Boeing ประกาศเปิดตัวโดรนขนาดยักษ์ที่สามารถขนน้ำหนักได้ถึง 500 ปอนด์ หรือ 226.8 กิโลกรัม เรียกว่าเป็นโปรโตไทป์ของ “unmanned electric vertical-takeoff-and-landing (eVTOL) cargo air vehicle (CAV)” Boeing บอกว่าโดรนลำนี้ วิศวกรของบริษัทใช้เวลาออกแบบและสร้างขึ้นมาภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือนเท่านั้น และได้ผ่านการทดสอบการบินครั้งแรกที่ Collaborative Autonomous Systems Laboratory ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยของ Boeing ใน Missouri แล้ว โดรนลำนี้ มีใบพัดทั้งหมด 8 ใบพัด สามารถบินขึ้นแบบตรงได้ มีขนาดกว้าง 18 ฟุต ยาว 15 ฟุต สูง 4 ฟุต น้ำหนัก 747 ปอนด์ ออกแบบมาให้บรรทุกน้ำหนักได้สูงสุดถึง 500 ปอนด์ ซึ่งจะเหมาะกับการใช้งานด้านการบรรทุกสินค้า ตัวโดรนขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ว่า Boeing ไม่ได้เผยข้อมูลอื่นอย่างเช่นระยะเวลาการบินทดสอบหรือความจุของแบตเตอรี่ของโดรน ขอบคุณที่มาข่าวจาก: blognone.com
Person read: 2492
11 January 2018
กก.ผอ.ใหญ่ "ทอท." เผยแผนขยายสนามบิน 6 แห่ง ในระยะ 10 ปี เพื่อรองรับปริมาณจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) หรือ AOT กล่าวว่าตามที่เว็บไซต์บลูมเบิร์ก รายงานข่าวว่า ทอท. เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกในหุ้นกลุ่มท่าอากาศยาน โดยหุ้น AOT มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 75% จากการอ้างอิงข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี ส่งผลให้หุ้น AOT มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) มากกว่า 1 ล้านล้านบาท เนื่องจากในปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้โดยสารเดินทางมาใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยาน แม่ฟ้าหลวง เชียงราย เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสนามบินแออัด อาจจะกระทบต่อกิจการในอนาคต เห็นควรขยายผล เพื่อสะท้อนถึงมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเมืองไทยมากขึ้นนั้น ทอท.มีแผนขยายท่าอากาศยานภายใต้ความรับผิดชอบทั้ง 6 แห่งในระยะ 10 ปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 โดยจะเพิ่มศักยภาพการรองรับผู้โดยสารจากเดิม 83.5 ล้านคนต่อปีเป็น 184 ล้านคนต่อปีในปีงบประมาณ 2568 คาดว่าใช้งบประมาณลงทุนรวม 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2561 หลังการปรับปรุงท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 แล้วเสร็จ และเมื่อรวมกับการปรับปรุงท่าอากาศยานดอนเมือง ในปี 2559 พบว่า ทอท.ได้ขยายศักยภาพการรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 42.5 ล้านคนต่อปี โดยในปี 2560 มีปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานของ ทอท. เป็นจำนวน 133 ล้านคน โดยปัจจุบัน ทอท.อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ ตามโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ 2554 – 2560) โดยได้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2559 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจากเดิม 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี นายนิตินัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการพัฒนาท่าอากาศยานแล้ว ทอท. ในฐานะหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคมได้ร่วมทำแผนบูรณาการยุทธศาสตร์การบริหารท่าอากาศยาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาโครงข่ายระบบการขนส่งทางอากาศของประเทศในภาพรวม โดย ทอท.ได้วิเคราะห์บทบาทของ ทอท.ในการเพิ่มศักยภาพโครงข่ายระบบท่าอากาศยานของประเทศไทย ภายใต้กรอบแนวคิดแบบการบริหารจัดการทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ต้องทำเป็นกลุ่ม (Cluster) เพื่อให้การบริหารจัดการน่านฟ้าของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ (Positioning) ของท่าอากาศยานแต่ละแห่ง อันจะเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ภาคพื้น ยังทำให้การทำการตลาดของแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่ม Cluster เป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่เกิดการแข่งขันกันเอง ซึ่งจะนำมาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของประเทศโดยรวม ขอบคุณที่มาข่าวจาก : bangkokbiznews.com
Person read: 2243
08 January 2018
มอบใบประกาศนักเรียนฝึกหัด โครงการ เยอรมัน-ไทยเพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี ก่อนบรรจุทำงานกับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยโมีทิศทางที่เติบโตมาโดยตลอด อาจจะมีบางช่วงที่สะดุด แต่ก็กลับมาพื้นตัวและเติบโตในเวลาไม่นาน นอกจากนี้อุตสาหกรรมยังเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็วโดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยี ทำให้ต้องปรับตัวให้ทัน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาพบปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นคือ บุคลากรภาคบริการที่เติบโตไม่ทัน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ พยายามหาทางแก้ไขหลากหลายวิธี รวมถึงการพัฒนาขึ้นมาเอง อย่างเช่น บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เปิดโครงการ เยอรมัน-ไทยเพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี โดยให้ทุนนักนักเรียนช่างฝึกหัด ซึ่งล่าสุดเป็นรุ่นที่ 27 ในสาขาวิชาเมคคาทรอนิคส์ยานยนต์ ระดับบี (Level B) หลักสูตร 2 ปี ซึ่มีผู้จบการศึกษ 29 คน ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นบริษัทแรกในไทยที่ทำการเรียนการสอนหลักสูตรอาชีวศึกษาระดับบี ซึ่งบริษัทได้จัดพิธีมอบประกาศนียบัตร โดยเป็นรุ่นแรกที่ได้ร้บใบประกาศที่ส่งตรงมาจากหอการค้าเยอรมัน-ไทย ประเทศเยอรมนีอีกด้วย สำหรับหลักสูตรนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์, หอการค้าเยอรมัน-ไทย, วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ, วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก และวิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก โดยมีการสอนในภาคปฏิบัติโดยผู้ฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมถึงการเรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น ระบบความปลอดภัย ระบบขไฮบริด ระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ศูนย์ปฏิบัติการครบวงจร “เมอร์เซเดส-เบนซ์ คอมพีเทนซ์ เซ็นเตอร์" "นักเรียนช่างฝึกหัดทุกคนจะได้บรรจุเข้าร่วมงานกับผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ 15 แห่ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าจะได้รับการบริการที่ดีที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุดจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้มาตรฐานเท่าเทียมกันทั่วโลก" ขอบคุณที่มาข่าวจาก : bangkokbiznews.com
