News

ค่ายรถสร้างคนรับเทรนด์อีวี มหา”ลัยแห่เปิดหลักสูตรป้อน

ค่ายรถยนต์ตื่นตัวรับกระแสอีวีเร่งแผนพัฒนาคน “โตโยต้า-นิสสัน-มิตซูบิชิ” ผนึกเจโทรเตรียมเข้าสู่โลกอีวีครบวงจร ขณะที่มหาวิทยาลัยแห่เปิดหลักสูตรรับ “มาสเตอร์ กรุ๊ป” จับมืออาชีวะปั้นช่างฝีมือรองรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน กรรมการสถาบันยานยนต์ ทำการแทนผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กระแสการตอบรับเทคโนโลยีด้านยานยนต์ของคนไทยถือว่ารวดเร็วกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า (อีวี) ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องตระหนักในการเตรียมบุคลากรรองรับ ผนึกเจโทรรับเทคโนโลยีใหม่ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา สถาบันยานยนต์ได้ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง เรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่กับองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ (เจโทร) เพื่อประสานความร่วมมือส่งเสริมความเข้าใจและการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของทั้ง 2 ประเทศ ประกอบด้วย ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) ยานยนต์ไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) ยานยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) ยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) และยานยนต์แห่งอนาคต ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือ 3 ปี (ปี 2561-2563) เพื่อร่วมกำหนดทิศทางและวางแผนเพื่อเปลี่ยนสังคมยานยนต์ในปัจจุบัน ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพขอบเขตความร่วมมือ 3 ด้านหลัก คือ การแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ระบบความปลอดภัย การจัดการแบตเตอรี่ รวมถึงระบบการประจุไฟฟ้า การทดสอบและพลังงาน, แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า, การพัฒนาทรัพยากรบุคคล ค่ายรถตื่นตัวรับกระแสอีวี นายอดิศักดิ์กล่าวอีกว่า ตอนนี้ค่ายรถยนต์ 3 ราย ได้แก่ โตโยต้า, นิสสัน, มิตซูบิชิ ประกาศความชัดเจนว่าพร้อมลงทุนในแพ็กเกจรถยนต์ไฟฟ้าที่รัฐบาลสนับสนุน เพื่อเตรียมพร้อมด้านบุคลากร ขณะที่สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสมาคมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยก็ตระหนักและให้ความสนใจ   ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยหลายรายเริ่มปรับตัวรับการเปลี่ยนผ่านมากกว่าที่จะเป็นแค่ผู้ผลิต โดยเริ่มหันไปให้ความสำคัญกับงานด้านวิจัยและพัฒนา เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีและธุรกิจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะต้องเริ่มจากสิ่งที่ถนัดก่อน และพัฒนาไปสู่ความร่วมมือการผลิตชั้นสูง อาทิ แบตเตอรี่, มอเตอร์ไฟฟ้า อนาคตชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่จะใช้ชิ้นส่วนยานยนต์ลดลง เหลือเพียง 2 ใน 3 ของปัจจุบัน และต้นทุนหลักของจะไปอยู่ที่แบตเตอรี่ถึง 50% ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจะต้องพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมตรงนี้ ขอเวลา 10 ปีเปลี่ยนผ่านสู่อีวี นายอดิศักดิ์กล่าวว่า กระแสความตื่นตัวเรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ไฮบริดนั้น เชื่อว่าจะต้องใช้ระยะเวลาเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 10 ปี หรือราวปี 2579 ที่คาดว่าประเทศไทยจะมีความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าราว 25% ของยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมด เช่นเดียวกับ นางอัชณา ลิมป์ไพฑูรย์ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จำเป็นต้องทำความเข้าใจ โดยเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนเจเนอเรชั่นใหม่ จากเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน ๆ ไปสู่เครื่องยนต์ไฮบริด ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และอีวี ในที่สุดเชื่อว่าราวปี 2579 หรืออาจจะนานกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยต้องปรับตัว ซึ่งมีทั้งกลุ่มสามารถปรับตัวได้ และผู้ที่ตกขบวน ซึ่งอาจต้องผันตัวเองไปสู่การผลิตชิ้นส่วนอื่น ๆ เช่น เครื่องมือแพทย์, แขนกล และอากาศยาน BMW ทาบซัมซุง-LG ผลิตแบต นายคริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บีเอ็มดับเบิลยูได้ยื่นขอรับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนกับบีโอไอ ภายใต้แพ็กเกจรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ขณะนี้อยู่ระหว่างรอบีโอไอพิจารณา คาดว่าในเดือนหน้าจะได้รับการอนุมัติ นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดคุยกับพาร์ตเนอร์ทั้งแอลจีและซัมซุง เพื่อตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่รองรับการพัฒนารถอีวี อย่างไรก็ตาม การจะผลักดันให้รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นที่นิยมต้องได้รับการสนับสนุนในหลายส่วน ทั้งระบบสาธารณูปโภคสถานีชาร์จไฟ สิทธิประโยชน์ทางภาษี ฯลฯ ซึ่งภาครัฐและเอกชนจะต้องเดินไปพร้อมกัน ค่ายญี่ปุ่นรอบีโอไออนุมัติลงทุน ด้านนายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ฮอนด้าเพิ่งยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฮบริด มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนของฮอนด้า 1,600 ล้านบาท และการลงทุนของซัพพลายเออร์ 3,400 ล้านบาท จะเป็นการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ใช้พื้นที่เดียวกับโรงงานของฮอนด้า ส่วนการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ได้กำหนดแนวทางไว้ชัดเจนโดยมีบริษัทแม่เป็นต้นแบบ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ความคืบหน้าการบุกตลาดกลุ่มรถยนต์ไฮบริด เกือบทุกค่ายยื่นขอบีโอไอแล้ว รวมถึงมาสด้าและนิสสัน แต่บีโอไอเพิ่งอนุมัติให้กับโตโยต้ารายเดียว ที่ใช้เม็ดเงินลงทุน 20,000 ล้านบาท กำลังการผลิตปีละ 70,000 คัน ใช้โรงงานเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา และรถยนต์โมเดลแรกจากโครงการนี้คือ โตโยต้า ซี-เอชอาร์ แห่เปิดหลักสูตรรับเทรนด์อีวี  ดร.พิพัฒน์พงศ์ วัฒนวันยู รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า มหาวิทยาลัยได้ร่วมมือกับ FOMM ประเทศญี่ปุ่น ในการเข้ามาสอนนักศึกษาทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการสอนการออกแบบยานยนต์ไฟฟ้า การควบคุมระบบมอเตอร์ รวมถึงการขึ้นรูปโมเดลรถยนต์ไฟฟ้า และกำลังการศึกษาความเป็นไปได้ สำหรับการดัดแปลงรถยนต์ไฟฟ้าให้บรรทุกสัมภาระได้ เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานของคนไทยและบริบทของประเทศ ผศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล หัวหน้าสาขาวิศวกรรมยานยนต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และนายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่า มจธ.จะเปิดหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์ ในปีการศึกษา 2562 เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งแกนหลักของหลักสูตรจะพัฒนานักศึกษาให้มีความรู้ความสามารถด้านรถยนต์ไฟฟ้ารถขับขี่อัตโนมัติ เป็นต้น “เราเตรียมพร้อมสำหรับการสร้างวิศวกรให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยหลักสูตรนี้จะร่วมทำงานกับวิศวกรรมสาขาอื่น ๆ เพราะเนื้อหาการเรียนการสอนมีเรื่องไอทีและไฟฟ้าด้วย ตั้งเป้าผลิตคนรองรับการทำงานกับศูนย์วิจัยด้านยานยนต์ เพื่อร่วมออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่” ค่ายรถพัฒนาคนสู่โลกอีวี นายอนุสรณ์ บุตรสุนทร ผู้อำนวยการสถาบันมาสเตอร์ ออโตโมทีฟ เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ หรือเอ็มเอที ในเครือบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด เปิดเผยว่า จากเทรนด์รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตรวดเร็ว จึงได้เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนรองรับ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเตรียมความพร้อมพัฒนาบุคลากรในยุคที่กำลังจะก้าวข้ามผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาระดับอาชีวะ เพื่อยกระดับช่างเทคนิค ช่างยนต์ รวมถึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ทำหลักสูตรมินิเอ็มบีเอ สำหรับผู้ประกอบการด้านยานยนต์   ที่มา : prachachat.net

Person read: 2163

11 May 2018

ชงแผนลงทุนอุตไบโอ 1.3 แสนล้าน “มิตรผล-ซีพี-ปตท.” นำทีมบุก

เปิดแผนพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ 1.33 แสนล้าน “อุตตม” เตรียมเสนอ “แพ็กเกจBioeconomy” เข้า ครม. ดัน 3 พื้นที่ตั้งโครงการทั้งใน-นอก EEC พร้อมต่อยอด 3 จังหวัด “นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ขอนแก่น” ฐานที่ตั้งอุตฯน้ำตาล-อาหาร-ปิโตรเคมีของกลุ่มมิตรผล-เกษตรไทย-ซีพี-ปตท.เอเซียสตาร์-BIG-UENO-DSM นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงโครงการเขตเศรษฐกิจชีวภาพ หรือ Bioeconomy ว่า โครงการนี้จัดเป็นเป้าหมายที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการให้มีศักยภาพในการแข่งขัน ทางกระทรวงและประชารัฐ กลุ่มการพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (D5) จึงได้จัดทำ แผนพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ (2561-2570) ขึ้นเตรียมนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้อุตสาหกรรมไบโอชีวภาพปัจจุบันเริ่มมีการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อยู่แล้ว จากนั้นรัฐบาลจะ “ต่อยอด” อุตสาหกรรมไบโอชีวภาพออกไปนอกเขต EEC โดยภาคเอกชนสนใจที่จะลงทุนในพื้นที่ภาคหนือตอนล่างกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ครอบคลุมจังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร ขอนแก่น รวมมูลค่าโครงการทั้งใน EEC กับนอกเขต EEC ภายใน 5 ปีคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 133,000 ล้านบาท ขณะที่ นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า แพ็กเกจไบโอชีวภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้เสนอต่อนายอุตตมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาอีกครั้งก่อนที่จะนำเสนอเข้า ครม.ให้ทันภายในเดือนพฤษภาคมนี้   สำหรับรายละเอียดของโครงการเขตเศรษฐกิจชีวภาพ จะประกอบไปด้วยแผนงาน 3 ส่วนคือ 1)โครงการ Bioeconomy EEC ถือเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนตามแผน 5 ปี (1560-2564) จะมีมูลค่าการลงทุน 9,740 ล้านบาทจากกลุ่มนักลงทุน ได้แก่ บริษัท Baxter ผลิตน้ำยาล้างไต ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง มูลค่าการลงทุน 2,240 ล้านบาท, บริษัทโททาล(TOTAL) ร่วมกับบริษัท Corbion ผลิต Lactide 100 KTA กับ PLA 75 KTA ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย จ.ระยอง ลงทุน 3,500 ล้านบาท บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ในเครือ ปตท. โครงการ Palm Biocomplex เฟส 1 และ 2 เพื่อผลิตเมทิลเอสเตอร์ 200 KTA จ.ชลบุรี มูลค่า 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECI ใน 2 พื้นที่คือ วังจันทร์วัลเลย์ ของ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) กับ อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ ของ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์กรมหาชน) หรือ GISTDA ซึ่งทั้ง 2 พื้นที่นี้ได้ถูกประกาศเป็นเขต EECI แล้ว 2)ส่วนต่อขยายการลงทุนในโครงการ Bioeconomy ในภาคเหนือตอนล่าง มูลค่าการลงทุน 49,000 ล้านบาท แบ่งเป็น นครสวรรค์ ลงทุน 41,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย โครงการ Biocomplex มูลค่า 10,000 ล้านบาท ของบริษัทโกลบอลกรีนเคมีคอล (GGC) ร่วมกับบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS เพื่อผลิต Latic Acid, Bio-succinic Acid (BSA) & Bio 1,4 Butanedio, PLA, Furfural และ Lactic Acid สำหรับอาหาร ส่วนที่กำแพงเพชร (ลงทุน 8,000 ล้านบาท) จะมีโครงการ Dried Yeast ของบริษัท คริสตอลลา จำกัด ผลิต Yeast Extract, Beta-Glucan สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ 3)ส่วนต่อขยายการลงทุนในโครงการ Bioeconomy ในภาคอีสานตอนกลางลงทุน 29,705 ล้านบาทในขอนแก่น ประกอบไปด้วย นิคมอุตสาหกรรม Bioeconomy ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ร่วมกับบริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG), โครงการผลิตเอ็นไซม์น้ำ Yeast Probiotics และ Beta-glucan ของกลุ่มบริษัท เอเชีย สตาร์ เทรด จำกัด (AST) และ บริษัท เอเชีย สตาร์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (ASAH), โครงการ Dried Yeast-เอมไซม์ไฟเตส สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร-Lactic Acid/Sugar Alcohol สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร/เครื่องสำอาง ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล, บริษัท ดีเอสเอ็ม นิวทริชั่นแนล โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด (DSM), บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) และบริษัท อูเอโนไฟน์เคมีคัลส์ อินดัสตรี (ประเทศไทย) จำกัด (UENO) ล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรมได้แก้ปัญหากรณีโรงงานในเขตเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ติดปัญหาผังเมืองในพื้นที่ 3 จังหวัด (นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ขอนแก่น) โดยนายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า ได้เสนอให้แก้ประกาศแนบท้ายกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดประเภทโรงงานใหม่จาก “เคมี” เป็น “เคมีชีวภาพ” กับเสนอให้ผู้ประกอบการสามารถตั้งโรงงานไบโอชีวภาพในเขตที่เป็นสีเขียวได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องแก้สีผังเมือง ซึ่งทั้ง 2 แนวทางอยู่ที่การพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม   ที่มา : http://smartfixs.net

Person read: 2707

07 May 2018

ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีน JD.com ท้าชนอาลีบาบา เซ็นสัญญาซื้อทุเรียนกับบริษัทส่งออกรายใหญ่ของไทย

วันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบริษัท ควีน โฟรเซ่น ฟุต จำกัด ทำหนังสือเชิญสื่อมวลชนร่วมงานเซ็นสัญญาเอ็มโอยูกับ JD.com (บริษัทในเครือ Beijing Jingdong century Trade) โดยระบุว่าเป็นงานเซ็นสัญญา MOU การค้าขายสั่งซื้อทุเรียนและผลไม้ไทย จำนวนมหาศาลสู่ประเทศจีนและการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซระหว่าง JD.com ยักษ์ใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของประเทศจีน คู่แข่งรายสำคัญของ อาลีบาบา กับ บริษัท ควีน โฟรเซ่นฟุต จำกัด โดยคุณกาญจนา แย้มพราย ประธานกรรมการผู้ประกอบธุรกิจผลไม้ส่งออกรายใหญ่ของไทย ในวันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561 เวลา 11.30 น. ณ บริษัทควีน โฟรเซ่น ฟรุต จำกัด ตลาดไทย จ.ปทุมธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ JD.com Jd.com ก่อตั้งโดย “ริชาร์ด หลิว” หรือหลิว เชียงตง ในปี 1988 เริ่มจากการเป็นร้านขายอุปกรณ์ไอทีในย่านจงกวานซุนของปักกิ่ง ก่อนที่จุดพลิกผันจะเกิดขึ้นในปี 2003 ที่เกิดเหตุโรคซาร์สระบาดในเอเชีย ทำให้หลิวตัดสินใจก่อตั้งร้านค้าออนไลน์ jdlaser.com ในปี 2004 และนี่จุดเริ่มต้นของอีคอมเมิร์ซจีนที่ได้ชื่อว่า “อเมซอนแห่งจีน” (ตัวจริง) นักวิเคราะห์หลายเสียงเปรียบ JD.com ว่าคือ Amazon.com เพราะ JD.com มีการลงทุนโครงข่ายโลจิสติกส์จำนวนมหาศาล ทั้งศูนย์กระจายสินค้าในจีนกว่า 6,900 แห่ง และพนักงานส่งสินค้ากว่า 7 หมื่นคน (จากพนักงานราว 120,000 คน) รวมถึงการจัดแพ็กเกจ ตลอดการสต๊อกสินค้าด้วยตัวเอง ทำให้สามารถส่งด่วนภายใน 1 วัน ได้เหมือนอเมซอนใน 43 เมืองใหญ่ของจีน ทั้งมั่นใจตได้ว่าสามารถส่งมอบสินค้าคุณภาพและของแท้ให้แก่ลูกค้า ซึ่งแตกต่างจากอาลีบาบา ที่เป็นอีคอมเมิร์ซในลักษณะของมาร์เก็ตเพลซที่ให้ผู้ค้ารายย่อยเข้ามาใช้เป็นช่องทางขายสินค้า   ที่มา : prachachat.net

Person read: 1857

03 May 2018

เพิ่มอีก 2 สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู “ศรีรัช-เมืองทองธานี”

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2561 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1 งานศึกษารายละเอียดความเหมาะสม ออกแบบ และศึกษาวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ส่วนต่อขยาย โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี (สถานีศรีรัช – เมืองทองธานี) โดยมีผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน องค์กรอิสระ และผู้สนใจเข้าร่วมประชุมกว่า 200 คน ณ ห้องประชุมใหญ่ 104 อาคารพิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยในการประชุมครั้งนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลโครงการ แผนการดำเนินงาน แนวคิดการกำหนดแนวเส้นทาง แนวทางการศึกษาด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม และกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบและร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ตลอดจนร่วมหารือถึงความเหมาะสมและเพียงพอของมาตรการต่างๆ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแนวทางการพัฒนาโครงการต่อไป งานศึกษารายละเอียดความหมาะสมฯ ส่วนต่อขยาย โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี (สถานีศรีรัช – เมืองทองธานี) นี้ มีที่มาจากโครงข่ายของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี ซึ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนระบบรอง ประเภทระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Straddle Monorail) ตามแนวถนนติวานนท์ ถนนแจ้งวัฒนะ และถนนรามอินทราไปจนถึงเขตมีนบุรี เพื่อรองรับพื้นที่อยู่อาศัย แหล่งพาณิชยกรรม และการเดินทางเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยมีการเชื่อมต่อการเดินทางให้สามารถเข้าสู่ระบบขนส่งมวลชนสายหลัก 4 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม หากสามารถต่อขยาย โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ ได้ จะเป็นการเพิ่มศักยภาพการเดินทางของประชาชนจากบริเวณถนนแจ้งวัฒนะเข้าสู่พื้นที่เมืองทองธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยหนาแน่น และเป็นที่ตั้งของหน่วยงานต่างๆ ด้วย เช่น ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เอสซีจี สเตเดี้ยม ธันเดอร์โดม และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นต้น โดยส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ ออกแบบเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Straddle Monorail) ที่มีสมรรถนะสูง รองรับด้วยโครงสร้างยกระดับตลอดแนวเส้นทาง ซึ่งมีแนวเส้นทางเริ่มต้นจากถนนแจ้งวัฒนะ บริเวณสถานีศรีรัชของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี สายหลัก ไปทางทิศตะวันตก และเลี้ยวขวาเข้าสู่เมืองทองธานีไปตามซอยแจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด 39 แนวทางเดียวกันกับทางพิเศษอุดรรัถยา ต่อเนื่องไปยังจุดสิ้นสุดโครงการบริเวณทะเลสาบเมืองทองธานี ประกอบด้วยสถานีรับส่งผู้โดยสาร 2 สถานี ได้แก่ สถานี MT-01 ตั้งอยู่บริเวณอิมแพ็คชาเลนเจอร์ (Impact Challenger) และสถานี MT-02 ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของทะเลสาบเมืองทองธานี รวมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร มีขอบเขตพื้นที่ศึกษาอยู่ห่างจากศูนย์กลางแนวเส้นทางข้างละ 500 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลบางตลาด ตำบลคลองเกลือ และตำบลบ้านใหม่ ในพื้นที่การปกครองของเทศบาลนครปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ที่มา : prachachat.net            

Person read: 2206

01 May 2018

3 สมาคมอสังหาขอเจรจารัฐ ปลดผังเมือง-ลดพื้นที่ถนนรอบโครงการ

3 สมาคมอสังหาฯ ส่งหนังสือขอพบ “ประจิน-สมคิด-บิ๊กป๊อก” ขอเคลียร์ผังเมืองนนท์คุมกำเนิดสร้างทาวน์เฮาส์-บ้านเดี่ยวไม่ได้ เผยร่างกฎหมายใหม่บังคับถนนหน้าโครงการกว้าง 10-12 เมตร ในขณะที่ 90% ตัดถนนกว้างแค่ 6-8 เมตร สมาคมคอนโดฯ พ่วงหนังสือขอเคลียร์ปมคดีฟ้องร้องศาลปกครองกระทบผู้ประกอบการสุจริต นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 ที่ผ่านมาทาง 3 สมาคมประกอบด้วยสมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลเพื่อขอเข้าพบและหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมีประเด็นหารือหลักเกี่ยวกับขอให้ทบทวนการบังคับใช้ผังเมืองรวมจังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีข้อจำกัดทำให้ไม่สามารถสร้างทาวน์เฮาส์ได้เลยทั้งจังหวัด ทั้งนี้ หนังสือขอเข้าพบผู้บริหารรัฐบาล ส่งไปถึงพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองสภาพปัญหาจากร่างผังเมืองรวมนนทบุรี คือ 1.องค์กรปกครองท้องถิ่นออกข้อบัญญัติกำหนดผังเมืองสีเหลือง (ย.1-ย.2) มีเงื่อนไขให้การสร้างบ้านเดี่ยวทาวน์เฮาส์ต้องมีถนนด้านหน้าโครงการ 10-12 เมตร ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงเพราะสัดส่วนถนน 80-90% ของจังหวัดนนทบุรีมีความกว้าง 6-8 เมตรเท่านั้น 2.พื้นที่ผังเมืองสีเขียว (ก.2-ก.3) มีข้อบัญญัติจำกัดสิทธิการพัฒนาบ้านเดี่ยว โดยกำหนดให้มีถนนด้านหน้าโครงการกว้าง 12-14 เมตร และกำหนด FAR (floor area ratio-สัดส่วนพื้นที่ปลูกสร้าง อาคารต่อขนาดที่ดิน) 1:1 ในขณะที่สภาพข้อเท็จจริงถนนมีความกว้าง 6-8 เมตร หากต้องการพัฒนาโครงการย่อมหมายถึงใช้ที่ดินไม่เต็มศักยภาพ 3.การพัฒนาคอนโดมิเนียมถูกจำกัดให้สร้างได้บริเวณโดยรอบสถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น จากข้อจำกัดของความกว้างถนน 6-8 เมตรดังกล่าว 4.การวางโครงข่ายคมนาคมถนนสาย ก-สาย ฉ ไม่ได้ให้สิทธิเขตทางในการพัฒนาที่ดินเหมือนกฎหมายผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร หากมีการบังคับใช้ร่างผังเมืองรวมดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ นนทบุรี 30-40% กลุ่มรับผลกระทบสูงสุดคือตลาดบ้านผู้มีรายได้น้อย ข้อเสนอแนะมีดังนี้ 1.ขอให้พื้นที่ผังเมืองสีเหลือง สร้างทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวได้ภายใต้เกณฑ์ถนนหน้าโครงการกว้าง 6 เมตร 2.ขอให้พัฒนาคอนโดฯ โดยมีถนนด้านหน้า 6-10 เมตร และ 3.ขอให้พิจารณาสิทธิเขตทางตามโครงข่ายคมนาคมถนนสาย ก-สาย ฉ ให้ที่ดินส่วนที่มีแนวถนนตัดผ่านสามารถใช้สิทธิเขตทางเสมือนว่าได้ถูกเวนคืนแล้ว นายประเสริฐกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ได้ทำหนังสือในนามสมาคมอาคารชุดไทยขอเข้าพบตัวแทนรัฐบาลเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรค จากปรากฏการณ์ที่มีประชาชนฟ้องร้องคดีศาลปกครองมากขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมายโดยสุจริตอาทิ กรณีโครงการได้รับอนุญาตก่อสร้างจากหน่วยงานราชการหลายหน่วย แต่มีปัญหาเมื่อลงทุนก่อสร้างไปแล้วต้องหยุดชะงัก, กรณีมีการฟ้องร้องและดำเนินคดีต่อศาลปกครองได้โดยง่าย เป็นเหตุให้โครงการต้องสะดุดหยุดลง และใช้เวลาพิจารณาคดีในศาลยาวนาน ทำให้โครงการไม่อาจดำเนินต่อไปได้   ที่มา : prachachat.net

Person read: 1882

30 April 2018

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง จากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า

– ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเล็กน้อย หลังค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนลดการลงทุนในตลาดน้ำมันดิบ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในสกุลเงินสหรัฐฯ จะมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น + อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงหนุนจากความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดเกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน หลังจากมีสัญญาณว่าสหรัฐฯ อาจจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่าน โดยประธานาธิบดีทรัมป์มีเวลาถึงวันที่ 12 พ.ค. ในการตัดสินใจว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์หรือไม่ หากสหรัฐฯ ทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของอิหร่าน + ตลาดมีความกังวลในเรื่องของอุปทานน้ำมันดิบตึงตัว จากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน และจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของเวเนซุเอลาปรับตัวลดลงกว่าร้อยละ 40 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา – ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังปริมาณแท่นขุดเจาะปรับตัวเพิ่มขึ้นสี่สัปดาห์ติดต่อกัน โดย Baker Hughes รายงานปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบของสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 27 ธ.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5 แท่น มาอยู่ที่ 825 แท่น แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 58 ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังมีแรงซื้อจากอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันเบนซินมีแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังในประเทศสิงคโปร์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 8.55 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังสิงคโปร์ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ อุปทานถูกจำกัดจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ในขณะที่อุปสงค์น้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับคง ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 65-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 72-77 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปัจจัยที่น่าจับตามอง จับตาสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้อุปทานมันดิบในภูมิภาคตึงตัวขึ้น โดยกลุ่มกบฎในเยเมนเปิดฉากยิงขีปนาวุธโจมตีซาอุดิอาระเบียเมื่อวันที่ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดยังวิตกว่าสหรัฐฯ อาจถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน และทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้อิหร่านส่งออกน้ำมันดิบสู่ตลาดโลกในปริมาณที่จำกัด สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังทั่วโลก ปรับลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ช่วงปี 2561 ที่ผ่านมาและมีแนวโน้มปรับลดลงต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5 ปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับต้นทุนเฉลี่ยในการผลิตน้ำมันดิบของผู้ผลิตในสหรัฐฯ     ที่มา : prachachat.net        

Person read: 1858

30 April 2018

“คิงเพาเวอร์”โดดอุ้ม PACE ทุ่ม1.4หมื่นล้าน ซื้อ “โปรเจ็กต์มหานคร”

“คิงเพาเวอร์”โดดอุ้ม “PACE”  ปิดดีล 1.4หมื่นล้าน  เข้าซื้อที่ดิน-โรงแรม-อาคารจุดชมวิว-อาคารรีเทลคิวบ์ รวมถึงสัญญาต่างๆของ”โครงการมหานคร”  ส่งบริษัทลูก “คิง เพาเวอร์ มหานคร”เข้าถือหุ้น”เพซ โปรเจ็ค วัน”  51.00 % และ” เพซ โปรเจ็ค ทรี”  51.28 % ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือPACE แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เมื่อ10เมษายนว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัทเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา อนุมัติให้บริษัทฯเข้าทำรายการเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561ดังนี้  1. จำหน่ายทรัพย์สิน มูลค่ารวมไม่เกิน 14,000 ล้านบาท ให้แก่ บริษัท คิง เพาเวอร์ มหานคร จำกัด   ประกอบด้วยการจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัท เพซ โปรเจ็ค วัน จำกัด (“PP1”) และบริษัท เพซ โปรเจ็ค ทรี จำกัด (“PP3”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่บริษัทฯ  ถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมผ่านบริษัท เพซ เรียลเอสเตท จำกัด (“PRE”)  ในสัดส่วนร้อยละ 51.00 และร้อยละ 51.28  ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดตามลำดับ สำหรับทรัพย์สินที่ PP1และ PP3  จำหน่ายได้แก่ ที่ดิน โรงแรม อาคารจุดชมวิว อาคารรีเทลคิวบ์ ปฏิมากรรม ภาพวาด ใบอนุญาตต่าง ๆ รวมถึงสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการประกอบธุรกิจของ PP1 (โรงแรม) และ PP3 (อาคารจุดชมวิวและ อาคารรีเทลคิวบ์) ในโครงการมหานคร คิดเป็นมูลค่ารวมไม่เกิน 12,617 ล้านบาท     โดยการจำหน่ายที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมระหว่าง PP1 บริษัท เพซ โปรเจ็ค ทูจ ากัด (“PP2”)PP3และ PRE คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 183 ล้านบาท   ซึ่งในการเข้าทำรายการครั้งนี้ บริษัทเพซฯได้รับค่าตอบแทนสำหรับการจัดหาและดำเนินการให้เกิดรายการ เป็นมูลค่า 1,200 ล้านบาท 2. อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นที่อพอลโล เอเชีย สปริ้นท์ คอมปานี ลิมิเต็ด (“อพอลโล”) และโกลด์แมน แซคส์ อินเวสเมนท์ส โฮลดิ้งส์ (เอเชีย) ลิมิเต็ด (“โกลด์แมน”)ถืออยู่ใน PP1 และ PP3 ร้อยละ 49.00 และ ร้อยละ 48.72  ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทดังกล่าวตามลำดับ ทั้งหมดรวมเป็นเงินจำนวนไม่เกิน 320 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือไม่เกิน 10,000 ล้านบาท (คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 9 เมษายน 2561 ที่ 31.25บาท ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ) รายงานระบุว่า จากการที่บริษัทเพซ เข้าซื้อหุ้นจากอพอลโลและโกลด์แมนใน PP1 และ PP3 ร้อยละ 49.00 และ ร้อยละ 48.72 ตามลำดับ ทำให้บริษัทเพซฯ และ PRE ถือหุ้นทั้งหมดใน 2 บริษัทดังกล่าว และทำให้ข้อผูกมัดตามเอกสารสัญญาต่างๆ ที่บริษัทฯมีต่ออพอลโล และโกลด์แมนเป็นอันสิ้นสุดลง โครงการมหานครเป็นโครงการที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะจ าหน่ายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust: REIT) ภายหลังการก่อสร้างเสร็จสิ้น ดังนั้น การจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินใน คราวนี้จึงทำให้บริษัทฯ ได้รับกระแสเงินสดเร็วกว่ากำหนด ซึ่งภายหลังจากการจำหน่ายทรัพย์สินในครั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การดำเนินงานอีก 4 โครงการ คือ โครงการนิมิตหลังสวน โครงการวินด์เชล โครงการมหาสมุทร วิลล่า และโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ  อีกทั้งยังมีธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ “DEAN & DELUCA” ทั้งนี้บริษัท คิง เพาเวอร์ มหานคร จำกัด มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อ27มีนาคม 2561 กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทคือนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา   ที่มา : prachachat.net            

