ข่าวประชาสัมพันธ์

บรรยง : ชงยาขมถอนพิษโควิด กู้ได้ 20% ของจีดีพี-รื้อขายรัฐวิสาหกิจลดหนี้

“บรรยง พงษ์พานิช” ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน แขกคนสำคัญของ “พรรคกล้า” ที่มี “กรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้ารวมพลระดมสมองในหัวข้อ “ความปกติใหม่ และวิสัยทัศน์ประเทศไทย” บนโลกวิถีใหม่-new normal โลกสะดุดครั้งใหญ่-ศก.ถดถอย “บรรยง” กล้าที่จะสารภาพว่า ไม่รู้ว่าโลกหลังโควิด-19 จะเป็นอย่างไร เขาใช้ประสบการณ์ของผู้ที่ผ่านร้อน-ผ่านหนาวเริ่มต้นเล่าเรื่อง โลกก่อนวิกฤตโควิด-19 เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาหลังสงครามเย็น ความเจริญทางเศรษฐกิจทะยานต่อเนื่อง ผลผลิตของโลกเติบโต 4 เท่า ขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นไม่ถึง 2 เท่า สงครามเย็นยุติลง โลกาภิวัตน์เดินหน้า แม้ยังมีปัญหาเรื่องการกระจายผลประโยชน์ไม่ทั่วถึง ยังมีคนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง “โลกสะดุดแรง ครั้งใหญ่ที่สุดหลังศตวรรษสงครามโลกครั้งที่สอง ครั้งที่หนึ่ง วิกฤตเศรษฐกิจ great depression ค.ศ. 1930 และวิกฤตเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง” วิกฤตโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจทั้งโลกมีปัญหา เพราะโลกเชื่อมโยงกันมากขึ้นจึงลุกลาม ไร้พรมแดน ไม่มีประเทศใดในโลกปราศจากเชื้อโควิด-19 “โลกจะเข้าสู่สภาวะ recession (ถดถอย) ต่อให้พบวัคซีนปีหน้า แต่ Damage is done ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ต้องใช้เวลาไม่น้อยที่จะแก้ปัญหาให้หมดไป” จีดีพีติดลบ 10% “บรรยง” ยกนิ้วให้กับระบบสาธารณสุขของไทยที่สามารถรับมือกับโควิด-19 ได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งในโลก แต่ด้วยเศรษฐกิจไทยมีปัญหาในเชิงโครงสร้าง ทำให้มาตรการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลมี “ต้นทุนสูง” เช่น ปัญหาการเจริญเติบโต การกระจายไม่บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นประเทศกำลังพัฒนา 10 ปี ที่ผ่านมามีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ติดกับดักศักยภาพ โดยเฉพาะ productivity ไม่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจไทยเกี่ยวโยงกับต่างชาติเยอะ จึงเกิดความเปราะบางจากวิกฤตโลก รวมถึงการท่องเที่ยวส่งออก ผลกระทบค่อนข้างหนัก “ตอนนี้เราเจอปัญหาเศรษฐกิจใหญ่มโหฬารแน่นอน การปิดเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นการปิดตามคำสั่งของรัฐบาล เป็นการตัดสินใจที่ผมสนับสนุนนะ ตัดสินใจเอาเรื่องสุขภาพก่อน แต่หนีไม่พ้นที่จะเจอปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาก” สำนักพยากรณ์เศรษฐกิจคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้จะ “ติดลบ 5.8%” แต่เขาเชื่อว่า “ติดลบ 10%” มากกว่าครั้งวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ค.ศ. 1998 ซึ่ง “ติดลบ 9%” “คราวนี้จะติดลบต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เพราะทั้งโลกประสบปัญหาวิกฤตเดียวกัน เศรษฐกิจไทยจะตกต่ำ เนื่องจากการกระจายความเหลื่อมล้ำ-ความมั่งคั่งและโอกาสไม่ค่อยดี ทำให้คนเดือดร้อนมาก” “ถ้ามองประวัติศาสตร์โลก สงครามโรคระบาด วิกฤตเศรษฐกิจจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ครั้งนี้ก็คงลดบ้าง แต่เป็นการลดที่เราไม่ค่อยชอบ การเห็นมหาเศรษฐีจนลงเราไม่ได้ปลื้มใจไปด้วย ทุกคนจะเจอผลกระทบ” เขาให้คาถากันภัย-กันพิษวิกฤต ต่อยอดจากคำว่า “VUCA” ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ 3 คำ 1.agility ความคล่องตัวสูง 2.resilience การยืดหยุ่น ความสามารถในการฟื้นตัว และ 3.technology และ data ข้อมูลที่จะนำมาประกอบกัน “ผมคัดค้านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ 4 พันหน้า ใช้ไม่ได้ ต้องไปแก้รัฐธรรมนูญให้เลิกมีซะที พิสูจน์ให้เห็นว่า วิธีการต้องเปลี่ยน โลกคาดการณ์ไม่ได้ ทำให้การวางแผน วางยุทธศาสตร์ยากมาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย” ถอนพิษโควิด 4 ล้านล้าน บ่อยครั้งที่ “บรรยง” แสดงความคิดแหลมคม ครั้งนี้เขาแฉลบไปพูดถึงมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ของรัฐบาล รวมถึงมาตรการที่มี “ข้อกังขา” ว่า “อุ้มเศรษฐี” “ผมสนับสนุนและคิดว่า อาจจะไม่พอด้วยซ้ำ 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ ด้านสาธารณสุขมีเท่าไหร่ก็ต้องใส่ให้หมด เยียวยาผู้เดือดร้อนโดยตรงระยะสั้นให้อยู่ได้ โดยเฉพาะคนด้อยโอกาสต้องได้รับการดูแลให้พ้นช่วงวิกฤตไปได้” “ผมเห็นด้วยกับมาตรการดูแลระบบการเงินให้เดินต่อไปได้ ไม่ให้เกิดวิกฤตซ้อน ดีกว่าตามแก้ปัญหา เพิ่มสภาพคล่องระยะสั้นไม่ให้บริษัทเล็ก-ใหญ่เจ๊ง จนกระทบทั้งห่วงโซ่ซัพพลายเชน เช่น การจ้างงาน” แม้ “บรรยง” จะนิยามตัวเองว่าเป็น neoliberal ตัวยง แต่เขาเชื่อว่า ประวัติศาสตร์ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตใหญ่ในโลก รัฐเท่านั้นที่จะเป็นเจ้าภาพ mobilize resource (ระดมทรัพยากร) จำนวนมโหฬารเข้าไปแก้วิกฤตได้ กู้เงิน 10 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีไม่น่ากลัว 20 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีก็ไม่น่ากลัว แม้จะทำให้หนี้สาธารณะติดเพดานก็จริง แต่ต้องชื่นชมรัฐไทยตั้งแต่สมัย พล.อ.เปรมที่มีวินัยการคลังดี หนี้สาธารณะจึงอยู่ในขอบเขตที่จัดการได้ มีกำลังเหลือพอจะใช้ได้ “ถ้าเราขึ้นไปเต็มเพดาน ผมอยากจะยุไปได้เลย ไปอีก 10 เปอร์เซ็นต์จนเต็มเพดานหนี้สาธารณะ อยากลดหนี้สาธารณะของรัฐไทย ทำได้ 2 อย่างหลัก 1.ให้เศรษฐกิจโตเยอะ ๆ เพื่อเก็บภาษีมากขึ้น 2.ขึ้นภาษี เอาจากคนรวยให้มากกว่า” “เชื่อหรือไม่ ไทยมีอย่างที่ 3 คือ ขายรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีทรัพย์สินรวมกันกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี (16 ล้านล้าน) แบ่งขายไม่ถึงครึ่งก็สามารถลดหนี้สาธารณะลงไปอีก 40 เปอร์เซ็นต์ได้อีก แต่ต้องรอจังหวะให้ได้ ต้องมีวิธีการให้ดี” ขายรัฐวิสาหกิจโปะหนี้สาธารณะ ในฐานะ “ศิษย์เก่า” บอร์ด บมจ.การบินไทย ทำให้หุ้นการบินไทยทำกำไร 2 ปีติดต่อ ปีแรก 7 พันล้านบาท ปีที่สอง 1.5 หมื่นล้านบาท ราคาหุ้นจาก 7 บาทขึ้นไปเป็น 53 บาท โชว์กึ๋น วิธีแก้ไขปัญหาการขาดทุน “ไม่แปลกใจที่รัฐบาลจะให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ 5 หมื่นล้านบาท และเห็นด้วยในภาพรวม แต่ต้องไม่ใช่การค้ำประกันเฉย ๆ หรือไม่ควรค้ำประกันด้วยซ้ำ รัฐบาลควรจะไปกู้มาแล้วให้การบินไทยกู้อีกต่อ” “ผู้กู้กับผู้ค้ำประกันมีอำนาจผิดกัน โดยให้การบินไทยเข้ากระบวนการฟื้นฟูภายใต้กฎหมายล้มละลาย เพราะทำให้เจ้าหนี้รายสุดท้าย คือ รัฐบาลมีอำนาจมากกว่า” “การบินไทยก่อนโควิด-19 ก็อยู่ได้แค่ 6 เดือนอยู่แล้ว ขาดทุนปีละหมื่นกว่าล้านบาท ทุนเหลือศูนย์ หนี้เกือบ 3 แสนล้าน ทุนติดลบ การได้เงิน 5 หมื่นล้าน จึงไม่ได้แก้ปัญหา เป็นเพียงการยืด 6 เดือนก็หมดแล้ว” “ต้องแก้แบบรื้อกระดาน ผ่าตัดใหญ่ ต้องกล้าทำ ต้องมี political will (เจตจำนงค์ทางการเมือง) จะเป็นบรรทัดฐานที่ดีในการปรับปรุงรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง” เขาดักทางมายาคติ-วิวาทะ “ขายชาติ” ที่จะย้อนศรทิ่มแทงแนวคิดการแปรรูปวิสาหกิจ “เวลาเราพูดว่า อุตสาหกรรมสำคัญในประเทศ ผู้ถือหุ้นใหญ่ควรจะเป็นของคนไทย ฟังดูดี นักการเมืองพูดทุกคน ใคร ๆ ก็พูด เช่น สายการบิน เทเลคอม แบงก์ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ทำไม ทั้งที่การขายออกไปในตลาดมีประโยชน์มาก” “ผมถามคำถามง่าย ๆ ว่า มีกี่ตระกูลที่จะไปถือหุ้นพวกนั้นได้ เรากำลังปกป้องเจ้าสัว หรือว่าปกป้องผู้บริโภคกันแน่ เวลาเรามีมายาคติแบบนี้” “บรรยง” ขอยืมหลัก 5T ของ “ดร.สันติธาร เสถียรไทย” นักเศรษฐศาสตร์-การเงินรุ่นลูก มาใช้หากวิกฤตครั้งนี้ใหญ่หลวง-มโหฬาร การใช้เงินมหาศาล 20 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพี หรือ 4 ล้านล้าน 1.T-titanic ต้องขนาดใหญ่พอ 2.T-timely ต้องทันเวลา 3.T-target ต้องตรงเป้า 4.T-transparent ต้องโปร่งใส เพราะรัฐใช้เงินทีไรคนก็ขนหัวลุก และ 5.T-สุดท้าย สำคัญและน่ากังวลมาก คือ T-temporary ต้องชั่วคราว-มีจุดจบ “ประเทศไหนที่รัฐทำเร็ว ถอยเร็ว จะมีความเจริญต่อเนื่องที่ดีกว่า ประเทศไหนที่รัฐอยู่นาน จะกึ่งไปทางสังคมนิยมค่อนข้างเยอะ และพิสูจน์แล้ว ประเทศไหนเป็นสังคมนิยมจะเติบโตช้ากว่า เพราะรัฐใหญ่” ลดอำนาจรัฐ-ปฏิรูประบบราชการ “บรรยง” ผู้ปวารณาตัวสังกัดลัทธิ neoliberal จึงเชื่อว่า “ระบบตลาด” มีประสิทธิภาพมากกว่ารัฐ-รัฐควรจำกัดการขยายตัว 3 ประการ 1.ขนาด 2.บทบาท และ 3.อำนาจ “ประเทศไทยไม่มีหลักว่าจะบริหารไปในทิศทางใด โดยเฉพาะเศรษฐกิจ รัฐไทยขยายตัวมโหฬาร โดยเฉพาะภายใต้ระบบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยยิ่งขยายตัว” “ขนาดของรัฐไม่สูงมาก 25 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี แต่รัฐวิสาหกิจกับนโยบายนอกงบประมาณใหญ่โตมโหฬาร รัฐวิสาหกิจไทยขยายจาก 5 ล้านล้าน เป็น 16 ล้านล้านใน 15 ปี 3 เท่าตัว” เมื่อขยายขนาดก็ขยายบทบาท เข้าไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ขยายอำนาจ กฎ-ระเบียบของไทยมีเป็นแสนฉบับมีมากมหาศาล เป็นอุปสรรค ยิ่งขยายรัฐ ยิ่งขยายคอร์รัปชั่น วิธีเพิ่มประสิทธิภาพที่ดีที่สุด คือ การลดรัฐ ครั้งนี้เป็นโอกาส “แปรรูปวิสาหกิจ คือ การลดรัฐ การปล่อยทรัพยากรให้ตลาดจัดการจะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะโลกพิสูจน์แล้วว่าตลาดคือการแข่งขัน ภายใต้โครงสร้างที่วางไว้ดีเท่านั้น ถ้าปราศจากตลาด รัฐจะเป็นสังคมนิยม” หาก “บรรยง” มีอำนาจอยู่ในมือ หลังสถานการณ์โควิด-19 เรื่องแรก-เรื่องเดียวที่จะทำ เขามองโลกสวย คือ การปฏิรูประบบราชการ “ขอทำ project ที่ทำอยู่แล้วให้จริงจัง คือ regulatory guillotine การปฏิรูประบบราชการ ซึ่งห่อหุ้มกฎหมาย ถ้าปฏิรูปกฎหมายได้ รัฐมีหน้าที่-อำนาจแค่ไหน เพื่อ release ราชการ และระบบตลาดให้ทำงานดีขึ้น ส่งเสริมตลาด ไม่แทรกแซง” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-460185

จำนวนผู้อ่าน: 1747

06 พฤษภาคม 2020

สธ.ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ำลาย ชี้ผลแม่นยำ

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขพัฒนาวิธีการ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ำลาย ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ตรวจหาในกลุ่มคนจำนวนมากเป็นกลุ่มก้อน  ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ราคาถูก ผลแม่นยำ เมื่อวันที่  24 เมษายน 2563 ที่สถาบันบำราศนราดูร จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และนายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร ร่วมกันแถลงข่าว การตรวจเชื้อโควิด 19 ในน้ำลาย ว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสถาบันบำราศนราดูร ได้ร่วมกันพัฒนาวิธีการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ำลาย ซึ่งวิธีการตรวจดังกล่าวโรงพยาบาลรามาธิบดีได้ทำการวิจัยพบว่าได้ผลแม่นยำ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับวิธีการตรวจจากสารคัดหลั่งหลังจากจมูกและคอหรือวิธีการตรวจหาสารพันธุกรรม (RT-PCR) ซึ่งวิธีการตรวจหาเชื้อในน้ำลายนี้ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ ส่วนข้อดีของตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ำลาย คือ ราคาถูก เก็บตัวอย่างง่ายกว่า สามารถเก็บได้ด้วยตัวเอง ทำให้บุคลากรปลอดภัยมากขึ้น ไม่ต้องใช้หรือลดการใช้ชุดป้องกัน PPE กระทรวงสาธารณสุขใช้การตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ำลาย ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก และการค้นหาผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการในชุมชน ทำให้ค้นหาผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว นำเข้าสู่ระบบการรักษา ป้องกันการแพร่ระบาดของโรค สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันทีทุกพื้นที่ที่มีการระบาด ชุมชนแออัด หรือจุดเข้า-ออกของประเทศ ส่วนผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคหรือ PUI คือ มีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจที่มาตรวจรักษาในสถานพยาบาล จะใช้วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจจากสารคัดหลั่งหลังจมูกและคอเป็นหลัก สำหรับวิธีการเก็บน้ำลาย สามารถนำกระป๋องไปเก็บเองได้ที่บ้าน โดยต้องล้างมือให้สะอาด เทอาหารสำหรับเก็บตัวอย่างไวรัสลงในกระป๋องเก็บน้ำลาย ขากน้ำลายที่อยู่ในลำคอส่วนลึกเหมือนขากเสมหะปิดฝากระป๋องพันด้วยพาราฟิลม์และใส่ถุงซิปล๊อค 3 ชั้น และนำส่งห้องปฏิบัติการภายใน 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ จะต้องไม่แปรงฟัน ใช้น้ำยาบ้วนปาก ดื่มน้ำ หรือเคี้ยวหมากฝรั่งก่อนเก็บน้ำลาย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-455230

จำนวนผู้อ่าน: 1832

25 เมษายน 2020

ยื่นทบทวนสิทธิ์รับเงินเยียวยา 5 พันบาท เฉียด 3 ล้านคน ‘คลัง’ คาดเสร็จ พ.ค.นี้

ธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลั “ธนกร”แจง คลังส่งผู้พิทักษ์สิทธิ์ลงพื้นที่ทบทวนสิทธิ์เยียวยา5พันบาทราบรื่น คาดเสร็จเรียบร้อยประมาณต้นพฤษภาคม เผย”อุตตม”สั่งผู้บริหารแบงค์รัฐลงพื้นที่ติดตามใกล้ชิด นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงมาตรการจ่ายเงินเยียวยา 5000 บาทว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ส่งผู้พิทักษ์สิทธิ์ลงพื้นที่ตรวจสอบประชาชนที่ยื่นทบทวนสิทธิ์ทั่วประเทศ ซึ่งได้รับรายงานจากผู้ปฏิบัติงานว่า การลงพื้นที่ตรวจสอบการทบทวนสิทธิ์แต่ละจังหวัดเรียบร้อยดี พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ที่ยื่นทบทวนสิทธิ์ได้เตรียมเอกสารหลักฐานไว้พร้อมทำให้การตรวจสอบรวดเร็ว เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยล่าสุดมีประชาชนยื่นขอทบทวนสิทธิ์มาแล้วจำนวนเกือบ 3 ล้านคนจากผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์คัดกรองจำนวน 10.6 ล้านคน นายธนกร กล่าวอีกว่า ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่มาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สิทธิ์ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในภาวะวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจากรายงาน เจ้าหน้าที่พิทักษ์สิทธิ์กับผู้ขอทบทวนสิทธิ์ต่างปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เว้นระยะห่างทางสังคม ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า จะเร่งเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โดยทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยประมาณต้นเดือนพฤษภาคมนี้ นอกจากนั้น นายอุตตมยังสั่งการให้ผู้บริหารธนาคารของรัฐลงพื้นที่ติดตามการทบทวนสิทธิ์อีกด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-455227

จำนวนผู้อ่าน: 1667

25 เมษายน 2020

เราไม่ทิ้งกัน เพิ่มปุ่มใหม่ “สีแดง-สีชมพู” – “ยกเลิกสิทธิ – สละสิทธิ”

กรณีกระทรวงการคลังเปิดให้ผู้ที่ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท จากสถานการณ์การแพร่ระบาดการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระหว่างเดือนเมษยน-มิถุนายน ผ่าน www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยพบว่ามีผู้ลงทะเบียนให้ข้อมูลไม่จริง รวมถึงกลุ่มที่ไม่สมควรได้รับสิทธิเยียวยาแต่ได้รับสิทธิไปแล้ว เช่น กลุ่มพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทรวงการคลังจะเปิดเมนูเพิ่มเติม คือ เมนูสีแดง “ยกเลิกสิทธิ” และ เมนูสีชมพู “สละสิทธิ” ตามลำดับ ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายนนั้น เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 25 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า www.เราไม่ทิ้งกัน.com ได้เพิ่มเติมเมนูดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยปุ่มสีแดงหรือเมนู “ยกเลิกการลงทะเบียนหรือยกเลิกการทบทวนสิทธิ” เป็นช่องทางสำหรับผู้ที่ให้ข้อมูลไม่จริง โดยหลังจากที่ทีมพิทักษ์สิทธิได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลตรวจสอบพบว่ามีคนจำนวนหนึ่งให้ข้อมูลไม่จริง จึงต้องเปิดเมนูดังกล่าวเพื่อรองรับ ทั้งนี้จากก่อนหน้านี้ได้มีผู้ลงทะเบียนยกเลิกไปแล้วกว่า 8.9 แสนคน สำหรับปุ่มสีชมพูหรือเมนู “สละสิทธิ” เป็นการเปิดช่องทางให้กลุ่มที่ต้องการขอคืนเงินเยียวยาเข้ามาสละสิทธิ ซึ่งขณะนี้ได้รับแจ้งว่า มีกรณีผู้ได้รับสิทธิเยียวยาเสียชีวิต ทางครอบครัวต้องการที่จะคืนเงินเยียวยาดังกล่าว ขณะเดียวกัน ยังมีพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งประกอบอาชีพอิสระได้สิทธิรับเงินเยียวยาด้วย ซึ่งกระทรวงการคลังเพิ่งมาตรวจสอบย้อนหลังเจอ เมื่อพบว่าขาดคุณสมบัติ ก็ต้องให้กลุ่มนี้คืนเงิน เพราะจัดอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้รับสิทธิเยียวยา ‘เราไม่ทิ้งกัน’ เปิดช่อง “ขอสละสิทธิ์” ไม่รับเงิน 5 พันบาท 25 เม.ย.นี้ “เราไม่ทิ้งกัน” เร่งจ่ายเงินเยียวยา 5 พันบาท วันละ 7 แสนคน เริ่ม 27 เม.ย.นี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-455221