Person read: 2168
08 January 2018
เปิด 5 ธุรกิจดาวรุ่งในปี 2560 "อีคอมเมิร์ซ" บูม "รถยนต์" ฟื้น "ท่องเที่ยว-ส่งออก" ทุบสถิติ ในรอบปี 2560 หลายธุรกิจเผชิญอยู่ในอาการล้มลุกคลุกคลาน ทว่ายังมีหลากหลายธุรกิจเติบโตดี กองบรรณาธิการ “กรุงเทพธุรกิจ” สรุป 5 ธุรกิจดาวรุ่ง พบว่าส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่โหนกระแสเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและเทรนด์เทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจ มีดังนี้ เศรษฐกิจโลกฟื้นดัน "ส่งออก" ทุบสถิติ หลังส่งออกไทยดำดิ่งมาตั้งแต่ปี 2556-2559 โดยปี 2556 ติดลบ 0.26% ปี 2557 ติดลบ 0.45% ปี 2558 ติดลบหนักสุด 5.78% จนมากระเตื้องในปี 2559 กลับมายืนบวกที่ 0.50% มาถึงปี 2560 อานิสงส์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้การส่งออก “พลิกฟื้น”กลับมาเหนือความคาดหมาย ล่าสุดตัวส่งออกเดือนพ.ย.2560 เติบโต 13.4% ถือเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 58 เดือน ยังทำให้ตัวเลขส่งออกในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.2560) ขยายตัวถึง 10% ทำให้กระทรวงพาณิชย์ มั่นใจว่าจะผลักดันการเติบโตการส่งออกทั้งปี2560 ขยายตัวสูงถึง 10% มูลค่า 235,000 ล้านดอลลาร์สูงสุดในรอบ 6 ปี ยังคงเป็นรายได้หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ส่งออกดีเกือบทุกรายการสินค้า ยังเป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวดี ส่วนใหญ่เป็นไปตาม “เทรนด์โลก” เริ่มขยับไปสู่กลุ่มเทคโนโลยีชั้นสูง โดยเฉพาะกลุ่มคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนประกอบ มือถือ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต (IoT-Internet of Things) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายรัฐบาลสนับสนุนให้เกิดการลงทุนการส่งออกไปสู่เทคโนโลยีอุตสาหกรรมชั้นสูง เพื่อยกระดับไทยไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 มุ่งไปที่อุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) "ธุรกิจสูงวัย" โตทุกเซ็กเมนท์ ธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุ เป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนท์ที่เคลื่อนไหวมากในรอบปีที่ผ่านมา ผลพวงจากภาคธุรกิจตระหนักถึงการก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ที่จะมาถึงในปี 2564 ของประเทศไทย จึงปรับทิศทางการลงทุนเพื่อเตรียมรับฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ปี2560 ธุรกิจที่เคลื่อนไหวลงทุนชัดเจนมากสุดคือ อสังหาริมทรัพย์ ที่หลายค่ายต่างพัฒนาแบบโครงการโดยเสริมให้มีห้องนอนชั้นล่างสำหรับผู้สูงอายุ พร้อมด้วยฟังก์ชันพิเศษ เช่น การทำราวจับ พื้นไม่ลื่น ฝักบัวปรับเลื่อนระดับได้ นอกจากนี้ ยังมีโครงการรูปแบบคอนโดมิเนียม ที่จัดเตรียมบริการทางการแพทย์ครบวงจร พร้อมบริการผู้ช่วยส่วนบุคคลตลอด 24 ชั่วโมง เช่นเดียวกับ ธุรกิจเนิร์สซิ่งโฮม หรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ขยายตัวเป็นดอกเห็ด ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุในช่วงต้นปี-กลางปี 2560 มีผู้ประกอบการยื่นจดทะเบียนเพื่อประกอบกิจการเนิร์สเซอรี่ และบริษัทรับจัดหาพนักงานดูแลผู้สูงอายุ มากกว่า 50 ราย ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ นนทบุรี และปทุมธานี และเป็นที่น่าสังเกตว่าในต่างจังหวัดโดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ ก็มีเนิร์สเซอรี่ทยอยเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ยุคทอง "อีคอมเมิร์ซ" ปี 2560 นับเป็นปีที่อีคอมเมิร์ซประเทศไทยขยายตัวอย่างก้าวกระโดด จากทั้งการโหมตลาดอย่างต่อเนื่องของ “อาลีบาบา” โดย “ลาซาด้า” ท้าชนด้วยยักษ์ใหญ่จากเกาหลีไต้ “อีเลฟเว่นสตรีท”การเข้ามาประกาศปักธงไทยอย่างเป็นทางการของ “เจดีดอทคอม” ขณะเดียวกันมีผู้เล่นอีกหลายรายหวังเข้ามาชิงเค้กไม่ว่าจะเป็นยักษ์อินเทอร์เน็ตไต้หวัน “ช้อปปี้” ในเครือการีนา (ซี) แบรนด์ดอทคอม รายย่อยหารายได้เสริมเป็นอาชีพที่ 2 รวมถึงการมาของโมเดลแบบออนไลน์ทูออฟไลน์(โอทูโอ) ไพรซ์ซ่าผู้ให้บริการเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นเปรียบเทียบราคาสินค้าออนไลน์ชั้นนำ ประเมินไว้ว่าอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซประเทศไทยมีศักยภาพเติบโตได้สูงมากต่อปี 20-30% ขณะเดียวกันสัดส่วนบนออนไลน์ยังน้อยมากแค่ 1% ของภาพรวมค้าปลีกดังนั้นโอกาสยังรออยู่อีกมหาศาล ปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่เป็นประจำราว 38 ล้านคน นักช้อปออนไลน์ 12.1 ล้านคน หรือคิดเป็น 32% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต คาดว่าปี 2561 จำนวนนักช้อปจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากปัจจัยบวกทั้งการสนับสนุนภาครัฐผ่านนโยบายไทยแลนด์ 4.0 การพัฒนาอีเพย์เมนท์ การมาของฟินเทค ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในแวดวงโลจิสติกส์ ท่องเที่ยวสร้างสถิติ "นิวไฮ" ในปี 2560 เป็นปีที่ไทยสร้างสถิตินักท่องเที่ยวสูงสุดได้อีกครั้งด้วยจำนวนเกิน 35 ล้านคน ตอกย้ำการเป็นจุดหมายยอดนิยมของตลาดต่างประเทศ ก่อนจะก้าวสู่เป้าหมายใหม่ปี 2561 ที่ตั้งรายได้ไว้สูงถึง 3.03 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% ระหว่างที่ประกาศให้เป็น “ปีแห่งการท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” ซึ่งเปิดตัวไปตั้งแต่เดือน พ.