Person read: 1899

24 April 2018

“แจ็ค หม่า”มาไทย 19 เมษายนนี้ เอ็มโอยูลงทุนอีอีซี 1.1 หมื่นล้าน

“อาลีบาบา” ทุ่มลงทุนระยะแรก 11,000 ล้าน ผุด Smart Digital Hub ใน EEC พร้อมขนข้าว-ทุเรียนไทยขึ้นเว็บขายทั่วจีน นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยแผนการลงทุนของ Alibaba Group บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ว่า อาลีบาบาได้เตรียมแผนการก่อสร้างโครงการ Smart Digital Hub ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มูลค่าลงทุน 11,000 ล้านบาท ที่จะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2561-2562 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในโครงการดังกล่าวจะประกอบไปด้วย ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ศูนย์กระจายสินค้า การขนส่งที่จับมือกับทางไปรษณีย์ไทย รวมถึงการลงทุนด้านระบบไอที ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ที่เปิดให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยที่สามารถวางระบบได้เข้าไปร่วม ซึ่ง Smart Digital Hub เป็นโครงการที่จะอาศัยเทคโนโลยีด้านการประมวลข้อมูลโลจิสติกส์ เพื่อทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับจีน การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนสู่ประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) และไปยังที่อื่นทั่วโลก และส่วนที่เป็นโครงการความร่วมมือ คือ 1. การพัฒนาบุคลากรในด้านดิจิทัลและการส่งเสริมธุรกิจผ่าน E-Commerce เพื่อพัฒนากลุ่มคนเก่งหรือดาวเด่นด้านดิจิทัล (Digital Talent) โดยอาลีบาบาได้เสนอให้วิทยาลัยธุรกิจอาลีบาบา หรือ Alibaba Business School (ABS) มาร่วมสนับสนุนการใช้ Platform E-Commerce โดยจะเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาและภาคเอกชนสร้างเครือข่าย (Networking) กับดาวเด่นหรือ Talents ทั่วโลกที่ประเทศจีน 2. โครงการร่วมส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลอีคอมเมิร์ซ สำหรับผู้ประกอบการ SME และ Startup ของไทย โดยอาลีบาบาจะจัดทีมงานร่วมลงพื้นที่กับทีมงานของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยใช้เครือข่าย ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 สู่อนาคต (Industry Transformation Center: ITC) ในระดับภาคและจังหวัดของกระทรวงอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถพัฒนาและเข้าถึงผู้ประกอบการ SME และผู้ประกอบการ Startup ระดับชุมชนทั่วประเทศ 3.อาลีบาบา จะร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการจัดทำ Thailand Tourism Platform สำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อจัดกิจกรรมด้านการตลาดร่วมกันบนออนไลน์แพลทฟอร์มที่สามารถเชื่อมโยงกับสื่อและช่องทางต่างๆ ของ ททท. เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและการท่องเที่ยวในระดับชุมชน เช่น การแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเมืองรองและสินค้าชุมชน 4.กระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับอาลีบาบาในการเปิดตัว Thai Rice Flagship Store บนเว็บไซต์ Tmall.com เพื่อเป็นตัวกลางที่จะนำสินค้าเกษตรอย่าง ข้าว และทุเรียน ขายทางออนไลน์ในตลาดจีนเป็นหลัก โดยเตรียมเข้าหารือเพื่อลงรายละเอียดกับทางกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถึงปริมาณข้าวและทุเรียนว่าต้องการจำนวนเท่าไร ทั้งนี้ ในวันที่ 19 เม.ย. 2561 นายแจ็ค หม่า ประธานกรรมการบริหาร Alibaba Group จะเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อลงนามความร่วมมือด้าน Smart Digital Hub and Digital Transformation Strategic Partnership ซึ่งประกอบไปด้วย MOU 4 ฉบับ กับรัฐบาลไทย โดยจะเน้นไปที่เรื่องของการพัฒนา คือ 1.ความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ระหว่างสำนักงาน EEC และ Alibaba.com Singapore E-Commerce Private Limited 2.ความร่วมมือด้านการลงทุน Smart Digital Hub ในพื้นที่ EEC ระหว่างสำนักงาน EEC กรมศุลกากร และ บริษัท Cainiao Smart Logistics Network Hong Kong Limited 3.ความร่วมมือด้านการพัฒนา SMEs และบุคลากรด้านดิจิทัลระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ Alibaba Business School 4.ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวผ่านดิจิทัลและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และบริษัท Zhejiang Fliggy Network Technology Company Limited เช่น การนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเมืองรองและสินค้าชุมชน “สำหรับการเจรจากับอาลีบาบาใช้เวลาถึง 1 ปี กว่าจะบรรลุการลงทุนและโครงการที่จะเกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งอาลีบาบาได้ทำการศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบ ในระดับภูมิภาคและเล็งเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงที่จะเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค พบว่ามีจำนวนในเอเชียผู้ใช้โซเชียลมีเดียผ่านมือถือโตกว่า 16% และไทยคาดว่ารายได้จากธุรกิจอีคอมเมิรซ์จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก 113,400 ล้านบาท ในปี 2561 เป็น 186,500 ล้านบาท ในปี 2565 ประกอบกับนโยบายประเทศไทย 4.0 และ EEC การพัฒนาประเทศ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน คมนาคมขนส่ง ระบบโลจิสติกส์ โครงข่ายทางดิจิทัล และมาตรการสิทธิประโยชน์ คือสิ่งที่มำให้อาลีบาบาตัดสินใจลงทุนไทย” นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) กล่าวว่า โครงการจากอาลีบาบาครั้งนี้จะมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นการลงทุนและการพัฒนาประเทศ ดังนั้นโครงการนี้จะต่างจากการลงทุนประเทศอื่นในอาเซียนด้วยกันที่อาลีบาบาจะมาเน้นพัฒนาประเทศไทยคู่กันไป เช่น นำสินค้าไทยส่งออกไปขายจีน และในอนาคตจะเป็นโครงการจะใหญ่ที่สุดในอาเซียน   ที่มา : prachachat.net        

Person read: 1740

19 April 2018

ค่ายรถแห่ผุดโรงงานแบต ยึดอีอีซีรุมขอบีโอไอ “ปลั๊ก-อินไฮบริด”

เปิดแผนค่ายรถทุ่มสุดตัวลุยไฮบริด, ปลั๊ก-อินฯ และอีวี รับเทรนด์โลก หอบเม็ดเงินหลายหมื่นล้านปูพรมโรงงานแบตเตอรี่-ชิ้นส่วน ค่ายญี่ปุ่น-ยุโรป เลือกพื้นที่อีอีซีสนองนโยบายรัฐ เบนซ์ลั่นปีนี้ขยับสัดส่วนกลุ่มรถ อีคิวเกินครึ่งของตลาด “โตโยต้า” ลงดาบสองคัมรี่ ไฮบริดต่อจากซี-เอชอาร์ ขณะที่มาสด้าประเดิมมาสด้า3 ไฮบริด กลุ่มนำเข้าอีวีสำเร็จรูปปลื้มทยอยส่งรถใหม่ลงตลาด กระแสความ นิยมรถยนต์ประหยัดพลังงานและรักษ์โลกยังแรงต่อเนื่อง ต้นปีที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ประกาศผู้ประกอบการ 5 รายขอรับส่งเสริมการลงทุนกลุ่มรถยนต์ไฮบริดตามกรอบเวลาก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ซึ่งประกอบด้วยค่ายโตโยต้าใช้เม็ดเงินลงทุน 20,000 ล้านบาท กำลังการผลิตปีละ 70,000 คัน ใช้โรงงานเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา ตามมาด้วยค่ายนิสสันขอรับส่งเสริมการลงทุนมูลค่า 10,960 ล้านบาท ใช้โรงงานนิสสัน กม.21 บางนา-ตราด กำลังผลิต 80,000 คันต่อปี ค่ายมาสด้าขอรับส่งเสริมด้วยมูลค่าลงทุน 11,4000 ล้านบาท ใช้โรงงานออโต้ อัลลายแอนซ์ จ.ระยอง ผลิตรถยนต์มาสด้า กำลังผลิต 120,000 คันต่อปี ค่ายฮอนด้าขอรับส่งเสริมการลงทุนมูลค่า 1,070 ล้านบาท ใช้โรงงานที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.ปราจีนบุรี กำลังผลิตที่ 37,000 คันต่อปี และค่ายซูซูกิขอรับส่งเสริมการลงทุนมูลค่า 2,500 ล้านบาท ใช้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ด้วยกำลังผลิต 12,000 คันต่อปี ยุโรปลุยปลั๊ก-อินไฮบริด แหล่ง ข่าวในวงการผู้ผลิตรถยนต์เปิดเผยว่า ล่าสุดยังมีผู้ประกอบการจากค่ายยุโรปอีก 3 รายขอรับการส่งเสริมในกลุ่มรถยนต์ประเภทปลั๊ก-อินไฮบริด (เสียบปลั๊กชาร์จไฟ) ประกอบด้วยเมอร์เซเดส-เบนซ์ มูลค่าการลงทุน 600 ล้านบาท ใช้โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ สมุทรปราการ กำลังผลิต 8,000 คันต่อปี ค่ายใบพัดสีฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูขอรับการส่งเสริมมูลค่า 705 ล้านบาท ใช้โรงงานในนิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง กำลังผลิต 100,000 คันต่อปี และค่ายเอ็มจี ซึ่งเป็นรถยนต์สัญชาติอังกฤษขอรับการส่งเสริมมูลค่า 1,030 ล้านบาท ใช้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 2 จ.ชลบุรี กำลังผลิตที่ 7,000 คันต่อปี ทุ่มผุด รง.แบตเตอรี่ ทั้งนี้ เริ่มเห็นความชัดเจนของแต่ละค่ายมากขึ้น ประเดิมจากการจับมือผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์พร้อมทั้งปูพรมผุดโรงงาน แบตเตอรี่ เริ่มจากค่ายโตโยต้าในญี่ปุ่นประกาศจับมือกับพานาโซนิค ตามที่นายอากิโอะ โตโยดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโตโยต้า มอเตอร์คอร์ป ยอมรับว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญอุปสรรคมากมายในการพัฒนาแบตเตอรี่ สำหรับยานยนต์ในอนาคต ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหา โตโยต้าและพานาโซนิคจึงได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือร่วมกันในการพัฒนา แบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออนสำหรับรถยนต์อีวี   ตามมาด้วยค่ายเมอร์เซ เดส-เบนซ์ นายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรใช้เม็ดเงิน มากกว่า 100 ล้านยูโร ขยายโรงงานผลิตและตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในไทย เป้าหมายมุ่งผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงงานแบตเตอรี่ถือเป็นโรงงานแห่งที่ 6 ซึ่งเบนซ์มีใน 3 ทวีป เริ่มผลิตได้ปี 2562 การลงทุนเพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียว ๆ (battery electric vehicle-BEV) “แนวรุกตลาดของเบนซ์จากนี้จะพุ่ง เป้าไปสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายใต้แบรนด์เทคโนโลยี EQ-Electric Intelligence by Mercedes-Benz และภายในปีนี้สัดส่วนรถกลุ่มนี้จะพุ่งสูงถึง 50% ของยอดขาย” ขณะที่ค่ายบีเอ็มดับเบิลยู มีข้อมูลว่าได้ประกาศแผนลงทุนมูลค่า 400 ล้านบาท รองรับรถยนต์กลุ่มปลั๊ก-อินไฮบริดโดยจะตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่ ในเขตพื้นที่ระเบียบเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซี ทั้งนี้ก่อนหน้า นี้นายเจฟฟรีย์ กอดิอาโน กรรมการผู้จัดการและประธานบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เปิดเผยว่า กลยุทธ์หนึ่งในเสาหลักของบีเอ็มดับเบิลยู คือการเดินหน้าไปสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และโรงงานในประเทศไทยถือเป็นโรงงานที่มีศักยภาพและเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ ดังกล่าว ปัจจุบันโรงงานที่นิคมอมตะ ระยอง ผลิตรถยนต์กลุ่มปลั๊ก-อินไฮบริด 4 รุ่น ได้แก่ ซีรีส์ 3, 5, 7 และเอ็กซ์ 5 และก้าวต่อไปคือการเตรียมความพร้อมสำหรับแบตเตอรี่แรงดันสูง พร้อมด้วยเทคโนโลยีลํ้ายุคอื่น ๆ ภายในปี 2562 นิสสันเอาแน่รถไฟฟ้า ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากการลงทุนด้านชิ้นส่วนและแบตเตอรี่แล้ว ยังมีกลุ่มผู้ผลิตบางส่วนนำร่องบุกรถยนต์อีวี โดยช่วงแรกใช้วิธีนำเข้ามาจำหน่ายก่อน อาทิ ค่ายนิสสัน พร้อมนำรถยนต์ไฟฟ้า 100% อย่างนิสสัน ลีฟ เจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งปิดตัวที่ญี่ปุ่นช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้วเข้ามาทำตลาดในปีนี้ “เราพร้อมขายนิสสัน ลีฟในประเทศไทย ภายในปีงบประมาณ 2561 อย่างแน่นอน” นายอันตวน บาร์เตส บอสใหญ่นิสสันไทยแลนด์กล่าว ผู้สื่อข่าวยังรายงานเพิ่มเติมว่า ส่วนความคืบหน้านิสสันโน๊ต อี-เพาเวอร์ ถูกบีโอไอกำหนดให้ไปอยู่ในหมวดรถยนต์ไฮบริด ซึ่งนิสสันกำลังทยอยรถรุ่นนี้ลงตลาดด้วยเช่นกัน โตโยต้า-มาสด้า ถล่มไฮบริด แหล่งข่าวฝ่ายบริหารโตโยต้า ระบุถึงความคืบหน้าโครงการรถยนต์ไฮบริดที่ได้รับส่งเสริมจากบีโอไอมูลค่า 2 หมื่นล้านว่า ขณะนี้ส่งรถรุ่นแรกลงตลาดไปแล้ว ได้แก่ โตโยต้า ซี-เอชอาร์ ไฮบริด โดยใช้โรงงานผลิตเกตเวย์ ฉะเชิงเทรา ซึ่งโรงงานนี้มีกำลังผลิตสูงถึง 300,000 คันต่อปี พร้อมปรับยืดหยุ่นได้ตามความต้องการของตลาด และโมเดลถัดไปจะเป็นโตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด รวมถึงโมเดลอื่นในอนาคต เบื้องต้นโตโยต้าลงทุนพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์และแบตเตอรี่เพื่อรับตลาดเกิดใหม่กลุ่ม รถยนต์ไฮบริด รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้กับโปรดักต์เกือบทุกตัว เพื่อเป็นมาตรฐานของยานยนต์ในอนาคต เน้นไปที่ 4 กลุ่มหลัก คือ 1.ระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นใหม่ 2.นวัตกรรมโครงสร้างใหม่ TNGA (Toyota New Global Architecture) ระบบความปลอดภัยใหม่มาตรฐานระดับโลก และระบบนำทางและเชื่อมต่อผู้ขับขี่กับรถยนต์ (Toyota T-connect Telematics) นอกจากนี้โตโยต้ายังได้ใช้เงินลงทุนมูลค่า 200 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการสร้างโรงงานกำจัดซากแบตเตอรี่ ในเขตพื้นที่อีอีซีอีกด้วย เช่นเดียวกับนายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวยอมรับว่า มาสด้ามีแผนลงทุนในปี 2561 ร่วมมือกับซัพพลายเออร์เกี่ยวกับชิ้นส่วนอะไหล่ที่ใช้กับรถยนต์มาสด้าทุก รุ่น และรถยนต์ในกลุ่มไฮบริด ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า, เจเนอเรเตอร์ และอื่น ๆ ซึ่งน่าจะใช้เม็ดเงินอีกมหาศาล ประกอบด้วยโรงงานมาสด้า พาวเวอร์เทรน เมนูแฟคเจอริ่ง (MPMT) ซึ่งตั้งอยู่ใน จ.ชลบุรี ซึ่งมีการลงทุนราว ๆ 7.2 พันล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ใหม่ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบเครื่องยนต์จากไลน์การผลิตเดิม และเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิม 30,000 เครื่องต่อปีเป็น 100,000 เครื่องต่อปี และเม็ดเงินอีก 11,4000 ล้านบาท สำหรับรถยนต์กลุ่มไฮบริด, ปลั๊ก-อินไฮบริด และอีวี โดยจะใช้โรงงานออโต้ อัลลายแอนซ์ จ.ระยอง ผลิตรถยนต์มาสด้า กำลังผลิต 120,000 คันต่อปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รถยนต์รุ่นแรกที่คาดว่ามาสด้าจะนำเสนอให้กับผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัส คือ มาสด้า3 เครื่องยนต์ไฮบริดโฉมใหม่ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่มาสด้ามีอยู่แล้ว และได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในญี่ปุ่น รถอีวีมาแรง นายธนานันต์ กาญจนคูหา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอฟโอเอ็มเอ็ม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติญี่ปุ่น อย่างฟอมม์ (FOMM) เบื้องต้นบริษัทได้ลงทุนเพื่อเช่าโรงงานขึ้นไลน์ประกอบรถอีวี ฟอมม์ ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร บนพื้นที่ขนาด 7 ไร่ และมีกำลังผลิตอยู่ที่ 10,000 คันต่อปี และเป็นการเข้าแบตเตอรี่มาเพื่อประกอบในโรงงานแห่งนี้ด้วย โดยรถฟอมม์วันทำตลาดขายราคาพิเศษ 5.99 แสนบาท ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากค่ายรถยนต์ที่มีความพร้อมและความชัดเจนข้างต้นแล้ว ในส่วนของค่ายรถยนต์บางค่ายอย่างเอ็มจีเองนั้น ขณะนี้ก็เริ่มมีการศึกษาและนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทดลองวิ่งบนถนนของบ้านเรา เพื่อศึกษาและเก็บรายละเอียด รวมทั้งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นบางรายก็ได้เริ่มมีการ เดินทางไปยังบริษัทแม่เพื่อชี้แจง และนำเสนอข้อมูลความพร้อมในขณะนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาถึงโอกาสและความเหมาะสมของการลงทุน นอกจากนี้ ในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา มีค่ายรถยนต์หน้าใหม่ นำรถยนต์ไฟฟ้ามาโชว์ ทั้งอีเอ หรือบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (มหาชน) จำกัด ที่โชว์รถต้นแบบอีวีเมดอินไทยแลนด์ 100% ถึง 3 รุ่น โดยมีแผนขึ้นไลน์ผลิตและจัดจำหน่ายในปี 2562   ที่มา : prachachat.net

Person read: 2060

18 April 2018

ประเมินมาตรการปิดอ่าวมาหยา ต่อการปรับตัวของภาคการท่องเที่ยวไทย

EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินมาตรการปิดอ่าวมาหยา ต่อการปรับตัวของภาคการท่องเที่ยวไทย   กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชออกประกาศปิดอ่าวมาหยา ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ในช่วงวันที่ 1 มิถุนายน – 30 กันยายน 2018 รวมถึงจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวที่จะเข้าพื้นที่อ่าวมาหยาให้ไม่เกิน 2 พันคนต่อวัน หลังจากวันที่ 1 ตุลาคม 2018 เป็นต้นไป เพื่อดำเนินการฟื้นฟูทรัพยากรทางธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยว นอกจากนี้ กรมอุทยานฯ ยังมอบหมายให้สมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลร่วมกับ 4 มหาวิทยาลัยทำวิจัยเพื่อวิเคราะห์ขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวและความเต็มใจจ่ายของนักท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลอีก 6 แห่ง ได้แก่ 1) อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จ.ระยอง 2) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา 3) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา 4) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง (เฉพาะจุดดำน้ำ) จ.ตราด 5) อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาในบางจุด เช่น เกาะตะปู เขาพิงกัน จ.พังงา และ 6) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ เพื่อดูความเป็นไปได้ในการออกมาตรการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวในอนาคต · อีไอซี ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวของ จ.กระบี่ราว 6% ในปี 2018 แม้ว่าทิวทัศน์ของอ่าวมาหยาจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสัญลักษณ์และมีชื่อเสียงของ จ.กระบี่ แต่ในปัจจุบันมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงที่สามารถทดแทนได้และเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น เกาะปอดะ สระมรกต ทะเลแหวก หาดไร่เลย์ เป็นต้น ดังนั้น ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในสมมติฐานที่ไม่มีจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงที่ปิดอ่าวและมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพียง 2 พันคนต่อวันในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติลดจำนวนวันพักแรมเฉลี่ยใน จ.กระบี่ลง 1 วัน คาดว่าจะกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวของ จ.กระบี่ในปี 2018 ราว 6% เท่านั้น   กรมอุทยานแห่งชาติฯ มีแนวโน้มจะดำเนินมาตรการเดียวกันกับอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งอื่น ๆ ในอนาคต ทั้งการจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวและการปิดพื้นที่บางส่วนในเขตอุทยานแห่งชาติฯ เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติจำนวนมาก สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละ 146% ในช่วงปี 2015-17 ทั้งนี้ ในอดีตกรมอุทยานแห่งชาติฯ เคยประกาศปิดเกาะยูง (อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่) ในปี 2015 และเกาะตาชัย (อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา) ในปี 2016 อย่างไม่มีกำหนดเนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติได้รับความเสียหายจากการท่องเที่ยวมาแล้ว มาตรการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในระยะกลาง-ยาว เนื่องจากมาตรการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูและจัดการแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในระยะยาว นอกจากนี้ การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจะช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากความความสงบที่ได้รับ นอกเหนือจากความสวยงามตามธรรมชาติ นำมาซึ่งภาพลักษณ์ที่ดีของการท่องเที่ยวในไทย ภาคเอกชนและภาครัฐควรร่วมมือกันแก้ปัญหาการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแบบยั่งยืน เช่น ผู้ประกอบการนำเที่ยวอาจนำเสนอโปรแกรมท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนักเพื่อลดการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยว ซึ่งภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาและประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการท่องเที่ยว รวมถึงการใช้กลไกด้านราคาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น การปรับค่าเข้าอุทยานแห่งชาติที่ได้รับความนิยมให้สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยว เป็นต้น   ที่มา : bangkokbiznews.com

Person read: 2064

09 April 2018

ระบบกักเก็บพลังงาน มาแรง ! ทางออกไม่เอาไฟฟ้าถ่านหิน

TDRI ชำแหละอนาคตพลังงานทดแทน นักวิชาการ-เอกชนเสียงแตก หนุนเทคโนโลยีเก็บพลังงาน นางสาววิชสิณี วิบุลผลประเสริฐ นักวิชาการมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา (TDRI) กล่าวในเวทีเสวนา “อนาคตพลังงานไฟฟ้าไทย ทำอย่างไรถ้าไม่พึ่งพาโรงไฟฟ้าถ่านหิน” ว่า ไทยต้องปรับนโยบายด้านพลังงานไปสู่ระบบไฟฟ้าแห่งอนาคต ด้วยระบบเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน (energy storage) ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม รัฐและผู้กำกับดูแลควรพิจารณานำพลังงานใหม่เข้ามาเป็นตัวเลือกระยะยาว ซึ่งขณะนี้ออสเตรเลียได้พัฒนาการใช้ระบบกักเก็บพลังงานโดยใช้แบตเตอรี่ lithi-um-ion มีความหลากหลายและต้นทุนต่ำมาใช้แล้ว   นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่ารัฐต้องเข้ามามีบทบาทกำหนดให้ชัดเจน หากไม่พึ่งพาถ่านหิน ไทยต้องบริหารจัดการการจำกัดการใช้ไฟฟ้าในช่วงพีก โดยระบบเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน และการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่า 30% เช่น กลุ่มไบโอแมส ซึ่งผลิตจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร แม้ว่าจะยังไม่มีความแน่นอน และต้องมุ่งหาแหล่งผลิตวัตถุดิบก๊าซธรรมชาติ เพื่อทดแทนการนำเข้า นายสมพงษ์ ปรีเปรม รองผู้ว่าการด้านวางแผน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในฐานะเรกูเลเตอร์ มองว่า พลังงานทดแทนยังเป็นเทรนด์ที่เติบโตในอนาคต ไทยควรลดสัดส่วนถ่านหินลง โดยหันมาคำนึงประโยชน์สูงสุดของพลังงานทดแทน ก๊าซ น้ำ พลังงานทดแทนให้เหมาะสม นายกวิน ทังสุพานิช สมาชิกสภาปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน กล่าวว่า การวางแผนผลิตไฟฟ้าอนาคต (PDP) ควรพิจารณาต้นทุนและประโยชน์สูงสุดจากเดิมที่ไทยเน้นการผลิตไฟฟ้าให้พอเพียงกับความต้องการ โดยการพัฒนาโครงข่ายนำ energy storage มาใช้ เช่นในออสเตรเลีย สหรัฐ นำเอาโซลาร์เซลล์มาใช้ร่วมกับระบบกักเก็บ สามารถลดต้นทุน และเปิดตลาดขายไฟได้ โดยสหรัฐตั้งเป้าในปี 2025 จะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในทุกมลรัฐ นางวันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการ บริษัท SPCG จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีกักเก็บและพลังงานทดแทนและหมุนเวียนยังเป็นกระแสที่มาแรงในช่วง 5 ปีนี้ เพราะต้นทุนต่ำ ทั้งนี้ ภาครัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจนและมีมาตรการจูงใจเอกชนหันมาใช้พลังงานสะอาด นายเจน นำชัยศิริ รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ยินดีใช้พลังงานทดแทนแต่ยังไม่สนับสนุน เพราะพลังงานี้ยังไม่มีเสถียรภาพ ไม่สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟของภาคอุตสาหกรรมที่มีตลอด 24 ชม.ได้ เช่น พลังงานแสงอาทิตยไม่เหมาะกับสภาพอากาศไทยที่เป็นมรสุมเขตร้อน ถึงแม้จะมี energy storage มาสำรองก็ตาม ดังนั้น ไทยจึงยังจำเป็นต้องถ่านหินมาผลิตไฟฟ้า   ที่มา : prachachat.net

Person read: 1843

09 April 2018

คืบหน้าแล้ว 32% มอเตอร์เวย์ “บางปะอิน-โคราช” เปิดใช้ ก.ค.ปี’63

นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่างานก่อสร้างมอเตอร์เวย์สาย บางปะอิน – นครราชสีมา ระยะทาง 196 กม. มีความคืบหน้าไปแล้วร้อยละ 32 เร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ประมาณร้อยละ 5 มั่นใจว่าสามารถดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จได้ตามกำหนดภายในเดือนกรกฎาคม 2563 โดยงานก่อสร้างเพื่อให้ได้มาตรฐานกรมมีนโยบายตรวจสอบสภาพความเรียบของผิวทางโครงการก่อสร้างสายทางดังกล่าว เพื่อเพิ่มคุณภาพผลงานการก่อสร้างให้มีความเรียบของผิวทางอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยไม่เพิ่มภาระงบประมาณในการก่อสร้าง ซึ่งสภาพความเรียบของผิวทางที่ได้รับการตรวจสอบต้องเป็นตามข้อกำหนด 1.สำหรับผิวทางแอสฟัลท์คอนกรีต สภาพความเรียบของผิวทางต้องมีค่าดัชนีความขรุขระสากล (International Roughness Index: IRI) ไม่เกิน 2.0 เมตร/กิโลเมตร 2.สำหรับผิวทางคอนกรีต สภาพความเรียบของผิวทางต้องมีค่าดัชนีความขรุขระสากล (International Roughness Index: IRI) ไม่เกิน 2.5 เมตร/กิโลเมตร ถ้าผิวหน้าของพื้นคอนกรีตตอนใดไม่สม่ำเสมอหรือไม่ได้มาตรฐานของกรมทางหลวงที่กำหนด ผู้รับจ้างจะต้องรื้อแผ่นพื้นคอนกรีตแผ่นนั้นยาว อย่างน้อย 3 เมตร ตลอดความกว้างและความหนาของแผ่นพื้นคอนกรีตแผ่นนั้นออกแล้วหล่อคอนกรีตให้ใหม่โดยให้มีรอยต่อก่อสร้างตามขวางตามแบบ ทั้งนี้ผู้รับจ้างต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ส่วนความคืบหน้าของการเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนในส่วนของการดำเนินงานระบบเก็บค่าผ่านทาง และบำรุงรักษาโครงการ (O&M) รูปแบบ PPP Gross Cost 30ปี จะดำเนินการพร้อมกับสายบางใหญ่-กาญจนบุรี กรมมีแผนการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนให้แล้วเสร็จภายในปี 2561 โดยในวันที่ 30 มีนาคม ประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุน จากนั้น 30 เมษายน ขายซองเอกสาร ในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม จะให้เวลาเอกชนจัดทำเอกสารและยื่นข้อเสนอ 1 กันยายน ยื่นซองประมูล และจะรู้ผลการคัดเลือกในวันที่ 1 พฤศจิกายน และในเดือนธันวาคมจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเดือนมกราคม 2562 จะลงนามสัญญา ในส่วนของการประมูลจะเปิดกว้างทั้งเอกชนไทยและต่างชาติ ขณะนี้ที่สนใจ เช่น บริษัทจากเกาหลีใต้ ฮังการี ญี่ปุ่น จีน และสิงคโปร์ ซึ่งทางกรมจะไม่ปิดโอกาสบริษัทต่างประเทศ เนื่องจากต้องการบริษัทที่ทำงานจริงและมีประสบการณ์ในการทำงาน ซึ่งต้องเข้ามาในรูปแบบ Joint Venture และต้องทำเฉพาะโครงการนี้เท่านั้น เนื่องจากเราล็อกด้านทุนจดทะเบียนไว้แล้ว เพื่อป้องกันการดึงเงินทุนไปโปะในโครงการอื่น และจะต้องชำระเงินเต็มจำนวนด้วย   ที่มา : prachachat.net          

Person read: 2116

04 April 2018

ญี่ปุ่นผลิตรถช้า “สายสีแดง”เลื่อน 1 ปี อสังหาไม่สนไทม์ไลน์แห่ลงทุน “ปตท.”แจมทุ่งสองห้อง

ร.ฟ.ท.มึนญี่ปุ่นยังไม่เปิดไลน์ผลิตรถไฟฟ้า ส่งมอบไม่ทันปี”63 กระทบชิ่งไทม์ไลน์เปิดหวูด รถไฟฟ้าสายสีแดง “ตลิ่งชัน-บางซื่อ-รังสิต” เลื่อนออกไปอีก 6-12 เดือน เป็นปี”64 หลังสร้างมาราธอนกว่า 5 ปี มีผลงานคืบหน้า 60% แลนด์ลอร์ดแห่ประกาศขายที่ ปล่อยเช่ายาว ตั้งราคาวาละ 2.5-4 แสนบาท “ปตท.” ลุยอสังหาฯ ซุ่มตุนที่ติดสถานีทุ่งสองห้อง ทุ่มสร้างสกายวอล์ก-ทางลอดเชื่อมโครงการ “เจริญ-ซี.พี.”ยึดนอร์ธปาร์ค “จีแลนด์” ปักหมุดดอนเมืองเปิดขายโซนใหม่ “แกรนด์ คาแนล” ส่วนแลนด์แบงก์ 36 ไร่แยกหลักสี่รอจังหวะลงทุน   แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มีแนวโน้มที่โครงการของรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กม. จะสร้างเสร็จและเปิดให้บริการไม่ทันตามกำหนดในเดือน มิ.ย. 2563 คาดว่าจะล่าช้าออกไปอย่างน้อย 6-12 เดือน หรือเปิดบริการภายในปี 2564 ซัพพลายเออร์ผลิตรถให้ไม่ทันเนื่องจากงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและจัดหาขบวนรถไฟฟ้ายังล่าช้าจากแผนอยู่มาก สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากที่มีการเปลี่ยนระบบอาณัติสัญญาณ จากเดิมระบบ ATO จะรองรับเฉพาะรถไฟฟ้าของญี่ปุ่น เป็นระบบ ETCS จะเปิดกว้างมากขึ้น ทำให้บริษัทซัพพลายเออร์จะต้องออกแบบรถใหม่ กระทบต่อการเปิดไลน์ผลิต อีกทั้งยังมีเรื่องการจ่ายกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่เพิ่งจะเริ่มสร้างสถานีจ่ายกระแสไฟฟ้า จะใช้เวลาก่อสร้างกว่า 2 ปี จึงจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับโครงการได้ ทำให้การทดสอบระบบรถไฟฟ้าล่าช้าตามไปด้วย “จากกความล่าช้าของโครงการ เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางองค์การเพื่อความร่วมมือแห่งประเทศญี่ปุ่นหรือไจก้า ได้ประชุมร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ไพรินทร์ ชูโชติถาวร) ซึ่งทางไจก้ามองว่าสาเหตุที่ทำให้โครงการล่าช้ามี 3 ประเด็น คือ การส่งมอบพื้นที่ งานโยธา และสถานีจ่ายไฟฟ้าที่ไม่ใช่เฉพาะงานระบบอย่างเดียว” ผลงาน 5 ปีคืบหน้า 60%   แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัจจุบันงานก่อสร้างในภาพรวมมีความคืบหน้าประมาณ 60% นับจากเริ่มงานก่อสร้างเมื่อเดือน ก.พ. 2556 ที่ผ่านมา โดยงานสัญญาที่ 1 งานสถานีกลางบางซื่อ และศูนย์ซ่อมบำรุง เริ่มงานก่อสร้างเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2556 มีกลุ่มกิจการร่วมค้า SU (บมจ.ซิโน-ไทยฯ และ บมจ.ยูนิคฯ) เป็นผู้ก่อสร้าง มีผลงานกว่า 65% ล่าช้าจากแผนงานอยู่ประมาณ 1% ตามสัญญาจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ย. 2562 สัญญาที่ 2 งานโครงสร้างทางวิ่งยกระดับและระดับพื้น งานสถานี 8 แห่ง และถนนเลียบทางรถไฟและถนนทางข้ามไซต์ก่อสร้างของ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หลังเริ่มงานตอกเข็มเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2556 ปัจจุบันคืบหน้ากว่า 98% ยังล่าช้าจากแผนเล็กน้อย ตามสัญญาที่ขอขยายใหม่จะแล้วเสร็จในเดือน พ.ค. 2561 และสัญญาที่ 3 งานระบบไฟฟ้า เครื่องกลและจัดหาตู้รถไฟฟ้าซึ่งมีกลุ่มมิตซูบิชิ-ฮิตาชิ-สุมิโตโม จากประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ดำเนินการ โดยได้เริ่มงานเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2559 ล่าสุดมีความคืบหน้า 25% ยังล่าช้าจากแผน 20% ตามสัญญาจะแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย. 2563 บริษัทลูกรถไฟเดินรถเอง นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการ ร.ฟ.ท.กลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน กล่าวว่า ด้านการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน และช่วงบางซื่อ-รังสิต ทางคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซุปเปอร์บอร์ดรับหลักการที่ ร.ฟ.ท.เสนอจะตั้งบริษัทลูกขึ้นมาบริหารโครงการเหมือนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ทำหน้าที่ทั้งเดินรถและบริหารพื้นที่ภายในสถานีรูปแบบเชิงพาณิชย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดรูปแบบบริษัทที่จัดตั้งเสนอให้คณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฯพิจารณาเพื่อเสนอให้กระทรวงคมนาคมและคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะจัดตั้งบริษัทได้ และปีหน้าเปิดเทรนนิ่งคน ที่ดินรอพัฒนาติดโลคอลโรดเพียบ ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ได้ลงพื้นที่สำรวจแนวรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงสถานีวัดเสมียนนารี-ดอนเมือง พบว่ายังมีที่ดินว่างเปล่าติดแนวโครงการรถไฟฟ้าอยู่หลายแปลง เช่น ช่วงระหว่างสถานีวัดเสมียนนารีกับสถานีบางเขน จะมีที่ดินเปล่า มีบางแปลงทำเป็นที่จอดรถทัวร์ และติดประกาศขายช่วงสะพานข้ามทางแยกเกษตรศาสตร์ ถัดจากนั้นก่อนถึงสถานีทุ่งสองห้อง จะมีที่ดินเปล่าขนาด 4 ไร่ ติดประกาศให้เช่า ซึ่งจากการสอบถามไปยังโบรกเกอร์ที่เป็นผู้ดำเนินการให้ ทางเจ้าของที่ดินปล่อยเช่า 30 ปี คิดค่าเปิดหน้าดิน 60 ล้านบาท คิดค่าเช่าปีละ 4.5 ล้านบาท แต่หากต้องการซื้อขายตารางวาละ 4 แสนบาท ปตท.ปักหมุดติดสถานีทุ่งสองห้อง เมื่อข้ามคลองบางเขนไปจะเป็นที่ดินของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อยู่ติดกับสถานีทุ่งสองห้องพอดี โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ปั๊มน้ำมัน ล่าสุดได้ขอสร้างทางเดินหรือสกายวอล์กเชื่อมกับสถานี และจะเจาะอุโมงค์ทางลอดจากโครงการลอดใต้ถนนโลคอลโรดไปเชื่อมถนนวิภาวดีรังสิต เหมือนกับทางเข้าสนามกอล์ฟนอร์ธปาร์ค ขณะที่ภายในโครงการนอร์ธปาร์ค ทางบริษัททีซีซีแลนด์ ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาฯของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เตรียมนำที่ดินที่ยังเหลือประมาณ 200-300 ไร่ พัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสมีทั้งสำนักงานให้เช่าและคอมมิวนิตี้มอลล์ เพื่อรองรับรถไฟฟ้าสายสีแดง นอกจากนี้ บมจ.ซี.พี.แลนด์ ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท พัฒนาที่ดิน 4 ไร่เศษ เป็นโครงการ “ซี.พี.ทาวเวอร์ 4 นอร์ธปาร์ค” สูง 18 ชั้น และชั้นใต้ดิน มีพื้นที่ก่อสร้าง 46,638 ตร.ม. แบ่งเป็นพื้นที่เพื่อเช่า 27,000 ตร.ม. ราคาค่าเช่าเฉลี่ย 600 บาท/ตร.ม. จะแล้วเสร็จเดือน ต.ค. 2562 จีแลนด์รอปัดฝุ่นขึ้นคอนโดหลักสี่ ด้าน “สถานีหลักสี่” ช่วงบริเวณสะพานข้ามแยกจะมีที่ดินเปล่าอยู่ 1 แปลง คาดว่าจะเป็นของกลุ่มจีแลนด์ ก่อนหน้านี้ นายโยธิน บุญดีเจริญ ประธานกรรมการ บมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (จีแลนด์) เคยระบุว่า จะนำที่ดินแนวสายสีแดงมาพัฒนา 3 โครงการ มูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านบาท ได้แก่ คอนโดฯ “เบ็ลสกาย” ย่านหลักสี่ ใกล้โรงแรมมิราเคิล พื้นที่ 36 ไร่ สูง 16 ชั้น 17 อาคาร มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท, แกรนด์ คาแนล ดอนเมือง เฟส 2 พื้นที่กว่า 100 ไร่ พัฒนาบ้านเดี่ยวราคา 7-8 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท และคอนโดฯพื้นที่ 30 ไร่ เป็นอาคารสูง 16 ชั้น 6-7 อาคาร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ถัดมา “สถานีการเคหะ” จะมีที่ดินว่างเปล่าติดกับสถานีไปตลอดแนวจนถึงแฟลตการเคหะ ส่วน “สถานีดอนเมือง” ทางตลาดใหม่ดอนเมือง (เจ้เล้ง) กำลังมีการปรับปรุงตลาดใหม่ เมื่อเลยสถานีดอนเมืองไปจะมีโครงการ “แกรนด์ คาแนล” ของกลุ่มจีแลนด์ที่กำลังเปิดขายเฟสใหม่   ที่มา : prachachat.net