จำนวนผู้อ่าน: 1829

25 เมษายน 2020

จัดลำดับก่อน-หลัง สำหรับลูกจ้างที่จะถูกเลิกจ้าง

คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์ โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ http://tamrongsakk.blogspot.com ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจสิ่งที่เราท่านมักจะได้ยินได้ฟังข่าวร้ายจากสื่อต่าง ๆ อยู่เสมอคือ “การเลิกจ้าง” ซึ่งการเลิกจ้างมักเป็นเรื่องที่ลูกจ้างมักจะกลัว และไม่อยากจะให้เป็นตัวเราเอง เพราะต้องมาหางานใหม่ ไหนจะเรื่องเงินขาดมือในระหว่างว่างงานอีกล่ะ ฯลฯ การเลิกจ้างอาจจะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ หนึ่ง เลิกจ้างเพราะบริษัทจำเป็นต้องปิดกิจการ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องมาจัดลำดับก่อน-หลังหรอกครับ เพราะทุกคนตกงานโดยเท่าเทียมเสมอภาคกันทุกคนตั้งแต่กรรมการผู้จัดการยันพนักงานระดับล่างทั้งหมด สอง เลิกจ้างเป็นบางส่วน หรือเลิกจ้างเป็นบางคน เช่น ปิดบางแผนกบางฝ่ายเลยต้องเอาคนในบางแผนก หรือบางฝ่ายออก, มีการปรับเปลี่ยนระบบ, วิธีการทำงาน หรือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้ต้องลดคนลง หรือจำเป็นต้องเลิกจ้างคนบางคนบางตำแหน่งด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม ในที่นี้ ผมจึงขอนำเอาการเลิกจ้างเป็นบางส่วน โดยจัดอันดับก่อน-หลังตามข้อ 2 ข้างต้นมาให้ท่านดูว่าถ้าหากบริษัทจะเลิกจ้างพนักงานแบบนั้น ผู้บริหารจะมีหลักเกณฑ์ยังไงในการเลิกจ้างดังนี้ครับ 1.พนักงานที่เป็น outsource หรือพนักงานที่บริษัทจ้างแบบลูกจ้างชั่วคราวรวมทั้งลูกจ้างรายวัน 2.พนักงานที่มีอายุงานน้อยที่สุด เพราะยังไม่มีอะไรผูกพันกับบริษัทมากนัก 3.พนักงานที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไปที่ชอบทำงานเหมือนเดิม ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง มอบหมายงานใหม่ให้ทำก็ไม่ยอมรับ เพราะบอกว่าอายุมากแล้วทำไม่ได้ ไม่มีผลงาน และไม่มีศักยภาพที่เพิ่มขึ้นตามอายุตัว และอายุงาน 4.พนักงานที่มีสถิติการป่วย สาย ลา ขาดงานมาก 5.พนักงานที่มีปัญหาสุขภาพ และลาป่วยบ่อยมาก มีโรคประจำตัวเรื้อรังรุมเร้าจนต้องลาป่วยบ่อยมากในแต่ละปี 6.พนักงานที่ฝ่ายบริหารเห็นว่ามีปัญหามากในเรื่องทัศนคติเป็นลบกับบริษัท ชอบทำตัวต่อต้านฝ่ายบริหาร, ชอบปล่อยข่าวลือในองค์กร, เป็นตัวตั้งตัวตีสร้างความปั่นป่วนในบริษัท, ทำตัวเป็นมาเฟียขาใหญ่ในบริษัทคอยระรานพนักงานคนอื่น ฯลฯ 7.พนักงานที่มีความประพฤติมีปัญหา หรือพนักงานที่ชอบทำความผิด หรือชอบฝ่าฝืนกฎระเบียบคำสั่งต่าง ๆ ของบริษัท เช่น เคยถูกตักเตือนด้วยวาจา, ถูกตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่ดีในการทำงาน 8.พนักงานที่ถูกประเมินให้มีผลการปฏิบัติงานในระดับต่ำ เช่น ได้รับการประเมินผลงานในเกรด D หรือ E หรือมีผลการปฏิบัติงานที่ใช้ไม่ได้ ขี้เกียจ ไม่สนใจงานการ ทำงานไม่ได้ตามเป้าหมาย, ไม่ได้ตามตัวชี้วัด KPIs หรือไม่สามารถรับผิดชอบงานได้ตามที่ตกลงกันอยู่เป็นประจำ 9.พนักงานที่ผู้บริหารไม่ชอบหน้าเป็นการส่วนตัว อันนี้อาจจะเป็นเกณฑ์ในการคัดคนออกที่นอกตำรา แต่ในชีวิตจริงมันเป็นอย่างนี้จริง ๆ นะครับ คือถามว่าพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทำงานดีไหมก็ตอบว่าดีมีศักยภาพ แต่ดันศรศิลป์ไม่กินกันกับผู้บริหารระดับสูง (ถ้าเชื่อเรื่องกรรมก็คงจะมีกรรมกันมาแต่ชาติปางก่อนก็ได้มั้งครับ) ก็เลยถูกกาชื่อออกไปซะงั้น พนักงานที่มีลักษณะอย่างที่ผมบอกมาข้างต้นนี่แหละครับที่มักจะอยู่ในข่ายที่จะถูกเลิกจ้างเมื่อฝ่ายบริหารจำเป็นจำต้องตัดสินใจว่าใครควรอยู่ หรือใครควรจะไปก็มักจะอาศัยเกณฑ์ที่ผมบอกมาข้างต้น นี่แหละครับเป็นตัวคัดเลือกคนที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทจะเลิกจ้าง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับการเลิกจ้างเริ่มจากข้อ 1 ก่อนแล้วค่อยพิจารณาลงมาเรื่อย ๆ จนถึงข้อ 9 นะครับพูดง่าย ๆ ว่าถ้าใครมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างในข้อ 1 ถึงข้อ 9 ล่ะก็มีสิทธิตกงานได้ทั้งนั้นแหละครับ ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่อยากจะให้มีการเลิกจ้างกันหรอกนะครับ แค่อยากจะให้เป็นข้อมูลสำหรับทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายพนักงานให้รับรู้ และเข้าใจตรงกันว่าหลักเกณฑ์การเลิกจ้างมีอะไรบ้างเท่านั้นแหละครับ และขอเป็นกำลังใจให้ทั้งนายจ้าง และลูกจ้างให้ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ด้วยดีนะครับ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-454767

จำนวนผู้อ่าน: 1615

25 เมษายน 2020

ราคาทองวันนี้ คงที่ รูปพรรณขายออก 26,850 บาท

ราคาทองวันนี้ (25 เม.ย.) คงที่ เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวานนี้ โดยทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ มีราคารับซื้ออยู่ที่บาทละ 26,150 บาท ขายออกที่ราคาบาทละ 26,350 บาท ตามข้อมูลล่าสุด จากเว็บไซต์ของ สมาคมคมค้าทองคำ เมื่อเวลา 9:20 น. ที่ผ่านมา ขณะที่ ราคาทองรูปพรรณ 96.5% รับซื้ออยู่ที่ราคาบาทละ 25,681.04 บาท และขายออกที่ราคา 26,850 บาท ส่วนราคาทองคำโลก หรือ Gold Spot อยู่ที่ 1,727.00 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ สรุปราคาซื้อ-ขายทองคำในประเทศไทย ล่าสุด ประจำวันที่ 25 เม.ย. 2563 ประกาศราคาซื้อ-ขายทองคำในประเทศไทย ครั้งที่ 1 ทองแท่ง • รับซื้อ บาทละ 26,150 บาท • ขายออก บาทละ 26,350 บาท ทองรูปพรรณ • รับซื้อ บาทละ 25,681.04 บาท • ขายออก บาทละ 26,850 บาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-455213

จำนวนผู้อ่าน: 1635

25 เมษายน 2020

พิษโควิด-19 โต๊ะจีนนครปฐมเจ๊งพันล้าน ปรับตัวสู่ดีลิเวอรี่

พิษโควิด-19 ทำธุรกิจโต๊ะจีนล้มทั้งระบบ งานเลี้ยง-อีเวนต์หายเกลี้ยง ประธานชมรมธุรกิจโต๊ะจีนนครปฐม ขาใหญ่ระดับประเทศประเมินรายได้สูญ 1,000 ล้านบาท แรงงานลูกจ้างตกงานกว่า 5 พันคน “เกรียงไกรโภชนา” ดิ้นปรับตัวจัดเมนูเซตส่งดีลิเวอรี่ ประคองธุรกิจ ผู้ประกอบการในสระบุรีชี้เจ๊งแน่ ถ้าอีก 2 เดือนยังวิกฤตแบบนี้ วอนรัฐบาลช่วยเหลือ 200 โต๊ะจีนนครปฐมล้มทั้งยืน นายประพฤติ อรรฆธน ประธานชมรมธุรกิจโต๊ะจีนจังหวัดนครปฐม และเจ้าของโต๊ะจีนยุทธพงษ์โภชนา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่เกิดปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจโต๊ะจีนทั้งระบบได้รับผลกระทบทันที เพราะผู้ว่าจ้างต้องยกเลิกการจัดงานทั้งหมดทั่วประเทศซึ่งผู้ประกอบการทั้งรายเล็กรายใหญ่กว่า 200 รายในจังหวัดนครปฐมถูกยกเลิกงานไปถึงเดือนมิถุนายน 2563 ส่งผลให้คนงานส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างรายวันตั้งแต่คนขับรถ กุ๊ก ผู้ช่วยกุ๊ก พนักงานเสิร์ฟ กลายเป็นคนตกงานทันที จากที่เคยได้ค่าแรง 600-700 บาท/วัน/คน/งาน และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงร้านขายวัตถุดิบ ธุรกิจโต๊ะเช่า เก้าอี้เช่า และถ้วยจานชามให้เช่า หากคิดภาพรวมความเสียหายของธุรกิจโต๊ะจีนจังหวัดนครปฐมประเมินเบื้องต้นสูญเสียไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการและลูกจ้างแรงงานคนไทยได้รับกระทบรวมกันกว่า 5,000-6,000 คน “ธุรกิจโต๊ะจีนเป็นอาชีพรับจ้างจัดงานไม่มีหน้าร้าน ตอนนี้หลายรายหันไปขายแบบดีลิเวอรี่ แต่ผลตอบแทนไม่มากนัก ส่วนผู้ประกอบการที่ขายเกรดพรีเมี่ยมก็ขายไม่ได้เลย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งว่า วันนี้ผู้บริโภคไม่ซื้ออาหารแพงทุกคนรัดเข็มขัดหมด ผู้ประกอบการต้องดิ้นเอาตัวรอด บางคนโชคดีลงทะเบียนและได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทจากรัฐบาล แต่รวมแล้วได้ไม่ถึง 1% วันนี้เราอยู่ยาก จะกินยังไม่มีเลย ลำบากมาก ไม่รู้จะไปเรียกร้องอะไรกับใคร ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแล ทั้งที่ธุรกิจโต๊ะจีนถือเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงคนนครปฐม การเยียวยาของภาครัฐยังไม่มาถึงคนกลุ่มนี้ ผู้ประกอบการก็ไม่สามารถกู้แบงก์ได้ง่ายเหมือนที่รัฐบาลประกาศ ทั้ง ๆ ที่เราเสียภาษีค่อนข้างสูง” จากนี้ไปสภาพการว่าจ้าง การจัดเลี้ยงจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ธุรกิจนี้ก็ต้องปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ และผู้ว่าจ้างก็คงเน้นการประหยัดไประยะหนึ่ง ทั้งนี้ ปกติช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจจัดโต๊ะจีนจะอยู่ในช่วงข้ามปี ตั้งแต่เดือนธันวาคม-พฤษภาคม เฉลี่ยปีหนึ่งจัดงานได้ 5-6 เดือนเท่านั้น รายได้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2-4 แสนบาท/เดือน จากนั้นเมื่อเริ่มเข้าฤดูฝน จะไม่มีงานเลย สถานะของผู้ประกอบการทั่วประเทศในขณะนี้ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะอยู่ได้ถึง 3-4 เดือนหรือไม่ “เกรียงไกร” รุกดีลิเวอรี่ นางสาวสุชาดา สัตยกุล เจ้าของเกรียงไกรโภชนาโต๊ะจีน จ.นครปฐม เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทางร้านได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ไว้แล้ว 1-2 เดือน ตั้งแต่มีข่าวแพร่ระบาดของโรคที่ประเทศจีน ก่อนรัฐบาลประกาศมาตรการควบคุม ซึ่งผลกระทบก็เกิดขึ้นจริง เมื่อลูกค้าที่มัดจำเพื่อเตรียมจัดงานได้เลื่อนไปหมดแบบไม่มีกำหนด “ทางร้านจึงปรับตัวจากโต๊ะจีนไปสู่ระบบดีลิเวอรี่โต๊ะจีน ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน เราคิดระบบเองว่าจะทำแบบไหน เพราะเป็นสิ่งใหม่ โดยเน้นขายผ่าน Facebook และ Line” ตลาดดีลิเวอรี่แพร่หลายมาก แต่กลยุทธ์ของเกรียงไกรโภชนาคือ ใช้ทีมงานขนส่งเอง เป็นการทำสดจากร้านถึงมือลูกค้าโดยตรง และจัดเป็นเซตให้เลือก 3 ชุด ชุดละ 7 เมนู ใส่แพ็กเกจจิ้งอย่างดี สามารถเปิดรับประทานได้ทันที เริ่มต้นเซต A ราคา 999 บาท ประกอบด้วย 1.ออร์เดิร์ฟ 5 อย่าง 2.กระเพาะปลาน้ำแดงเนื้อปูไข่นก 3.ยำหมูเส้นทอดกรอบ 4.ขาหมูทอดกรอบสามรส 5.เห็ดหอมตุ๋นซี่โครงหมูเครื่องยาจีน 6.ข้าวผัดปูทรงเครื่อง 7.เต้าหู้นมสดแปะก๊วย เซต B ราคา 1,399 บาท ประกอบด้วย 1.ห้อยจ้อ 2.กระเพาะปลาน้ำแดงเนื้อปูไข่นก 3.ยำสามกรอบ 4.เป็ดยัดไส้จำฉ่ายเกาลัด 5.เห็ดหอมตุ๋นซี่โครงหมูเครื่องยาจีน 6.ผัดหมี่ฮ่องกง 7.เต้าหู้นมสดแปะก๊วย และเซต C ราคา 1,699 บาท ประกอบด้วย 1.ออร์เดิร์ฟ 5 อย่าง 2.หูฉลามน้ำแดงเนื้อปู 3.เป็ดย่างไฟดง 4.ยำหมูเส้นทอดกรอบ 5.เห็ดหอมตุ๋นซี่โครงหมูเครื่องยาจีน 6.ผัดหมี่ฮ่องกง 7.เต้าหู้นมสดแปะก๊วย “เราส่งได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี และเริ่มไปพระนครศรีอยุธยา ราชบุรี ราคาขนส่งจะบวกเพิ่มตามระยะทาง เช่น นครปฐมบวก 100 บาท, กทม. นนทบุรี ปทุมธานี 250 บาท สมุทรปราการ 300 บาท” “เราเปิดตัวเป็นเจ้าแรกในนครปฐม แต่รายได้การทำดีลิเวอรี่ยังแตกต่างจากการจัดโต๊ะจีนอยู่มาก จากหลักแสนบาทต่อสัปดาห์สำหรับราคาจัดเลี้ยงในแต่ละงานเริ่มที่ 2,000-6,000 บาท/โต๊ะ ปัจจุบันเหลือเพียง 1,000-10,000 บาท ฉะนั้น สิ่งที่ทำอยู่จึงเป็นการประคองธุรกิจให้อยู่ได้เท่านั้น” “ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย จากนี้ไปอีก 5-6 เดือน งานจัดเลี้ยงก็ยังทำไม่ได้ การแก้สถานการณ์ก็จะสายเกินไป ไม่มีเถ้าแก่คนไหนมองว่าการทำดีลิเวอรี่ แล้วมันจะรอด หรือได้กำไรหรอก ตอนนี้เราต้องมาคิดทำอะไรใหม่ ๆ เจ้าของธุรกิจต้องไม่ล้มก่อน เพราะถ้าเราล้ม ลูกน้องเราจะล้มทั้งกระดาน ตอนนี้หากรัฐบาลมีมาตรการเยียวยาแบบเจาะลึกได้ก็จะดีมาก เพราะลูกจ้างบางคน เช่น เด็กยกโต๊ะไม่สามารถลงทะเบียนรับเงินเยียวยาได้เลย” “ดีเจโต๊ะจีน สระบุรี” ร้องรัฐอุ้ม นางฉวีวรรณ ชมะโชติ เจ้าของดีเจโต๊ะจีน จังหวัดสระบุรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สัญญาณร้ายมาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2563 แล้ว จนถึงปัจจุบันงานหายไปหมด 100% หากเป็นอย่างนี้อีก 2 เดือนคงไม่รอด รายได้หายไปเฉลี่ย 1 แสนบาท/เดือน พนักงาน 60-70 คน โดยลงทุนไปมากเมื่อปลายปีที่แล้ว ทั้งอุปกรณ์ วัตถุดิบ เมื่อเกิดวิกฤต งานไม่มี วัตถุดิบที่ซื้อมาต้องแจกจ่ายไป บางส่วนจำใจทิ้งไป “ส่วนเงินลูกค้าที่มัดจำไว้ก็ต้องคืนไปหมด สถานการณ์แย่มาก ๆ ซึ่งไม่ใช่ความผิดใคร แต่ไม่มีหน่วยงานไหนยื่นมือเข้ามาช่วยธุรกิจนี้เลย” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-453906

จำนวนผู้อ่าน: 1856

25 เมษายน 2020

ผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลกทะลุ 2.8 ล้านราย เสียชีวิต 196,972 ราย

ยอดผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกอยู่ที่ 196,972 รายแล้ว โดยสหรัฐยังคงเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดที่ 52,092 ราย มากกว่าอิตาลีที่อยู่ในอันดับสองที่ 25,969 ถึง 26,123 ราย ตามด้วยสเปน 22,524 ฝรั่งเศส 22,245 และอังกฤษ 19,506 สหรัฐยังคงครองแชมป์ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลกโดยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 37,170 คน ทำให้ตัวเลขรวมอยู่ที่ 923,612 คน ตามด้วยสเปนที่ 219,764 คน ทิ้งห่างจากสหรัฐถึง 703,848 คน อิตาลี 192,994 คน ฝรั่งเศส 159,828 คน เยอรมนี 154,999 คน อังกฤษ 143,646 คนและตุรกี 104,912 คน ส่วนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ได้รับการรักษาจนหายดีแล้วอยู่ที่ 781,255 คน ที่มา:มติชนออนไลน์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-455206

จำนวนผู้อ่าน: 1540

25 เมษายน 2020

“สมพร” เศรษฐีนี-แม่ “ธนาธร” รอจดหมายจากนายกฯเก้อ หอบเงินบริจาค รพ.ราชวิถี

นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มหาเศรษฐีนี อันดับที่ 28 ครอบครองทรัพย์สินมูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาท แม่ของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์กับ “บีบีซีไทย” ว่า รอมา 2 วันยังไม่ได้รับจดหมายเปิดผนึกจาก พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เธอบอกว่า “ถ้าท่านนายกฯ เชิญมา เราก็ไปสิ ส่วนการแสดงความคิดเห็นอะไร เราก็ดูตามเหตุการณ์ สุดท้าย 2 วันนี้ ก็พยายามตามข่าวว่าเรามีจดหมายมาไหม หรือเขาเชิญมาทางเน็ต ทางสายอะไรไหม ก็พยายามบอกเลขาฯ ทุกคนให้ช่วยกันเช็ก ของเราไม่มี แล้วก็ไม่มีชื่อ ก็เลยรอดตัวไป” นางสมพร คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ “ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าปีกว่าจะมีโอกาสฟื้นตัว” “ก็ลำบาก ๆ กันทุกภาคส่วน ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เล็กก็ลำบากแบบเล็ก แต่เราใหญ่ก็ลำบากแบบใหญ่ ต้นทุนเราก็สูง ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ไม่เหมือนผลิตภัณฑ์อื่นที่วางขายได้ตามท้องตลาดทั่วไป แต่เราทำส่งลูกค้ารายไหนก็รายนั้น” “ระยะหลัง ๆ ออร์เดอร์ลดลงหรือไม่มาเลย ทางเราก็ต้องหยุด มันแย่เลยทั้งอุตสาหกรรม ล้านนึง (เป้าหมายการผลิตรถยนต์ของ ส.อ.ท.) ก็ไม่รู้จะถึงไหม แต่ก่อนเราผลิตแล้วส่งออก แต่เดี๋ยวนี้ทุกประเทศย่ำแย่ ทุกคนไม่มีกำลังซื้อ ทำแล้วจะส่งใคร แม้เขาประกอบรถ แล้วเขาจะเอาไปขายใคร นอกจากนี้แต่ละประเทศก็พยายามสร้างฐานการผลิตของตัวเองอยู่แล้ว” ประธานกลุ่มบริษัทไทยซัมมิทระบุ ยุทธศาสตร์การบริหาร “ยุคโควิด” ของนางสิงห์แห่งค่ายไทยซัมมิท ระบุว่า “ต้องลดค่าใช้จ่ายให้ตัวเบาลง ควบคู่การวางแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจใหม่ในภาวะวิกฤต เช่น เมื่องานน้อย ก็ให้พนักงานสับเปลี่ยนเวลาทำงาน หรือหยุดมากขึ้น แล้วจ่ายเงินให้ตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด” “คิดว่าไตรมาส 3 และ 4 คงยังลำบากกันทั่ว ถ้าปีหน้า เปิดบ้านเปิดเมืองได้ หมายถึงเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้อง ไตรมาส 1 และ 2 ก็คงยังลำบาก น่าจะใช้เวลาปี 2564 อีกปีถึงจะเริ่มฟื้นเข้าที่เข้าทาง ยังต้องระวังตัวกันไม่ต่ำกว่าปีกว่าเลยว่าอย่างนั้น” ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2563 “มหาเศรษฐีนี” นำเงินสดนับล้านไปแจกประชาชน ที่ชุมชนวัดหนามแดง ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นางสมพรเล่าว่า “หลังเกิดเหตุการณ์ เขาไปพูดว่าไปหาเสียง เตรียมให้ลูกหรืออะไรต่าง ๆ เราฟังแล้วก็.. คิดได้อย่างไรน่ะ เพราะที่ตรงนั้น เราไปครั้งแรกในชีวิตนะ แล้วก็พูดออกมาแบบพยายามโยงกับธนาธร” “พอทราบข่าวว่ามาพูดถึงเราในทางลบ เรารู้สึกแย่มาก ทีแรกก็น้อยใจและโมโหด้วย แต่ได้คุยกับผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ก็บอกว่าไปถือสาเขาทำไม… แต่เท่าที่ชั่งน้ำหนักดู ประเมินแล้วผลตอบรับเป็นบวกมากกว่าลบ บวกเสีย 95% ส่วนอีก 5% เป็นลบ ก็อย่าไปถือสาเขา ทำใจดีกว่า” “มันชื่นใจนะที่ได้ไปเห็นคนยากจนกับตา เห็นคนที่เขาขาดเงินจริง ๆ ได้ให้เขากับมือ ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดกับหู” สมพรเผยความรู้สึก ทั้งนี้ ในวันที่ 24 เมษายน 2563 เธอนำเงินล้านไปบริจาคเพื่อสนับสนุนการทำหน้าที่ของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุข ที่มูลนิธิ รพ.ราชวิถี หลังจากตั้งใจลงพื้นที่แจกเงินโดยมูลนิธิไทยซัมมิทประมาณ 3 ล้านบาท แต่ถูกวิจารณ์ไปในทางที่เข้าใจว่าป็นการ “ซื้อเสียง” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/prachachat-hilight/news-455190

จำนวนผู้อ่าน: 1740

25 เมษายน 2020

ห้ามเด็ดขาด! ธปท.ตีกรอบปล่อยซอฟต์โลนอุ้ม​ SMEs​ ห้ามแบงก์​คิด​ “ค่าฟี-ดบ.ผิดนัด”

