดง หมายเลข พ.5-2 (ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม) ซึ่งตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2556 ข้อ 22 วรรคสอง ห้ามใช้ประโยชน์เพื่อการประกอบพาณิชยกรรมที่มีพื้นที่ประกอบการเกิน 10,000 ตารางเมตร เว้นแต่จะตั้งอยู่ริมถนนสาธารณะที่มีขนาดเขตทางไม่น้อยกว่า 16 เมตร หรือตั้งอยู่ภายในระยะ 500 เมตรจากบริเวณโดยรอบสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ดังนั้น การที่ผู้อำนวยการสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร ออกใบอนุญาตให้สำนักงานพระคลังข้างที่ ทำการก่อสร้างอาคารที่พิพาท จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รายละเอียดเพิ่มเติม http://bit.ly/2mS4sWy ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-375282
จำนวนผู้อ่าน: 2021
27 กันยายน 2019
แฟ้มภาพ ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (23/9) ที่ระดับ 30.47/49 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (20/9) ที่ระดับ 30.47/49 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และทางการจีน โดยออกแถลงการณ์เพื่อสรุปผลการเจรจาการคาระดับรัฐมนตรีช่วยของสหรัฐและจีนซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า การเจรจาทั้งสองวันเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ พร้อมกับยืนยันว่าการประชุมเพื่อเจรจาการค้าระดับรัฐมนตรีจะจัดขึ้นในเดือน ต.ค.ที่กรุงวอชิงตัน ตามกำหนดการเดิม นอกจากนี้นายเอริค โรเซนเกรน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาบอสตัน กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐสามารถผ่านพ้นภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และการทำสงครามการค้ากับจีน จึงไม่มีความจำเป็นที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมกล่าวว่าการเพิ่มการผ่อนคลายนโยบายการเงินจะเพิ่มความเสี่ยงจากการที่อัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำจะทำให้ภาคครัวเรือนและบริษัทต่าง ๆ มีการก่อหนี้มากขึ้น ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงแตะระดับที่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.46-30.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 30.48/49 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ตลาดจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.50% ด้วยเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ในการประชุมวันที่ 25 ก.ย. โดยตลาดจะให้ความสนใจกับสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาสสุดท้ายของปี ขณะที่กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกเดือน ส.ค. ลดลง 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดนำเข้าติดลบ 14.62% ทำให้ไทยเกินดุลการค้า 2.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากไม่นับรวมทองคำ การส่งออกจะหดตัวถึง 9.8% ทั้งนี้ในช่วง 8 เดือนแรกของปี ส่งออกลดลง 2.19% ส่วนนำเข้าหดตัว 3.61% สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรในวันนี้ (23/9) ค่าเงินยูโรเปิดตลาดที่ระดับ 1.1020/24 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ปรับตัวอ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (20/9) ที่ระดับ 1.1046/49 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) แบบคอมโพสิตขั้นต้นของบริษัทไอเอชเอส มาร์กิต ลดลงสู่ระดับ 50.4 ในเดือน ก.ย. จาก 51.9 ในเดือน ส.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 51.9 โดยภาคธุรกิจในยูโรโซนยังชะลอตัวในเดือน ก.ย. หลังจากที่นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศมาตรการแบบไม่มีกำหนดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของยูโรโซน ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0967-1.1025 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0972/76 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนในวันนี้ (23/9) ปิดตลาดที่ระดับ 107.72/75 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (20/9) ที่ระดับ 107.91/93 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินเยน แกว่งตัวในกรอบแคบ เนื่องจากตลาดญี่ปุ่นปิดทำการวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง ทั้งนี้ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 107.34-107.76 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 107.38/42 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือน ส.ค. จากเฟดชิคาโก (23/9) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือน ก.ย. จากมาร์กิต (23/9) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือน ก.ย.จากมาร์กิต (23/9) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ย. จาก Conference Board (24/9) ยอดขายบ้านใหม่เดือน ส.ค. (25/9) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐ (26/9) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2562 (26/9) ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน ส.ค. (27/9) การใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือน ส.ค. (27/9) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ย. จากมหาวิทยาลัยมิิชิแกน (27/9) สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประทเศอยู่ที่ -1.7/-1.4 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -1.2/-0.2 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-374197
จำนวนผู้อ่าน: 3295
24 กันยายน 2019
รายงานข่าวจากกลุ่มบริษัทแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า แอร์เอเชียได้เฉลิมฉลองการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนขนส่งผู้โดยสารครบ 600 ล้านคน พร้อมจัดแคมเปญใหญ่ มอบโปรโมชั่น BIG Sale ตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษจำนวน 6 ล้านที่นั่ง โดยสมาชิกแอร์เอเชีย BIG จะได้เพลิดเพลินกับโปรโมชั่นสุดคุ้ม ในราคาสุดพิเศษ รวมเริ่มต้น 100* บาทต่อเที่ยว หรือเดินทางกับแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ในราคารวมเริ่มต้นที่ 2,360* บาท สำหรับเส้นทางระยะไกล เช่น ญี่ปุ่น (โตเกียว โอซาก้า ซัปโปโร นาโกย่าและฟุกุโอกะ) โซลและบริสเบน นอกจากนี้ ในช่วงเวลาโปรโมชั่นที่กำหนด สมาชิกแอร์เอเชีย BIG ยังจะได้รับสิทธิพิเศษส่วนลด 16% สำหรับการเลือกซื้อที่นั่งในขณะที่ทำการจอง ส่วนลดสูงสุด 40% สำหรับการจองห้องพักที่ร่วมรายการ และส่วนลดสูงสุด 60% เมื่อจองแพ็กเกจควบเที่ยวบินพร้อมที่พัก รวมถึงสมาชิกแอร์เอเชีย BIG จะได้รับคะแนน BIG points เพิ่มอีก 600 เมื่อจองกิจกรรม (ยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 200 ริงกิตมาเลเซีย) ทั้งนี้ สามารถจองผ่าน airasia.com หรือแอปพลิเคชั่นมือถือ เพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2562 – 26 กันยายน 2562 โดยสามารถใช้เดินทางได้ในระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ – 15 ธันวาคม 2563 สำหรับสมาชิกแอร์เอเชีย BIG ผู้ใช้งาน BigPay และผู้ถือบัตรเครดิตร่วมแอร์เอเชีย สามารถสำรองที่นั่งได้ก่อนระยะเวลาปกติถึง 24 ชั่วโมง โดยจองได้ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2562 เพียงแค่ลงชื่อเข้าใช้บัญชีสมาชิกแอร์เอเชีย BIG ผ่านเว็บไซด์ airasia.com เพื่อจองที่นั่งได้ในราคาที่ถูกที่สุด นอกจากนี้สมาชิกแอร์เอเชีย BIG ยังสามารถแลกตั๋วที่นั่งได้ เพียงใช้คะแนน BIG Points 500 คะแนน ทางเว็บไซด์ airasiabig.com และโมบายแอปพลิเคชัน AirAsia BIG ส่วนผู้โดยสารที่ต้องการแก้ไขข้อมูลการจอง หรือซื้อบริการเสริมอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น สั่งจองอาหารล่วงหน้าจากเมนู Santan สามารถทำได้ผ่านหน้าเว็บ My Bookings เพียงแค่สามขั้นตอนง่ายๆ ได้แก่ กรอกข้อมูล เลือก และชำระเงิน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-374222
จำนวนผู้อ่าน: 2242
24 กันยายน 2019
นายวรวุฒิ นวสฤษฎ์กุล ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดมหาสารคาม เปิดเผยในการประชุมร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน 7 พรรค ที่เดินทางไปรับฟังปัญหาต่าง ๆ ของประชาชนในจังหวัดมหาสารคามว่า ทางนักธุรกิจภายในจังหวัดต้องการให้ภาคการเมืองช่วยผลักดันปรับแก้ร่างผังเมืองฉบับใหม่ที่กำลังจัดทำ เนื่องจากที่ผ่านมา ที่ดินบริเวณสองฝั่งถนนบายพาสรอบเมืองถูกกำหนดเป็นพื้นที่สีเขียว ซึ่งทางภาคธุรกิจคัดค้านมาโดยตลอด แต่กรมโยธาธิการและผังเมืองไม่เคยรับไปพิจารณาเพราะทางส่วนกลางมองไม่เห็นข้อเท็จจริงของสภาพพื้นที่ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจท้องถิ่น ราคาที่ดินไร่ละประมาณ 3-4 ล้าน แต่พื้นที่สีเขียวสามารถทำนาได้อย่างเดียว และล่าสุดทราบว่าขณะนี้ร่างผังเมืองฉบับใหม่อยู่ในขั้นตอนการเตรียมประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว นอกจากนี้ในเรื่องระบบโลจิสติกส์ต้องการให้พัฒนาทางหลวงเส้นไปทาง อ.พยัคฆภูมิพิสัย ต้องการก่อสร้างเป็นถนน 4 ช่องจราจรตลอดสาย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการคมนาคม การขนส่งสินค้า การท่องเที่ยว เพราะทางหลวงเส้นนี้จะเชื่อมโยงไปยัง จ.บุรีรัมย์ จ.สระแก้ว ไปถึงท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรีได้ ไม่ต้องไปใช้ถนนเส้นมิตรภาพผ่านเข้า จ.นครราชสีมา ขณะเดียวกัน ต้องการให้แก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมที่กำลังประสบกันอยู่ โดยการพัฒนาบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล โดยทางจังหวัดมหาสารคามต้องการให้มีสร้างโครงการแก้มลิง เพื่อรองรับป้องกันน้ำท่วมและใช้ในการเกษตรได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการยกระดับโรงพยาบาลสุทธาเวช ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับความแออัดของคนไข้ภายในจังหวัด ขณะที่บุคลากรทางด้านการแพทย์ และด้านสาธารณสุขภายในจังหวัด มีความพร้อมรองรับอยู่แล้ว เพราะมีวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม คณะพยาบาล มมส เมื่อมีคนไข้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น ท้องถิ่นจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินที่นำมาใช้จ่าย นายวรวุฒิกล่าวต่อไปว่า ต้องการให้สนับสนุนนโยบายเรื่องเมืองสมุนไพร เป็นพืชทางเลือกของจังหวัดมหาสารคาม ให้ผลักดันเมืองมหาสารคามเป็นเมืองนำร่องด้านสมุนไพร การผลักดันการปลูกสมุนไพรครบวงจร สามารถขยายลงสู่ชุมชน สร้างเศรษฐกิจ สร้างรายได้ ให้แก่เกษตรกรที่ปลูกพืชสมุนไพรโดยทำเกษตรอินทรีย์ นอกจากนี้ ให้สนับสนุนการพัฒนาแก่งเลิงจาน เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของมหาสารคาม ในยุคโซเชียลอาจจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ตลอดปี หรือการสร้างมาสคอตให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-374200
จำนวนผู้อ่าน: 3317
24 กันยายน 2019
รอยเตอร์ส รายงานวันนี้ (23 ก.ย.) สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นรายงานว่า พายุไต้ฝุ่น Thapa ที่ถล่มญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้อ่อนกำลังลงจากพายุโซนร้อน เหลือเพียงดีเปรสชั่นแล้ว อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าบ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายมากถึง 57,000 หลังคาเรือนในเกาะคิวชู นอกจากนี้ ยังมีอีกประมาณ 9,200 หลังคาเรือนในจังหวัดยามากูจิ ที่ได้รับความเสียหาย และระบบไฟฟ้าถูกตัดขาดตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าในช่วงดึกของวันนี้น่าจะสามารถกลับมาใช้ได้เหมือนกัน ทั้งนี้ สายการบินในญี่ปุ่นขณะนี้สามารถกลับมาให้บริการได้ตามปกติ หลังจากที่เมื่อวานนี้ (22 ก.ย.) ทางการญี่ปุ่นประกาศสั่งให้งดการบริการเที่ยวบินกว่า 900 เที่ยวชั่วคราว เพราะพายุยังรุนแรงและทำให้มีฝนตกอย่างหนัก ขณะที่มีรายงานว่าพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศเกาหลีใต้ ได้รับอิมธิพลจากพายุลูกดังกล่าวด้วย ซึ่งทำให้มีฝนตกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ทั้งนี้เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติเกาหลีใต้ ประกาศให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มความระมัดระวัง โดยคาดว่าพายุ Thapa จะยังคงมีอิทธิพลไปจนถึงพรุ่งนี้ (24 ก.ย.) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-374235
จำนวนผู้อ่าน: 2079
24 กันยายน 2019
รายงานข่าวจากโครงการกลุ่ม แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ได้ให้การสนับสนุนสถานที่จัดงานนันทนาการเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ASEAN+6 Recreation Festival 2019 : Hobby Cook Recreation Activity ซึ่งจัดโดยกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยงานดังกล่าวได้รับเกียรติจากนายสันติ ป่าหวาย อธิบดีกรมพลศึกษา เป็นประธานในพิธีเปิดครั้งนี้ โดยมุ่งสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะที่ไทยได้รับมอบตำแหน่งประธานอาเซียน สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) จัดงานในรูปแบบ “นิทรรศการนันทนาการอาเซียน+6” ภายใต้แนวคิด “เมนูสร้างสรรค์กับงานอดิเรก” รายงานข่าวกล่าวด้วยว่า การจัดงานในปีนี้ มุ่งหวังให้ผู้ที่เข้าร่วมงานได้รับความรู้ ความสุข สนุกสนาน และประสบการณ์ด้านงานอดิเรก ซึ่งเป็น 1 ในนันทนาการ 11 ประเภทของกรมพลศึกษา จากตัวแทนด้านนันทนาการจากประเทศอาเซียน+6 ทั้ง 16 ประเทศเครือข่ายนันทนาการกรมพลศึกษา ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-374228
จำนวนผู้อ่าน: 2126
24 กันยายน 2019
“เอไอเอ ประเทศไทย” ได้ฤกษ์เปิดตัวโครงการ #OneMoreHour ส่งเสริมให้คนนอนหลับอย่างเพียงพอและมีคุณภาพ เพื่อจัดการกับปัญหาการนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นวิกฤตสุขภาพในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทย โดยผลวิจัยระบุว่า ประชากรในเอเชียกว่า 10% มีอาการป่วยที่เกี่ยวเนื่องกับการนอนหลับ และมีรายงานว่าการนอนหลับเป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งในประเทศจีน อินโดนีเซีย และไทย ซึ่งเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เอไอเอได้ทำการสำรวจผู้คน 5 ประเทศในเอเชียจากประเทศ “จีน-ฮ่องกง-ไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์” พบว่า 61% นอนหลับเพียงคืนละ 6 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น 55% กล่าวว่าพวกเขากังวลว่าจะนอนหลับไม่เพียงพอ หรือต้องการมีเวลานอนมากขึ้น 23% รู้สึกไม่พอใจในคุณภาพการนอนหลับของตัวเอง 73% เห็นด้วยว่าการนอนหลับเพิ่มอีกหนึ่งชั่วโมงจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นและกระปรี้กระเปร่าขึ้น นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันการนอนหลับไม่เพียงพอนับเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงและทวีความรุนแรงมากขึ้นในเอเชีย และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อไม่ร้ายแรง (NCD) โดยองค์การอนามัยโลก ระบุว่าการนอนหลับไม่เพียงพอนั้นเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญติดอันดับ 1 ใน 5 ของเอเชีย มีข้อมูลชี้ชัดว่าคนเอเชียนอนน้อยกว่าคนในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก “เอไอเอ ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไม่สามารถมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นได้ จึงได้ริเริ่มโครงการ #OneMoreHour เพื่อกระตุ้นให้คนตระหนักถึงความสำคัญของการนอนหลับอย่างเพียงพอและมีคุณภาพ รวมถึงทำให้คนรับรู้ว่าการนอนหลับเพิ่มอีกเพียงแค่วันละ 1 ชั่วโมงมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต สภาวะอารมณ์ และสุขภาพด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มระดับพลังงาน ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ทำให้มีความจำที่ดีขึ้น และลดความเครียด ทั้งนี้บริษัทจะยังคงใช้ เอไอเอ ไวทัลลิตี้ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้คนปรับพฤติกรรมการนอนหลับให้มีคุณภาพมากขึ้น” นายเอกรัตน์ กล่าว สำหรับโครงการ #OneMoreHour เอไอเอได้ร่วมมือกับศาสตราจารย์ไมเคิล ฉี ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในเอเชีย จาก Duke-NUS Medical School ในสิงคโปร์ ในการพัฒนาเนื้อหา ความรู้เกี่ยวกับการนอนหลับ รวมถึงประโยชน์ของการนอนหลับอย่างเพียงพอ และคำแนะนำ เพื่อให้คนนอนหลับได้ยาวนานขึ้นและมีคุณภาพมากขึ้น โดยเราจะสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ แก่ลูกค้า และประชาชนทั่วไปในช่องทางต่าง ๆ นอกจากนี้ เราได้รวบรวมข้อมูล ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการนอนหลับนี้บนเว็บไซต์ของเอไอเอ ไวทัลลิตี้ พร้อมกับเคล็ดลับการนอนหลับอย่างมีคุณภาพจากหลากหลายคนดัง ทั้ง เดวิด แบ็คแฮม AIA Global Ambassador นักเตะจากทีมสเปอร์ส และ เจเรมี แปง เชฟชื่อดังจากอังกฤษ อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการส่งเสริมให้สมาชิกเอไอเอ ไวทัลลิตี้ มีสุขนิสัยที่ดี ทั้งในด้านการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการนอนหลับ ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแอปพลิเคชันของเอไอเอ ไวทัลลิตี้ ซึ่งจะทำให้สมาชิกสามารถประเมินการนอนหลับ และติดตามการนอนหลับของตัวเองได้ตลอดเวลาผ่านแอปพลิเคชันเอไอเอ ไวทัลลิตี้ โดยเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ sleep tracker รวมทั้งสมาชิกยังจะได้รับคะแนนเอไอเอ ไวทัลลิตี้ จากการนอนหลับเป็นรางวัลอีกด้วย หรือประมาณ 5 คะแนนต่อวัน โดยคาดว่าจะเริ่มให้ใช้บริการได้ช่วงประมาณไตรมาส 4 ปีนี้ ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทยังได้เปิดตัว 5 สิทธิประโยชน์ใหม่ของเอไอเอ ไวทัลลิตี้ที่จะช่วยสนับสนุนให้สมาชิกมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ได้แก่ – การตรวจสุขภาพเบื้องต้นฟรี ที่ร้านบู๊ทส์ – แพ็กเกจตรวจสุขภาพราคาพิเศษ ที่โรงพยาบาลชั้นนำกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ – ส่วนลด On Top จากส่วนลดของสตูดิโอ Absolute You – 3 แพ็กเกจจาก Fitness First ที่พร้อมตอบทุกโจทย์ไลฟ์สไตล์ – ส่วนลดที่พัก Hotels.com (พันธมิตรใหม่ล่าสุด) “เรายังได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันเอไอเอ ไวทัลลิตี้ใหม่ ที่จะมาพร้อมกับกิจกรรมสะสมคะแนนใหม่ๆ ที่จะช่วยให้สมาชิกดูแลสุขภาพได้รอบด้านยิ่งขึ้น และยังสามารถสะสมคะแนนเพื่อเลื่อนสู่สถานะโกลด์และแพลทตินัมได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น การเพิ่มแบบประเมินสุขภาพออนไลน์จาก 4 แบบประเมิน เป็น 6 แบบประเมิน การเพิ่มการตรวจสายตา เพราะคนไทยใช้สายตากับจอมือถือเยอะมาก การมอบคะแนนให้ เมื่อสมาชิกบริจาคโลหิต และที่สำคัญมีการให้คะแนนจากการนอนหลับกว่า 2,000 คะแนน ซึ่งนอกจากสิทธิประโยชน์ใหม่ แอปใหม่ และการสะสมคะแนนใหม่ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด เอไอเอ ไวทัลลิตี้ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการ ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้การดูแลสุขภาพของคนไทย เป็นเรื่องง่าย สะดวก และสนุกยิ่งขึ้น” นายเอกรัตน์ กล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-374277
จำนวนผู้อ่าน: 2243
24 กันยายน 2019