Person read: 1945

04 April 2018

ปตท.เพิ่มค่าการตลาดแก้เกมแย่งดีลเลอร์

ปั๊มน้ำมันล้นประเทศ แห่เปิดแล้วกว่า 27,338 แห่ง ผู้ค้ารายใหญ่แข่งเดือดถนนสายรองเปิดศึกแย่งดีลเลอร์อุตลุด พีทีลั่นขอแซง ปตท. ไล่หลังแค่ 79 แห่ง ล่าสุด ปตท.แก้เกมยอมเพิ่ม “ค่าการตลาด” ให้ปั๊มอีก 15 สตางค์/ลิตร หวังตรึงให้อยู่กับ ปตท.ต่อไป นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงจำนวนสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศในขณะนี้ถือว่าอยู่ในภาวะ “ล้นตลาด” จากข้อมูลล่าสุดในไตรมาส 1/2561 ปรากฏมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศสูงถึง 27,338 แห่ง แบ่งเป็น 1) ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ ที่ต้องการให้มีเครือข่ายสถานีบริการที่ครอบคลุมความต้องการใช้น้ำมันในทุกพื้นที่ กับ 2) ผู้ประกอบการรายเล็กในรูปแบบตู้น้ำมันหยอดเหรียญ ซึ่งได้พัฒนาตัวเองมาเป็นสถานีบริการน้ำมันขนาดเล็ก ในระดับหมู่บ้านและบนถนนสายรองในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น โดยภาคที่มีสถานีบริการน้ำมันมากที่สุด ได้แก่ ภาคเหนือ 8,984 แห่ง รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8,874 แห่ง,ภาคกลาง 5,947 แห่ง, ภาคใต้ที่ 2,646 แห่ง และกรุงเทพฯและปริมณฑล 887 แห่ง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเป็น “ตลาดเสรี” ภาครัฐไม่สามารถเข้าไปควบคุมการขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมันได้ ดังนั้นยิ่งมีการขยายสถานีบริการมากขึ้นเท่าไหร่ การแข่งขันในตลาดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย และสุดท้ายจำนวนสถานีบริการก็จะปรับลดลงมาอยู่ในจุดสมดุลในที่สุด “ผมเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ ถึงพัฒนาการปั๊มน้ำมันจากขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ อย่างน้ำมันใส่ขวด 100 ขวด จะเท่ากับปั๊มน้ำมันมือหมุน 1 แห่ง ปั๊มน้ำมันมือหมุน 3 แห่ง เท่ากับปั๊มหยอดเหรียญ 1 แห่ง ปั๊มหยอดเหรียญ 10 แห่ง เท่ากับปั๊มธรรมดา 1 แห่ง ธุรกิจนี้มันเป็นแบบนี้” นายวิฑูรย์กล่าว ปตท.เพิ่มค่าการตลาด มีรายงานข่าวจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งครองอันดับหนึ่งของจำนวนสถานีบริการน้ำมันเข้ามาว่า ปัจจุบันธุรกิจนี้มีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น และเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด (market share) กับรักษาผู้แทนจำหน่ายน้ำมัน (ดีลเลอร์) ของ ปตท.เอาไว้ ทางบริษัทจึงได้ตัดสินใจดำเนินการใน 2 เรื่อง คือ 1) ให้ตัวแทนจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภายใต้แบรนด์ ปตท.รวม 348 แห่งทั่วประเทศ สามารถเปลี่ยนมาเป็นสถานีบริการน้ำมันในรูปแบบ “PTT Compact Model” หรือสถานีบริการน้ำมันขนาดเล็ก ที่ใช้เงินลงทุนเพียง 10-25 ล้านบาทได้ กับ 2) ปรับเพิ่มค่าการตลาด (marketing margin) ให้กับผู้แทนจำหน่ายอีก 15 สตางค์/ลิตร จากปัจจุบันที่ 90 สตางค์/ลิตร “ช่วงที่ผ่านมา ปตท.พบว่า มีผู้ค้าน้ำมันรายอื่นเข้ามาเจรจาเพื่อขอซื้อหรือเช่าที่ดินต่อจากดีลเลอร์ที่ทำปั๊มน้ำมันของ ปตท. ดังนั้นเพื่อรักษาดีลเลอร์ให้อยู่กับเรา จึงมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นค่าการตลาดน้ำมันให้กับดีลเลอร์มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้” แหล่งข่าวใน ปตท.กล่าว อย่างไรก็ตามมีข้อน่าสังเกตว่า การขึ้นค่าการตลาดให้กับดีลเลอร์ ปตท.เพียง 15 สตางค์ยัง “น้อยกว่า” ที่กลุ่มดีลเลอร์ขอมาคือ 40 สตางค์/ลิตร ในประเด็นนี้ ผู้บริหาร ปตท.อาจจะมองว่า การขึ้นให้อีก 15 สตางค์ น่าจะใกล้เคียงหรือเท่ากับบริษัทผู้ค้าน้ำมันรายอื่น ๆ ในขณะที่ผู้ทำปั๊ม ปตท.ยังมีรายได้จากธุรกิจเสริม อาทิ ร้านค้าสะดวกซื้ออย่างร้านเซเว่นอีเลฟเว่น-กาแฟคาเฟ่อเมซอนอยู่แล้ว ประกอบกับการขึ้นค่าการตลาดก็ต้องการดึงดีลเลอร์ ปตท.ในถนนสายรองที่ทวีการแข่งขันสูงให้อยู่กับ ปตท.ต่อไป ปั๊มพีทีกำลังแซง ปตท. ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานจำนวนสถานีบริการน้ำมันล่าสุด (ไตรมาส 4 ของปี’60) ตามข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงานระบุว่า ปตท.มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันมากที่สุด คือ 1,775 แห่ง ขณะที่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เจ้าของสถานีบริการน้ำมันพีที เพิ่มจำนวนเป็น 1,696 แห่ง หรือห่างจาก ปตท.แค่ 79 แห่งเท่านั้น โดยบริษัทพีทีจีเคยประกาศว่า จะแซง ปตท.ให้ได้ภายในเร็ว ๆ นี้ ตามแผนการลงทุนของพีทีจีฯต้องการขยายสถานีบริการน้ำมันให้ครบ 4,000 แห่งภายในปี 2565 ด้าน นายวรรณะ พรหมทวี ผู้บริหาร บริษัท เงินงาม จำกัด ผู้รับเหมาก่อสร้างสถานีบริการน้ำมัน กล่าวว่า เฉพาะในช่วง 4 เดือนนี้ (ม.ค.-เม.ย.) บริษัททำสัญญาก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันรวม 9 แห่ง “เราไม่สามารถรับงานเพิ่มได้มากกว่านี้แล้ว โดยเฉลี่ยแล้วสถานีบริการ 1 แห่ง จะใช้เวลาก่อสร้าง 90-120 วัน และหลังเดือนเมษายนก็มีสัญญาที่จะต้องสร้างอีก 4 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นของปั๊มน้ำมันพีที”        

Person read: 2945

30 March 2018

Cogito ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกสร้างมาเพื่อช่วยให้ call center เข้าใจอารมณ์ลูกค้า

ความเชื่ออย่างหนึ่งเกี่ยวกับหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ที่มีมานานคือ แม้ว่ามันจะทรงประสิทธิภาพแค่ไหน ทำงานรวดเร็ว แม่นยำ และฉลาดเพียงใด แต่พวกมันก็คงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกและอารมณ์ของมนุษย์ได้อย่างที่พวกเราเองเข้าใจอารมณ์ของมนุษย์ด้วยกัน ทว่าบางทีข่าวนี้อาจเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เราควรนำมาใช้ทบทวนความเชื่อนี้ใหม่ Cogito คือบริษัทผู้พัฒนาปัญญาประดิษซึ่งก่อตั้งขึ้นจากทีมนักวิจัยที่แยกตัวมาจาก MIT ด้วยหลักการวิเคราะห์เสียงพูดของคนเพื่อทำความเข้าใจว่าเจ้าของเสียงนั้นมีความรู้สึกอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกใช้โทนเสียงสูง-ต่ำ, การเน้นเสียงในบางคำบางพยางค์ของคำพูด รวมทั้งวิธีการเว้นจังหวะ ซึ่งล้วนแล้วแต่แปรเปลี่ยนไปได้ตามระดับอารมณ์ความรู้สึกของผู้พูด ทำให้ปัญญาประดิษฐ์ของ Cogito ช่วยให้คนเราเข้าใจอารมณ์ของคู่สนทนาได้ดียิ่งขึ้น และด้วยประโยชน์ที่สามารถใช้เพื่อวิเคราะห์เสียงพูดได้นี่เอง Cogito จึงพัฒนา Cogito Dialog ซึ่งใช้เพื่อช่วยงานเจ้าหน้าที่ call center อันเป็นที่รู้กันดีว่านี่คืองานที่เปรียบดั่งกระโถนรองรับอารมณ์ลูกค้าเสียโดยมาก Cogito Dialog จะช่วยให้เจ้าหน้าที่เข้าใจถึงอารมณ์และตระหนักถึงความคาดหวังจากคู่สนทนาที่ปลายสายอีกด้านหนึ่งได้ชัดเจนรวดเร็วยิ่งขึ้น สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งของ Cogito Dialog คือเชื่อได้ว่ามันสามารถนำมาปรับใช้เพื่อวิเคราะห์เสียงพูดกับภาษาใดๆ ก็ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะเทคโนโลยีเบื้องหลังของ Cogito Dialog ไม่ได้สนใจว่าเจ้าของเสียงนั้นพูดคำว่าอะไร มันไม่ได้แปลความหมายของคำที่ถูกพูดออกมาโดยตรง สิ่งที่มันใช้เพื่อการวิเคราะห์อารมณ์ผู้พูดนั้นมีเพียงลักษณะการพูดเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยตั้งแต่สมัยที่ทีมผู้ก่อตั้งทำงานวิจัยให้กับ MIT โดยการสร้างฮาร์ดแวร์ที่เรียกว่า Sociometer ที่มีทั้งไมโครโฟนรับเสียง และเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวร่างกายของผู้พูดเพื่อศึกษาอวัจนะภาษาที่แสดงออกผ่านท่าทางต่างๆ แล้วใช้ข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์อารมณ์และความรู้สึกของผู้สนทนา ผลงานวิจัยนั้นสามารถนำมาปรับใช้ได้หลายกรณี อาทิ วิเคราะห์บทสนทนาระหว่างการสัมภาษณ์งานแล้วทำนายได้ว่าผลการสัมภาษณ์จะเป็นอย่างไร ผลจากการทดลองใช้งาน Cogito Dialog โดยทีมงาน call center ของบริษัทใหญ่หลายแห่ง เผยตัวเลขที่บ่งชี้ Cogito Dialog มีส่วนช่วยให้เจ้าหน้าที่ call center ให้บริการแก่ลูกค้าได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น Humana บริษัทด้านประกันสุขภาพรายใหญ่ของอเมริกา ระบุว่าลูกค้ามีความพึงพอใจต่อการให้บริการเพิ่มเขึ้น 28% และเพิ่มอัตราการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับลูกค้าได้มากถึง 63% ในวันนี้ปัญญาประดิษฐ์ถูกนำมาใช้เพื่อมนุษย์เราเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ด้วยกันเองได้ดียิ่งขึ้น คงไม่น่าแปลกใจหากในไม่ช้า แชทบอท หรือหุ่นยนต์จะเข้าใจมนุษย์เราได้ดี จนวันใดวันหนึ่งเราอาจแยกได้ยากว่าคู่สนทนาที่เราสื่อสารอยู่ด้วยทุกเมื่อเชื่อวันนั้นเป็นคนจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ขอบคุณข่าวจาก : blognone.com

Person read: 3103

27 March 2018

Grab ประกาศเข้าซื้อกิจการทั้งหมดของ Uber ใน Southeast Asia, Uber ได้หุ้น Grab 27.5%

ตามที่มีข่าวออกมาเมื่อวานนี้ เช้าวันนี้ Uber ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า จะขายธุรกิจทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ให้กับคู่แข่งรายสำคัญในพื้นที่ Grab ซึ่ง Grab ระบุว่าเป็นดีลบริษัทสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคที่เคยมีมา รายละเอียดของดีลนั้น Uber จะได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น 27.5% ใน Grab และ Dara Khosrowshahi ซีอีโอ Uber จะเข้ามานั่งเป็นบอร์ดบริหารใน Grab ด้วย โดยการควบรวมนี้ Grab จะได้ทุกธุรกิจของ Uber ในภูมิภาคคือบริการแชร์รถ และบริการส่งอาหาร Uber Eats ด้วย ธุรกิจของ Uber ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ Grab จะได้ไป ได้แก่ในประเทศ กัมพูชา, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เมียนมาร์, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, เวียดนาม และไทย ผลที่จะเกิดขึ้นจากดีลดังกล่าว ทำให้ Grab ลดคู่แข่งอย่าง Uber ออกไปจากภูมิภาค อย่างไรก็ตามอินโดนีเซียยังเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากที่นั่นมี Go-Jek เป็นคู่แข่งสำคัญ และ Go-Jek ก็มีแผนจะบุกตลาดฟิลิปปินส์ในปีนี้ Grab ระบุว่ากำลังร่วมมือกับ Uber เพื่อเตรียมย้ายผู้ขับรถ Uber และผู้ใช้ Uber ในภูมิภาคมาอยู่ในแพลตฟอร์มของ Grab รวมทั้งทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Uber Eats โดยบริการ Uber Eats จะให้บริการจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ Dara Khosrowshahi ซีอีโอ Uber กล่าวในแถลงการณ์กับพนักงาน Uber ไว้น่าสนใจว่า การขายกิจการ นับตั้งแต่จีน, รัสเซีย มาจนถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใช่กลยุทธ์หลักของ Uber ตอนนี้ ปัญหาที่ผ่านมาของ Uber คือมีการออกสู่ตลาดทั่วโลกมากเกินไป แข่งขันมากเกินไป และแต่ละพื้นที่ก็มีคู่แข่งเยอะมาก การขายกิจการบางส่วนทำให้ Uber โฟกัสกับตลาดสำคัญได้ดีมากขึ้น ขณะที่ตลาดอื่น Uber ก็เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้น ได้ผลประโยชน์ร่วมกับผู้นำในตลาด Khosrowshahi บอกว่า Uber ลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ไปแล้วกว่า 700 ล้านดอลลาร์ การขายกิจการโดยแลกเปลี่ยนกับหุ้น Grab ที่มีมูลค่ามากกว่าพันล้านดอลลาร์ (ประเมินตามมูลค่าล่าสุดอยู่ราว 1,500-2,000 ล้านดอลลาร์) จึงถือเป็นชัยชนะของทีม Uber ในภูมิภาคนี้ทุกคน   ขอบคุณข่าวจาก : blognone.com

Person read: 1799

27 March 2018

เซเว่นฯ เตรียมนำระบบ “จดจำใบหน้า” วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า-พนักงาน 11,000 สาขาทั่วไทย

เชนร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ในประเทศไทย “เซเว่น อีเลฟเว่น” (7-Eleven) เตรียมนำเทคโนโลยี AI “Facial Recognition” หรือ “ระบบจดจำใบหน้า” มาใช้สาขาของเซเว่นฯ ทั่วประเทศ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และพนักงาน “กลุ่มซีพี” ได้จับมือกับ “Remark Holdings” บริษัทพัฒนา AI ที่ดำเนินธุรกิจในจีน และสหรัฐอเมริกา ทั้งยังจดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq ในการนำเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าชื่อว่า “KanKan” ติดตั้งในสาขาของเซเว่น อีเลฟเว่น 11,000 สาขา ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะเก็บบันทึกข้อมูล และวิเคราะห์ครอบคลุมหลายด้าน เช่น -พฤติกรรมลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้าน -จำนวนลูกค้าเข้าร้าน -ระยะเวลาที่ลูกค้าอยู่ในร้าน -การใช้เวลาหน้าชั้นวางสินค้า และจับอารมณ์ของลูกค้าเมื่อเดินผ่านชั้นวางสินค้า -การให้บริการของพนักงาน เพื่อนำข้อมูล (Big Data) ที่วิเคราะห์ออกมาแล้ว มาออกแบบเป็น Loyalty Program เช่น โปรโมชั่น นำเสนอให้กับลูกค้าสมาชิกของเซเว่น อีเลฟเว่น และทำให้แต่ละสาขา สามารถคาดการณ์การสต็อกสินค้าแต่ละประเภท แต่ละแบรนด์ได้ถูกต้อง แม่นยำมากขึ้น เพื่อทำให้การบริหารจัดการสินค้าภายในร้านสาขามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น คุณสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวถึงการนำเทคโนโลยี Facial Recognition “KanKan” ว่าเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญครั้งแรกกับ “Remark Holdings” โดยเรามองว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยสร้างการเติบโตด้านรายได้ให้กับเซเว่น อีเลฟเว่นในไทย ขณะเดียวกันช่วยลดต้นทุน และเพิ่ม Margin ให้กับธุรกิจ นอกจากนี้ “กลุ่มซีพี” ยังมีแผนจะนำเทคโนโลยี KanKan ไปใช้กับ “Ping An Insurance” บริษัทดำเนินธุรกิจประกันภัย-ประกันชีวิตรายใหญ่ในประเทศจีน โดยมี “กลุ่มซีพี” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทางด้าน Kai-Shing Tao ผู้บริหาร Remark ขยายความเพิ่มเติมว่า Artificial Intelligence มีพลังมหาศาลในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม และ “ซีพี” ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างมาก ในการนำไปประยุกต์ใช้การดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม Remark เผยว่าเทคโนโลยี “Facial Recognition” จำเพียงเค้าโครงใบหน้าเท่านั้น ไม่ได้เป็นการจดจำทุกองค์ประกอบของใบหน้าคนเรา จึงแตกต่างจากเทคโนโลยีจดจำใบหน้า และสแกนใบหน้าที่ใช้สำหรับเข้ารหัสอุปกรณ์ หรือโปรแกรมต่างๆ นอกจากนี้ภาพหน้าของลูกค้า จะไม่ถูกจัดเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ หรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบถาวร และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลต่างๆ ของลูกค้า เช่น ชื่อ, หมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่ เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการผู้บริโภค เริ่มนำเทคโนโลยี “Facial Recognition” มาใช้มากขึ้น อย่างเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว “Ant Financial” ผู้ให้บริการด้านการเงินดิจิทัล บริษัทในเครือ Alibaba เปิดตัว “Smile to Pay” เป็นระบบชำระค่าสินค้าด้วยการสแกนใบหน้าที่หน้าจอตู้ให้บริการตัวเองภายในร้าน โดยเริ่มต้นทดลองที่ KFC สาขาหางโจว หรือแม้แต่ “Seven & I Holdings” ได้เริ่มนำ “Facial Recognition” มาใช้กับเซเว่น อีเลฟเว่นบางสาขาในญี่ปุ่น และไต้หวัน อย่างไรก็ตามกลุ่มสิทธิพลเมืองเสรีภาพ ได้ออกมาเตือนถึงการเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว เพราะมองว่าข้อมูลเหล่านี้ สามารถแชร์ให้กับคนอื่น เช่น บริษัทประกัน, เครดิตการ์ด หรือแม้แต่หน่วยงานรักษาความมั่นคงของรัฐ เพราะฉะนั้นแล้ว ภาคธุรกิจ หรือบริษัทใดจะนำเทคโนโลยี “Facial Recognition” ไปใช้ ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์เป็นอีกทางหนึ่งของการเก็บ Big Data เพื่อนำมาพัฒนาสินค้า-บริการ-สิทธิประโยชน์ให้ตรงใจลูกค้าเฉพาะบุคคล (Personalization) หรือเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสาขาร้าน หรือภายในองค์กร บริษัทนั้นๆ ต้องมีระบบความปลอดภัยขั้นสูง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคต่อเทคโนโลยีดังกล่าว   ที่มา : brandbuffet.in.th                  

Person read: 2477

19 March 2018

กลยุทธ์ ‘ล่าฝัน’ สร้างธุรกิจฉบับเจนวาย

ขึ้นชื่อว่าคนรุ่นใหม่มักชื่นชอบทำหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ไม่เพียงแค่โปรดักส์ “MIDAT” (ไมแดท) สายรัดข้อมือ แต่ผู้ก่อตั้งก็ยังทำธุรกิจอื่น ๆที่ตอบสนองความสนใจส่วนตัวอีกด้วย  “กฤตย สุขวัฒก์” เป็นเจ้าของแบรนด์ “ไฮแลนส์ เจอร์กี้” เนื้อวัวอบแห้งสไตล์อเมริกัน ส่วน “สุกิจ อมรวชิรวงศ์”ทำสีพิมพ์สกรีนเสื้อผ้า ก็คือ “เอส.เค.คัลเลอร์ แอนด์ เคมีคอล” เมื่อถามถึงคีย์ซัคเซส สุกิจบอกว่าจากประสบการณ์ในการทำธุรกิจที่ผ่านมา ยอมรับว่าตอนที่ลงมือทำแรก ๆนั้นก็มักจะกวนกันแบบเละเทะ ไม่มีเพลงดาบหรือกระบวนท่าตายตัวว่าจะต้องนับจากแพลนที่หนึ่งแล้วไปสองไปสาม เพราะบางทีพอแพลนหนึ่งเสร็จก็กระโดดไปสามก่อนแล้วค่อยวกกลับมาที่สอง     กฤตยมองว่า สำหรับเขานั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำธุรกิจในโลกยุคใหม่ ผู้ประกอบการควรต้องมีสกิลหรือทักษะที่รอบด้าน เช่น สุกิจใช้กล้องเป็น ทำเอไอได้ และทำโฟโต้ชอปได้ และสามารถเอามาช่วยในงานมาร์เก็ตติ้งได้ในระดับหนึ่ง ไม่ต้องเสียเงินจ้างและการทำได้เองก็ทำธุรกิจเดินหน้ารวดเร็วขึ้น ง่ายยิ่งขึ้น แม้ว่าธุรกิจที่ประสบความเร็จนั้นขึ้นกับองค์ประกอบหลายต่อหลายอย่าง อาทิ ทีมงาน ทุน และจังหวะเวลา ขณะที่สุกิจบอกว่าในความเป็นจริงนั้น โดยเฉพาะจังหวะของเวลาและโอกาสจะเป็นสิ่งที่คอนโทรลได้ยากว่าโอกาสจะมาเมื่อไหร่หรือเป็นเวลาที่ใช่หรือไม่ "แต่ไมแดทนั้นมากับจังหวะเวลา และเราก็สนใจอยากทำ แต่ถ้าเราทำกันโดยไม่มีทักษะอะไรเลย มีแค่เงินและความคิดที่อยากทำธุรกิจเฉย ๆ ก็คงทำในลักษณะต้องไปจ้างคนนั้นมาดีไซน์โปรดักส์ หรือไปจ้างคนนี้มาช่วยสร้างแบรนด์ การมีทักษะหรือสกิลน้อยจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำธุรกิจมาก ๆ" แน่นอนหากต้องใช้เงินจ้างเขียนโปรแกรมหรือดีไซน์โปรดักส์ดีไม่ดีอาจต้องทุ่มเงินทุนเป็นหลักล้านบาท (ไมแดทมีฟาวเดอร์ทั้งหมด 3 คน ก็คือสุกิจ,กฤตยและเพื่อนอีกคนที่เก่งในการเขียนโค้ดดิ้งซึ่งชอบเป็นคนอยู่เบื้องหลัง) ส่วนในเรื่องของดีมานด์ ความต้องการของตลาดที่ทุกธุรกิจก็ต้องศึกษาให้ดีเสียก่อน สุกิจบอกว่าตอนที่พวกเขาเริ่มทำในแต่ละธุรกิจก็จะไม่ได้มองไปไกลมาก แค่มองเห็นว่าธุรกิจนี้ โปรดักส์นี้มีคนอยากได้ ทำแล้วมีกำไร ก็จะลงมือทำทันที "และพอเริ่มทำแล้ว จากนั้นเราจะมองเห็นช่องทางเพิ่มมากขึ้น ว่าทำแบบนั้นแบบนี้ได้อีก บางคนบอกว่าทำไมไม่เห็นมีโอกาสเข้ามาหาเขาเลย จริงๆแล้วเราต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างแล้วโอกาสจะเข้ามาหาเราเองและตอนที่มันเข้ามาเราเองที่อาจทำไม่ทันเสียด้วยซ้ำ" กฤตยเสริมว่า โอกาสเป็นเรื่องที่มองเห็นง่ายๆและชัดเจน เช่นคู่แข่งมีอยู่น้อย ถ้าทำแข่งก็น่าจะสู้ได้ หรือเป็นธุรกิจที่ตัวเองมีความชำนาญ เป็นอะไรที่อยากทำจริง ๆหรือเปล่า “การทำธุรกิจไม่ว่าจะเป็นเอสเอ็มอีหรือสตาร์ทอัพ เราต้องมองวันหยุด วันเสาร์ วันอาทิตย์ มันไม่มีตัวตน เพราะไม่ใช่เรามีเงิน มีร้านก็ถือว่าสำเร็จแล้ว ผมรู้สึกว่าต้องสู้ทุกวัน” ตบท้ายด้วยหลักการของสุกิจ และเล่าต่อว่า ที่พวกเขาตัดสินใจมาทำไมแดท เพราะมีวันหนึ่งได้เห็นมีคนโพสต์เฟสบุ๊คเกี่ยวกับกำไลคิวอาร์โค้ด ซึ่งเป็นข้อมูลสุขภาพ แล้วก็มีคนกดไลค์ มีคนแชร์เป็นจำนวนมาก "เราเห็นว่ามันเป็นโปรดักส์ที่มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อม ผู้มีโรคประจำตัว ถ้ามีสายรัดในยามฉุกเฉินจะสามารถช่วยชีวิตเขาได้ เราก็คิดว่าอยากทำธุรกิจด้วยในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งๆ ให้กับสังคมด้วย" ไมแดทแตกต่างจากสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพแบรนด์อื่นๆ อย่างไร กฤตยยังไม่ตอบแต่มีการจุดไฟแช็คแล้วลนไปตรงสายรัดข้อมือที่พวกเขาผลิตเพื่อโชว์ให้เห็นว่ามันมีความทนทานเพียงไร "จะเห็นว่ามันทนทานไม่ไหม้ เพราะผมก็คิดจะทำมันให้คุณแม่และคุณยายของผมเองใส่หรือใช้ ดังนั้นก็คงไม่ทำอะไรที่ใช้ไม่ได้ แต่ต้องทำให้ของทนทานที่สุด จึงเป็นการแกะสลักต่างจากของคู่แข่งอื่นๆที่คิวอาร์โค้ดของเขาจะพิมพ์ด้วยสีซึ่งจะลอกหลุดได้ง่ายมาก ซึ่งก็ทำให้ข้อมูลการแพทย์ที่ใส่ไว้สูญหาย และถึงขั้นพังใช้ไม่ได้ ถามว่าถ้าซื้อของที่ไม่ได้คุณภาพแล้วมันจะช่วยชีวิตเราได้หรือไม่" ซึ่งหัวใจสำคัญก็คือข้อมูลทางการแพทย์ที่ถูกบันทึกไว้ก็ต้องอาศัยไปพูดคุยกับหมอแต่ละสาขารวมถึงทีมที่เป็นหน่วยฉุกเฉินที่ไปรับตัวคนเจ็บที่บ้าน หรือที่เกิดเหตุว่าถ้าจะให้ดีหรือมีความครอบคลุมควรต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง ปัจจุบันผู้สวมใส่สายรัดไมแดทสามารถเก็บข้อมูลที่เป็นโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ประวัติการแพ้อาหาร ฯลฯ พร้อมข้อมูลติดต่อของหมอประจำตัว หรือบุคคลที่ต้องการให้ติดต่อในสภาวะฉุกเฉิน เช่น ชื่อ เบอร์โทรและ ความเกี่ยวข้อง โดยผู้ช่วยเหลือจะสามารถสามารถใช้สมาร์ทโฟนสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว “ก่อนที่เราจะทำเป็นรุ่นแรก เราก็มีสั่งทำเป็นแซมเปิลหลายรุ่น กว่าจะเป็นรุ่นแรกก็ผ่านรุ่นทดลองมา4-5 แบบได้” สุกิจเล่าต่อว่าจากที่ลอนซ์ไมแดทเวอร์ชั่นแรกออกสู่ตลาดเมื่อต้นปีที่ผ่านมาถึงเวลานี้มียอดขายอยู่ประมาณ 1.4 หมื่นชิ้น ซึ่งมาจากการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ถึง 90% และยังได้พัฒนาเวอร์ชั่นที่สองออกมาแล้วแต่ยังไม่ได้วางจำหน่าย เนื่องจากต้องลองใส่ดูกันเองสักพัก ว่าจะเวิร์คจริงหรือไม่ หรือต้องทำการปรับ แก้ไขตรงไหนอย่างไร ไมแดทพบเจออุปสรรคอะไรมาบ้าง? กฤตยบอกว่า เพราะยังเป็นคอนเซ็ปต์ที่ค่อนข้างใหม่ในตลาดเมืองไทย จึงต้องใช้เวลาในการสร้างความรับรู้ และยอมรับ "ไม่ใช่ว่าคนรู้จักกันดีอยู่แล้วว่ามันเป็นลูกชิ้น เราต้องอธิบายว่ามันคืออะไรก่อน และต้องให้คนรู้สึกว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดีที่เขาน่าจะลอง โดยที่เขาไม่เคยรู้ไม่เคยใช้มันมาก่อน แน่นอนว่าเราต้องเสียเงิน เวลา และทรัพยากรต่างๆไปเพื่อการทำให้คนรู้จัก" คงเป็นทำนองเดียวกับสินค้าประกันภัย คนที่มองเห็นประโยชน์ก็จะซื้อทันทีเวลามีตัวแทนหรือนายหน้าเข้าไปขายประกันภัยต่าง ๆ ตรงกันข้ามสำหรับคนที่ไม่เห็นความสำคัญก็จะไม่สนใจและอาจไล่ตะเพิดคนขายให้ไปไกลๆ หรือไม่ก็พยายามหาเหตุผลมาโต้แย้ง สุกิจ บอกว่า พวกเขาวางแผนจะพาไมแดทขยายไปตลาดต่างประเทศเร็วๆนี้ โดยกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ในประเทศอังกฤษ ซึ่งก็มีคุยกันบ้างแล้วที่มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ แต่ยังไม่ลงตัว ถามว่าพันธมิตรในฝันเป็นแบบไหน คำตอบก็คือ ถ้าอยู่ในธุรกิจการแพทย์หรือเกี่ยวข้องมีคอนเน็คชั่นกับทางการแพทย์ก็ยิ่งดี หรือถ้าทำบริษัทยาก็จะดีมากเพราะจะมีช่องทางจำหน่าย ซึ่งตลาดเมืองไทยไมแดทก็ใช้โมเดลเดียวกันคือไปจับมือกับบริษัทยาที่ครองตลาดอันดับหนึ่ง อันดับสองของตลาด แต่ที่แน่ๆ พวกเขาไม่ได้คิดถึงการระดมทุน ไม่คิดเดินบนเส้นทางสตาร์ทอัพ แต่ก็ใช้รายได้จากการขายโปรดักส์ สุกิจมองว่าในการทำธุรกิจ ถ้าวางแผนเป็น ทำอย่างระมัดระวัง ก็คงไม่ได้ใช้ทุนมากมาย "จริง ๆผมมองไมแดทเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีธรรมดาเลย แต่ก็มีคนมาบอกว่ามันเป็นสตาร์ทอัพ และเมื่อผมไปศึกษาว่าสตาร์ทอัพคืออะไร ก็เลยรู้ว่าถ้าทำเป็นสตาร์ทอัพผมคงนอนไม่หลับ เพราะเราต้องไปเอาเงินนักลงทุนมาใช้และต้องทำให้ได้ตามความคาดหวังของเขา มันเหมือนเป็นการสู้เพื่อเติมเต็มความคาดหวังของคนอื่น ขณะที่เอสเอ็มอีเป็นการสู้เพื่อตัวเองแต่ถ้ามีใครอยากจะมาลงทุนกับเราก็ยินดี แต่คงต้องมีการพูดคุยกันยาวหน่อย"   ที่มา : bangkokbiznews.com