ย.2560 ด้านธุรกิจโรงแรมตลอดปี 2560 สมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) รายงานอัตราเข้าพักเฉลี่ยโรงแรมทั่วประเทศของไทย อยู่ที่ 75% เพิ่มขึ้น 5-7% เมื่อเทียบกับปี 2559 โดยจังหวัดที่เติบโตสดใส ได้แก่ ภูเก็ต มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยสูงถึง 80-85% ตามด้วยกรุงเทพฯ 70-75% และเชียงใหม่ราว 75% ส่วนพัทยา ที่เคยได้รับผลกระทบจากทัวร์จีนและรัสเซียที่ลดลงในปี 2559 ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว จนมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยราว 68-70% ตามลำดับ โดยภาพรวมยกให้การขยายตัวของ “สายการบินต้นทุนต่ำ” มีบทบาทในการช่วยนำตลาดต่างประเทศมาไทยเพิ่ม ทั้งการขยายเส้นทางและเพิ่มความถี่ ระหว่างเมืองหลักกับเมืองหลัก, เมืองหลักถึงเมืองรอง และเมืองรองถึงเมือรองด้วยกัน "รถยนต์" โตครั้งแรกรอบ 5 ปี ตลาดรถยนต์ไทยเคยทำสถิติยอดขายสฺูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1.43 ล้านคัน ในปี 2555 และเป็นยอดขายที่เกิน 1 ล้านคัน เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการรถคันแรกของรัฐบาลในช่วงนั้นที่ส่งผลให้เกิดการเร่งซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะในเดือน ธ.ค.ที่จะสิ้นสุดโครงการ มียอดขายถึง 1.4 แสนคัน แต่การเร่งซื้อก่อให้เกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง และมีผลทำให้หลังจากนั้นตลาดรถยนต์ติดลบมาโดยตลอด 4 ปี โดยในปี 2559 ม่ียอดขายรวม 7.68 แสนคัน เมื่อเข้าสู่ปี 2560 ตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นยอดขายรายเดือนเทียบกับกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้าดีขึ้นตลอดตั้งแต่เดือน ม.ค. และเดือน พ.ย.2560 มียอดขาย 7.8 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 20.6% จากเดือน พ.ย.ปีก่อนหน้า และทำให้ยอดรวม 11 เดือนปีก่อนอยู่ที่ 7.67 แสนคัน เพิ่มขึ้น 12.5% เป็นผลมาจากหลายปัจจัยบวก ทั้งทิศทางของภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มพื้นตัว การกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนภาครัฐ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น การที่ค่ายรถเปิดตัวรถรุ่นใหม่จำนวนมาก และได้รับการตอบรับจากตลาดด้วยดี และยังมีกิจกรรมส่งเสริมการขายของค่ายรถต่างๆ มากระตุ้นอีกทางหนึ่งด้วย ส่วนเดือน ธ.ค.2560 ประเมินว่า ยังคงได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวก และมียอดจองจากงานมหกรรมยานยนต์เข้ามาเสริม อีกทั้งตามสถิติแล้วพบว่า เป็นเดือนที่มียอดขายสูงสุดของปี จะทำให้ยอดขายยังเติบโตต่อไป คาดว่าจะทำให้ปี 2560 เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8.4-8.7 แสนคัน ขอบคุณที่มาข่าวจาก : bangkokbiznews.com
Person read: 2179
04 January 2018
สมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์ ชี้ส่งออกอิเล็กฯ ปี 2561 ส่งสัญญาณโตบวก คาดโอกาสขยายตัวได้ 6% รับปัจจัยบวกการเมืองสงบ นโยบายรัฐเอื้อการลงทุน การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหนุนการบริโภคโดยรวม นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยปี 2561 ตัวเลขยังคงเป็นบวก คาดว่าจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 3-6% ต่อเนื่องจากปี 2560 ที่เติบโตราว 8-9% ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญมาจากการที่เทคโนโลยีกลายเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ในทิศทางเดียวกันส่งผลให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการบริโภคชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไปได้ ทั้งแนวโน้มมีความเป็นไปได้ว่านักลงทุนจะย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ กลุ่มสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ที่สอดคล้องไปกับนโยบายส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ รวมถึงการลงทุนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี นอกจากนี้ บ้านเมืองที่สงบ การเมืองที่มีเสถียรภาพส่งผลให้บรรยากาศโดยรวมเหมาะแก่การทำธุรกิจ ไม่เกิดการตั้งคำถาม อีกด้านนับว่าไทยผ่านเหตุการณ์วิกฤติมาได้หลายครั้งและไม่ได้มีผลกระทบอะไรที่รุนแรง ดังนั้นจึงถูกมองว่าเป็นประเทศที่คาดเดาอนาคตได้ง่าย "ผมได้เห็นสัญญาณที่เป็นบวกมาตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว พอครึ่งปีหลังยิ่งเห็นว่าเติบโตได้ดีมากขึ้น ผมเชื่อด้วยว่าด้วยบรรยากาศที่เป็นอยู่ขณะนี้จะส่งผลให้ตลาดเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้โดยทั่วไปบรรยากาศการบริโภคฝั่งคอนซูเมอร์อาจไม่แน่นอน แต่ส่วนของอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่และตลาดหลักเป็นการส่งออกไปทั่วโลกจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ" ส่วนความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก แต่แม้มีผลกระทบก็คงไม่นาน เนื่องจากโลกธุรกิจยังต้องขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี จำเป็นต้องนำไปใช้เพื่อการพัฒนาสู่ยุค 4.0 ในมุมผู้ผลิต ต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา คำนึงถึงประเด็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทุกวัน ขณะเดียวกันให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร คำนึงถึงความสุขของคนในองค์กร เพิ่มความเชี่ยวชาญ รวมถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีม และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ ส่วนภาครัฐ ระยะหลังมานี้เห็นได้ชัดเจนว่ามีการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น นับเป็นช่วงเวลาที่ดี บรรยากาศน่าลงทุนอย่างมาก “นโยบายรัฐบาลที่จะรักษาบรรยากาศให้เป็นบวกมีส่วนสำคัญอย่างมาก หากสามารถรักษาความสงบทางการเมือง การบริหารจัดการภาครัฐที่เร็วมากขึ้นได้ตลอด อุตสาหกรรมก็มีโอกาสเติบโตได้ดีต่อเนื่อง” นายสัมพันธ์ กล่าว เขากล่าวว่า ต่างชาติยังคงเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ปัจจุบันไทยยังคงเป็นฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์อันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วนมากกว่า 