ปิดดีล! โกลบอล แคปปิตอล กรุ๊ป คว้า อาร์เซนอล เป็นพันธมิตรระดับโลก ด้าน “จีเคเอฟเอ็กซ์ไพรม์ ประเทศไทย” เล็งต่อยอดความร่วมมือสู่ประเทศไทย โกลบอล แคปปิตอล กรุ๊ป (Global Kapital Group) กลุ่มบริษัทชั้นนำระดับโลก ด้านเทคโนโลยีการเงิน การลงทุนและการธนาคาร ที่นำหน้าด้วยนวัตกรรมและความเชื่อถือได้ ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว หลังคว้าทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียงระดับโลกกับตำนานพรีเมียร์ลีกอย่าง อย่าง สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล (Arsenal Football Club) มาเป็นพันธมิตร ในสัญญาความร่วมมือเป็นระยะเวลานาน 3 ปี มร.ทู้งช์ อาคยู้ทช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โกลบอล แคปปิตอล กรุ๊ป (Global Kapital Group) กล่าวว่า “เราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก โดยความร่วมมือครั้งนี้ เรามุ่งหวังที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นและยั่งยืนกับทั้งอาร์เซนอลและผู้สนับสนุนนับล้านทั่วโลก อาร์เซนอลคือตัวแทนของความเป็นผู้นำ ที่สร้างแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จให้กับเรา ซึ่งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันกับโกลบอล แคปปิตอล กรุ๊ป ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำงานร่วมกัน เพื่อไปสู่ความสำเร็จใหม่ๆ และสร้างประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำเดิม แก่ลูกค้าและผู้สนับสนุนทั่วโลก ในข้อตกลงการเป็นพันธมิตรระดับโลกครั้งนี้ จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์การเติบโตของโกลบอล แคปปิตอล กรุ๊ป ทั่วโลก และช่วยสนับสนุนให้เราก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบริการทางการเงินของโลก” โกลบอล แคปปิตอล กรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีการเงิน การลงทุนและการธนาคาร มีแบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรมการเงินและการลงทุนอยู่ทั่วโลก เช่น GKFX, GKFX Prime, GK Pro และ GK Invest มีความเชี่ยวชาญในการเป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์และการเงิน สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคดิจิทัล ธนาคารเพื่อการธนาคารดิจิทัลและบริการการชำระเงิน โดยมีการดำเนินงานใน 18 ประเทศและ 28 สำนักงาน เพื่อให้บริการลูกค้า โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เช่นเดียวกับสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ที่กำเนิดจากย่านฮอลโลเวย์ ในกรุงลอนดอน เป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ ครองแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 13 ครั้งและเอฟเอคัพ 13 ครั้ง โกลบอล แคปปิตอล กรุ๊ป ได้ขยายธุรกิจแพลตฟอร์มการลงทุน ภายใต้แบรนด์ จีเคเอฟเอ็กซ์ ไพร์ม (GKFX Prime) มายังประเทศไทย เพื่อให้นักลงทุนไทยได้ขยายการลงทุนไปสู่โอกาสใหม่ๆ ทั่วโลก ได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้ว ผ่านเทคโนโลยีด้านการเงิน (FinTech : Financial Technology) ที่ล้ำสมัย นางสาวอนามิกา สินธนนพคุณ ผู้อำนวยการส่วนภูมิภาค จีเคเอฟเอ็กซ์ ไพร์ม (GKFX Prime) กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ โดยเฉพาะสำหรับแฟนๆ อาร์เซนอลในเมืองไทย โดยทางจีเคเอฟเอ็กซ์ ไพร์ม วางแผนจัดกิจกรรมร่วมกับทางสโมสรอาร์เซนอลตลอด 3 ปีนับจากนี้ ทั้งกิจกรรมสร้างประโยชนต่อสังคม กิจกรรมส่งเสริมการตลาด และกิจกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักลงทุน ซึ่งเรามองว่าทั้งในโลกการแข่งขันฟุตบอลและโลกการลงทุน ก็ล้วนแต่ต้องมีการตั้งเป้าหมาย ทุ่มเทความพยายาม เพื่อคว้าความสำเร็จ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับนักลงทุนชาวไทย ในการตั้งเป้าหมายของชีวิต โดยใช้การลงทุนเป็นส่วนในการขับเคลื่อนตนเองไปสู่ชัยชนะ โดยไม่หยุดที่จะเรียนรู้และทุ่มเท เพื่อพัฒนาตนเอง เหมือนกับนักฟุตบอลที่ต้องฝึกซ้อมอยู่เสมอ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-374286
จำนวนผู้อ่าน: 2304
24 กันยายน 2019
แฟ้มภาพ ครบโควตา 1 ล้านรายแล้ว!! ลงทะเบียน “ชิมช้อปใช้” วันแรก เมื่อเวลา 13.43 น. “กรุงไทย” ยันระบบลงทะเบียน “ชิมช้อปใช้” ไม่ล่ม ชี้แค่หน่วง ๆเหตุคนเข้าใช้งานมาก เร่งขยายระบบรับมืออีก 9 ล้านคน นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ชิม ช้อป ใช้ ในวันแรกตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 23 กันยายน 2562 ที่ผ่านมานั้น ธนาคารขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจอย่างล้นหลาม เกินความคาดหมาย และขอยืนยันว่า ระบบไม่ได้ล่ม แต่เนื่องจาก มีคนเข้ามาลงทะเบียนพร้อมกันจำนวนมาก ทำให้ระบบหน่วงเป็นช่วงๆ จึงอาจต้องใช้เวลาในการรอลงทะเบียน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีการใช้งานจำนวนมากๆ ในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญระบบของธนาคารต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ เนื่องจากการลงทะเบียนในครั้งนี้ จะมีการโอนเงินให้กับประชาชน ดังนั้นจึงให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้ อีกทั้งธนาคารคำนึงถึงเรื่องความมั่นนคง ปลอดภัยสูงสุด รวมถึงความถูกต้อง เป็นธรรม โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดย ณ เวลา 13.43 น. ของวันที่ 23 กันยายน 2562 มีคนลงทะเบียนสำเร็จแล้ว จำนวน 1 ล้านคน “ธนาคารได้มีการเฝ้าระวังการลงทะเบียนตลอดเวลา ทันทีที่ทราบว่าประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการเข้าลงทะเบียนและเกิดความล่าช้านั้น ธนาคารเร่งขยาย Bandwidth ของช่องทางลงทะเบียนเพิ่มอีก 100% และปรับปรุงประสิทธิภาพของ Website เพื่อให้เกิดความรวดเร็วโดยทันที รวมทั้งมีความปลอดภัยและสามารถตรวจสอบได้ และยังคงมีความมั่นใจในเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) จากกรณีที่หน้าจอแจ้งว่า ลงทะเบียนครบ 1 ล้านสิทธิ์หลังเปิดให้ลงทะเบียนเพียง 6 นาที ธนาคารทราบถึงสาเหตุของเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ของระบบประมวลผลแสดงค่าอัตโนมัติผิดพลาด ซึ่งธนาคารได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในทันทีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” นายผยงกล่าว นายผยง กล่าวด้วยว่า มาตรการดังกล่าวกำหนดให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์จำนวน 10 ล้านคน โดยให้ลงทะเบียนได้วันละ 1 ล้านคน ดังนั้นประชาชนสามารถทยอยลงทะเบียนได้ทุกวันที่ www.ชิมช้อปใช้.com ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-374055
จำนวนผู้อ่าน: 2051
24 กันยายน 2019
ศึก ทอท.-เซ็นทรัล วิลเลจยังไม่จบ ลุยต่อยกสอง ทอท.ส่งข้อมูลด้านความปลอดภัยการบินระดับสากล จับตาผลตรวจสอบ TSA-EASA-ICAO เตรียมอุทธรณ์ต่อศาลปกครองป้องสิทธิองค์กร กพท.ยันไม่กระทบแนวขึ้นลง เคาะแล้ว “ธนารักษ์” เป็นเจ้าของถนน 370 หากขึ้นโปรเจ็กต์ใหม่ต้องจ่ายค่าเชื่อมทาง แหล่งข่าวในธุรกิจการบินรายหนึ่ง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากข้อพิพาทระหว่าง บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กับเซ็นทรัล วิลเลจ โครงการลักเซอรี่เอาต์เลตของ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวนั้น ล่าสุด ทอท.ได้รายงานข้อมูลปัญหาต่าง ๆ ไปยังหน่วยงานที่ดูแลความปลอดภัยด้านการบินให้ตรวจสอบในหลาย ๆ ประเด็น อาทิ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งสหภาพยุโรป หรือเอียซ่า (EASA), Transportation Security Administration (TSA) หน่วยงานด้านความปลอดภัยการเดินอากาศของสหรัฐอเมริกา, องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAATเนื่องจาก ทอท.ยังมีข้อสงสัยและห่วงเรื่องความปลอดภัยทางการบินที่อาจส่งผลกระทบต่อมาตรฐานการบินของไทย อาจนำมาซึ่งปัญหาธงแดง กระทบอุตสาหกรรมการบินของประเทศ “หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด จะเป็นปัญหาที่ไม่สามารถเยียวยาได้ ยากที่จะตีเป็นมูลค่าความเสียหาย ที่สำคัญรายงานของ TSA เมื่อเดือนสิงหาคม เป็นช่วงที่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้เปิดให้บริการ จึงไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ที่ตั้งโครงการนั้นเป็นจุดเสี่ยงต่อความปลอดภัยทางด้านการบินหรือไม่ แต่ กพท.ระบุว่า ประเด็นนี้ทาง TSA ให้ข้อมูลว่าเป็นความเสี่ยงในระดับต่ำ จึงไม่มีผลใด ๆ” แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ประเด็นที่น่าสนใจขณะนี้คือ หลังจากที่ TSA เก็บข้อมูลทำรายงานฉบับเต็ม จะส่งกลับมาอีกครั้งปลายเดือนกันยายน หรือต้นเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่เอียซ่าหรือไอเคโอก็มีรอบการตรวจสอบไว้เช่นกัน จึงน่าจับตาในยกที่สองผลจะออกมาอย่างไร ทอท.ห่วงความปลอดภัย ด้าน นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ทอท. กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทอท.กังวลมากที่สุดตั้งแต่แรกคือเรื่องความปลอดภัยด้านการบิน แม้โครงการดังกล่าวจะขออนุญาตก่อสร้างถูกต้องตาม พ.ร.บ.ผังเมือง แต่โครงการนี้อยู่ในพื้นที่ใกล้หัวรันเวย์ระยะทางแค่ 1.8 กม.เท่านั้น ขณะที่เขตรัศมีความปลอดภัยตามหลักสากลระบุว่า กิจการหรืออาคารสูงควรอยู่ห่างจากรัศมีหัว-ท้ายรันเวย์ไม่น้อยกว่า 15 กม. ห่างจากรัศมีซ้าย-ขวาของรันเวย์ไม่ต่ำกว่า 8 กม. และตั้งแต่ 27 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป จนถึงปลายเดือนมีนาคม 2563 ตารางการบินจะปรับสู่ตารางการบินฤดูหนาวที่ส่งผลต่อการขึ้นลงของเครื่องบิน การเปลี่ยนเส้นทางขึ้นลงจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแน่นอน “ปัจจุบันนี้เราบินในตารางบินฤดูร้อน เครื่องจะร่อนลงฝั่งมอเตอร์เวย์ และขึ้นฝั่งเซ็นทรัล วิลเลจ แต่ถ้าเข้าสู่ตารางบินฤดูหนาวเครื่องจะเปลี่ยนมาขึ้นทางมอเตอร์เวย์ แล้วร่อนลงทางเซ็นทรัล วิลเลจ ประเด็นใหญ่คือเครื่องบินขนาดใหญ่ต้องลดระดับการบินและร่อนลงหัวรันเวย์ ซึ่งห่างจากเซ็นทรัล วิลเลจไม่ถึง 2 กม. ซึ่งแสง เสียง นกบินอาจส่งผลกระทบมาก” นายนิตินัยกล่าว แต่ ทอท.ไม่ได้มีบทบาทดูเรื่องความปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ทำได้เพียงรายงานถึงปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ส่วนบทบาทด้านความปลอดภัยนั้น เป็นหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแล (regulator) หากนักบินพบปัญหา หรือความผิดปกติก็จะรายงาน AIP Thailand (Aeronautical Information Publication) จากนั้น ICAO, TSA จะทำหน้าที่ตรวจสอบตามรายงานของนักบิน “การรายงานข้อสงสัยได้ถูกรายงานเป็นทอด ๆ ฉะนั้นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจะเป็นข้อสงสัยในระดับสากลต่อไป” สิ่งที่ ทอท.กังวลคือ ปัญหาความผิดปกติในพื้นที่รัศมีความปลอดภัยทางการบินนี้จะไปอยู่ในรายการ AIP Thailand ของนักบินและไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะถ้าเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถเยียวยาได้ แต่ถ้าหน่วยงานที่รับผิดชอบชี้ขาดว่าปลอดภัย ทอท.ก็พร้อมบริหารงานต่อไป และอยู่ระหว่างเตรียมเอกสารเพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสิ้นเดือนนี้ หรือภายใน 30 วันนับจากวันที่ศาลมีคำสั่งเมื่อ 6 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อรายงานเหตุผลที่ ทอท.ดำเนินการไปช่วงก่อนนี้ ยันไม่กระทบแนวขึ้นลง นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการ กพท.กล่าวยืนยันกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ไม่มีผลกระทบต่อมาตรฐานความปลอดภัยทางการบิน เพราะได้ตรวจสอบระยะแนวร่อนขึ้นลงของเครื่องบินขนาดใหญ่ ซึ่งสูงห่างจากเซ็นทรัล วิลเลจ 1.8 กม. แม้ปลายปีนี้จะมีเที่ยวบินมาจากด้านใต้ของสนามบินเป็นจำนวนมากก็ไม่มีผลกระทบที่ ทอท.จะนำหน่วยงานต่างประเทศมาตรวจสอบเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ไม่มีผลต่อการตรวจสอบของ ICAO ที่ดูมาตรฐานโดยรวมทั้งหมด ไม่เฉพาะเจาะจงแค่เซ็นทรัล วิลเลจอย่างเดียว “ตอนนี้รอเซ็นทรัลส่งรายงานอีเวนต์และมาตรการป้องกัน เช่น กิจกรรมดึงดูดนก แสงไฟที่ส่งผลต่อนักบิน โดยให้เวลา 60 วันจาก 6 กันยายนที่ผ่านมา และ กพท.กำลังร่างประกาศเพิ่มตามมาตรา 59/2 (4) พ.ร.บ.ทางเดินอากาศ 2562 ที่ปรับปรุงใหม่” นายสมนึก รงค์ทอง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เปิดเผยว่า เคยบินทดสอบตามแนวร่อนขึ้นลงเครื่องบินด้านทิศใต้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ระดับความสูงของอาคารเซ็นทรัล วิลเลจไม่มีผลกระทบต่อการเดินอากาศลงสู่สนามบิน ยกเว้นกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นภายหลัง “การขึ้นลงเครื่องบินที่สุวรรณภูมิเป็นไปตามทิศทางลม ส่วนใหญ่จะร่อนลงทิศเหนือเป็นหลัก 11 เดือน ลงด้านใต้ 1 เดือน ส่วนด้านใต้ที่ใช้บินขึ้นอาจมีเสียงค่อนข้างดัง” นายอภิชาติ จันทรทรัพย์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะทำงานแก้ปัญหาข้อพิพาททางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 สายทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระหว่าง ทอท.กับเซ็นทรัล วิลเวล ได้ข้อสรุปว่า ถนนดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมธนารักษ์ โดยให้กรมทางหลวงและกรมท่าอากาศยาน (ทย.) เป็นผู้ใช้พื้นที่ร่วมกัน ดังนั้นเซ็นทรัล วิลเลจจะต้องขออนุญาตเชื่อมทางเข้าออกโครงการใหม่กับกรมธนารักษ์ ซึ่งกรมจะคิดค่าเชื่อม จากเดิม ทล.ให้เชื่อมฟรี รายงานข่าวจาก บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา ชี้แจงกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้บริษัทปฏิบัติตามกฎข้อบังคับต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และพร้อมจะให้ความร่วมมือทุกฝ่าย ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่า การเปิดดำเนินการจะกระทบต่อความปลอดภัยทางการบินนั้น ทั้งการจัดอีเวนต์ การใช้แสง รูปแบบอาคาร ฯลฯ ที่ผ่านมาบริษัทได้แก้ไขทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับแล้ว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-373864
จำนวนผู้อ่าน: 1975
24 กันยายน 2019
ธุรกิจร้านอาหารแข่งเดือด จับกระแสค่ายยักษ์สบช่องกินรวบซื้อกิจการรายเล็กหวังต่อยอด เพิ่มพอร์ต-รายได้ จับตาเศรษฐกิจขาลง-กำลังซื้อฝืด ธุรกิจร้านอาหารกระทบหนักยอดขายร่วงระนาว โดยเฉพาะสาขาต่างจังหวัด ด้าน “เอ็มเคสุกี้” กำเงินลุยซื้อเพิ่มกิจการ “ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ” หลังปิดดีลแหลมเจริญซีฟู้ด ยังคงเป็นปรากฏการณ์ที่สวนกระแสเศรษฐกิจและการลงทุนที่หลาย ๆ คนจับตา สำหรับธุรกิจร้านอาหาร นอกจากจะยังคงมีแบรนด์ร้านอาหารใหม่ ๆ ที่ยังดาหน้าเข้ามาเปิดอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน อีกด้านหนึ่งก็มีความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่รุกคืบเข้าไปซื้อกิจการรายเล็ก ที่มีให้เห็นเป็นระยะ ๆ ล่าสุด มีดีลใหญ่ที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการร้านอาหาร กรณีเอ็มเคสุกี้ ทุ่มงบฯ 2,060 ล้านบาท ซื้อกิจการแหลมเจริญ ซีฟู้ด เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีดีลการซื้อขายกิจการร้านอาหารขนาดเล็กตามมาอีกเมื่อช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา เช่น กรณีของบริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ที่ได้ทุ่มงบฯกว่า 110 ล้านบาท เข้าถือหุ้น10%ของบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง ในเครือ “ใบหยก” เจ้าของสัญญาแฟรนไชส์หลัก ร้านคาเฟ่และขนมหวาน GRAM และ PABLO จากประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ ปัจจุบันวีรันดา มีแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่ม อาทิ “Skoop” และ “KOF” หลังจากการซื้อกิจการดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทมีอำนาจการต่อรองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการหาพื้นที่ขยายสาขา การทำโปรโมชั่นควบคู่กับแบรนด์อื่น ตลอดจนการขายในช่องทางออนไลน์ และดีลิเวอรี่ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการ และเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น พร้อมเตรียมขยายสาขา GRAM เป็น 7-8 สาขา ในปี 2563 จากปัจจุบันมี 4 สาขา อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน สามเสน และเซ็นทรัลลาดพร้าว ส่วน PABLO มีสาขาที่สยามพารากอน และล่าสุดที่สนามบินนานาชาติดอนเมือง ดีลร้านเกาหลีคึก ส่วนอีกดีลหนึ่งปิดดีลกันไปตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา คือ กรณีของฟู้ดแพสชั่น เจ้าของร้านอาหาร บาร์บีคิว พลาซ่า, สเปรด คิว, จุ่ม แซ่บ ฮัท ที่เข้าซื้อกิจการ “เรดซัน” ร้านอาหารสไตล์เกาหลี เพื่อเพิ่มพอร์ตโฟลิโอ ล่าสุด เรดซัน ได้เริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด ด้วยการรีแบรนด์ใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนโลโก้ อุปกรณ์ภายในร้าน และเมนูใหม่ ในคอนเซ็ปต์ “Korean with a Twist” เพื่อรองรับธุรกิจร้านอาหารเกาหลีที่มีแนวโน้มการเติบโต 4-5% ต่อปี หรือมีมูลค่า 2,000 ล้านบาท จากนี้ไป เรดซัน มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่ม 2 สาขา ได้แก่ เดอะมอลล์งามวงศ์วาน และเซ็นทรัลลาดพร้าว พร้อมกับรีโนเวตสาขาเดิมที่มีอยู่ 13 สาขา ให้ทันสมัย เพื่อให้สอดรับความต้องการของผู้บริโภค โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดร้านอาหารเกาหลีเป็น 10 % จากปัจจุบันมี 5%และเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา “ซีพีเอฟ” หรือบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ก็ได้ใช้บริษัทในเครือ ใช้เงิน 55 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นบริษัท ดัคกาลบี้ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของร้านอาหาร Dak Galbi ร้านอาหารเกาหลีแบบผัดร้อน (Real Time Cooking) ซึ่งเข้ามาทำตลาดในไทย 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยมีสาขาอยู่ 10 แห่ง แม็กเนตสำคัญค้าปลีก แหล่งข่าวในวงการค้าปลีก กล่าวว่า ที่ผ่านมาเทรนด์การกินอาหารนอกบ้าน (eat-out) ได้รับความนิยมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ร้านอาหารกลายเป็นแม่เหล็กสำคัญในศูนย์การค้า และค้าปลีกในรูปแบบต่าง ๆ ขณะที่ตัวดีพาร์ตเมนต์สโตร์ สินค้าแฟชั่น และร้านค้า ที่เคยเป็นแม่เหล็กสำคัญถูก “ดิสรัปต์” จากช็อปปิ้งออนไลน์ นอกจากนี้กระแสฟู้ดดีลิเวอรี่ที่ได้รับแรงหนุนจากยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ อาทิ แกร็บ ไลน์แมน ฟู้ดแพนด้า ฯลฯ ทำให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตขึ้นอย่างมาก “ในบ้านเรายักษ์ใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจร้านอาหารเป็นพิเศษมีหลายกลุ่ม แต่ที่มีเงินทุนมาก ๆ และพร้อมจะซื้อกิจการที่มีอนาคต อาทิ ไมเนอร์ เซ็นทรัล รวมถึงกลุ่มไทยเบฟฯ ที่ขยายธุรกิจผ่านบริษัทในเครือต่าง ๆ ล่าสุดคือ การซื้อสิทธิ์การดำเนินธุรกิจร้านกาแฟสตาร์บัคส์” นักพัฒนาพื้นที่ค้าปลีกรายหนึ่ง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันการแข่งขันของร้านอาหาร โดยเฉพาะที่เปิดสาขาในศูนย์การค้าใหญ่ ๆ รวมทั้งรีเทลต่าง ๆ มีการแข่งขันที่สูงมาก บางแห่งมีร้านญี่ปุ่น หรือเกาหลีชนกันเป็นสิบ ๆ ร้าน ทำให้โซนร้านอาหารมีพื้นที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ ทำให้คนที่สายป่านไม่ยาวจริงอยู่ได้ยาก จะเห็นว่าร้านต่าง ๆ จะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตากันบ่อยมาก “ศูนย์การค้าหลาย ๆ แห่งยอดขายจะดีเฉพาะช่วงเย็น และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ส่วนตอนกลางวันของวันทำงานบรรยากาศจะไม่ค่อยคึกคัก” ขณะที่แมคโดนัลด์ ฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง รายงานข่าวระบุว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารให้ความสำคัญกับการขยายสาขาเป็นพิเศษ รวมถึงมอนิเตอร์ผลกำไรเป็นรายสาขา ถ้าเป็นพื้นที่เช่า หากไม่เป็นไปตามเป้าจะปิดสาขานั้น เช่นเดียวกับการขยายสาขาแบบไดรฟ์ทรูจะถี่ถ้วนเป็นพิเศษ หลังจากพบว่าบางเส้นทาง เปิดสาขาใกล้กันเกินไป เปิดสาขาใหม่ดันยอด รายงานข่าวจากบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ยุทธศาสตร์ของเอ็มเคฯ นอกจากการเดินหน้าในการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะเอ็มเคสุกี้ ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิแล้ว บริษัทยังมีแผนจะลงทุนร้านอาหารและเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตของบริษัท นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าซื้อกิจการที่ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ที่มีขนาดรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% โดยใช้งบฯลงทุนไม่เกิน 5 พันล้านบาท จากปัจจุบันที่มีเงินอยู่ในมือเกือบ ๆ 1 หมื่นล้านบาท ล่าสุด ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เอ็มเคฯ ได้ทุ่มเงินกว่า 2 พันล้านบาท เข้าซื้อกิจการของแหลมเจริญ ซีฟู้ด เพื่อเข้ามาเสริมพอร์ต และยังมีกระแสเงินสดเหลือในมืออีก 7 พันกว่าล้านบาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันแหลมเจริญ ซีฟู้ด มี 27 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด หลังจบดีลนี้ แหลมเจริญ ซีฟู้ด จะมีฐานะเป็นแบรนด์ที่ 10 ภายใต้ร่มธงของเอ็มเคสุกี้ จากปัจจุบันมี 9 แบรนด์ 688 สาขา ประกอบด้วย ร้านสุกี้เอ็มเค, ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ, มิยาซากิ, ฮากาตะ, ร้านอาหารไทย เลอสยาม, ณ สยาม, ร้านข้าวกล่อง บิซซี่บ็อกซ์ ร้านกาแฟ/เบเกอรี่ เลอเพอทิท และร้านขนมหวานเอ็มเค ฮาร์เวสต์ แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการร้านอาหารรายใหญ่ แสดงความเห็นเรื่องนี้กับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรณีนี้น่าจะวิน-วิน ทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะในแง่ของการทำตลาด และการบริหารจัดการ สำหรับเอ็มเคฯ จะได้แบรนด์ใหม่และจำนวนสาขาที่เข้ามาเพิ่มในพอร์ตฯ ส่วนแหลมเจริญ ซีฟู้ด ก็จะสามารถลดต้นทุน เพิ่มอัตรากำไร และขีดความสามารถในการแข่งขันได้ ตลอดจนอำนาจการต่อรองการซื้อวัตถุดิบ ค่าเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้า ที่สำคัญ สิ่งที่แหลมเจริญ ซีฟู้ด จะได้จากเอ็มเคฯ คือ โนว์ฮาวในการบริหารการจัดการ ศก.ไม่ดีร้านอาหารโตน้อย แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการร้านอาหาร กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ สถานการณ์ร้านอาหารยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อค่อนข้างมาก หากสังเกตจะเห็นได้ผลการดำเนินงานของร้านอาหารที่เป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่มีปัญหารายได้เติบโตน้อยมาก และด้วยเศรษฐกิจและการบริโภคที่ชะลอตัวส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารแทบทุกประเภทมียอดขายต่อร้านที่ลดลง โดยเฉพาะสาขาในต่างจังหวัด ส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะมาจากการเปิดใหม่ และจากการที่ตลาดร้านอาหารมีการแข่งขันที่สูงจึงทำให้ทุกค่ายต้องหาโปรโมชั่นราคาในรูปแบบต่าง ๆ ออกมาจูงใจกันเป็นระยะ ๆ “ที่เป็นปัญหาอย่างหนึ่งของร้านอาหารที่เปิดในห้างหรือศูนย์การค้าก็คือ ค่าเช่าพื้นที่ ที่เป็นฟิกซ์คอสต์ ดังนั้น หากเป็นรายเล็กก็อาจจะเหนื่อยหน่อย” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-373867