Person read: 2093

16 March 2018

'ฮาบิแททกรุ๊ป' ทุ่มงบ 2,500 ล้าน ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่คอนโด

"ชนินทร์" เผย "ฮาบิแทท กรุ๊ป" ทุ่มงบ 2,500 ล้านบาท ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่คอนโดฯ “วาลเด้น” รุกตลาดไฮเอนด์ย่าน CBD ในกรุงเทพเป็นครั้งแรก ประเดิมโครงการแรก “วาลเด้น อโศก” ฮาบิแทท กรุ๊ป ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่คอนโดฯ “วาลเด้น” รุกตลาดไฮเอนด์ย่าน CBD ในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ประเดิมโครงการแรก “วาลเด้น อโศก” พรีเมี่ยมคอนโดเพื่อพักอาศัย และการลงทุนย่านอโศก พื้นที่ใช้สอย 31-65 ตรม. ราคาเริ่มต้น 5.9-11 ล้านบาท เจาะกลุ่มเป้าหมาย Expat ญี่ปุ่นและจีน และนักลงทุนในอสังหาฯ คาดผลตอบแทนจาก Capital Gain สูงถึง 6-10% ต่อปี และผลตอบแทนการเช่า 4-6% ต่อปี ย้ำมั่นใจ “วาลเด้น อโศก” จะได้ผลตอบรับดีทันทีที่เปิดขาย นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด หนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุน เปิดเผยว่า “ฮาบิแทท กรุ๊ป เดินหน้ารุกตลาดลักชัวรี่คอนโดมิเนียมในย่าน CBD เป็นครั้งแรก โดยใช้งบทุนรวมกว่า 2,500 ล้านบาท ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่คอนโดฯ ภายใต้ชื่อ “วาลเด้น” โดยได้ฤกษ์ประเดิมเปิดตัวโครงการแรก “วาลเด้น อโศก” (Walden Asoke) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนระดับลักชัวรี่ จำนวน 7 ชั้น 83 ห้อง ตั้งอยู่บนพื้นที่กรรมสิทธิ์ในซอยสุขุมวิท 23  ใกล้จุดร่วมการเดินทางระหว่างสถานีรถไฟฟ้า BTS อโศกและสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สุขุมวิท เพียง 700 เมตร นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมโยงการเดินทางไปที่แอร์พอร์ตเรียลลิงค์ได้อีกด้วย ซึ่งช่วยทำให้การเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยมีแบบห้องให้เลือกถึง 7 แบบตามความต้องการ ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 31 –  65 ตารางเมตร ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2563 โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5.9 - 11 ล้านบาท     สำหรับแนวคิดในการออกแบบโครงการ “วาลเด้น อโศก” สะท้อนรูปแบบการใช้ชีวิตที่ทันสมัย ขณะเดียวกันก็อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติผ่านสัจจะวัสดุประเภทหิน ไม้ และต้นไม้สีเขียวชอุ่มทอดยาวจากพื้นดินสู่ชั้นดาดฟ้า สถาปัตยกรรมจากไม้ธรรมชาติไม่มีที่สิ้นสุดจรดทางเดินไปสู่พื้นที่กว้างขวาง ให้ความรู้สึกเป็นอิสระหลีกหนีจากความวุ่นวายของชีวิตในเมือง สำหรับการดีไซน์ของห้องแต่ละแบบจะมีดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ไม่ซ้ำกันเพื่อการปรับจูนให้ตรงตามสไตล์ของผู้อยู่อาศัย อาทิ การเพิ่มพื้นที่เพดานสูงเพื่อให้ความรู้สึกโอ่โถง โปร่งสบาย หรือจัดให้มีสวนหย่อมเพื่อการพักผ่อนส่วนตัว นอกจากนี้ มีพื้นที่การใช้ที่หลากหลายเพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ได้แก่ ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องครัว รวมถึงพื้นที่ทำงาน ฟังก์ชั่นการใช้งานของห้องสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ โดยมีการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ทันสมัย และมีคุณภาพสูงจากแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการฯ ยังพรั่งพร้อมไปด้วยห้องออกกำลังกาย ห้องสมุด มุมอร่อยกับบาบีคิวของครอบครัว เชื่อมโยงไปยังสนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำร้อนและน้ำเย็น และสวนหย่อมสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ มุม VICHY วารีบำบัดที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของใจและกายอย่างเต็มที่ด้วยวิถีแบบเซน พร้อมที่จอดรถอัตโนมัติซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการหาที่จอดรถ  พิเศษสุดสำหรับบริการ “Walden Privilege” แท็บเล็ตอัจฉริยะ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการจับจ่ายของใช้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตให้ส่งตรงถึงหน้าประตูบ้านของคุณ รวมไปถึงบริการแม่บ้านทำความสะอาด สั่งอาหาร และบริการชำระบิลต่างๆ ได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสอีกด้วย “โครงการ ‘วาลเด้น อโศก’ นับเป็นโครงการแรกของฮาบิแทท กรุ๊ป ที่รุกตลาดคอนโดนิเนียมระดับพรีเมี่ยมเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ หลังจากลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองพัทยามานานกว่า 5 ปี โดยครั้งนี้ เราปักหมุดทำเลทองย่าน “อโศก” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น CBD ศูนย์กลางธุรกิจของย่านสุขุมวิทเพียงหนึ่งเดียวที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และมีศักยภาพที่ดีเยี่ยมในด้านการเดินทาง การพัฒนาธุรกิจการค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาคารสำนักงาน หรือรีเทล กลุ่ม Mixed-use เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่กำลังเจริญเติบโต รวมถึงการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยในย่าน CBD ยังคงมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลที่ทำเลอโศกไม่เพียงแต่เป็นแค่ทำเลที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นทำเลที่มีองค์ประกอบครบถ้วน ทั้งสถานทูต โรงแรม 5 ดาว ออฟฟิศสำนักงานและแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ แหล่งท่องเที่ยวและบันเทิง สถานศึกษาชื่อดังทั้งไทยและนานาชาติ  โรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่ง และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเราจะเห็นการพัฒนาทั้งอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมืองได้เป็นอย่างดี และถือเป็นทำเลที่สามารถดึงดูดการพัฒนาได้อย่างไม่รู้จบ” นายชนินทร์ กล่าว ทั้งนี้ หากพิจารณาในแง่ของการลงทุนทั้งจากการปล่อยเช่าและการถือครองระยะยาว ทำเลอโศกนี้ถือว่ามีศักยภาพในแง่การลงทุนสูงจากดีมานด์ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ย้ายมาอยู่อาศัยตามสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและชาวจีน ซึ่งมีสัดส่วนการอยู่อาศัยในทำเลนี้สูงถึง 70-80% รวมไปถึงนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของฮาบิแทท กรุ๊ป โดยจากสำรวจการเพิ่มขึ้นของราคา (Capital Gain) และอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ของคอนโดมิเนียมในทำเลอโศก พบว่า ทำเลนี้มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคา (Capital Gain) อยู่ที่ประมาณ 6-10% ต่อปี และได้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ประมาณ 4-6% ต่อปี “สำหรับโครงการ “วาลเด้น อโศก” นับเป็นลักชัวรี่คอนโดมิเนียมที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยในทำเลที่เดินทางได้สะดวกที่สุดในกรุงเทพใกล้กับแหล่งสำนักงานชั้นนำ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบสาธารณูปโภคครบครัน รวมถึงเป็นโครงการที่น่าดึงดูดใจสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยฮาบิแทท กรุ๊ป มีบริษัท ฮาบิแทท ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด บริษัทในเครือ ซึ่งมีทีมงานมืออาชีพที่สามารถให้คำปรึกษาด้านการบริหารการเช่า เพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าจะสามารถได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม และได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแน่นอน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมั่นใจว่า ด้วยศักยภาพของทำเลอันร้อนแรงแห่งนี้จะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อ และนักลงทุน พร้อมทั้งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างแน่นอน” นายชนินทร์ กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป จะจัดกิจกรรมพรีเซลล์โครงการ “วาลเด้น อโศก” สำหรับผู้สนใจเยี่ยมชมและทราบรายละเอียดโครงการ ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคมนี้ ที่โรงแรมพูลแมน สุขุมวิท โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.habitatgroup.co.th   ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com

Person read: 1802

15 March 2018

'ปอร์เช่ มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่' ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง

Porsche Mission E Cross Turismo ปอร์เช่ มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง ตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตที่ตื่นเต้น ปอร์เช่พร้อมเผยโฉมครั้งแรกของ มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ (Mission E Cross Turismo) ในงานมหกรรมยานยนต์ Geneva Motor Show ด้วยแนวคิดในการพัฒนารถยนต์ Cross Utility Vehicle (CUV) ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ เปี่ยมไปด้วยความอเนกประสงค์ สนองตอบรูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มบุคคลที่แสวงหาความสนุกสนานเร้าใจจากกิจกรรมผจญ ภัยและการเล่นกีฬากลางแจ้งพร้อมกับการท่องเที่ยวเดินทางอย่างมีสุนทรียภาพด้วยประสิทธิภาพเหนือ ระดับของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive สามารถนำพาผู้โดยสารไปยังยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะได้อย่างง่ายดาย ศักยภาพในการปรับเปลี่ยน รูปแบบการใช้ประโยชน์ภายในห้องโดยสารอย่างไร้ขีดจำกัด จัดสรรพื้นที่กว้างขวางพร้อมติดตั้งจุดยึดรุ่นล่าสุดสำหรับบรรทุกและ เคลื่อนย้ายอุปกรณ์กีฬาหลากหลายชนิดได้อย่างสะดวกปลอดภัย อาทิ กระดานโต้คลื่นหรือจักรยานปอร์เช่ e-bike ความยอดเยี่ยมของรถสปอร์ต 4 ประตู 4 ที่นั่ง คันนี้ หมายรวมถึงงานออกแบบที่สะท้อนภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งสไตล์ off-road เฉกเช่นเดียวกับอุปกรณ์ภายในที่ประกอบด้วยหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบใหม่ ระบบควบคุมฟังก์ชันการทำงานล้ำสมัย ด้วยหน้าจอสัมผัสและระบบตรวจจับทิศทางการมอง eye tracking รถยนต์ต้นแบบที่มีความยาว 4.95 เมตร ได้รับ การพัฒนา ขึ้นบนพื้นฐานของระบบเครือข่ายชาร์จพลังงาน 800 โวลต์ fast-charge network รองรับการชาร์จแบบไร้สายด้วย charging dock หรือระบบ Porsche home energy storage system มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ (Mission E Cross Turismo) สืบทอดความล้ำเลิศมากมายนานับประการ จากปอร์เช่ Mission E ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ International Motor Show (IAA) เมื่อปี 2015 งานออกแบบ: บ่งบอกเอกลักษณ์ด้วย DNA ของปอร์เช่ ฝากระโปรงหน้าที่เทลาด โอบล้อมด้วยโป่งซุ้มล้ออันแสดงถึงความทรงพลังทั้ง 2 ฝั่ง: แม้เพียงแรกสายตาสัมผัสรูปโฉมด้านหน้าของ มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ (Mission E Cross Turismo) สามารถรู้สึกถึงความเด่น ชัดในอัตลักษณ์ความเป็นที่สุดของยนตรกรรม สปอร์ตระดับตำนานจากปอร์เช่ 911 (Porsche ที่ตราตรึงอยู่ในทุกอณู ไม่ว่าจะเป็นช่องรับอากาศตรงกัน ชนหน้าที่วางตัว ในแนวนอนหรือรู้จักกันดีในชื่อว่า "air curtains" หนึ่งในงานออกแบบที่โดดเด่น เฉพาะตัวพร้อมอรรถประโยชน์อันเปี่ยมล้น ไฟหน้า Matrix LED นับเป็นอีกจุดหนึ่งที่สง่างามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดุดันด้วยระบบไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ 4 ลำแสงหรือ Porsche four-point daytime running lights ซึ่งได้รับการปรับเปลี่ยนรูปทรงให้เฉียบคมยิ่งขึ้น กระจกโคมไฟแบบ three-dimensional glass กระจายลำแสงทั้ง 4 ได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด พร้อมไฟเลี้ยว four-point indicator แบบใหม่ล่าสุด มั่นใจได้ในทุกเส้นทางด้วยความกระจ่างชัดเจนจากไฟหน้าประสิทธิภาพสูง Porsche X-Sight high-performance full beams เสริมภาพลักษณ์สมบุกสมบันและพร้อมบุกตะลุยสไตล์ Off-road จากชิ้นส่วนตัวถังที่ออกแบบโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นปิดซุ้ม ล้อและธรณีประตูทั้ง 4 ปราดเปรียวดุดันด้วยชุดสปอยเลอร์หน้าและชายกันชนหลัง สอดรับกับระดับความสูงใต้ท้องรถที่ได้รับการ ปรับให้เพิ่มขึ้น รูปร่างโดยรวมของตัวรถถูกกำกับโดยแนวหลังคาสไตล์สปอร์ตโค้งมน ลาดเอียงเป็นทรงลิ่มจากหัวจรดท้ายซึ่งเป็นการออกแบบ ที่ได้รับคำนิยามจากดีไซน์เนอร์ของปอร์เช่ว่า "flyline" สะท้อนให้เห็นถึงตัวถังด้านท้ายรถที่ใกล้เคียงกับ พานาเมร่า สปอร์ต ทัวริสโม่ (Panamera Sport Turismo) แนวกระจกประตูทั้ง 4 ที่ยังคงความคลาสสิกของปอร์เช่เอาไว้อย่างเหนียวแน่น โป่งล้อขนาดใหญ่ที่ต่อเนื่องมายังซุ้มล้อคู่หน้า ขนาบด้วยช่องระบายอากาศให้มุมมองแบบ 3 มิติและแสดงออก ถึงบุคลิกของยนตรกรรมต้นแบบพันธ์แกร่งซึ่งมาพร้อมมิติความกว้างตัวถังถึง 1.99 เมตร สเกิร์ตข้างตัวถังสไตล์ Off-road พร้อมติดตั้งล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้ว ล้อมรอบด้วยยางสมรรถนะสูงขนาด 275/40 R 20 รองรับทุกเส้นทางที่ต้องเผชิญ รถต้นแบบได้รับการพ่นสีพิเศษ Light Grey Metallic โดดเด่นหรูหรา ให้สัมผัสของสปอร์ตคลาสสิกจากประเทศเยอรมัน แม้มองจากด้านท้ายรถ ยิ่งไปกว่านั้นภาพความงดงาม ดังกล่าวยังได้รับการตอกย้ำ ด้วยชุดสปอยเลอร์ หลังคาและแผงไฟทับทิม คาดขวางตัวถัง ซึ่งได้กลายเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้สำหรับปอร์เช่ในยุคปัจจุบัน ติดตั้งสัญลักษณ์ตัวอักษรปอร์เช่ เรืองแสงสีขาวสะท้อนแสงแบบ 3 มิติ ตำแหน่งอักษร "E" ในคำว่า "Porsche" จะกระพริบเป็นจังหวะในขณะทำการชาร์จพลังงาน ส่งมอบประสบการณ์สุดประทับใจให้แก่ผู้ครอบครองได้อย่างไม่มีรถยนต์คันใดเสมอเหมือน กระจกหลังคา panoramic glass roof ขนาดใหญ่วางตัวต่อเนื่องจากกระจกบังลมหน้าจนจรดฝากระโปรงท้าย ให้บรรยากาศภายในห้องโดยสารปลอดโปร่งสะดวกสบาย ความอเนกประสงค์: รองรับทุกการใช้งานเพื่อทุกวันของชีวิต มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ (Mission E Cross Turismo) คือรถยนต์ที่ถือกำเนิดขึ้นในฐานะ ตัวแทนของยนตกรรมสปอร์ตสไตล์ทัวริ่งทั้งหมดของสายการผลิตจากปอร์เช่ เติมเต็มอรรถประโยชน์ด้วยการพัฒนาขีดความ สามารถ ด้าน crossover-utility ให้มีความอเนกประสงค์มากยิ่งขึ้น: ผลลัพธ์ที่ได้คือที่สุดแห่งยานยนต์ที่เหมาะสม กับทุกการเดินทาง ตอบรับทั้งภารกิจประจำวันและการใช้ชีวิตแนวโลดโผนผจญภัย คล่องแคล่วปราดเปรียวในทุกเส้นทางทั้งการจราจรในเมืองใหญ่ หรือหนทางทุรกันดาร มิชชั่น อี (Mission E) เวอร์ชั่น crossover เน้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่นิยมชมชอบความตื่นเต้น เร้าใจจากกิจกรรมและกีฬากลางแจ้ง ด้วยความสูงใต้ท้องรถถึง 1.42 เมตร ของรถสปอร์ต 4 ที่นั่งดังกล่าว: จุดยึดที่ติดตั้งบริเวณพนักพิงของเบาะนั่งคู่หลังแบบแยกอิสระทั้งสองจุด เหมาะสำหรับการบรรทุกสัมภาระที่มีขนาดยาวกว่าปกติ เช่น อุปกรณ์สกี นอกจากนี้ พนักพิงหลังยังสามารถปรับพับในแนวราบเสมอกับพื้นห้องเก็บสัมภาระซึ่งได้รับการติดตั้งระบบ รางยึดสัมภาระพร้อมเข็มขัดรัดแบบปรับระดับและตำแหน่งได้ สามารถเก็บรักษาอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่อย่างสะดวกรวดเร็ว และปลอดภัยจากการกระทบกระแทก นอกจากความอเนกประสงค์ของตัวรถ ผู้โดยสารของ มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ (Mission E Cross Turismo) ยังได้รับประโยชน์สูงสุดในกรณีที่ใช้งานร่วมกับรถจักรยานปอร์เช่ e-bike จากแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้า ประสิทธิภาพสูงของตัวรถที่รองรับสิงห์นักปั่นได้อย่างเต็มที่ แนวทางการพัฒนายุคใหม่มุ่งเน้นให้ลูกค้าของปอร์เช่ทุกท่าน ได้รับความสะดวกสบายและรื่นรมย์ด้วยงานออกแบบชั้นเลิศ นวัตกรรมเทคโนโลยีและสมรรถนะเหนือระดับตลอดระยะเวลาที่ ขับขี่ยานพาหนะ 2 ล้อล้ำอนาคต ภายในห้องโดยสาร: สัมผัสอันแตกต่างด้วยโครงสร้างน้ำหนักเบา ภายในห้องโดยสารนำเสนอบรรยากาศสุดคลาสสิกด้วยวัสดุคุณภาพสูง ตามธรรมเนียมปฏิบัติอันยาวนานของปอร์เช่ผสานด้วย ความทันสมัยจากการยกระดับเข้าสู่โลกแห่งดิจิทัล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือชุดแผงหน้าปัทม์: อุปกรณ์ข้างต้นได้รับการติดตั้งวางตัว ตามแนวขวางตลอดความกว้างของตัวรถ ประกอบด้วยกรอบหน้าปัทม์ทรงปีกแยกตำแหน่งด้านบนและด้านล่างคอนโซลหน้า จัดวาง ในแนวตั้งด้วยหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่พิเศษสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า แผงควบคุมทรงโค้งโอบล้อมที่นั่งผู้ ขับขี่เพื่อความสะดวกในการใช้งาน แผงหน้าปัทม์แบบวงกลม 3 วงภายในบรรจุหน้าจอแสดงผล TFT คอนโซลกลางระหว่าง เบาะนั่งคู่หน้าวางตัวต่อเนื่องในระดับความสูงเท่ากับคอนโซลหน้า เสริมสร้างบรรยากาศอบอุ่นระหว่างการเดินทางด้วยระบบไฟ ภายในห้องโดยสาร ambient lighting และ indirect lighting ยิ่งไปกว่านั้นงานออกแบบและวัสดุภายในห้องโดยสาร ยังแสดงให้เห็นถึงมุมมองและสัมผัสได้ถึงโครงสร้างน้ำหนักเบาของตัวรถ อาทิ แผงคอนโซลหน้าและเบาะนั่งสไตล์สปอร์ต รูปทรงเดียวกับเบาะนั่ง bucket-type ในรถแข่ง พร้อมสัญลักษณ์ตัวอักษร ปอร์เช่เรืองแสง แผงประตูผลิตด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย ให้พื้นผิวสัมผัสแบบ 3 มิติ ชิ้นงานตกแต่งรายรอบห้องโดยสารพ่นสี Anodised มันวาว กรอบช่องลมระบบปรับอากาศหรือชุดสวิทช์ควบคุมกระจกไฟฟ้าที่สวยหรูจากสีน้ำเงิน Nordic Blue สร้างความแตกต่าง อย่างมีชั้นเชิงสไตล์ two-tone ตัดกันอย่างลงตัวกับหนังแท้ Aniline สีดำและสีเทาอ่อนในหลายๆ จุดของห้องโดยสาร ขุมพลังขับเคลื่อน: สมรรถนะจากระบบ e-performance พละกำลังสูงสุดมากกว่า 600 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูง 2 ชุด ให้กำลังสูงสุดมากกว่า 600 แรงม้า (440 กิโลวัตต์) ส่งผลถึงอัตราเร่ง จากจุดหยุดนิ่งไปยังความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงของ มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ (Mission E Cross Turismo) ใช้ระยะเวลาน้อยกว่า 3.5 วินาที และพุ่งทะยานแตะความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในระยะเวลาต่ำกว่า 12 วินาที สมรรถนะอันเหนือ ความคาดหมายดังกล่าวเกิดขึ้นจากประสิทธิภาพการถ่ายทอดพละกำลังที่ต่อเนื่องซึ่งเป็น คุณสมบัติเฉพาะตัว ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า: จังหวะเร่งออกตัวที่ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยปราศจากการสูญ เสียกำลังในระบบขับเคลื่อนแม้แต่ น้อยแรงบิดที่ได้รับการ ควบคุมอย่างเหมาะสมจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive พร้อมระบบ Porsche Torque Vectoring รับหน้าที่กระจาย กำลังขับไปยังล้อทั้ง 4 และส่งต่อไปยังพื้นถนนอย่างอิสระ ระบบรองรับ: ช่วงล่างถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ Adaptive air suspension นุ่มนวลและมั่นคง ระบบเลี้ยว 4 ล้อ all-wheel steering ให้ความแม่นยำเที่ยงตรง เพิ่มเสถียรภาพในการบังคับควบคุมให้แก่ตัวรถ ในขณะที่ ระบบช่วงล่างถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ adaptive air suspension รับหน้าที่ในการปรับตั้งความสูงของใต้ท้องรถให้เพิ่มขึ้นได้ถึง 50 มิลลิเมตร ระบบ Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญซึ่งมีบทบาทหลักในการเสริมสร้าง ความมั่นคงจากเสถียรภาพในการเคลื่อนที่ทั้งในแนวระดับและการโคลงตัวเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ ยังช่วยในการลด การโยนตัวขึ้นลงเมื่อขับขี่บนเส้นทางขรุขระเป็นหลุมบ่ออีกด้วย แนวคิดระบบควบคุมการทำงานผ่านหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูง: ประสบการณ์การใช้งานเหนือระดับ ความโดดเด่นของ มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ (Mission E Cross Turismo) คือแนวคิดในการควบคุมฟังก์ชัน การทำงาน ของตัวรถผ่านหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงรุ่นล่าสุด ตัวอย่างของอุปกรณ์การทำงานและสื่อสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้แก่ หน้าจอแสดงผลแบบ head-up display ถ่ายทอดข้อมูลที่สำคัญไปยังผู้ขับขี่ในตำแหน่งระดับสายตา ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการรบกวน สมาธิในการบังคับรถยนต์ และด้วยความล้ำหน้าของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อในยานพาหนะ ส่งผลให้ผู้โดยสารสามารถเข้าถึงโลก แห่งการสื่อสารที่ไร้พรมแดนได้อย่างไร้ขีดจำกัด ข้อมูลและระบบควบคุมที่มีความสำคัญในระดับสูงได้แก่: - หน้าจอแสดงผลสำหรับผู้ขับขี่พร้อมระบบตรวจจับทิศทางการมอง eye-tracking ชุดแผงหน้าปัทม์แบบวงกลม 3 วงซ้อนกัน รับหน้าที่ในการสื่อสารกับผู้ขับขี่ด้วยข้อมูลที่ได้รับผ่านระบบ Porsche Connect ข้อมูลของสมรรถนะตัวรถ ข้อมูลของระบบขับเคลื่อน พลังงานที่ใช้และชุดแต่งเพิ่มสมรรถนะ Sport Chrono ระบบ eye-tracking system ตรวจจับทิศทางการมองเห็นของผู้ขับขี่ด้วยกล้องที่ติดตั้งภายในกระจกมองหลัง เพื่อรับรู้ถึงแนวสายตา ของผู้ขับขี่ที่จ้องไปยังตำแหน่งต่างๆ หลังจากนั้นหน้าจอที่ผู้ขับขี่ให้ความสนใจจะได้รับการเคลื่อนย้ายมาอยู่ด้านหน้า ในส่วนของหน้าจออื่นจะถูกลดระดับความสำคัญลงด้วยการย้ายไปอยู่ด้านหลัง นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมหน้าจอ แสดงผลทั้งหมดได้จากสวิทช์ smart-touch controls ซึ่งติดตั้งอยู่บนพวงมาลัย - หน้าจอแสดงผลสำหรับผู้โดยสาร: หน้าจอดังกล่าวจะถูกติดตั้งเยื้องไปทางฝั่งของผู้โดยสาร เปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมทางของคุณสนุกสนานไปกับการเลือกใช้งานแอปพลเคชันที่หลากหลายผ่านระบบ eye-tracking และระบบสัมผัสได้ตามความ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงฟังก์ชันของแหล่งรายการเพื่อความบันเทิง ระบบนำทางผ่านดาวเทียม ระบบปรับอากาศ และการติดต่อสื่อสาร - แผงคอนโซลกลางควบคุมด้วยระบบสัมผัส พร้อมเมนูแสดงข้อมูลการทำงานโดยละเอียด - หน้าจอสัมผัสขนาดเล็ก: หน้าจอดังกล่าวได้รับการติตตั้งไว้บริเวณชุดสวิทช์ควบคุมการทำงานของ window regulator modules (สำหรับการปรับตำแหน่งและฟังก์ชั่นการทำงานของเบาะนั่ง) เช่นเดียวกับ ในบริเวณช่องลมของระบบปรับ อากาศ ทั้งมุมด้านขวาและด้านซ้ายของแผงคอนโซลหน้า สามารถปรับระดับความแรงของลมได้เพียงลากนิ้วมือไปทาง ซ้ายและขวาของหน้าจอ ห้องโดยสารอัจฉริยะหรือ "smart cabin" เต็มเปี่ยมไปด้วยความสะดวกสบายและง่ายดายในการควบคุมฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การปรับตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่ ระบบปรับอากาศและไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารทั้งนี้สามารถเลือกใช้งาน ได้ตามความต้องการทั้งในรูปแบบเฉพาะตัวของผู้ขับขี่หรือตั้งค่าการทำงานแบบอัตโนมัติตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ผู้ขับขี่ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายรวมทั้งปรับแต่งค่าการทำงานต่างๆ แม้ไม่ได้อยู่ภายในตัวรถ:เติมเต็ม ศักยภาพ สูงสุดด้วยการกำหนดฟังก์ชันการทำงานทั้งหมดของระบบปรับอากาศ รวมทั้งระบบนำทางผ่านดาวเทียมล่วงหน้าผ่านอุปกรณ์ แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ หรือนาฬิกา smartwatch "DestinationsApp": ผู้ช่วยส่วนตัวเพื่อความสะดวกทุกจุดหมายปลายทาง ระบบ Porsche Connect พร้อมรองรับบริการด้านเครือข่ายดิจิทัลและแอฟพลิเคชันมากกว่า 20 รายการ สำหรับ มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ (Mission E Cross Turismo) ได้รับการติดตั้ง "DestinationsApp" เพื่อเป็นชุดสาธิตในการแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ จากการใช้งานรถยนต์ร่วมกับฐานข้อมูลดิจิทัล ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้: แอปพลิเคชันดังกล่าวช่วยให้การวางแผนการ เดินทางตลอดระยะเวลาสุดสัปดาห์ของคุณเป็นไปอย่างรวดเร็วและง่ายดายเพียงไม่กี่ขั้นตอนด้วยโทรศัพท์มือถือแอปพลิเคชัน จะช่วยแนะนำสถานที่หรือจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจในระหว่างการเดินทาง จัดการจองที่พักได้อย่างรวดเร็วโดยไร้ข้อจำกัด รวมไปถึงจัดตารางการเดินทางตลอดทริปอย่างละเอียด ทั้งจุดแวะพัก ร้านอาหาร และสถานที่สำหรับกิจกรรมสันทนาการหรือ สนามกีฬา ยิ่งไปกว่านั้นผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับตั้งการทำงานของระบบช่วงล่าง มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ (Mission E Cross Turismo) ให้สอดคล้องกับเส้นทางที่วางแผนใช้ผ่าน "DestinationsApp" เช่นเดียวกับการเลือกสรรเสียงเพลง ระบบปรับอากาศ และระบบไฟแสงสว่างภายในห้องโดยสารที่เหมาะสมที่สุดกับบรรยากาศในระหว่างการท่องเที่ยวเดินทาง ระบบชาร์จพลังงาน: รวดเร็วทันใจและไร้ข้อจำกัด โครงสร้างระบบไฟฟ้าแรงเคลื่อน 800 โวลต์ คือเครื่องรับประกันถึงความมั่นใจว่า แบตเตอรี่ lithium-ion จะได้รับการชาร์จ พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมเดินทางด้วยระยะทางสูงสุดประมาณ 400 กิโลเมตร (ทดสอบตามมาตรฐาน NEDC) ภายในเวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น รถยนต์ต้นแบบคันนี้ สามารถรองรับระบบชาร์จพลังงานที่หลากหลายไม่ว่าจะในระหว่าง การเดินทางหรือการชาร์จภายในที่พักอาศัย รวมทั้งได้รับการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบเครือข่าย fast-charging network ซึ่งกำลังจะเปิดใช้งานทั่วทุกเส้นทางสัญจรในทวีปยุโรปผ่านสัญญาความร่วมมือพัฒนาของบริษัท IONITY เมื่อเข้ารับ บริการในสถานีชาร์จพลังงานที่อยู่ในโครงการ มิชชั่น อี ครอส ทัวริสโม่ (Mission E Cross Turismo) สามารถทำการชาร์จผ่าน เทคโนโลยีเหนี่ยวนำไร้สาย เช่นเดียวกับการชาร์จด้วย charging dock หรือระบบ Porsche home energy storage management system และเลือกติดตั้งระบบ photovoltaic system สำหรับการชาร์จด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม เกี่ยวกับ AAS Auto Service ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่าง เป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรที่ผ่านการ ทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 12 คน ซึ่งถือว่ามี จำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่ ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิคทั้งหมด 12 ประเทศ สะท้อนให้เห็นถึง ความสำคัญ ในเรื่องการให้บริการหลังการขายโดย เอเอเอส ทุ่มงบการอบรม วิศวกร ของเราให้มีคุณภาพสูงสุด ตามนโยบาย หลักของบริษัทที่ว่า "เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ AAS Looking after YOU and your CAR" เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า "AAS The Name you can Trust" ซึ่งพิสูจน์ให้ท่านได้เห็นแล้ว ตลอดระยะเวลา ดำเนินงานมากกว่า 30 ปี ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com      