นายรณดล​ นุ่ม​นนท์​ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าว​ว่า ห้ามสถาบันการเงินเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จากสินเชื่อใหม่​ (soft loan)​ ตามพระราชกำหนด​การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563​ (วงเงิน​ 5​ แสนล้านบาท)​ ขณะที่​การเลื่อน​การชำ​ระ​หนี้​ พักเงินต้น​และดอกเบี้ย​ ออก​ไป​ 6​ เดือน​นั้น​ สถาบัน​การเงิน​ไม่สามารถ​เรียก​เก็บ​เงิน​ต้น​และ​ดอกเบี้ย​ดังกล่าว​ในครั้ง​เดียวหลังช่วงผ่อน​ปรน​ แต่ให้หารือ​กับลูก​หนี้​เพื่อหาวิธีการชำ​ระ​ที่ไม่สร้าง​ภาระ​ให้​กับลูก​หนี้​ เช่น​ การเฉลี่ย​จ่าย​เงิน​ต้น​และ​ดอกเบี้ย​ที่​เกิดขึ้น​ไป​ตาม​งวด​ที่​เหลือ​ของ​สัญญา​ เป็น​ต้น​ ทั้งนี้​ สำหรับ​สินเชื่อ​ซอฟต์โลน​นั้น​ ธปท.ให้แบงก์ยื่นรายชื่อลูกหนี้ SMEs ขอซอฟต์โลน​ตั้งแต่วันที่​ 27 เม.ย.เป็นต้นไป และเมื่อ ธปท. ตรวจสอบว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์แล้ว สถาบันการเงินจะแจ้งผลการอนุมัติให้ทราบภายใน 10 วัน โดยคาดว่าจะเร่งโอนเงินให้ลูกหนี้ได้ภายในปลายสัปดาห์หน้า ขณะเดียวกัน ธปท. ได้เร่งกำชับให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ที่เดือดร้อนโดยเร็วที่สุด และหวังว่ามาตรการนี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ SMEs ทำให้ SMEs มีเงินสดในมือเพื่อรองรับรายจ่ายจำเป็น โดยเฉพาะค่าจ้างพนักงาน นอกจากนี้ ธปท. คาดหวังว่าในช่วง 6 เดือนนี้ สถาบันการเงินจะต้องหารือร่วมกับลูกหนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ปรับแผนการผ่อนชำระหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง และช่วยจัดโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมกับธุรกิจของลูกหนี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-455187

จำนวนผู้อ่าน: 1606

25 เมษายน 2020

มหาดไทยออกประกาศ ขยายเวลาให้คนต่างด้าวอยู่ในไทยไปจนถึง 31 ก.ค. 2563

วันที่ 24 เมษายน 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ(ฉบับที่ 2) ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563  ขยายระยะเวลาอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และการแจ้งที่พักอาศัย ตามมาตรา 37 (5) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ให้แก่คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามประเภทการตรวจลงตรา (รวมทั้งการตรวจลงตรา Visa on Arrival) คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตามสิทธิการยกเว้นการตรวจลงตรา (ผ.30/ผผ.14 ผผ.30/ผผ.90) ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมพ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 นั้น เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019(COVID-19)) ยังไม่คลี่คลายลงและดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในประเทศไทยและในประเทศต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก เกิดการปิดด่านพรมแดนทั้งทางบก ทางน้ า และทางอากาศในหลายประเทศ ประกอบกับตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548  ข้อ 3  การปิดช่องทางเข้ามาในราชอาณาจักร กำหนดให้ปิดช่องทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร โดยปิดช่องทางเข้าออกด่านจุดผ่านแดน หรือจุดผ่อนปรนสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รวมทั้งมาตรการควบคุมมิให้โรคแพร่ระบาดออกไปในวงกว้างของกระทรวงสาธารณสุข ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของคนต่างด้าวในการเข้ามาหรือกลับออกไปนอกราชอาณาจักร รวมทั้งการอยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวบางจำพวก อาศัยอำนาจตามความในมาตรา5 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 87/2557  เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมผู้รักษาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 และมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2563 ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้ขยายระยะเวลาอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 (รวมทั้งภายใต้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. ๒๕๒๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม) หรือตามประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้อง ตามข้อ 2 (1) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563 ไปพลางก่อนตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ข้อ2 ให้ขยายระยะเวลาการแจ้งที่พักอาศัยตามมาตรา 37 (5) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 หรือตามประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้อง ตามข้อ2 (2)แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่7 เมษายน พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่1  พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ประกาศณ วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-455181

จำนวนผู้อ่าน: 1691

25 เมษายน 2020

ท็อปส์ ไทยแลนด์ เตือน! บริษัท​ไม่มีแคมเปญแจกคูปอง 2,000 บาท

ท็อปส์ เร่งแจงไม่มีแคมเปญแจกคูปอง 2,000 บาท ย้ำบริษัท​มีเว็บไซต์​www.tops.co.th ช่องทางเดียว ท็อปส์ ไทยแลนด์ ออกเอกสาชี้แจง กรณีมีการสร้างมีเว็บไซต์ปลอม แอบอ้างเป็นแบรนด์ท็อปส์ มาร์เก็ต เชิญชวนลูกค้ามาร่วมแคมเปญแจกคูปอง 2,000 บาท โดยเอกสารจากท็อปส์ ไทยแลนด์ ระบุว่า ขอเรียนให้ทราบว่า ไม่มีการจัดแคมแจกคูปองดังกล่าว หากท่านได้รับลิงก์แปลกปลอมลักษณะดังกล่าว กรุณาอย่าคลิกเข้าไปโดยเด็ดขาด และขอความกรุณาลูกค้าไม่แชร์เว็บไซต์ปลอม เพื่อหยุดความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ บริษัท ไม่มีนโยบายให้ลูกค้ากรอกข้อมูลส่วนตัว ผ่านทางเว็บไซต์อื่นๆ นอกจาก www.tops.co.th ช่องทางเดียว เพื่อการช็อปออนไลน์ หรือแจ้งข่าวสาร หรือรายละเอียดโปรโมชั่นภายใต้เว็บไซต์อย่างเป็นทางการนี้เท่านั้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-455165

จำนวนผู้อ่าน: 1704

25 เมษายน 2020

“สมคิด-ศักดิ์สยาม” ชง คนร.เคาะฟื้นฟู “บินไทย” 29 เม.ย.ตัดซื้อฝูงบินใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. ที่กระทรวงคมนาคม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมประชุมหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI อย่างไรก็ตาม เมื่อการประชุมที่สิ้นสุดลงในเวลาประมาณ 10.30 น. นายสมคิดปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ โดยกล่าวเพียงว่า เบื้องต้นได้มีการหารือในกรอบต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว โดยจะมีการเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ในวันที่ 29 เม.ย. และปฏิเสธที่จะเปิดเผยกรอบหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ที่หารือร่วมกัน ด้านนายศักดิ์สยามกล่าวในทำนองเดียวกันว่า ”ในการทำแผนฟื้นฟูการบินไทยนั้นมีการวางกรอบแนวคิดไว้หลากหลาย อย่างไรก็ตามตน เชื่อว่าในการประชุมหารือกันในวันนี้จะได้ทางเลือกที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูการบินไทย“ ส่วนกรอบการดำเนินงานและเงื่อนไขมีอะไรบ้างนั้น ขณะนี้คงเปิดเผยอะไรมากไม่ได้ เพราะต้องรอให้ คนร. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วค่อยนำมาขยายความในภายหลังจะดีกว่า ทั้งนี้ในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า หลังจากเห็นชอบแผนฟื้นฟูแล้ว การบินไทยจะยังเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่หรือไม่ โดยนายศักดิ์สยามไม่ได้ตอบคำถามนี้แต่อย่างใด รายงานข่าวเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในการหารือเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ประชุมได้กำชับไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่มีการหารือร่วมกันในการประชุมครั้งนี้ ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะเปิดเผยรายละเอียดหรือกรอบการดำเนินงานใด ๆ ได้ ทั้งนี้การหารือมีข้อสรุปใน 2 ประเด็นคือ 1.การจัดทำแผนฟื้นฟูการบินไทย จะไม่มีการรวมเรื่องการจัดหาเครื่องบินฝูงใหม่ 138 ลำ และ 2.การเสนอมาตรการช่วยเหลือกรณีที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันทั้งหมดแล้ว โดยจะมีการนำเสนอที่ประชุม คนร. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธาน ในวันที่ 29 เม.ย.นี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-455168

จำนวนผู้อ่าน: 1581

25 เมษายน 2020

เงินบาทแข็งค่าระหว่างสัปดาห์ หลังตัวเลขส่งออกมี.ค.ดีกว่าคาด ยอดผู้ติดเชื้อลดลง

แฟ้มภาพ ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราระหว่างวันที่ 20-24 เมษายน 2563 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (20/4) ที่ระดับ 32.48/49 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (17/4) ที่ระดับ 32.57/58 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในสัปดาห์นี้ค่าเงินบาทเริ่มทยอยแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในวันอังคาร (21/4) มีปัจจัยหนุน ได้แก่ ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนมีนาคม ตัวเลขส่งออกถูกประกาศออกมา ขยายตัว 4.17% สูงกว่าที่ตลาดคาดว่าจะหดตัว 5.8% ซึ่งจากสถิติถือว่ามีมูลค่าสูงสุดในรอบ 8 เดือน ส่วนการนำเข้าขยายตัวที่ระดับ 7.25% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 1,592.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ทำให้ภาพรวมในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 การส่งออกขยายตัว 0.91% ส่วนการนำเข้าหดตัว 1.92% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 3,933.7 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้อีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนค่าเงินบาทตลอดทั้งสัปดาห์ ได้แก่ ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่ลดลง โดยล่าสุดในวันพฤหัสบดี (24/4) และวันศุกร์ (25/4) มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มเพียงวันละ 13 และ 15 รายตามลำดับ ส่งผลให้ขณะนี้มียอดผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลลดเหลือเพียง 314 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามยังต้องรอฟังมติเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันโรคและการประเมินสถานการณ์ในการประกาศใข้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในช่วงต้นสัปดาห์หน้าอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดในวันศุกร์ (24/4) ที่ระดับ 32.41/43 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในระหว่างสัปดาห์นั้น ยังคงเคลื่อนไหวผันผวน โดยในช่วงต้นสัปดาห์ ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในฐานะงินสกุลปลอดภัยหลังนักลงทุนเทขายเงินสกุลหลักอื่น ๆ สาเหตุจากราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามดอลลาร์สหรัฐเองก็ถูกกดดันหลังผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ย่ำแย่ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยืนขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้นสู่ระดับ 4.4 ล้านราย ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.3 ล้านราย ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ดิ่งลง 15.4% ในเดือนมีนาคม เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2556 นอกจากนี้ เอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ทรุดตัวลงสู่ระดับ 27.4 ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 40.9 ในเดือนมีนาคม สำหรับความคืบหน้าในการหายาต้านไวรัสนั้น ล่าสุดในคืนวันพฤหัสบดี (23/4) มีข่าวว่ายาทดลองต่อต้านไวรัส “Remdesivir” ของบริษัท Gitead Sciences Inc ล้มเหลวในการช่วยเหลือคนไข้โควิด-19 ที่มีอาการหนัก ระหว่างการทดลองทางคลินิกในจีน ซึ่งข่าวดังกล่าวมาลบล้างข่าวดีที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ในการทดลองทางคลินิกของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐ ว่าผู้ป่วยตอบสนองและหายป่วยอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ข่าวดีที่สุดในตลาดสหรัฐในสัปดาห์นี้ดูเหมือนจะเป็นการที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยมาตรการเยียวยาธุรกิจขนาดเล็กและโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วงเงิน 4.84 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่า ปธน.ทรัมป์จะลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ในเร็ว ๆ นี้ สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ในวันจันทร์ (20/4) ค่าเงินยูโรเปิดตลาดที่ระดับ 1.0861/65 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/4) ที่ระดับ 1.0855/57 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าตลอดทั้งสัปดาห์นี้ เริ่มจากช่วงต้นสัปดาห์ที่ถูกแรงเทขายหลังถูกกดดันจากการดิ่งลงของราคาน้ำมัน หลังจากนั้นในวันพฤหัสบดี (23/4) ตัวเลขเศรษฐกิจในภูมิภาคออกมาย่ำแย่ โดยตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคการผลิตและบริการของยูโรโซน ในเดือนเมษายนออกมาที่ระดับ 13.5 ต่ำกว่าระดับ 29.7 ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ค่าเงินยูโรยังถูกกดดันเพิ่มเติม หลังการประชุม EU Summit โดยถึงแม้จะมีการอนุมัติแผนการให้สภาพคล่องแก่ประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป เพื่อบังคับใช้มาตรการเยียวยาและลดผลกระทบจาก COVID-19 มูลค่ารวมกว่า 540 พันล้านยูโร อย่างไรก็ตามสมาชิกยังมีข้อถกเถียงกันในประเด็นการอนุมัติหลักการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อการลงทุนระยะยาว มูลค่า 2 ล้านล้านยูโร ซึ่งผู้นำจากแต่ละประเทศสมาชิกยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องเกี่ยวกับขนาดของกองทุนที่้ควรจะเป็น แนวทางการระดมทุน และการจัดสรรเงินกองทุนให้แต่ละภาคส่วน ทำให้ยังไม่มีข้อสรุปเกิดขึ้น ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0728-1.0895 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (24/4) ที่ระดับ 1.0756/58 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน เปิดตลาดในวันจันทร์ (20/4) เปิดตลาดที่ระดับ 107.82/85 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (17/4) ที่ระดับ 107.88/90 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงนี้ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยค่าเงินเยนแกว่งตัวแข็งค่าขึ้นในฐานะเงินสกุลปลอดภัย หลังราคาน้ำมันทรุดตัวอย่างหนัก อย่างไรก็ตามไม่สามารถแข็งค่าได้มากหลังยังถูกกดดันจากรายงานที่ว่าทางรัฐบาลญี่ปุ่นจะเพิ่มวงเงินมาตรการฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 โดยจะมีการแจกเงินสดให้กับประชาชนรายละ 100,000 เยน นอกจากนี้นักลงทุนยังคงกังวลกับสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศ โดยนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า ญี่ปุ่นกำลังเผชิญช่วงเวลาที่มีความวิกฤตมากที่สุด ในการพิจารณาว่าจะมีการยกเลิกการประกาศภาวะฉุกเฉินหรือไม่ หลังจากที่รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งนายอาเบะยังกังวลและคงย้ำถึงความจำเป็นสำหรับชาวญี่ปุ่นในการหลีกเลี่ยงการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลโกลเด้น วีค ที่จะมาถึงในช่วงปลายเดือนนี้ถึงต้นเดือนหน้า ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 107.29-108.03 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และเปิดตลาดในวันศุกร์ (24/4) ที่ระดับ 107.68/70 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนของสถานการณ์ราคาน้ำมัน ในช่วงต้นสัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบ WTI สัญญาส่งมอบเดือนพฤษภาคม ได้ทรุดตัวลงแตะระดับติดลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการซื้อขายสัญญาน้ำมันในตลาด NYMEX เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่า การที่รัฐบาลทั่วโลกใช้มาตรการล็อกดาวน์ จะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันทรุดตัวลง อีกทั้งในขณะนี้อุปทานของน้ำมันทั่วโลกได้ล้นตลาด จนราคาการเก็บน้ำมัน (Storage cost) เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับอุปสงค์หรือความต้องการที่ลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามในช่วงวันพุธ (22/4) ต่อเนื่องจนถึงช่วงสุดสัปดาห์ ราคาน้ำมันฟื้นตัวได้บ้างหลังมีการตอบโต้กันระหว่างสหรัฐอเมริกา และอิหร่าน โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาได้สั่งกองทัพเรือสหรัฐให้ทำการยิงและทำลายเรือปืนของอิหร่านทุกลำ หากมีท่าทีก่อกวนเรือสหรัฐ ซึ่งหลังจากนั้นนายฮอสเซน ซาลามี หัวหน้ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRGC) กล่าวว่า อิหร่านจะทำลายเรือรบสหรัฐเช่นกัน หากสหรัฐเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของอิหร่านในอ่าวเปอร์เซีย นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐจะปรับตัวลดลงอีก หลังจากที่ได้ลดลงไปแล้ว 100,000 บาร์เรล สู่ระดับ 12.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-455059

จำนวนผู้อ่าน: 1603

25 เมษายน 2020

พาณิชย์-เกษตร ระดมมาตรการแก้ผลไม้ทะลัก

แนวโน้มผลผลิตผลไม้ฤดูกาลจะออกสู่ตลาดกว่า 3 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 8.51% จากปีก่อน โดยเฉพาะทุเรียนจากภาคตะวันออก ทั้งระยองจันทบุรี และตราด มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว 33% แต่ขายได้ราคากิโลกรัมละ 80-100 บาท ผลจากตลาดส่งออกหลักผลไม้ “จีน” ประสบปัญหาจากโควิด ทำให้การส่งออกชะลอตัวลง โดยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ส่งออกมูลค่า 1,218 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งต้นทุนการขนส่งสินค้าผลไม้พรีเมี่ยมบางชนิดที่ต้องขนส่งทางอากาศก็ประสบปัญหาค่าเฟรตปรับสูงขึ้น 6-10 เท่า จากการต้องผ่านตัวแทนขนส่งเพื่อต่อเที่ยวบินไปยังตลาดระยะทางไกลอย่างสหภาพยุโรป นโยบายของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มุ่งกำหนดมาตรการช่วยให้สินค้าที่ไม่สามารถทำการส่งออกได้ ให้มีช่องทางกระจายภายในประเทศ โดยได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งผลักดันการตลาดทั้งในช่องทางปกติ และช่องทางการค้าออนไลน์ มาตรการการทำข้อตกลงระหว่างห้างค้าปลีก Tops Market, The Mall, Makro, Lotus, Big C กับ สถาบัน เกษตรกร จ.เชียงใหม่ ลําพูน น่าน สุโขทัย ตราด จันทบุรี กว่า 40 สัญญา ในผลไม้ 9 ชนิด อาทิ ส้มเขียวหวาน ลําไยลิ้นจี่ ทุเรียน เงาะ มังคุด ปริมาณรวม 16,699.30 ตัน มูลค่า 761.988 ล้านบาทเพื่อกระจายผ่านห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน สั่งการให้ 114 สหกรณ์ ภายใต้กระทรวงเกษตรฯ ประสานการทำงานสำนักงานพาณิชย์จังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สวมบท “เซลส์แมน”จังหวัด เจรจาข้อตกลงซื้อขายสินค้าผลไม้ นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า กรมได้จัดทำโครงการสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยสู้ภัยโควิด-19 รณรงค์แคมเปญซื้อสินค้าเกษตรไทย เพื่อเกษตรกรอยู่ได้ ประเทศไทยอยู่รอด โดยเชิญชวนให้ทุกคนซื้อสินค้าเกษตรคุณภาพดีไปมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ นำร่องในสินค้ามะม่วงจากเกษตรแปลงใหญ่ในพื้นที่ 12 จังหวัด รวมมูลค่า 111.2 ล้านบาท พร้อมทั้งเชิญชวนเกษตรกรสมัครเข้ามาขายสินค้าออนไลน์ผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, LAZADA ได้แล้ว มูลค่า 3.93 ล้านบาท และจัดทำแคมเปญร่วมกับตลาดไท เปิดพื้นที่พิเศษให้เกษตรกรขายผักฟรี 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.-10 ก.ค. 2563 รวมทั้ง HomePro เปิดจุดจำหน่ายสินค้าเกษตรกรฟรี 3 เดือน นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังเตรียมมาตรการเชิงรุกโดยนายจุรินทร์จะหารือกับภาคเอกชนกลุ่มผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กลุ่มผักผลไม้ ในวันที่ 23 เมษายน 2563 ซึ่งภายในการหารือครั้งนี้จะเชิญเกษตรกรจาก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และสมุทรสงคราม มาร่วมด้วย ทั้งหมดนี้จะต้องจับตาดูว่าผลการบริหารจัดการจะสามารถรักษาเสถียรภาพราคาช่วยเกษตรกรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้มากน้อยเพียงใด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-454893

จำนวนผู้อ่าน: 1671

25 เมษายน 2020

ผลิต-ตั้งตัวแทนจำหน่าย “ยุทโธปกรณ์” ทางการทหาร โชว์ S-Curve

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา : Photo by MADAREE TOHLALA / AFP ขณะที่กองทัพ และกระทรวงกลาโหม ได้ตัด-โยก-โอน งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 และ 2564 จำนวนหนึ่งเพื่อคืนให้รัฐบาลไปดำเนินการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ซึ่งมีภารกิจหลักในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เข้มแข็ง เพื่อการพึ่งพาตนเองด้านความมั่นคงของชาติอย่างยั่งยืน ภายใต้พระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. 2563 เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defence Industry) ในประเทศ และประสานความร่วมมือด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับหน่วยงานของรัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เข้าสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ 11 (S-Curve 11) ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นประเด็นสำคัญหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580) สทป.ร่วมกับกระทรวงกลาโหม และส่วนงานที่เกี่ยวข้องกำหนดอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป้าหมายที่มีความพร้อมในการผลิตเชิงพาณิชย์ ได้แก่ กระสุน วัตถุระเบิด ยานยนต์ การต่อเรือ และอากาศยานไร้คนขับ มีการกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็น 4 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน (เมษายน-กันยายน 2562) ระยะสั้น 1 ปี (ตุลาคม 2562-กันยายน 2563) ระยะกลาง 2 ปี (ตุลาคม 2563-กันยายน 2565) และระยะยาว 5 ปี (ตุลาคม 2565-กันยายน 2570) โดย สทป.อยู่ในระหว่างการเตรียมการจัดทำโครงการนำร่อง จำนวน 8 โครงการ เพื่อตอบสนองและส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยพิจารณาจากขีดความสามารถของเหล่าทัพ และ สทป. รวมถึงความสนใจของภาคเอกชนที่จะร่วมมือกับ สทป.โดยการดำเนินการโครงการที่สอดคล้องกับร่างนโยบายและเป้าหมาย ร่างระเบียบหลักเกณฑ์การจัดตั้งนิติบุคคล รวมทั้งการร่วมทุน ถือหุ้น เป็นหุ้นส่วน และร่างระเบียบการผลิตและขาย เพื่อให้ สทป.สามารถดำเนินการตามเป้าหมายที่วางไว้ 8 โครงการประกอบด้วย 1.โครงการซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ทางทหาร (รถถัง VT4 รถถัง T85 และยานเกาะล้อยาง VN1) ปี 2565-2569 เป็นรูปแบบของการจัดตั้งโรงซ่อมบำรุงรถถัง สำหรับกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล และกำหนดแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมร่วมกับบริษัทในประเทศในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 โดยมีแผนการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 2.โครงการปืนใหญ่และกระสุน เป็นรูปแบบของการจัดตั้งตัวแทนจำหน่าย สำหรับกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างดำเนินการร่วมกับหน่วยงานในประเทศที่เกี่ยวข้อง ในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 และมีแผนการเริ่มผลิตในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 3.โครงการเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง (Fffshore Patrol Vessel : OPV) เป็นรูปแบบของการจัดตั้งตัวแทนจำหน่าย สำหรับกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศโดยร่วมกับมิตรประเทศ และมีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการร่วมกับอู่ต่อเรือกรุงเทพในระยะเวลาอันใกล้ 4.โครงการยานเกราะล้อยางแบบ 4×4 เป็นรูปแบบของการจัดตั้งตัวแทนจำหน่าย สำหรับกลุ่มลูกคาทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับมิตรประเทศ และจะเริ่มแผนดำเนินการผลิตเพื่อส่งมอบในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 5.โครงการยานเกราะล้อยางแบบ 8×8 เป็นรูปแบบของการจัดตั้งโรงงานผลิตและตัวแทนจำหน่าย สำหรับกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยจะได้รับการอนุมัติงบประมาณ และทำสัญญาร่วมทุนโรงงานประกอบในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 6.โครงการอากาศยานไร้คนขับ (UAV) เป็นรูปแบบของการจัดตั้งตัวแทนจำหน่าย สำหรับกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างการทำสัญญาร่วมทุนกับโรงงานผลิต และทำสัญญากับตัวแทนจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 และจะเริ่มแผนการผลิตในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 7.โครงการความร่วมมือกับสาธารณรัฐเช็ก รูปแบบการร่วมทุนยังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งมีความเป็นไปได้ ตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างการสรุปแผนการพัฒนาธุรกิจที่จะประกอบการร่วมกับสาธารณรัฐเช็กในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และมีแผนจะคัดเลือกโครงการเพื่อพัฒนารูปแบบและทำสัญญาร่วมทุนในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 8.โครงการจรวดเพื่อความมั่นคง เป็นรูปแบบของการเป็นหุ้นส่วนร่วมผลิตและการจัดตั้งตัวแทนจำหน่าย สำหรับกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างการสรุปแผนการพัฒนาธุรกิจเพื่อนำเสนอผลลัพธ์ในเดือนกันยายน 2563 เพื่อให้ สทป.เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีป้องกันประเทศของไทย สู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ 11 (S-Curve 11) ตอบสนองนโยบายการพัฒนาประเทศเพื่อก้าวสู่ Thailand 4.0 ของรัฐบาล และสอดคล้องกับแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ในการนำนวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อพัฒนาต่อยอดและสร้างความมั่นคงด้านการทหารให้กับประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พลอากาศเอก ดร.ปรีชา ประดับมุข ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ จึงได้ริเริ่มและผลักดันโครงการนำร่องทั้ง 8 โครงการของ สทป. โดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา การสร้างต้นแบบวิจัยสู่ต้นแบบอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของเหล่าทัพ สนับสนุนการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ในประเทศ ช่วยลดการนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเเป็นการสนับสนุนการประกอบกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ บูรณาการความร่วมมือและส่งเสริมกิจการภายในประเทศ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยสู่สากลให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-454911