จำนวนผู้อ่าน: 2057
24 กันยายน 2019
รัฐบาลตื่นปรากฏการณ์ “ทุนจีน” พาเหรดซื้อมหา”ลัยเอกชนแบบคุมเบ็ดเสร็จ “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมว.กระทรวงการอุดมศึกษาฯ เรียกประชุมด่วน ! “สมาคมอุดมศึกษาเอกชน-กระทรวงพาณิชย์-ต่างประเทศ” ประเดิมตั้ง “คณะกรรมการพิเศษ” ตรวจสอบผลกระทบ พร้อมนโยบายยกเครื่องมหา”ลัยไทย ตั้งรับทัพนักศึกษาจีน หน่วยงานเกี่ยวข้องสะท้อนปัญหาคุณภาพ “หลักสูตร-ผู้สอน” ทั้งเรื่องกฎหมายกำกับดูแลธุรกิจการศึกษาไทยที่ไม่สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า จากกระแสการคืบคลานของนักลงทุนจีนที่เข้ามามีบทบาทในธุรกิจการศึกษาไทยชัดเจนมากขึ้น ตั้งแต่ช่วงปี 2561 ที่มีกลุ่มทุนจีนเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ “มหาวิทยาลัยเกริก” คือ นายหวัง ฉางหมิง กับบริษัท หมิงจัง อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่น จำกัด และในปี 2562 พบว่ามีกลุ่มทุนจีนได้เข้ามาไล่ซื้อมหาวิทยาลัยเอกชนในประเทศไทยอีกหลายแห่ง และที่มีการเปิดเผยออกมาแล้วก็คือ “มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด” โดยบริษัท ไชน่า หยู่ฮว๋า เอ็ดดูเคชั่น อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด (China YuHua Education Invesment Limited) ที่เข้ามาถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมเป็นสัดส่วนราว 49% และยังมีมหาวิทยาลัยเอกชนที่อยู่ในระหว่างเจรจาซื้อขายกิจการอีก 3-4 แห่ง เนื่องจากธุรกิจการศึกษาของไทยอยู่ในภาวะวิกฤต ที่ต้องเผชิญกับปัญหาจำนวนนักศึกษาที่ลดลงต่อเนื่องเฉลี่ย 30-50% ทำให้มหาวิทยาลัยเอกชนต่าง ๆ ต้องหันไปพึ่งพานักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะนักศึกษาจีนและนักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้าน CLMV และการแข่งขันรุนแรงทำให้สถาบันการศึกษาหลายแห่งประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง จนต้องตัดสินใจขายกิจการ และที่น่าจับตาผู้ซื้อรายใหญ่คือกลุ่มทุนจีน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นฐานรองรับการส่งเด็กจีนเข้ามาเรียนต่อในประเทศไทย “สุวิทย์” เรียกถกด่วนทุนจีนบุก แหล่งข่าวจากแวดวงธุรกิจการศึกษาภาคเอกชนเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การรุกคืบของกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาซื้อมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ทำให้ขณะนี้ทางรัฐบาลเริ่มตื่นตัวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบหลายด้านหากปล่อยให้ต่างชาติเข้ามายึดครองธุรกิจการศึกษาไทย เพราะแม้ว่าในทางกฎหมายจะเข้ามาถือหุ้นไม่เกิน 49% แต่ในข้อเท็จจริงก็มีการถือหุ้นทางอ้อมเข้ามาคุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ และดีลของแสตมฟอร์ดก็ถือว่าเซอร์ไพรส์วงการ เพราะสะท้อนว่าแม้แต่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงยังไม่รอด และมีโอกาสที่มหาวิทยาลัยในไทยจะถูกซื้อไปเรื่อย ๆ ซึ่งนักวิชาการหลายคนก็มองว่าวิกฤตครั้งนี้จะทำให้ธุรกิจการศึกษาไทยกลับสู่จุดสมดุลได้อย่างไร แหล่งข่าวกล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบหมายให้ รองศาสตราจารย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ส่งหนังสือด่วนที่สุด ถึงนายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ที่มีมหาวิทยาลัยเอกชนเป็นสมาชิกกว่า 40 แห่ง รวมไปจนถึงเชิญตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่ดูแลความมั่นคง ที่สามารถ “ตัดสินใจ” ได้ เข้าร่วมประชุมหารือ กรณีที่นักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทของผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน รวมถึงประเด็นที่นักศึกษาชาวจีนเข้ามาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาเป็นจำนวนมาก เพื่อหาแนวทางดำเนินการจากกรณีดังกล่าวให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตั้ง “ชุดพิเศษ” ตรวจเข้ม “ในการประชุมนัดแรก เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานสถานการณ์ภาพรวมของธุรกิจการศึกษา กรณีจำนวนนักศึกษาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลต่อสถานะทางการเงินของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง และรายงานถึงข้อกังวลที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบการศึกษาไทย จากคุณภาพของหลักสูตร ศักยภาพ และความเชี่ยวชาญของอาจารย์ผู้สอน รวมถึงประเด็นปัญหากฎหมายที่ใช้กำกับดูแลการศึกษาไทยในปัจจุบัน ที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอาจทำให้การกำกับดูแลไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะกรณีที่ปัจจุบันมีทุนจีนเข้ามาซื้อกิจการ” แหล่งข่าวกล่าวว่า ภายหลังจากการหารือนัดแรกได้ข้อสรุปเบื้องต้นเพียงว่า กระทรวงการอุดมศึกษาฯจะจัดตั้ง “คณะกรรมการชุดพิเศษ” เพื่อกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลมหาวิทยาลัยเอกชน ที่สำคัญคือการให้หน่วยงานของภาครัฐเข้าไปตรวจสอบในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพได้ด้วย “ถือเป็นเรื่องใหม่ของวงการศึกษาไทย ซึ่งหน่วยงานอื่น ๆ ที่เข้าร่วมหารือก็ยังไม่รู้ว่าบทบาทของแต่ละส่วนต้องทำอะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม เร็ว ๆ นี้จะมีการหารืออีกครั้ง เพื่อสรุปการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจะมีทิศทางอย่างไร ซึ่งบางเรื่องก็ค่อนข้าง sensitive ทั้งในแง่ของความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ” โดยปัจจุบันภาพรวมของจำนวนนักศึกษาจีนในไทยอยู่ที่ประมาณ 30,000 กว่าคน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดการณ์ว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีจำนวนรวมกว่า 40,000 คน ทั้งนี้ จากข้อมูลนักศึกษาเข้าใหม่ ปีการศึกษา 2561 (ภาคเรียนที่ 1) พบว่า “นักศึกษาจีน” ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการอุดมศึกษาฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 2,462 คน แบ่งเป็น นักศึกษาระดับปริญญาตรี 1,790 คน ปริญญาโท 607 คน และปริญญาเอก 65 คน ยกเครื่องรับทัพ น.ศ.จีน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเข้ามาร่วมทุนของเอกชนจีนในสถาบันการศึกษาเอกชนไทย เป็นพฤติกรรมปกติทางธุรกิจ แต่ก็เป็นสิ่งซึ่งกระทรวงและหน่วยราชการไทยให้ความสนใจติดตามดูแล โดยกระทรวงจะกำกับดูแลให้การจัดการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาต่างชาติเป็นไปอย่างมีคุณภาพ และจะร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ดูแลควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมาย ทั้งเรื่องแอบแฝงตั้งธุรกิจในไทย และการทำงานที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ ปัจจุบันมีนักศึกษาจีนศึกษาอยู่ในประเทศไทยประมาณ 9,000 กว่าคน ทั้งในโครงการแลกเปลี่ยนและหลักสูตรปริญญา ซึ่งผู้ปกครองและนักศึกษาจีนให้ความสนใจสถาบันอุดมศึกษาไทยเพิ่มขึ้นมากในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา “สถิติข้อมูลการอุดมศึกษาจีนเป็นสิ่งซึ่งเราควรให้ความสนใจ ปัจจุบันจีนมีสถาบันระดับอุดมศึกษากว่า 2,800 แห่ง รับนักศึกษาใหม่ประมาณ 7 ล้านคนต่อปี ผลิตบัณฑิตสู่ตลาดแรงงานได้ปีละ 7.5 ล้านคน ขณะที่จีนมีนักศึกษาต่างชาติในประเทศรวมกว่า 7 แสนคน มากกว่าประเทศใด ๆ ในโลก และยังมีนักเรียนที่ต้องการเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาอีกกว่า 2 ล้านคน ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยในจีนไม่ได้ โดยมีนักศึกษาจีนเดินทางศึกษาในต่างประเทศกว่า 6 แสนคน เห็นได้ชัดว่ายังมีนักศึกษาจีนที่ต้องการไปศึกษาต่อต่างประเทศอีกมาก ประเทศจีนจึงเป็นทั้งจุดหมายปลายทางการศึกษาของนักศึกษาต่างชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศส่งออกนักศึกษาที่สำคัญ” นายสุวิทย์ กล่าวว่า กระทรวง อว.จะพัฒนาระบบการส่งเสริมมหาวิทยาลัยไทยให้เป็นนานาชาติมากยิ่งขึ้น ในด้านการรับนักศึกษาต่างชาติจากจีน โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่อสังคมไทย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/education/news-373870
จำนวนผู้อ่าน: 2197
24 กันยายน 2019
แฟ้มภาพ ราคาน้ำมันพุ่งหนุนหุ้นพลังงานคึก รับเหตุการณ์ถล่มโรงกลั่นน้ำมันซาอุฯ มอง SET แกว่งในกรอบ 1,650-1,680 จุด นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 16 ก.ย.62 ว่า ตลาดวันนี้คงยังมีความผันผวนอยู่ เพียงแต่กลยุทธ์ลงทุนในการเลือกหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่ปรับตัวขึ้นคงจะเป็นหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันเป็นหลัก เพราะราคาน้ำมันขยับขึ้นไปค่อนข้างแรง โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ 60.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันสองแห่งในเขต Abqaiq และ Khurais ของซาอุดิอาระเบียด้วยโดรน จนเป็นเหตุให้เพลิงลุกไหม้ ในขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ เซนติเมนต์อาจจะไม่ได้รับผลบวกมากนัก คงจะได้รับผลดีเฉพาะกลุ่มหุ้นพลังงาน โดยมองดัชนีหุ้นไทยวิ่งอยู่ในกรอบแนวรับ 1,650 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 1,680 จุด อย่างไรก็ตามสัปดาห์นี้ต้องติดตามเรื่องเหตุการณ์ถล่มโรงกลั่นน้ำมันซาอุฯ เป็นหลัก และการประชุม FOMC รายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” มีคำสั่งให้ปล่อยน้ำมันจากสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) โดยทรัมป์ได้ทวีตข้อความในวันอาทิตย์ตามเวลาสหรัฐว่า “เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์โจมตีโรงกลั่นน้ำมันในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ผมจึงได้สั่งการให้ปล่อยน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น โดยให้ปล่อยในปริมาณที่มีการกำหนด และพอเพียงต่อการรักษาอุปทานน้ำมันในตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-371532
จำนวนผู้อ่าน: 2087
16 กันยายน 2019
แฟ้มภาพ วันที่ 16 กันยายน 2562 กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้าว่า ลักษณะอากาศทั่วไป ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบน ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ส่วนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณฝนลดลงในระยะนี้ สำหรับทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง โดยหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 17 ก.ย. 62 ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศกัมพูชา ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง ทำให้บริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดตาก กำแพงเพชร และพิจิตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ภาคกลาง มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และนครปฐม อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ภาคตะวันออก มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-32 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตขึ้นไป: ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม/ชม ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ตั้งแต่จังหวัดกระบี่ลงมา: ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม/ชม ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-371529
จำนวนผู้อ่าน: 2201
16 กันยายน 2019
บอร์ดไฮสปีดไฟเขียว ซี.พี.เซ็นสัญญาก่อนเคลียร์เวนคืน 2 ปี ย้ายผู้บุกรุก รื้อสาธารณูปโภค เลื่อนลงนามพ.ย. อัยการสูงสุดชี้เป็นผลดีทั้งรัฐ-เอกชน หมดปัญหาค่าโง่ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ลั่นพร้อมเซ็นสัญญา แค่รอหารือพันธมิตร นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการคัดเลือกโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. เงินลงทุน 224,544 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มกิจการร่วมค้า บจ.เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง และพันธมิตร (กลุ่ม CPH) ได้รับคัดเลือกลงทุนโครงการนาน 50 ปี มีมติอนุมัติแผนส่งมอบพื้นที่ตามที่คณะทำงานร่วมระหว่าง ร.ฟ.ท.และ ซี.พี. เสนอและกำหนดเครื่องมือชี้วัด (KPI) โครงการ หลังเปิดให้บริการที่จะแนบท้ายในสัญญา โดยให้เซ็นสัญญาก่อนออกหนังสือให้เริ่มงาน (NTP) โดยให้ 2 ฝ่ายเคลียร์การส่งมอบพื้นที่ให้เสร็จ ถึงจะเริ่มก่อสร้างได้ เพื่อให้เสร็จใน 5 ปี รอตอกเข็มอีก 1 ปี อย่างไรก็ตาม สามารถรอได้ 1 ปีนับจากวันเซ็นสัญญา เช่น สมมุติลงนาม ต.ค.นี้ มีเวลาเคลียร์ปัญหาต่าง ๆ 1 ปี โดยสิ้นสุด ต.ค. 2563 หากใช้เวลาเกิน 1 ปี สามารถหารือร่วมกันขอขยายเวลาได้ เพราะ ซี.พี.ต้องการให้ส่งมอบพื้นที่ทั้งหมด 100% เพื่อให้ทัน 5 ปี ถือเป็นการลดความเสี่ยงทั้ง 2 ฝ่ายได้ระดับหนึ่ง ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นอีกมากที่อยู่ใต้ดิน เช่น ระบบสาธารณูปโภค ตามแผน ร.ฟ.ท.คาดจะส่งมอบพื้นที่ได้ทั้งหมดใน 2 ปี ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับสัญญารถไฟฟ้าสีชมพูและสีเหลือง “จะส่งรายละเอียดสัญญาแนบท้ายทั้งหมดให้ ซี.พี.พิจารณา และส่งคำตอบกำหนดวันเซ็นสัญญาใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือ และจะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่ได้แจ้ง ซี.พี.แล้วว่า รัฐมีนโยบายให้เซ็นสัญญาในเดือน ก.ย.นี้ หากมีเหตุต้องเลื่อนก็ขอให้แจ้งมา” เอกชนจ่ายค่ารื้อซากโฮปเวลล์ นายวรวุฒิ กล่าวอีกว่า การเคลียร์พื้นที่ ทาง ร.ฟ.ท.จะเวนคืนที่ดิน ย้ายผู้บุกรุก คืนพื้นที่ 300 สัญญาเช่า และประสาน 6 หน่วยระบบสาธารณูโภค โดยเจ้าของระบบสาธารณูปโภคนั้น ๆ เป็นผู้รื้อย้าย ซี.พี.จะรับผิดชอบรื้อสิ่งกีดขวางในแนวเส้นทาง เช่น ตอม่อโฮปเวลล์ สร้างโครงสร้างส่วนเป็นพื้นที่ทับซ้อนช่วงบางซื่อ-ดอนเมืองกับรถไฟไทย-จีน และสายสีแดงช่วงจิตรลดา ค่าใช้จ่ายรวมอยู่ในวงเงินที่รัฐอุดหนุน 117,227 ล้านบาทแล้ว หลังเซ็นสัญญา ซี.พี.จะจ่ายค่ารับมอบสิทธิ์บริหารโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ใน 2 ปี วงเงิน 10,671 ล้านบาท นางพฤฒิพร เนติโพธิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า คณะกรรมการคัดเลือกประชุมแผนส่งมอบพื้นที่ให้ ซี.พี. ถ้าตกลงตามนี้ก็เซ็นสัญญาได้ ซึ่งสัญญาร่วมทุนในปัจจุบันเมื่อพร้อมก็เซ็นได้เพื่อปฏิบัติตามสัญญา แต่พื้นที่ยังไม่พร้อมจะต้องกำหนดว่าใครมีอำนาจหน้าที่ตรงไหน ตามที่สัญญาและทีโออาร์กำหนด เช่น บุกรุกกี่คน จะให้ออกไปกี่วัน รื้อท่อต่าง ๆ จะใช้เวลาเคลียร์กี่ปี เพื่อให้พื้นที่เอกชนสร้าง ต้องกำหนดเป็นแผนให้ชัดเจน ถ้ายอมรับแผนและค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบได้ก็เซ็นสัญญาได้ “ทั้งหมดเพื่อไม่ให้การรถไฟเสี่ยงถูกเรียกค่าเสียหาย เราสามารถลงนามกันได้ แต่บ้านถูกบุกรุกอยู่ สิ่งที่จะทำคือเมื่อรถไฟรื้อแล้วค่อยสร้าง แต่ต้องกำหนดระยะเวลาว่า แต่ละพื้นที่ใช้เวลาเท่าไหร่ ให้มาตกลงร่วมกัน เรากำหนดแบบนี้ ยังไม่ต้องสร้างทันที แต่ผูกมัดสัญญาก่อน เป็นการทำสัญญาสมัยใหม่ ไม่ได้อยากให้เกิดปรากฏการณ์ว่าอุ้ม ซี.พี. เราประสงค์จะให้โปรเจ็กต์เกิดเพราะเป็นพันธมิตรกันแล้ว ถ้า ซี.พี.ตกลง ก็นำเข้าคณะรัฐมนตรีอนุมัติเดินหน้าโครงการ” ยืดเวลาไปถึง พ.ย. รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมได้หารือถึงระยะเวลาที่ ซี.พี.ต้องดำเนินการก่อนเซ็นสัญญา คาดว่าไม่ทันเดือนกันยายนนี้แล้ว เพราะเอกชนเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องมีกระบวนการขออนุมัติจากบอร์ด พันธมิตร และต้องหาแบงก์การันตีอีก คาดใช้เวลา 3-4 สัปดาห์ในเบื้องต้นขอให้เสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้ “แนวทางเซ็นสัญญาก่อนแล้วให้เวลาเคลียร์พื้นที่ ก่อนเริ่มนับหนึ่งสัญญา จะเป็นผลดีต่อการรถไฟฯ เพราะไม่รู้ว่าพื้นที่ที่จะสร้างจะไปเจออะไรอีก โดย ซี.พี.มีเวลาเคลียร์เรื่องเงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาทด้วย เพราะหากเริ่มนับสัญญาจะต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินเชิงพาณิชย์ที่มักกะสันและศรีราชาทันที ล่าสุดแบงก์ขอปรับเงื่อนไขให้จ่ายค่าก่อสร้างโดยตรงกับแบงก์ ไม่ต้องผ่าน ร.ฟ.ท. หากพื้นที่พร้อมสร้างต่อเนื่อง 5 ปี จะเป็นผลดี ไม่ต้องเสียค่าปรับหากช้า” บิ๊ก ซี.พี.พร้อมเซ็นสัญญา นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) เปิดเผยว่า กลุ่ม ซี.พี.กับพันธมิตรมีความพร้อมลงทุนโครงการดังกล่าว และตั้งใจเต็มที่ในการก่อสร้าง พร้อมลงนามกับภาครัฐภายในระยะเวลาที่กำหนด หลัง ร.ฟ.ท.ทำหนังสือแจ้งรายละเอียดข้อสัญญาที่จะลงนามร่วมกัน และขอทราบคำตอบภายใน 7 วัน แต่โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ใช้เม็ดเงินลงทุนค่อนข้างสูง จึงต้องหารือกับพันธมิตรให้ชัดเจนก่อน ทั้งนี้ กลุ่ม ซี.พี.กับพันธมิตรจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลางที่ยกคำร้องในคดีที่ บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด ในเครือ ซี.พี.กับพันธมิตร ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ที่ไม่รับข้อเสนอซองเทคนิค และซองราคา หวังว่าจะได้รับความเมตตาจากศาลปกครองสูงสุด เพราะน่าจะได้ไปถึงขั้นตอนเปิดซองประมูลก่อน ไม่ว่าแพ้ หรือชนะก็ไม่เป็นไร เพื่อให้การแข่งขันเป็นไปอย่างเสรีสมบูรณ์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-371510