Person read: 1876

15 March 2018

คลังเสนอครม.พิจารณา 'พรก.เงินดิจิทัล' วันนี้

"กระทรวงการคลัง" เตรียมเสนอร่างพรก.ทรัพย์สินดิจิทัล เข้าการประชุมครม.วันนี้ แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (13มี.ค.) กระทรวงการคลังจะเสนอร่างพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจทรัพย์สินดิจิตอลเข้าสู่การพิจารณา เพื่อกำกับดูแลการประกอบธุรกิจดังกล่าว โดยคำนิยามการประกอบธุรกิจทรัพย์สินดิจิตอลจะแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เงินสกุลดิจิตอลที่เรียกว่า คริปโตเคอร์เรนซี โทเคนดิจิตอล และสินทรัพย์ในรูปหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรจะได้เสนอที่ประชุมอนุมัติร่างแก้ไขประมวลรัษฎากรเพื่อการจัดเก็บภาษีจากเงินปันผลที่เกิดจากการระดมทุนหรือลงทุนในสกุลเงินดิจิตอลหรือคริบโตเคอร์เรนซี ซึ่งการแก้ไขประมวลรัษฎากรเพื่อกรณีดังกล่าวนั้น จะดำเนินการเพื่อให้การเสนอร่างพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจทรัพย์สินดิจิตอลมีความสมบูรณ์ โดยจะครอบคลุมถึงการจัดเก็บภาษีจากการลงทุนด้วย     อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน กรมสรรพากรก็ได้มีการจัดเก็บภาษีเงินปันผลจากการลงทุนดังกล่าวอยู่แล้ว แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า เป็นการจัดเก็บภาษีจากเงินปันผลที่ได้จากการลงทุนเงินสกุลดิจิตอล จึงต้องบัญญัติใหม่ให้ชัดเจน ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีเงินปันผลจากการลงทุนสกุลเงินดิจิตอลได้แล้วหลักหลายล้านบาท สำหรับอัตราการจัดเก็บภาษีเงินปันผลดังกล่าว จะกำหนดอัตราเท่ากับอัตราภาษีเงินปันผลจากการลงทุนในหลักทรัพย์ โดยอยู่ที่ 10% ของเงินปันผล   ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com

Person read: 2303

13 March 2018

ไปรษณีย์ไทย เตรียมรับชำระค่าบริการโดยใช้ QR Code

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) และธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมลงนามในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การเปิดใช้บริการรับชำระเงินด้วยระบบ QR Code เพื่อสร้าง “สังคมไปรษณีย์ไทยยุคใหม่ ไม่ใช้เงินสด” (Thailand Post Cashless Society) มุ่งสู่การเป็นไปรษณีย์ไทย 4.0 ที่ช่วยลดการใช้เงินสดอย่างแท้จริง โดยธนาคารกสิกรไทยจะได้ดำเนินการติดตั้ง เครื่อง EDC ที่สามารถสร้าง Dynamic QR Code ซึ่งเป็น QR Code ที่ถูกสร้างตามมูลค่าเงินที่ต้องชำระจริง เพื่อให้ผู้ใช้บริการที่มีแอพพลิเคชั่นโมบาย แบงกิ้งทุกธนาคาร สามารถสแกนเพื่อชำระเงินได้ง่ายขึ้น ซึ่งสำหรับค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ใช้บริการที่ไม่ได้ใช้บัญชีธนาคารกสิกรไทย จะมีอัตราค่าธรรมเนียมที่เป็นไปตามหลักการธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด สำหรับในระยะแรกเริ่ม ไปรษณีย์ไทย จะเปิดช่องทางการรับชำระเงินผ่านระบบ QR Code นี้เฉพาะสำหรับบุคลากรภายใน และคู่ค้าประจำของไปรษณีย์ไทยที่ทำธุรกรรมทางการเงินกับฝ่ายการเงินของไปรษณีย์ไทยก่อนเป็นกลุ่มแรก ทั้งนี้หลังจากทดลองให้บริการที่สาขาแจ้งวัฒนะแล้ว จะขยายการติดตั้งเครื่อง EDC ที่สามารถสร้าง Dynamic QR Code ที่เคาน์เตอร์รับฝาก ณ ที่ทำการไปรษณีย์ จำนวน 1,427 สาขาทั่วประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการไปรษณีย์ต่อไป   ที่มาข่าว : blognone.com

Person read: 1917

10 March 2018

'ขสมก.' ยกเลิกสัญญาเครื่องหยอดเหรียญบนรถเมล์ หลังพบปัญหาใช้การไม่ได้

ประธานบอร์ด ขสมก. สั่งการให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบการยกเลิกสัญญาเครื่องเก็บค่าโดยสาร หรือ Cash Box ที่ทำกับ บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หลังพบว่าใช้การไม่ได้ ส่วนระบบเครื่องอ่านบัตร หรือ E-Ticket อยู่ระหว่างการเร่งติดตั้งและทดสอบ การติดตั้งเครื่องเก็บค่าโดยสารบนรถ หรือ Cash Box ที่ ขสมก. ทำไว้กับ บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,600 คัน สัญญา 5 ปี วงเงิน 1,665 ล้านบาท ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากเครื่องดังกล่าวไม่สามารถใช้การได้ นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ บอร์ด ขสมก. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ ขสมก.ดำเนินการยกเลิกสัญญาการติดตั้งแล้ว โดยขณะนี้ฝ่ายกฎหมายกำลังตรวจสอบรายละเอียดของสัญญา เนื่องจากเป็นสัญญารวมงานติดตั้งเครื่องอ่านบัตร หรือ E-Ticket และ Cash Box โดยเบื้องต้นพบว่า TOR มีการแยกค่าเช่าของแต่ละส่วนไว้ นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ บอร์ด ขสมก. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ ขสมก.ดำเนินการยกเลิกสัญญาการติดตั้งแล้ว โดยขณะนี้ฝ่ายกฎหมายกำลังตรวจสอบรายละเอียดของสัญญา เนื่องจากเป็นสัญญารวมงานติดตั้งเครื่องอ่านบัตร หรือ E-Ticket และ Cash Box โดยเบื้องต้นพบว่า TOR มีการแยกค่าเช่าของแต่ละส่วนไว้   ส่วนการติดตั้ง E-Ticket ยังคงให้เดินหน้าติดตั้งและทดสอบต่อไป โดยขณะนี้มีความล่าช้า จะต้องปรับเอกชนตามสัญญา ยอมรับว่าหลายเรื่องไม่มีการเขียนไว้ใน TOR ทำให้เมื่อใช้งานจริงอาจเกิดปัญหา เช่น กรณีรถเสียกลางทางมีการส่งต่อผู้โดยสารไปรถอีกคัน จะมีการส่งต่อข้อมูล หรือจะต้องแตะบัตรใหม่อย่างไร ขอบคุณที่มาข่าว : money.sanook.com         ส่วนการติดตั้ง E-Ticket ยังคงให้เดินหน้าติดตั้งและทดสอบต่อไป โดยขณะนี้มีความล่าช้า จะต้องปรับเอกชนตามสัญญา ยอมรับว่าหลายเรื่องไม่มีการเขียนไว้ใน TOR ทำให้เมื่อใช้งานจริงอาจเกิดปัญหา เช่น กรณีรถเสียกลางทางมีการส่งต่อผู้โดยสารไปรถอีกคัน จะมีการส่งต่อข้อมูล หรือจะต้องแตะบัตรใหม่อย่างไร

Person read: 2401

08 March 2018

เตือนพายุฤดูร้อนฉบับที่5 กทม.ฝนฟ้าคะนอง กระทบ38จังหวัดช่วง6-7มี.ค.นี้

อุตุฯเตือนพายุฤดูร้อนฉบับที่5 กทม.ฝนฟ้าคะนอง ลูกเห็บตกบางพื้นกระทบ38จังหวัดช่วง6-7มี.ค.นี้ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 6-9 มีนาคม 2561)" ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 06 มีนาคม 2561     ในช่วงวันที่ 6-9 มีนาคม 2561 ประเทศไทยจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง        กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง ในขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในช่วงวันและเวลาดังกล่าว สำหรับเกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย โดยจะมีผลกระทบดังนี้         ในช่วงวันที่ 6-7 มีนาคม 2561          ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู หนองคาย อุดรธานี บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาญเจริญ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี         ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด         ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา         รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล         ในช่วงวันที่ 8-9 มีนาคม 2561          ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี         ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์         ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล         ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด         ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี         ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศเวียดนามตอนบนแล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ในวันนี้ (6 มี.ค. 61) ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อน ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดพายุฤดูร้อนขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงกับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่         จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด          ประกาศ ณ วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 05.00 น.         กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปใน วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 11.00 น.                 (ลงชื่อ) วันชัย ศักดิ์อุดมไชย         (นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย)          อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา   ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com      

Person read: 1855

06 March 2018

นิสสัน เผยโฉม เทอร์รา เอสยูวี พื้นฐาน ปิกอัพ

สานแผนระยะกลางยอดขาย 1 ใน 6 เป็นรถสร้างบนแชสซีส์        นิสสัน เผยโฉม “นิสสัน เทอร์รา” (Nissan Terra) ใหม่ เอสยูวีแบบตัวถังบนแชสซีส์รุ่นแรกที่พัฒนาโดยฝ่ายโครงสร้างรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก (LCV) ของนิสสัน ภายใต้แผนดำเนินงานระยะกลางของบริษัท หรือ “Nissan M.O.V.E to 2022” โดยเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศจีน ช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้  กลุ่มธุรกิจโครงสร้างรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ซึ่งประกอบด้วยรถเอนกประสงค์แบบตัวถังบนแชสซีส์ รถกระบะ รถตู้แบบต่างๆ และรถบรรทุกขนาดเล็ก เป็นกำลังสำคัญในการมุ่งสู่เป้าหมายแผนงานระยะกลางของบริษัทฯ โดยในการขายรถยนต์นิสสันทุกๆ 6 คันทั่วโลก จะมี 1 ใน  คันเป็นรถยนต์แบบตัวถังบนแชสซีส์ ดังนั้นบริษัทจึงผลักดันให้หน่วยงานนี้เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างความสำคัญ สู่ความสำเร็จ มีเป้าหมาย ภายใต้แผนงานระยะกลาง โดยการเพิ่มยอดขายให้ได้มากกว่า 40% ภายในปี 2565 พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในตลาดรถกระบะและรถเอนกประสงค์แบบตัวถังบนแชสซีส์        ทั้งนี้คาดการณ์กันว่า เทอร์รา จะทำตลาดในไทยต่อไป โดยเป็นรถที่สร้างมาจากมาจากพื้นฐานของปิกอัพ นาวารา เพื่อแข่งขันในตลาดพีพีวี ที่ปัจจุบันมีโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เป็นผู้นำ และมีคู่แข่งสำคัญอย่างอีซูซุ มิว-เอ็กซ์ มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ฟอร์ด เอเวอเรสต์ และ เชฟโรเลต เทรล เบลเซอร์   ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com          

Person read: 1847

27 February 2018

พีที เปิดคลังน้ำมันแห่งใหม่ รองรับการขยายตัวอีสานใต้

ภาพบรรยากาศงานพิธีเปิดคลังน้ำมันพีทีแห่งใหม่ ในจังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 18 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นคลังน้ำมันแห่งที่ 11 เพื่อรองรับการขยายตัวไปยังแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างหรือ "อีสานใต้" โดยจะช่วยเพิ่มการบริการที่ครอบคลุมพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมากยิ่งขึ้น   ที่มาข่าว : ptgenergy.co.th            

Person read: 3109

26 February 2018

ทสภ.แจ้งปรับพื้นที่ใหม่สนามบินสุวรรณภูมิ เพิ่มความสะดวกผู้โดยสาร

ทสภ.แจ้งปรับพื้นที่เขตการให้บริการผู้โดยสารขาเข้าใหม่ สนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างประตู 6-9 บริเวณชั้น 2 เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ใช้บริการมากขึ้น เมื่อวันที่ 23 ก.พ.61 ฝ่ายกิจการพิเศษและมวลชนสัมพันธ์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) แจ้งว่า ทสภ. ได้ปรับเปลี่ยนและจัดพื้นที่เขตควบคุมการให้บริการสำหรับผู้โดยสารขาเข้า (Buffer Zone) บริเวณชั้น 2 ฝั่งทิศตะวันตก ระหว่างประตู 6 ถึงประตู 9 ภายในอาคารผู้โดยสาร ซึ่งได้ดำเนินการติดตั้งราวแสตนเลส สำหรับกั้นขอบเขตพื้นที่สิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่ในพื้นที่ Buffer Zone มาอยู่ในพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการสามารถใช้บริการ ลิฟท์ ทางเลื่อน และบันไดเลื่อน ขึ้น - ลง ระหว่างชั้น 2 - 3 ได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ใช้บริการท่าอากาศยาน   ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com

Person read: 2056

26 February 2018

'สมชัย' ชี้เอไอเอสลงทุนปีนี้3.8หมื่นล้าน รุกขึ้นผู้นำดิจิทัลแพลตฟอร์ม

ซีอีโอ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ชี้ "เอไอเอส" ลงทุนปีนี้ 3.8 หมื่นล้าน รุกขึ้นผู้นำดิจิทัลแพลตฟอร์ม คาดว่าประเทศจะเกิดการใช้เทคโนโลยี 5G อย่างเป็นรูปธรรมปี 2563   นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เปิดเผยถึง AIS Vision 2018 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าเป็นผู้นำ Digital Platform for Thais โดยจะมุ่งเน้นการดำเนินงานใน 3 ด้าน คือ Mobile Infrastructure ,Fix Brodband และ application and Content Platform โดยวางงบลงทุนรวมปีนี้ไว้ราว 35,000-38,000 ล้านบาท ทั้งนี้ จากการดำเนินงานใน 3 ด้านดังกล่าว จะนำไปสู่ 3 แพลตฟอร์มที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ โดยบริษัทจะทำเรื่องของ Local Content หรือเรียว่า The Play 365 : Local VDO Platform ที่เปิดโอกาสให้ศิลปิน สื่อมวลชน นักสร้างสรรค์ Content ทุกวงการสามารถนำเสนอผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้น สร้างโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยทุกคน พร้อมโครงสร้างรายได้และโมเดลที่เหมาะสม สอดคล้องกับตัวเลขผู้ชมที่แท้จริง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายใน 2 เดือนจากนี้ "เราคงไม่คิดแข่งกับ Youtube แต่เราอยากสร้าง local content มาเพื่อจะช่วย Support ลูกค้า เพื่อให้คนสร้าง content มีรายได้ โดยเราจะแบ่งรายได้ให้กับคนสร้าง content นั้นๆ แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องคุมคอนเทนท์ให้มีความเหมาะสมด้วย"นายสมชัย กล่าว นอกจากนี้ ADVANC จะทำในเรื่องของ Virtual Reality Platform หรือเรียกว่า AIS IMAX VR : VR Content Platform ที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนา VR Content สามารถเรียนรู้จากผู้ผลิต VR อันดับหนึ่งของโลกอย่าง IMAX พร้อมโครงการ VR Content Creator Program ที่เอไอเอสได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเวทีของการสร้าง Content VR ให้กับอุตสาหกรรม และสร้าง AIS IoT Alliance Program – AIAP : โครงการความร่วมมือของสมาชิก 70 รายจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี IoT ไม่ว่าจะเป็นองค์กรหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ มหาวิทยาลัย ผู้ผลิตเทคโนโลยี นักพัฒนาอุปกรณ์และซอฟท์แวร์ ทั้งในและต่างประเทศ ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถ, Product, Service หรือ Solution เพื่อให้เกิดการพัฒนา IoT Solution/Business Model ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม ขยายประโยชน์สู่ภาคประชาชน เสริมการบริหารจัดการในทุกภาคส่วน รวมถึงขยายเครือข่าย NB-IoT ซึ่งปีนี้จะมีการเพิ่ม eMTC (enhanced Machine-Type Communication) เข้ามา เพื่อรองรับ IoT และเอไอเอส ไฟเบอร์ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ หรือในปี 63 คาดว่าประเทศจะเกิดการใช้เทคโนโลยี 5G อย่างเป็นรูปธรรม   ที่มาข่าว : bangkokbiznews.com

Person read: 2014

23 February 2018

บีทีเอสตั้งเป้าจำนวนผู้โดยสารของรถไฟฟ้า เพิ่มเป็น1.5ล้านเที่ยว/วัน

ตั้งเป้าในอีก 5 ปีข้างหน้า จำนวนผู้โดยสารของรถไฟฟ้า "บีทีเอส" เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านเที่ยว/วัน จากปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสาร 8 แสนเที่ยว/วัน นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการอำนวยใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าในอีก 5 ปีข้างหน้าจำนวนผู้โดยสารของรถไฟฟ้า BTS เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านเที่ยว/วัน จากปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสาร 8 แสนเที่ยว/วัน จากการเดินรถเพิ่มกว่า 3 เท่าเป็น 132 กม.จากปัจจุบันเดินรถระยะทาง 36 กม. โดยในสิ้นปีนี้ บริษัทจะเดินรถเพิ่มอีกในส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 12 กม. ส่วนปี 62 ในช่วงกลางปีจะเดินรถส่วนต่อขยายสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-คูคต ระยะทาง 18 กม.โดยจะเดินรถ 1 สถานีที่เซ็นทรัลลาดพร้าว และในปี 63 จะเดินรถทั้งสาย นอกจากนี้เป็นรถไฟสาย LRT ช่วงบางนา-สุวรรณภูมิ ระยะทาง 15 กม.ซึ่งกรุงเทพมหานครเป็นผู้ลงทุน และจะว่าจ้าง BTSC เดินรถ โดยคาดเริ่มประมูลงานโยธา ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี สำหรับรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34 กม. และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30 กม.ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภค คาดว่าใช้เวลาอีกไม่เกิน 5 ปี ที่มาข่าว : bangkokbiznews.com

Person read: 1788

23 February 2018

“ยาโยอิ”ดึง 16สาว BNK48 พรีเซนเตอร์ครบเซต

“ยาโยอิ” ครบรอบ 12 ปี ดึง 16 สาว BNK48 ร่วมเป็นพรีเซนเตอร์แบบครบเซตแบรนด์แรกในไทย เปิดตัว 5 มี.ค.นี้ ยาโยอิ ฉลองครบรอบ 12 ปีในไทย ด้วยการประกาศเปิดตัวพรีเซนเตอร์ BNK48 เซมบัตสึใหม่ล่าสุดครบเซต 16 คนเป็นแบรนด์แรกในไทย สำหรับแคมเปญใหญ่ที่สุดในรอบปี โดยจะมีงานแถลงข่าวพร้อมมินิคอนเสิร์ตจาก BNK48 ในวันที 5 มี.ค. นี้ ตั้งแต่ 16.00 น. เป็นต้นไป ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์พร้อมกิจกรรมตลอดวัน สำหรับเหล่าโอตะ ยาโยอิ จัดกิจกรรม Fan Zone สำหรับ 300 ท่าน เมื่อนำใบเสร็จยาโยอิ มูลค่าตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป (มูลค่าหลังหักส่วนลด) ใบเสร็จไม่เกิน 2 ใบ ที่ใช้ระหว่าง 25 ก.พ.-5 มี.ค. นี้ 1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์ ทั้งการรับประทานอาหารที่ร้าน, ซื้อกลับบ้าน และบริการจัดส่งเดลิเวอรี่ มาลงทะเบียนที่หน้างาน ตั้งแต่ 10.00-12.00 น. โดย 100 ท่านแรก จะได้รับสิทธิร่วมงานแบบติดขอบเวทีแยกชายหญิง พร้อมรับของที่ระลึกจากยาโยอิ และลุ้นรับรางวัลจาก BNK48 Shop ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com

Person read: 1870

23 February 2018

เชียงใหม่ ศูนย์กลางการลำเลียงผู้ป่วยวิกฤตทางอากาศยาน

จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์กลางการลำเลียงผู้ป่วยวิกฤตทางอากาศยานของเขตบริการสุขภาพที่ 1 กระทรวงสาธารณสุข ให้จังหวัดเชียงใหม่พัฒนางานบริการการแพทย์ฉุกเฉินครอบคลุมกว่าร้อยละ 80 ของพื้นที่ ด้วยความร่วมมือขององค์กรปกครองท้องถิ่น  ช่วยผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินเฉลี่ย 3,500 รายต่อเดือน และเป็นศูนย์บริการลำเลียงผู้ป่วยวิกฤตทางอากาศยานเขตบริการสุขภาพที่ 1 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับการพัฒนางานบริการการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อดูแลประชาชนทั้งในเขตเมืองและพื้นที่ชนบทห่างไกล   จาการตรวจเยี่ยมติดตามงานตามนโยบายของเขตสุขภาพที่ 1 พบว่า งานบริการการแพทย์ฉุกเฉินมีความก้าวหน้ามาก เช่น ที่จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยความร่วมมือขององค์กรปกครองท้องถิ่น  สามารถเพิ่มความครอบคลุมการดำเนินงานได้มากถึงร้อยละ 82 ของพื้นที่  มีหน่วยปฏิบัติการกู้ชีพทุกระดับ 215 หน่วย  ดูแลประชาชนใน 25 อำเภอ 211 ตำบล  โดยในปี 2560 ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินเกือบ 40,000 ราย  และได้รับการช่วยเหลือภายใน 8 นาที ถึงร้อยละ 75     ทั้งนี้ เนื่องจากในหลายพื้นที่ของเขตสุขภาพที่ 1 เป็นพื้นที่ภูเขา การเดินทางยากลำบากใช้เวลาเดินทางนาน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนบางพื้นที่ไม่สามารถเข้าถึงได้  จึงได้พัฒนาระบบลำเลียงผู้ป่วยวิกฤตทางอากาศยาน  ซึ่งโรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนในพื้นที่   ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์บริการลำเลียงผู้ป่วยวิกฤตทางอากาศยานเขตบริการสุขภาพที่ 1 (Northern Sky Doctor) ดูแลประชาชน ใน 8 จังหวัดภาคเหนือได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน ตั้งแต่ปี 2553-2560 ช่วยผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินจำนวน 268 ราย  โดยเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากที่สุด 52 ราย รองลงมาผู้บาดเจ็บทางสมอง 32 ราย และโรคหลอดเลือดสมอง 20 ราย   เป็นความร่วมมือของหน่วยงานในพื้นที่ที่ช่วยกันพัฒนางานช่วยเหลือผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินให้รอดชีวิตและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น    ขอบคุณข้อมูลจาก : bangkokbiznews.com          

Person read: 1885

20 February 2018

อาลีบาบา กรุ๊ป บันหม่า และเชลล์ เปิดบริการเติมน้ำมันผ่านทัชสกรีนของรถยนต์

ข่าวต่างประเทศ - บันหม่าประกาศเปิดตัว “ปั๊มน้ำมันอัจฉริยะ” ในปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน ภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ พร้อมแผนขยายโมเดลนี้ต่อไปยังเมืองอื่นๆ ในประเทศจีนต่อไปในอนาคต ปั๊มน้ำมันเชลล์ ภายใต้การร่วมมือระหว่างอาลีบาบา กรุ๊ป และ เอสเอไอซี มอเตอร์ คอร์ป (SAIC Motor Corp) หรือที่รู้จักกันในนาม บันหม่า เน็ตเวิร์ก เทคโนโลยี (Banma Network Technology) นำเทคโนโลยีล้ำยุคมาอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกประเภทน้ำมันไปจนถึงการชำระค่าบริการ ด้วยการสั่งการอย่างสะดวกสบายผ่านหน้าจอทัชสกรีนของรถยนต์ เพื่อยกระดับเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งของอาลีบาบา AliOS (ข้อมูลเพิ่มเติม: http://bit.ly/2EoY7JE) ระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์อินเตอร์เนตออฟธิงส์ (IoT) ของอาลีบาบา ได้นำอัลกอริทึม (algorithm) ที่กำหนดขอบเขตพื้นที่สำหรับรถยนต์ มาใช้ในการสั่งการให้ระบบทำงานอัติโนมัติ เมื่อรถยนต์เคลื่อนสู่จุดเติมน้ำมันที่กำหนดไว้ จากนั้น ระบบเฝ้าสังเกตจะนำผู้ใช้บริการเข้าสู่ขั้นตอนการเลือกประเภทและปริมาณน้ำมันที่ต้องการเติม รวมถึงวิธีการชำระค่าบริการผ่านอาลีเพย์ (Alipay) หรือผ่านบัญชีสมาชิกเชลล์ นอกจากนี้ยังสามารถสั่งซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อ โดยพนักงานจะนำมาส่งให้ถึงรถยนต์ โมเดลใหม่นี้สามารถลดเวลาที่ผู้บริโภคใช้ที่ปั๊มน้ำมันเฉลี่ย 10-15 นาที ถึง 50% จากรายงานของเชลล์ อเล็กซ์ ซือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบันหม่า กล่าวว่า ความร่วมมือนี้กำลังสรรหาโมเดลธุรกิจสำหรับปั๊มน้ำมันที่ขับเคลื่อนด้วยค้าปลีกยุคใหม่ (New Retail) ที่จัดสรรเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต รีเบคกา เฉิน รองประธานกรรมการของเชลล์ ประเทศจีน กล่าวว่า ความร่วมมือนี้เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของเชลล์ในด้าน “นวัตกรรมประสบการณ์ดิจิทัลล้ำยุค” นอกจากนี้ เชลล์ยังกำลังการดำเนินการเพิ่มบริการเฉพาะบุคคล และเร็วๆ นี้ สมาชิกลอยัลตี้โปรแกรมของเชลล์ที่มีรถยนต์อัจฉริยะระบบ AliOS จะสามารถสั่งการทุกอย่างได้ด้วยคลิกเดียวอีกด้วย เมื่อปี 2559 อาลีบาบาเผยรถยนต์อัจฉริยะรุ่นแรก (ข้อมูลเพิ่มเติม: http://bit.ly/29qEEYR) โดยมุ่งต่อยอดอินเตอร์เนตออฟธิงส์ไปยังภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ปัจจุบัน ประเทศจีนมีรถยนต์อัจฉริยะระบบ AliOS ที่ถูกใช้งานกว่า 400,000 คัน ในขณะที่เชลล์มีปั๊มน้ำมันมากกว่า 43,000 แห่ง ในมากกว่า 80 ประเทศและภูมิภาค โดยภายในประเทศจีนมีจำนวนราว 1,300 แห่ง ถือได้เป็นเครือข่ายปั๊มน้ำมันนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ขอบคุณข่าวจาก : mgronline.com            

Person read: 1754

19 February 2018

เอาแน่! ลุย'ก.ล.ต.'เอาผิดซีอีโอบมจ.อิตาเลียนไทย เพิกถอนITDออกจากตลาดฯ

"ศรีสุวรรณ" เอาแน่! ประกาศบุก "ก.ล.ต." 13 ก.พ. ร้องเอาผิด "เจ้าสัวเปรมชัย" ประธานบมจ.อิตาเลียนไทย จี้พิจารณาเพิกถอนบริษัท ITD ออกจากตลาดหลักทรัพย์ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เผย ตามที่ปรากฏเป็นการทั่วไปว่า นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับหรือไม่ จนทำให้ประชาชนและนักอนุรักษ์ทั่วประเทศวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมถึงการกระทำดังกล่าวเป็นอย่างมากและรุนแรง เนื่องจากนายเปรมชัย เป็นกรรมการและผู้บริหารบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และเป็นบริษัทที่ประมูลรับเหมางานของภาครัฐเป็นจำนวนมากหลากหลายโครงการ พฤติการณ์และการกระทำของนายเปรมชัย จึงส่อขัดต่อหลักธรรมาภิบาล และขัดต่อกฎหมาย ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องกับพรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 หลายมาตรา เช่น มาตรา 85 มาตรา 89/7 มาตรา 89/21 ประกอบ ข้อ 9 (3) (9) ของข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน พ.ศ.2542 ซึ่งบัญญัติไว้ชัดเจนว่า “กรรมการและผู้บริหารของบริษัทมหาชนต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย” ซึ่งเป็นเหตุให้ ก.ล.ต.สามารถเพิกถอนหลักทรัพย์หรือบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะต้องนำความไปร้องเรียนต่อเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามและดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย กับบุคคลที่กระทำความผิดตามกฎหมาย เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เพื่อตรวจสอบและไต่สวนข้อเท็จจริง หากพบความผิดตามกฎหมาย จักได้นำไปสู่การลงโทษนายเปรมชัย ในฐานะประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอาจเข้าข่ายถูกเพิกถอนการจดทะเบียนได้ต่อไป โดยสมาคมฯจะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เลขที่ 333/3 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ในวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 10.30 น.   ที่มาข่าว: bangkokbiznews.com

Person read: 1887

15 February 2018

เป๊ปซี่ทุ่ม300ล้าน เปิดตัวโกลบอลแคมเปญล่าสุด 'ซ่าทุกยุค..ไม่มีเปลี่ยน'