50% ทุกวันนี้ยังคงสามารถรักษามาตรฐาน คุณภาพกระบวนการผลิตได้ดีมาต่อเนื่อง 30 ปี สำหรับตัวแปรสำคัญที่จะตัดเชือกว่านักลงทุนจะตัดสินใจเข้ามาหรือไม่ หลักๆ ขึ้นอยู่กับนโยบายระหว่างประเทศซึ่งขณะนี้ชาติต่างๆ ต่างกำลังแข่งขันเพื่อดึงดูดนักลงทุนกันอยู่ ขณะที่ ตัวแปรด้านความเปลี่ยนแปลงของตลาด ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ผู้ผลิตไม่ได้กังวลมากนัก เนื่องจากภาพที่มองเห็นเป็นบวกดังกล่าว ที่ผ่านมาได้ผ่านเหตุการณ์วิกฤติมามาก จนทุกวันนี้มีแผนงานเพื่อรองรับความไม่แน่นอน พยายามระมัดระวัง รอบคอบ และยืดหยุ่นให้ได้ตามการเปลี่ยนแปลง ด้านการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ผู้ผลิตได้เริ่มปรับตัว เปลี่ยนแปลงตัวเองมาล่วงหน้าเป็นเวลากว่า 10 ปี เช่นการนำระบบอัตโนมัติมาปรับใช้ โดยค่อยๆ ทยอยเข้ามาเป็นระยะ ประเมินขณะนี้การปรับตัวเพื่อก้าวไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ของผู้ผลิตรายใหญ่นับว่าทำได้ดีไม่ต่างกับบริษัทในยุโรปหรืออเมริกา ปัจจุบันการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีอยู่ 2 รูปแบบหลัก คือ การย้ายฐานการผลิต และด้านเทคโนโลยี 4.0 การลงทุนไอทีที่มองกันอยู่ หลักๆ ขณะนี้คือการนำเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าและอนาไลติกส์มาปรับใช้ นอกจากนั้น มีการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (ไอโอที) มาใช้มากขึ้น โดยรวมจะค่อยๆ ดำเนินการ ทำทันทีเลยไม่ได้ต้องคำนึงถึงคุณภาพและความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ด้านบุคลากร ต้องพัฒนาต่อเนื่องเช่นกัน บทบาทของสมาคมนายจ้างอิเล็กฯ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงจะต้องมีแผนงานรองรับไว้ชัดเจนเสมอ เช่น การสนับสนุนด้านการฝึกอบรม พัฒนาทักษะบุคลากร โดยปกติจะต้องวางแผนล่วงหน้าระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปีหรือ 1 ปีครึ่ง เน้นเรื่องการเพิ่มทักษะใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่าน เพิ่มสมรรถนะในงานสำคัญที่จะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้ประเทศ ขอบคุณที่มาข่าวจาก : bangkokbiznews.com
Person read: 2105
04 January 2018
การเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการดำเนินธุรกิจค้าปลีกในยุคดิจิทัล ที่ต้องรับมือพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ชำนาญ เมธปรีชากุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงรอบด้านสิ่งสำคัญในการทำการตลาดต้องยึด “ความต้องการของลูกค้า” เป็นหลัก "ในยุคที่ลูกค้ามีทางเลือกหลากหลายภายใต้ผู้ประกอบการจำนวนมาก ทำให้ลูกค้าสมัยใหม่มีความภักดีต่อแบรนด์น้อยลง และเปลี่ยนใจจากแบรนด์ หรือเกิดการสวิชชิ่งแบรนด์สูง ดังนั้น การรู้จักลูกค้าและความต้องการของลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขัน เหมือนเรามีโทรศัพท์แต่ใช้ไม่เป็นก็ไม่มีประโยชน์” ทั้งนี้ ผู้บริโภคยุคใหม่มีพลังของข้อมูลข่าวสาร รู้ลึก รู้จริง ด้วยทางเลือกมากมายมหาศาล ทำให้มีความต้องการที่เรียกว่า “ไร้รูปแบบ” เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการทำตลาดที่ไม่สามารถคาดเดาได้ นักการตลาดจึงต้องพร้อมเชื่อมโยงเครื่องมือทุกส่วนทั้ง ออฟไลน์“ และ ”ออนไลน์" เพื่อเข้าถึงลูกค้าทุกทิศทางที่มาแบบไร้รูปแบบ ชำนาญ ขยายความต่อว่า การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมลูกค้าขณะนี้ได้รับอิทธิพลจากเทคโนโลยี ดังนั้นการพัฒนาสินค้า บริการ และองค์ประกอบการต่างๆ ภายในร้านค้าปลีกต้องเชื่อมโยงกับลูกค้าเป็นตัวตั้ง ยกตัวอย่าง ลูกค้ายุคใหม่มีข้อมูลก่อนมาซื้อสินค้า จะต้องปรับบทบาทของพนักงานอย่างไรไม่ใช่แค่ขายสินค้าที่ลูกค้าอาจมีข้อมูลมากกว่า ทางด้าน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการดำเนินธุรกิจค้าปลีกในยุคดิจิทัล ปี 2561 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จะขยายตัว 20-25% มีมูลค่ารวม 2.56 แสนล้านบาท จูงใจให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรวมถึงผู้ประกอบการที่อยู่นอกธุรกิจค้าปลีก (Non-Retail) มีการแตกไลน์และสนใจที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะ “ค้าปลีกออนไลน์” ยกตัวอย่าง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการจัดตู้รับสินค้าไว้บริการลูกบ้านที่สั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรือธุรกิจพลังงานที่หันมาลงทุนทำธุรกิจค้าปลีกทั้งในส่วนหน้าร้านและออนไลน์ หรือแม้แต่ผู้ผลิตสินค้าหรือเจ้าของแบรนด์ก็หันมาจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยตนเอง การแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกในระยะข้างหน้าจะไม่ได้ถูกจำกัดเพียงแค่ในกลุ่มผู้เล่นที่เป็นผู้ประกอบการค้าปลีกอีกต่อไป แต่จะมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่เป็นผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซและผู้ประกอบการนอกกลุ่มธุรกิจค้าปลีกเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งในรูปแบบการเข้ามาสนับสนุนเชนธุรกิจออนไลน์ หรือการเข้ามาเป็นคู่แข่งหน้าใหม่ในธุรกิจค้าปลีกนี้ ส่งผลให้ผู้ค้าปลีก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่มีหน้าร้าน (Offline) เผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและแตกต่างกันไป ยิ่งมีการรุกเข้ามาของกลุ่มตลาดกลางออนไลน์ (E-Market Place) ต่างชาติรายใหญ่เช่น จีน เกาหลีใต้ ที่มีแผนบุกตลาดออนไลน์ของไทยรวมถึงอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ “เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว ผู้ค้าปลีกแต่ละกลุ่มต้องเร่งปรับตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะการทำความเข้าใจไลฟ์สไตล์หรือพฤติกรรมลูกค้าตนเองให้ได้มากที่สุด ผ่านการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า (Big Data) ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Data Analytics หรือแม้แต่เทคโนโลยี