จำนวนผู้อ่าน: 1774

25 เมษายน 2020

ธ.ก.ส. พักต้นเงินและดอกเบี้ย “SMEs เกษตร” 6 เดือน ชำระงวดปกติได้แคชแบ็ก 10%

Photo by MUHAMMAD SABRI / AFP ธ.ก.ส. พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย ธปท. โดยพักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยอัตโนมัติ 6 เดือน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เกษตร ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท และจัด Soft Loan ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เกษตร ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยสนับสนุนสินเชื่อไม่เกินร้อยละ 20 ของยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธันวาคม 2562 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี ปลอดดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากมติ คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 เห็นชอบให้ตราพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา และมีผลบังคับ เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการมาตรการเลื่อนกำหนดการชำระหนี้ และการสนับสนุนสินเชื่อใหม่ (Soft Loan) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID – 19 และปัญหาอื่น ๆ ให้มีเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ช่วยรักษาระดับการจ้างงาน และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดย ธ.ก.ส. พร้อมให้ความช่วยเหลือผ่านมาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการพักชำระหนี้ธุรกิจ SMEs โดยพักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ย 6 เดือน ตั้งแต่เมษายน ถึง กันยายน 2563 แบบอัตโนมัติทุกราย ให้กับลูกค้า SMEs และ SMEs เกษตร ของ ธ.ก.ส. ได้แก่ เกษตรกร บุคคล ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้านหรือชุมชน และสหกรณ์ภาคการเกษตร ที่ประกอบธุรกิจในกระบวนการรวบรวม การแปรรูป การตลาด และการบริการที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย มีสถานะหนี้ไม่เป็น NPLs ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และมีวงเงินกู้รวมไม่เกิน 100 ล้านบาท ซึ่งผู้ค้ำประกันไม่ต้องลงนามสัญญา อีกทั้งลูกหนี้ที่ได้รับสิทธิ์จะไม่ถูกรายงานเครดิตบูโรเป็น NPLs ทั้งนี้ หากลูกหนี้ประสงค์ชำระค่างวดในช่วงของการพักชำระหนี้ ไม่ถือว่าลูกหนี้ สละสิทธิ์ในการร่วมโครงการ โดย ธ.ก.ส. ยังคืนดอกเบี้ยให้ร้อยละ 10 ของเงินที่ส่งชำระ (Cash Back) 2) มาตรการสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจ SMEs เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง ในการดำเนินธุรกิจ ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี ปลอดชำระคืนดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 20 ของยอดหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และมีวงเงินกู้รวมไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยไม่เรียกหลักประกันเพิ่ม ทั้งนี้ สินเชื่อธุรกิจทุกประเภทสามารถใช้บริการตามมาตรการดังกล่าว ยกเว้นวงเงินหนังสือค้ำประกัน วงเงิน A – Cash บัตรเกษตรสุขใจ บุคลากรภาครัฐ สินเชื่อเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสินเชื่อรายย่อยอื่น ๆ โดยสามารถติดต่อสอบถามเกี่ยวกับมาตรการสินเชื่อได้ที่ ธ.ก.ส. สาขาต้นสังกัด หรือศูนย์ธุรกิจ ธ.ก.ส. ประจำจังหวัด ใกล้บ้านท่าน ธ.ก.ส. หวังเป็นอย่างยิ่งว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ลูกค้า ธ.ก.ส. สามารถผ่อนคลายความกังวลในภาระหนี้สินเดิม และมีเงินทุนหมุนเวียนใหม่ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 นายอภิรมย์กล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-455049

จำนวนผู้อ่าน: 1752

25 เมษายน 2020

“ศักดิ์สยาม” ดึงเอกชนเสียบเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง เลื่อนเปิดปี’65

“บิ๊กตู่-สมคิด” ไฟเขียว “ศักดิ์สยาม” รื้อเดินรถสายสีแดง ดึงเอกชนเสียบเลื่อนเปิดปี 65 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้เข้าหารือกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในประเด็นการเดินรถโครงการถไฟชานเมืองสายสีแดช่วงตลิ่งชัน-บางซื่อ-รังสิต จากเดิมที่จะอัพเกรดบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (เดินรถแอร์พอร์ตเรลลิ้งก์) ขึ้นมาบริหารงานเดินรถ จะเปลี่ยนเป็นการเปิดให้เอกชนเข้ามาบริหารในลักษณะ PPP แทน โดยแบ่งประโยชน์ระหว่างรัฐและเอกชนที่ รัฐ 60% และเอกชน 40% @เปิด PPP ดึงเอกชนร่วมเสี่ยง “เปิด PPP เพราะมีเนื้องานและค่าก่อสร้าง 3 สัญญาเพิ่ม 10,345 ล้านบาท โดยเฉพาะสัญญา 1 งานสถานีกลางบางซื่อ และศูนย์ซ่อมบำรุง เพิ่ม 5,000-6,000 ล้านบาท ที่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะการก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อที่ยังไม่เรียบร้อย ซึ่งผู้รับเหมาได้ขอขยายเวลาสัญญาเพิ่มอีกประมาณ 512 วัน อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย จึงคาดว่าทำให้มีเวลาที่จะทำ PPP ได้ ซึ่งประเด็นนี้ได้ปรึกษา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากทำ PPP คาดว่ารัฐบาลจะประหยัดเม็ดเงินไปได้ประมาณ 60,000 – 70,000 ล้านบาท” @รวบงานก่อสร้างหมื่นล้าน-ต่อขยายใหม่ นอกจากเนื้องานด้านการเดินรถแล้ว จะผนวกเอาเนื้องานก่อสร้างที่เปลี่ยนแปลงใหม่ในสัญญา 1-3 รวมวงเงินประมาณ 10,345 ล้านบาท เข้ามาด้วย เนื่องจากไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขที่ไจก้าจะให้เงินกู้อีกแล้ว ซึ่งเนื้องานที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ระหว่างสำรวจ เพราะเมื่อใช้เงินกูไจก้าไม่ได้แล้ว จะต้องใช้กระบวนการปกติ คือต้องใช้ระเบียบพัสดุในการกู้เงินภายในประเทศ ซึ่งจะต้องประกวดราคาใหม่ จึงเห็นว่าการนำมารวมกับ PPP ให้เอกชนรับภาระแทนจะดีกว่า เพราะรัฐบาลจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วย นอกจากนั้น จะให้รวมงานก่อสร้างส่วนต่อขยายสายสีแดง 4 เส้นทาง วงเงินรวม 67,575.37 ล้านบาท ได้แก่ 1.สายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต – ม.ธรรมศาสตร์ ระยะทาง 8.84 กม. วงเงิน 6,570.40 ล้านบาท และสายสีแดงอ่อน 3 เส้นทาง ประกอบด้วย 1.ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา วงเงินลงทุน 10,202.18 ล้านบาท มีระยะทาง 14.8 กม., สายสีแดงอ่อน 2.ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 4.3 กม. วงเงิน 6,645.03 ล้านบาท และ 3.Missing Link ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้มช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ระยะทาง 25.9 กม. วงเงิน 44,157.76 ล้านบาท เข้ามาในการจัดทำ PPP ด้วย พร้อมกับให้ ร.ฟ.ท.ชะลอการเปิดขายเอกสารขอบเขตงาน (TOR) การประกวดราคาสายสีแดง 3 เส้นทางคือ ช่วงรังสิต – ม.ธรรมศาสตร์, ช่วงตลิ่งชัน – ศาลายา และช่วงตลิ่งชัน – ศิริราชออกไปก่อน “ที่ผนวกเอางานส่วนต่อขยายเข้ามาด้วยนั้น เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนการก่อสร้างสายสีแดงบานปลายจากเดิมไปมาก โดยช่วงแรกเริ่มที่กู้เงินจากไจก้า วงเงินก่อสร้างยังอยู่แค่ประมาณ 50,000 ล้านบาท แต่วันนี้วงเงินก่อสร้างขยายออกไปทะลุ 100,000 ล้านบาทแล้ว ดังนั้นการทำ PPP จะช่วยคุมต้นทุนต่าง ๆ ได้ และไม่ต้องใช้ระเบียบพัสดุในการประกวดราคาด้วย พูดง่าย ๆ คือเหมือนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกนั่นแหละ” นายศักดิ์สยามกล่าว @ให้ “รถไฟ-กรมราง” ศึกษา 1 เดือน หลังจากนี้ จะนำประเด็นดังกล่าวไปทบทวนมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่เคยมีมติให้ตั้งบริษัทลูกเดินรถอีกครั้ง โดยมอบให้การรถไฟฯและกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ไปศึกษาและทำข้อมูลเพิ่มเติมกลับมาภายใน 1 เดือน และเมื่อมีการเปิดเดินรถแบบ PPP แล้ว เงินลงทุนในสัญญาที่ 3 เอกชนจะต้องคืนกลับมาให้รัฐในส่วนของขบวนรถและระบบเดินรถ วงเงินประมาณ 32,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอมรับว่าจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะทำให้กำหนดการเปิดให้บริการในเดือน ม.ค. 2564 นี้ต้องเลื่อนออกไปอย่างน้อย 1 ปี หรือประมาณปี 2565 “ส่วนสถานะของบริษัทลูกรถไฟ อาจจะทบทวนให้ไปทำอย่างอื่นแทน เช่น เดินรถไฟสายอื่น ส่วนบุคลากรและพนักงาน ให้พิจารณาปรับเปลี่ยนบทบาทพนักงานต่าง ๆ แทน เหมือนที่ ขสมก.ปรับเปลี่ยนพนักงานเก็บค่าโดยสารมาเป็นพนักงานขับรถ” นายศักดิ์สยามกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-454974

จำนวนผู้อ่าน: 1754

25 เมษายน 2020

เปิด 4 ขั้นตอน วิธีลงทะเบียนรับคืนเงินประกันการใช้น้ำประปา เริ่ม 15 เม.ย. นี้ (คลิป)

วิธีลงทะเบียน รับคืนเงินประกันน้ำประปา เปิด 4 ขั้นตอน เริ่ม 15 เม.ย. เผยมี 3 ช่องทางรับเงินง่ายๆ ทยอยคืนเงินให้ตั้งแต่ 5 พ.ค.2563 ตามมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) บรรเทาความเดือดร้อนลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานตามมติคณะรัฐมนตรี ให้แก่ประชาชน ผ่าน 3 มาตรการการช่วยเหลือ ได้แก่ 1. ขยายเวลาการชำระค่าน้ำกิจการเฉพาะอย่าง อาทิ โรงแรม ให้เช่าที่พักอาศัย โดยไม่คิดดอกเบี้ย ไม่เกิน 6 เดือน และสามารถผ่อนชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน ของแต่ละรอบใบแจ้งค่าน้ำประปา 2. ลดค่าน้ำประปา ร้อยละ 3 ของผู้ใช้ทุกประเภทเป็นระยะเวลา 3 เดือน 3. คืนเงินประกันการใช้น้ำให้กับผู้ใช้น้ำประเภทที่ 1 ที่พักอาศัย โดยจะเปิดให้ผู้ใช้น้ำของ กปภ. ลงทะเบียนตรวจสอบสิทธิ์และขอคืนเงินประกันได้ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2563 เป็นต้นไป โดยไม่มีเวลาสิ้นสุดการปิดรับลงทะเบียน ประชาชนสามารถลงทะเบียนผ่านทางออนไลน์ ไม่ต้องไปยังสาขาของสำนักงาน เพียงแค่กรอกข้อมูลให้ครบถ้วนตามขั้นตอนที่กำหนด โดยระบบจะเปิดให้เริ่มลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.นี้ ผ่าน 3 ช่องทางออนไลน์ ดังนี้ สำหรับช่องทางลงทะเบียนรับคืนจาก การประปาส่วนภูมิภาค 1.ผ่านเว็บไซต์ของ กปภ. ทาง www.pwa.co.th 2.ผ่านแอปพลิเคชั่น PWA 1662  ได้ทั้งระบบ iOS และ แอนดรอยด์ 3.บัญชีไลน์ของ กปภ. @PWATHAILAND ส่วนขั้นตอนการลงทะเบียน 1.กรอกข้อมูลผู้ใช้น้ำ ทั้งชื่อนามสกุล หมายเลขผู้ใช้น้ำ ซึ่งดูได้จากบิลน้ำประปา และหมายเลขบัตรประชาชน 2.ทำตามขั้นตอนให้ครบถ้วน พร้อมตรวจสอบความถูกต้อง 3.ระบบจะยืนยันผลการลงทะเบียนผ่าน SMS ตามเบอร์โทรศัพท์มือถือ 4.รอรับเงินตามช่องทางที่ต้องการ โดยการระบุหมายเลขพร้อมเพย์ หรือบัญชีธนาคารช่องทางรับเงินคืน โดยบัญชีพร้อมเพย์ ที่ลงทะเบียนผูกไว้กับหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก บัญชีเงินฝากธนาคารที่มีชื่อตรงกับผู้ลงทะเบียนรับสิทธิ์ และเคาน์เตอร์เซอร์วิส ภายในร้าน 7-Eleven ทุกสาขา กปภ.จะคืนเงินประกันการใช้น้ำให้กับผู้ที่ลงทะเบียนใช้สิทธิ์เสร็จสมบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือเกิดปัญหาในการลงทะเบียน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางคอลเซ็นเตอร์ของการประปาส่วนภูมิภาค ที่เบอร์ 1662 สำหรับผู้ที่ใช้น้ำประปาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลของการประปานครหลวง (กปน.) เจ้าหน้าที่แจ้งว่าผู้ใช้น้ำจะสามารถเริ่มลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ www.mwa.co.th และแอปพลิเคชั่น MWA on Mobile ได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพ.ค.2563 เป็นต้นไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-448150

จำนวนผู้อ่าน: 2802

15 เมษายน 2020

“เราไม่ทิ้งกัน” ล็อตสาม แจก 5,000 บาท อีก 8 แสนราย เริ่มวันนี้

ภาพ : ข่าวสด วันที่ 15 เมษายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงาน กระทรวงการคลังจะทำการโอนเงินจำนวน 5,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือน รอบที่สาม ระหว่างวันที่ 15 -17 เมษายน 2563 จำนวน 8 แสนราย เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยโอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์ หรือบัญชีธนาคารที่ได้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ “เราไม่ทิ้งกัน” นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ระบุว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามเร่งกระบวนการตรวจสอบและคัดกรองผู้ลงทะเบียนกว่า 27 ล้านคนโดยเร็วที่สุด โดยในช่วงวันที่ 15-17 เมษายน 2563 จะเริ่มทยอยส่ง SMS และโอนเงินเยียวยาในรอบที่ 3 ซึ่งมีผู้ผ่านเกณฑ์ประมาณ 8 แสนราย หรือคิดเป็นวงเงิน 4 พันล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีเม็ดเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่เดือดร้อนจากสถานการณ์โควิด-19 ในรอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 8 – 10 เมษายน 2563 และรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 13 – 14 เมษายน 2563 แล้วจำนวน 2.4 ล้านราย หรือคิดเป็นวงเงินจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท สำหรับผู้มีที่ไม่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท ที่ต้องการยื่นอุทรณ์ กระทรวงการคลังจะเปิดระบบบนเว็บไซต์ “เราไม่ทิ้งกัน” โดยจะมีการเพิ่มปุ่ม “อุทธรณ์” ในสัปดาห์หน้า สามารถทำการอุทธรณ์ด้วยตนเองผ่านระบบ ออนไลน์ ทั้งนี้หากประสงค์จะร้องเรียนเกี่ยวกับมาตรการเยียวยา 5,000 บาทขอให้ติดต่อ call center ของธนาคารกรุงไทย 02-1111144 (ตลอด 24 ชั่วโมง) หรือ call center ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 02-2739020 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง  สรุปสถานะ 27.2 ล้านคน ลงทะเบียน “เราไม่ทิ้งกัน” ใครได้-ไม่ได้-รอลุ้น 5 พันบาท แจก 5 พัน “เราไม่ทิ้งกัน” อีก 8 แสนราย 15-17 เม.ย. คลังยันมีเงินพอแน่นอน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-449476

จำนวนผู้อ่าน: 1727

15 เมษายน 2020

ประมวลภาพ คนแห่ขายทองแน่นเยาวราช หลังราคาพุ่งกระฉูด!!

เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 ประชาชนเป็นจำนวนมากได้เดินทางไปที่ถนนย่านเยาวราช เพื่อทำการซื้อ-ขายทองคำ ทำให้ร้านค้าทองย่านเยาวราชขนัดแน่นด้วยประชาชนเข้าแถวยาวเหยียด จนล้นออกมานอกร้านและต้องยืนบนถนนนอกร้าน  ซึ่งก็สุมเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากไวรัสโควิด-19 ได้ เพราะแถวที่ต่อคิวชิดกันมาก ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับต้องมาอำนวยการจราจร บางร้านถึงกับต้องจ่ายเงินเป็นเช็คระบุวันที่ล่วงหน้า ขณะที่บางร้านอ้างไม่รับซื้อทองจากร้านอื่นด้วย ถือเป็นการปฏิเสธรับซื้อไปในตัว เป็นต้น สำหรับราคาทองในวันนี้ มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาช่วงเช้าพุ่งปรับขึ้นไปถึง 550 บาท เบ็ดเสร็จตลอดทั้งวันราคาทองปรับขึ้น-ลงถึง 10 ครั้ง (ตามตาราง) บางร้านถึงกับต้องจ่ายเป็นเช็ค ขณะที่บางร้านอ้างไม่รับซื้อทองจากร้านอื่น เป็นต้น วันเดียวกัน นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ออกมาเปิดเผยว่า  ราคาทองคำที่ปรับขึ้นอย่างร้อนแรง มีปัจจัยสนับสนุนมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาคธุรกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบรุนแรง กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักลง โดยเฉพาะวันนี้วันเดียว(14 เมษายน) มีลูกค้านำทองคำมาขายคืนแล้ว คิดเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมาก เพราะมีทั้งการนำทองเก่าและใหม่มาขาย เพื่อทำกำไร และถือเงินสดไว้เพิ่มความสามารถในการใช้จ่ายของตัวเอง ขณะที่ร้านค้าทองกระแสเงินสดในมือลดลง พร้อมทั้งระบุว่า หากสถานการณ์การขายทองคำยังดูรุนแรงขึ้น อาจจะต้องมีการหารือกับรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลช่วยสั่งปิดร้านทองชั่วคราว   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-449470

จำนวนผู้อ่าน: 1880

15 เมษายน 2020

หางเลขไวรัสโควิด! นายกสมาคมค้าทองคำเสนอรัฐปิดร้านทองชั่วคราว

วันที่ 14 เม.ย. 2563 นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ในวันนี้ ราคาทองคำปรับขึ้นอย่างร้อนแรง โดยครั้งแรกปรับขึ้นทันที 550 บาท ทำให้ราคาทองคำแท่งขายออกอยู่ที่บาททองคำละ 26,250 บาท ส่วนทองคำรูปพรรณขายออกอยู่ที่ 26,750 บาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ภาคธุรกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบรุนแรง กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนจากกองทุนเปิดดัชนีที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (เอสพีดีอาร์) ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในทองคำแท่งใหญ่ที่สุดในโลก ได้ซื้อทองคำสูงถึง 15.5 ตัน ในวันที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา โดยถือครองอยู่ที่ 1,009.70 ตัน หลังจากตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน จนถึงปัจจุบัน ซื้อทองคำไปแล้วกว่า 45 ตัน โดยมองแนวโน้มในระยะถัดไป หากไวรัสโควิด-19 ยังทวีความรุนแรงในยุโรปอย่างต่อเนื่อง ราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก โดยในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำสปอตสามารถทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,927 เหรียญสหรัฐ ส่วนทองคำไทยทำจุดสูงสุดที่ 27,100 บาท จึงประเมินว่า แม้ทองคำสปอตอาจขึ้นไม่ถึง 1,927 เหรียญสหรัฐ แต่ราคาทองคำไทยอาจขึ้นไปสูงกว่า 27,100 บาทได้ในปีนี้ นายจิตติกล่าวว่า การที่ทองคำปรับราคาขึ้นแรงๆ ทำให้มีนักลงทุนนำทองคำมาขายทำกำไรจำนวนมาก เข้ามาต่อแถวขายตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด โดยเฉพาะวันนี้ที่ 14 เมษายน มีลูกค้านำทองคำมาขายคืนแล้ว คิดเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมาก เพราะมีทั้งการนำทองเก่าและใหม่มาขาย เพื่อทำกำไร และถือเงินสดไว้เพิ่มความสามารถในการใช้จ่ายของตัวเอง และหากลูกค้านำทองคำมาขายพร้อมกัน ร้านทองคงไม่มีเงินรับซื้อทั้งหมดแน่นอน ขณะที่สภาพคล่องในตลาดทองคำดูไม่ดีมากนัก เนื่องจากการส่งออกทองคำไปขายต่างประเทศ ไม่สามารถทำได้ตามปกติ แม้จะมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง แต่การส่งออกขายก็ติดปัญหาตรงที่บางเส้นทางขนส่งถูกปิด และสายการบินลดเที่ยวบินลง รวมถึงการขายทองคำไปต่างประเทศได้รับเงินช้าลง  ทำให้กระแสเงินสดในตลาดทองคำหายไป เพราะตอนนี้ทองคำขายไม่ออก หากนับสัดส่วนการขายทองคำ ภายในเดือนนี้ขายออกไปไม่ถึง 1 แสนบาท จึงมีแต่ทองคำ แต่ไม่มีกระแสเงินสดในมือ นายจิตติกล่าวว่า ที่ผ่านมา สมาคมฯได้หารือภายใน เพื่อรับมือกับความต้องการขายทองคำเพื่อทำกำไรของนักลงทุนจำนวนมากมาตลอด ซึ่งหากสถานการณ์การขายทองคำยังดูรุนแรงขึ้น ก็ต้องการหารือกับรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลช่วยสั่งปิดร้านทองชั่วคราว เพื่อรักษาสภาพคล่องของผู้ประกอบการในตลาดทองคำ (ที่มา:มติชนออนไลน์) คนแน่นถนนเยาวราช แห่ “ซื้อ-ขาย” ทองคำ ราคาพุ่ง 550 บาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-449467

จำนวนผู้อ่าน: 1696

15 เมษายน 2020

ประกาศสำนักนายกฯ แต่งตั้งปธ.กรรมการและกก.ในคณะกรรมการการอุดมศึกษา

วันที่ 14 เมษายน 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๒ มกราคม ๒๕๖๒) อนุมัติให้แต่งตั้งประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา รวม ๑๔ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๒ นั้น บัดนี้ ประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว ได้ดำรงตำแหน่งครบระยะเวลาตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ประกอบข้อ๖ และข้อ๗ ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการได้มา คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การแต่งตั้ง และการพ้นจากตำแหน่งของประธานกรรมการและกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งในคณะกรรมการการอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๓ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ อนุมัติให้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา รวม ๑๑ คน ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ โดยมีศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณอุดม คชินทร เป็นประธานกรรมการ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/education/news-449460

จำนวนผู้อ่าน: 1661

15 เมษายน 2020

สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในอาเซียน ณ วันที่ 14 เมษายน 2563 เวลา 19.30 น.