เป๊ปซี่ทุ่มงบการตลาด 300 ล้านบาท เปิดตัวโกลบอลแคมเปญล่าสุด “เป๊ปซี่ ซ่าทุกยุค...ไม่มีเปลี่ยน” (PEPSI GENERATIONS) เพื่อฉลองครบรอบ 120 ปีของการเป็นแบรนด์ร่วมสมัยที่อยู่ในกระแสนิยมของคนทั่วโลกมาทุกยุค เครื่องดื่ม “เป๊ปซี่” โดยบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด บุกหนักรับซัมเมอร์ด้วยการเปิดตัวแคมเปญระดับโลก “เป๊ปซี่ ซ่าทุกยุค...ไม่มีเปลี่ยน” (PEPSI GENERATIONS) เพื่อฉลองครบรอบ120 ปีของการเป็นแบรนด์เครื่องดื่มร่วมสมัยที่ครองใจคนรุ่นใหม่ในทุกเจเนเรชันนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เตรียมทุ่มงบ 300 ล้านบาทอัดกิจกรรมการตลาดเต็มสูบตลอดหน้าร้อน พร้อมชูกลยุทธ์ “4C” รักษาฐาน “แบรนด์เลิฟ” มัดใจวัยซ่า ด้วยแพ็คเกจจิ้งรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น เสื้อผ้าคอลเล็กชั่นพิเศษที่เป๊ปซี่ร่วมมือกับเกรย์ฮาวด์ พร้อมรุกสร้างแบรนด์เอ็กซ์พีเรียนซ์กับผู้บริโภคผ่าน “PEPSI GENERATIONS CLUB” คลับสไตล์เรโทรในรูปแบบป๊อบ-อัพใจกลางเมือง ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำตลาดน้ำดำในบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวดและเป็นแบรนด์ที่มียอดขายเติบโตสูงที่สุดในตลาดในปีที่ผ่านมา  นายสมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “เป๊ปซี่เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ถือเป็นตัวแทนพลังแห่งความสดชื่นและเป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่ที่ครองใจคนทั่วโลกมานานกว่าศตวรรษ สำหรับในประเทศไทยเครื่องดื่มเป๊ปซี่อยู่เคียงข้างคนไทยมากว่า 65 ปีและได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งสะท้อนผ่านผลการสำรวจล่าสุดในด้านแบรนด์ที่ระบุว่า เป๊ปซี่ คือ เครื่องดื่มน้ำอัดลมแบรนด์แรกที่คนไทยนึกถึง1 (Top-of-Mind Brand) และยังเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในฐานะ ‘แบรนด์เลิฟ’ (Brand Love) หรือแบรนด์ที่ผู้บริโภครักและชื่นชอบมากที่สุดด้วยคะแนนถึงร้อยละ 622” “สำหรับในปี 2561 นี้ เป๊ปซี่ เตรียมสร้างประสบการณ์ความยิ่งใหญ่ทั่วโลกอีกครั้งด้วยการเปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด PEPSI GENERATIONS หรือ ‘เป๊ปซี่ ซ่าทุกยุค...ไม่มีเปลี่ยน’ ที่จะพาทุกคนย้อนวันวานไปสัมผัสกับกลิ่นอายความทรงจำสุดเร้าใจในสไตล์เป๊ปซี่ที่สามารถครองความนิยมของคนรุ่นใหม่และกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยของคนในทุกเจเนเรชัน โดยแคมเปญนี้จะเปิดตัวใน 55 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะโฟกัสไปที่ 4 กลยุทธ์หลักหรือ 4C นั่นคือ การสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร (Comprehensive Communication) การนำเสนอแพ็คเกจจิ้งรุ่นพิเศษ (Commemorative Packaging) การร่วมมือกับแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำในประเทศ (Collaboration with Local Brand) และการสร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้บริโภค (Connected Consumer Experience)” นายสมชัย กล่าวเสริม การสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร: ภายใต้แคมเปญนี้ เป๊ปซี่ พร้อมรบด้วยกิจกรรมสื่อสารการตลาดแบบจัดเต็มภายใต้งบประมาณถึง 300 ล้านบาท นำโดยภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ล่าสุดที่ชื่อ “This is the Pepsi” ซึ่งจะมีศิลปินแถวหน้าของโลกที่เคยร่วมงานกับเป๊ปซี่มาร่วมปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นไมเคิล แจ็คสัน เจ้าของฉายา “ราชาเพลงป๊อป” นักร้องเพลงป๊อปชื่อดังอย่าง บริตนีย์ สเปียร์ส รวมทั้ง เจฟ กอร์ดอน อดีตนักแข่งรถระดับโลก นอกจากนี้ ยังมีสื่อสนับสนุนอื่นๆ เพื่อสร้างสีสันและตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของแคมเปญ อาทิ สื่อโฆษณากลางแจ้ง สื่อโฆษณาเคลื่อนที่ สื่อในโรงภาพยนตร์ สื่อออนไลน์และสื่อดิจิทัล รวมไปถึงสื่อ ณ จุดขายและในร้านค้า การนำเสนอแพ็คเกจจิ้งดีไซน์ย้อนยุค: เป๊ปซี่ เตรียมส่งแพ็คเกจจิ้งรุ่น “ลิมิเต็ด เอดิชั่น” ที่มาพร้อมดีไซน์เรโทรเพื่อพาผู้บริโภคหวนย้อนวันวานสุดซ่าของเครื่องดื่มเป๊ปซี่ในยุคต่างๆ โดยในประเทศไทยมี 4 ลวดลายที่มาจาก 4 ยุค นั่นคือ ยุค 1940 ยุค 1950 ยุค 1980 และ ยุค 2000 ที่จะมาอวดโฉมทั้งในรูปแบบของขวดพีอีทีและกระป๋อง โดยจะวางจำหน่ายทั้งในช่องทางเทรดดิชันนอลเทรดและโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศในระยะเวลาจำกัด นอกจากนี้ เป๊ปซี่ ยังจับมือกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) นำเสนออีกหนึ่งลวดลายที่มาจากยุค 1990 ซึ่งเตรียมจะวางจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน 7-Eleven เท่านั้น การร่วมมือกับแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำในประเทศต่างๆ : สำหรับในประเทศไทยนั้น เป๊ปซี่ ได้จับมือกับ “เกรย์ฮาวด์” แบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำของไทยในการนำเสนอคอลเล็กชั่นพิเศษ “PEPSI X GREYHOUND” ซึ่งประกอบด้วยแฟชั่นไอเท็มสุดคูลที่ผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นและเป็นตำนานของแบรนด์เป๊ปซี่เข้ากับสไตล์สตรีทแฟชั่นของเกรย์ฮาวด์ที่มีความร่วมสมัย โดยคอลเล็กชั่นนี้ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์หลากรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อยืดลายวินเทจ เสื้อคลุมแบบมีฮู้ด เสื้อแจ็กเก็ตสไตล์สปอร์ต กระเป๋าใส่อุปกรณ์ออกกำลังกาย และหมวกทรงบักเก็ต ซึ่งจะวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไปใน 4 แฟลคชิพสโตร์ของเกรย์ฮาวด์ อันได้แก่ สาขาสยามเซ็นเตอร์ สาขาพารากอน สาขาเอ็มควอเทียร์ และสาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว การสร้างประสบการณ์พิเศษเพื่อผู้บริโภค: เพื่อสร้างการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค เป๊ปซี่ เตรียมเนรมิต “PEPSI GENERATIONS CLUB” คลับสไตล์เรโทรในรูปแบบป๊อบ-อัพที่จะพาทุกคนไปสัมผัสกับวัฒนธรรมป๊อปในยุคต่างๆ พร้อมผสานเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์เป๊ปซี่ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัย โดยภายในงานจะมีการเปิดตัวคอลเล็กชั่น PEPSI X GREYHOUND อย่างเป็นทางการ พร้อมให้ผู้เข้าชมงานสามารถออกแบบเสื้อยืดที่ระลึกในสไตล์ของตัวเองได้ด้วย ซึ่งจะจัดขึ้น ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในระหว่างวันที่ 23 – 25 กุมภาพันธ์นี้ “ในปี 2560 ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในประเทศไทยมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 54,900 ล้านบาท3 โดยมีอัตราการเติบโตที่ติดลบถึงร้อยละ 4.74 ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังอ่อนตัว อย่างไรก็ตาม เป๊ปซี่ ถือเป็นเพียงแบรนด์น้ำดำเพียงแบรนด์เดียวที่ยังรักษาอัตราการเติบโตได้เป็นบวกซึ่งสวนทางกับแบรนด์อื่นๆ ในตลาด และยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดในบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวด (Non-Returnable Packaging) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าร้อยละ 455 ไม่เพียงเท่านั้น ในด้านความแข็งแกร่งของแบรนด์6 (Brand Health) เป๊ปซี่ ยังคงครองแชมป์อันดับหนึ่งในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์ที่ผู้บริโภครักและชื่นชอบ (Brand Love) แบรนด์เครื่องดื่มที่เติมเต็มความสดชื่นได้อย่างเต็มที่ (Ultimate Refreshment) และแบรนด์ที่มีความเป็นผู้นำเทรนด์ (Trendsetter) โดยมีคะแนนที่ร้อยละ 62 70 และ 71 ตามลำดับ” “เราเชื่อมั่นว่าแคมเปญ PEPSI GENERATIONS นี้จะสร้างสีสันและส่งมอบความซ่าสดชื่นให้กับแฟนๆ ตลอดหน้าร้อนนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแบรนด์เป๊ปซี่จะอยู่เคียงข้างและครองใจผู้บริโภคชาวไทยในทุกเจเนเรชันในอนาคต” นายสมชัย กล่าวสรุป ที่มาข่าว : bangkokbiznews.com

Person read: 1807

15 February 2018

ฟอร์ด เผยโฉม เรนเจอร์ แรพเตอร์ ครั้งแรกในโลก

เตรียมขายตลาด ไทย เอเชีย แปซิฟิก        ฟอร์ด จัดงานเปิดตัว เรนเจอร์ แร็พเตอร์ อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย แต่ยังไม่เปิดราคาอย่างเป็นทางการ คาดจะประกาศในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ เดือน มี.ค.        ฟอร์ด บอกว่า แรพเตอร์ มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเซ็กเมนต์ตลาดรถกระบะในฐานะรถกระบะสมรรถนะสูงของภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ออกแบบมาเพื่อนักขับขี่แบบออฟโรด   จามัล ฮามีดิ หัวหน้าทีมวิศวกร ฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์  กล่าวว่า แรพเตอร์ เป็นการต่อยอดรถจากฟอร์ด เอฟ-150 แร็พเตอร์ รุ่นต้นแบบ โดยกระจังหน้าได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ฟอร์ด เอฟ-150 แร็พเตอร์        ตัวถังดูใหญ่ขึ้นในทุกมิติ ความสูง 1,873 มิลลิเมตร ความกว้าง 2,180 มิลลิเมตร และความยาว 5,398 มิลลิเมตร ระยะช่วงล้อหน้าและหลังกว้างขึ้นเป็น 1,710 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นเป็น 283มิลลิเมตร มุมไต่ 32.5องศา มุมคร่อม 24 องศา และมุมจาก 24 องศา        บันไดข้างออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เศษหินกระแทกกับตัวถังรถด้านหลัง เจาะรูเพื่อให้ระบายทราย โคลน และหิมะ ผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอยเพื่อเพิ่มความคงทน ผ่านการทดสอบด้วยการกดน้ำหนัก 100 กิโลกรัม 84,000 ครั้ง เพื่อจำลองการใช้งานในสนามทดสอบจริงกว่า 10 ปี กันชนท้ายเพิ่มชุดตะขอเกี่ยว 2 ชุด รองรับการลากจูงได้ 3.8 ตัน ตัวเชื่อมขอลากที่ได้รับการติดตั้งและออกแบบพิเศษ กระบะมีขนาด 1,560 x 1,743 มิลลิเมตร แชสซีส์ ออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูงและทนต่อแรงกระแทกที่อาจเกิดจากการขับขี่โดยเฉพาะ        ระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อค แชสซีส์ออกแบบมาใหม่เพื่อรองรับระบบช่วงล่างที่ใหญ่ขึ้น ทำให้เรนเจอร์ แร็พเตอร์ สามารถเพิ่มระยะช่วงล้อคู่หน้าและหลัง และยังเพิ่มระยะการให้ตัวของล้อได้มากขึ้น        ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบคอยล์โอเวอร์ช็อคซึ่งทำขึ้นมาพิเศษให้เฉพาะเรนเจอร์ แร็พเตอร์ เท่านั้น รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์ ช่วยให้เพลาเคลื่อนที่ขึ้น-ลงได้อย่างอิสระ ยาง All-terrain BF Goodrich 285/70 R17      แรพเตอร์มีโหมดขับขี่ให้เลือก คือ          โหมดปกติ – เน้นความสบาย นุ่มนวล และประหยัดน้ำมัน        โหมดสปอร์ต – ตอบโจทย์ผู้ที่มีใจรักการขับขี่ทางเรียบ        โหมดหญ้า/กรวดหิน/หิมะ –ออกแบบมาให้ขับขี่บนทางออฟโรดที่มีพื้นผิวลื่นและเป็นหลุมบ่อ        โหมดโคลน/ทราย – ระบบจะปรับการตอบสนองของระบบควบคุมการลื่นไถลให้เหมาะสมกับพื้นผิวที่มีความลึกและสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างพื้นทรายและโคลน ด้วยการใช้เกียร์ต่ำที่มีแรงบิดสูง        โหมดหิน – ใช้เมื่อขับขี่บนพื้นผิวในเขตภูเขาที่ลาดชัน ต้องใช้ความเร็วต่ำ และเน้นการควบคุมรถให้ขับเคลื่อนอย่างช้าๆ        โหมดบาฮา – ระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูงเสมือนนักแข่งแรลลี่กลางทะเลทรายบาฮาอันเลื่องชื่อ        แรพเตอร์ ใช้เครื่องยนต์ ดีเซลใหม่แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับเกียร์เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด     ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com      

Person read: 2297

12 February 2018

"วอลโว่" เติมอารมณ์สปอร์ต - เสริมเครื่องยนต์ใหม่

เปิดตัว วี 40 วี 60 ไดนามิค อีดิชั่น พร้อมวางเครื่องใหม่ ไดรฟ์-อี ดี 3 ใน วี 60 ดี 3 และเอส 60 ดี 3        วอลโว่ เป็นอีกค่ายที่จัดอยู่ในกลุ่มยักษ์เล็กของตลาดพรีเมียม แต่ก็มีทิศทางที่ดีในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงปีล่าสุดที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 34% แม่ในด้านของจำนวนยังห่างจาก 2 ยักษ์ใหญ่ อย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือ บีเอ็มดับเบิลยูก็ตาม          การพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่ๆ ของวอลโว่ รวมถึงการเติมเต็มเทคโนโลยีที่มากกว่าคู่แข่งในตลาดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดขยายตัว ไม่ว่าจะเป็น เอ็กซ์ซี 90, เอ็กซ์ซี 60, เอส 90 หรือ วี 90 เป็นต้น        ต้นปีนี้ วอลโว่ ยังไม่มีรถใหม่ทำตลาด แต่ก็เริ่มขยับตัวกับการปรับเปลี่ยนรถให้ม่ีความเคลื่อนไหวมากขึ้น โดยแนะนำ วี 40 และ วี 60 ไดนามิค อีดิชัน ซึ่งเป็นการเติมอารมณ์สปอร์ตเข้าไปมากขึ้น ประกอบไปด้วย กันชนและแผงกระจังหน้าใหม่ แบบ R-Design ชายล่างกันชนหลังทรงสปอร์ต R-Design ท่อไอเสียคู่ทรงกลม R-Design ล้อล้ออัลลอยขนาด 205/50 R17 สีเทาดำแบบ ไดมอนด์ คัท ติดตั้งระบบจอดรถกึ่งอัตโนมัติ (Park Assist Pilot) ในรุ่น วี60 ดี4 ไดนามิค อีดิชัน         วี 40 ที4 ไดนามิค อีดิชั่น ใช้เครื่องยนต์ ไดรฟ์-อี เบนซินเทอร์โบชาร์จ 2,000 ซี.ซี. ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,700 รอบ/นาที แรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 1,300-4,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม.        วี60 ดี4 ไดนามิค อีดิชัน ใช้เครื่องยนต์ไดรฟ์-อี ดีเซล คอมมอนเรล ทวินเทอร์โบ พร้อมเทคโนโลยีหัวฉีด ไอ-อาร์ต 2,000 ซี.ซี. 190 แรงม้าที่ 4,250 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กม./ชม. เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด        นอกจากนี้ยังเปิดตัวเครื่องยนต์ไดรฟ์-อี ดี 3 ใน วี 60 ดี 3 และเอส 60 ดี 3 โดยใช้เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล 2,000 ซี.ซี. 150 แรงม้าที่ 1,750-3,750 รอบ/นาที แรงบิด 320 นิวตันเมตรที่ 1,750-3,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม.เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด        สำหรับราคาจำหน่ายวี 40 ที4 ไดนามิค อีดิชั่น 1.69 ล้านบาท วี60 ดี4 ไดนามิค อีดิชัน 2.39 ล้านบาท วี60 ดี3 ราคา 2.09 ล้านบาท และ เอส 60 ดี3 อยู่ที่ 1.99 ล้านบาท    ที่มา : bangkokbiznews.com

Person read: 1867

06 February 2018

หุ้นไทยร่วงหนักเฉียด 50 จุด ต่างชาติถอนลงทุน?

STOCK GOSSIP : ร่วมพูดคุยกับคุณ 'กิจพล ไพรไพศาลกิจ' ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน คลุกวงในล้วงลับทุกความเคลื่อนไหวหุ้น กับนักข่าวการเงินตัวจริงเสียงจริง "ณิณา รมย์รัมภา" ทุกวัน จ.-ศ. 13.30-14.00 น. ทาง facebook Live กรุงเทพธุรกิจ   ที่มา : bangkokbiznews.com

Person read: 1851

06 February 2018

คอนโดไดมอนด์เชพ ประกาศตัวเป็นแลนด์มาร์คแห่งพร้อมพงษ์

Marque Sukhumvit ไม่ได้เป็นเพียงคอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่ราคาเฉลี่ย 3 แสนบาทต่อตารางเมตร หรือเพนท์เฮาส์ราคาเริ่มต้น 400 ล้านบาท เแต่ยังถูกออกแบบให้เป็นไอคอนนิคบิลดิ้งในย่านพร้อมพงษ์ด้วยรูปทรงอาคารสูง 222 เมตรที่จำลองมาจากเพชร มาร์ค สุขุมวิท (Marque Sukhumvit) ไม่ได้เป็นเพียงคอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่ราคาเฉลี่ย 3 แสนบาทต่อตารางเมตร หรือห้องเพนท์เฮาส์ราคาเริ่มต้น 200 ล้านบาท เแต่ยังถูกออกแบบให้เป็นสัญลักษณ์ ไอคอนนิคบิลดิ้งหรือแลนด์มาร์กในย่านพร้อมพงษ์หรือสุขุมวิทส่วนกลางด้วยรูปทรงอาคารสูง 222 เมตรที่จำลองมาจากเพชร คอนโดมาร์คฯ 50 ชั้น ประกอบด้วย 147 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 4 ยูนิต แบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ เลกาซี่และเฮอร์ริเทจ ราคาห้องเริ่มต้น 37.5 ล้านบาทและ 200 ล้านบาทสำหรับโซนเพนต์เฮาส์ ซึ่งมีพื้นที่ 279-615 ตารางเมตร “ทำเลที่ตั้งของมาร์คฯ อยู่ในย่านพร้อมพงษ์ซึ่งถือเป็นไพร์มโลเคชั่นดีที่สุดในตอนนี้ ยิ่งนานวันก็จะยิ่งมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ตรงกับคอนเซปต์ของเครื่องประดับเพชรที่มีค่าและมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นที่มาของตัวอาคารที่ไม่สมมาตร มีเหลี่ยมมุมความไม่เท่ากัน หากมองไกลๆ จะเห็นรูปทรงคล้ายเพชร ซึ่งทีมงานตั้งใจให้เป็นแลนด์มาร์กในพื้นที่นี้ด้วย” สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็มเจดี กล่าว มาร์คฯ มีจุดเริ่มเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว เมื่อเมเจอร์ฯ ได้ที่ดินแปลงประมาณ 3 ไร่ย่านพร้อมพงษ์ติดถนนสุขุมวิทซึ่งทำเลดีมากระดับเอบวก อีกทั้งโซนนี้ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดที่เป็นสัญลักษณ์ ทางเมเจอร์ฯ จึงสนใจใช้เป็นไอคอนนิคบิลดิ้งที่มีความแตกต่างจากอาคารทรงขาวๆ สูงๆ ที่เคยมีมา เมเจอร์ฯ ส่งโจทย์ความท้าทายนี้ให้กับบริษัท ปาล์มเมอร์แอนด์เทอร์เนอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาด้านงานออกแบบสถาปัตย์ซึ่งมีผลงานอาคารสูงหลายแห่งและทำงานร่วมกับเมเจอร์ฯ มาตลอด กระทั่งออกมาเป็นสิ่งปลูกสร้างรูปทรงเหลี่ยมเพชรและตกแต่งสไตล์เมโทรโพลิแตน ลักซ์ ซึ่งสะท้อนความทันสมัยของเมือง ไอเดียนี้นอกจากจะปรากฏอยู่ในงานสถาปัตยกรรมแล้ว ยังสะท้อนเข้ามาในส่วนของพื้นที่อินทีเรียดีไซน์และแลนด์สเคปดีไซน์ ที่เน้นความโปร่งโล่ง ด้วยฝ้าเพดานสูง 3-3.4 เมตร พร้อมกำแพงกระจกที่สูงจากพื้นจรดฝ้าเพดาน เมื่อคอนเซปต์ตัวอาคารเป็นไดมอนด์เชพ มีหักมุมเข้าออกตลอด การก่อสร้างจึงต้องอาศัยความรู้และเทคนิคใหม่ อีกทั้งใช้วัสดุก่อสร้างหลักเป็นกระจกรวมเกือบ 3 หมื่นตารางเมตร โดยเลือกใช้กระจกคุณสมบัติพิเศษที่ป้องกันแสงแดดและความร้อนสะสม ทั้งยังป้องกันยูวี เสียงรบกวนและแรงสั่นสะเทือนเข้าภายในตัวอาคารอีกด้วย  “กระจกทุกแผ่นที่ใช้จะผ่านการออกแบบจากสถาปนิก แล้วสั่งผลิตจากโรงงานที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ มีการทดสอบแรงลมโดยส่งโมเดลตัวอาคารพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยรอบ ฝังเซนเซอร์ทุกจุดของโมเดลแล้วนำเข้าอุโมงค์ลมของบริษัท RWDI ที่แคนาดา ซึ่งเป็นอุโมงค์ลมดีที่สุดในโลก เพื่อดูแรงลมที่มาปะทะในองศาต่างๆ จากนั้นนำมาประมวลผล จะได้ค่าแรงลมที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริงและแม่นยำเพื่อความมั่นใจในการออกแบบ” สุริยา กล่าว เมเจอร์ฯ มีโครงการอสังหาฯระดับพรีเมียม รวมกว่า 30 โครงการ หรือเฉลี่ย 3-4 โครงการต่อปี เน้นโลเคชั่นกรุงเทพชั้นใน เช่น เส้นสุขุมวิท ลาดพร้าว เอกมัย พหลโยธิน สำหรับมาร์คสุขุมวิทเป็นโครงการแรกของเมเจอร์ฯ ที่ออกแบบมาจับตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ ซึ่ง สมัยที่เปิดตัวเมื่อปี 2556-2557 มีเพียง 2-3 รายที่เล่นในเซกเมนต์นี้ แต่ปัจจุบันรายใหญ่ให้ความสนใจตลาดกลุ่มวีไอพีมากขึ้น หรือราคา 3 แสนบาทต่อตารางเมตรมีให้เลือกหลายราย “เพราะราคาที่ดินสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทำผลิตภัณฑ์แบบเดิมอาจไม่คุ้มค่าที่ดิน ดังนั้น จึงต้องขายของแพงขึ้นโดยทำโปรดักพรีเมียมมากขึ้น ประกอบกับยังมีความต้องการซื้อในกลุ่มเศรษฐี เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดเงิน จะเห็นว่าผลตอบแทนไม่สูงมาก แต่การลงทุนในคอนโดจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าขายไม่ได้ ปล่อยเช่าไม่ได้ ก็สามารถเข้าอยู่อาศัยเองได้” สุริยา กล่าว และว่า นอกจากนี้ เทรนด์วงการสถาปนิกและนักลงทุนอยากได้สถาปัตย์ที่เป็นไอคอนนิคบิลดิ้ง ซึ่งจะพบมากขึ้นในประเทศไทยเช่นเดียวกับในต่างประเทศ ดังนั้น เทรนด์ต่อไปจะเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ออกแบบซับซ้อนหรือมีรูปทรงแปลกใหม่มากขึ้น เพื่อแสดงถึงความสำเร็จและความสามารถของวงการก่อสร้าง และที่สำคัญคือเพื่อสร้างการจดจำให้กับแบรนด์   ขอบคุณที่มาข่าวจาก : bangkokbiznews.com                  

Person read: 1820

31 January 2018

‘โฮมไพร์ส’สร้าง‘รสนิยม’แต่งบ้านสวย

ตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย มียอดโอนกรรมสิทธิ์ปีละกว่า 1.5-1.7 แสนหน่วย ส่วนตลาดเฟอร์นิเจอร์มีมูลค่ากว่า 8 หมื่นล้านต่อปี ถือเป็นโอกาสเติบโตของธุรกิจตกแต่งบ้าน พรชัย แสนชัยชนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมไพร์ส จำกัด กล่าวว่าจากจุดเริ่มต้นที่สนใจในเทคโนโลยีและการแต่งบ้าน  ทำให้ช่วง 3 ปีก่อนเริ่มศึกษารูปแบบการซื้อขายสินค้าผ่านมาร์เก็ตเพลสต่างๆ รวมทั้งระบบโลจิสติกส์ จากนั้นได้รวมกลุ่มกับเพื่อนที่สนใจด้านเทคโนโลยีและดีไซเนอร์ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม โฮมไพร์ส (Homeprise) รูปแบบ “สตาร์ทอัพ” สร้างโมเดลธุรกิจ"แพลตฟอร์มกลาง" ของวงการตกแต่งบ้านและแหล่งรวมสินค้าเพื่อการแต่งบ้าน ที่ปัจจุบันยังไม่มีแพลตฟอร์มที่เป็นเซอร์วิส “ดีเอ็นเอ”ตกแต่งบ้าน ที่จะช่วยลูกค้าตกแต่งที่อยู่อาศัยมาก่อนในตลาด  ที่ผ่านมาเชื่อว่าพฤติกรรมคนไทย เวลาแต่งบ้าน จะวิ่งไปงานแฟร์ต่างๆ เพื่อเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่เสนอราคาพิเศษมาแต่งบ้าน จากนั้นจะเป็นทฤษฎีตกแต่งบ้านแบบ “มิกซ์แอนด์มั่ว” แบบฉันเป็นฉันเอง เพราะไม่ต้องการจ้างคนออกแบบตกแต่ง ที่เป็นเช่นนั้นอาจจะมาจากปัจจัยเรื่อง “ค่าใช้จ่ายสูง” การทำงานของโฮมไพร์ส จึงวางเป้าหมาย คือ ต้องการให้ทุกคนตกแต่งที่อยู่อาศัยได้ “สวย” ตามความต้องการ ด้วยค่าใช้จ่ายที่สามารถจ่ายได้ โดยไม่มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่แต่งบ้านได้สวย โดยเชื่อว่า โฮมไพร์สสามารถสร้างความรู้ เรื่องการตกแต่งบ้านสวยผ่านแพลตฟอร์มกลาง ที่มีดีไซเนอร์ให้คำปรึกษา มีเฟอร์นิเจอร์หลากหลายให้เลือก การพัฒนาแพลตฟอร์ม เริ่มจากการตั้งคำถามว่า หากทุกคนที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชน วงการตกแต่งบ้านใช้ชั่วโมงการทำงานลดลง ขณะที่ “เวลา” คือ “ต้นทุน” ดังนั้นเมื่อเวลาการทำงานลดลง “เงิน” หรือ “ต้นทุน” ก็จะลดลง เมื่อต้นทุนลดลง ก็จะมีโอกาสได้ “บ้านสวยขึ้น” จากการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทำงาน  หลักการการทำงานของโฮมไพร์ส  มองว่าหากทำให้การตกแต่งบ้านของทุกกลุ่มทำได้ง่าย ด้วยต้นทุนไม่สูง เป็นการสร้าง“รสนิยม” การแต่งบ้านสวย เช่นเดียวกับการตกแต่งบ้านในต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ดูสวยงาม ซึ่งจะเชื่อมโยงไปที่อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ให้เติบโต จากรสนิยมการตกแต่งบ้านในแต่ละกลุ่ม เพราะทุกคน ไม่ได้ต้องการเพียงฟังก์ชันของเฟอร์นิเจอร์ แต่ต้องการ“รสนิยม”ที่ดูดี การเลือกเฟอร์นิเจอร์จากความชอบ เมื่อใช้จึงเป็นฟังก์ชัน เพราะคำว่า “สวย” มากับฟังก์ชัน ที่ “เวิร์ค” และลงตัวแบบที่เรียกว่า “ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์” “เราต้องการสร้างแพลตฟอร์ม ที่ช่วยสร้างรสนิยมตกแต่งบ้านของคนไทย ให้ทุกคนมีบ้านที่สวยในสไตล์ของแต่ละคน  โฮมไพร์ส "ไม่ได้ขายสินค้า แต่เราขายรสนิยมการอยู่อาศัยที่ดีและสวยงาม" หลังจากเปิดแพลตฟอร์มโฮมไพร์ส ผ่านเว็บไซต์ ในปี 2560 มาปีนี้ได้พัฒนาสู่ แอพพลิเคชั่น ทั้ง ไอโอเอส และแอนดรอยด์  ด้วยเทคโนโลยี 3D Interactive ล่าสุด ทั้ง Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) ครั้งแรกของการแต่งบ้านด้วยแอพพลิเคชั่นบนมือถือ  โฮมไพร์ส ถือเป็น “มาร์เก็ตเพลส” ด้านเซอร์วิสที่ผสมผสานงานศิลปะ เพราะไม่ใช่ว่าใครต้องการเข้ามาค้าขายก็ได้  เพราะจะมี gatekeeper ซึ่งเป็นดีไซเนอร์ ทำหน้าที่คัดเลือกสินค้าเข้าสู่แพลตฟอร์ม โดยผู้ที่ต้องการแต่งบ้านหรือคอนโด สามารถใช้แพลตฟอร์ม ช่วยให้การแต่งบ้านง่ายและสวยขึ้น ด้วยงบประมาณที่ควบคุมได้จริง  โดยสามารถปรึกษาหรือว่าจ้างดีไซเนอร์ที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิกโฮมไพร์สให้ออกแบบและตกแต่งที่อยู่อาศัยได้ตลอดเวลา พร้อมเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในแพลตฟอร์มที่จะให้บริการส่งสินค้าและติดตั้ง  ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ออกแบบเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านทั่วประเทศ โดยเฉพาะ เอสเอ็มอี  จะมีช่องทางใหม่ในการขายสินค้าในยุคอีคอมเมิร์ซ เป็นเครื่องมือทางการตลาด ที่เข้าถึงลูกค้าได้ 24 ชั่วโมง  ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดูแลหน้าร้าน หรือออกร้านแบบเดิมๆ รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าตัวจริงมากขึ้น ดีไซเนอร์ นักออกแบบ และมืออาชีพทุกสาขาที่เกี่ยวกับบ้าน โฮมไพร์สได้คิดค้นเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ Cloud Design Technology ช่วยการออกแบบโดยเฉพาะจากทุกสถานที่  ทำให้ทำงานออกแบบได้สะดวกรวดเร็วขึ้น มีระบบฐานข้อมูลสินค้าที่ผลิตจำหน่ายจริง ส่งมอบได้จริง ทำให้การสเปคสินค้าหรือออกแบบมีความแม่นยำขึ้น ลดเวลาแก้ไขงานจากการหาสินค้าตามไอเดียที่ออกแบบไปแล้วไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นช่องทางใหม่ในการเข้าถึงลูกค้าที่ต้องการมืออาชีพในการออกแบบได้อย่างแท้จริง   “โฮมไพร์ส ต้องการเป็นแพลตฟอร์ม สนับสนุนผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ ทั้ง เอสเอ็มอี แบรนด์เล็ก แบรนด์ใหม่ เข้าสู่สนามแข่งดิจิทัล ได้อย่างทัดเทียมและมีโอกาสไปสู่ระดับโลก” พรชัย ย้ำว่าวันนี้การทำงานควรมาไกลกว่าคำว่าทำธุรกิจแล้วได้กำไร แต่ควรสร้าง“แวลู”ให้อุตสาหกรรม  สนับสนุนเอสเอ็มอีและแบรนด์ไทย ให้มีช่องทางขายออนไลน์แข่งกับระดับโลกได้ และพิสูจน์ว่าคนไทยพัฒนาเทคโนโลยีได้  มักมีคนพูดว่า “คนไทย”คิดเทคโนโลยีไม่ได้ เป็นได้แค่ “ผู้ใช้”เทคโนโลยี ถือเป็นแรงกระตุ้น ในการพัฒนาโฮมไพร์ส มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นครีเอเตอร์ เทคโนโลยี ที่มาจากคนไทย และวางเป้าหมายขยายสู่ตลาดเอเชียหลังจากนี้    ขอบคุณที่มาข่าว : bangkokbiznews.com  

Person read: 1933

31 January 2018

สิ้นผู้ก่อตั้งอิเกีย

"อิงค์วาร์ คัมพรัด" ชาวสวีเดน ผู้ก่อตั้งเชนค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ "อิเกีย" เสียชีวิตแล้วในวัย 91 ปี อีเกีย แถลงว่า นายคัมพรัด ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกเฟอร์นิเจอร์แบบแผ่น เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักของเขาในเมืองสมอแลนด์ พร้อมยกย่องนายคัมพรัดว่า เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่สุดแห่งศตวรรษ 20 มหาเศรษฐีรายนี้ ก่อตั้งอีเกียขึ้นมา ในขณะที่เขามีอายุได้เพียง 17 ปีเท่านั้น โดยใช้เงินทุน จากเงินที่บิดาให้เป็นของขวัญ จากการที่เขาเรียนได้ดี แม้จะเป็นโรคดิสเล็กเซีย หรือโรคความบกพร่องในการอ่านหนังสือ เขาเริ่มพัฒนาออกแบบเฟอร์นิเจอร์ และมีชื่อเสียงในการคิดค้นเฟอร์นิเจอร์แบบแผ่น ซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบถอดประกอบอีกชนิดหนึ่ง แต่จะมีการออกแบบที่สลับซับซ้อนมากกว่า สร้างสรรค์กว่า เพราะจะใช้วัสดุเป็นแผ่น เพียงแผ่นเดียวมาทำ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุใดก็ตาม  นายคัมพรัดเริ่มนำเฟอร์นิเจอร์ที่เขาออกแบบจำหน่ายในบ้านเกิด ก่อนจะขยายตลาด กลายเป็นแบรนด์ที่ขยายความนิยมไปทั่วสแกนดิเนเวีย และทวีปยุโรป ซึ่งปัจจุบันอิเกียมีสาขามากกว่า  50 แห่งทั่วโลก รวมถึง ในไทย    ขอบคุณที่มาข่าวจาก : bangkokbiznews.com

Person read: 1810

28 January 2018

'ธนารักษ์' เปิดให้รับเหรียญงานพระราชพิธีฯ 29 ม.ค.นี้

"กรมธนารักษ์" เปิดให้ประชาชนรับเหรียญที่ระลึกพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ 29 ม.ค.นี้ ชี้เตรียมหลักฐานใบเสร็จ- บัตรปชช.ให้พร้อม นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมธนารักษ์ผลิตเหรียญที่ระลึกในโอกาสการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ครบตามจำนวนจองแล้ว จึงทยอยนำส่งเหรียญไปยังธนาคารพาณิชย์ที่ร่วมเปิดรับแลกเหรียญและเปิดให้ประชาชนผู้จองเดินทางไปรับเหรียญได้ตามสาขาของธนาคารพาณิชย์ที่จองไว้ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคมนี้เป็นต้นไป สำหรับเหรียญที่ระลึกเปิดให้ประชาชนสั่งจอง 2 รอบ เนื่องจากมีความต้องการจำนวนมาก ได้แก่ เหรียญทอง ทำการผลิตเพิ่ม 50,000 เหรียญ จากเดิมผลิตจำนวน 99,999 เหรียญ ราคาเหรียญละ 50,000 บาท เหรียญเงิน ผลิตเพิ่ม 400,000 เหรียญ จากเดิม 399,999 เหรียญ ราคาเหรียญละ 2,000 บาท เหรียญทองแดงรมดำ ผลิตเพิ่ม 40,000 เหรียญ จากเดิม 39,999 เหรียญ ราคาเหรียญละ 3,000 บาท และเหรียญที่ระลึกคิวโปรนิกเกิล ราคาเหรียญละ 100 บาท 23 ล้านเหรียญ ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่าผู้ที่จองเหรียญสาขาใดรับได้ที่สาขานั้น เฉพาะเหรียญทองคำ เหรียญเงิน และเหรียญคิวโปรนิกเกิล ส่วนเหรียญทองแดงรมดำพ่นทรายรับที่กรมธนารักษ์ สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ในเขตจังหวัดที่จองเท่านั้น และผู้ที่จองเหรียญทองแดงรมดำพ่นทรายรอบ 2 วันที่ 18-30 กันยายน 2560 รับได้ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2561 สำหรับเอกสารประกอบการรับเหรียญที่ระลึกฯ กรณีรับด้วยตนเองให้นำใบยืนยันการจองฉบับจริง และบัตรประชาชนตัวจริง ถ้าให้ผู้อื่นรับแทนต้องมีหนังสือมอบอำนาจ ใบยืนยันการจองฉบับจริง บัตรประชาชนฉบับจริง ของผู้จองและผู้รับมอบอำนาจ สำเนาบัตรประชาชนของผู้จองและผู้รับมอบอำนาจ พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง กรณีใบยืนยันการจองตัวจริงหายต้องนำใบแจ้งความมาแสดงเป็นหลักฐาน กรณีผู้จองเสียชีวิตใช้ใบมรณบัตรตัวจริงมาแสดงพร้อมหลักฐานการได้เป็นผู้จัดการมรดก   ขแบคุณที่มาข่าว : bangkokbiznews.com

Person read: 1775

28 January 2018

พี่ใหญ่ต้องปรับตัว: Volvo ประกาศทำรถบรรทุกไฟฟ้า เริ่มขายปีหน้า

คล้อยหลังเพียง 2 เดือนจากวันที่ Tesla เปิดตัว Tesla Semi รถบรรทุกพลังไฟฟ้า ก็ถึงเวลาที่พี่ใหญ่ในวงการอย่าง Volvo ต้องปรับตัวบ้าง โดย Volvo ประกาศทำรถบรรทุกไฟฟ้าแล้ว เริ่มที่รถบรรทุกขนาดกลางก่อน (medium-duty truck) Jonas Odermalm หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์รถบรรทุกขนาดกลางของ Volvo กล่าวว่าเทคโนโลยีและ know-how เรื่องรถยนต์ไฟฟ้าของ Volvo มีใช้อยู่ในรถบัสไฟฟ้าแล้ว รวมถึงโซลูชันต่างๆ ก็ใช้ในรถบรรทุกไฮบริดมาตั้งแต่ปี 2010 Volvo ระบุว่าลูกค้าไม่กี่รายจะได้รับรถบรรทุกดังกล่าวไปใช้ก่อนภายในปีนี้ และจะเริ่มจำหน่ายปกติภายในปีหน้า   ขอบคุณที่มาข่าว : www.blognone.com

Person read: 1839

28 January 2018

เล็ก ๆไม่ ใหญ่ ๆทำ ปั้นสตาร์ทอัพฉบับ ‘ปตท.’