AI” แม้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ค้าปลีกรายใหญ่จะมีการปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการหันมารุกช่องทางออนไลน์เพื่อเติมเต็มเชนธุรกิจให้ครบวงจร ในลักษณะของการลงทุนด้วยตนเองหรือจับมือร่วมกับพันธมิตรรายใหญ่ ขณะเดียวกันช่องทางหน้าร้าน ได้มีการปรับโครงสร้างของร้านให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น ด้วยขนาดพื้นที่ที่มาก จึงมีทางเลือกที่ยืดหยุ่นในการปรับตัวให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้ครอบคลุมทุกกลุ่ม "ทำอย่างไรที่จะสนับสนุนให้ร้านค้าที่เช่าพื้นที่อยู่ในศูนย์การค้ายังขายสินค้าได้ เพราะร้านค้านอกจากจะเผชิญการแข่งขันและแย่งชิงลูกค้ากันเองแล้ว ยังต้องเผชิญการแข่งขันกับร้านค้าปลีกออนไลน์ ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น อีกทั้งประเภทของสินค้าที่จำหน่ายผ่านออนไลน์มีความหลากหลาย สั่งซื้อได้ง่ายและสะดวกขึ้น" ผู้ค้าปลีกยังปรับตัวด้วยการเลือกบริหารจัดการสินค้าและการทำกิจกรรมหรืออีเวนท์ต่างๆ เช่น การจัดพื้นที่โคเวิร์กกิ้งสเปซ สำหรับกลุ่มคนทำงาน การคัดเลือกสินค้าที่มีความหลากหลายและแตกต่าง หรือมีเอกลักษณ์เฉพาะ แม้ผู้ประกอบการจะมีการ “ปรับตัว” มาโดยตลอด แต่อีกโจทย์ท้าทายที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการสินทรัพย์ (Fixed Asset) ที่ได้ลงทุนไปก่อนหน้านั้น หรือการลงทุนขยายสาขาใหม่และการบำรุงซ่อมแซมสาขาเก่าอย่างไร ให้สามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่ามากที่สุด ขอบคุณที่มากข่าว : bangkokbiznews.com
Person read: 2076
04 January 2018
บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด รายงานผลวิจัยตลาดคอนโดในกรุงเทพปี 2560 โดยพบว่ายูนิตเสนอขายสร้างสถิติใหม่ มากที่สุดในรอบ10 ปี พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มปีหน้าว่ายังเติบโตต่อเนื่อง และเข้าสู่ภาวะการปรับเปลี่ยนจากหลายปัจจัย ทั้งการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดซีแอลเอ็มวี การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้น นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า ปีนี้ตลาดแข่งขันกันดุเดือด เนื่องจากมีสินค้าเสนอขายถึง 6.27 หมื่นยูนิต จาก 128 โครงการ ส่งผลให้รวมทั้งตลาดมี 5.5 แสนหน่วย และเป็นการเปิดตัวที่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา (5.36 หมื่นหน่วยต่อปี) 15% ทำเลที่มีอุปทานเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ พระโขนง-สวนหลวง 1.44 หมื่นหน่วย หรือ 23% พญาไท-รัชดาภิเษก 1.32 หมื่นหน่วยหรือ 21% และธนบุรี-เพชรเกษม 8,900 หน่วยหรือ 14% โดยทั้งหมดคิดเป็น 58% ของคอนโดที่เปิดใหม่ทั้งหมด ด้านยอดขายใหม่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี 5.73 หมื่นหน่วย สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา (5.04 หมื่นหน่วยต่อปี) 14% อย่างไรก็ตาม อัตราการขายรวมของทั้งตลาดยังคงที่อยู่ที่ 90% โดยยอดขายรวมสะสมเพิ่มเป็น 4.96 แสนหน่วย ทำให้ปัจจุบันมีห้องชุดเหลือขาย 5.39 หมื่นหน่วย “ปีนี้คอนโดเปิดใหม่มียอดขายเฉลี่ย 62% ทำเลที่ขายสูงสุด 3 อันดับแรกคือ 1.พระโขนง-สวนหลวง 2.พญาไท-รัชดาภิเษก 3.ปทุมวัน-ราชเทวี” ด้านราคาเฉลี่ยปรับขึ้น 8% เป็น 1.36 แสนบาทต่อตร.ม.จาก 1.21แสนบาทในปีที่แล้ว ทำเลที่ปรับขึ้นสูงสุด คือเขตปทุมวัน และราชเทวี 16% หรือ 2.34 แสนบาทต่อตร.ม. ตลาดกลางเมืองปรับขึ้น 12% หรือ 2.1 แสนบาทต่อตร.ม. เขตยานนาวาและคลองสานที่มียอดขายดี ราคาก็ปรับขึ้น 12% เช่นเดียวกัน ขณะที่ ปีหน้าคาดการณ์ว่า อุปทานจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 5.5 หมื่นหน่วย หรือ 10% โดยกรุงเทพชั้นในและเขตรอบกรุงเทพชั้นใน จะเป็นทำเลที่มีอุปทานใหม่เกิดขึ้นมาก ส่วนกรุงเทพชั้นนอกจะมีโครงการเปิดใหม่ไม่มากนักแต่จำนวนหน่วยต่อโครงการค่อนข้างมาก นลินรัตน์ กล่าวว่า ปีหน้ายังจะได้เห็นแนวโน้มการพัฒนาคอนโดทุกเซ็กเมนต์ในซอยเล็ก เป็นตึก 7-8 ชั้นมากขึ้น เนื่องจากที่ดินริมถนนใหญ่หายาก และราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนตลาดกลุ่มต่างๆ คาดว่าตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ และตลาดลักชัวรี่ ผู้ประกอบการรายใหญ่และรายใหม่ๆ ยังให้ความสนใจ และราคาจะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มผู้ซื้อจะขยายวงออกไปยังตลาดต่างชาติทั้งซื้อไว้ลงทุนและเป็นที่บ้านหลังที่ 2 “การเข้ามาของต่างชาติ นอกจากในฐานะผู้ซื้อแล้ว ยังเข้ามาในภาพของผู้ร่วมทุนอีกด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ซื้อเกิดความเชื่อมั่นได้มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย” สำหรับตลาดไฮเอนด์ ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ จะยังคงเป็นรายใหญ่ที่ซื้อที่ดินติดรถไฟฟ้ากลางเมืองได้ แต่จะมีผู้ซื้อในวงจำกัด ส่วนระดับกลาง ยังคงเป็นโครงการที่อยู่บริเวณรอบใจกลางเมือง อยู่ใกล้รถไฟฟ้า ผู้ซื้อมีรายได้ที่มั่นคง ต้องการอยู่อาศัยจริง ขณะที่ตลาดซิตี้คอนโด เงื่อนไขด้านราคายังคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจของผู้ซื้อ ดังนั้น ผู้ประกอบการควรต้องบริหารต้นทุนให้ดี ด้านปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาด มีทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ต้องมองถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศด้วย เช่น พัฒนาการทางเศรษฐกิจของเพื่อนบ้าน เนื่องจากภายใน 10 ปี ประเทศกลุ่มซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) อาจพัฒนาทันไทย และมีโอกาสที่จะเติบโต เงินลงทุนที่เคยเข้าไทย อาจกระจายออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ การที่ไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว จะส่งผลให้ที่อยู่อาศัย ต้องปรับเปลี่ยนไป รวมถึงทิศทางลงทุนที่ผู้ประกอบการจะหันมาพัฒนา โครงการสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) บนที่ดินขนาดใหญ่ครอบครองโดยหน่วยงานรัฐบาล “นอกจากนี้จะเห็นการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสเพื่อกระจายความเสี่ยง ลดการแข่งขันทางธุรกิจมากขึ้น และตลาดต่างประเทศ ก็ยังคงเข้ามาเพิ่มบทบาทความสำคัญ ทั้งในแง่การลงทุนขนาดใหญ่และรายย่อยบริษัทต่างชาติจะให้ความสนใจร่วมลงทุนกับผู้พัฒนาโครงการในไทยทั้ง ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง” ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com/