จำนวนผู้อ่าน: 2117
16 กันยายน 2019
“เอ็มจี” บายซีพีโชว์ผลงานเข้าตา บริษัทแม่เอสเอไอซี เซี่ยงไฮ้ ไฟเขียวทำตลาดในภูมิภาคอาเซียนเพิ่ม ประเดิม “อินโดนีเซีย-มาเลเซีย” พร้อมส่ง 2 รุ่นหลัก เอ็มจี 3 และแซดเอส กรุยทางต้นปีหน้า ปลื้มรถไฟฟ้าขายในบ้านเราแค่ 3 เดือน กวาดยอด 2,000 คัน เร่งเครื่องดันไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์อีวีแห่งแรกนอกจีน รับความต้องการของตลาดโลก ลุยตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่อีกแห่ง นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า 5 ปีของการทำตลาดในประเทศไทยประสบความสำเร็จดีมาก ยอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้ฉลองยอดขายครบ 50,000 คันไปเรียบร้อย คว้าสิทธิ์ทำตลาดอินโดฯ-มาเลย์ ผลงานที่โดดเด่นทำให้บริษัทแม่ เอสเอไอซี มอเตอร์ จากเซี่ยงไฮ้ ให้ความไว้วางใจ และมอบหมายให้บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด (ร่วมทุนไทย-จีน) ทำหน้าที่ดูแลการทำตลาดแบรนด์รถยนต์เอ็มจี ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด รวมทั้งกำหนดยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์เอ็มจีพวงมาลัยขวาทั้งตลาดในประเทศและส่งออก ทั้งนี้ ทิศทางการทำตลาด-การขายรถยนต์เอ็มจีในภูมิภาคอาเซียนนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนเตรียมความพร้อมและศึกษารายละเอียดความต้องการของตลาด เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มต้น 2 ประเทศที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวาก่อนได้แก่ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งตลาดทั้ง 2 ประเทศมีศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจสูง ด้วยปริมาณความต้องใช้รถต่อปีราว ๆ 1 ล้านคัน และ 7 แสนคัน ตามลำดับ ประเดิมเอ็มจี 3-แซดเอส และน่าจะเริ่มจริงจังได้ราว ๆ ต้นปี 2563 ส่วนผลิตภัณฑ์ที่จะนำไปทำตลาดทั้ง 2 ประเทศนั้น คาดว่าจะเป็นรถยนต์กลุ่มเอสยูวี เอ็มจี แซดเอส และรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เอ็มจี 3 ในช่วงแรก เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและการตอบรับค่อนข้างดีในประเทศไทย “ตอนนี้มีพาร์ตเนอร์หลายรายพร้อมจะมาทำงานร่วมกับเรา ส่วนใหญ่มีความพร้อมในการทำตลาดอยู่แล้ว ทั้งงานขายและบริการหลังการขาย” นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า ปี 2563 ทุก ๆ อย่างจะต้องชัดเจน และทั้ง 2 ประเทศนั้นมีความต้องการรถยนต์นั่งค่อนข้างสูงมาก เมื่อดูจากจำนวนยอดขายในแต่ละปี เชื่อว่าเอ็มจีจะสามารถสอดแทรกเพื่อสร้างความต้องการของตลาดและฐานลูกค้าได้อย่างไม่ยาก เร่งมือส่งออกออสเตรเลีย การได้สิทธิ์ทำตลาดทั้งภูมิภาคอาเซียนจะสอดรับกับแผนส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาของเอ็มจีพอดี ขณะนี้รอเพียงบริษัทแม่พิจารณาตลาดและความเหมาะสมเบื้องต้นคาดว่าออสเตรเลียน่าจะเป็นประเทศแรก ๆ ที่เอ็มจีจะส่งรถจากประเทศไทยเข้าไปจำหน่าย หลังจากนั้นก็จะเป็นอินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องวางแผนการผลิตให้สอดคล้องและเพียงพอกับความต้องการภายในประเทศด้วย ปัจจุบันเอ็มจีมีกำลังผลิต 40,000 คันต่อปี ซึ่งปีหน้าคงต้องเพิ่มกำลังผลิตเพื่อรองรับการส่งออกด้วย จ้องผุด รง.ผลิตแบตเตอรี่ นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อไปถึงด้านความคืบหน้าโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทยื่นขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท ตรงนี้จะยิ่งช่วยเพิ่มศักยภาพทางด้านการผลิตให้กับเอ็มจีมากขึ้น และอนาคตจะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2ที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของเอ็มจี ต่อจากจีนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีแผนตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของบีโอไอที่สนับสนุนการลงทุน 8 เดือนขายทะลุ 1.6 หมื่นคัน รองกรรมการผู้จัดการ เอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย กล่าวอีกว่า แผนรุกตลาดในประเทศปีนี้ นอกจากการทำตลาดเอ็มจี วี 80 รถตู้ขนาด 11 ที่นั่ง รถยนต์ไฟฟ้า, เอ็มจี แซดเอส (อีวี) เมื่อเดือนมิถุนายน และเปิดตัวปิกอัพ เอ็มจี เอ็กซ์เทนเดอร์ เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว ในวันที่ 27 กันยายนนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวเอสยูวีขนาดกลาง เอ็มจี เอชเอส ออกสู่ตลาดอีกรุ่น ซึ่งเชื่อว่า จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีด้วยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบ ซึ่งเป็นการเติมเต็มช่องว่างภายในตลาดของรถยนต์ประเภทนี้ และน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญที่ช่วยผลักดันให้เอ็มจี มียอดขายรถยนต์เอสยูวีมากเป็นอันดับ 2 ของตลาดได้ไม่ยาก ส่วน 8 เดือนที่ผ่านมานั้นมียอดขายไปแล้วทั้งสิ้น 16,500 คัน แบ่งสัดส่วนเป็น แซดเอส 50%, เอ็มจี 3 สัดส่วน30% และอื่น ๆ 20% จากเป้าหมายปีนี้ที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้นปี 50,000 คัน “ต้องรอดูว่าถึงสิ้นปีจะมียอดขายจบที่เท่าใด โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายถือเป็นช่วงฤดูการขาย บรรยากาศการจับจ่ายและสภาพเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะดีขึ้น ประกอบกับเรามีรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ เยอะ น่าจะทำให้ยอดขายดีดขึ้นไปอีกมากอย่างแน่นอน” รถไฟฟ้าแรง 3 เดือน 2 พันคัน สำหรับกระแสตอบรับของรถยนต์ไฟฟ้า 100% เอ็มจี แซดเอส อีวี ซึ่งบ้านเราขายเป็นแห่งที่ 2 ของโลก บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายทั้งปีไว้ 1,000 คัน ปรากฏว่าผ่านไปแค่ 3 เดือน ลูกค้าชาวไทยให้การตอบรับดีเกินคาด และมียอดจองไปแล้วกว่า 1,500 คัน ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เริ่มส่งมอบรถรุ่นนี้ให้กับลูกค้าไปแล้วกว่า 290 คัน คาดว่าภายในปีนี้จะสามารถส่งมอบรถทั้ง 1,500 คัน ให้กับลูกค้าได้ โดยคาดว่าภายในเดือนกันยายนนี้ ยอดจองของรถรุ่นนี้น่าจะเพิ่มไปที่ระดับ 2,000 คัน สำหรับลูกค้าที่ซื้อ เอ็มจี แซดเอส อีวี ราคา 1.19 ล้านบาท และซื้อภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ จะได้รับข้อเสนอพิเศษ ประกันแบตเตอรี่แบบไม่จำกัดระยะทางเป็นเวลา 8 ปี ฟรีชุดอุปกรณ์ชาร์จไฟในบ้าน มูลค่า 45,000 บาท ฟรีค่าติดตั้ง รับประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี และรับประกันคุณภาพรถยนต์ 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร ขณะที่แผนการติดตั้งสถานีชาร์จไฟที่โชว์รูมเอ็มจี คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะครบ 130 แห่งทั่วประเทศ อนึ่ง เอ็มจีประกาศแผนรุกตลาดในวันแรกที่ปรากฏตัวสู่สาธารณชนในประเทศไทยว่า 5 ปีจะมียอดขาย 5 หมื่นคันซึ่งจะครบกำหนดในปีงบประมาณ 2562 แต่สามารถฉลองยอดขาย 50,000 คันได้ตั้งแต่ต้นปี โดยปีแรกของการทำตลาด ปี 2557 มียอดขาย 204 คัน, ปี 2558 มียอดขาย 3,779 คัน, ปี 2559 มียอดขาย 8,319 คัน, ปี 2560 มียอดขาย12,013 คัน และปี 2561 มียอดขาย 23,740 คัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-371507
จำนวนผู้อ่าน: 2084
16 กันยายน 2019
เงินบาทแข็งค่าทั้งกระดาน “TMB Analytics” ชี้แข็งค่ากว่าทั้ง “คู่ค้า-เพื่อนบ้าน” ทำสถิติแข็งสุดรอบ 6 ปีอีกครั้ง แตะ 30.38 บาท/ดอลลาร์ หลัง “อีซีบี” หั่นดอกเบี้ย เตือนรับมือเอฟเฟ็กต์ “เฟด” ลดดอกเบี้ยตามกลางเดือน ก.ย.นี้ “TMB-KTB” เก็ง กนง.ลดดอกเบี้ยอีกครั้งปลายปีนี้ ฟากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยจับตาฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้าไทย นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วงนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างน่ากังวล หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและทำมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) เพิ่มเติม รวมถึงล่าสุดเริ่มมีนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อพันธบัตร (บอนด์) โดยเงินบาททำสถิติแข็งค่ามากที่สุดครั้งใหม่ถึง 30.38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะประชุม 19 ก.ย.นี้ ลดดอกเบี้ยนโยบายลงตามราว 0.25% จะยิ่งทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ต้องตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ภายในปีนี้ด้วย คาดว่าอย่างเร็วคงเป็นเดือน พ.ย. อย่างช้า ธ.ค. แต่เชื่อว่า กนง.จะไม่รีบลดดอกเบี้ยตั้งแต่การประชุมรอบปลาย ก.ย.นี้ บาทแข็งโป๊กแซงเพื่อนบ้าน-คู่ค้า การแข็งค่าของเงินบาทรอบนี้ ทำลายสถิติครั้งก่อนไปอีก แข็งสุดในรอบ 6 ปี และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน หากเทียบเงินบาทกับสกุลเงินหลักต่าง ๆ ทั้งสกุลเงินของประเทศเพื่อนบ้าน และสกุลเงินของประเทศคู่ค้า ถือว่าเงินบาทแข็งค่าที่สุด เช่น เทียบกับค่าเงินเยนของญี่ปุ่น เงินบาทแข็งค่ามากกว่า 5.08% แข็งกว่าดอลลาร์สหรัฐ 6.40% แข็งกว่าดอลลาร์สิงคโปร์ 7.21% แข็งกว่าดอลลาร์ไต้หวัน 7.40% แข็งกว่าดอลลาร์ออสเตรเลีย 8.78% แข็งกว่าเงินปอนด์ของอังกฤษ 9.48% แข็งกว่าค่าเงินยูโร 9.67% แข็งกว่าเงินวอนของเกาหลีใต้ถึง 12.29% เป็นต้น ทำให้การส่งออกยิ่งลำบาก เพราะขายของแล้วได้เงินกลับมาน้อยลง ส่งออกอ่วม-ยอดติดลบอ่วม “การแข็งค่าของเงินบาทรอบนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะที่ผ่านมาเราอาจจะแข็งค่ากว่าในภูมิภาค แต่ตอนนี้เงินบาทแข็งค่ากว่าทั้งประเทศเพื่อนบ้านและคู่ค้า กับสกุลเงินหลักทุกสกุล หรือเรียกได้ว่าแข็งไปทั้งกระดาน ถ้าแข็งค่าขนาดนี้ ผมว่าเราไม่มีทางเลือกมาก อาจต้องมีการแทรกแซงค่าเงินเพิ่มขึ้น แม้ต้องเสียสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) ไปบ้าง เพราะถ้าปล่อยบาทแข็งแบบนี้ไปเรื่อย ๆ คงไม่ไหว เพราะการนำเข้าส่งออกของไทยใช้สกุลดอลลาร์ถึง 80% ส่วนการส่งออกปีนี้ คาดว่าคงไม่อยู่ที่ 0% แต่น่าจะหดตัวราว -2.5% ส่วนการลดดอกเบี้ยจะช่วยให้ไม่ต้องแทรกแซงมากเกินไป” นายนริศ กล่าวว่า ขณะนี้นโยบายการเงินโลก มีแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะเข้าสู่ “ศูนย์” อย่างยุโรปที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องจับตานโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐ ที่กังวลกันว่าระบบสถาบันการเงินทั่วโลกจะอยู่อย่างไร หากดอกเบี้ยสหรัฐเข้าสู่ “ศูนย์” นอกจากนี้ ไทยเองอาจจะต้องเปลี่ยนความเชื่อนับตั้งแต่เริ่มใช้นโยบายเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อมาราว 20 ปีที่ว่า ดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่ควรอยู่ต่ำกว่า 1.25% เนื่องจากขณะนี้ภูมิทัศน์ด้านการเงินโลกเปลี่ยนไปแล้ว จับตาเงินไหลเข้า นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ภายในปีนี้น่าจะเห็น กนง.ลดดอกเบี้ยอีกครั้งช่วงปลายปี ขณะที่การส่งออกปีนี้ดูจากตัวเลข 8 เดือนที่ออกมาแล้ว ทั้งปีน่าจะหดตัว -3% นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ปัจจุบันต่างชาติถือครองตราสารหนี้อยู่ราว 9.8 แสนล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาท และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันพบว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลออกไปกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท ส่วนช่วงที่เหลือของปีนี้ หากธนาคารกลางทั่วโลกหลายแห่งมีนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน มีโอกาสที่จะเห็นฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้และสินทรัพย์เสี่ยงในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM) อีก โดยเฉพาะในไทย เพราะถูกมองเป็น safe haven “ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ฟันด์โฟลว์ไหลออกไปแล้วกว่า 6.5 หมื่นล้านบาทโดยช่วงเดือน ก.ย.ไหลออกไป 1 หมื่นล้านบาท เดือน ส.ค.ไหลออกไป 3.3 หมื่นล้านบาท และเดือน ก.ค.ไหลออกไป 2.5 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันต่างชาติถือครองตราสรหนี้ไทยอยู่ราว 9.8 แสนล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาทซึ่งช่วงที่เหลือของปี ก็คาดว่าน่าจะแกว่งบนแถว ๆ บริเวณนี้ ซึ่งปัจจัยที่คาดเดาไม่ได้คือ สงครามการค้าว่าจะคลี่คลายลงเมื่อไหร่ เพราะเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เป็นปัจจัยความไม่แน่นอนสูง หากมีความตึงเครียดหรือเรียกเก็บภาษีขึ้นมาอีก ทุกอย่างก็จะกลับสู่สภาพเดิม” นางสาวอริยากล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-371501
จำนวนผู้อ่าน: 1991
16 กันยายน 2019
อานิสงส์ “บาทแข็งโป๊ก” เศรษฐีไทยหอบเงินซื้ออสังหาฯ “อังกฤษ-ญี่ปุ่น-เยอรมนี” ยอดนิยม ฉวยจังหวะค่าเงินถูก แถมดอกเบี้ยขาลง กระจายพอร์ตไปลงทุนต่างแดน “โจนส์ แลงก์ ลาซาลล์” เผยเยอรมนีตลาดใหม่มาแรง “แฟรงก์เฟิร์ต-เบอร์ลิน” ฮอตทั้งแห่ซื้อคอนโดฯแดนปลาดิบ”โตเกียว-นิเซโกะ” โรงแรมไทยพาเหรดออกไปช็อป เปิดข้อมูลแบงก์ชาติ 6 เดือนแรกเงินลงทุนโดยตรงไทยไปต่างประเทศ 2.31 แสนล้าน บาทแข็งโป๊กเทียบ “ยูโร-ปอนด์” นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) กล่าวว่า TMB Analytics ได้เปรียบเทียบค่าเงินบาทกับสกุลเงินต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 10 ก.ย. 2562 พบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับเงินยูโรอยู่ที่ 9.3% รองลงมาคือ เงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ 8.8% ต่อมาก็คือ ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย 8.4%, ค่าเงินฟรังก์สวิส 6.8% ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ 5.8% และค่าเงินเยน 3.8% ดังนั้น ถ้ามองในแง่ค่าเงินจึงเป็นโอกาสที่คนไทยจะไปลงทุนซื้อสินทรัพย์ในประเทศเหล่านี้ อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพบว่า บริษัทเอกชนไทยยังใช้โอกาสนี้ไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (TDI) ไม่มากนัก ซึ่งอาจจะเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัว แต่หากดูแนวโน้มช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็มีการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการไปลงทุนในสหภาพยุโรป (อียู) ที่มีมากขึ้นต่อเนื่อง “จริง ๆ ก่อนหน้านี้ ค่าเงินปอนด์อ่อนค่ากว่านี้ แต่เมื่อคืนวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา มีการผ่านกฎหมายว่าห้ามเบร็กซิตแบบ no deal ค่าเงินปอนด์จึงกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” นายนริศกล่าว เศรษฐีขนเงินลงทุน แหล่งข่าวจากเจ้าของธุรกิจรายหนึ่งเปิดเผยว่า จากที่ภาวะเงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้นมากในช่วงปีนี้ ประกอบกับที่หลายประเทศค่าเงินอ่อนลงจากปัญหาต่าง ๆ ทำให้ขณะนี้กลุ่มนักธุรกิจเศรษฐีคนไทยมีความสนใจไปลงทุนซื้อบ้าน อสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ บางส่วนก็ซื้อไว้ให้ลูกหลานที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ถือเป็นการลงทุน อย่างกรณีประเทศอังกฤษ นอกจากที่เงินปอนด์จะอ่อนค่ามากจากผลกระทบเรื่องที่จะออกจากอียู หรือ “เบร็กซิต” ยังทำให้ราคาอสังหาฯในอังกฤษปรับลดลงด้วย ทำให้เศรษฐีไทยจำนวนมากเข้าไปซื้ออสังหาฯ รวมถึงประเทศอื่นในยุโรป และญี่ปุ่น อีกด้านเป็นเพราะทิศทางดอกเบี้ยขาลง ผลตอบแทนการลงทุนต่าง ๆ ลดลง ทำให้มีการชักชวนกันไปลงทุนซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียมในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการลงทุน เพราะจากภาวะค่าเงินในปัจจุบันก็ทำให้ถือว่าได้ต้นทุนถูกลง ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของหลายประเทศมีปัญหา ราคาอสังหาฯก็ปรับลดลงด้วย ท็อป 20 ตั้งท่าช็อปโรงแรม นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลงก์ ลาซาลล์ (JLL) โบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของโลก เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาวะเงินบาทแข็งค่า ประกอบกับนักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับตลาดคอนโดมิเนียมประเทศไทยที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า มีการแข่งขันสูง ขณะที่การเพิ่มขึ้นของราคาชะลอตัว และผลตอบแทนการลงทุนลดลง ทำให้เศรษฐีไทยจำนวนมากหันไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในหัวเมืองใหญ่ของประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชีย-แปซิฟิก จุดเด่นอสังหาริมทรัพย์ในประเทศพัฒนาแล้ว นักลงทุนจะได้รับการคุ้มครองที่ดีเกี่ยวกับการซื้อขายที่มีความโปร่งใสสูง กฎหมายและกฎระเบียบมีความชัดเจน และมีบรรษัทภิบาลที่เข้มแข็ง รวมทั้งยังไม่มีการจำกัดสิทธิครอบครองอสังหาฯของนักลงทุนต่างชาติ ที่สำคัญมีความโปร่งใส ข้อมูลธุรกรรมการซื้อขาย ดีมานด์-ซัพพลายเข้าถึงได้ง่าย ผู้ซื้อจึงสามารถคาดคะเนทิศทางตลาดได้ค่อนข้างแม่นยำ ประเมินผลตอบแทนการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่า การปรับขึ้นของราคาในอนาคต ขณะเดียวกันพบว่า ในกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมไทยระดับท็อป 20 มีความสนใจซื้อกิจการโรงแรมในต่างประเทศตลอดเวลา สอบถามข้อมูลและต้องการให้แมตชิ่งการซื้อขายกิจการ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเซนทารา ไมเนอร์กรุ๊ป ดุสิตกรุ๊ป กลุ่มนารายณ์ ฯลฯ ลอนดอน-เยอรมนีฮอต สำหรับตลาดหลักอสังหาฯที่คนไทยสนใจซื้อ ได้แก่ “ลอนดอน” ประเทศอังกฤษ สัดส่วน 80% ซื้อให้ลูกหลานพักอาศัยในระหว่างการศึกษาต่อ อีก 20% ซื้อเพื่อปล่อยเช่า แม้ค่าเช่าให้ผลตอบแทนไม่สูงมากนัก 2-3% แต่สถิติผู้ซื้อคอนโดฯในลอนดอนแล้วขายต่อในช่วง 10 ปี ได้กำไร 40-50% จากราคาต้นทุนที่ซื้อไว้ย่านที่ผู้ซื้อชาวไทยสนใจเป็นพิเศษ คือ โซน 1 ย่านศูนย์กลางธุรกิจชั้นใน คอนโดฯมีราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 1 ล้านบาท กับโซน 2 ย่านศูนย์กลางธุรกิจชั้นนอก ราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 6 แสนบาท ขณะที่ประเทศเยอรมนี เป็นตลาดใหม่ที่เพิ่งเปิดรับผู้ซื้อชาวต่างชาติ ซึ่งน่าสนใจมากที่สุดในขณะนี้ โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่อย่าง “เบอร์ลิน-แฟรงก์เฟิร์ต” ที่พักอาศัยไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยชาวเยอรมันส่วนใหญ่นิยมการเช่าที่อยู่อาศัยมากกว่าซื้อไว้เอง เพราะแม้มีรายได้สูง แต่ต้องจ่ายภาษีสูงด้วย ตลาดเช่าจึงมีดีมานด์สูงมากเช่น ในแฟรงก์เฟิร์ต คอนโดฯมีห้องว่างเหลือเช่าเฉลี่ยไม่ถึง 1% ราคาขายที่สูงมาก ทำให้ผลตอบแทนซื้อเพื่อปล่อยเช่าแค่ 2-3% เท่ากับลอนดอน แต่ราคาซื้อขายปรับขึ้นรวดเร็วมาก เฉลี่ยปีละ 12% อีกทั้งเยอรมนีมีอุปสรรคสำหรับนักลงทุนซื้อเก็งกำไรระยะสั้นเพราะต้องถือครองอย่างน้อย 10 ปี หากขายต่อก่อนกำหนดต้องเสียภาษีขั้นบันไดจากกำไรที่ได้ 14-45% สำหรับโครงการที่เจแอลแอลเสนอขายอยู่ในขณะนี้ กรุงเบอร์ลินห้องชุด 40 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 12 ล้านบาท ไซซ์ 100 ตารางเมตร ราคา 26 ล้านบาท, แฟรงก์เฟิร์ต พื้นที่ 30 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 13 ล้านบาท และไซซ์ 193 ตารางเมตร ราคา 113 ล้านบาท โตเกียว-นิเซโกะติดโผ สำหรับญี่ปุ่น ถือเป็นประเทศที่คนไทยชื่นชอบ และสองเมืองที่คนไทยนิยมซื้อคอนโดฯในญี่ปุ่น คือ “โตเกียว-นิเซโกะ” โดยโตเกียว นักธุรกิจไทยนิยมซื้อเพื่อพักอาศัย ส่วนนิเซโกะเป็นย่านสกีรีสอร์ตที่มีชื่อเสียง โรงแรมต่าง ๆ มีผู้พักเต็มในช่วงฤดูเล่นสกี ทั้งนี้ การปล่อยเช่าระยะสั้นให้กับนักท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายในญี่ปุ่น เปิดช่องให้เจ้าของสามารถปล่อยเช่าผ่าน Airbnb ได้ โดยโครงการที่เจแอลแอลเสนอขายที่โตเกียว ห้องชุด 36 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 17 ล้านบาท, ขนาด 76 ตารางเมตร ราคา 36 ล้านบาท และ 98.5 ตารางเมตร ราคา 48 ล้านบาท โดย JLL มองว่าช่วงนี้เป็นจังหวะเหมาะที่สุดสำหรับการซื้ออสังหาฯต่างแดน เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก ทำให้สามารถซื้อในราคาที่ถูกลง ครึ่งปี TDI ออกไป 2.3 แสนล้าน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เงินลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศ (TDI) ในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย. 2562) จำนวน 231,973.89 ล้านบาท ประเทศที่มีเงินลงทุนโดยตรงของไทยเข้าไปมาก อาทิ สิงคโปร์ 7.07 หมื่นล้านบาท, ฮ่องกง 2.83 หมื่นล้านบาท, ญี่ปุ่น 2.12 หมื่นล้าน, สหภาพยุโรป 2.09 หมื่นล้าน, สหรัฐอเมริกา 1.35 หมื่นล้าน ส่วนสหราชอาณาจักรมีเงินลงทุนโดยตรงจากประเทศไทย 6,542.18 ล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-371292