สิงคโปร์ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูง จำนวนผู้ติดเชื้อรวมแซงไทยแล้ว พม่าขยับสูงขึ้นมาก 50% ในวันเดียว จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ในแต่ละประเทศ ในรอบการรายงานล่าสุด -สิงคโปร์ +386 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 2,918 ราย) ข้อมูลย้อนหลังหนึ่งวัน -ฟิลิปปินส์ +291 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 5,223 ราย) -อินโดนีเซีย +282 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 4,839 ราย) -มาเลเซีย +170 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 4,987 ราย) -ไทย +34 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 2,613 ราย) -พม่า +21 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 62 ราย) ข้อมูลย้อนหลังหนึ่งวัน -เวียดนาม +1 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 266 ราย) -บูรไน +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 136 ราย) -กัมพูชา +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 122 ราย) -ลาว +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 19 ราย) ประมวลข้อมูลโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.)   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/education/news-449444

จำนวนผู้อ่าน: 1567

15 เมษายน 2020

แจก 5 พัน “เราไม่ทิ้งกัน” อีก 8 แสนราย 15-17 เม.ย. คลังยันมีเงินพอแน่นอน

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยความคืบหน้ามาตรการเยียวยา 5,000 บาท ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีเม็ดเงินช่วยเหลือเยียวยาถึงคนทำงานที่เดือดร้อนจากสถานการณ์ Covid-19ในรอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2563 และรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 13-14 เมษายน 2563 แล้วจำนวน 2.4 ล้านราย หรือคิดเป็นวงเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามเร่งกระบวนการตรวจสอบและคัดกรองผู้ลงทะเบียนกว่า 27 ล้านคนโดยเร็วที่สุด โดยในช่วงวันที่ 15-17 เมษายน 2563 จะเริ่มทยอยส่ง SMS และโอนเงินเยียวยาในรอบที่ 3 ซึ่งมีผู้ผ่านเกณฑ์ประมาณ 8 แสนราย หรือคิดเป็นวงเงิน 4 พันล้านบาท สำหรับกลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์แต่ได้รับแจ้งว่าการโอนเงินไม่สำเร็จ เนื่องจากบัญชีธนาคารถูกปิด บัญชีไม่มีการเคลื่อนไหวนานเกิน 1 ปี ชื่อบัญชีไม่ตรงกับชื่อที่ลงทะเบียน เลือกรับโอนเงินผ่านพร้อมเพย์แต่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์ หรือเข้ามาแก้ไขข้อมูลบัญชีแล้ว แต่ใส่ข้อมูลไม่ถูกต้องสามารถแก้ไขได้โดยการผูกบัญชี พร้อมเพย์กับหมายเลขบัตรประชาชนผ่าน Mobile Banking หรือตู้ ATM ได้ทุกธนาคาร โดยไม่ต้องไปสาขาธนาคาร เพื่อรอรับการโอนเงินเยียวยางวดเดือนเมษายนอีกครั้งในวันที่ 22 หรือ 29 เมษายน 2563 โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนมาโดยตลอด และเตรียมเปิดกลไกการขอทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 20 เมษายน 2563 ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com จึงขอเน้นย้ำว่าประชาชนไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่กระทรวงการคลัง เพราะไม่ได้มีช่องทางการเปิดรับเอกสาร และเป็นการดำเนินการตามแนวทางเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทั้งต่อตัวผู้ประสงค์จะขอทบทวนสิทธิ์เองและต่อส่วนรวมของสังคมไทย การขอทบทวนสิทธิ์นี้ ในระยะแรกจะเปิดกว้างสำหรับประชาชนที่ไม่ผ่านเกณฑ์และไม่เห็นด้วยกับผลการตรวจสอบและคัดกรองก่อน และในระยะต่อไปจะขยายไปยังกลุ่มผู้ที่ได้กดยกเลิกการลงทะเบียนโดยความเข้าใจผิดด้วย กลไกการทบทวนสิทธิ์จะดำเนินการอย่างรวดเร็วโดยการลงพื้นที่จริงเพื่อยืนยันตัวตนและความเดือดร้อนของผู้ลงทะเบียน ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลังในพื้นที่ เช่น คลังจังหวัด สรรพากรพื้นที่ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น รวมถึงบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ด้วยทั้งนี้ ผู้ผ่านการทบทวนสิทธิ์จะยังได้รับเงินเยียวยาครบทั้ง 3 เดือน เนื่องจากการให้เงินเยียวยาจะใช้วันลงทะเบียนในการเริ่มนับสิทธิ์ โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอและมีความตั้งใจที่จะดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัส Covid-19 ให้ครอบคลุมครบทุกกลุ่มอาชีพ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาการให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่มต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-449432

จำนวนผู้อ่าน: 1678

15 เมษายน 2020

“บิ๊กป๊อก” ออกคำสั่ง ตั้ง “คณะกรรมการสำรวจการกักตุนสินค้า”ทั่วประเทศ

วันที่ 14 เมษายน 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ ที่1/2563 เรื่องแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์พ.ศ.2497 ลงนามโดย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ สาระสำคัญของประกาศฉบับดังกล่าว คือการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสำรวจการกักตุนสินค้าฯ เพื่อให้สามารถป้องกันและปราบปรามการกักตุนสินค้าต่าง อันส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน โดยเฉพาะในช่วงที่ประชาชนกำลังประสบปัญหาจากโรคระบาด เป็นต้น โดยในท้องที่กรุงเทพมหานคร มีทั้งผู้ว่าราชการ ปลัดกทม. ผู้อำนวยการเขต กทม.ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หัวหน้าสถานีตำรวจนครบาล เป็นต้น ส่วนในท้องที่ต่างจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บัญชาการตำรวจภูธราภาค ปลัดจังหวัด พาณิชย์จังหวัด สรรพากรพื้นที่ เป็นต้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-449405

จำนวนผู้อ่าน: 1720

15 เมษายน 2020

“แฟมิลี่มาร์ท” เปิดเกมรุก ส่ง2โมเดลใหม่ “คอนเทนเนอร์-เวนดิ้งแมชีน” สู้ศึกร้านสะดวกซื้อ

เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ผู้บริหาร แฟมิลี่มาร์ท และ ท็อปส์ เดลี่ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดตัว 2 โมเดลใหม่ หวังเพิ่มช่องทางขายสินค้าและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น กับโมเดล “แฟมิลี่มาร์ทคอนเทนเนอร์” (FOOD DRINK CONTAINER MART) และตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) เพื่อตอบโจทย์เรื่องความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้า ตัดปัญหาข้อจำกัดด้านพื้นที่และระยะเวลาในการก่อสร้าง ในขณะเดียวกันยังคงมุ่งเน้นให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย และคุณภาพที่ดีของสินค้าก่อนส่งตรงสู่ผู้บริโภค นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ผู้บริหาร แฟมิลี่มาร์ท และ 
ท็อปส์เดลี่ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ร้านสะดวกซื้อจำเป็นต้องมีการปรับตัวอยู่เสมอ บริษัทเองมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การดำเนินธุรกิจจะต้องมีการปรับตัว ปรับแผนการทำงาน โดยมีโจทย์หลักคือ จะเสริมรูปแบบการให้บริการอย่างไรเพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างปลอดภัย สะดวก รวดเร็ว และสบช่องในการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าในรูปแบบใหม่ จึงตัดสินใจเปิดตัว “แฟมิลี่มาร์ทคอนเทนเนอร์” ร้านสะดวกซื้อในรูปแบบตู้คอนเทนเนอร์รายแรกในประเทศไทย ตอบโจทย์เรื่องความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้า ตัดปัญหาข้อจำกัดด้านพื้นที่ที่ยากต่อการเปิดร้านแฟมิลี่มาร์ทในรูปแบบปกติและต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง โดยเน้นโลเคชั่นด้านหน้าศูนย์การค้า คอนโดมีเนียม มหาวิทยาลัย ชุมชน โรงงาน และใช้ดีไซน์ที่ทันสมัยเพื่อดึงดูดสายตาลูกค้าและเชิญชวนให้เข้ามาซื้อสินค้า ออกแบบด้านหน้าคอนเทนเนอร์ให้เป็นกระจกใสเพื่อเปิดให้เห็นสินค้าและพนักงานที่พร้อมให้บริการ ครบครันสินค้าทุกความต้องการ เน้นที่ขนม เครื่องดื่ม และอาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน ด้านราคาและโปรโมชั่นต่างๆ เหมือนกับร้านแฟมิลี่มาร์ท นำร่องเปิดให้บริการที่หน้าศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ สาขาศรีสมาน และสาขาสระบุรี ในวันที่ 10 เม.ย. 63 และโรบินสัน สาขาบางรัก ในวันที่ 22เม.ย.63 เวลาเปิดให้บริการ 07.00-21.00 น. และหลังจบสถานการณ์โควิด-19 มีแผนจะขยายเวลาเปิดให้บริการ นอกจากนั้นยังคำถึงถึงความปลอดภัยกับมาตรการเว้นระยะห่าง จึงจำกัดลูกค้าเข้าใช้บริการครั้งละ ไม่เกิน 5 คน และอีกหนึ่งรูปแบบขยายช่องทางบริการลูกค้า แฟมิลี่มาร์ท และ ท็อปส์ เดลี่ ได้เปิดตัว “ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ กดสะดวกทุกเวลา” (Vending Machine) ในคอนเซปต์ ‘หิวมั้ย กดเลย’ จำหน่ายสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่สัญจรไปมา สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ในชั่วโมงเร่งรีบ 
การเว้นระยะห่างทางสังคม และในปัจจุบันที่ร้านสะดวกซื้อไม่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง โดยแฟมิลี่มาร์ทและท็อปส์ เดลี่ ในแต่ละสาขาจะมีตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ 2 ตู้ ได้แก่ ตู้จำหน่ายขนมขบเคี้ยวและอาหารพร้อมทานแช่เย็น (Snack and Chilled food) และตู้จำหน่ายเครื่องดื่ม (Cold Beverages) ทั้งนี้การคัดเลือกสินค้าสำหรับตู้จำหน่ายอัติโนมัติจะพิจารณาตามฐานข้อมูลลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงตามความต้องการให้มากที่สุด โดยในระยะแรกจะเปิดรับเฉพาะเงินสดเท่านั้น สำหรับการติดตั้งตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในระยะแรกจะวางด้านหน้าร้านแฟมิลี่มาร์ท สาขาเมืองทอง ป๊อปปูล่า 3, มหาวิทยาลัยรังสิต , ประชาราษฎร์บำเพ็ญ 11,ซอยรามอินทรา 34, บางบอน 5 ซอย 8 และ ท็อปส์ เดลี่ สาขามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พร้อมดำเนินการดูแลด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของทุกอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอในทุกสาขา รวมทั้งสินค้าอาหารและเครื่องดื่มจะได้รับการจัดเก็บในตู้อย่างมิดชิดและปลอดภัยภายในอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งเริ่มเปิดให้ใช้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-449414

จำนวนผู้อ่าน: 1741

15 เมษายน 2020

โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ “ผู้ตรวจราชการกระทรวง” พ้นจากตำแหน่ง

เมื่อวันที่ 14 เมษายน เว็บไซต์รากิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญพ้นจากตำแหน่ง ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า ด้วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ นายรัตนะ สวามีชัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2563 และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พ้นจากตำแหน่งแล้ว บัดนี้ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2563 ประกาศ ณ วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2563 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-449388

จำนวนผู้อ่าน: 1726

15 เมษายน 2020

“ไวรัสโควิด” คนไทยตายแล้ว 41 คน เทียบ “ไข้หวัดสเปน” 102 ปีก่อน ไทยตาย 8 หมื่น

Seattle policemen wearing protective gauze face masks during influenza epidemic of 1918 which claimed millions of lives worldwide (Photo by Time Life Pictures/National Archives/The LIFE Picture Collection via Getty Images) ฉากเปิดหนังสารคดี Pandemic : Prevent an Outbreak  ที่ฉายอยู่ใน Netflix เวลานี้ บรรยายถึงเหตุการณ์เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ร้ายแรงระบาดไปทั่วโลก ทำให้คนนับล้านคนต้องติดเชื้อ ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล คนตายล้นห้องดับจิต คนเดินถนนต้องใส่หน้ากากอนามัย หลายเมืองต้องปิดพื้นที่สาธารณะ การระบาดครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี 1918 (พ.ศ.2461) ที่เรียกว่า Spanish flu หรือ “ไข้หวัดสเปน” มาจากไวรัส A(H1N1) The Oakland Municipal Auditorium is being used as a temporary hospital with volunteer nurses from the American Red Cross tending the sick there during the influenza pandemic of 1918, Oakland, California, 1918. (Photo by Underwood Archives/Getty Images) โลกต้องเผชิญกับการระบาดของไวรัสที่ร้ายแรงที่สุดใน มีคนติดเชื้อถึง 50 ล้านคน คร่าชีวิตมนุษยชาติกว่า 20 ล้านคน ทุกทวีป ทั่วโลก เศรษฐกิจดิ่งเหวจากสองแรงบวก ทั้งจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 และผลกระทบจากไวรัส ส่วนการระบาดในเมืองไทยนั้น ในบันทึกการแจ้งความกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ส่งยาและคำแนะนำออกไปช่วยป้องกันรักษาสมทบกับแพทย์ประจำเมือง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 27 กรกฎาคม 2462 บันทึกสถานการณ์ในขณะนั้นตอนหนึ่ง “ไข้หวัดหรืออินฟูเอนซา ได้เริ่มเปนขึ้นในพระราชอาณาจักรภาคใต้ เมื่อเดือตตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๑ ก่อนแล้วกระจายแพร่ไปทั่วพระราชอาณาจักร พึ่งสงบลงเมื่อเดือนมีนาคมที่ล่วงมานั้น” UNSPECIFIED – JANUARY 27: Red Cross volunteers fighting against the spanish flu epidemy in United States in 1918 (Photo by Apic/Getty Images) จากข้อความข้างต้น ไข้หวัดสเปนระบาดในเมืองไทยยาว 5 เดือน และในบันทึกตอนท้ายสรุปตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัดสเปนขณะนั้น 2,317,662 ราย เสียชีวิต 80,233 ราย จากจำนวนประชากรรวม 9,207,355 คน ตัดสลับที่ภาพในสถานการณ์ปัจจุบันทั่วโลก หลายเมืองทั่วโลกมีสภาพไม่ต่างกับ 100 ปีที่แล้ว จากจุดศูนย์กลางการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ เมืองอู่ฮั้น สาธารณรัฐประชาชนจีน ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2562 จากนั้น ก็กระจายจากจีน สู่ยุโรป ไปยังอเมริกา ออสเตรเลีย A nearly empty 7th Avenue in Times Square is seen at rush hour after it was announced that Broadway shows will cancel performances due to the coronavirus outbreak in New York, U.S., March 12, 2020. REUTERS/Mike Segar จนถึงตอนนี้ไวรัส covid – 19 วิวัฒนาการ – แปลงกลาย ออกมาหลายสายพันธุ์ ณ วันที่ 14 เมษายน 2563 หลังการระบาด 100 กว่าวัน “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก นพ.ยง ภู่วรวรรณ อธิบายการ “กลายพันธุ์” ของโควิด – 19 ไว้อย่างน่าสนใจ โควิด19 สายพันธุ์ที่ระบาดทั่วโลก ได้มีการศึกษาพันธุกรรมของ โคโรน่าไวรัส โควิด19 กันมากทั่วโลกโดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา ในปัจจุบันมีการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวมากกว่า 5000 สายพันธุ์และแบ่งสายพันธุ์ของไวรัส แล้วแต่ใครจะกำหนด เช่นเป็น A B C A เป็นสายพันธุ์เริ่มแรก โดยเปรียบเสมือน B วิวัฒนาการ มาจาก A และ C วิวัฒนาการมาจาก B หรืออาจกล่าวว่า C เป็นลูกของ B แต่ไม่ได้บอกว่าใครรุนแรงกว่าใคร บอกว่าความเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก บอกเส้นทางเดินของไวรัสว่ามาจากที่ใด ในการวิเคราะห์แบบมีหลักเกณฑ์ของ GISAID โดยดูตำแหน่งความหลากหลายทางพันธุกรรม Polymorphism สายพันธุ์ของโควิด19 ในปัจจุบัน มีจุดเริ่มต้นเป็นสายพันธุ์ S (Serine) แล้วมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมเป็น L (Leucine) สายพันธุ์ L แพร่ขยายได้รวดเร็วกว่าและแพร่กระจายเข้าสู่ยุโรปและอเมริกา ต่อมาจึงแยกสายพันธุ์ L แยกออกเป็นอีก 2 สายพันธุ์ G (Glycine) และสายพันธุ์ V (Valine) ดังนั้นสายพันธุ์ของโควิด-19 ในปัจจุบันจึงแบ่งเป็น 3 สายพันธุ์ คือ S, G และ V และยังมีสายพันธุ์อื่น ๆ อีกที่ยังไม่ได้กำหนด เราศึกษาในประเทศไทยพบว่าลักษณะของสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศไทย มีลักษณะที่จำเพาะ เราอยากจะตั้งชื่อว่า สายพันธุ์ T ไม่ใช่มาจาก Thailand แต่ T มาจากการเปลี่ยนพันธุกรรมไปเป็น Threonine ในส่วนของ Spike gene ที่ยื่นออกมา ถ้าเรามีการศึกษาเยอะและมากพอ สายพันธุ์ G เข้าสู่อเมริกาทางด้านตะวันออก สายพันธุ์ S เข้าสู่อเมริกาทางด้านตะวันตก ในอเมริกาเองจึงมีทั้ง G และ S สายพันธุ์ V และ G ระบาดในยุโรป สำหรับ Australia ช่วงแรก จะเป็นสายพันธุ์ S ที่มาจากจีน และเอเชียตะวันออกและต่อมา V และ G เข้ามาทีหลัง ผ่านการเดินทางเข้ามาจากยุโรป บ้านเราที่พบมากยังเป็นสายพันธุ์ S ที่มาจากประเทศจีนในระยะแรก และระยะหลัง สายพันธุ์ทางตะวันตก โดยเฉพาะยุโรป ที่จะเป็นสายพันธุ์ V และ G เข้ามาสู่บ้านเรา โดยรวมแล้วสายพันธุ์ผสมกันไปมาเพราะการเดินทางจากประเทศหนึ่งไปสู่ประเทศหนึ่ง ประเทศไทยต้องการนักคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เพื่อมาวิเคราะห์รูปแบบ ของการระบาดโดยใช้วิธี ชีวสารสนเทศ (Bioinformatics) เรียนให้รู้ และสนุก จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เรายังขาดนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ ในด้านนี้อย่างมาก มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ทางด้านพันธุกรรม ไม่ว่าจะเป็นของมนุษย์ สัตว์ เชื้อโรคและไวรัส จะมีประโยชน์อย่างมาก ทั้งทางด้าน การวินิจฉัย ระบาดวิทยา การค้นพบการก่อโรค การหาวิธีการป้องกัน พัฒนายารักษา และทำวัคซีนในการป้องกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้แบบจำลอง เริ่มจากสารพันธุกรรม DNA และ RNA ของไวรัสเป็นพื้นฐาน จากไข้หวัดสเปนจบด้วยยอดผู้เสียชีวิตทั้งโลกกว่า 20 ล้านราย ในไทยเสียชีวิตกว่า 8 หมื่นราย ถึงไวรัสโควิด ที่เอาชีวิตคนทั่วโลกไปแล้วทะลุ 1 แสนราย และติดเชื้อเกือบ 2 ล้านคน แม้ว่า โควิด-19 ผสมข้ามสายพันธุ์ไป-มา เกิดเป็นหลายสายพันธุ์ เก่งกาจแค่ไหน แต่ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยใหม่ แน่นอนว่าจะสามารถเอาชนะไวรัสนี้ได้      ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-449356

จำนวนผู้อ่าน: 1878

15 เมษายน 2020

ตั้ง “พลเอกปริพัฒน์ ผลาสินธุ์” เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง

วันที่ 14 เมษายน 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่งกองบัญชาการกองทัพไทย(เฉพาะ)ที่ 275/๒๕๖๓ ลงนามโดย พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เรื่อง แต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง โดยแต่งตั้งให้ พลเอก ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รองเสนาธิการทหาร เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ทั้ง 2 ท่าอากาศยาน มีหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงาน ของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน(EOC) เพื่อให้เกิดการบูรณาการและประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงท่าอากาศยาน รวมทั้งดำเนินการอื่นๆ   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-449349