Person read: 2206
25 December 2017
"กรมอุตุนิยมวิทยา" ประกาศเตือน "พายุเทมบิน" ฉบับที่ 1 คาดเคลื่อนตัวลงสู่อ่าวไทยและภาคใต้ของประเทศช่วง 26-28 ธ.ค.นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนภัยลักษณะอากาศ ฉบับที่ 1 เรื่อง “พายุ “เทมบิน” (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 26-28 ธันวาคม 2560)” ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า เมื่อเวลา 16.00 น. (24 ธ.ค.) พายุไต้ฝุ่น "เทมบิน" (TEMBIN) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 8.2 องศาเหนือ ลองจิจูด 112.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางใต้เล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 26 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนล่างและตอนใต้ของประเทศเวียดนามในช่วงวันที่ 24-26 ธันวาคม 2560 และมีแนวโน้มจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชันตามลำดับ โดยในช่วงวันที่ 26-28 ธันวาคม 2560 พายุนี้จะเคลื่อนตัวลงสู่อ่าวไทยและภาคใต้ของประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเกิดขึ้นได้ สำหรับภาคใต้มีฝนตกหนักหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดในระยะนี้ และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com
Person read: 2107
25 December 2017
มาสด้า 2 มาแรง ครองอันดับ 1 กลุ่ม บีคาร์+อีโค คาร์ ชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เดือน พ.ย.ที่ผ่รนมา มาสด้าสร้างยอดขายสูงสุดในรอบ 2 ปี 5,017 คัน เพิ่มขึ้น 56% จากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว โดยในยจำนวนนี้มาสด้า2 มียอดขายที่โดดเด่น 3,235 คัน เติบโต 90% กลับขึ้นมาครองอันดับ 1 ตลาดรถยนต์นั่งบีคาร์รวมกับอีโคคาร์ได้สำเร็จอีกครั้ง หลังเคยสร้างประวัติศาสตร์ก้าวขึ้นครองเบอร์หนึ่งมาแล้วเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา “นับตั้งแต่ต้นปีมาสด้าส่งรถยนต์รุ่นใหม่ลงตลาดมากถึง 6 รุ่น พร้อมทั้งชูจุดแข็งด้านเทคโนโลยีอันล้ำอนาคตที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ ด้วยความแรง แต่ประหยัดน้ำมัน ผนวกกับระบบความปลอดภัยเต็มคัน ทำให้รถยนต์มาสด้าทุกรุ่นต่างได้รับกระแสความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะรถเก๋งเล็กอย่างมาสด้า2” ขณะที่ซีเอ็กซ์-5 ใหม่ มียอดส่งมอบแล้ว 581 คัน เติบโต 72% และมียอดจองกว่า 2,000 คัน ตามด้วย มาสด้า3 จำนวน 356 คัน เพิ่มขึ้น 4% มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 จำนวน 265 คัน เพิ่มขึ้น 25% และมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 จำนวน 1 คัน ส่วนรถปิกอัพ บีที-50 โปร 579 คัน ลดลงเล็กน้อย 7% ขอบคุณที่มาข่าว : bangkokbiznews.com/
Person read: 2170
18 December 2017
รายได้จากการวิจัย 1,961 ล้านบาทจากเป้าหมาย 1,830 ล้านบาทในปี 2560 เป็นผลจากการทำงานของ สวทช. ที่เดินหน้าเต็มกำลังวิจัยพัฒนาตอบโจทย์ทุกภาคส่วน และเตรียมพร้อมที่จะก้าวสู่ปี 2561 มุ่ง 5 ด้านทั้งอาหารเพื่ออนาคต, ระบบขนส่งสมัยใหม่, การสร้างสุขภาพและคุณภาพ “ตลอด 1 ปีที่บริหารงานเป็นช่วงที่ สวทช. ได้รับโอกาสในการทำงานหลายๆ เรื่องจากรัฐบาล โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมผลักดันระบบวิจัยของประเทศอย่างเข้มข้น จนเกิดแผนยุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ 20 ปี” ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวภายในการแถลงผลงานในรอบปี ปีแห่งนวัตกรรมเชิงรุก การศึกษาค้นคว้าที่ทำมาอย่างต่อเนื่องเกิดเป็นผลงานพร้อมใช้ ที่ตอบสนองความต้องการของภาคเกษตร บริการและอุตสาหกรรมได้เป็นที่น่าพอใจ ทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่การใช้ประโยชน์ 255 โครงการให้กับ 311 หน่วยงาน สร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม 27,546 ล้านบาท เกิดการลงทุนด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของภาคการผลิตและบริการ 9,456 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งการรับจ้างวิจัย การร่วมวิจัย การขายสิทธิบัตรรวมทั้งการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วย ในปี 2560 สวทช.ยื่นจดสิทธิบัตร 301 รายการ และผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ 578 ฉบับ ซึ่งในจำนวนนี้มีผลงานตีพิมพ์ที่มี Impact Factor ระดับ 34 ที่ถือว่าสูงมาก 1 ฉบับ หากนับรวม 4 ปีที่ผ่านมา สวทช. มีบทความตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติแล้ว 2,035 ฉบับ โดยผลงาน 1 ใน 3 ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติชั้นนำของโลก รวมถึงได้รับการนำไปใช้อ้างอิงในทางวิชาการสูงกว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมของประเทศ ด้านการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทยผ่านโปรเจคหลักๆ ประกอบด้วย โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ITAP ส่งผู้เชี่ยวชาญทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ 1,551 โครงการ มูลค่าผลกระทบ 2,573 ล้านบาท มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประมาณการตัวเลขผลกระทบด้านการลงทุนปี 2559 ระบุว่า ทุก 1 บาทที่ภาคเอกชนลงทุนก่อให้เกิดผลกระทบประมาณ 7.64 บาท หรือ 7 เท่า ในระยะเวลา 1 ปี โครงการหิ้งสู่ห้าง 3 หมื่นบาททุกสิทธิบัตร มีผู้ขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีกว่า 306 รายการ ขณะที่โครงการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรม หรือ Start-up Voucher 8 แสนบาทต่อโครงการ ได้สนับสนุนเงินด้านการตลาด 82 ราย มูลค่า 60 ล้านบาท สร้างรายได้ 80 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการภาษีวิจัย 300% ได้ให้การรับรอง 400 โครงการ ในส่วนของบัญชีนวัตกรรมก็มีผู้ยื่นขอ 326 รายการให้การรับรอง 136 