จำนวนผู้อ่าน: 1957
16 กันยายน 2019
กลุ่มผู้เลี้ยงหมูดิ้นหาเงินป้องกันโรคอหิวาต์หมู ASF หลังโรคระบาดในพื้นที่ชายแดนล้อมประเทศไทยไว้ทุกด้าน วอนรัฐบาลช่วยออกสตางค์เพิ่มเพื่อนำมาใช้จ่ายในการป้องกันโรคบ้าง หลัง ครม.อนุมัติเงินแค่ 148 ล้านบาท แต่ต้องใช้ถึง 3 ปี ด้านกรมปศุสัตว์ประกาศเขตพื้นที่เสี่ยงสูงเพิ่มอีกที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานสถานการณ์การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (African Swine Fever หรือ ASF) ในพื้นที่ 3 อำเภอของจังหวัดเชียงรายบริเวณที่แม่น้ำรวกไหลผ่าน โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย-เชียงแสน-เวียงแก่น ยังมีสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงและน่าเป็นห่วงมากที่สุด เนื่องจากผู้เลี้ยงในจังหวัดเชียงรายส่วนใหญ่เป็นผู้เลี้ยงรายย่อยมาก ๆ เมื่อได้ยินข่าวการเกิดโรคระบาด ASF มีผลทำให้ผู้เลี้ยงบางส่วนเร่งขายหมูหนีก่อนที่จะถูกกรมปศุสัตว์เข้ามาทำลาย โดยกรมปศุสัตว์ได้ประกาศพื้นที่เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรค ASF (พื้นที่เสี่ยงสูง) เพิ่มขึ้นจาก 3 อำเภอเป็น 5 อำเภอ รวมถึง อ.แม่จัน-ดอยหลวง ในจังหวัดเชียงราย เพื่อทำเขตแนวกันชน (buffer zone) และยังมีข่าวว่า กรมปศุสัตว์มีแผนกำจัดหมูทั้งจังหวัดเชียงรายประมาณ 150,000 ตัว จากเกษตรกรผู้เลี้ยง 7,000 คนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ด้าน นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวถึงกองทุนเฝ้าระวังเพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ของภาคเอกชนว่า ได้มีการลงขันมากกว่า 51 ราย นำโดย “กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (CP)-เบทาโกร” และยังมีการสนับสนุนเงินเข้ากองทุนจากผู้เลี้ยงทั่วทุกภาคเข้ามาเรื่อย ๆ แต่สมาคมบางส่วนมีความเห็นอยากจะให้อธิบดีกรมปศุสัตว์เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (พิกบอร์ด) และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเพื่อหาจัดสรรเงินงบประมาณภาครัฐเข้ามาใช้เฝ้าระวังป้องกันโรค ASF มากขึ้น ทั้งนี้งบประมาณที่จะใช้เฝ้าระวังและป้องกันโรคที่ได้รับมาตกเฉลี่ยจังหวัดละ 500,000-600,000 บาทต่อปีเท่านั้น จากงบประมาณ 3 ปีที่ตั้งไว้ประมาณ 148 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้งบฯป้องกันเพียงเล็กน้อย แต่งบฯส่วนใหญ่จะใช้เมื่อเกิดโรคหรือเผชิญโรคแล้วเท่านั้น “ซึ่งไม่มีประโยชน์” โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมูรายย่อย 200,000 คนทั่วประเทศที่จะต้องเดือดร้อนจากการเกิดโรคระบาด เนื่องจากผู้เลี้ยงรายย่อยมีเพียง 2% เท่านั้นที่มีฐานะ นอกนั้นต้องกู้หนี้ยืมสินมาเลี้ยงหรือส่วนใหญ่เลี้ยงเพื่อการยังชีพ “จากบทเรียนที่เกิดขึ้นในจีนช่วงเกิดโรค ASF ใหม่ ๆ หมูตายกว่า 200 ล้านตัว ราคาหมูเป็นตกต่ำเหลือ กก.ละ 20-30 บาท เพราะผู้บริโภคกลัว แต่ในขณะนี้พุ่งเป็น กก.ละ 120 บาท ส่วนใหญ่เป็นของผู้เลี้ยงรายใหญ่ที่มีระบบไบโอซีเคียวริตี้ในการเลี้ยงดี แต่ผู้เลี้ยงรายย่อยหายไปมากจากระบบการเลี้ยงไม่ดี เช่นเดียวกับในกัมพูชาที่เกิดโรค ASF ขณะนี้ราคาหมูเป็นเหลือ กก.ละ 40-50 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำมากจนไทยเองก็ไม่ส่งหมูเข้าไปขายในเขมร จากปัจจุบันที่ราคาหมูเป็นไทยช่วงนี้อยู่ที่ กก.ละ 56-58 บาท แต่ก็ต้องดูช่วงปลายปีราคาหมูเป็นอาจพุ่งสูงขึ้นได้เมื่อผู้บริโภคเขมรหันกลับมากินหมูและปริมาณหมูในประเทศไม่เพียงพอ” นายนิพัฒน์กล่าว ล่าสุด นายพงศ์พัฒน์ ขัตพันธุ์ ปศุสัตว์จังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า ขณะนี้จังหวัดเชียงใหม่ได้ประกาศให้เชียงใหม่เป็นพื้นที่เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรค ASF อย่างเข้มข้น แต่ยืนยันว่ายังไม่มีการแพร่ระบาดของโรคเข้ามาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ล่าสุด นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ลงนามในประกาศให้ใช้กฎหมายควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์และกฎหมายโรคระบาดสัตว์ มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กันยายนนี้เป็นต้นไป “การเคลื่อนย้ายหมูเป็นหรือหมูชำแหละแล้วเข้ามาในพื้นที่เชียงใหม่ ทั้งที่มาจากต่างอำเภอของเชียงใหม่ หรือข้ามมาจากจังหวัดอื่น ๆ จะต้องมีใบอนุญาตการเคลื่อนย้ายสุกรที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับการเคลื่อนย้ายสุกรจากเชียงใหม่ไปยังจังหวัดอื่นก็ต้องมีใบอนุญาตเช่นกัน นอกจากนี้เรายังเพิ่มความเข้มข้นของการเฝ้าระวังด้วยการตั้งด่านตรวจการเคลื่อนย้ายสัตว์ 4 จุดที่เป็นรอยต่อระหว่างอำเภอของเชียงใหม่กับจังหวัดเชียงราย ได้แก่ ด่านตรวจแม่อาย (เชียงใหม่)-แม่จัน (เชียงราย), ด่านพร้าว (เชียงใหม่)-เวียงป่าเป้า (เชียงราย), ด่านฝาง(เชียงใหม่)-แม่สรวย (เชียงราย) และด่านดอยสะเก็ด (เชียงใหม่)-เวียงป่าเป้า (เชียงราย) โดยห้ามไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายหมูเป็นเข้าไปยังพื้นที่จังหวัดเชียงราย เนื่องจากจังหวัดเชียงรายอยู่ในสภาวะควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคแล้ว” นายพงศ์พัฒน์กล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-371504
จำนวนผู้อ่าน: 2045
16 กันยายน 2019
3 สมาคมอสังหาฯตบเท้าพบ รมว.คลัง หอบโจทย์ LTV-DSR ให้ “อุตตม” ช่วยแก้ “กอบศักดิ์” ส่งซิกอีก 1 เดือนถึงคิวแพ็กเกจกระตุ้นตลาดบ้าน-คอนโดฯ ลุ้นลดค่าโอน-จดจำนอง “เพอร์เพค-อนันดาฯ” ออกโปรฯแรงงานมหกรรม จองทุกโครงการ 999 บ. แหล่งข่าวจากวงการอสังหาริมทรัพย์เปิดเผยว่า วันที่ 25 ก.ย.นี้ 3 สมาคมอสังหาฯขอเข้าพบ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อหารือถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ภาคธุรกิจอสังหาฯทั่วประเทศกำลังเผชิญ โดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยเฉพาะการกำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) ที่ให้วางเงินดาวน์เพิ่มในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 และ 3 โดยจะขอให้กระทรวงการคลังไปหารือกับ ธปท.เพื่อผ่อนปรนเกณฑ์ โดยให้ใช้มาตรการ LTV เฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯ ยกเลิกการควบคุม LTV บ้านจัดสรร ขณะเดียวกัน ขอให้ชะลอการออกเกณฑ์ควบคุมสัดส่วนหนี้เทียบกับรายได้ (DSR) และให้รัฐจัดทำมาตรการกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาฯ เช่น ลดค่าธรรมเนียมโอน, ลดค่าธรรมเนียมจดจำนอง เพิ่มค่าหักลดหย่อนดอกเบี้ยบ้าน เป็นต้น นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กล่าวในพิธีเปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41 ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง 12-15 ก.ย. ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอนว่า ธุรกิจอสังหาฯเป็นธุรกิจสำคัญ และเป็นฝันใหญ่ของประชาชนทุกคนที่ต้องการมีบ้าน ซึ่งปีนี้ความท้าทายเศรษฐกิจโลกและไทยมีพอสมควร ทั้งผลกระทบจากสงครามการค้า ภารกิจแรกที่รัฐบาลเร่งดำเนินการคือออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง 300,000 ล้านบาท เพื่อส่งสัญญาณว่า มาตรการกระตุ้นเศรษกิจจะกลับมาอีกรอบ ให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกด้านเข้มข้นมากขึ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านไปแล้ว 2 ลอต ลอตแรก เป็นมาตรการด้านการคลัง อาทิ สินเชื่อบ้านล้านแรก 50,000 ล้านบาท ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลอตที่ 2 มาตรการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าประเทศ จะตามด้วยมาตรการช่วยเหลือการส่งออกและการลงทุนโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ ถัดไปจะเป็นมาตรการการช่วยเหลือ SMEs และการท่องเที่ยว จากนั้นจะถึงคิวภาคอสังหาฯ คาดว่า 1 เดือนจากนี้ไป ครม.เศรษฐกิจจะหยิบยกขึ้นหารือ เช่น มาตรการดึงดูดนักลงทุนฮ่องกงมาพำนักในไทย ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัย หรือผ่อนเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการมีบ้านของประชาชนทั่วไป โดยจะหารือกับภาคธุรกิจก่อน ขณะเดียวกัน รัฐมีธนาคารภายใต้การกำกับ เช่น ธอส. ออมสิน สามารถช่วยเรื่องสินเชื่อบ้านได้ แต่ต้องหารือภายในก่อน ส่วนการลดค่าโอน ต้องรอผลหารือระหว่าง นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กับ 3 สมาคมอสังหาฯ นายชูรัชฏ์ ชาครกุล รองเลขาธิการสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ประธานจัดงานมหกรรมบ้านฯ กล่าวว่า คาดว่าภายในงานจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมงาน 80,000 คน และมียอดจองซื้อบ้านตลอด 4 วัน 3,500 ล้านบาท ใกล้เคียงครั้งที่แล้ว และอีก 1-2 เดือนจะมียอดจองหลังงานเพิ่ม รวมเป็น 6,000-7,000 ล้านบาท ส่วนการผลักดันให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นหากต้องรออีก 1 เดือน คิดว่าไม่นานเกินไป ขณะที่ นายวสันต์ เคียงศิริ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และ ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ริชี่เพลซ 2002 นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวสอดคล้องกันว่า จะข้าพบ รมว.คลังเพื่อแสดงความยินดีและจะชี้แจงสถานการณ์อสังหาฯ ส่วนมาตรการกระตุ้นตลาดอยู่ระหว่างการหารือของ 3 สมาคม ด้าน นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่ามาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน ค่าจดจำนองเป็นการแก้ปัญหาระดับย่อยของภาคธุรกิจ ที่ควรทำคือประสานไปยัง ธปท. ขอเลื่อนระยะเวลาการบังคับใช้เกณฑ์ DSR เพราะจะซ้ำเติมปัญหา จากเดิมที่มาตรการ LTV ทำให้ภาพรวมของตลาดซบเซาทั้งที่จริง ๆ แล้ว 2 มาตรการนี้ดี แต่มาผิดเวลาเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อบ้าน คอนโดฯ เพื่ออยู่อาศัยจริง มากกว่าซื้อเพื่อลงทุนถึง 70-80% ผู้สื่อข่าวสำรวจโปรโมชั่นในงานดังกล่าวพบว่า มีโปรโมชั่นจูงใจหลากหลาย เช่น บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จองทุกโครงการราคาเดียว 999 บาท โดยเพอร์เฟคแถมเฟอร์นิเจอร์ โทรทัศน์ LCD ระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายจาก AIS ฟรีค่าโอน เป็นต้น บมจ.ศุภาลัยจัดโปรโมชั่นครบ 30 ปี จองในงานรับ gift voucher จากสยามพารากอน 10,000 บาท จองมูลค่า 500,000 บาทขึ้นไป ลุ้นจับรางวัลใหญ่รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และรางวัลอื่นรวม 300 รางวัล บมจ.ริชี่ เพลส 2002 จัดโปรฯอยู่ฟรี 2 ปี พร้อมราคาเริ่มต้นพิเศษ 1.99 ล้านบาท ลดสูงสุด 300,000 บาท และมีโปรโมชั่นเฉพาะของแต่ละโครงการ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-371499
จำนวนผู้อ่าน: 2117
16 กันยายน 2019
“กรมราง” เร่งทำผลงานชิ้นโบแดง เปิดสูตรลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า 4 สาย ชง 2 แนวทาง คลอดตั๋วเดือน 300-500 บาท หั่นราคาช่วง off peak เหลือ 20-25-30 บาท บีทีเอสขอดูรายละเอียด จ่อชง “ศักดิ์สยาม” ไฟเขียว ก.ย. คิกออฟ ธ.ค.นี้ คาดคนใช้เพิ่ม 1.5 แสนเที่ยวคนต่อวัน นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่า วันที่ 6 ก.ย. 2562 เป็นครั้งแรกที่คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าได้ประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีคำสั่งแต่งตั้งเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา 2 แนวทางลดค่ารถไฟฟ้าเริ่มปีนี้ โดยคณะกรรมการมีอธิบดีกรมรางเป็นประธาน มีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรุงเทพมหานคร (กทม.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) “มี 2 แนวทาง คือ ให้ส่งเสริมการใช้บัตรโดยสารแบบรายเดือน และลดราคาในช่วง off peak หรือนอกเวลาเร่งด่วน ให้ไปพิจารณาลดอัตราสูงสุด เหลือ 20-25-30 บาท เช่น สีม่วงจาก 14-42 บาท เหลือ 14-20 บาทเพื่อจูงใจคนเดินทางมากขึ้น ลดความแออัดช่วงเร่งด่วน คาดว่าจะทำให้ผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทุกระบบ 10% หรือประมาณ 1.5 แสนเที่ยวคนต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.33 ล้านเที่ยวคนต่อวัน คาดว่าภายในเดือน ก.ย.นี้จะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาและเริ่มทดลองได้ภายในปีนี้” สั่งจัดโปรโมชั่นบัตรรายเดือน นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าวว่า เป็นความพยายามอย่างยิ่งของกรมการขนส่งทางรางที่จะทำให้สำเร็จ ซึ่งผลประชุมก็เป็นที่น่าพอใจ หลังได้ดูข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณผู้โดยสารในช่วงเร่งด่วนและไม่เร่งด่วน รายได้ การส่งเสริมการเดินทางในแต่ละระบบเพื่อลดรายจ่ายของประชาชน ทั้งนี้ แนวทางระยะสั้นที่ทำได้ง่ายและจะดำเนินการให้ทันภายในปีนี้ คือ ให้รถไฟฟ้าแต่ละระบบมีการจัดโปรโมชั่นบัตรโดยสารแบบรายเดือนและจำกัดจำนวนเที่ยว เพื่อให้ค่าโดยสารถูกลง ซึ่งปัจจุบันบีทีเอสได้ดำเนินการอยู่แล้ว มีค่าโดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 26 บาทต่อเที่ยว โดยลดลงจากค่าโดยสารโดยเฉลี่ยต่อเที่ยว 29 บาท ลงมาที่ 12% BEM-BTS พร้อมให้ความร่วมมือ แต่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ได้ยกเลิกบัตรโดยสารรายเดือนไปแล้วเมื่อเดือน ส.ค. 2560 ทั้งนี้ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้กรุงเทพ (BEM) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่กำกับดูแลทั้ง 2 สายทางก็พร้อมที่จะสนับสนุนที่ทำบัตรโดยสารรายเดือน แต่ขอเสนอให้คณะกรรมการ (บอร์ด) อนุมัติก่อน ขณะที่แอร์พอร์ตลิงก์อยู่ระหว่างดำเนินการจะทำโปรโมชั่นนี้และรอเสนอให้บอร์ดการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) อนุมัติเร็ว ๆ นี้ โดยให้เวลา 2 สัปดาห์ให้รถไฟฟ้าแต่ละระบบ เพื่อให้บอร์ดแต่ละแห่งพิจารณาและปรับเวลาช่วงเร่งด่วน (peak hour) และไม่เร่งด่วน (off peak hour) ให้ตรงกันเพื่อไม่ให้ผู้โดยสารเกิดความสับสน และลดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมต่อไป “แอร์พอร์ตลิงก์มีช่วงเร่งด่วน 3 ช่วง คือ 05.30-07.00 น. ช่วง 10.00-17.00 น. และช่วง 20.00-24.00 น. สายอื่น ๆ จะเป็นช่วงเช้า-เย็น สายสีน้ำเงิน ช่วง 06.00-09.00 น. และช่วง 16.00-19.30 น. สีม่วง ช่วง 06.30-08.30 น. และช่วง 17.00-19.30 น. บีทีเอส ช่วง 07.00-09.00 น. และ 16.00-20.00 น.” ทั้งนี้ ช่วงเร่งด่วนจะมีรถไฟฟ้าให้บริการ 6 ชั่วโมง และมีคนใช้บริการ 60% ส่วนช่วงไม่เร่งด่วนจะให้บริการอยู่ที่ 13 ชั่วโมง และมีผู้ใช้บริการอยู่ที่ 40% ซึ่งเวลาการให้บริการยังเหลื่อมล้ำกันอยู่ให้ทำเป็นมาตรฐานเดียวกัน นั่งสีม่วง-น้ำเงิน 48 บาท “แอร์พอร์ตลิงก์จะลดราคาสูงสุดช่วงไม่เร่งด่วนให้ 40% จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 15-45 บาท ส่วนบัตรรายเดือนอยากให้แต่ละระบบกำหนดราคาอยู่ที่ 300-500 บาท สายสีม่วงและสายสีน้ำเงินจะทำโปรโมชั่นร่วมกัน จากปัจจุบันราคาสูงสุดอยู่ที่ 70 บาทต่อเที่ยว ทาง BEM อยู่ระหว่างเสนอให้บอร์ดพิจารณาลดราคาอาจจะเป็น 48 บาทต่อเที่ยว ขณะที่บีทีเอสขอนำข้อมูลกลับไปพิจารณารายละเอียด ทั้งนี้ ในส่วนของบีทีเอสส่วนต่อขยายทางกรุงเทพมหานครจะคงราคา 15 บาทตลอดสายไว้” แอร์พอร์ตลิงก์ลด 40% นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ เปิดเผยว่า เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ และเป็นการจูงใจให้มาใช้บริการนอกชั่วโมงเร่งด่วน จะลดอัตราค่าโดยสารลงอีก 40% แบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา คือ ระหว่างเวลา 05.30-07.00 น. ช่วงที่ 2 ระหว่างเวลา 10.00-17.00 น. และช่วงที่ 3 ระหว่างเวลา 20.00-24.00 น. จากอัตราค่าโดยสารปกติ เริ่มต้นที่ 15-45 บาท เหลือ 15-25 ตามระยะทาง เป็นระยะเวลา 3 เดือน คาดว่าจะเสนอบอร์ด ร.ฟ.ท.พิจารณาอนุมัติภายในเดือนนี้ ปัจจุบันแอร์พอร์ตลิงก์มีปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ย 75,000 เที่ยวคนต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 14% และมีผู้ถือบัตรโดยสารประมาณ 300,000 ใบ ในช่วงวันจันทร์-พฤหัสบดีมีผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ย 80,000 เที่ยวคนต่อวัน วันศุกร์ใช้บริการ 90,000 เที่ยวคนต่อวัน นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีให้ความร่วมมือ แต่ต้องวิน-วินด้วย คือ ประชาชนได้ประโยชน์ และเอกชนอยู่ได้ ซึ่งขอดูรายละเอียดและข้อเสนอจากภาครัฐก่อน เช่น เก็บอัตราเท่าไหร่ ทั้งนี้ บีทีเอสมีการจัดทำบัตรโดยสารรายเดือนแบบจำกัดเที่ยวอยู่แล้ว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-370827
จำนวนผู้อ่าน: 2186
13 กันยายน 2019
สร้างรายได้ - องค์กรภาครัฐและเอกชนใน จ.พัทลุงพยายามผลักดันโครงการก่อสร้างสนามบินพัทลุง มูลค่า 2,000 ล้านบาทอีกครั้ง หลังจากที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยยังไม่มีแผนแม่บทในการสร้างสนามบินแห่งใหม่ บรูไน-อังกฤษ-จีนเสนอลงทุน “สนามบินพัทลุง” ครบวงจร ทั้งโครงสร้าง-ศูนย์ซ่อมเครื่องบิน-ศูนย์ฝึกอบรม-โรงแรม-สนามกอล์ฟ บนพื้นที่ 1,500 ไร่ของกรมธนารักษ์ บริเวณถนนเลียบทะเลสาบสงขลา ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานจากจังหวัดพัทลุงว่า หลังจากที่นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ได้มีหนังสือไปยังกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม เพื่อให้ศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้โครงการก่อสร้างสนามบินพัทลุง และทางกรมท่าอากาศยานได้แจ้งให้ทางจังหวัดทราบว่า ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยยังไม่มีแผนแม่บทในการสร้างสนามบินแห่งใหม่ พร้อมทั้งระบุว่า จังหวัดพัทลุงอยู่ภายในรัศมีวงรอบของสนามบินหาดใหญ่ และสนามบินตรัง โดยการเดินทางไม่เกิน 100 กิโลเมตรนั้น ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจจังหวัดพัทลุง (กรอ.จังหวัด) ซึ่งมีนายกู้เกียรติเป็นประธาน ได้มีการนำวาระเรื่องการประชุมติดตามความคืบหน้าแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสนามบินพัทลุงมาพิจารณา และที่ประชุมได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาขับเคลื่อนการก่อสร้างสนามบินพัทลุงอย่างจริงจังและต่อเนื่อง หลังจากมีนักลงทุนชาวต่างประเทศหลายประเทศสนใจมาลงทุนก่อสร้างสนามบินพัทลุง นายสิทธิชัย ลาภานุพัฒนกุล เจ้าของโรงแรมชัยคณาธานี จ.พัทลุง ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดพัทลุง และคณะกรรมการขับเคลื่อนการก่อสร้างสนามบินจังหวัดพัทลุง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้มี 3 บริษัทจากต่างประเทศ ทั้งบรูไน อังกฤษ และจีน เสนอตัวเข้ามาลงทุนโครงการก่อสร้างสนามบินพัทลุงอย่างครบวงจร ทั้งโครงสร้างสนามบิน สถานที่อบรมฝึกสอนการบิน ศูนย์ซ่อมเครื่องบิน ศูนย์ฝึกอบรมแอร์โฮสเตส พร้อมโรงแรม สนามกอล์ฟ เป็นต้น โดยการก่อสร้างจะดำเนินการบนที่ดินของกรมธนารักษ์ ต.ควนมะพร้าว อ.เมือง จ.พัทลุง มีพื้นที่ประมาณเกือบ 1,500 ไร่ บริเวณถนนเลียบทะเลสาบสงขลา “ทางคณะกรรมการขับเคลื่อนฯจะทำการผลักดันโครงการก่อสร้างสนามบินพัทลุงในทุกช่องทางต่อไป โดยเฉพาะการผลักดันผ่านนายนริศ ขำนุรักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป สิ่งที่กรมท่าอากาศยานตีกลับมาถือเป็นข้ออ้างที่ระบุว่า จังหวัดพัทลุงอยู่ภายในรัศมีวงรอบของสนามบินหาดใหญ่ และสนามบินตรัง โดยการเดินทางไม่เกิน 100 กิโลเมตร จึงไม่ได้พิจารณาโครงการสนามบินไว้ในแผนแม่บทนั้น หากเปรียบเทียบสนามบินลำปาง เชียงใหม่ สกลนคร นครพนม กระบี่-ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี-เกาะสมุย และสนามบินดอนเมือง-นครปฐม ระยะทางไม่เกิน 100 กิโลเมตร โดยเฉพาะสนามบินกระบี่-ภูเก็ต และสนามบินสุราษฎร์ธานี-เกาะสมุย มีระยะทางห่างกันประมาณ 50 กิโลเมตร แต่กลับสร้างสนามบินได้” นายสิทธิชัยกล่าวต่อไปว่า หากมีการก่อสร้างสนามบินพัทลุงจะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับจังหวัดพัทลุง และประเทศไทย เช่น มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจฐานรากดีขึ้น “ส่วนการตั้งศูนย์ซ่อมเครื่องบินมีความจำเป็น เพราะปัจจุบันสายการบินมีการเติบโตมาก ขณะที่นักบินก็ขาดแคลน จึงจำเป็นต้องสร้างศูนย์ฝึกนักบิน” ผศ.ดร.กุณทล ทองศรี ผู้ประสานงานกลุ่มคณะทำงานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสนามบินพัทลุง เปิดเผยว่า ทางกลุ่มคณะทำงานได้ทำการผลักดันโครงการสร้างสนามบินพัทลุง ซึ่งขณะนี้มีพื้นที่ประมาณ 1,500 ไร่ ของกรมธนารักษ์ ตั้งอยู่ ต.ควนมะพร้าว อ.เมือง จ.พัทลุง บริเวณถนนเลียบทะเลสาบสงขลา โดยนายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง (อบจ.) พร้อมจะโอนมอบที่ดินแปลงนี้ให้สำหรับดำเนินโครงการก่อสร้างสนามบินพัทลุง เป็นสนามบินพาณิชย์ และต้องมีปัจจัยสนับสนุนเพื่อให้สนามบินคุ้มทุน คือ การลงทุนสร้างสนามศูนย์ฝึกอบรมนักบิน ศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องบิน และการเปิดสอนสาขาซ่อมบำรุงอากาศยาน หรือสาขาที่เกี่ยวข้องที่วิทยาลัยเทคนิคพัทลุงด้วย อนึ่ง ทางจังหวัดพัทลุงได้เคยสำรวจข้อมูลการเดินทางพบว่าชาวพัทลุงเดินทางด้วยเครื่องบินเฉลี่ยปีละ 98,697 คน หรือเดือนละ 8,223 คน หรือวันละ 273 คน โดยใช้บริการสนามบิน 3 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานตรัง รองลงมาเป็นท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ และท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-370830