มีความยิ่งใหญ่ระดับภูมิภาคอาเซียน สำหรับ “D-NEXT” โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ หรือ Accelerator ภายใต้ความร่วมมือของ “กลุ่ม ปตท.” และ “ไรส์” เพราะไม่เพียงแค่สตาร์ทอัพไทยเท่านั้น โครงการนี้เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพชาวสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และ อินโดนีเซียมีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันเพื่อให้ได้รับคัดเลือกเป็น 15 ทีมสุดท้ายที่เข้าร่วมบ่มเพาะภายในระยะเวลา 3 เดือน “เรามองว่าบริษัทที่เป็น Flagship อย่างปตท. จะทำอะไรเล็ก ๆไม่ได้ ต้องทำให้ยิ่งใหญ่และเกิดผลดีต่อประเทศ จึงต้องจัดโครงการระดับภูมิภาคอาเซียน” “นายแพทย์ ศุภชัย ปาจริยานนท์” ผู้ก่อตั้ง RISE (ไรส์) สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรและสตาร์ทอัพ กล่าว     เป็นที่ได้รู้กันแล้วว่า กลุ่มปตท.มีกลยุทธ์ชื่อว่า 3D ก็คือ 1. Do Now การมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน 2. Decide Now การขยายการเติบโตโดยขยายการลงทุนในธุรกิจหลักและ 3. Design Now การเร่งสร้างธุรกิจใหม่ให้สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ และพัฒนาธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ ให้เป็นธุรกิจอนาคต (S-Curve)ของ ปตท. แน่นอนว่า “D-NEXT” อยู่ในกลยุทธ์ D ตัวสุดท้าย "ชาญศิลป์ ตรีนุชกร” ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีและวิศวกรรม บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และประธานกรรมการบริษัท พีทีที ดิจิตอล โซลูชั่น จำกัด ยอมรับว่ากลุ่มปตท.เองคงไม่ต่างไปจากองค์กรอื่น หรืออุตสาหกรรมอื่นที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ยากขึ้น และมากขึ้น "เราจำเป็นต้องไปหาธุรกิจใหม่ๆ มันจะไม่ใช่การไปดาวอังคาร ที่เรากำหนดไว้มีอยู่ 6 ธีม ซึ่งค่อนข้างกว้าง ว่าด้วยเรื่อง หนึ่ง Electric Value Chain สอง Smart สาม Biotechnology สี่ Circular Economy ห้า Automation, Robotics,Internet of Things และหก การตอบสนองนโยบายภาครัฐ" เขาบอกว่าธุรกิจใหม่ ๆนั้นก็มีที่กลุ่มปตท.ทำขึ้นมาเอง แต่ในเรื่องของดิจิทัลปตท.ยังทำได้เพียงการเป็น “ผู้ซื้อ” เท่านั้น จึงจำเป็นต้องหาตัวช่วย อย่างไรก็ดี โครงการ D-NEXT เปิดกว้าง หมายถึงสตาร์ทอัพไม่จำเป็นต้องมีโปรดักส์หรือโซลูชั่นที่เกี่ยวข้องกับธีมที่ได้กล่าวไว้ “ถ้าเป็นอะไรที่สอดรับเราก็จะส่งเสริม แต่ถ้าไกลจากเรามากแต่มีประโยชน์ต่อประเทศ หรือคนอื่นสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ เราก็ส่งเสริมเช่นกัน” ชาญศิลป์กล่าว แต่มีข้อจำกัดตรงที่ “D-NEXT” ไม่ต้อนรับสตาร์ทอัพหน้าใหม่ไฟแรง ที่มีแค่ไอเดียแต่ไม่มีของ การสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ได้จะต้องเป็นทีมสตาร์ทอัพที่มีของ หรือทำธุรกิจมาสักระยะและมีศักยภาพพอที่จะสเกลได้ หรือประสบความสำเร็จในประเทศตัวเองแล้วและต้องการจะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เป็นต้น "โครงการนี้เปิดตัวและเปิดรับสตาร์ทอัพแล้ว ที่วางแผนไว้ก็คือ เราจะเริ่มรับสมัครในเดือนนี้ จากนั้นเดือนกุมภาพันธ์เราจะไปโรดโชว์เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพที่น่าสนใจใน 5 ประเทศก็คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย และจบที่เวียดนาม เราจะทำการคัดเลือกและประกาศผลภายในเดือนมีนาคม สตาร์ทอัพที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องแพ็คกระเป๋าเข้ามาทำงาน่ที่โคเวิร์คกิ้งสเปซของทางไรส์ในเดือนพฤษภาคม เมื่อครบสามเดือนเราจะจัด Demo Day ให้สตาร์อัพมาโชว์เคส แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเขา" นายแพทย์ ศุภชัยกล่าว พร้อมได้อธิบายต่อว่าการเข้า Boot Camp ของ 15 ทีมสตาร์ทอัพในครั้งนี้จะมีความพิเศษไม่เหมือนใคร เนื่องจากสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการมีความหลากหลาย มีทั้งคนไทยและต่างชาติ โปรแกรมจึงต้องจัดให้พวกเขาได้มาเรียนรู้วัฒนธรรมประเทศไทยด้วย ว่าทำธุรกิจในไทยควรต้องรู้อะไรบ้าง "วิธีการให้ความรู้นั้น เราจะมีเหล่า Mentor และผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆซึ่งเป็นผู้บริหารทั้งในกลุ่มปตท.ก็ดี และนอกกลุ่มที่เป็นเน็ทเวิร์คของไรส์ที่เราจะดึงเข้ามาให้คำแนะนำเพื่อให้ข้อมูลที่แน่นพอจะทำให้สตาร์ทอัพสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้" ไม่เพียงแค่ความรู้เรื่องธุรกิจ สตาร์ทอัพยังจะได้รับโอกาสดี ๆและประโยชน์มากมายจากโครงการนี้ ไม่ว่าการสนับสนุนในเรื่องการตลาด และสื่อที่จะช่วยโปรโมทสร้างความรู้จัก "ไรส์เองมีสื่อที่ช่วยสร้างความรู้จักทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน ไม่เพียงแค่ไทยเท่านั้น และเรามีพาร์ทเนอร์ที่จะช่วยสอนเทคนิคในการโปรโมทธุรกิจ เพราะเราเป็นพาร์ทเนอร์กับทั้งกูเกิลและเฟสบุ๊ค ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งจากสองบริษัทนี้มาช่วยให้คำแนะนำ ช่วยให้สตาร์ทอัพสเกลธุรกิจได้ไว" ที่สำคัญที่สุด นายแพทย์ ศุภชัยมองว่าเป็นเรื่องของ “เน็ทเวิร์ค” เนื่องจากไรส์มีสตาร์ทอัพในเครือข่ายกว่าพันบริษัท ทำให้สตาร์ทอัพต่างชาติสามารถสร้างเน็ทเวิร์คในเมืองไทยได้ สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ ว่าทีมนี้ทำเรื่องนี้ได้ ทีมนั้นทำเรื่องนั้นได้ โดยผลประโยชน์ทั้งหมดทั้งมวลหากคิดเป็นมูลค่าออกมาจะเป็นตัวเลข 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อหนึ่งทีม ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ประโยชน์ต่างๆเหล่านี้ กลุ่มปตท.ให้สตาร์ทอัพแบบฟรี ๆ โดยไม่ได้คิดค่าใช้จ่าย ไม่ได้ขอเข้าไปร่วมถือหุ้นในบริษัท "ที่หวังก็คือโครงการนี้จะช่วยขับเคลื่อนไทยให้กลายเป็นประเทศดิจิทัลฮับของภูมิภาคอาเซียน เป็นฝันไกลที่ต้องไปให้ถึง เราอยากเป็นตัวกลาง เป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาค ถ้าเราทำอย่างนั้นได้ก็จะเข้าใกล้กับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการจะขับเคลื่อนนโนบายไทยแลนด์ 4.0 นอกจากนี้มันยังตรงกับวิชั่นของทางไรส์เราเองด้วยที่อยากจะช่วยเพิ่มจีดีพี 1% ให้กับประเทศไทย"นายแพทย์ศุภชัยกล่าว ด้าน“อรวดี โพธิสาโร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีทีที ดิจิตอล โซลูชั่น จำกัด บอกว่า กลุ่มปตท.พูดถึงเรื่องของอินโนเวชั่นมายาวนานพอสมควร แต่มันก็มีความเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย เพราะอินโนเวชั่นหรือนวัตกรรมในยุคที่โลกเปลี่ยนเร็ว เพราะเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็วมาก ทำให้ในวันนี้มีการพูดถึงเรื่องของนวัตกรรมว่า เป็นความคิดใหม่ ๆที่ต้องสร้างธุรกิจให้ยั่งยืน และเติบโตได้แบบก้าวกระโดด "นวัตกรรมจะสร้างขึ้นเองในองค์กรก็ได้ เราก็มีแล็บที่ทำกันเอง ก็สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้างเป็นเรื่องปกติ อีกส่วนหนึ่งก็คือ ถ้าอยากได้เร็วก็ไปลงทุนเลย ใครทำเทคโนโลยีดีถ้าชอบก็ไปลงทุน เขาสำเร็จเราก็ได้ประโยชน์ด้วย แต่มีอีกเรื่องที่น่าสนใจ ก็คือ Accelerator ถามว่ามันดีอย่างไร คือถ้าเราไปลงทุน เราก็ได้แต่เงินกลับมาแต่ไม่ได้ความรู้ ขณะที่การทำโครงการบ่มเพาะจะทำให้เรากับสตาร์ทอัพได้มาเรียนรู้ร่วมกัน" เธอมองว่าแม้สตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลที่มีอยู่ในประเทศไทยในเวลานี้อาจมีจำนวนมาก แต่การมีสตาร์ทอัพในอาเซียนเข้ามาร่วมก็น่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่า เพราะแต่ละประเทศต่างก็มีสตาร์ทอัพที่เก่ง มีความสามารถที่จะทำอะไรเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องธุรกิจของเขาเองได้ แน่นอนว่าจะช่วยตอบโจทย์ที่ทำให้ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนเติบโตได้ด้วยเช่นกัน “อาจฝันที่ไกลแต่มองว่าเป็นไปได้” อรวดีบอกอย่างนั้น "เพราะสตาร์ทอัพ 15 ทีมจะเป็นสตาร์ทอัพที่เก่ง ไม่ธรรมดา เพราะเราจะคัดจากพัน ๆทีมเหลือเพียง 15 เท่านั้น เราจะคัดเลือกคนไม่ธรรมดาเข้ามา เราคิดว่าโครงการนี้จะช่วยสนับสนุนให้สตาร์ทอัพได้เติบโต ควบคู่ไปพร้อม ๆกับการเติบโตของกลุ่มปตท.ด้วย เป็นสิ่งที่เรามองระยะยาว"   ขอบคุณที่มาข่าว: bangkokbiznews.com

Person read: 1706

25 January 2018

รื้อโต๊ะเจรจาการค้า รับเทคโนโลยี 4.0

เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทะลายพรมแดนค้า ด้วยสัญญาณ“เน็ต” พลิกเกมเจรจาการค้า เปลี่ยน 360 องศา  จากเปิดตลาด "หนุน-ค้าน" แบบหัวชนฝา สู่หลักชัยใหม่หว่านล้อมหาคู่มิตร ชนะไปด้วยกัน ดึง“จุดแข็ง-เสริมจุดอ่อน” ปลดล็อกกับดัก สู่ โอกาสใหม่ การปฏิวัติการค้า และอุตสาหกรรมยุค 4.0 ไม่เพียงบีบรัดภาคธุรกิจให้เร่งเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกขบวนโลกการค้ายุคใหม่เท่านั้น  ทว่า การเปลี่ยนแปลงยังขยายวงกว้างไปสู่ “โต๊ะเจรจาการค้าระหว่างประเทศ” ในกรอบการค้าที่มีอยู่ ทั้งเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement) และการร่วมกลุ่มการค้าต่างๆ ที่ไทยเริ่มเดินหน้าไปแล้ว ได้แก่ เขตการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA), เขตการค้าเสรีไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP), เขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA), เขตการค้าเสรีไทย-เปรู (TPFTA), เขตการค้าเสรีไทย-ชิลี (TCFTA), เขตการค้าเสรีอาเซียน(AFTA), เขตการค้าเสรีอาเซียน -ออสเตรเลีย -นิวซีแลนด์, เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA), เขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA), เขตการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP), เขตการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (AKFTA), เขตการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง  ยังมีเขตการค้าเสรีที่อยู่ระหว่างการเจรจา คือ เขตการค้าเสรี ไทย -ปากีสถาน (PATHFTA), เขตการค้าเสรีไทย-ตุรกี (THTRFTA) รวมถึงกำลังทบทวนการเจรจาการค้าไทย - สหภาพยุโรป (Thai-EFTA) รวมถึงเอฟทีเอไทย-สหรัฐ (THAI-U.S.FTA) ที่หยุดชะงักไป 3 ปีหลังเหตุการรัฐประหารในไทย แม้จะเป็นการเดินเกมเจรจาที่เหมือนกลับมาเริ่มต้นใหม่ แต่นั่นก็ถือเป็นโอกาสดีที่ไทยจะปรับประเด็นการเจรจาค้าให้ทันสมัย รับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ ที่ไม่ได้มีแค่การขอเปิดตลาดซื้อขายสินค้า กุ้ง ไก่ มันสำปะหลัง หมู หรือข้าว ซึ่งเป็นสินค้าหลักของไทย เหมือนในอดีตอีกต่อไป จึงต้องเข้าใจกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อวางยุทธศาสตร์การเจรจาให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงโลกยุคใหม่ พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ อดีตนักเจรจาการค้าที่ผ่านมาแล้วหลายโต๊ะเจรจาตั้งแต่ยุคที่ไทยเดินหน้าขอเปิดตลาดสินค้าเป็นเรื่องหลัก แต่วันนี้ยุคที่การบริการ การลงทุน และนวัตกรรมลื่นไหล ไม่จำเป็นต้องผ่านการเปิดตลาดโดยภาครัฐ มาสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัล ที่การเข้าถึงตลาดได้อย่างเสรี ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ท นำไปสู่ผลกระทบที่ชัดเจนใน 6 ด้าน คือ  1.การเชื่อมโยงตั้งแต่ความต้องการสินค้า(Demand) และภาคการผลิต (Supply)  2.การค้าปลีกในโลกออนไลน์ รวมถึงการค้าระหว่างประเทศ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว  3.โลกการค้าเกิดผู้เล่นมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้เล่น รายเล็ก และธุรกิจยุคใหม่ (Micro SMEs) จะเข้ามามีบทบาทเป็นในตลาดมากขึ้น  4.เกิดการขยายตัวของกลุ่มภาคบริการมากขึ้น รูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เส้นแบบระหว่างสินค้าและบริการไม่ชัดเจน 5.ข้อมูลมากมายมหาศาล (Big Data) มีบทบาทมากมายต่อรูปแบบการทำธุรกิจ การสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า รวมถึงการทำตลาด  6.เกิดการหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ท ซื้อสินค้าไม่ตรงตามสินค้าและบริการที่ปรากฏ หรือการแฝงตัวในรูปแบบต่างๆ นี่คือประเด็นที่ต้องหามาตรการมาปกป้องผู้บริโภค พิมพ์ชนก ยังระบุว่า ตัวชี้มูลค่าและคุณค่าธุรกิจในยุคต่อไปไม่ใช่ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ แต่เป็น ข้อมูลระหว่างประเทศ (Cross Border Data Transfer) เริ่มตั้งแต่ปัจจัยการผลิตในท้องถิ่น การบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่า และข้อมูลที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างพรมแดน เช่น การบริหารจัดการคลังสินค้าแบบไร้กระดาษ (Paperless Trading) การจดทะเบียนออนไลน์ การจ่ายค่าธรรมเนียมพิธีการศุลกากร  ทั้งหมดเกิดขึ้นบนโลกอินเตอร์เน็ท ที่จะสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจในอนาคต ! สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในโลกอินเตอร์เน็ท โดยประเทศที่พัฒนาแล้วต่างมีกฎระเบียบมากำกับดูแล ป้องกันการเคลื่อนย้ายข้อมูล (Data Flow Regulations) คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลทางภูมิศาสตร์ภายในประเทศ กำหนดเส้นทางการส่งผ่านข้อมูลเฉพาะทาง ขณะที่ไทยยังถือกฎหมายฉบับเดิมที่ยังไม่ครอบคลุมการเกิดขึ้นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ส่วนประเด็นที่มีอิทธิพลในยุคอนาคตอีกหนึ่งด้าน คือ “ภาคบริการ” (Services) ที่เริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทมากกว่าสินค้า จะเห็นได้จากการขยายตัวต่อเนื่องของมูลค่าการส่งออกบริการของไทยเพิ่มขึ้น 19,000ล้านดอลลาร์ในปี 2548 และขยับขึ้นมามีมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2553 มาอยู่ที่ 66,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2559 มูลค่าที่เกิดขึ้นเกือบเท่าตัวหรือขยายตัวเฉลี่ย 12% ระหว่างปี 2548-2559 ที่ถือว่าสูงกว่าภาคการผลิตสินค้า โดย 2 ปรากฎการณ์ทั้งข้อมูลมหาศาล  (Big Data) และการขยายตัวของภาคบริการ จะเข้ามามีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทย เช่น การเข้ามาของอาลีเพย์ (Alipay) โมบาย เพย์เมนท์ จากจีนที่รุกเข้ามาเปิดลงทะเบียนท่องเที่ยวชาวจีนในไทย ที่เข้ามาซื้อสินค้าและบริการ ปีละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน นี่คือ “แต้มต่อสำคัญ” ของข้อมูลทำให้อาลีเพย์รู้ทันข้อมูลนักท่องเที่ยวจีนแบบปัจจุบันทันด่วน (Real Time) รู้ว่าอยู่ตรงไหน ใช้จ่ายเท่าไหร่ และสินค้าอะไร “นักท่องเที่ยวใช้อาลีเพย์เพราะมีโปรโมชั่น ซื้อของได้ถูก แต่อาลีเพย์ก็มีข้อมูลว่านักท่องเที่ยวซื้อสินค้าและทำอะไรที่ไหน โดยที่เงินไม่ได้อยู่ในไทย ทั้งค่าธรรมเนียมและอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ไปอยู่ในจีน ไทยได้ประโยชน์เล็กน้อย เราจึงต้องมีฐานข้อมูลของประเทศ เพื่อเก็บไว้สร้างมูลค่า ที่อาจจะไม่ต้องถึงระดับผู้บริโภค แต่ดูเรื่อง Supply และ Demand เพื่อบริหารจัดการข้อมูล”  ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของข้อมูล ประเด็นเหล่านี้ “พิมพ์ชนก” ระบุว่า ต้องยกขึ้นมาพูดคุยบนโต๊ะเจรจา จากรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป การเจรจาจึงต้องคิดเชื่อมโยงกระแสโลก เชื่อมโยงความคิด นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เข้ามาเชื่อมโยงทิศทางยุทธศาสตร์อนาคตประเทศไทย จะมุ่งไปสู่ ไทยแลนด์ 4.0  นอกจากนี้ การค้าในยุคหน้าภาครัฐจะมีบทบาทลดลงจากการเข้ามาของอินเตอร์เน็ท ที่เข้ามาอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ รวมถึงการค้าขาย ดังนั้นผู้มีอิทธิพลกำหนดทิศทางไม่ใช่ภาครัฐอีกต่อไป แต่เป็นผู้ที่มีความคิด เป็นเจ้าของนวัตกรรม เจ้าของเทคโนโลยี เงินทุน ลูกค้าและผู้บริโภค  เพราะโลกยุคใหม่นวัตกรรม คือตัวขับเคลื่อนสำคัญ ! นั่นจึงตามมาด้วยปัญหาความเหลื่อมล้ำทางช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนระหว่างประเทศที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี ที่มีแนวโน้มจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยีมากขึ้น ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาก็จะใช้เวลานานในการสร้างสรรค์ คิดพัฒนาเทคโนโลยีกว่าจะได้นวัตกรรมใหม่ การให้ความสำคัญกับข้อมูลข่าวสารที่มีคุณค่า จะนำมาสู่โต๊ะเจรจาได้อย่างไร เศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) จะกระทบต่อความต้องการสินค้า ภาคการผลิตสินค้าอย่างไร รวมไปถึงเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ซึ่งไทยมีจุดแข็งในภาคการเกษตรจะมาต่อยอดอย่างไร แต่เป็นความท้าทายเมื่อต้องเจรจา รวมถึงวิวัฒนาการโลกที่มีการคิดค้นนวัตกรรมปลูกข้าวในสภาพอากาศร้อนแล้ง อย่างแอฟริกา หรือการคิดค้นปาล์มน้ำมันผลผลิตเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพิงผู้ปลูกปาล์มระดับโลกอย่างไรไทย ไทยจะมีประเด็นการต่อรองอย่างไร เหล่านี้เป็นความท้าทายที่รัฐต้องงปรับ “กระบวนทัศน์” ในการเจรจา ! -------------------- เทคนิคพลิกเกม“เจรจา” 1.ปรับวิธีคิดการเจราจา หมดยุคคิดปิดหรือเปิดประตูค้าแบบสุดโต่ง เถียงหัวชนฝา (Zero Sum Game) เพื่อหวังผลแค่“แพ้-ชนะ”มีคนผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ เพราะการค้ายุคใหม่ ต้องมองคู่ค้าเป็นพันธมิตร เพื่อนคู่คิดที่เติบโตไปด้วยกัน เพราะมีสิ่งที่ต้องยอมรับในจุดอ่อนของไทยคือ ไทยเป็นเพียงประเทศผู้รับเทคโนโลยีมาลอด (Taker) ไม่ใช่ผู้ผลิต หรือเจ้าของความคิดเทคโนโลยี (Maker) ดังนั้น หัวใจสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ คือ การเปิดรับ ไปสู่การสร้างความร่วมมือเพื่อเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยี และปรับมาส่การสร้างความร่วมมือ (Collaboration) เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกัน และพาไปประเทศไทยไปสู่ ยุค 4.0 ที่ดึงให้กลุ่มประเทศที่มีความโดดเด่นในด้านที่ไทยยังขาดแคลน เข้ามาลงทุนในด้านนี้ เรียกว่า การมองแบบเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Strategic Partnership) “อย่างคิดเอาชนิดสินค้า ต้องมองความร่วมมือกับประเทศที่จะเจรจา เช่น อังกฤษ เยอรมัน มีความโดดเด่นอะไรและจะช่วยต่อยอดประเทศไทยได้อย่างไร” 2.มองทุกอย่างให้เชื่อมโยงกัน (Cluster) ในอดีตแยกขาดการเจรจาสินค้าออกจาก บริการและการลงทุน จึงขอเจรจาลดกำแพงภาษีก่อน ซึ่งในยุคปัจจุบันการค้าและบริการแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น กลุ่มธุรกิจสุขภาพ ให้การดูแลรักษาที่เป็นการบริการและก็จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ยารักษาโรคต่างๆ ดังนั้นการเจรจาจึงมองเป็นเป็นคลัสเตอร์ ตั้งแต่ สินค้า บริการ การลงทุน รวมถึงทรัพย์สินทางปัญญา ที่เป็นการคุ้มครองสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมาเมืองไทยยังคิดแยกส่วน แต่ละหน่วยงานดูแลเพียงแต่ละกลุ่มธุรกิจ เช่น ค้าปลีก ร้านอาหาร อสังหาริมทรัพย์  การเจรจาการค้าระหว่างประเทศจึงต้องครอบคลุมการทำธุรกิจยุคหน้าที่มีการเชื่อมโยงธุรกิจมากขึ้น “ตอนเริ่มเจรจาการค้าหลังปี 2542 ภาคบริการไทยเพิ่งผ่านพ้นต้มยำกุ้ง ฝรั่งรุมเข้ามาเปิดธนาคารต่อสู้เพื่อให้ได้เปิดสาขา และมีตู้เอทีเอ็ม ไทยเปิดให้ซิตี้แบงก์ 1 ตู้ แต่ปัจจุบันการเข้ามาขยายสาขาไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป เพราะมีระบบอินเตอร์เน็ทแบงก์กิ้ง” วิวัฒนาการเหล่านี้สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ที่จะปรับวิธีคิด (Re-mindset) 3.การคำนึงถึงการลดช่องว่าง และความเหลื่อมล้ำทางสังคม (Inclusive Negotiation) เพราะความแตกต่าง การเข้าถึงเทคโนโลยี และการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีของประเทศพัฒนาแล้ว ก็สามารถคิดค้นต่อยอดเข้าถึงได้รวดเร็วกว่าประเทศกำลังพัฒนาที่เพิ่งเริ่มต้น ทำให้ความเหลื่อมล้ำที่มีแนวโน้มยิ่งห่างออกไป จึงควรปรับกลยุทธ์วางท่าทีให้มองการเติบโตยั่งยืนไปพร้อมกัน “การเจรจาควรช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงเทคโนโลยี และความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้นเพื่อทำงานอย่างบูรณาการ” นี่คือ ความเปลี่ยนแปลงที่นักเจรจาไทยที่ต้องมองหาแต้มต่อ และหลักชัยใหม่ให้กับประเทศในเศรษฐกิจยุคใหม่ เปิดกว้างเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยี ยิ่งต่อไปไทยกำลังเผชิญกับยุคสังคมผู้สูงวัย (Aging Society) จึงต้องเปิดกว้างรับคนเก่งเข้ามาพัฒนาเรียนรู้ร่วมกัน แทนการมุ่งเพียงปกป้องและปิดตลาด “นักเจรจาการค้ารุ่นใหม่ต้องเข้าใจเทคโนโลยี สร้างพันธมิตร ไม่ใช่เพียงแค่รู้เทรนด์เทคโนโลยี แต่จะต้องเรียนรู้ว่าประเทศอื่นมีอะไรสำคัญ ปรับวิธีคิด หาวาระสำคัญจากความเปลี่ยนแปลงการค้าต่างๆ ที่เชื่อมโยงยกระดับไทย รวมถึงการคำนึงถึงประเด็นทางสังคมที่ให้โอกาสการเข้าถึงของคนกลุ่มเล็ก ทั้งผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี)  และประชาชนทั่วไป เพราะประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ สังคมขาดเสถียรภาพ เกิดการก่อการร้าย มีบ่อเกิดมาจากความไม่เท่าเทียมกัน” ----------------------------- เอกชนแนะแพ็คเกจเจรจา “ต้นน้ำ-ปลายน้ำ” พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย มองการเจรจาให้รู้เท่าทันโลก และคู่เจรจาเพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกัน ต้องเปลี่ยนวิธีคิดและวางเงื่อนไขการเจรจในรูปแบบใหม่ เพราะความก้าวล้ำของเทคโนโลยี เข้ามาช่วยทำให้การผลิต การวิเคราะห์ การสื่อสาร และการพัฒนาก้าวไปอย่างรวดเร็ว การเจรจาที่ติดกับดักวิธีคิดและวังวนเดิมๆ ก็มีแต่ทางตัน การเจรจายุคใหม่จะต้องมีวิธีคิด ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี มาเป็นเครื่องมือ มาเสริมเพื่อวางบทการเจรจาให้ได้ประโยชน์จากโต๊ะเจรจา โดยเฉพาะข้อมูลจำนวนมาก (Big Data) เป็นหัวใจสำคัญต่อการเจรจาที่จะใช้ประกอบการวิเคราะห์ไปข้างหน้า ถึงผลกระทบ ผลดีผลเสีย จากสิ่งที่ประเทศไทยยังเป็นจุดอ่อน ที่สำคัญที่สุด คือ การไม่มองเพียงแค่การเจรจาลดกำแพงภาษีในสินค้าแต่ละตัว ที่ไม่ได้ประโยชน์ทั้งห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ “มีเทคโนโลยีและเครื่องมือหลายตัวมาเร่งให้เกิดธุรกิจเปลี่ยนเร็วขึ้น โลกเปลี่ยน ระบบเปลี่ยนไปหมด แต่เรายังต้องเข้าใจคู่เจรจา และเข้าใจผู้ประกอบการไทย เพื่อหาประโยชน์จากการเจรจา เดิมเรามองแค่ลดภาษีเปิดโควตา ซึ่งยุคนี้ต้องมองเชื่อมโยงสินค้ามาสู่ภาคบริการ เป็นแพ็คเกจ เปรียบเทียบศักยภาพไทยกับคู่แข่ง ส่วนไหนที่เราด้อยกว่าก็เปิดให้ร่วมมือลงทุน ส่วนไหนเป็นจุดแข็งก็เข้าไปรุกทำตลาด” หมากที่วางก่อนการเจรจา จึงควรลิสต์รายการโครงสร้างสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำว่ามีธุรกิจเกี่ยวข้องด้านใดบ้าง เพื่อที่จะหยิบไปเจรจาทั้งห่วงโซ่ “ยกตัวอย่างสินค้ารถยนต์ไฟฟ้า หากเราบอกว่าเอาเข้ามา เรามีศักยภาพในการผลิตหรือไม่ นอกจากผลิตอะไหล่รถยนต์ เช่น เครื่องชาร์จ แบตเตอรี่ ดูตัวเองว่าเก่งตรงไหน และต้องการส่วนไหนเข้ามาลงทุน หากไม่เก่งก็เจรจานำเข้า แต่หากเราเก่งก็นำไปแลก” ด้านกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า การเจรจาแต่ละยุคมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือการเจรจาบนพื้นฐานข้อมูล ซึ่งในยุคนี้นักเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้ทำงานใกล้ชิดกับหอการค้าไทยมากขึ้น เพื่อเข้าใจบริบทธุรกิจ และความต้องการของภาคธุรกิจที่จะหยิบเอาไปใช้บนโต๊ะเจรจา บนพื้นฐานที่มาจากความต้องการของเอกชนที่เป็นผู้ทำธุรกิจโดยแท้จริง “การเจรจาการค้าเปลี่ยนไป ซึ่งกรมเจรจาการค้าฯก็เปลี่ยนบริบท เข้ามาถามความต้องการของเอกชนมากขึ้น เพื่อนำไปจัดปรับสู่โต๊ะเจรจา เพื่อให้เข้าใจรูปแบบการทำธุรกิจจริง ไม่ใช่แค่เพียงวิเคราะห์และดูจากข้อมูลอย่างที่ผ่านมา การคุยกับเอกชนมาขึ้นยังช่วยทำให้รัฐและเอกชนใกล้ชิดกันมากขึ้น ผลักดันขีดความสามารถในการแข่งขัน"    ขอบคุณที่มาข่าว : bangkokbiznews.com