จำนวนผู้อ่าน: 1804

15 เมษายน 2020

“เราไม่ทิ้งกัน” เล็งใช้กลไกมหาดไทยเช็กอุทธรณ์ “อุตตม” สั่งอุทธรณ์ผ่าน จ่ายทันที 5 พันบาท

“ธนกร” เผยกระทรวงคลังเตรียมใช้กลไกมหาดไทยส่งเจ้าหน้าที่รัฐลงตรวจสอบคนอุทธรณ์หลังไม่ผ่านเกณฑ์รับเงินเยียวยา5 พันบาท ย้ำให้ยื่นออนไลน์เท่านั้น แจงไม่เกิน 21 เม.ย.เปิดให้อุทธรณ์ เหน็บ”เทพไท”ขอให้ทำมากกว่าพูด นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่มีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาร้องทุกข์ ที่กระทรวงการคลัง เนื่องจากไม่ได้รับเงินเยียวยา 5000 บาทนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าเดินทางมาที่กระทรวงการคลัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยกระทรวงการคลังจะเปิดระบบ “เราไม่ทิ้งกัน” ซึ่งจะมีการเพิ่มปุ่ม “อุทธรณ์” อย่างช้าไม่เกินวันอังคารที่ 21 เมษายนนี้ ขอแนะนำให้ทำการอุทธรณ์ด้วยตนเองผ่านระบบ online จะถูกต้องและรวดเร็วที่สุด ระหว่างนี้หากประสงค์จะร้องเรียนเกี่ยวกับมาตรการเยียวยา 5,000 บาทขอให้ติดต่อ call center ของธนาคารกรุงไทย 021111144 (ตลอด 24 ชั่วโมง) หรือ call center ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 022739020 (เฉพาะวันและเวลาราชการ นายธนกร กล่าวอีกว่า หลังจากยื่นอุทธรณ์แล้ว กระทรวงการคลังจะใช้กลไกของกระทรวงมหาดไทยส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เช็คข้อมูลกับผู้ที่ยื่นอุทธรณ์ตัวต่อตัว เมื่ออุทธรณ์ผ่านก็จะจ่ายเงินเยียวยาทันที ขอให้พี่น้องประชาชนใจเย็นๆ กระบวนการต่างๆ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สั่งการให้ทำให้เร็ว เพื่อให้เงินถึงมือชาวบ้านโดยเร่งด่วน ส่วนกรณีที่นายเทพไท เสนพงษ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ พาดพิงรัฐบาลเปิดอุทธรณ์เยียวยา5000 บาทว่าเป็นการแก้เกี้ยวข้อผิดพลาดการคัดกรองนั้น หากนายเทพไทไม่พูดบ้างก็คงไม่ลงแดงตาย วันนี้รัฐบาลเปิดอุทธรณ์เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทุกกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ได้แก้เกี้ยว และวันนี้ไม่ใช่เวลาที่ฝ่ายการเมืองจะออกมาเอาชนะคะคานกัน ตำหนิติเตียนกัน เป็นเวลาที่จะต้องร่วมแรงร่วมใจกัน ทั้งนี้ นายเทพไทเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรพูดอะไรที่สร้างสรรค์มากกว่าการเป็นข่าวรายวัน ยิ่งสถานการณ์แบบนี้นายเทพไทต้องทำมากกว่าพูด ขอให้ดูสส.พลังประชารัฐเป็นตัวอย่างออกแจกเจล หน้ากาก แอลกอฮอล์ให้กับพี่น้องประชาชนทุกวัน   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-449342

จำนวนผู้อ่าน: 1644

15 เมษายน 2020

ตลาดเงินเคลื่อนไหวในกรอบ เฝ้าติดตามผลกระทบจากโควิด-19

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (14/4) ที่ระดับ 32.76/78 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดในวันอังคาร (13/4) ที่ระดับ 32.73/75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลักจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยนายโรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐจะแตะจุดสูงสุดในสัปดาห์นี้ ซึ่งข้อมูลล่าสุดระบุว่า สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 560,433 ราย และมีผู้เสียชีวิต 22,115 ราย ทำให้ขณะนี้สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลก ด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐได้ออกมาให้ความเห็นว่าอำนาจในการพิจารณาเปิดให้ภาคธุรกิจกลับไปดำเนินตามปกตินั้นขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีและรัฐบาลกลาง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ว่าการรัฐ โดยแสดงท่าทีว่าพร้อมทำงานร่วมกับผู้ว่าการรัฐต่าง ๆ ในการตัดสินใจให้ภาคธุรกิจกลับมาดำเนินธุรกิจเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกันตลาดโลกก็ยังให้ความสนใจกับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร หรือโอเปกพลัส หลังจากสามารถบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นการทยอยลดกำลังการผลิตน้ำมันไปถึงปี 65 แต่ตลาดยังคงไม่หลุดพ้นปัญหาอุปทานน้ำมันล้นตลาด และคาดการณ์ว่าแนวโน้มราคาน้ำมันยังคงลดลง นอกจากนี้ ในช่วงสายของวันนี้ทางจีนได้ประกาศตัวเลขนำเข้าและส่งออกเดือนมีนาคมออกมา ซึ่งทั้งคู่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยตัวเลขส่งออกของจีนเดือนมีนาคมอยู่ที่หดตัว 6.6% จากคาดการณ์ว่าจะหดตัวมากถึง 14% ส่วนตัวเลขนำเข้าอยู่ที่หดตัว 0.9% จากคาดการณ์ว่าจะหดตัว 9.5% สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ทาง ธปท.กำลังศึกษาการดำเนินนโยบายการเงินแบบพิเศษ เช่น มาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์ หรือการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.70-32.76 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 32.71/73 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรในวันนี้ (14/4) ค่าเงินยูโรเปิดตลาดที่ระดับ 1.0920/24 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (13/4) ที่ระดับ 1.0929/33 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ในวันนี้ตลาดยุโรปกลับมาเปิดหลังหยุดเทศกาลอีสเตอร์ อย่างไรก็ตามช่วงบ่ายมีข่าวดีจากทั้งประเทศสเปนและอิตลีซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากโควิด-19 โดยทั้งสองประเทศเริ่มทยอยให้ธุรกิจบางประเภทกลับมาเปิดทำการได้ภายในสัปดาห์นี้ หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0913-1.0933 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0918/21 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนในวันนี้ (14/4) เปิดตลาดที่ระดับ 107.58/60 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (13/4) ที่ระดับ 107.95/96 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินเยนยังคงปรับตัวแข็งค่าขึ้น เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ยังมีแรงเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ โดยค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 107.54-107.67 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 107.58/61 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาน้ำมันและส่งออกของสหรัฐเดือนมีนาคม (14/4), ยอดค้าปลีกของสหรัฐเดือนมีนาคม (15/4), ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐ โดยเฟดนิวยอร์ก เดือนเมษายน (15/4), ดัชนีราคาผู้บริโภคของเยอรมนี เดือนมีนาคม (16/4), การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหภาพยุโรป เดือนกุมภาพันธ์ (16/4), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ (16/4), ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประทเศ (GDP) ของจีน ไตรมาส 1/2563 (17/4), การผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีน เดือนมีนาคม (17/4), การผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เดือนมีนาคม (17/4), อัตราเงินเฟ้อของสหภาพยุโรป เดือนมีนาคม (17/4) สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ +0.25/+0.75 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -3.0/+5.5 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-449289

จำนวนผู้อ่าน: 1740

15 เมษายน 2020

เปิดขั้นตอนลงทะเบียน รับเงินประกันสังคม เดือนละ 8,000 บาท

เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 หลังจากสำนักงานประกันสังคม โดยนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด) แถลงมติ เยียวยาให้กับลูกจ้างผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด-19 กำหนด ให้โรคโควิด-19 ถือเป็นเหตุสุดวิสัย ที่ทำให้ลูกจ้างผู้ประกันตนเกิดการว่างงานเป็นจำนวนมาก และกองทุนประกันสังคมจะต้องจ่ายเงินกรณีว่างงาน เพื่อเยียวยาผลกระทบที่ร้อยละ 62 ของค่าจ้างรายวัน ในระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณเดือนละ 7,080 -8,000 บาท ซึ่งขณะนี้กองทุนประกันว่างงานมีเงินรวม 1.6 แสนล้านบาท โดยจะนำข้อสรุปเสนอขอความเห็นชอบต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 15 เมษายน 2563 “หากดำเนินการได้ตามขั้นตอน ประกันสังคมจะสามารถจ่ายเงินอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์หน้าได้แน่นอน เพราะในระบบของกระทรวงแรงงานมีข้อมูลของลูกจ้างและผู้ประกันตัวอยู่แล้ว ประมาณ 700,000 คน ที่ว่างงานในระบบ” ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในครั้งนี้ ที่ลาออก-เลิกจ้าง อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านคน และที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตรง ๆ อยู่ที่ 3.5 แสนคน รวมถึงรัฐสั่งปิดอยู่ที่ 8 แสนคน (ล็อตเก่า) ผู้ประกันตนมีทั้งหมด 11 ล้านคน สำหรับแรงงานที่ว่างงาน ต้องการรับการเยียวยาจากประกันสังคม สามารถทำตาม 6 ขั้นตอนดังนี้   เคาะแล้ว! ประกันสังคมยอมจ่าย “ลูกจ้าง-ว่างงาน” ซมพิษโควิดเดือนละ 8,000 บาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-449310

จำนวนผู้อ่าน: 1865

15 เมษายน 2020

เคาะแล้ว! ประกันสังคมยอมจ่าย “ลูกจ้าง-ว่างงาน” ซมพิษโควิดเดือนละ 8,000 บาท

เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 ที่สำนักงานประกันสังคม นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด) เรียกประชุมคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 13) ครั้งที่ 7/2563 หารือการเยียวยาให้กับลูกจ้างผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด-19 เพื่อเตรียมนำข้อสรุปเสนอขอความเห็นชอบต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 15 เมษายนนี้ ทั้งนี้ที่ประชุมใช้เวลาหารือนานกว่า 4 ชั่วโมง นายสุทธิเปิดเผยว่า ในที่ประชุมได้เห็นชอบให้โรคโควิด-19 ถือเป็นเหตุสุดวิสัย ที่ทำให้ลูกจ้างผู้ประกันตนเกิดการว่างงานเป็นจำนวนมาก และกองทุนประกันสังคมจะต้องจ่ายเงินกรณีว่างงาน เพื่อเยียวยาผลกระทบที่ร้อยละ 62 ของค่าจ้างรายวัน ในระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณเดือนละ 7,080 -8,000 บาท ซึ่งขณะนี้กองทุนประกันว่างงานมีเงินรวม 1.6 แสนล้านบาท นายสุทธิกล่าวว่า โดยหลังจากนี้ จะนำรายละเอียดเสนอต่อ ครม.เพื่อเห็นชอบ และออกประกาศกฎกระทรวงตามรายละเอียดข้างต้น หลังจากนั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป นายสุทธิกล่าวว่า หากรายละเอียดทั้งหมด ดำเนินการได้ตามขั้นตอน ประกันสังคมจะสามารถจ่ายเงินอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์หน้าได้แน่นอน เพราะในระบบของกระทรวงแรงงานมีข้อมูลของลูกจ้างและผู้ประกันตัวอยู่แล้ว เบื้องต้นมีอยู่ที่ประมาณ 700,000 คน ที่ว่างงานในระบบ นอกจากนี้ ประกันสังคมยังต้องรายงานวินัยทางการเงินของกองทุน รวมถึงสภาพคล่องอื่นๆ ให้รับทราบด้วย เพราะครั้งนี้ถือเป็นการใช้เงินจำนวนมาก อาจจะต้องหาแนวทางสำรองเตรียมไว้ด้วย เช่น การกู้ยืมเงินในกรณีที่ปัญหาไม่จบลงในช่วง 3 เดือนต่อจากนี้ “ท่านนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการโดยเร็วที่สุดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในครั้งนี้ ที่ลาออก-เลิกจ้าง อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านคน และที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตรงๆ อยู่ที่ 3.5 แสนคน รวมถึงรัฐสั่งปิดอยู่ที่ 8 แสนคน (ล็อตเก่า) ผู้ประกันตนมีทั่งหมด 11 ล้านคน เราจะดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร็วที่สุด” นายสุทธิกล่าว นายสุทธิกล่าวเพิ่มเติมประเด็นวินัยทางการเงินของกองทุนว่างงานว่า จะต้องรายงานให้ ครม.รับทราบถึงจำนวนเงิน สภาพคล่องเป็นอย่างไร และจะใช้เงินจำนวนเท่าไร เท่าที่ประเมิน จะพยายามหมุนสภาพคล่องให้ดีที่สุด จำนวนเงินกองทุนประกันการว่างงานอยู่ที่ประมาณ 1.6 แสนล้านบาท จะพยายามบริหารให้พอ หรือแนวทางการจัดหาเงินเพิ่มเติม หากปัญหากินเวลามากกว่า 3 เดือน อาจจะต้องหาแนวทางสำรอง เช่น การกู้ยืมเงิน เป็นต้น เปิดขั้นตอนลงทะเบียน รับเงินประกันสังคม เดือนละ 8,000 บาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-449297

จำนวนผู้อ่าน: 1690

15 เมษายน 2020

ข่าวดี! ราคาน้ำมันลดลงอีก 0.60 บาท/ลิตร

วันที่ 14 เมษายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่นำโดยปตท.และบางจากประกาศลดราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ โดยลดราคาน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์และกลุ่มดีเซลทุกชนิดลงลิตรละ 60 สตางค์/ลิตร  ส่วนE20 และ E85 ราคาคงเดิม มีผลเวลา 05.00 น. วันพรุ่งนี้(15 เมษายน 2563) เป็นต้นไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-449275

จำนวนผู้อ่าน: 1759

15 เมษายน 2020

สิ้น “อนันต์” เจ้าพ่อเมืองทองธานี ผลัดใบสู่ทายาท ปั้นอสังหารับรถไฟฟ้าสายใหม่

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายกำลังร่วมแรงร่วมใจฝ่าวิกฤตโควิด-19 มีข่าวร้ายในแวดวงธุรกิจอสังหาฯ หลังบมจ.บางกอกแลนด์ เจ้าของอาณาจักร “เมืองทองธานี” สูญเสียแม่ทัพใหญ่ “เสี่ยช้าง-อนันต์ กาญจนพาสน์” ในวัย 80 ปี แบบกะทันหัน ด้วยโรคชรา โดยนางสาวจินตนา พงษ์ภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.บางกอกแลนด์ แจ้งว่า ด้วยความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้งทางบริษัทขอเรียนให้ทราบว่า คุณอนันต์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บางกอกแลนด์ ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ที่โรงพยาบาลบางกอกเนอสซิ่งโฮม (บีเอ็นเอช) เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2563 สิริอายุได้ 80 ปี โดยครอบครัวจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ผ่านพ้นไป ซึ่งจะแจ้งให้ทราบเป็นทางการอีกครั้ง “อนันต์” เกิดวันที่ 2 มิ.ย. 2484 ที่ประเทศไทย เป็นทายาทคนที่ 2 ของ ”มงคล กาญจนพาสน์” จบการศึกษาปริญญาตรี บริหารธุรกิจ วิทยาลัยสวอซ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สมรสกับ ”นางศิริวรรณ” มีบุตรชาย 2 คน “ปีเตอร์ กาญจนพาสน์“ ปัจจุบันเป็นรองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.บางกอกแลนด์ และ ”พอลล์ กาญจนพาสน์” กรรมการผู้จัดการ บจ.อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ ซึ่ง 2 คนช่วยอนันต์ขยายธุรกิจบีแลนด์จนเติบโตครอบคลุมทั้งอสังหาฯ-โรงแรม-ศูนย์แสดงสินค้า บนเนื้อที่ร่วม 4,000 ไร่ ปัจจุบันยังเหลือ 600 ไร่ ล่าสุดกำลังทุ่มเม็ดเงินอีก 5,000-6,000 ล้านบาท เนรมิตที่ดินผืนสุดท้ายเป็นบิ๊กโปรเจ็กต์รับกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายที่ร่วมลงทุนกับ ”บีทีเอส” กว่า 1,000 ล้านสร้างจากศรีรัชเข้าสู่เมืองทองธานี เหมือนที่เคยลากทางด่วนมาลงที่เมืองทองมาแล้วในอดีต นอกจากเมืองทองธานี “เจ้าพ่อบีแลนด์” ยังซื้อที่ดินย่านศรีนครินทร์กว่า 1,200 ไร่ เก็บสะสมไว้ จากที่ดินตาบอดในอดีต กลายเป็นที่ดินมีราคา พลัน กทม.ตัดใหม่พาดผ่าน สร้างมูลค่าเพิ่มและตัดขายให้กับบิ๊กอสังหาฯ กำเงินสดไปได้กว่า 1.5 หมื่นล้าน แม้จะวางใจให้ลูกชายทั้ง 2 คนดูแลธุรกิจ แต่ ”อนันต์” ยังมาทำงานปกติ แม้วัยจะมากขึ้น และป่วยตามอายุ ทำให้น้ำหนักลดลง แต่ก็ยังอึด โดยเป็นที่ปรึกษาให้ลูกๆ จนนาทีสุดท้าย นอกจากนี้อนันต์ยังเป็นพี่ชายของเจ้าพ่อรถไฟฟ้าบีทีเอส “คีรี กาญจนพาสน์” แต่ทั้งสองต่างสร้างดาวคนละดวง หลังจาก ”มงคล” ผู้เป็นพ่อพาลูกทั้งสองกลับจากฮ่องกง และลุยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบชนิดที่คนวงการต่างตะลึง เพราะสร้างเมืองใหม่ไว้นอกเมือง เป็นการคิดนอกกรอบที่มาก่อนกาลเวลา เรื่องจากเป็นแลนด์แบงก์เก่า ทำให้ได้เปรียบในเรื่องต้นทุนที่ดิน แต่มาเจอวิกฤตฟองสบู่แตก ทุกอย่างจึงเหมือนนับหนึ่งใหม่ เมืองทองจึงเหมือนเมืองร้าง โดยอนันต์ใช้เวลากว่า 3 ทศวรรษ ฟื้นฟูนานพอควร กว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่เมืองทองกำลังจะกลายเป็นทำเลทอง เพราะรถไฟฟ้าพาดผ่าน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-449268

จำนวนผู้อ่าน: 1715

15 เมษายน 2020

ราคาทองวันนี้ ปรับขึ้น-ลง 10 รอบ ดันราคาทะลุ 26,600 บาท แห่ขายทองทะลักเยาวราช

เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาซื้อขายทองคำ ซึ่งประกาศครั้งแรกของวัน โดยปรับขึ้นจากวานนี้ (13 เม.ย.2563) ถึงบาทละ 550 บาท โดยทองคำแท่งรับซื้อที่บาทละ 26,050 บาท ขายออกที่บาทละ 26,250 บาท ส่วนทองรูปพรรณ รับซื้อที่บาทละ 25,574.92 บาท ขายออกอยู่ที่ 26,750 บาท ทั้งนี้ราคาที่เพิ่มขึ้นสูงมาก ส่งผลให้มีประชาชนไปเข้าคิวซื้อขายทองคำที่เยาวราชในวันนี้กันจำนวนมาก ถึงกับต้องแจกคิว และต่อคิวยาวออกมานอกร้านเลยทีเดียว ล่าสุดเมื่อเวลา 15.35 น.ที่ผ่านมา สมาคมค้าทองคำแจ้งปรับเปลี่ยนราคาเป็นครั้งที่ 10 ของวัน โดยปรับลดลงบาทละ50บาท ทำให้ทองคำแท่งขายออกอยู่ที่บาทละ26,100 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกอยู่ที่บาทละ 26,600 บาท ช่วงเวลา ทองแท่ง ทองรูปพรรณ   เวลา ครั้งที่ รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) รับซื้อ (บาท) ขายออก (บาท) Gold Spot Baht / US$ ขึ้น / ลง 14/04/2563 15:35 10 25,900.00 26,100.00 25,438.48 26,600.00 1,718.00 32.71 -50 14/04/2563 14:58 9 25,950.00 26,150.00 25,483.96 26,650.00 1,720.50 32.73 50 14/04/2563 14:49 8 25,900.00 26,100.00 25,438.48 26,600.00 1,717.00 32.73 50 14/04/2563 14:34 7 25,850.00 26,050.00 25,377.84 26,550.00 1,713.50 32.73 50 14/04/2563 13:33 6 25,800.00 26,000.00 25,332.36 26,500.00 1,710.00 32.73 -50 14/04/2563 12:25 5 25,850.00 26,050.00 25,377.84 26,550.00 1,712.50 32.73 -50 14/04/2563 11:27 4 25,900.00 26,100.00 25,438.48 26,600.00 1,716.00 32.73 -50 14/04/2563 11:03 3 25,950.00 26,150.00 25,483.96 26,650.00 1,718.00 32.73 -50 14/04/2563 10:11 2 26,000.00 26,200.00 25,529.44 26,700.00 1,722.00 32.73 -50 14/04/2563 09:32 1 26,050.00 26,250.00 25,574.92 26,750.00 1,724.00 32.74 550   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-449197

จำนวนผู้อ่าน: 1655

15 เมษายน 2020

ชาวเน็ตถล่มเละ! สรุปแฮชแท็ก #ผู้กองเบนซ์ จวกคนโวยวิกฤตโควิด “ยึดติด-คิดลบ-ขี้เกียจ”