จำนวนผู้อ่าน: 2106
13 กันยายน 2019
สาขาแรก - เอสซีจีเริ่มทดลองร้านสะดวกซื้อไร้พนักงาน "S-BingoBox" สาขาแรกที่ สนง.ใหญ่บางซื่อ โดยมีพนักงานให้ความสนใจเข้ามาทดลองใช้บริการและถ่ายรูปอย่างต่อเนื่อง ร้านสะดวกซื้อไร้พนักงาน เทรนด์ใหม่มาแรง ยักษ์ใหญ่ “เอสซีจี”นำร่อง S-BingoBox 2 สาขารวด ปลายกันยาฯนี้ ปักหลัก “บางซื่อ-CDC” หวังนำเทคโนโลยีโลกอนาคตมาใช้เรียนรู้พฤติกรรมลูกค้า ร้านค้าปลีกที่ไม่มีพนักงานและแคชเชียร์ หรือร้านค้าปลีกออฟไลน์ยังเป็นกระแสที่บรรดาผู้ประกอบการค้าให้ความสนใจพร้อมทั้งได้ทุ่มงบฯเพื่อนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาทดลองใช้มากขึ้น SCG ลุยสะดวกซื้อ แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด (CBM) ในเครือเอสซีจี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเปิดร้าน BingoBox ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อแบบบริการตัวเอง (self-service) ไม่มีพนักงานขาย ใช้พื้นที่ร้านขนาดประมาณ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ โดยปัจจุบันเปิดไปแล้ว 1 สาขาที่สํานักงานใหญ่ บางซื่อ เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง และที่ SCG Experience CDC ถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา จะเปิดให้บริการในช่วงปลายเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ แหล่งข่าวย้ำว่า การเปิดร้านดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในโครงการนำร่องของ CBM เพื่อจะศึกษาและเรียนรู้รูปแบบการนําดิจิทัลเทคโนโลยีมาทดลองใช้ในธุรกิจค้าปลีก รวมถึงยังเป็นการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าโดยเริ่มจากพนักงานภายในและลูกค้าที่ SCG Experience เป็นอันดับแรก หลังจากเปิดให้บริการแล้วเราจะเน้นการทดลองระบบของทั้ง 2 สาขานี้ก่อน และหากประสบความสำเร็จก็พร้อมที่จะขยายผลและเปิดเพิ่มในอนาคต ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สำรวจร้าน S-BingoBox สาขาบริษัท เอสซีจี สำนักงานใหญ่ พบว่า ร้านดังกล่าวได้ทดลองเปิดให้พนักงานและผู้ที่เข้าไปติดต่อธุระได้ใช้บริการแล้ว โดยการใช้งานภายในร้านจะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น “S-BingoBox” ลงในสมาร์ทโฟนแล้วจึงสร้างบัญชีผู้ใช้ชั่วคราวด้วยการใส่เบอร์มือถือ และเปิดแอปเพื่อสแกนคิวอาร์โค้ดหน้าประตู เพื่อเข้าไปภายในร้าน โดยสินค้าภายในร้านเอส-บิงโกบอกซ์นั้นมีความคล้ายคลึงกับร้านสะดวกซื้อทั่วไป เช่น เครื่องดื่ม ไอศกรีม ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฯลฯ ส่วนขั้นตอนการชำระสินค้านั้น ใช้ระบบวิเคราะห์ภาพในการแยกสินค้าผู้ใช้บริการต้องนำมาวางบนพื้นที่ที่จัดไว้ แต่ละช่องจะมีป้ายเขียนกำกับประเภทของสินค้า เช่น ขวด-กระป๋อง, สินค้าเล็กใหญ่ โดยระบบสามารถคิดราคาสินค้าได้หลายชนิดในครั้งเดียว จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนของการชำระเงิน ซึ่งรองรับการจ่ายแบบคิวอาร์โค้ดเพื่อตัดผ่านบัญชี ส่วนการออกจากร้านจะใช้ระบบจดจำใบหน้าเพื่อปลดล็อกประตู จากการสอบถามพนักงาน ร้านดังกล่าวอยู่ในช่วงทดลอง ระบบยังไม่สมบูรณ์ดีนัก เช่น ความเสถียรของตัวแอป หรือการที่หน้าจอบางส่วนยังเป็นภาษาจีน เป็นต้น ส่วนสาขาที่เอสซีจี เอ็กซ์พีเรียนซ์ เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 เดือนจึงจะเปิดให้บริการได้ ต้นกำเนิดจากเซี่ยงไฮ้ รายงานข่าวจากวงการค้าปลีก เปิดเผยว่า สำหรับร้านบิงโกบอกซ์ (BingoBox) เป็นหนึ่งในเชนร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงแบบไร้พนักงาน ที่ก่อตั้งขึ้นช่วงปี 2560 ที่กระแสของเทคโนโลยีนี้กำลังบูมในแดนมังกรด้วยความร่วมมือระหว่างสตาร์ตอัพจีนกับบริษัท Auchan จากฝรั่งเศส เปิดสาขาแรกในกรุงปักกิ่งเมื่อปี 2560 จนปัจจุบันมีสาขาประมาณ 500 แห่งทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ และเดินหน้าขยายออกนอกประเทศ โดยเปิดสาขาแล้วในไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลเซีย รวมถึงไทย ซึ่งจับมือกับเอสซีจี และมีแผนรุกญี่ปุ่นกับออสเตรเลียต่อไป “ซิหลิน เฉิน” ซีอีโอบิงโกบอกซ์ กล่าวว่า โดยเฉลี่ยใช้พื้นที่เล็ก 14 ตร.ม. มีสินค้า 200 ชนิด รวม 400-800 ชิ้น ขึ้นกับทำเล โดยลูกค้าจะต้องสแกนคิวอาร์โค้ดผ่านแอปบิงโกบอกซ์เพื่อเปิดประตูเข้าไปในร้าน ส่วนการซื้อเพียงวางสินค้าบนเครื่องสแกนเพื่อคำนวณราคาและจ่ายเงินด้วยวีแชตหรืออาลีเพย์ ซีอีโอบิงโกบอกซ์ ระบุว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ไม่มีความซับซ้อนจะช่วยให้การขยายสาขาเร็ว คล่องตัวและโดยใช้เวลา 40 นาทีในการรีสต๊อกสินค้า ตัวร้านถอดประกอบ-ย้ายทำเลได้ง่าย รักษาความปลอดภัยด้วยระบบจดจำใบหน้าและกล้องวงจรปิดที่เชื่อมต่อกับศูนย์รักษาความปลอดภัย และส่งโปรโมชั่นผ่านออนไลน์ไปยังลูกค้าได้ โดยสาขาในจีนมียอดขายเฉลี่ย 150-300 เหรียญสหรัฐต่อวัน คืนทุนได้ใน 5 เดือน เซเว่นฯ สหพัฒน์ JD มาแน่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในประเทศไทยยังมีผู้ประกอบการไทยและต่างชาติทดลองเปิดร้านค้าปลีกไร้แคชเชียร์คึกคัก อาทิ เจดี ดอทคอม ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาตลาดและกฎหมาย อาจจะเปิดในไทยปีหน้า ขณะที่เครือสหพัฒน์จับมือกับทรู บิสซิเนสฯ พัฒนาระบบร้านไร้แคชเชียร์ Unmanned Store และนำร้านตัวอย่างของ His & Her Smart Shop มาเปิดทดลองใช้ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ปี 2562 ขณะเดียวกัน สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาฯจับมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ Sasin Scan N”Go Powered by SCB ร้านขายของที่ระลึกแบบไร้แคชเชียร์ ส่วนเซเว่นอีเลฟเว่นเริ่มทดลองระบบจ่ายเงินด้วยการสแกนใบหน้าที่สาขาทรู ดิจิทัล พาร์ค สุขุมวิท 101 เช่นกัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-370544
จำนวนผู้อ่าน: 2106
13 กันยายน 2019
ภัยไซเบอร์โตไวตามสปีดเน็ต เปิดสถิติ ปอท. 8 เดือน มูลค่าความเสียหายทะลุ 371 ล้าน จาก 2,870 คดี แซงหน้ายอดทั้งปี 2561 เฉพาะภัยจากแฮกเกอร์ 633 คดี “ปอท.” กองปราบฯจับมือ “เอ็มเฟค” สร้างเครือข่าย “ไวต์แฮกเกอร์” พลตำรวจตรีไพบูลย์ น้อยหุ่น ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เปิดเผยว่า สถิติผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ บก.ปอท.ในปี 2562 ณ 30 ส.ค. 2562 มี 2,870 คดี มูลค่าความเสียหาย 371,096,744 บาท ขณะที่ทั้งปี 2561 มียอดอยู่ที่ 2,718 คดี มูลค่าความเสียหาย 527,309,998 บาท โดยยอดแจ้งความมากที่สุด คือ การกระทำผิดด้วยการเผยแพร่เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม รองลงไปคือการกระทำผิดโดยมีระบบเป็นเครื่องมือ อาทิ หลอกโอนเงินทางอีเมล์หรือโทรศัพท์ romance scam (ใช้ความรักมาล่อลวงเอาทรัพย์สิน) หลอกขายสินค้า-บริการ ตามด้วย การกระทำผิดโดยมีระบบเป็นเป้าหมาย อาทิ แฮกระบบเพื่อปรับเปลี่ยน/ขโมย/ทำลายข้อมูล หรือแฮกเพื่อหลอกโอนเงิน ล่าสุด บก.ปอท.ได้จับกุม 2 นักศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ที่แฮกเข้าระบบของร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง เพื่อลักลอบนำโค้ดส่วนลดออกไปขายในโซเชียลมีเดีย และทำให้เว็บไซต์ล่ม จนทำให้สูญเสียรายได้นับล้านบาท “ร้านไม่ได้อัพเดตระบบทำให้เกิดช่องโหว่ ซึ่งในโซเชียลมีเดียจะมีกลุ่มลับที่คอยเข้าไปทดลองแฮก” การป้องกันตนเองเบื้องต้นขององค์กรและผู้ใช้งานทั่วไป คือ อย่าตั้งรหัสผ่านในการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ง่ายต่อการคาดเดา อาทิ วันเดือนปีเกิดหรือเบอร์โทร.เรียงกัน 3 รอบ หมั่นเปลี่ยนรหัสผ่าน รวมถึงหมั่นอัพเดตซอฟต์แวร์และระบบรักษาความปลอดภัยให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และหากมีอีเมล์สอบถามข้อมูลส่วนบุคคลโดยอ้างหน่วยงานต่าง ๆ จะต้องสอบถามในช่องทางสื่อสารทางการก่อนเสมอ รวมถึงการใช้งานโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ควรตั้งระบบยืนยันตัวบุคคลแบบ 2 ชั้น (two-factor authentication) โดยเข้าที่ “การตั้งค่า” และเลือก “การรักษาความปลอดภัย” แล้วกดเลือก “ระบบยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น” “คดีเกี่ยวกับแฮกระบบมีจำนวนไม่มาก แต่มีมูลค่าความเสียหายเยอะ บางคดีเป็น 10 ล้านบาท แต่มีส่วนน้อยที่มาแจ้งความ เพราะเกรงจะส่งผลกระทบในด้านอื่น ขณะเดียวกัน จากแนวโน้มของจำนวนคดีจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือ” โดยในส่วนของ บก.ปอท.ได้ร่วมมือกับกองปราบปราม (บก.ป.) และ บมจ.เอ็ม เอฟ อี ซี หรือเอ็มเฟค บริษัทให้บริการคำปรึกษา พัฒนา วางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายไอซีที จัดแข่งขันแก้ปัญหาแบบทดสอบความปลอดภัยทางไซเบอร์ “TCSD Cyber Security Competition” และการประชุมความปลอดภัยไซเบอร์ หรือ TCSD Cyber Security Conference 2019 ด้านพลตำรวจตรีจิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการปราบปราม (บก.ป.) เปิดเผยว่า การทำงานของตำรวจในปัจจุบัน จำเป็นต้องสร้างเครือข่ายร่วมกับประชาชน อาทิ เครือข่ายไวต์แฮกเกอร์จะช่วยงานป้องกันและปราบปราม นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็มเฟค กล่าวว่า อาชญากรรมไซเบอร์เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา จำเป็นต้องมีการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงอย่างเท่าทัน ซึ่งการแข่งขันนี้จะกระตุ้นให้เกิดความเรียนรู้และสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่องทั้งภาครัฐและเอกชน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-370708
จำนวนผู้อ่าน: 1954
13 กันยายน 2019
โครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด นโยบายที่รัฐใช้งบประมาณจำนำข้าวจากเกษตรกรมาครอบครองไว้ในมือรัฐมหาศาลแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และจัดฉากนำข้าวดังกล่าวมาขายออกไปต่างประเทศด้วยวิธีรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้กับตัวแทนรัฐบาลจีนที่สมมุติขึ้นมา ซึ่งเบื้องหลังคือการให้ผู้ส่งออกรายหนึ่ง (สยามอินดิก้า หรือชื่อเดิมคือ เพรซิเด้นท์ อะกริเทรดดิ้ง) เป็นนายหน้ากระจายขายข้าวรัฐให้กับผู้ส่งออกรายอื่น ๆ ที่ไม่มีโอกาสจะเข้าถึงสต๊อกข้าวรัฐโดยตรง กินกำไรส่วนต่างกันอย่างครึกโครม จนนำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการตรวจสอบโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลคดีทุจริตโครงการระบายข้าวสารแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณา ในชั้นต้นไปเมื่อปี 2559 ผ่านมา 4 ปี ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์คดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 โดยให้เพิ่มโทษนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จาก 42 ปี เป็น 48 ปี ส่วน นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ จำคุก 36 ปี และจำคุกอดีตข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ประกอบด้วย นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ 40 ปี นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ/ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว 32 ปี และ นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ (ช่วยเกลี้ยง) อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ 24 ปี และวีระวุฒิ วัจนะพุกกะ ซึ่งหลบหนีไปแล้ว รวมถึงผู้ประกอบการวม 28 ราย อาทิ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร 48 ปี และจำเลยอื่น ๆ ทั้งหมด และมีมติให้ทั้งหมดร่วมกันชดใช้ความเสียหายให้กับกระทรวงการคลัง 16,900 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% นับแต่วันรับมอบข้าวตามสัญญา อย่างไรก็ตาม ผลอุทธรณ์ครั้งนี้ปรากฏว่าศาลมีคำสั่งจำคุก “นางประพิศ มานะธัญญา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจียเม้ง 4 ปี โดยให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี พร้อมทั้งปรับ 2.5 หมื่นบาท และเรียกค่าเสียหายต่อรัฐ 55 ล้านบาท จากเดิมที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งยกคำร้องนางประพิศเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2559 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ 3 เดือน “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์นางประพิศซึ่งได้นำข้าวถุง “Q Rice” เข้าร่วมงานแสดงสินค้าไทยเฟกซ์ 2019 เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 แสดงความมั่นใจในการเดินหน้าธุรกิจหลังศาลชั้นต้นยกคำฟ้อง โดยระบุว่า “เราถูกชี้มูลไปว่าสนับสนุนจำเลยอื่น ๆ ที่กระทำผิดแต่พิสูจน์ว่าทำมาค้าขายปกติ ซื้อข้าวจากโกดังที่เหลืออยู่โดยไม่ทราบหรอกว่าข้าวมาอย่างไร เพราะซื้อตามราคาตลาด ปริมาณหมื่นกว่าตัน และส่งออกหมด…ทั้งย้ำว่าทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ จริงใจ ฉะนั้น อะไรจะเกิดขึ้นก็ตามเรารู้ว่าทำอะไรถูกหรือผิด” ประเด็นดังกล่าวสร้างความฮือฮาในวงการค้าข้าวอย่างมาก หากย้อนกลับเมื่อปี 2559 บริษัทเจียเม้งยื่นเรื่องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการตนเอง เนื่องจากมีหนี้สินล้นพ้นตัว และเดือนมีนาคม 2560 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้องคดีดำ ฟ.17/2559 ที่เจียเม้ง (จำเลย) ระบุมีหนี้รวม 4,480 ล้านบาท กับเจ้าหนี้ 37 ราย เป็นสถาบันการเงิน 7 แห่ง 3,480.5 ล้านบาท อาทิ ซีไอเอ็มบี ไทย ซึ่งขณะนั้นแจ้งว่ามียอดเงินกู้ 490 ล้านบาท มีหลักทรัพย์เป็นที่ดินสิ่งปลูกสร้างอุปกรณ์และเครื่องจักรในโรงงาน, ธนาคารกสิกรไทย 516.5 ล้านบาท ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย 175.1 ล้านบาท, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 145.4 ล้านบาท, ธนาคารกรุงเทพ มีหลักทรัพย์ที่ดิน 157 ล้านบาท และเจ้าหนี้การค้าและหน่วยราชการ 30 ราย รวม 996.3 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนั้นมีทั้งโรงสี ผู้ประกอบการรายย่อย และกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์รวมอยู่ด้วย ทันทีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สอบถามไปยัง “เจ้าหนี้” ของเจียเม้งหลายราย ได้รับการชดใช้หนี้ไปแล้ว เช่น โรงสีบางแห่งได้ที่ดินของเจียเม้งเพื่อเป็นการชดใช้หนี้ ขณะที่ “กรมการค้าต่างประเทศ” ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหนี้แจ้งว่าเตรียมประชุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางดำเนินการกับหนี้ดังกล่าว เพราะเคสนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ทางบริษัทเจียเม้งยังได้มีการขอใบอนุญาตส่งออกข้าวแต่ปริมาณไม่มากนัก ซึ่งอาจจะกระทบต่อการชำระหนี้หรือไม่ยังต้องพิจารณาอีกครั้ง แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าวตั้งข้อสังเกตว่า ผลการพิจารณาศาลอุทธรณ์นี้ทำให้นักธุรกิจในแวดวงต่างระมัดระวัง เพราะยังมีคดีจีทูจีลอต 2 ที่อยู่ระหว่างพิจารณา หากผู้ส่งออกที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับการพิจารณาเช่นเดียวกับเคสของเจียเม้ง และต้องร่วมชดใช้ค่าเสียหายคืนรัฐ อาจจะนำไปสู่ปัญหาสภาพคล่องของธุรกิจข้าวหรือไม่ เพราะปรากฏชื่อผู้ส่งออกรายใหญ่ระดับท็อปของเมืองไทยหลายรายที่อยู่ในโผ ประเด็นนี้จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่ออนาคตการส่งออกข้าวไทย รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า คดีนี้สร้างบทเรียนให้กับวงการข้าวและหน่วยงานภาครัฐอย่างมาก โดยคนทุจริตอยากได้ข้าว เพราะข้าวทั้งหมดอยู่ในมือรัฐบาล โรงสีที่มั่นใจว่ามีเส้นสายสามารถเข้าร่วมโครงการก็กู้เงินมาขยายโรงสีเกินกำลังการผลิต ผู้ส่งออกใช้อิทธิพลการเมืองก็แข่งขันได้ แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน พอหมดยุคการเมืองไปก็ไป ขณะที่โรงสีอีกกลุ่มที่ตัดสินใจไม่ร่วมโครงการ ไม่พึ่งพิงการเมือง ทำธุรกิจปกติ ถึงจะลำบากตอนนั้น แต่ก็อยู่รอดมาได้ ขณะที่สถาบันการเงินก็คงต้องระมัดระวังเรื่องหนี้สิน สภาพคล่องโรงสีก็ถือเป็นอีกด้านที่ต้องดำเนินการกันต่อไป ส่วนจะมีผลต่อสภาพคล่องการค้าข้าวหรือไม่ยังประเมินไม่ได้ เพราะจีทูจีลอต 2 ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และที่สำคัญที่สุดคือ บทเรียนต่อการกำหนดนโยบายรับจำนำข้าวทุกเม็ด ต่อไปรัฐบาลไม่ควรเข้าไปยุ่งกับธุรกิจ ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด นำเงินงบประมาณไปใช้ลงทุนด้านอื่นที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-370674
จำนวนผู้อ่าน: 1952
13 กันยายน 2019
บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ร่วมกับ กรมประมง และกลุ่มภาคประชาสังคมในพื้น จัดพิธี “ส่งมอบและจัดวางปะการังเทียม ภายใต้ความร่วมมือการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล และฟื้นฟูการประมงชายฝั่งทะเลอย่างยั่งยืน” จำนวน 1,000 แท่งให้กับชุมชน อ.ระโนด จ.สงขลา และ อ.เมือง จ.นราธิวาส เพื่อฟื้นฟูและสร้างระบบนิเวศทางทะเลให้สมบูรณ์มากขึ้น การจัดวางปะการังเทียมจะเป็นการสร้างที่อยู่ ที่หลบภัยและที่เพาะพันธุ์ของสัตว์น้ำ ทำให้สัตว์น้ำมีจำนวนมากขึ้น และชาวประมงสามารถนำมาใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนได้ ทั้งนี้ภายในงานยังมีการเสวนาในหัวข้อ “ความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและฟื้นฟูการประมงชายฝั่งอย่างยั่งยืน” ซึ่งเป็นการสะท้อนมุมมองผนึกกำลังทุกภาคส่วนต่างๆ ในการอนุรักษ์ทะเลไทยอย่างยั่งยืน “วิชาญ อิงศรีสว่าง” รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความเสื่อมโทรมของท้องทะเล ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำในน่านน้ำของไทยมีปริมาณลดน้อยลงเป็นอย่างมากจนบางชนิดอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งส่งผลต่อการประกอบอาชีพของชาวประมง และทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงครอบครัว จากปัญหาดังกล่าวกรมประมงจึงได้ดำเนินโครงการฟื้นฟูทรัพยากรประมงชายฝั่งทะเล โดยการจัดสร้างปะการังเทียมอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ปี 2521 โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจเอกชน “ปะการังเทียมมีประโยชน์ในการใช้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย เลี้ยงตัว วางไข่ และหลบภัยของสัตว์น้ำ ทั้งยังเป็นการป้องกันการทำการประมงที่มีลักษณะทำลายทรัพยากร จะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ท้องทะเล รวมทั้งเป็นการพัฒนาแหล่งทำการประมงทั้งการประมงพื้นบ้านและการประมงพาณิชย์ ทำให้ชาวประมงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนถึงปัจจุบันกล่าวได้ว่าท้องทะเลไทยมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นจากการจัดวางปะการังเทียม” “ลำหรับการจัดวางปะการังเทียมครั้งนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าในระยะที่ 2 จากการลงนามความร่วมมือในโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและฟื้นฟูการประมงชายฝั่งอย่างยั่งยืน ทั้งในพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเล ทั้งฝั่งภาคตะวันออกอ่าวไทย และทะเลอันดามัน ระหว่างกรมประมง เครือเจริญโภคภัณฑ์ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์และบริษัท ทรู คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน โดยครั้งนี้กรมประมงเป็นตัวแทนส่งมอบปะการังเทียมให้กับจังหวัดสงขลา และจังหวัดนราธิวาส เพื่อนำปะการังเทียมจำนวน 1,000 แท่งไปส่งมอบให้กับชุมชนชายฝั่ง อ.ระโนด จ.สงขลา และ อ.เมือง จ.นราธิวาส เพื่อดำเนินการต่อไป “ศุภชัย เจียรวนนท์” ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า จากวิกฤตและปัญหาที่เกิดขึ้นกับท้องทะเลของประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เครือเจริญโภคภัณฑ์ในฐานะภาคเอกชนที่เป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของระบบเกษตรอุตสาหกรรม และอาหารที่เกี่ยวข้องกับท้องทะเลไทย จึงให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและฟื้นฟูการประมงชายฝั่งอย่างยั่งยืนทั้งในพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเลทั้งฝั่ง ภาคตะวันออกอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โดยดำเนินการผ่านแนวคิดหลัก SEACOSYSTEM เพื่อทะเลไทยยั่งยืน เพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลเชิงบูรณาการสำคัญ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) นโยบายในการพัฒนารูปแบบการทำธุรกิจที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (SD in Process) โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ชูการทำงานที่โปร่งใสและมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย เช่น นโยบายการรับซื้อปลาป่นที่ต้องได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับจากทุกภาคส่วน การร่วมขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานด้านอาหารทะเล เช่น Seafood Taskforce ตลอดจนนโยบายบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ที่มีเจตนารมณ์ในการร่วมจัดการของเสียและขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ 2) ส่งเสริมศักยภาพชีวิตชุมชน เช่น การพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดียั่งยืน ด้วยรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม และส่งเสริมกระบวนการสร้างความเข้มแข็งให้แก่คนในชุมชน 3) สร้างแหล่งที่อยู่อาศัยสัตว์น้ำ เช่น โครงการป่าชายเลน โครงการปะการังเทียม บ้านปลา แนวเขตและกติกาเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรของชุมชน 4) การขยายพันธุ์สัตว์น้ำ เช่น โครงการธนาคารสัตว์น้ำ และ 5) การวิจัยและพัฒนา โดยร่วมผลักดันให้เกิดการพัฒนาด้านทรัพยากรทางทะเลระดับประเทศ ผ่านงานวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน เช่น งานวิจัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรปลาทู และงานวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการทำประมงอย่างยั่งยืน “สำหรับความร่วมมือกับกรมประมงในการจัดวางปะการังเทียมต่อเนื่องเป็นระยะที่ 2 จำนวน 1,000 แท่ง ในพื้นที่ชุมชนทะเลชายฝั่ง อ.ระโนด จังหวัดสงขลา และ อ.เมือง จ.นราธิวาส ในครั้งนี้ เรามุ่งหวังให้ท้องทะเลภาคใต้ของไทยฟื้นคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ พี่น้องชาวชุมชนมีรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ถือเป็นพัฒนาการอีกหนึ่งก้าวของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการพัฒนาความยั่งยืนสู่ท้องทะเลไทย” “ศุภชัย” กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ศึกษาวิจัยติดตามผลการดำเนินงานในโครงการจัดวางปะการังเทียม ภายใต้ความร่วมมือกับกรมประมงตามโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและฟื้นฟูการประมงชายฝั่งอย่างยั่งยืนทั้งในพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งภาคตะวันออกอ่าวไทยและทะเลอันดามัน จากงานวิจัยดังกล่าวพบว่า ผลการดำเนินงานในพื้นที่ อ.สทิงพระ จ.สงขลา ซึ่งเป็นการดำเนินงานในระยะที่ 1 นั้น การวางปะการังเทียมทั้งหมดไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียต่อท้องทะเลบริเวณดังกล่าวทั้งทางเคมีและทางกายภาพ แต่ยังพบว่าท้องทะเลบริเวณดังกล่าวมีความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น สำรวจพบว่ามีปลามากถึง 35 ชนิด และจำแนกเป็นปลาเศรษฐกิจมากถึง 22 ชนิดและปลาสวยงามอีก 8 ชนิด ทำให้ชุมชนประมงชายฝั่งในบริเวณดังกล่าวสามารถจับสัตว์น้ำได้มากขึ้น “ในปีนี้เครือซีพีจึงได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนดำเนินการขยายพื้นที่วางปะการังเทียมเพิ่มขึ้นเป็นระยะที่ 2 จำนวน 1,000 แท่ง ให้กับพื้นที่ชุมชน อ.ระโนด จังหวัดสงขลา 500 แท่ง และ อ.เมือง จ.นราธิวาส 500 แท่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมทางระบบนิเวศในการสร้างปะการังเทียม จนถึงปัจจุบันเครือซีพีได้จัดวางปะการังเทียมในทะเลไทยรวมทั้งสิ้น 2,000 แท่ง ทำให้ชุมชนประมงชายฝั่งในพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากทะเลได้อย่างยั่งยืนสามารถสร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” นอกจากนี้ บริษัทในเครือฯ ทั้ง บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทหลักในกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร และบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีออลล์ ซึ่งเป็นบริษัทหลักในกลุ่มธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่าย ได้ผนึกกำลังร่วมกับเครือซีพีซึ่งเป็นบริษัทแม่ในการเดินหน้าอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้ดำเนินโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ที่ซีพีเอฟได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบันสามารถร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนได้จำนวน 2,388 ไร่ ใน 5 พื้นที่ได้แก่ จ.ระยอง จ.สมุทรสาคร จ.ชุมพร จ.สงขลา และ จ.พังงา ขณะที่ซีพีออลล์ ร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลโดยรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกตามเกาะต่างๆ ในทะเลฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ได้แก่ เกาะลันตา เกาะยาวน้อย เกาะหลีเป๊ะ เกาะเต่า เกาะเสม็ด เป็นต้น “เครือซีพีมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบาย SEACOSYSTEM เพื่อทะเลไทยยั่งยืน ด้วยการผนึกกำลังบริษัทต่าง ๆ ในเครือฯ นำความรู้และความสามารถ ตลอดจนทักษะ และประสบการณ์ รวมไปถึงการสร้างเครือข่าย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของเครือซีพี ที่มุ่งมั่นจะสร้างธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยยึดมั่นความกตัญญูทั้งต่อประเทศชาติ สังคมและบริษัท ตามหลักค่านิยม 3 ประโยชน์ ต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-370839
จำนวนผู้อ่าน: 2085
13 กันยายน 2019
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นวันที่ 13 ก.ย.62 ว่า เรามีมุมมองเป็นกลาง-บวกคาดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) รีบาวด์ขึ้นทดสอบ 1,665 – 1,670 จุด ตอบรับสถานการณ์สงครามการค้าที่ผ่อนคลายลง หลังมีกระแสข่าวสหรัฐฯ กำลังพิจารณาทำข้อตกลงการค้าฉบับชั่วคราวกับจีน รวมถึงจีนจะเริ่มซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อการเจรจาการค้ารอบใหม่ที่จะจัดขึ้นในต้นเดือน ต.ค.นี้ นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่อนคลายนโยบายการเงินแม้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0% แต่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ลง 0.10% เป็น -0.5% รวมถึงใช้มาตรการ QE วงเงิน 2 หมื่นล้านยูโร/เดือน ตั้งแต่เดือนพ.ย.แบบไม่กำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซน ซึ่งเป็นบวกต่อทิศทางการลงทุนในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบที่ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องจะกดดันให้ดัชนีสลับอ่อนตัว ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนยังคงแนะนำการลงทุนในหุ้นรายตัว (Selective Buy) กลุ่มที่อิงกับปัจจัยต่างประเทศ (Global play) ได้แก่ PTTEP, TOP ,IVL ,KCE และ HANA จากอานิสงส์สถานการณ์สงครามการค้าที่ผ่อนคลายลง กลุ่มไฟแนนซ์ MTC, SAWAD และ THANI ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง และหุ้น Defensive stock ได้แก่ AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, BGRIM, TPCH, TTW และ CPALL ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-370836
จำนวนผู้อ่าน: 2020
13 กันยายน 2019
นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะพยายามขับเคลื่อนทำให้ธนาคารชุมชนเกิดขึ้นได้จริง และให้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาฐานราก คาดการณ์ว่าจะผลักดันให้สามารถตั้งธนาคารชุมชนในกองทุนหมู่บ้านที่มีผลการดำเนินการดีเด่น หรือเรียกว่าหมู่บ้านคุณภาพเกรดเอได้ทั้งหมด 20,000 หมู่บ้าน จากกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ 76,000 หมู่บ้าน สำหรับธนาคารชุมชน จะเข้ามาเป็นช่องทางในการดูแลสมาชิกในชุมชุนอย่างใกล้ชิด โดยมีธนาคารภาครัฐคอยเป็นพี่เลี้ยงให้ความรู้และบริหารจัดการให้เป็นระบบ ซึ่งธนาคารหมู่บ้านจะทำหน้าที่ในการพิจารณาสินเชื่อที่ได้รับจากธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้กับคนในชุมชนเป็นรายบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงจุดมากขึ้น เนื่องจากธนาคารชุมชนจะรู้ถึงความเป็นอยู่ที่แท้จริงของผู้กู้ยืม และโครงการนี้จะเข้ามาช่วยในเรื่องของการกู้นอกระบบได้ ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น จะต้องพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาฐานราก อย่างไรก็ดี พ.ร.บ.ธนาคารชุมชนมีผลบังคับใช้แล้ว รอเพียงกฎหมายลูกที่จะมีผลบังคับใช้ต่อไป และในวันที่ 21 ก.ย.62 จะมีการเสนอโครงการนี้ในที่ประชุมใหญ่ทุกเครือข่ายทั่วประเทศ ณ เมืองทองธานีด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-370833
จำนวนผู้อ่าน: 1922
13 กันยายน 2019
“THAI FIGHT” ประกาศต่อยอดแบรนด์สู่ธุรกิจใหม่ ทั้ง “โรงแรม-อาหาร-ฟิตเนส-เครื่องดื่ม” ผนึกตระกูล “ศรีชวาลา” เจ้าพ่อโรงแรมย่านสุขุมวิท ยกเครื่องโรงแรมในพอร์ตทั้งในประเทศ-ยุโรป-อังกฤษ ปั้นแบรนด์ “เดอะ ไทยไฟท์ โฮเทล” ตั้งเป้าทุกหน่วยธุรกิจพร้อมเปิดให้บริการกลางปีหน้า พร้อมดันธุรกิจโมเดลใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯปี”64 นายนพพร วาทิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยไฟท์ จำกัด ผู้จัดการแข่งขันชกมวยไทย THAI FIGHT เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แบรนด์ไทยไฟท์ถือเป็นแบรนด์ของประเทศไทยที่มีความแข็งแกร่งประสบความสำเร็จมาก หลังเปิดตัวด้วยการจัดอีเวนต์ชกมวยมานาน 10 ปี จากการทำวิจัยของบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศจีนพบว่า ปัจจุบันแบรนด์ไทยไฟท์เป็นที่รับรู้และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคแล้วมากกว่า 1,000 ล้านคนในทุกภูมิภาคทั่วโลก บริษัทจึงเร่งต่อยอดแบรนด์ไปในธุรกิจโรงแรม อาหาร ฟิตเนส และเครื่องดื่ม เพื่อต่อยอดให้แบรนด์มีมูลค่าในเชิงธุรกิจและจับต้องได้มากขึ้น และสามารถเดินต่อและเติบโตได้ในระยะยาว ภายใต้คอนเซ็ปต์ “1 คอนเซ็ปต์หลายคอนเทนต์” คิดถึงประเทศไทย คิดถึงความเป็นไทยต้องคิดถึงแบรนด์ “ไทยไฟท์” ต่อยอดแบรนด์สู่ 5 ธุรกิจใหม่ นายนพพรกล่าวว่า จากความพยายามในการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งและคนรู้จักแบรนด์มากกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลกตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีแผนต่อยอดแบรนด์ด้วยการขยายฐานธุรกิจไปยังธุรกิจอื่น ๆ รวม 5 ธุรกิจหลัก จากเดิมที่เน้นต่อยอดแบรนด์กับสินค้าเมอร์แชนไดส์เท่านั้น ประกอบด้วย 1.ธุรกิจเครื่องดื่ม (อยู่ระหว่างการตั้งชื่อแบรนด์) ในกลุ่มเครื่องดื่มดูแลสุขภาพ ไม่มีน้ำตาลและกาเฟอีน เป็นเซ็กเมนต์ใหม่ของสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่ม โดยมีแผนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์มาร่วม 4 ปีเต็ม 2.ธุรกิจฟิตเนส ภายใต้แบรนด์ “ไทยไฟท์ ฟิตเนส” เป็นฟิตเนสคอนเซ็ปต์มวยไทยที่มีการออกแบบที่มีความทันสมัย ทั้งรูปลักษณ์และอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกาย 3.ธุรกิจอาหาร ภายใต้แบรนด์ “ไทยไฟท์ คาเฟ่” ร้านอาหารไทยที่เน้นอาหารเพื่อสุขภาพและสมุนไพรเป็นหลัก 4.ธุรกิจผลิตภัณฑ์ผักและสมุนไพรปลอดสารพิษ ภายใต้แบรนด์ “ไทยไฟท์ ไลฟ์” และ 5.ธุรกิจโรงแรมแบรนด์ “เดอะ ไทยไฟท์ โฮเทล” โดยร่วมกับกลุ่มของนายกฤษน์ ศรีชวาลา เจ้าของบริษัท ฟิโก้ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมอยู่ในประเทศไทยรวมกว่า 10 แห่ง อาทิ พูลแมน แบงค็อก แกรนด์ สุขุมวิท, ฮอลิเดย์ อินน์ แบงค็อก สุขุมวิท, โนโวเทล แบงค็อก เพลินจิต, โนโวเทล แบงค็อก สีลม ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมในต่างประเทศอีกกว่า 30 แห่ง เช่น ประเทศอังกฤษ อาทิ The Lion Hotel, Shrewbury, The White Swan Hotel, Halifax ประเทศเยอรมนี อาทิ Days Inn Berlin West, Ibis Hotel Erfurt Ost, Ibis Gelsenkirchen), TRYP by Wyndham Bad Oldesloe), TRYP by Wyndham Berlin City East ฯลฯ ผุดเชน รร. “เดอะ ไทยไฟท์” นายนพพรกล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายทำให้แบรนด์ไทยไฟท์เป็นอีกหนึ่งเครือข่ายการบริหารโรงแรมของคนไทย และขยายโรงแรมในเครือข่ายทั้งในประเทศและทั่วโลก เช่นเดียวกับเชนบริหารโรงแรมระดับโลกอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครือไอเอชจี หรือแอคคอร์ โดยในช่วงเริ่มต้นนี้บริษัทได้ลงทุนรีโนเวตโรงแรมเมอร์เคียว หาดละไม เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ขนาด 60 ห้อง ของกลุ่มศรีชวาลาให้เป็นแบรนด์เดอะ ไทยไฟท์ โฮเทลแล้ว พร้อมนำเสนอความเป็นไทยเข้าไปในบริการต่าง ๆ ภายในโรงแรมด้วย อาทิ อาหาร, นวดสปา (แบบมวยไทย) สมุนไพรไทย ฯลฯ “เราตั้งใจปรับโฉมโรงแรมที่สมุยให้เป็นโรงแรมต้นแบบของเดอะ ไทยไฟท์ โฮเทล พร้อมนำเสนอความเป็นไทยสู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก ส่วนโครงการที่ 2 อยู่ต่างประเทศคือ เตรียมรีโนเวตโรงแรมที่อังกฤษ 200 กว่าห้อง เป็นแบรนด์เดอะ ไทยไฟท์ โฮเทล สำหรับเป็นต้นแบบในตลาดยุโรป ซึ่งเรามีแผนแถลงข่าวร่วมกับกลุ่มศรีชวาลาในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้” นายนพพรกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในซอยสุขุมวิท 49 (บริเวณเรซิเดนซ์ของกลุ่มศรีชวาลา) ให้เป็นศูนย์รวมของแบรนด์ไทยไฟท์หลาย ๆ ธุรกิจไว้ในที่เดียวกัน ทั้งธุรกิจฟิตเนส, อาหาร, ร้านจำหน่ายสินค้าเมอร์แชนไดส์แบรนด์ “ไทยไฟท์ ช็อป” รวมถึงสวนผักและสมุนไพรปลอดสารพิษ ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้างทั้งหมด พร้อมเปิดตัวกลางปีหน้า นายนพพรกล่าวด้วยว่า ตามแผนทั้งหมดธุรกิจใหม่ภายใต้แบรนด์ “ไทยไฟท์” จะเห็นเป็นรูปธรรมและเปิดให้บริการเกือบทั้งหมดในช่วงกลางปี 2563 ทั้งในส่วนของโรงแรมเดอะ ไทยไฟท์ โฮเทล สมุย, ศุนย์รวมแบรนด์ไทยไฟท์ (สุขุมวิท 49) ส่วนโรงแรมเดอะ ไทยไฟท์ โฮเทล ที่อังกฤษ คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงประมาณปลายปีหน้า “ผมมองว่าเมื่อแบรนด์เราแข็งแรง การนำแบรนด์ไปต่อยอดในธุรกิจใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งเรามีฐานคนที่รู้จักและเข้าถึงแบรนด์กว่า 1 พันล้านคน ยิ่งทำให้เราสามารถนำดาต้าที่มีมาบริหารจัดการ และต่อยอดธุรกิจที่เป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละกลุ่มได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญเชื่อว่าเวลาเราจะทำอะไรก็จะทำให้เรามีโอกาสสูงตามไปด้วย” นายนพพรกล่าวและว่า โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมนั้นถือว่าเป็นธุรกิจที่จะมีพอร์ตขนาดใหญ่ที่สุด นายนพพรยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจเมอร์แชนไดส์ถือเป็นธุรกิจแรกที่บริษัทต่อยอดจากอีเวนต์ชกมวยไทยไฟท์ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งการตอบรับด้านแบรนด์และยอดขาย ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าอยู่ประมาณ 300 ประเภทสินค้า วางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์และอีเวนต์ออนกราวนด์เป็นหลัก ซึ่งเตรียมลงทุนเปิดช็อปโดยเฉพาะ สาขาต้นแบบอยู่ที่สุขุมวิท 49 และมีแผนขยายไปในทุก ๆ จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงตลาดในต่างประเทศด้วย เล็งเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯปี’64 ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยไฟท์ กล่าวต่อไปอีกว่า ในช่วงปี 2563-2564 ถือเป็นปีที่บริษัทขยายการลงทุนอย่างก้าวกระโดด และจะเป็นปีที่แบรนด์ไทยไฟท์มีความชัดเจนและจับต้องได้มากขึ้น พร้อมกับมีแผนจะนำบริษัท ไทยไฟท์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2564 “ถึงวันนั้นเราจะมีรายได้มาจากหลายช่องทาง ขณะที่การลงทุนของบริษัทจะไม่เน้นใช้เงินจำนวนมาก จะเน้นลงทุนโดยเอามูลค่าแบรนด์เข้าไปร่วมลงทุนเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้เรามีรายได้แบบไม่มีการลงทุน ความเสี่ยงก็น้อย ดังนั้นสิ่งที่ผมเน้นคือทำให้แบรนด์เรามีแวลูที่เพิ่มขึ้น ทำให้คนทั่วโลกรู้จัก โลกของการทำธุรกิจในวันนี้ไม่มีใครที่จะลงทุนแข่งกับกลุ่ม ซี.พี. หรือกลุ่มไทยเบฟฯได้ ผมจึงเปลี่ยนมุมมองมาลงทุนเรื่องแบรนด์ และก็จะทำให้ทุกคนยอมรับว่าการลงทุนสร้างแบรนด์ก็สามารถประสบความสำเร็จได้” นายนพพรกล่าว คลิกอ่านเพิ่มเติม… “นพพร” ปั้น “ไทยไฟท์” สู่โกลบอลแบรนด์ครองใจคนทั่วโลก ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-370718
จำนวนผู้อ่าน: 2109
13 กันยายน 2019