รายการ “จากรายได้ที่เราขยายเป้าเพิ่มระหว่างปีนี้ เราเชื่อว่าในปี 2561 จะสร้างรายได้มากกว่า 2 พันล้านบาททั้งจากการรับจ้างวิจัย การร่วมวิจัยกับภาคเอกชน รวมถึงบริการทางเทคนิคต่างๆ ที่สำคัญ คือ การเพิ่มส่วนของการฝึกอบรมสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ต้องขยับสู่เทคโนโลยีใหม่ (Retrain) รวมถึงภาคเกษตรกรรมที่ต้องเปลี่ยนสู่เกษตรสมัยใหม่” 5 กรอบวิจัยนำไทยสู่ 4.0 ทิศทางการวิจัยของ สวทช. จะมุ่งเน้นให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและตอบความต้องการของภาคเอกชน ผ่านนโยบายการขับเคลื่อนด้วยประเด็นมุ่งเน้น 5 ด้าน ตามแผนกลยุทธ์ฉบับที่ 6 (2560-2564) ได้แก่ อาหารเพื่ออนาคต ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรามซัพพลายเชน, ระบบขนส่งสมัยใหม่, การสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตคนไทย, เคมีชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพ และ นวัตกรรมเพื่อการเกษตรยั่งยืน ขณะเดียวกันจะต่อยอดจากฐานความเชี่ยวชาญของ 4 ศูนย์แห่งชาติ ของ สวทช. ทั้งด้าน ไบโอเทคโนโลยี ดิจิทัลเทคโนโลยี เทคโนโลยีวัสดุ และนาโนเทคโนโลยี มีเป้าหมายเพื่อการส่งเสริมให้ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศ ได้ใช้ประโยชน์จากผลการศึกษาวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมของไทย อาทิ อีอีซีไอซึ่งมีจุดโฟกัสอยู่ที่ 6 อุตสาหกรรม “สวทช.ได้ลงนามร่วมกับหน่วยงานต่างๆ รวม 63 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันพัฒนาอีอีซีไอบนพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ประกอบด้วย พื้นที่สีเขียว 40% พื้นที่วิจัย 40% และส่วนสนับสนุนการวิจัย 20% ทั้งนี้มีแผนการพัฒนาโครงการอีอีซีไอในปี 2561 อาทิ การออกแบบอาคาร การใช้ศักยภาพของโปรแกรม ITAP ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับเอสเอ็มอีในพื้นที่ นอกจากนี้ยังนำงานวิจัยและนวัตกรรมด้านเกษตรของหน่วยงาน สท. ลงพื้นที่ 50 ชุมชนทันที” ในปี 2561 สวทช.เตรียมจัดทำเมกะโปรเจคใหม่ อาทิ ธนาคารพันธุ์พืช ธนาคารข้อมูลจีโนมหรือดีเอ็นเอ เป็นสิ่งที่ไทยต้องลงทุนเพื่อผลในระยะกลางหรือระยะยาว ขอบคุณที่มาข่าว : bangkokbiznews.com
Person read: 2187
18 December 2017
นครชัยฯลุยทุ่ม40ล้าน แข่งธุรกิจ "เจ๊เกียว" เพิ่มรถทัวร์ป1 กรุเทพ-โคราช เผยจัดเที่ยวพิเศษโดยสารฟรี 8 เที่ยว รับบริการจากบัสโฮสเตสกิตติมศักดิ์ 8 สาวสวยทายาทของคหบดี ที่ชานชาลาที่ 15 สถานีขนส่งนครราชสีมาแห่งที่ 2 (บขส.ใหม่ โคราช) เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 17 ธันวาคม นางกุลธิรา วงศ์เบญจรัตน์ ชัยยุตต์ อายุ 29 ปี รองกรรมการผู้จัดการบริษัท นครชัย 21 จำกัด ทำพิธีเปิดเที่ยวรถพิเศษตอบแทนผู้ใช้บริการรถโดยสาร “ นครชัยทัวร์ 21 ” สายกรุงเทพฯ -นครราชสีมา โดยจัดโปรโมชั่นฉลองครบรอบ 1 ปี ให้ประชาชนใช้บริการเที่ยวขาล่องหรือขาเข้ากรุงเทพ ฯ ฟรี จำนวน 8 เที่ยว และรับของที่ระลึกจากบัสโฮสเตสกิตติมศักดิ์รวม 8 คน ทั้งหมดเป็นสาวสวยทายาทของคหบดีเมืองโคราช ซึ่งผลัดเปลี่ยนให้บริการตลอดการเดินทางรวมทั้งลดราคาค่าโดยสารในเที่ยวปกติ 20 % ทุกนั่ง เนื่องจากเปิดให้รับตั๋วโดยสารก่อน 1 ชั่วโมง ของเที่ยวบริการฟรี จึงมีผู้โดยสารแห่มาใช้สิทธิพร้อมขอถ่ายรูปเซลฟี่กับบัสโฮสเตสกันอย่างคึกคัก นางกุลธิรา ฯ รองกรรมการ ฯ เปิดเผยว่า ผลตอบรับหลัง นครชัย 21 ได้เปิดให้บริการเที่ยวแรกในวันที่ 19 ธันวาคม 2559 โดยใช้ทุนดำเนินการกว่า 100 ล้านบาท เพื่อจัดสิ่งอำนวยความสะดวกตอบสนองความต้องการ โดยมีเบาะนวดไฟฟ้า ที่นั่งเลดี้โซน สัญญาณไวไฟ อินเตอร์เน็ต ช่องเสียบยูเอสบี คุณภาพระดับวีไอพีในราคา 191 บาท ซึ่งเท่ากับผู้ให้บริการรายอื่น แต่จำนวนรถที่มีเพียง 26 คัน ไม่สามารถให้บริการช่วงกลางคืนได้ จึงได้เพิ่มทุนประมาณ 40 ล้านบาท ในการจัดซื้อสัมปทานหรือคิวและตัวรถเพิ่มอีก 11 คัน รวมทั้งสิ้น 37 คัน เพื่อให้บริการหลัง 19.00 น. เป็นการตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางในช่วงกลางคืน “ นครชัย 21 ” ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาคุณภาพให้ดีที่สุดให้สมกับสโลแกนที่ยึดมั่นมาตลอดว่า “ เดินทางกับนครชัยทัวร์ เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ( Treating you as our family ) ” หากย้อนรอยกว่า 20 ปี ที่ผ่านมาถือเป็นยุคทองของรถร่วมโดยสารปรับอากาศชั้น 1 หมวด 2 สาย 21 เส้นทางกรุงเทพฯนครราชสีมาโดยมีผลประกอบการที่ดีมากจากจำนวนผู้โดยสารมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศช่วงกลางวันต้องปล่อยรถในระยะเวลาเฉลี่ย15 นาทีต่อคันรวมทั้งการซื้อขายรวมคิว และตัวรถสูงกว่า 11 ล้านบาท ซึ่งมีบริษัท ราชสีมาทัวร์ จำกัด ของเจ๊เกียว นางสุจินดา เชิดชัย เจ้าแม่รถทัวร์ประเทศไทย อดีตนายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารขนส่ง ซึ่งผูกขาดอยู่เพียงเจ้าเดียว ต่อมา ช่วงสมัยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกระทรวงคมนาคม ปี 2538 ได้อนุมัติสัมปทานให้กับ บริษัท แอร์โคราชพัฒนา จำกัด และในวันที่ 14 มีนาคม 2550 ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งของ บริษัท ราชสีมาทัวร์ จำกัด ได้แยกออกมาตั้ง บริษัท สุรนารีแอร์ จำกัด รวมทั้งในปี 2556 บริษัท บ้านช้างเผือกทัวร์ จำกัด ของนายธงชัย ทองแสนสุข เจ้าของโรงงานไอศกรีมช้างเผือก ได้สัมปทานเป็นรายที่ 4 ล่าสุดทายาทของกลุ่มนครชัยขนส่ง ผู้ให้บริการรถโดยสารหลายเส้นทางในประเทศไทย ได้ซื้อคิวพร้อมตัวรถ มาจัดตั้งบริษัท นครชัย 21 จำกัด เป็นคู่แข่งรายที่ 5 ขณะนี้มีรถร่วมโดยสารปรับอากาศชั้น 1 หมวด 2 สาย 21 รวมทั้งสิ้น 248 คัน โดยเป็นมีสัมปทานของราชสีมาทัวร์มากที่สุด รองลงมาตามลำดับ แอร์โคราชพัฒนา นครชัย 21 สุรนารีทัวร์และบ้านช้างเผือกทัวร์ นอกจากนี้ยังมีรถยนต์โดยสารปรับอากาศชั้น 2 และรถตู้โดยสารสายกรุงเทพนครราชสีมา รวมกว่าร้อยคันรวมทั้งล่าสุด สายการบิน Newgen airways นิวเจนแอร์เวย์ส ได้เปิดให้บริการเส้นทางการบิน ดอนเมือง-โคราช เที่ยวปฐมฤกษ์ ในวันนี้ ( 17 ธค.) ในราคาเริ่มต้น 499 บาท ถือเป็นสถานการณ์ที่เข้มข้น ท่ามกลางจำนวนผู้โดยสารลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการต้องงัดกลยุทธ์มาช่วงชิง เพื่อสร้างแรงดึงดูดแต่ก็ไม่มีแรงบวกพอที่จะให้มีผลกำไรเฟื่องฟูเหมือนในอดีตที่ผ่านมา หลายรายต้องประคองตัวเองให้รอดพ้นอุปสรรคนานัปการ ส่งผลผู้ประกอบการบางรายได้ประกาศขายเฉพาะคิวรถคันละ 7 แสนบาท ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com