ภาพ: FB - ผู้กองเบนซ์ - Capt.Benz วันที่ 14  เมษายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทวิตเตอร์กำลังลุกเป็นไฟ เมื่อนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ชื่อดัง ที่มีผู้ติดตามมากว่า 2 ล้านคน อย่าง ร.ต.อ.สี่ทิศ อ่ำถนอม หรือ “ผู้กองเบนซ์”  อดีตข้าราชการตำรวจ ได้ทำคอนเท้นต์เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจของตนเอง เมื่อช่วงวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา เนื้อหาในคลิปตอนหนึ่ง กล่าวว่า หลายคนต้องเผชิญความลำบากทางการเงินในตอนนี้ ส่วนหนึ่งเพราะไม่รู้จักลุกขึ้นมาทำงานด้วยวิธีการใหม่ ๆ ในช่วงที่โรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดอยู่ บางช่วงบางตอนของคลิปวิดีโอดังกล่าว ได้ระบุว่า “ช่วงโควิด แม่งมีไอเดียอะไรใหม่ ๆ มีงานอะไรใหม่ ๆ ให้ -ึงลองทำเยอะแยะหมดอะ แล้วแม่งสนุกด้วย แต่มึงแม่งไม่ทำกันเอง ยึดติด คิดลบ ขี้เกียจ ฟุ้งซ่าน กลัว -ึงลงก็ติดอยู่แค่เนี้ย ไม่มีอะไรมากกว่าเนี้ย แล้ว-ึงก็เสพเข้าไปดิไอ้ Content สนับสนุนความกระจอกในตัว -ึงอะ เสพเข้าไป เรียกหาความรับผิดชอบจากคนอื่นเข้าไป แล้วมึงก็นั่งดูว่าที่-ึง-ิบหายจะตาย-่าอยู่ทุกวันเนี้ย มันเป็นเพราะวิกฤติหรือเป็นเพราะวินัยของ-ึง” หลังการเผยแพร่คลิปดังกล่าวออกไป ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก โดยเฉพาะแฮชแท็ก #ผู้กองเบนซ์ บนทวิตเตอร์ ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ไทย และมีการกล่าวถึงมากกว่า 445,000 ครั้ง ทั้งนี้ เพจดัง Poetry of Bitch ได้สรุปประเด็นกรณีดังกล่าวไว้ดังนี้ 1. ร.ต.อ.สี่ทิศ อ่ำถนอม หรือ ผู้กองเบนซ์ อายุ 34 ปี เป็นอดีตข้าราชการตำรวจ ตำแหน่งรองสารวัตร 2. ต่อมาจับพลัดจับผลูมาทำสติ๊กเกอร์ไลน์ตำรวจ จนพบช่องทางที่สามารถสร้างรายได้มากกว่างานประจำหลายเท่า ด้วยการเปิดคอร์สสอนสร้างสติ๊กเกอร์ไลน์ 3. จากนั้น ต่อยอดมาเปิดคอร์สออนไลน์สอนการทำตลาดและภาวะผู้นำ จนเริ่มมีคนเชิญไปพูดตามที่ต่าง ๆ จึงตัดสินใจลาออกจากตำรวจเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพื่อมาเอาดีในการเป็นไลฟ์โค้ชหรือเทรนเนอร์ 4. ในขณะเดียวกันก็ได้เปิดเพจ “ผู้กองเบนซ์ – capt.benz” ขึ้น มีผู้ติดตามนับล้าน คอนเทนต์ของเพจมักจะเอาเรื่องธรรมะมาย่อยอธิบายเป็นคลิปสั้น ๆ โดยใช้คำพูดหยาบ ๆ แรง ๆ เพื่อเร้าอารมณ์ผู้ฟัง จนเกิดดราม่ามาแล้วหลายครั้ง 5. ตัวอย่างดราม่า เช่น เนื้อหามั่ว บิดเบือน ใช้คำพูดกดคนอื่นให้ต่ำหรือดูถูกเหยียดหยาม ตามมาด้วยอีกดราม่าคือ เมื่อมีคนทักท้วงหรือไม่เห็นด้วยก็จะถูกผู้กองเบนซ์บล็อกหรือแบนออกจากเพจ 6. ผู้กองเบนซ์เคยให้สัมภาษณ์เรื่องการใช้คำพูดแรงว่า “กูเป็นคนถ่อยอยู่แล้ว กูเป็นของกูอย่างนี้อยู่แล้ว ไปถามใครก็ได้ เราเรียบร้อยไม่ได้ เรียบร้อยแล้วอึดอัด” (อ้างอิง Manager Online 28 ก.พ. 63) 7. ส่วนเรื่องบล็อก ผู้กองเบนซ์ยอมรับว่าเขาเป็นนักบล็อกในตำนาน เพราะเขาสร้างเพจเหมือนสวนสาธารณะ ใครที่เข้ามาขี้กลางเลนจักรยาน ก็ต้องให้ รปภ.ลากออกไปแล้วแปะป้ายห้ามเข้า 8. ส่วนดราม่าล่าสุดที่ทำให้แฮชแท็ก #ผู้กองเบนซ์ ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ทวิตเตอร์ประเทศไทย เกิดจากคลิปที่โพสต์ในเพจเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2563 9. ในคลิปดังกล่าวผู้กองเบนซ์พูดถึงช่วงโควิด-19 ว่ามีโอกาสมากมายรออยู่ แต่หลายคนกลับยึดติด คิดลบ ขี้เกียจ ฟุ้งซ่าน เสพแต่คอนเทนต์ที่ปลุกความกระจอกในตัวเอง เอาแต่เรียกหาความรับผิดชอบจากคนอื่น ให้กลับมาคิดว่าที่ฉิบหายทุกวันนี้เป็นเพราะวิกฤตหรือเป็นเพราะวินัยของมึงกันแน่ 10. โดยผู้กองเบนซ์ได้ยกตัวอย่างผับที่ประเทศจีนซึ่งเปิดออนไลน์และให้คนร่วมสนุกมาจากบ้าน แล้วแนะนำให้คนที่ตกงานมองหาช่องทางต่าง ๆ ในการหาเงิน เช่น สมัครขับรถส่งอาหาร เปิดเพจ เปิดช่องยูทูบ ทำอาหารขายออนไลน์ เย็บหน้ากากอนามัยขาย รับทำความสะอาด-ฆ่าเชื้อเสื้อผ้า ฯลฯ 11. แม้หลายคนจะมองว่าเป็นคอนเทนต์ที่ช่วยปลุกใจ แต่อีกหลายคนก็มองว่าเป็นการพูดซ้ำเติมคนที่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่มีต้นทุน ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ตอนนี้หลายคนจะใช้จะกินในแต่ละวันยังแทบไม่มี 12. ดราม่านี้ยังถูกโยงไปพูดถึงอาชีพไลฟ์โค้ชว่าเป็นอาชีพที่หากินกับความฝันและความหวังของคนอื่นหรือไม่ และในความเป็นจริงไม่มีใครประสบความสำเร็จจากการให้คนอื่นมาโค้ชชีวิตให้ มีแต่โค้ชเท่านั้นที่รวยเอา ๆ 13. นอกจากนี้ยังมีคนยกคำกล่าวของ “เจเค โรว์ลิ่ง” ผู้เขียน Harry Potter ซึ่งทวีตเกี่ยวกับไลฟ์โค้ชที่ตำหนิคนที่ไม่เอาช่วงเวลานี้มาหารายได้เสริมหรือพัฒนาตัวเองว่า คนแต่ละคนมีปัญหาในชีวิตไม่เหมือนกัน การไปด่าว่าคนอื่นว่าขี้เกียจหรือขี้แพ้ ไม่ใช่การสร้างแรงบันดาลใจ แต่มันคือการดูถูกเหยียดหยาม ขอให้เลิกทำแบบนี้เสีย ทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าว ที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นดราม่าทัวร์ขึ้นนั้น ยังมีชาวเน็ตจำนวนหนึ่งอยากทราบเจตนาที่แท้จริงของไลฟ์โค้ชผู้นี้ ว่าต้องการจะสื่อถึงอะไร หรืออาจจะเป็นเพียงการตีความที่ไม่ตรงกับเจตนาของเจ้าตัว ที่ต้องการจะสื่อสาร คาดว่าต้องรอทาง “ผู้กองเบนซ์” ได้ชี้แจงต่อสังคมต่อไป ล่าสุด ร.ต.อ.สี่ทิศ อ่ำถนอม หรือ ผู้กองเบนซ์ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “ขออภัยนะครับ ถ้าผมได้พูดหรือทำอะไรผิดพลาดไป หรือกระทบกระเทือนจิตใจใครไปบ้าง ผมขออภัยทุกท่านจากใจจริงนะครับและขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ผมจะนำไปปรับปรุงและพัฒนาให้ดียิ่งยิ่งขึ้นไปครับ” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/social-media-viral/news-449229

จำนวนผู้อ่าน: 1732

15 เมษายน 2020

โบรกฯชูหุ้นสื่อนอกบ้านยังแข็งแรงสุด หลังเม็ดเงินโฆษณาเดือน มี.ค. ติดลบ 5%

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) รายงานว่า เม็ดเงินโฆษณาเดือน มี.ค.ติดลบ 5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (Y-Y) โดยสื่อที่ลงแรงสุด คือ โรงหนัง -44% ตามมาด้วยสื่อวิทยุ -19% และสื่อกลางแจ้ง -11% ส่วนสื่อทีวี -2% มีเพียงสื่อเดียวที่เป็นบวกคือ อินเทอร์เน็ต (Internet) +23% โดยภาพรวมไตรมาส 1/2563 เม็ดเงินโฆษณายังบวกอยู่ที่ +1% Y-Y แต่ไตรมาส 2 จะถูกกระทบมากกว่านี้ โดยสื่อทีวีแม้จำนวนคนดูทีวีมากขึ้น เพราะอยู่บ้านมากขึ้น แต่เม็ดเงินโฆษณาไม่เพิ่มตามจากการคุมค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อสื่อ คาดผลประกอบการของ BEC และ WORK ยังอ่อนแอมาก ไม่แนะนำลงทุน ส่วนสื่อนอกบ้าน แม้จะเห็นผลกระทบในไตรมาส 2 มากขึ้น แต่เป็นสื่อที่แข็งแรงสุด แนะนำซื้อ VGI (ราคาเป้าหมาย 8 บาท) และอ่อนตัวซื้อ PLANB (ราคาเป้าหมาย 4.60 บาท) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-449226

จำนวนผู้อ่าน: 1666

15 เมษายน 2020

เคาะแล้ว! จัดโอลิมปิกโตเกียว 23 ก.ค.-8 ส.ค. 2021

Kyodo/REUTERS สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า นายโยชิโระ โมริ หัวหน้าคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกโตเกียว 2020 เปิดเผยว่า “การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกโตเกียว 2020” จะถูกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 ก.ค.-8 ส.ค. 2021 หลังจากที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการได้ตัดสินใจเลื่อนการจัดงานออกไป 1 ปี ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของ “โควิด-19” ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ โดยการตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้ร่วมหารือกับคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) เพื่อตัดสินใจกำหนดระยะเวลาการแข่งขันขึ้นอย่างเป็นทางการ ขณะที่การแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกที่จะจัดขึ้นที่ญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน นายโมริเปิดเผยว่าจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 ส.ค. – 5 ก.ย. 2021 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-441052

จำนวนผู้อ่าน: 1695

31 มีนาคม 2020

ด่วน! ผู้ว่าฯสกลนคร ออกประกาศห้ามจำหน่ายสุรา ดีเดย์ 31 มีนาคม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 จังหวัดสกลนคร ได้ออกประกาศ ปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงจำเป็นต้องใช้มาตรเฝ้าระวัง ควบคุม ป้องกันอย่างเข้มข้น เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยประชาชนในพื้นที่ จึงมีให้ปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ได้แก่ ร้านหรือสถานประกอบการขายสุรา ประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 ที่ได้รับใบอนุญาตให้จำหน่ายสุรา ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยสามารถจำหน่ายสินค้าประเภทอื่นได้ ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 ถึง วันที่ 16 เมษายน 2563 ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-440787

จำนวนผู้อ่าน: 1874

31 มีนาคม 2020

ด่วน! ผู้ว่าฯนนทบุรี สั่งปิดร้านสะดวกซื้อทั้งหมด 5 ทุ่มถึงตี 5 มีผล 31 มี.ค.นี้

file. Photographer: Brent Lewin/Bloomberg via Getty Images จังวัดนนทบุรี ประกาศปิดร้านสะดวกซื้อทั้งหมด ตั้งแต่เวลา 23.00-05.00 น. 3 อปท.บริจาครวม 100 ล้าน ซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้โรงพยาบาลในเขตจังหวัดนนทบุรี เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 30 มีนาคม 2563 นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า จะออกประกาศคำสั่งจังหวัดนนทบุรี ให้ร้านสะดวกซื้อทั้งหมดในจังหวัดนนทบุรี ปิดบริการในระหว่างเวลา 23.00-05.00 น.โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 31 มีนาคมนี้ เพราะที่ผ่านมายังมีกลุ่มบุคคลออกมารวมตัวกัน ทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้นทำให้ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นไปด้วยความยากลำบาก นายสุจินต์กล่าวอีกว่า ยังได้รับแจ้งจาก พ.ต.อ.ธงชัย เย็นประเสริฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จะมอบเงิน 50 ล้านบาท นายสมนึก ธนเดชากุล นายกเทศมนตรีนครนนทบุรี จะมอบเงิน 25 ล้านบาท และนายวิชัย บรรดาศักดิ์ นายกเทศมนตรีนครปากเกร็ด จะมอบอีก 25 ล้านบาท รวม 100 ล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้โรงพยาบาลในเขตจังหวัดนนทบุรี อาทิ เครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการหากเกิดมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำพิธีมอบเร็วที่สุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีหลายจังหวัดที่ผู้ว่าฯออกประกาศปิดร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากเป็นแหล่งที่ประชาชนมาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วไปตั้งวงดื่มกินกัน ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยจะให้ปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 23.00-05.00 น. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-441012

จำนวนผู้อ่าน: 1765

31 มีนาคม 2020

ด่วน! ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายแรก สารคามฯ เสียชีวิตแล้ว

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์ภาคี ทรัพย์พิพัฒน์ นาpแพทย์สาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม เปิดเผยว่า ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือไวรัสโควิด-19 รายแรก ของจังหวัดมหาสารคาม เสียชีวิตแล้ว จากภาวะระบบหายใจล้มเหลว สำหรับประวัติผู้ป่วย เป็นผู้ป่วยเพศชาย อายุ 48 ปี อาชีพนักดนตรี ทำงานที่ กทม. มีโรคประจำตัว คือ เบาหวาน ไวรัสตับอักเสบบี มะเร็งลำไส้ (ได้รับการผ่าตัด และเคมีบำบัด ครบ) ได้เข้ารักษาจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เฉพาะโรค ที่โรงพยาบาลมหาสารคาม เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 ถึง วันที่ 30 มีนาคม 2563 ซึ่งคณะแพทย์รักษาโดยให้ยาต้านไวรัส และให้การรักษาตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข แต่อาการทรุดลงเรื่อยๆ เนื่องจากมีโรคประจำตัวหลายโรค และเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากภาวะระบบหายใจล้มเหลว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-440989

จำนวนผู้อ่าน: 1728

31 มีนาคม 2020

ก.ล.ต. ออกประกาศ เลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวม 5 แห่ง

วันที่ 30 มีนาคม 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สท. 14/2563 เรื่อง การเลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า โดยที่มาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 กำหนดให้ นายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพประกาศการเลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในราชกิจจานุเบกษา เมื่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเลิกตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว นายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจึงประกาศการเลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไว้ รวม 5 กองทุน ดังต่อไปนี้   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-440948

จำนวนผู้อ่าน: 1708

31 มีนาคม 2020

ปลัดพาณิชย์นำทีมลงพื้นที่ตรวจหน้ากากอนามัย ก่อนส่งตรง22 จังหวัด

กระทรวงพาณิชย์ นำทีมลงพื้นที่โรงงานผลิตหน้ากากอนามัย พร้อมกระจายลงพื้นที่ 22 จังหวัด หลังรีเซ็ทจัดสรรหน้ากากอนามัยใหม่ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวระหว่างลงพื้นที่ พร้อมด้วย นายธีรภัทร ประยูรสิทธิปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพงษ์ทร วิเศษสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด และ นายนพร เกษจรัล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็น เอ็น สกายเทรด จำกัด เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานการขนส่งหน้ากากอนามัยจากโรงงานผู้ผลิตสู่การกระจายไปยังภูมิภาคของกระทรวงมหาดไทย โดยใช้บริการขนส่งของบริษัทไปรษณีย์ไทย ในการกระจายรูปแบบใหม่นี้ ว่า จะมีคณะอนุกรรมการบริหารศูนย์บริหารจัดการสินค้าหน้ากากอนามัย พิจารณาจัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย โดยจัดสรรจากปริมาณการผลิต ณ ปัจจุบันที่ 2.3 ล้านชิ้นต่อวัน จากทั้งหมด 9 โรงงาน ทั้งนี้ ปริมาณหน้ากากอนามันจะออกจากโรงงานโดยรถขนส่งไปรษณีย์ ไปยังปลายทาง คือกระทรวงสาธารณสุข และจะขนส่งไปยังปลายทางที่สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ส่วนของกระทรวงมหาดไทยจะขนส่งไปยังศาลากลางจังหวัด เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ จะได้นำไปจัดสรรให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง เช่น เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง อสม. พนักงานทำความสะอาดและเก็บขยะ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจในจุดตรวจพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อ COVIC-19 โดยวันนี้ 30 มีนาคม 2563 จะมีการขนส่งหน้ากากอนามัยออกจากโรงงาน บริษัท เอ็น.เอ็น.สกายเทรด จำกัด ซึ่งเป็น 1 ในโรงงานผู้ผลิตหน้ากาก 9 โรง จำนวน 200,000 ชิ้นเพื่อจัดสรรให้จังหวัดในภาคกลางทั้งหมด 22 จังหวัด โดยคาดว่าในวันพรุ่งนี้ (31 มีนาคม 2563) จะส่งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เพื่อที่จะกระจายไปยังกลุ่มเสี่ยงหรือมีความจำเป็นที่ต้องกา อย่างไรก็ดี หากหน้ากากอนามัยเหลือจากการจัดสรร และเพียงพอสำหรับกลุ่มเสี่ยง ก็อาจจะพิจารณานำมาจัดสรรเพื่อจำหน่ายให้ประชาชนต่อไป แต่ต้องให้หน่วยงานทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยงเพียงพอในการใช้งานทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้ นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มาติดตามการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย สำหรับปริมาณการผลิตหน้ากากอนามัยปัจจุบันมีอยู่ที่ประมาณ 2.3 ล้านชิ้นต่อวันโดยในจำนวนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.3 ล้านชิ้นจะกระจายให้กับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อจัดสรรให้กับหน่วยงานในสังกัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่อีก 1 ล้านชิ้นจะกระจายให้กับกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้จัดสรรให้กับพื้นที่แต่ละจังหวัดที่มีความต้องการหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ จำเป็นต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-440909

จำนวนผู้อ่าน: 1820

31 มีนาคม 2020

“เซ็นทารา” ประกาศปิดโรงแรมทั้งหมด 28 แห่งตลอดเดือนเมษายนนี้

“เซ็นทารา” ประกาศปิดให้บริการโรงแรมและรีสอร์ทในเครือทั้งหมด 28 แห่งในเดือนเมษายนนี้ เผยจากนั้นจะพิจารณาเปิดตามสถานการณ์-ประกาศจากทางภาครัฐอีกครั้ง ยันดูแลพนักงานอย่างเต็มที่ พร้อมจ่ายค่าจ้าง 75% ของรายได้ รายงานข่าวจากบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ผู้บริหารโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนปิดให้บริการโรงแรมและรีสอร์ทในเครือทั้งหมดจำนวน 28 แห่งในเดือนเมษายนนี้ โดยแบ่งโรงแรมและรีสอร์ทในประเทศ จำนวน 25 แห่ง และ 3 แห่งในต่างประเทศ ได้แก่ 2 แห่งที่มัลดีฟส์ คือ เซ็นทารา แกรนด์ ไอส์แลนด์ รีสอร์ทแอนด์สปา มัลดีฟส์ และเซ็นทารา ราส ฟูชิ รีสอร์ทและสปา มัลดีฟส์ และอีก 1 แห่งที่ศรีลังกาคือ เซ็นทารา ซีย์แซนด์ รีสอร์ทและสปา ศรีลังกา ทั้งนี้ โรงแรมและรีสอร์ทบางแห่งในแต่ละจังหวัดหลักๆ ของประเทศไทยยังคงเปิดให้บริการสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางและต้องการที่พักที่ปลอดภัย โดยในเบื้องต้น เริ่มปิดโรงแรมเป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยเริ่มต้นปิดตั้งแต่ 1 เมษายน ทยอยไปจนถึง 16 เมษายน จนครบทั้ง 28 แห่ง หลังจากนี้ต้องพิจารณาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและการประกาศจากหน่วยงานรัฐ Centara Ao Nang Resort and Spa Krabi รายงานข่าวแจ้งว่า เซ็นทารายังคงดูแลพนักงานอย่างเต็มความสามารถ โดยจะมอบหมายให้พนักงานบางส่วนไปรับผิดชอบโครงการต่างๆ ในขณะที่โรงแรมที่สังกัดปิดให้บริการ โครงการเหล่านี้ได้แก่ โครงการพัฒนาโรงแรมใหม่ โครงการเตรียมการเพื่อเปิดตัวโรงแรมบางแห่งในช่วงปลายปี อีกทั้งยังมีพนักงานบางส่วนที่บริษัทกำหนดให้ทำงานจากที่บ้านเพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาลและลดการเดินทางออกนอกบ้านเพื่อพบปะผู้อื่นเพื่อเว้นระยะห่างทางสังคมและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ตามนโยบายของภาครัฐ ซึ่งพนักงานเหล่านี้ เซ็นทารายังคงจ่ายค่าจ้าง เป็นจำนวน 75% ของเงินเดือน พร้อมสวัสดิการตามเดิม “เซ็นทาราพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลไทย รวมถึงองค์กรระดับโลกอย่างองค์การอนามัยโลกในการจำกัดการเคลื่อนย้ายของผู้คน เพิ่มระยะห่างทางสังคม ลดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก โดยเซ็นทาราหวังว่าแนวทางปฏิบัติในครั้งนี้ จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 และร่วมบรรเทาวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ลงได้อย่างเร็วที่สุด อันจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมในระยะยาว” Centara Grand Mirage Beach Resort Pattaya ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ภาคธุรกิจต้องพร้อมปรับการดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบรับกับสถานการณ์ต่างๆ อย่างทันท่วงที เซ็นทารามั่นใจว่ามาตรการต่างๆ ที่ได้ริเริ่มและยังคงทำอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดผลกระทบด้านลบได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมของธุรกิจให้ก้าวต่อได้เมื่อวิกฤตการณ์ในครั้งนี้จบลง และความต้องการท่องเที่ยวในตลาดกลับมาอีกครั้ง Centara Residences and Suites Doha ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-440883

จำนวนผู้อ่าน: 1681

31 มีนาคม 2020

“หม่อมเต่า” ช่วยลูกจ้างประกันสังคม 15 ล้านคน เลิกจ้าง-ลาออกเองได้สิทธิประโยชน์ด้วย

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการเดินหน้าช่วยเหลือแรงงานผู้ประกันตนว่า ได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมออกมาตรการเยียวยาเร่งด่วน และปรับปรุงมาตรการเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ม.ร.ว.จัตุมงคล เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดภาวะพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยจนกระทั่งยกระดับสถานการณ์เป็นภาวะวิกฤต ตนได้สั่งการทุกหน่วยงานในกระทรวงแรงงาน ให้วางมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน ซึ่งในส่วนของสำนักงานประกันสังคมมาตรการที่ออกมา และผ่านคณะรัฐมนตรีไปแล้วคือ 1.การลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง และลูกจ้างมาตรา 33, 39 – ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์รวมทั้งสิ้น 13,346,143 ราย 2.การขยายระยะเวลาการนำส่งเงินสมทบให้แก่นายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33, 39 – นายจ้างได้รับประโยชน์ 488,226 ราย – ผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้รับประโยชน์ 1,653,714 ราย 3.การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย ทั้งยังเพิ่มสิทธิไปถึงกรณีว่างงานเนื่องมาจากกรณีถูกเลิกจ้าง และลาออกเอง 4.การส่งเสริมให้มีการจ้างงาน โดยขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานวงเงิน 30,000 ล้านบาท 5.การดูแลรักษา ให้สำนักงานประกันสังคมดำเนินการ เพิ่มสิทธิการรักษาแก่ผู้ประกันตนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อ โควิด-19 เท่าเทียมกับการรักษาทั้ง 3 กองทุน ม.ร.ว.จัตุมงคลกล่าวต่อว่า มาตรการดังกล่าวได้ดำเนินการแล้ว เหลือเพียงกระบวนการบังคับใช้ แต่จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพบว่า สถานการณ์แพร่กระจายของไวรัสยังคงต่อเนื่อง ตนยังได้ปรับเพิ่มมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน และผู้ประกันตนเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 ได้ประชุมวางหลักการแก้กฎกรทรวงเพื่อเยียวยาลูกจ้าง ผู้ประกันตนกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยไม่ต่ำกว่าเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งในเรื่องนี้จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็วที่สุด ในการนี้ ผู้สื่อข่าวยังสอบถาม นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กรณีการนำส่งเงินสมทบของสถานประกอบการ และผู้ประกันตน รวมทั้งการยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรให้ปลอดภัย นายทศพลฯได้ชี้แจงว่า สำนักงานประกันสังคมมีช่องทางให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการที่สถานประกอบการ และผู้ประกันตน สามารถเข้าไปใช้บริการได้ รายละเอียดปรากฏอยู่ใน www.sso.go.th ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-440840