“เซ็นทรัล วิลเลจ” ขออนุญาตสร้าง 30 อาคารพ่วงโรงแรม-ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 2,000 ตร.ม.ต่อหลัง อบต.บางโฉลงเผยใช้โควตาพื้นที่สีเขียวไม่เกิน 10% แยกสร้างบนที่ดินแปลงเดียวกันไม่ผิดกฎหมาย รื้อหลังคาจอดรถ ปลูกต้นไม้แทน นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมอบให้กรมตรวจสอบความถูกต้องโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ด้านผังเมืองใช้กิจกรรมรองในพื้นที่สีเขียวเกิน 10% และขออนุญาตก่อสร้างอาคารเป็นไปตามควบคุมอาคารหรือไม่ ทางองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บางโฉลงและองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว เนื่องจากเป็นการอนุญาตโดยท้องถิ่น ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สอบถาม อบต.บางโฉลง ซึ่งชี้แจงว่า นายอำเภอบางพลีได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วกำลังสรุปเสนอให้กระทรวงมหาดไทย ซึ่ง อบต.ได้รายงานว่าทุกอย่างทำถูกต้องตามกฎหมายผังเมืองและควบคุมอาคาร ซึ่งโครงการสร้างอยู่บนพื้นที่สีเขียว ก.1-10 (ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม) ตามกฎหมายผังเมืองจะใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการเป็นส่วนใหญ่ สามารถพัฒนากิจกรรมอื่น เช่น เชิงพาณิชย์ ได้ไม่เกิน 10% หรือ 600 ไร่ จากพื้นที่โซนนี้มี 6,000 ไร่ ซึ่งเมื่อรวมพื้นที่เซ็นทรัล วิลเลจ ยังเหลืออยู่กว่า 100 ไร่ เท่ากับไม่ขัดผังเมือง การขออนุญาตก่อสร้างอาคารก็เป็นไปตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ให้สร้างอาคารสูงไม่เกิน 23 เมตร พื้นที่ไม่เกิน 2,000 ตร.ม. ซึ่งเซ็นทรัลขออนุญาตสร้างอาคารมากว่า 30 หลัง เป็นโรงแรมสูง 3 ชั้น 2 หลัง รวม 64 ห้อง ร้านค้า ที่จอดรถที่ถือเป็นอาคารด้วย แต่ละหลังมีพื้นที่ใช้สอย 2,000 ตร.ม.ถือว่าไม่ขัดกฎหมาย เพราะแยกสร้างเป็นหลัง ไม่ได้ยื่นขออนุญาตรวมทั้งโครงการ “ส่วนที่เซ็นทรัลรื้อหลังคาที่จอดรถ เพื่อนำพื้นที่ไปปลูกต้นไม้ ทำเป็นพื้นที่สีเขียว ให้ประชาชนนั่งพักผ่อน จากเดิมขออนุญาตเป็นที่จอดรถ ส่วนโรงแรมยังไม่เสร็จ ซึ่งการเปิดใช้ต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.โรงแรม” กรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่าสร้างรุกล้ำลำรางสาธารณะ ทาง อบต.แจงว่า ตัดปัญหานี้ออกไปได้เลย เพราะสร้างชนกับไหล่ทางถนน 370 ของกรมทางหลวง ที่เทคอนกรีตทำเป็นท่อฝังใต้ฟุตปาทไว้ ที่ผ่านมาได้ให้สำนักงานที่ดินมารังวัดแล้ว ที่ดินเซ็นทรัลจาก 100 ไร่ หายไป 70 กว่าตารางวาอีกด้วย ด้านนายอำเภอบางพลีชี้แจงว่า กำลังสรุปข้อเท็จจริงให้กระทรวงมหาดไทย ซึ่ง อบจ.สมุทรปราการยืนยันโครงการยังใช้พื้นที่สีเขียวพัฒนากิจกรรมรองยังไม่เกิน 10% แหล่งข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวว่า กรณีของเซ็นทรัล วิลเลจ หากเป็นศูนย์การค้า จะไม่เข้าข่ายต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) หากมีโรงแรมก็จะต้องทำ แต่ต้องเป็นโรงแรมขนาด 80 ห้องขึ้นไป ซึ่งเซ็นทรัลมี 64 ห้องก็ไม่เข้าข่ายต้องทำ EIA ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-369969
จำนวนผู้อ่าน: 2021
13 กันยายน 2019
กระทบถ้วนหน้า - มหาวิทยาลัยราชภัฏเริ่มขยับภายหลังปัญหาเด็กเข้าเรียนน้อยทำรายได้หด ปรับหลักสูตรแข่งสู้กับมหาวิทยาลัยดังก็ยาก คาดอนาคตต้องกลับมาสู่จุดเริ่มต้นที่เป็นจุดแข็งคือ การผลิตครูคุณภาพ วงในวิเคราะห์ทิศทางราชภัฏในอีก 5 ปีข้างหน้า หากไม่ปรับตัวมีโอกาส “ควบรวม” สูง มองราชภัฏออกนอกระบบทำแก้ปัญหาใส้ในยาก แจงสังคมเข้าใจที่มาเด็กราชภัฏ ความเก่ง-ความต่างและโอกาสต่างกัน จี้รัฐแก้ปัญหา กำหนดเขตพื้นที่รับผิดชอบให้ชัดเจน แหล่งข่าวในแวดวงธุรกิจการศึกษาเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่ได้รับผลกระทบจากอัตราการเกิดน้อยลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาว่า ในปี 2562 นี้อาจจะยังไม่กระทบมากนัก หากพิจารณาจากตัวเลขของนักศึกษาใหม่ (เฉพาะระดับปริญญาตรี) ในช่วงปี 2561 ตัวเลขยังคงแตะระดับ 1,000 คนขึ้นไป แต่มีการคาดการณ์ว่าหากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขสถานการณ์ในอีก 5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มสูงที่อาจจะต้อง “ควบรวม” มหาวิทยาลัยราชภัฏในบางพื้นที่ที่มีขนาดเล็ก โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยราชภัฏเริ่มปรับตัวไปบ้าง ด้วยวิธีปิดหลักสูตรที่ไม่มีผู้สนใจเรียน และพัฒนาหลักสูตรเดิมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่จะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น อันไปสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของภาครัฐ ทำให้มหาวิทยาลัยราชภัฏยังประคองตัวเองภายใต้ปัญหาเหล่านี้ได้ ทั้งนี้ปัญหาของมหาวิทยาลัยราชภัฏไม่ได้มีเพียงแค่จำนวนนักศึกษาที่ลดลงเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกคือ 1) การออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ในช่วงขาขึ้นของธุรกิจการศึกษา ทั้งนั้นเพราะมหาวิทยาลัยราชภัฏมีการขยายหลักสูตรใหม่เพิ่มเติมเพื่อแข่งขันกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่เข้ามาเปิดวิทยาเขตในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเปิดหลักสูตรเพิ่ม ทำให้ต้องสรรหาบุคลากรเพิ่มเติม โดยเฉพาะอาจารย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ แต่เมื่อนักศึกษาน้อยลงในขณะที่ยังมีอัตรากำลังยังอยู่เท่าเดิม จึงกลายเป็นต้นทุนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏต้องแบกภาระไว้ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะได้รับงบประมาณจากภาครัฐก็ตาม 2) เมื่อมหาวิทยาลัยราชภัฏออกนอกระบบ การตัดสินใจในด้านต่าง ๆ เช่น การลงทุนขยายวิทยาเขตหรือการเพิ่มหลักสูตรใหม่ ไม่จำเป็นต้องนำเสนอกระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานที่กำกับดูแล เพราะอำนาจการตัดสินใจจะอยู่ที่ “สภามหาวิทยาลัย” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏแต่ละแห่ง และ 3) วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อดูแลการศึกษาในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งจำนวนมหาวิทยาลัยราชภัฏควรอยู่ที่ 2 จังหวัดต่อหนึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏ แต่หากมองภาพรวมในปัจจุบันถือว่ามีจำนวนมหาวิทยาลัยราชภัฏมากกว่าความต้องการในบางพื้นที่ก็มี “จริง ๆ แล้วการควบรวมสถาบันการศึกษาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละสถาบันเองมีขนาดใหญ่ มีคนทำงาน รายละเอียดค่อนข้างเยอะ แถมราชภัฏในปัจจุบันมีสถานะเป็นนิติบุคคล และถือว่าเทียบเท่ากับกรม ระดับอธิการบดีก็เทียบเท่ากับอธิบดีกรม การเข้าไปแตะปัญหาก็จะยาก ทำให้ปัญหาภายในของมหาวิทยาลัยราชภัฏไม่มีการแก้ไข แต่การจัดตั้งกระทรวงใหม่อย่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่ที่เปิดทางให้หน่วยงานรัฐเข้ามากำกับดูแลและแก้ไขปัญหาได้ ถือว่าการศึกษาไทยยังมีความหวังอยู่บ้าง” แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นคุณภาพของนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยราชภัฏว่า มักจะเป็นทางเลือกสุดท้ายในการพิจารณาเข้ารับทำงานของผู้ประกอบการ ว่าความแตกต่างและโอกาสของนักศึกษาแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ส่วนหนึ่งของนักศึกษาที่พลาดหวังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ ฉะนั้น ถือเป็นนักเรียนอีกเกรดที่มหาวิทยาลัยราชภัฏต้องรับเข้าเรียน รวมถึงนักศึกษาที่มีฐานะยากจนจะต้องเข้าถึงการเรียนในมหาวิทยาลัยราชภัฏด้วยเช่นกัน เท่ากับว่าไม่สามารถเลือกเด็กเก่งเข้ามาเรียนได้ ในจำนวนนักศึกษา 100 คน จะมีนักศึกษาที่เก่งและผู้ประกอบการรับเข้าทำงานเพียง 10-20% เท่านั้น นอกเหนือจากนี้คือแผนการขยายวิทยาเขตของแต่ละมหาวิทยาลัยราชภัฏค่อนข้างยาก ภายใต้การแข่งขันและปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จึงทำให้ต้องชะลอตัวลง ซึ่งในบางมหาวิทยาลัยราชภัฏเลือกใช้วิธีการเปิดเป็น “ศูนย์การศึกษา” แทน เนื่องจากกฎหมายกำหนดไว้ว่าการขยายวิทยาเขตของสถาบันการศึกษาจะต้องมีคณะอย่างน้อย 1 คณะ ในขณะที่การเปิดเป็นศูนย์การศึกษามีแค่อาจารย์ประจำวิชาก็สามารถเปิดดำเนินการได้ “ที่สังคมตั้งคำถามถึงคุณภาพของเด็กราชภัฏ เรามองว่าย้อนแย้งกับโอกาสทางการศึกษา เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน เด็กก็ต่างกัน มหาวิทยาลัยดังรับเด็กเก่งเข้าไปปั้นนิดเดียวเขาก็เป็นดาวได้แล้ว แต่เด็กของเราไม่ใช่ สังคมต้องเข้าใจในประเด็นเหล่านี้ด้วย ไม่ต้องการให้มองในแง่ของคุณภาพเท่านั้น อยากให้มองในแง่ของการใช้ประโยชน์ของราชภัฏที่กระจายอยู่ทั่วประเทศด้วย โดยเฉพาะการเชื่อมโยงและพัฒนาท้องถิ่นที่เป็นภารกิจที่สำคัญของมหาวิทยาลัยราชภัฏ” รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ปัญหาจำนวนนักศึกษาที่น้อยลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้มีปัญหาแค่เพียงมหาวิทยาลัยราชภัฏเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพรวมของการศึกษาทั้งระบบ ซึ่งในกรณีมหาวิทยาลัยเอกชนนอกจากจะปรับตัวด้วยการปรับหลักสูตรให้ทันสมัย รองรับกับความต้องการของผู้ประกอบการแล้ว ยังสามารถดึงพันธมิตรใหม่อย่าง เช่น นักลงทุนจากประเทศจีนเข้ามาถือหุ้นได้ เนื่องจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในจีนการแข่งขันสูงมาก ส่งผลให้หันมาเรียนในมหาวิทยาลัยของไทยที่เป็นภาคอินเตอร์มากขึ้น โดยคาดว่าปัจจุบันมีนักศึกษาจีนในไทยอยู่ที่มากกว่า 30,000 คนแล้ว ในขณะที่มหาวิทยาลัยของภาครัฐไม่สามารถดำเนินการในแบบเดียวกันได้ …………………… ก.พ.อ.ไม่ประชุม 4 เดือน นอกเหนือจากประเด็นปัญหาข้างต้นแล้ว ภายหลังจากที่คณะรัฐบาลใหม่ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรีเข้ามา จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการประชุมของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) มานาน รวมกว่า 4 เดือน ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวมีบทบาทหน้าที่ในการดูแลการบริหารงานบุคคลของข้าราชการในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของภาครัฐ ส่งผลให้มีเรื่องค้างเพื่อพิจารณาเป็นจำนวนมาก ทั้งในเรื่องการบรรจุข้าราชการ รวมถึงการพิจารณาอนุมัติตำแหน่งศาสตราจารย์ รวมถึงอัตราเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตามปัญหาของบุคลากรในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ของรัฐ ถือเป็นอีกประเด็นที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยไปกว่าประเด็นคุณภาพของทั้งครู อาจารย์ โดยเฉพาะจำนวนของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏมีมากกว่างานที่มีอยู่หรือไม่ ทั้งนี้โดยโครงสร้างอัตรากำลังของมหาวิทยาลัยราชภัฏแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ ข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานจ้างเอง และอาจารย์ประจำตามสัญญา ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏคือ พนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งคาดว่าเร็ว ๆ นี้จะเริ่มดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการฯชุดดังกล่าวเพื่อพิจารณางานคงค้างต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/education/news-369268
จำนวนผู้อ่าน: 2367
11 กันยายน 2019
พิษเศรษฐกิจขาลง ทำ “ร้านของฝาก-ของที่ระลึก” ทั่วไทยหลายจังหวัดยอดขายวูบ 20-50% “เชียงใหม่” ชี้นักท่องเที่ยวลด ทำภาพรวมแย่สุดในรอบ 20 ปี ด้าน “เพชรบุรี-อุดรฯ-ตรัง” ยอดขายลด แถมคนประหยัดจ่ายน้อย ดิ้นอัดโปรโมชั่นทั้งลด-แถม พร้อมขายออนไลน์หารายได้หนุน “มหาสารคาม” หวังมาตรการ “ชิม ช็อป ใช้” ของรัฐบาลกระตุ้นการจับจ่าย ยอดนักท่องเที่ยวชาวไทย และต่างชาติที่ลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการใช้จ่ายต่อหัวต่อคนที่ลดลง ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงยอดขายสินค้าในร้านขายของฝาก ของที่ระลึกลดลงไปตามกัน เห็นได้จากการสำรวจของ “ประชาชาติธุรกิจ” ในหลายจังหวัด “เชียงใหม่” ขายดิ่งรอบ 20 ปี นายวีระพงษ์ ยารังษี เจ้าของร้านสายทอง ร้านขายของฝากในตลาดต้นพยอม จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมของตลาดขายของฝากในปีนี้ถือว่าแย่สุดในรอบกว่า 20 ปี ตั้งแต่เปิดร้านมา โดยจำนวนนักท่องเที่ยวคนไทย ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มหลักลดลงถึง 50% ส่งผลให้ยอดขายของฝากลดลงอย่างมากราว 50% จากเดิมที่ยอดขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 20,000-30,000 บาท ปัจจุบันยอดขายหน้าร้านต่อวันเหลือเพียงราว 10,000 บาทเท่านั้น ขณะที่วัตถุดิบทุกอย่างได้ปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าหลายอย่างที่ทางร้านผลิตเองเพิ่มขึ้นราว 20-30% และส่งผลให้กำไรลดลง แต่ไม่สามารถปรับราคาขายสินค้าของฝากได้ เพราะจะทำให้ขายได้ยากขึ้น โดยยังคงขายราคาเดิม “เศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวและปัญหาการเมืองน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่กระทบต่อภาพรวมการขายของฝากจากเชียงใหม่ เพราะนักท่องเที่ยวคนไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวลดลง และต้องระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดขายของฝากเชียงใหม่ย่ำแย่มาเรื่อย ๆ ในระยะ 2-3 ปี แต่ปีนี้นับว่าหนักที่สุด ซึ่งเกือบทุกร้านในตลาดต้นพยอมประสบปัญหาเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ทางร้านสายทองได้ปรับตัว โดยผลิตสินค้าที่ทำต่อวันลดลง 50% โดยเฉพาะไส้อั่ว แคบหมู และน้ำพริกหนุ่ม เพื่อให้พอขายในแต่ละวัน และทำโปรโมชั่นทั้งลด และแถมให้กับลูกค้าที่มาซื้อหน้าร้าน” “เพชรบุรี-อุดรฯ” วูบ 50% นางณัฏฐนันทน์ ผลากุลสันติกร เจ้าของร้านหมูยอนายเติม เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ยอดขายของฝากที่ร้านมียอดขายตกมา 2-3 ปี แล้ว เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้ามีงบฯน้อยลง ทางร้านต้องการลูกค้าประจำจึงปรับตัวพยายามจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า และพยายามออกโรดโชว์ตามงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ที่สำคัญได้เปิดขายออนไลน์ด้วย ทำให้ได้ลูกค้าจากร้านยำ ร้านส้มตำใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ จึงมียอดขายจากออนไลน์เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน พยายามรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ ตอบสนองความต้องการทั้งเรื่องราคาและบรรจุภัณฑ์ โดยทางร้านมีสินค้าหลากหลาย เช่น หมูยอ กุนเชียง ขนม และของฝากอื่น ๆ อีกมากมาย นางศนันณ์ ธฉัตร ผู้จัดการร้านขายของฝาก บรูด้า จ.เพชรบุรี เปิดเผยว่า เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ส่งผลให้ลูกค้าไม่มีกำลังซื้อ รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ยอดขายลดลง 50% แต่เดิมมีรายได้ประมาณ 10,000-30,000 บาทต่อวัน แต่ขณะนี้ได้ประมาณ 5,000 ต่อวัน จึงปรับการจัดร้านใหม่จากเดิมเปิดขาย 2 ชั้น โดยชั้นแรกเป็นร้านขายของฝาก และร้านกาแฟ ส่วนชั้น 2 เป็นร้านอาหาร เหลือเปิดให้บริการเพียงชั้น 1 ส่วนชั้น 2 จะเปิดเฉพาะวันที่มีกรุ๊ปทัวร์มาลง นายปกรณ์ ตั้งพาณิชย์ ผู้จัดการร้านข้าวตัง สุคันธา จ.เพชรบุรี เปิดเผยว่า ภาพรวมของร้านในปัจจุบันยอดขายลดลง 10-15% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ปัจจัยส่วนใหญ่มาจากเศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศ อีกทั้งลูกค้ามีกำลังซื้อลดลง ซึ่งทางร้านได้มีการปรับตัวโดยเน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อดึงดูดลูกค้า และได้มีวางขายผ่านแอป Shopee Lazada รวมถึงการจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ ภายในร้าน เช่น สินค้าราคาพิเศษ ฯลฯ ส่วนลูกค้าขายส่ง ทางร้านมีการจัดโปรโมชั่น ซื้อ 10 ลัง แถม 1 ลัง และหวังว่าในอนาคตสถานการณ์จะดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงปลายปี 2562 หากลูกค้าเลือกซื้อของฝากมากขึ้น สารคามชู “ชิม ช็อป ใช้” ช่วย นางฉวีวรรณ วันดี ประธานกลุ่มสตรีทอเสื่อกกบ้านแพง ต.แพง อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เปิดเผยผลประกอบการว่า ยอดขายเสื่อกกช่วงไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ลดลงเกินกว่า 5% แม้สินค้าจะยังขายได้แต่ค่อนข้างฝืดเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำที่นิยมซื้อเป็นของฝากก็ลดน้อยลง สถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากรอเม็ดเงินจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างเช่น โครงการ “ชิม ช็อป ใช้” โดยทางกลุ่มเตรียมจะไปยื่นสมัครเป็นร้านค้าร่วม เพราะคาดหวังว่าจะได้รับอานิสงส์จากโครงการนี้มากพอสมควร นอกจากนั้น ยังหวังยอดขายจากงานโอท็อปซิตี้ในช่วงปลายปีต่อช่วงเข้าเทศกาลปีใหม่ ซึ่งคาดว่าในช่วงดังกล่าวจะมีกำลังซื้อสูง สามารถชดเชยยอดขายที่ลดลงในช่วงนี้ได้ ด้านนายกฤษฏากร ด้วงกระยอม นักธุรกิจจัดตลาดนัดในเมืองมหาสารคาม ให้ความเห็นกรณีนี้ว่า สินค้าพวกของที่ระลึก เครื่องประดับ ยอดขายลดลง เนื่องจากลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย จ่ายเฉพาะสินค้าที่จำเป็นและอยู่ในช่วงหน้าฝนกำลังซื้อช่วงนี้ต่ำอยู่แล้ว ลูกค้าที่มาเดินตลาดนัดถึงจะคึกคัก แต่ไม่ค่อยใช้จ่าย ทั้งที่เงินโครงการรัฐบาลที่แจกออกมาช่วงนี้มีจำนวนไม่น้อยแต่ยังเงียบ ๆ ไม่รู้ชาวบ้านนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายอะไร “ตรัง” รายได้สูญ 20% นายณัฐวัตร ตัณศิริเสถียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรังโอท็อป อินเตอร์เทรดเดอร์ จำกัด และผู้จัดการร้านขนมจีบป้าพิณ ผู้ประกอบการธุรกิจจำหน่ายของฝากใน จ.ตรัง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ร้านจำหน่ายของฝาก ของที่ระลึกเมืองตรังในช่วงนี้ยอดขายตกลงไปประมาณ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาพรวมทางเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ภาคท่องเที่ยวที่เป็นกำลังซื้อหลักอยู่ในภาวะชะลอตัว ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่น ทำให้มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก ขณะที่คนในจังหวัดตรังส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวนยาง สวนปาล์มน้ำมัน เมื่อราคาผลผลิตอยู่ในระดับต่ำ รายได้ลดลง ส่งผลให้กำลังซื้อลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ประมาณเดือนตุลาคมคาดว่าจะช่วยให้ธุรกิจจำหน่ายของฝาก ของที่ระลึกดีขึ้น ด้านนายภิญโญ เต็งรัง ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ โรงแรมธรรมรินทร์ ธนา อ.เมือง จ.ตรัง เปิดเผยว่า กลุ่มโรงแรมธรรมรินทร์ มีสินค้าของฝากของที่ระลึกหลายชนิดที่ขึ้นชื่อ เช่น ขนมเปี๊ยะ ขนมเต้าส้อ ผลิตภัณฑ์ปลากระป๋องปุ้มปุ้ย ฯลฯ ปีนี้ยอมรับว่ายอดขายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ไม่มากนัก เนื่องจากทางโรงแรมยังมีกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว และลูกค้าที่มางานสัมมนาอย่างต่อเนื่อง โดยทางโรงแรมจัดมุมสินค้าไว้บริการอย่างโดดเด่น และเปิดจำหน่ายภายในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานตรัง ในภาพรวมจึงทรงตัว และคาดว่าช่วงไฮซีซั่นกำลังซื้อจากกลุ่มท่องเที่ยวน่าจะกลับมาเหมือนเดิม กำลังซื้อ “ภูเก็ต” ดิ่ง กระทบห่วงโซ่ผลิต นางสาวเสาวลักษณ์ แซ่เสี้ยว ประชาสัมพันธ์ บริษัท พรทิพย์ จำกัด ศูนย์รวมจำหน่ายสินค้าของฝากของที่ระลึก จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ส่งผลกระทบต่อยอดขายค่อนข้างมาก โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนลดลง ที่ยังมีตลาดอินเดีย อินโดนีเซียเข้ามาบ้าง แต่กำลังซื้อไม่มาก ภาพรวมยอดขายปีนี้ลดลงประมาณ 30% เปรียบเทียบจากปีที่ผ่านมา ทางร้านจึงมีการปรับตัว เน้นไปขายทางออนไลน์มากขึ้น กระจายสินค้าไปยังห้างโมเดิร์นเทรด เดอะมอลล์ และห้างอื่น ๆ รวมทั้งเข้าร่วมรายการในกิจกรรมของห้างต่าง ๆ ที่จัดรายการเพื่อกระจายสินค้า และเมื่อรายได้ลดลง ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่ส่งสินค้าเป็นลูกโซ่ด้วย โดยมีการสั่งซื้อจากชาวบ้านลดลงหรือเว้นช่วงการสั่งซื้อ เช่น จากเดิมซื้อเดือนละครั้ง เว้นระยะห่างของการสั่งซื้อนานขึ้นกว่าเดิม ด้าน นางสาวกัลยา ทองสมบูรณ์ รองผู้จัดการธุรกิจค้าปลีกและการตลาด บริษัท คุณแม่จู้ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการจำหน่ายสินค้าของฝากของที่ระลึกของทางร้านปีนี้ยอดขายลดลงจากปีที่แล้วประมาณเกือบ 20% มีการส่งสินค้าไปขายตามห้างโมเดิร์นเทรด เช่น ศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง ภูเก็ต เป็นต้น นักท่องเที่ยวจีนลดลง ทำให้กระทบต่อยอดขายตามไปด้วย จึงมีการปรับตัวของสินค้าให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น มีการทำโปรโมชั่นให้ลูกค้า เช่น ลดเปอร์เซ็นต์ลงในการซื้อสินค้า เป็นต้น รวมทั้งปีนี้ทำตลาดออนไลน์เต็มรูปแบบเพื่อเพิ่มยอดขาย ผ่านทางเว็บเพจของร้าน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าของทางร้าน 90% เป็นคนไทยที่เหลือ 10% เป็นคนต่างชาติ เมื่อยอดขายลดลง ต้องลดปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจากชาวบ้านที่ผลิตให้น้อยลงตามลำดับ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-369573
จำนวนผู้อ่าน: 2052
11 กันยายน 2019