Person read: 1880

25 January 2018

'ไทยไลอ้อนแอร์'ผนึก5สายการบินชิงตลาดโลว์คอสต์เอเชีย

หลังจากเปิดตลาดในไทยมากว่า 4ปี "ไทย ไลอ้อน แอร์" โลว์คอสต์น้องใหม่ที่มี “ไลอ้อน กรุ๊ป” เบอร์ 1 จากอินโดนีเซียหนุนหลัง สร้างการเติบโตจนครองส่วนแบ่งตลาดเส้นทางในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ปีที่ผ่านมาได้เริ่มขยายเส้นทางต่างประเทศโดยมีสัดส่วน 40% ปีนี้ไทย ไลอ้อน แอร์ ประกาศใช้กลยุทธ์หลัก “การเชื่อมต่อ” กับ 4 สายการบินในเครือข่ายที่ต่างรุกหนักในอินโดนีเซีย,มาเลเซีย โดยวาดผังเส้นทางครอบคลุมเอเชียแปซิฟิก อัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ มั่นใจว่าวันนี้ส่วนแบ่งตลาดในทุกเส้นทางสูสีกับคู่แข่ง่โดยผลัดกันครองอันดับ 1 และ 2 ต่อเนื่อง โดยมี 5 เส้นทางในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือที่รั้งอันดับ 1 ได้เหนียวแน่น ปัจจุบันไลอ้อน กรุ๊ป มี 3 สายการบินในอินโดนีเซีย ได้แก่ ไลอ้อน แอร์ และวิงส์ แอร์ ที่ให้บริการแบบโลว์คอสต์, บาติก แอร์ อินโดนีเซีย ที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ส่วนในมาเลเซียมีมาลินโด้ แอร์ ที่ให้บริการเต็มรูปแบบและมีแผนจะรีแบรนด์เป็นบาติก แอร์ มาเลเซีย พร้อมกลยุทธ์รุกเส้นทางต่างประเทศทั้งระยะใกล้และไกลมากขึ้น เช่น ออสเตรเลีย  ทั้งนี้ไลอ้อน กรุ๊ป ได้สั่งซื้อเครื่องบิน700 ลำ สำหรับทุกสายการบินในเครือ โดยรับมอบแล้ว400 ลำ จึงยังมีเครื่องที่พร้อมรับการเติบโตในอนาคตได้อีก ทั้งนี้หากนำทุกเส้นทางของ 5 สายการบินในเครือมากาง ผู้โดยสารจะมีตัวเลือกที่สะดวกมาก เช่น หากผู้โดยสารจากไทยต้องการไปออสเตรเลียก็สามารถใช้ศูนย์กลางการบิน (ฮับ) ของมาลินโด้ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นจุดเชื่อมต่อ และกลับกันก็จะช่วยส่งเสริมไทยไลอ้อนแอร์ที่ปัจจุบันเป็นสายการบินที่เปิดเส้นทางสู่จีนมากที่สุดในเครือกว่า 18 จุดบิน ทำให้สามารถใช้จุดแข็งของเครือข่ายนำเสนอทางเลือกการเดินทางเสริม โดยให้ดอนเมืองเป็นฮับเพื่อเดินทางต่อไปยังอีก 2 ประเทศในกลุ่ม “ไท่ซิ่งหม่า” ได้แก่ สิงคโปร์และมาเลเซียที่ชาวจีนนิยมไปเยือน รวมถึงการเตรียมเปิดเส้นทางไปญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งอาจทำให้ไทย ไลอ้อน แอร์ แข็งแกร่งในเส้นทางเอเชียเหนือมากที่สุดในกลุ่ม สามารถเป็นศูนย์กลางให้ผู้โดยสารจากมาเลเซียหรืออินโดนีเซียได้ “ปีนี้เราจะเน้นความเป็นเน็ตเวิร์คของไลอ้อน กรุ๊ป มากขึ้น เพื่อให้ผู้โดยสารเลือกใช้บริการในเครือไม่ว่าจะไปที่ไหนซึ่งการเติบโตนี้เป็นไปได้เพราะทุกสายการบินในเครือต่างเปิดเส้นทางของตัวเองอย่างหนักโดยเฉพาะไทยที่น่าจะเห็นเส้นทางใหม่ญี่ปุ่น 2 แห่งที่โตเกียวและฟุกุโอกะรวมถึงเกาหลีใต้ที่มองไว้ทั้งกรุงโซลและปูซานเมืองทางตอนใต้” ส่วนในจีนนั้นแม้ว่าจะปักธงไปแล้ว 18 จุดบินและเป็นตลาดที่สร้างรายได้มากที่สุดสัดส่วน 35-40% ก็ยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีก เพราะการเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) แทนกรุ๊ป ทัวร์ มีมากขึ้นและไทย ไลอ้อน แอร์ เริ่มปรับตัวรองรับ ด้วยการจัดจำหน่ายเข้าถึงกลุ่มลูกค้านี้ได้ด้วยตัวเองไม่ได้พึ่งพากรุ๊ป ทัวร์อย่างเดียวอีกต่อไป ปริมาณตลาดจีนที่สูงดังกล่าวยังทำให้ตัดสินใจนำเครื่องบินแอร์บัสเอ 330-300 ลำใหม่ 3 ลำ ที่นำเข้ามาเมื่อปลายปีที่แล้วซึ่งมีขนาดถึง 392 ที่นั่ง เข้าไปบินเสริมทัพในตลาดดังกล่าว ได้แก่กรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้,กรุงเทพฯ-หนานชาง,ภูเก็ต-หนานจิง และในเดือน ก.พ.นี้ จะเพิ่มเส้นทางกรุงเทพฯ-เทียนจิน และ ภูเก็ต-เทียนจิน อีก 2 เส้นทางด้วย “เราไม่มีข้อจำกัดเรื่องการเปิดเส้นทางใหม่เลย ในอนาคตเส้นทางไกลอย่างยุโรปก็อยากเข้าไปเพราะพร้อมมากอยู่แล้วในเรื่องเน็ตเวิร์คและฝูงบินจากการมีเครื่องบิน เอ 330-300 เข้ามาประจำการแล้วและปีนี้ยังรับเครื่องโบอิ้ง 737 แม็กซ์ อีก 4 ลำ ซึ่งรุ่นนี้มีความสามารถในการบินได้ถึง 6 ชม. เช่นกัน ในช่วงทำตลาดญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แรกๆ อาจจะทดลองบินด้วยเครื่องนี้ก่อนก็ได้ขณะที่การขยายฝูงบินยังมีต่อเนื่องที่ 4 ลำต่อปีเป็นมาตรฐาน” อย่างไรก็ตามอัศวินยอมรับว่าท่ามกลางสถานการณ์ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นที่ต้องจับตามองการแข่งขันด้วยราคาที่ต่ำมากๆ อาจจะลดลง โดยจะพยายามประคองราคาให้เท่ากับปีที่ผ่านมาและหันมาควบคุมต้นทุนการใช้จ่ายของตัวเอง การใช้กลยุทธ์ราคาจะมีบ้างเฉพาะเส้นทางที่เข้าไป “เปิดตัวใหม่” ที่ต้องการสร้างการรับรู้ให้ลูกค้ามาทดลองใช้บริการเท่านั้น เนื่องจากปีนี้จะให้ความสำคัญกับการ “ทำกำไร” ให้ได้เป็นครั้งแรกหลังจากขาดทุนในปีก่อนจากการรับเครื่องขนาดใหญ่เข้ามาพร้อมกันถึง 3 ลำ และเป็นการขาดทุนที่มากกว่าปี 2559 ด้วย แม้ว่าในเชิงรายได้จะเติบโตถึง 40% จากปี 2559 “ราคาตั๋วที่ต่ำกว่าหลักพันบาทอาจจะมีให้เห็นไม่มากเท่าเดิมเพราะทุกคนต้องกลับมาสู่จุดที่ทำกำไรได้ ถึงการแข่งขันในเส้นทางในประเทศยังมีสูงแต่เราจะใช้จุดขายเรื่องบริการเสริมที่คู่แข่งไม่มีและเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้โดยสารที่ผ่านมาตัดสินใจเลือก เช่น การให้น้ำหนักกระเป๋าฟรี 10 ก.ก. และ 20 ก.ก. สำหรับเส้นทางในและต่างประเทศและโหลดเครื่องกีฬาได้ 15 กก. ฟรีเช่นกันรวมถึงการติดระบบจอภาพความบันเทิงในเครื่องบินขนาดใหญ่เป็นต้น” เป้าหมายในปีนี้คือการบรรทุกผู้โดยสาร 13-15 ล้านคน ซึ่งเป็นการเติบโตตามอัตราที่นั่งที่จะเพิ่มขึ้นจากฝูงบินที่รวมเป็น 35 ลำขณะที่อัตราบรรทุกเฉลี่ยจะไม่ต่ำกว่า 89% ใกล้เคียงกับปีก่อน “เส้นทางในประเทศมีผลงานดีแตะ 90% โดยตลอด  ส่วนเส้นทางต่างประเทศที่เพิ่งเริ่มต้นก็มีอัตราบรรทุก 81-82% ค่อยๆ และการมีเน็ตเวิร์คจากไลอ้อน กรุ๊ปจะช่วยส่งเสริมให้แข็งแกร่งขึ้นอีก”   ขอบคุณที่มาข่าว : bangkokbiznews.com

Person read: 1782

25 January 2018

2018 ปีแห่งรถยนต์ไฟฟ้า

ขณะที่ค่ายรถยนต์ทั่วโลกเริ่มหันหลังหนีจาก “น้ำมัน” ออกนโยบายให้สอดรับกับ “โลกร้อน” ด้วยการปรับแผนการผลิตรถยนต์ มุ่งสู่การผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (electric vehicles : EV) โดยปี 2018 น่าจะเรียกว่าเป็นการก้าวสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า เมื่อหลายค่ายเริ่มเดินหน้าเปิดตัวโมเดลรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ ขณะที่รัฐบาลในหลายประเทศก็เริ่มให้ความสนใจกับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะการอัดงบประมาณสำหรับติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้า และการพัฒนาหลักสูตรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต มูฟเมนต์ค่ายรถชั้นนำ ที่ผ่านมาจะเห็นค่ายรถยนต์จำนวนมากเริ่มขับเคลื่อนเป้าหมายจับตลาดรถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ซึ่งประเทศเป้าหมายหลักในการลงทุนโรงงานผลิต คือ “ประเทศจีน” ซึ่ง “ฟอร์ด” เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่ประกาศร่วมทุนกับค่ายรถของจีน โดยฟอร์ดระบุว่า ได้บรรลุข้อตกลงการร่วมลงทุนมูลค่า 750 ล้านดอลลาร์ กับบริษัท Anhui Zotye Automobile ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของจีน พร้อมตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 50 คันแรก เพื่อป้อนตลาดโลก ในปี 2025 ขณะที่ “เทสล่า” ผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันยืนยันว่า อยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลจีน ในการเปิดโรงงานในนครเซี่ยงไฮ้ โดยเป็นการลงทุนรายเดียว ไม่ใช่ joint venture ซึ่งจะเน้นที่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อป้อนตลาดโลก โรงงานแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตรถยนต์แห่งที่สองของเทสล่า โดยก่อนหน้านี้ฐานการผลิตของเทสล่าทั้งหมดอยู่ในสหรัฐอเมริกาโดยมีเป้าหมายการผลิตรถยนต์ของเทสล่าที่ต้องการผลิตเพิ่มเป็น 500,000 คันต่อปี หรือ 6 เท่าตัวจากปัจจุบัน เพื่อเจาะตลาดยุโรปและเอเชีย เป็นเหตุผลที่ทำให้เทสล่า จำเป็นต้องเปิดโรงงานในต่างแดนเพิ่ม นอกจากนี้ยังมี บริษัท “เดมเลอร์ เอจี” ผู้ผลิตรถยนต์จากเยอรมนี ประกาศจับมือกับบริษัทร่วมทุนของจีน BAIC Motor Corporation ในการลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีน มูลค่าสูงถึง 735 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์จะเป็นผู้รับหน้าที่ศึกษาโอกาสของตลาดภายใต้แบรนด์ BBAC หรือ Beijing Benz Automotive Co. จีนเปิดหลักสูตรรับอุตฯ EV มุมมองที่ค่ายรถยนต์ชั้นนำมองว่า ประเทศจีนเหมาะสมที่จะเป็น “ฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า” เนื่องจากตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนถือว่าเติบโตมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ติดต่อกันสองปีซ้อนหลังจากรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เกี่ยวกับนโยบายที่ช่วยลดภาวะมลพิษที่เกิดขึ้น จากปัจจุบันจีนมีรถอีวีวิ่งอยู่ในประเทศกว่า 402,000 คันและคาดว่าในปี 2030 จะเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านคัน กระแสการไหลบ่าของแบรนด์ข้ามชาติที่แห่มาเปิดโรงงานในจีน นักวิเคราะห์ของไชน่าเดลีระบุว่า เป็นความได้เปรียบของจีนในการสร้างงานให้กับแรงงานในประเทศ จากเดิมที่หลายอุตสาหกรรมหนีออกนอกประเทศ เนื่องด้วยค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน นอกจากนี้ รัฐบาลจีนเตรียมบรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนเพิ่มความเชี่ยวชาญในด้านการผลิตรถอีวี และอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ของหนุ่มสาวชาวจีน รับกระแสโลกที่กำลังเปลี่ยนไป โดยจะเป็นการนำร่องเปิดหลักสูตรในสถาบันอาชีวะด้านยานยนต์ในเมืองอุตสาหกรรม เช่น เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง โดยคาดว่าหากสำเร็จจะสามารถผลิตบุคลากรเฉพาะด้านได้มากขึ้น ทั้งยังสามารถชดเชยกลุ่มแรงงานมีทักษะที่ย้ายออกนอกประเทศได้ 4 โมเดลรถอีวีบุกตลาด นอกจากนี้ เว็บไซต์กรีน คาร์ รีพอร์ต ยังรายงานว่า ในปี 2018-2019 คาดว่าจะมีโมเดลรถอีวีใหม่ออกทำตลาดอย่างเป็นทางการอย่างน้อย 4 โมเดลประกอบด้วย “นิสสัน ลีฟ” รถยนต์ไฟฟ้า 200 ไมล์ ราคาไม่แพง ที่ตั้งเป้าจะเปิดตัวใน 50 ประเทศทั่วโลกในต้นปี 2018 หลังเปิดตัวนำร่องไปก่อนที่ประเทศญี่ปุ่นไปแล้ว ต่อด้วยรถยนต์ไฟฟ้าอีกหนึ่งแบรนด์ที่ขยับฟังก์ชั่นสูงอีกนิด อย่าง “เทสล่า โมเดล 3” ที่วิ่งไกลระยะ 215 ไมล์ จากการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์รองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และซูเปอร์ชาร์จ เพื่อการชาร์จไฟฟ้าที่รวดเร็ว ด้วยระดับราคาเริ่มต้นที่ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดย “อีลอน มัสค์” ซีอีโอของเทสล่าระบุว่า รถอีวีของเทสล่าเริ่มบุกตลาดอเมริกาตั้งแต่ปี 2016 และจะครองส่วนแบ่งตลาดในหลายประเทศตามเป้าในช่วงปลายปี 2018 ขณะที่แบรนด์รถหรูสัญชาติเยอรมนี เตรียมเปิดตัว “ออดี้ อี-ตรอน” (Audi e-tron) ในปี 2019 ที่สามารถขับเคลื่อนระยะทางราว 311 ไมล์ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง จากแบตเตอรีลิเธียม-ไอออน มีความจุ 95 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ดร.ดีทมาร์ ว็อกเจนเรเทอร์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายขาย ออดี้ เอจี กล่าวว่า จีนถือเป็นตลาดรถอีวีที่น่าสนใจที่สุด อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในอนาคตตลาดรถอีวีจะเติบโตและแพร่หลายมากเมื่อมีการขยายสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าอย่างทั่วถึง สำหรับ “บีเอ็มดับเบิลยู” อีกหนึ่งแบรนด์หรูจากเยอรมนีก็มีแผนจะเปิดตัวและวางจำหน่ายโมเดล “บีเอ็มดับเบิลยูไอ 5” ในปี 2019 ซึ่งเป็นการลดช่องว่างของรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก “บีเอ็มดับเบิลยู ไอ 3” ที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้ากับ “บีเอ็มดับเบิลยู ไฮบริด ไอ 8” ที่เป็นรุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด โดยคาดว่าระยะวิ่งจะอยู่ที่ 200-250 ไมล์ต่อการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีอีกหลาย ๆ แบรนด์ที่ประกาศจะบุกตลาดอีวีในปี 2020-2030 โดยต้องการใช้เวลาศึกษาและทดลองรถยนต์ไฟฟ้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ “โตโยต้า” เพิ่งจับมือทดสอบสมรรถนะของรถอีวีร่วมกับ “พานาโซนิค” ในระหว่างที่ร่วมกันพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ที่ชื่อว่า “Prismatic Cells” โดยตั้งเป้าว่าปี 2020 จะสร้างโมเดลมากกว่า 10 รุ่น และออกสู่ตลาดจริงในปี 2030 ซึ่งเดอะวอลล์สตรีต เจอร์นัลมองว่า หากโตโยต้าทำสำเร็จ จะทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทันที โดยวัดจากการผลิตรถยนต์ไฮบริด-ไฮโดรเจนที่ป้อนตลาดเป็นแบรนด์ท็อป ๆ ของโลก ส่วน “ฮุนได” ก็เพิ่งยืนยันเมื่อไม่นานว่าเตรียมจะเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกภายใต้แบรนด์หรู “เจเนซิส” โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2019 และรุ่นที่สองในปี 2021 โดยทั้งสองรุ่นจะมีระยะวิ่งประมาณ 200 ไมล์ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ขณะที่ “เชฟโรเลต” เตรียมเปิดตัว “เชฟโรเลต อีวี ครอสโอเวอร์” เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดโลกเช่นกัน มีการคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวอยู่ที่ 2 รุ่น ภายในปี 2020-2021 และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ “เชฟโรเลต โบลต์” รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่งเปิดตัวไปในปี 2560 ที่ผ่านมา และกำลังเป็นที่นิยม อัดงบฯสร้างสถานีชาร์จไฟ ทั่วโลกพยายามปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือกับการขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะเห็นว่ารัฐบาลในแต่ละประเทศทุ่มงบประมาณสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้า และกลายเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาแห่งชาติที่สำคัญ เช่น สำนักงานพลังงานแห่งชาติจีนระบุว่า ปัจจุบันทั่วประเทศจีนได้สร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้า 171,000 แห่ง และกำลังเร่งสร้างสถานีชาร์จไฟประเภทชาร์จได้เร็วบนทางด่วนระหว่างเมือง รวมถึงการชาร์จไฟบนทางหลวง 14,500 ครั้ง โดยมีปริมาณการชาร์จไฟฟ้ามากถึง 123,100 กิโลวัตต์ เพิ่มขึ้น 315% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และภายในปี 2018 รัฐบาลจีนตั้งงบฯก่อสร้างสถานีประจุไฟเพิ่มอีก 100,000 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรองรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่ “อินเดีย” รัฐบาลเปิดรับกว้างจากนโยบายปรับท้องถนนสู่รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบในปี 2030 ดังนั้นแผนการก่อสร้างสถานีประจุไฟจึงเปิดรับอย่างเต็มที่ ปัจจุบัน ABB ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้ารถอีวีชั้นนำของโลก และเป็นผู้ที่ได้รับสัมปทานให้ก่อสร้างจำนวนมากที่สุดในอินเดีย เปิดเผยถึงแผนการก่อสร้างสถานีชาร์จไฟ 4,500 แห่งภายในปี 2020 ด้วย ส่วนฝั่งยุโรป จะเห็นว่าก่อนหน้านี้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป 4 แห่ง ได้แก่ ฟอร์ด, เดมเลอร์, โฟล์คสวาเกน และบีเอ็มดับเบิลยู จับมือสร้างเครือข่าย ภาคี “Ionity” เตรียมติดตั้งสถานีชาร์จไฟ สำหรับรถอีวี ในอนาคตทั่วยุโรปตั้งเป้า 400 แห่งในปี 2020 ซึ่งปัจจุบันมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งไปแล้วทั้งหมด 20 แห่ง ในประเทศเยอรมนี ออสเตรีย และนอร์เวย์ โดยติดตั้งในทุก ๆ ระยะ 120 กิโลเมตร ขณะที่เทสล่าผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากอเมริกาที่เดินหน้าติดตั้งสถานีชาร์จไฟไปแล้วมากกว่า 7,000 แห่งทั่วโลก แม้แต่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ให้ความสำคัญกับการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าด้วย รัฐบาลดูไบมีแผนการก่อสร้างสถานีชาร์จไฟเพิ่มเติมใน “ดูไบ” ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจและมีจำนวนผู้ใช้รถยนต์มากที่สุด จำนวน 100 สถานี ภายในปี 2018 จากเดิมที่ปัจจุบันมีอยู่แล้ว 100 แห่ง   ขอบคุณข่าวจาก : prachachat.net

Person read: 1803

20 January 2018

ประเทศไทยกำลังจะมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 1,000 จุดในปีนี้!

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA (Energy Absolute) จับมือการไฟฟ้านครหลวง เปิดตัวสถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 แห่งภายในเดือนมกราคม พร้อมเดินหน้าสร้างให้ครบ 1,000 แห่งครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทุกๆ 5 กิโลเมตรภายในปี 2561 ด้านซีอีโอแย้ม มอเตอร์โชว์นี้เจอแน่ รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทย!   วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ได้จัดงานเปิดตัวโครงการ EA Anywhere อย่างเป็นทางการ ณ คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ เพื่อร่วมสร้างระบบนิเวศของรถยนต์พลังงานสะอาด-พลังงานทางเลือกที่สมบูรณ์ให้กับประเทศไทย ด้วยการประกาศสร้างสถานีชาร์จประจุแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ครบ 100 แห่งทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑลภายในเดือนมกราคมนี้   ขณะที่เป้าหมายในระยะยาวของบริษัทคือการเตรียมสร้างสถานีชาร์จประจุแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 1,000 แห่งทุกๆ ระยะทาง 5 กิโลเมตรภายในสิ้นปีนี้ โดยได้รับความร่วมมือจากการไฟฟ้านครหลวง ในการเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันเพื่อแบ่งปันความช่วยเหลือด้านข้อมูลและการพัฒนา-ขยายสถานีชาร์จประจุพลังงานไฟฟ้าไปพร้อมๆ กัน คาดการณ์เบื้องต้นงบประมาณที่ใช้พัฒนาโครงการนี้อยู่ที่ราวๆ 800 ล้านบาท   นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ภายในงานว่า บริษัทพลังงานบริสุทธิ์เกิดขึ้นเพื่อเป้าหมายของการดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทน ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นเทรนด์ใหม่ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ และ EA ก็น่าจะทำอะไรเพื่อร่วมพัฒนาให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้   “เราต้องการให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเติบโตได้เร็วขึ้น และยังอยากให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคต การมี EA Anywhere ในทุกๆ ระยะทาง 5 กิโลเมตรก็เหมือนการวางไข่ไปทั่วกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่งทุกคนก็ถามเรื่อยๆ ว่าแม่ไก่อยู่ที่ไหน? (รถยนต์พลังงานไฟฟ้า)   “เรากำลังจะบอกว่าบริษัทได้มีการร่วมพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าสัญชาติไทย เริ่มการออกแบบจากศูนย์ด้วยคนไทย ฉะนั้นรถคันนี้จึงเกิดขึ้นโดยคนไทยอย่างแท้จริง ส่วนรายละเอียดคงต้องตามไปดูภายในงานมอเตอร์โชว์ที่จะถึงนี้ (เดือนมีนาคม 2561) อย่างน้อยเราก็มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโต และหวังว่าจะมีการลงทุนและความเชื่อมั่นจากค่ายรถยนต์ต่างประเทศมาที่ไทยมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ไทยคงความสามารถด้านการแข่งขันในระดับโลกได้” ขอบคุณข่าวจาก : thestandard.co

Person read: 1741

20 January 2018

จีนเล็งสกัดแพลทฟอร์ม-แอพฯซื้อขายเงินดิจิทัล

พีเพิล เดลี ระบุว่า ไม่ว่าจะประเมินจากราคาหรือมูลค่า บิทคอยน์ก็เต็มไปด้วยฟองสบู่ ส่วนข้อดีที่มีการกล่าวถึงทั้งในเรื่องความน่าเชื่อถือ สภาพคล่อง และความโปร่งใสนั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งบังหน้าเพื่อการเก็งกำไร และไม่สามารถรองรับกับความผันผวนของราคาได้ ทางการจีนวางแผนสกัดการเข้าถึงแพลทฟอร์มและแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งบ่งชี้ว่าจีนยังคงเดินหน้ากวาดล้างการซื้อขายสกุลเงินบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลประเภทอื่นๆ โดยทางการจีนมองว่า สกุลเงินดิจิทัล เป็นต้นตอของความเสี่ยงในระบบการเงิน ความเคลื่อนไหวดังกล่าว มีขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนได้รับรายงานเกี่ยวกับกิจกรรมการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นบนแพลทฟอร์มที่ตั้งขึ้นโดยชาวจีนและต่างชาติ นับตั้งแต่ที่รัฐบาลได้สั่งระงับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลเมื่อปีที่แล้ว โดยทางการจีนได้ออกกฎห้ามการระดมทุนด้วยสกุลเงินดิจิทัล (ไอซีโอ) (Initial Coin Offering) รวมทั้งปิดการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในหลายตลาด และจำกัดการขุดเหมืองเพื่อหาบิทคอยน์ หนังสือพิมพ์พีเพิล เดลี ซึ่งเป็นสื่อกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้กล่าวโจมตี “บิทคอยน์” ในบทบรรณาธิการว่า เป็นเพียงฟองสบู่และกระแสคลั่งไคล้ชั่วขณะในยุคสมัยใหม่เท่านั้น ด้านสหรัฐและเกาหลีใต้ได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์เช่นกัน โดยนายปัก ซาง-กี รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังดำเนินการเพื่อยุติการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลของตลาดหลายแห่ง โดยระบุว่าการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในขณะนี้มีความคล้ายคลึงการพนันและการเก็งกำไร ขณะที่คณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐ เตรียมจัดการประชุมในเดือนก.พ. เพื่อหารือเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล เช่น บิทคอยน์ โดยจะหารือร่วมกับนายคริสโตเฟอร์ จีอันคาร์โล ประธานคณะกรรมาธิการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (ซีเอฟทีซี) และนายเจย์ เคลย์ตัน ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (เซค) โดย ซีเอฟทีซี และเซคเตือนว่า บิทคอยน์มีความผันผวนอย่างมาก และทางหน่วยงานอาจจะไม่สามารถปกป้องนักลงทุนจากผู้ที่หลอกลวงในแวดวงสกุลเงินดิจิทัลได้   ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com

Person read: 1803

16 January 2018

'เอ็มบีเค'เปิดกลยุทธ์ลุย 3 บิ๊กตลาดท่องเที่ยว

‘เอ็ม บี เค’สบช่องลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติ“ขาขึ้น” เร่งสานต่อนโยบายภาครัฐชูค้าปลีกดันยอดใช้จ่าย เปิดกลยุทธ์ปี 61 ลุยโกย 3 บิ๊กตลาดท่องเที่ยว“จีน-อินเดีย-รัสเซีย” พร้อมจีบเพื่อนบ้าน“ซีแอลเอ็มวี”เพิ่ม เล็งกลุ่มวัยรุ่น-เที่ยวเอง นางสาวศิรฐา สุขสว่าง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปีนี้วางกลยุทธ์ขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) เพื่อรักษาการเติบโตต่อเนื่องจากปี 2560 ซึ่งมีชาวต่างชาติมาใช้บริการและชอปปิงในศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ เพิ่มขึ้นกว่า 12.7% และมี 5 อันดับแรกมาจากเยอรมัน, อินเดีย, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย  ดังนั้นปีนี้จะเพิ่มกลุ่มเป้าหมายไปยังตลาดใหญ่ที่เดินทางเข้าไทยจำนวนมาก ได้แก่ อินเดีย, จีน, รัสเซีย รวมถึงกลุ่มซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ทั้งนี้ ตลาดดังกล่าวเป็นฐานใหญ่ของชาวต่างชาติเดินทางมาไทย โดยเฉพาะจีนครองส่วนแบ่งกว่า 25% ขณะที่อินเดียและรัสเซีย เดินทางเข้ามาราว 1.4 ล้านคน และ 1.3 ล้านคนตามลำดับ (สถิติ ณ วันที่ 25 พ.ย.2560) ขณะที่กลุ่มซีแอลเอ็มวี ตลาดลาว เข้ามากว่า 1.6 ล้านคน ส่วนเวียดนาม และเมียนมา เป็นตลาดดาวรุ่งที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่ามีการเดินทางเข้ามาราว 9.6 แสนคน และ 4 แสนคนตามลำดับ ส่วนลูกค้าในศูนย์ฯ ปัจจุบันมีชาวจีนราว 8.1%, จีน ราว 5.2% และรัสเซียราว 0.5% เท่านั้น ซึ่งยังขยายตัวได้อีกมาก และมองว่าหากทำสำเร็จ จะตอกย้ำตลาดเหล่านี้ยังช่วยส่งเสริมนโยบายของภาครัฐ ในการกระตุ้นตลาดคุณภาพ เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวด้วยการส่งเสริมการชอปปิงด้วย นอกจากตลาดเป้าหมายดังกล่าวยังมีศักยภาพด้านกำลังซื้อสูง เนื่องจากมีสภาพเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่อง ไม่ไกลจากประเทศไทยทำให้เดินทางมาด้วยความถี่มากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี ทำให้เข้ามาใช้บริการซ้ำต่อเนื่อง ปัจจุบันศูนย์ฯ พัฒนาบริการพื้นฐานรองรับตลาดมุสลิมพร้อมแล้ว เช่น ร้านอาหารฮาลาล, ห้องละหมาด และทัวริสต์เลาจน์ ให้บริการนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ สำหรับ 3 กลยุทธ์ที่จะใช้กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวจับจ่ายมากขึ้นนั้น ได้แก่ การมุ่งสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติผ่านสื่อออนไลน์, การประชาสัมพันธ์ไปยังจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมและจุดบริการนักท่องเที่ยวของหน่วยงานต่างๆ เช่น ระบบคมนาคมที่มีนักท่องเที่ยวใช้บริการมาก เป็นต้น, วางระบบสิ่งอำนวยความสะดวก และร้านค้าให้ครอบคลุมความต้องการของนักท่องเที่ยว อาทิ การบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตฟรี การบริการรับฝากกระเป๋า การเพิ่มจุดชาร์จแบตเตอรี่ เพิ่มเติมจากจุดเด่นด้านความหลากหลายของร้านค้าที่มากกว่า 4,000 ร้านอยู่แล้ว จากสถิติของศูนย์การค้าฯพบว่ากลุ่มสินค้าและบริการในศูนย์การค้าเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายสูงสุด3ลำดับแรกได้แก่เครื่องประดับแฟชั่น,การทำธุรกรรมการเงิน,โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เทคโนโลยี ขณะที่การสำรวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่มาชอปปิงพบว่าจะใช้เวลาในกรุงเทพฯประมาณ 4-7วันและทำกิจกรรมยอดนิยม3เรื่องได้แก่ชอปปิง,ท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและใช้บริการสปา,นวดแผนไทย นางสาวศิรฐา กล่าวด้วยว่าประเมินเศรษฐกิจปี 2561น่าจะมีแนวโน้มสดใสและส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกเติบโตขึ้นโดยเฉพาะตลาดท่องเที่ยวที่น่าจะผลในทิศทางบวกต่อศูนย์ฯเนื่องจากมีสินค้าและบริการที่เน้นความหลากหลายทั้งแบรนด์ไทยและสากลจึงตอบโจทย์ครอบคลุมทุกกลุ่มที่มากรุงเทพฯ ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com

Person read: 1829

16 January 2018

โตโยต้า เคาะราคา "ซี-เอชอาร์"

เริ่มต้น 9.79 แสนบาท      บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ประกาศเปิดราคาจำหน่าย "ซี-เอชอาร์" อย่างเป็นทางการ โดยมีทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และไฮบริด รวม  4 รุ่นย่อย พร้อมจัดกิจกรรมโรดโชว์ทั่วประเทศ โดยวันที่ 19 – 23 มกราคม จัดที่ เซ็นทรัล โคราช 7 – 11 กุมภาพันธ์ ที่ เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ วันที่ 15 – 19 กุมภาพันธ์ ที่ เซ็นทรัล ภูเก็ต วันที่ 23 – 27 กุมภาพันธ์ ที่ เซ็นทรัล ชลบุรี และ วันที่ 7 – 11 มีนาคม 2561 เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร        นอกจากนี้ยังจัดแคมเปญพิเศษ Custom Name Plate สำหรับลูกค้าที่ทำการจองรถตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ด้วยการขยายเวลารับประกันคุณภาพรถใหม่เป็น 5 ปี หรือ 150,000 กม. และรุ่นไฮบริด รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com

Person read: 1850

16 January 2018