จำนวนผู้อ่าน: 1701

31 มีนาคม 2020

“โกลบิช” ชี้ โควิด-19 ทำธุรกิจโตก้าวกระโดด คาดปีนี้ โต 120%

จากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้สถาบันการศึกษาหลายแห่งต้องหันมาใช้การเรียนการสอนผ่านออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจออนไลน์ได้รับความนิยมแบบก้าวกระโดด “โกลบิช” (Globish) สตาร์ทอัพ EdTech ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มการเรียน Live English Classroom ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ระบุว่า วิกฤตในครั้งนี้กลายเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยยกระดับการศึกษาไทยสู่ออนไลน์ในอนาคต “ชื่นชีวัน วงษ์เสรี” เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท โกลบิช อคาเดเมีย (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยกับประชาชาติธุรกิจว่าในช่วงวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้การเรียนออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น มีบริษัทเอกชนไทยมากกว่า 5 บริษัทที่พร้อมใจกันพัฒนาแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ใหม่ๆ ขึ้นมาในช่วงไวรัสแพร่ระบาด ทำให้ตลาดเรียนออนไลน์ดูคึกคักมากกว่าเดิม จากที่ผ่านมาความนิยมเรียนออนไลน์กำลังค่อยๆ เติบโตในระดับที่ดีอยู่แล้ว ในช่วง 4 ปีหลัง เฉพาะแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ภาษาอังกฤษก็โตมากกว่า 30% แล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นรูปแบบ E-learning ส่วนรูปแบบการเรียนการสอนสดที่โต้ตอบกันได้ยังถือว่าน้อยมาก ดังนั้นระบบการเรียนการสอนสด (Online Live Classroom) ของโกลบิช ยังคงเป็นเบอร์ใหญ่ในตลาดอยู่ ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2557 ที่โกลบิชเปิด “Online Live Classroom” เราเติบโตขึ้นถึง 350% ซึ่งในปี 2562 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับสถิติของปี 2561 เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 190% ขณะที่รายได้ขยายจาก 5.7 ล้านบาทในปี 2559 มาเป็น 97.8 ล้านบาทในปี 2562 สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักที่มาใช้บริการ 70% คือ ผู้ใหญ่วัยทำงานที่ซื้อคอร์สเรียนด้วยตนเอง เช่น ผู้บริหาร ผู้จัดการ เจ้าของธุรกิจ คุณหมอ วิศวกร ฯลฯ อีก 20% เป็นกลุ่มเด็กอายุ 7-14 ปี ที่พ่อแม่ซื้อคอร์สเรียนเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษให้ ส่วนกลุ่มที่เหลือเป็นองค์กรซื้อให้พนักงานเข้ามา ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 10 % “เราตั้งเป้าว่าจะเติบโตประมาณ 2-4 เท่าของทุกปี และในปีนี้ คาดโตอีก 120% หรือทำรายได้ให้ได้ 250-300 ล้านบาท และจะทำให้ได้ 1 พันล้านบาท ภายในปี 2564 เพราะเรามีแผนสร้างโปรดักส์ที่เข้าถึงกลุ่มคนใหม่ๆ มากขึ้นเพื่อที่จะพัฒนาคนไทยให้เกิน 1 แสนคนภายใน 5 ปี” ปัจจัยที่จะทำให้เติบโตมองว่า มาจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ทำให้การเรียนไม่ติดขัด ทำให้คลาสไม่ล่ม มีการขยายทีมครูหลากหลายเชื้อชาติ เปิดกว้างให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา เรามีความเข้าใจในตลาด เข้าใจนักเรียน การที่เราจะทำโปรดักส์อะไรขึ้นมาเราต้องทำการสัมภาษณ์ผู้เรียนเยอะมาก เพื่อให้การเรียนรู้เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้เรียน เช่น นักเรียนที่เลิกเรียนและมีเวลาว่างอยากจะเรียนช่วงเวลาระหว่าง 3 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน หรือนักดนตรีที่เลิกงานหลังเที่ยงคืน ผู้บริหารที่ต้องการเรียนตั้งแต่หกโมงเช้า ก่อนไปทำงาน เป็นต้น “ชื่นชีวัน” กล่าวอีกว่า การเรียนการสอนสด ผู้เรียนสามารถเรียนด้วยเครื่องมือสื่อสารชนิดใดก็ได้ ทั้งโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และสามารถเรียนเมื่ออยู่สถานที่ใดก็ได้ อนาคต หากมี 5G เข้ามารองรับทำให้อินเทอร์เน็ตแรงขึ้น จะยิ่งเป็นข้อดี เพราะสามารถพัฒนาไปสู่การใช้เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) เข้ามาเป็นลูกเล่นใหม่ๆ ให้การเรียนไม่น่าเบื่อ แต่มีประสิทธิภาพในการเรียนมากขึ้น โกลบิชพยายามทดสอบสองระบบนี้แล้ว ในการวิเคราะห์ภาพ เสียง ใบหน้าบนแพลตฟอร์ม เชื่อว่า หาก 5G เข้ามาเร็วๆ นี้ ก็จะช่วยให้ตลาดเรียนออนไลน์โตได้อีก อย่างไรก็ดี Online Live class room ในต่างประเทศเป็นที่นิยมมาก มีบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วมากกว่า 5 บริษัท โดยเฉพาะ จีน ญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเติบโตคือเวียดนาม เกาหลี แต่ถ้าเป็นเรียนออนไลน์แบบ E-learning ในฝั่งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ค่อนข้างเป็นที่นิยมมาแล้ว เรียนจบรับใบประกาศนียบัตร สามารถนำไปยื่น สมัครงานได้เลย ส่วนไทยกำลังปรับตัวโดยเฉพาะช่วงนี้การเรียนออนไลน์ค่อนข้างมาแรง ถือเป็นแรงผลักดันระบบการศึกษาไทยไปสู่ออนไลน์แต่ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ซึ่งเชื่อว่าอนาคต หากมีการผสมผสานระหว่างออนไลน์ ออฟไลน์ ควบคู่กันไป จะทำให้การศึกษาก้าวหน้า ประโยชน์ของการเรียนในห้องเรียนคือได้สังคม ได้เพื่อน แต่เรียนออนไลน์จะช่วยในเรื่องของ ความเป็นส่วนตัว (Personalization) สามารถปรับการเรียนให้เข้ากับผู้เรียนแต่ละคนได้ และผู้เรียนมีความกล้าในการฝึกทักษะมากขึ้น สำหรับแพลตฟอร์มที่โกลบิช คิดค้นขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะคนไทย ตั้งแต่โควิด-19 แพร่ระบาด โกลบิช ได้จัดโครงการติวสอบแพทย์ (9 วิชาสามัญ) ให้นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่สนใจทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมทางความรู้ กระบวนการความคิด และเทคนิคการสอบแพทย์ต่างๆ ซึ่งก็ได้เสียงตอบรับที่ดีมากมีนักเรียนร่วมติวกว่า 2,000 คน รวมทั้งโครงการ “Globish kids” การเรียนในรูปแบบ 1 on 1 Class ที่เป็นครูผู้สอน 1 คน ต่อผู้เรียน 1 คน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผู้เรียนทุกคนต้องวัดระดับภาษาเพื่อค้นหาคอร์สเรียนที่เหมาะสมกับตัวนักเรียนมากที่สุด และในระหว่างเรียนสามารถโต้ตอบกับโค้ชได้ทันทีผ่านวิดิโอคอลออนไลน์ และล่าสุดเปิดโครงการเรียนฟรี “Summer Class by Globish Kids” ประกอบด้วยคลาสรูมที่พร้อมรองรับผู้เข้าเรียนกว่า 100,000 คน ได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในเชิงพัฒนา จำนวนมากกว่า 100 คลาสภายในเดือนเมษายนนี้ โดย 1 คลาสรูมสามารถรองรับนักเรียนได้ 1,000 คน หลักสูตรถูกออกแบบการเรียนมาให้เหมาะกับระดับภาษาของเด็กไทยส่วนมาก จึงไม่ได้เจาะจงระดับภาษาของผู้เรียน เป็นหลักสูตรสำหรับผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนต้น หรืออายุระหว่าง 7-14 ปี มุ่งเสริมสร้างทักษะด้านภาษาอังกฤษที่รวบรวมคำศัพท์ และการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย ทักษะการพูด สนทนาตอบโต้ และทักษะการฟังให้เข้าใจ ในหัวข้อเรื่องราวต่างๆ ผ่านเกมที่สนุกเพื่อไม่ให้น่าเบื่อ พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนสำหรับเด็กโดยเฉพาะ โดยผู้เชี่ยวชาญภาษา การเรียนการสอนแบบสดผ่านระบบ Live Interaction ที่ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับครูผู้สอนได้แบบเรียลไทม์ผ่าน Comment, Poll และ Q&A ทั้งครูผู้สอนยังสามารถเลือกนักเรียนในห้องเรียนตอบคำถาม หรือถามคำถามผ่านแพลตฟอร์มทั้งในรูปแบบ Live Video และแบบเสียงได้ ซึ่งทำให้นักเรียนสามารถตอบโต้กับครูผู้สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการเรียน E-learning “จากการเปิดแพลตฟอร์มดังกล่าว ตั้งแต่มีมาตรการให้กักตัวที่บ้าน มีผู้สมัครเข้ามาเรียนมากว่า 400 คนแล้ว และมีการสอนไปแล้ว 23 คลาส ซึ่งจัดวันละ 2 คลาส และจะขยายอีก 77 คลาสรูมในเดือนเมษายน ตอนนี้กำลังรับอาสาสมัครครูผู้สอนเพิ่มเพราะจะขยายการเรียนเพิ่มเป็นวันละ 4 คลาส หรืออาจจะมากกว่านี้ตามจำนวนผู้สมัครเข้ามาเรียน และผู้สมัครเข้ามาสอน อีกทั้งยังตั้งเป้าไว้ว่าจะมีการเปิดสอนวิชาอื่นๆ เพิ่ม เช่น สิ่งแวดล้อม ความรู้รอบตัว ดนตรี ภาษาจีน ฯลฯ เพื่อให้เด็กๆ มีเวลาว่างน้อยลง” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/education/news-440864

จำนวนผู้อ่าน: 1720

31 มีนาคม 2020

ได้เงินแน่เมษาฯ นี้ “เราไม่ทิ้งกัน” คลังพร้อมจ่าย 5 พันบาท 9 ล้านราย

“คลัง” พร้อมจ่าย 5 พันบาท 9 ล้านราย ในเดือน เม.ย. แจง 19.8 ล้านคนลงทะเบียนผ่านไม่ได้เงินทุกคน นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หากมีผู้ผ่านเกณฑ์มาตรการรับเงินเยียวยา 5,000 บาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดมากกว่าที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ประมาณ 3.5 ล้านคน ยืนยันว่า มีงบประมาณจ่ายผู้ผ่านเกณฑ์ทุกราย และหากคำนวณจากงบประมาณที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ จำนวน 4.5 หมื่นล้านบาท ภายใน 1 เดือน กระทรวงการคลังสามารถจ่ายเงินให้ประชาชนได้ถึง 9 ล้านคน “ยืนยันว่า มีงบประมาณเพียงพอให้กับประชาชนที่ผ่านการคัดกรองทุกราย เนื่องจากมีแหล่งเงินสำรองของรัฐอีกหลายแห่ง และยังมีหนี้สาธารณะที่ยังมีช่องว่างสามารถขอกู้ได้เต็มเพดาน ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 42%” นายลวรณ กล่าว ขณะที่ยอดลงทะเบียนรับเงิน 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2563 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ล่าสุด วันนี้ (30 มี.ค.63) เวลา 14.00 น. มียอดผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 19.8 ล้านคน ซึ่งสาเหตุที่จำนวนเพิ่มขึ้นกว่าคาดการณ์ เป็นเพราะว่ามีผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมตามมาตรา 39 และ 40 เข้ามาลงทะเบียนเพิ่ม ประมาณ 6 ล้านคน โดยที่กระทรวงการคลังเสนอครม. ไม่ได้รวมกลุ่มดังกล่าว จึงคาดการณ์ประมาณ 3.5 ล้านคน นายลวรณ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุจำนวนผู้ที่ผ่านเกณฑ์รับเงินเยียวยา 5,000 บาท ได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล ซึ่งกระทรวงการคลังได้ส่งข้อมูลที่ประชาชนลงทะเบียนไว้ไปให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และขอเน้นย้ำว่าผู้ที่ลงทะเบียนได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับเงินทุกคน ซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ก่อน โดยกรณีผู้ที่ลงทะเบียนแล้วข้อมูลถูกต้องจะใช้เวลาในกระบวนการตรวจสอบอย่างเร็วที่สุด 7 วันหลังจากทำการ ทั้งนี้ ชี้แจงคุณสมบัติผู้ที่จะเข้าข่ายคุณสมบัติที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ คือ เป็นแรงงาน ลูกจ้าง หรือประกอบอาชีพอิสระ เช่น วินมอไซต์ แท็กซี่ ค้าขาย เป็นต้น และจะต้องไม่อยู่ในระบบประกันสังคม หรือกลุ่มคนที่อยู่ในระบบประกันสังคมตามมาตรา 39 และ 40 และที่สำคัญคือจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จริง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-440836

จำนวนผู้อ่าน: 1733

31 มีนาคม 2020

โควิด-19 ทุบ “คมนาคม” หยุดการเดินทางทุกโหมด เร่งเยียวยา “แอร์ไลน์-รถโดยสาร”

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “โควิด-19” ยังเขย่าขวัญโลกและสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างถูก “ชัตดาวน์” อย่างสิ้นเชิง เพื่อฝ่าวิกฤติที่กำลังถาโถม ขณะที่ภาครัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาประชาชน-ภาคธุรกิจที่ได้รับแรงกระแทก พยุงเศรษฐกิจไม่สะดุด รวมถึงมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมและบรรเทาการแพร่ระบาด ล่าสุด “บิ๊กตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี งัด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกมาควบคุมสถานการณ์ ด้าน “กระทรวงคมนาคม” ที่ควบคุมการเดินทางทุกโหมด ก็ต้องหามาตรการออกมาประคองให้วิกฤตครั้งนี้ผ่านพ้นไปให้ได้ คลอด 6 มาตรการอุ้มแอร์ไลน์ โดยที่ประชุม “กบร.-คณะกรรมการการบินพลเรือน” มี “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” เป็นประธาน พิจารณามาตรการตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กรมท่าอากาศยาน (ทย.) บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการสายการบิน 7 แห่ง ผ่านอนุมัติจาก “ครม.-คณะรัฐมนตรี” เมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มี 6 มาตรการ 1.มาตรการด้านการบิน ได้แก่ การลดค่าบริการการขึ้น-ลงอากาศยาน ค่าบริการที่เก็บอากาศยาน 50% สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ทำการบินเข้าหรือออกประเทศกลุ่มเสี่ยง ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ท่าอากาศยานอย่างอื่น เช่น ค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน, ปรับลดค่าบริการเดินอากาศ ที่ถูกเรียกเก็บจากผู้ให้บริการเดินอากาศ 50% สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ และ 20% สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ ที่ทำการบินเข้าหรือออกประเทศกลุ่มเสี่ยงปรับลดค่าธรรมเนียมการเข้าหรือออกนอกประเทศ ที่เรียกเก็บจากสายการบิน ตามจำนวนผู้โดยสารคนละ 15 บาท เหลือคนละ 10 บาท สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ทำการบินเข้าหรือออกประเทศกลุ่มเสี่ยง และขอขยายการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นจากเดิมมีผลถึงวันที่ 30 ก.ย. เป็นวันที่ 31 ธ.ค. 2563 2.มาตรการอำนวยความสะดวกเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ของสายการบิน ด้านการจัดสรรเวลาการบิน จะผ่อนผันการตัดสิทธิในฤดูกาลถัดไปให้สายการบินที่ยกเลิกเที่ยวบินจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยจะไม่ถูกนำมาใช้คำนวณเงื่อนไขการทำการบินของเวลาการบินต่อเนื่องที่ได้รับการจัดสรร เนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของสายการบิน, ประสานงานหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินในต่างประเทศที่สายการบินได้ยกเลิกเที่ยวบิน อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น เพื่อขอคงสิทธิในเวลาการบินที่ได้รับจัดสรรเดิม ด้านการกำกับดูแลทางเศรษฐกิจ ทบทวนหลักเกณฑ์การขอจัดสรรเส้นทางบินใหม่ภายในประเทศและปรับปรุงกระบวนการพิจารณาจัดสรรเส้นทางให้รวดเร็วขึ้น และเจรจาสิทธิการบินในเส้นทางระหว่างประเทศที่สายการบินของไทยมีศักยภาพในอนาคต อาทิ อินเดีย ปากีสถาน เกาหลีใต้ 3.มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางทางอากาศ ออกประกาศรองรับสิทธิของสายการบินในการปฏิเสธผู้โดยสารที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส ประชาสัมพันธ์มาตรการด้านการสาธารณสุขสร้างความเชื่อมั่น อาทิ กระบวนการคัดกรองผู้ป่วย วิธีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในห้องโดยสาร 4.มาตรการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว ออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ 5.มาตรการทางการเงิน ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ ค่าบริการ ค่าภาระ หรือเงินตอบแทนที่สายการบินถูกเรียกเก็บจากผู้ประกอบการท่าอากาศยาน ผู้ให้บริการการเดินอากาศ และผู้ประกอบการจำหน่ายและบริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อาทิ สายการบิน โรงแรม ภาคบริการต่าง ๆ เป็นต้น 6.มาตรการอื่น ๆ ลดค่าเช่าพื้นที่ 50% สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของผู้โดยสาร เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือน มี.ค.-ส.ค.นี้ ยังมีมาตรการลดค่าใช้หลุมจอดในสนามบินของ ทย. และ ทอท.ลง 50% กรณีที่มีการระงับทำการบินชั่วคราว และอยู่ระหว่างรอคำตอบจากกองทัพเรือ (ทร.) ให้ใช้หลุมจอดที่สนามบินอู่ตะเภา คุมเข้มเข้าประเทศ ในส่วนมาตรการคัดกรองการเข้าเมือง กพท.ได้ออกประกาศวันที่ 19 มี.ค. และมีผลบังคับใช้เมื่อ 22 มี.ค. คุมเข้มผู้โดยสารที่เดินทางจากทั่วโลกต้องมีใบรับรองแพทย์ที่มีอายุไม่เกิน 72 ชม. และกรมธรรม์ประกันภัยที่แสดงการคุ้มครองการรักษาพยาบาลในประเทศไทย ที่คุ้มครองโรคไวัรัสโควิด-19 เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3 ล้านบาท) จึงจะอนุญาตให้สายการบินขายบัตรที่นั่งให้ยกเว้นผู้โดยสารต่างชาติที่เดินผ่านประเทศไทยเพื่อต่อเครื่องไปประเทศที่ 3 ไม่ต้องเข้าเงื่อนไขตามประกาศข้างต้น แต่มีเงื่อนไข 1.มีเวลาเปลี่ยนเครื่องไม่เกิน 24 ชม. และ 2.มีใบรับรองแพทย์ที่ระบุว่า มีสุขภาพเหมาะสมไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ตรวจเชื้อไวรัสโควิดและกรมธรรม์ประกันภัย แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย จะต้องอยู่ในพื้นที่ที่กำหนดไว้ มีผลถึงวันที่ 31 มี.ค.นี้ เวลา 23.59 น. นั่งรถไฟ-รถไฟฟ้าต้องใส่หน้ากาก ขณะที่กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ออกประกาศ ข้อแนะนำในการปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) สำหรับผู้โดยสารและหน่วยงานที่ให้บริการระบบขนส่งทางราง ฉบับที่ 2 คิกออฟ เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ให้ผู้ใช้บริการรถไฟและรถไฟฟ้าทุกระบบจะต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ตลอดเวลาที่ใช้บริการ ทั้งในสถานีและขบวนรถ, เว้นระยะห่างทางสังคม (social distance) 1-2 เมตร ส่วนผู้ให้บริการ จะต้องเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการป้องกัน เช่น เพิ่มจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสารก่อนเข้าใช้บริการทุกสถานี BEM ลดค่าเช่า 50% นายณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ (BMN) ในเครือ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ผู้บริหารเมโทร มอลล์ พื้นที่เชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้า MRT ได้ลดค่าเช่าให้พันธมิตรร้านค้าต่าง ๆ ลง 50% รวมถึงร้านค้าบนพื้นที่ด่านประชาชื่น ด่านศรีนครินทร์ และด่านบางปะอิน ที่จ่ายค่าเช่าคงที่รายเดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.-30 เม.ย.นี้ ส่วนร้านที่ปิดตามประกาศกรุงเทพมหานคร จะยกเว้นค่าเช่าให้ในช่วงวันที่ 22 มี.ค.-12 เม.ย.นี้ ขนส่งระงับสอบใบขับขี่ ขณะที่ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า กรมปรับการให้บริการสำนักงานขนส่งในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล 5 จังหวัด สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี และปทุมธานี ระหว่างวันที่ 24 มี.ค.-12 เม.ย.นี้ งดการอบรมและทดสอบใบอนุญาตขับรถ บัตรประจำตัวคนขับรถ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ รายใหม่ทุกชนิด และให้อบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถทุกชนิดผ่านระบบ e-Learning และบริการรับชำระภาษีรถประจำปีออนไลน์ ส่วนช่องทางอื่น ๆ ยังปกติ เช่น เคาน์เตอร์เซอร์วิส เซเว่นอีเลฟเว่น แต่งดบริการในห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางยังอนุมัติให้รถร่วมเอกชนในหมวด 2-3 ยกเว้นการเดินรถเส้นทางระหว่างจังหวัด เพื่อให้ไม่เข้าเงื่อนไขจ่ายค่าธรรมเนียมให้บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ส่วนผู้ประกอบการรถแท็กซี่จะหารือมาตรการช่วยเหลืออีกครั้ง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-440713

จำนวนผู้อ่าน: 1749

31 มีนาคม 2020