Person read: 3732
18 December 2017
โจทย์ธุรกิจยุคใหม่มุ่งจับมือ “พันธมิตร” เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดอย่างชัดเจน เป็นแต้มต่อทางการแข่งขันเหนือคู่แข่ง ยิ่งทวีความสำคัญสำหรับการช่วงชิงลูกค้าท่ามกลางทางเลือกที่มีเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา จักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส บริหารสินค้า บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจ เพาเวอร์มอลล์ (Power Mall) ร้านค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้คอนเซปต์ “อิเล็กทรอนิกส์ ไลฟ์สไตล์” มีการผนึกกำลังพันธมิตรธุรกิจ “เอสบี ดีไซน์ สแควร์” ในการขยายพัฒนาธุรกิจและขยายตลาดร่วมกัน โดยสร้างคอนเซปต์การให้บริการรูปแบบใหม่ของ เพาเวอร์มอลล์ ที่ตอบโจทย์ความครบของการแต่งบ้าน ประเดิม เอสบี ดีไซน์ สแควร์ สาขา เดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์ “ทั้งเพาเวอร์ มอลล์ และ เอสบี ดีไซน์ สแควร์ ต่างมีเป้าหมายร่วมกันในการมุ่งพัฒนา โฮม ลิฟวิ่ง ไลฟ์สไตล์ ที่จะผสานจุดแข็งของทั้ง 2 ธุรกิจสร้างประสบการณ์และความแปลกใหม่ให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์" เอสบี ดีไซน์ สแควร์ สาขาเดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์ ศูนย์รวมการแต่งบ้านใหญ่สุดบน ถ.ราชพฤกษ์ มีสินค้าบริการทั้งเฟอร์นิเจอร์ สินค้าแต่งบ้าน และบริการออกแบบตกแต่งครบวงจร ให้บริการแบบ วันสต็อปเซอร์วิส โดยมี “จุดขาย” ที่จะกลายเป็นจุดแข็งร่วมกันระหว่าง เพาเวอร์มอลล์ และ เอสบี ดีไซน์ สแควร์ คือ การนำเสนอไอเดียการแต่งบ้านที่สามารถเพิ่ม “เครื่องใช้ไฟฟ้า” เข้าไปด้วยเทคโนโลยี Digital Mapping 3D รวมถึงการให้บริการส่งสินค้าแบบ ส่งตรงถึงบ้าน หรือ ดีลิเวอรี (Delivery) ส่งทุกวันภายใน 24 ชั่วโมง รวมถึงบริการพิเศษจากเพาเวอร์มอลล์ อาทิ บริการให้คำปรึกษา และคำแนะนำจากแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ การสาธิตวิธีใช้งานอย่างมืออาชีพ การติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญการ การรับประกันราคา และเป็นศูนย์บริการที่รับส่งซ่อมสินค้าไปยังแบรนด์ชั้นนำ เพาเวอร์มอลล์ ยังให้บริการความนำสมัยของสินค้าเครื่องไฟฟ้า ทีวีเครื่องเสียง โดยเฉพาะสินค้าในส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (Home Appliances) และเครื่องครัว (Kitchen Appliances) ที่โดดเด่นจากแบรนด์หลัก อาทิ ซัมซุง โซนี่ แอลจี อีเล็กโทรลักซ์ ฮิตาชิ ฯลฯ โดยระหว่างวันที่ 8 ธ.ค.2560-15 ม.ค.2561 ได้จัดโปรโมชั่นใหญ่เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการใช้จ่าย โดยสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าจากแบรนด์ชั้นนำลดราคาสูงสุด 50 % เมื่อช้อปตั้งแต่ 1.2 หมื่นบาทขึ้นไปรับคูปองส่วนลดเงินสดสูงสุด 3 หมื่นบาท สมาชิก เอ็มการ์ด และเอสบี แฟมิลี่ ลดเพิ่มสูงสุด 15% พร้อมคะแนนสะสม สาขาใหม่ของเพาเวอร์ มอลล์ ครั้งนี้ นับเป็นการขยายธุรกิจนอกเครือห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าเดอะมอลล์เป็นครั้งแรก โดยใช้งบประมาณ 45 ล้านบาท คาดว่าภายใน 1-2 ปี แรก จะมียอดขายเฉลี่ย 300 ล้านบาทต่อปี ด้าน ธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ กล่าวว่า ความร่วมมือกับเพาเวอร์มอลล์เสริมศักยภาพให้ เอสบี ดีไซน์ สแควร์ มุ่งสู่ความเป็น “โฮม ดีไซน์ โซลูชั่นส์” ของคนรักการแต่งบ้าน ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความสะดวก ครบวงจร ในการใช้บริการ “ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าเฟอร์นิเจอร์และเครื่องไฟฟ้าต่อเนื่องไปกับการเซ็ตแบบ เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ก็สามารถซื้อ ทีวีจากเพาเวอร์มอลล์ ไปตกแต่งเพิ่มเติมได้ทันที รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอื่นๆ จะมาเติมเต็มความครบถ้วนของสินค้าที่เกี่ยวกับบ้านให้กับ เอสบี ดีไซน์สแควร์ สาขาเดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์ มากขึ้น” เอสบี ดีไซน์สแควร์ สาขาเดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์ มีพื้นที่กว่า 2.3 หมื่นตร.ม. รัสมีให้บริการครอบคลุมพื้นที่ปิ่นเกล้า พุทธมณฑล บางใหญ่ ราชพฤกษ์ รัตนาธิเบศร์ เพชรเกษม ซึ่งมีโครงการหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมนับร้อยโครงการ ถือเป็นเป็นโซนที่อยู่อาศัยที่มีการเติบโตสูงของกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน ทำให้มีลูกค้าใช้บริการมากกว่า 6 หมื่นคนต่อเดือน โดยมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง การจับจ่ายของลูกค้าต่อครั้งเฉลี่ย 4.5 หมื่นบาท หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เกิน 1 แสนบาทต่อใบเสร็จ พบว่ามีปริมาณมากกว่าสาขาอื่น 10-20% เลยทีเดียว จากการเก็บข้อมูล พบว่าลูกค้าที่มาซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่สาขานี้ “สนใจและต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติมค่อนข้างมาก” เพราะส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยที่อยู่ในโครงการหมู่บ้านใหม่ เชื่อว่าเพาเวอร์มอลล์เล็งเห็นโอกาสและกำลังซื้อของลูกค้าในโซนนี้เช่นเดียวกัน จึงเป็นที่มาของกลยุทธ์ความร่วมมือขยายฐานลูกค้าใหม่ร่วมกัน ขณะที่แพลตฟอร์มใหม่ของ เพาเวอร์มอลล์ ในการสร้างจุดขายร่วมกับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ คาดว่าจะผลักดันธุรกิจเพาเวอร์มอลล์ มียอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 7% สวนทางตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในภาพรวมที่ค่อนข้างซบเซา ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com/
Person read: 2273
12 December 2017
ฟิลิปปินส์ แอร์ไลน์ ตั้งเป้าขึ้นแท่นเป็นสายการบิน 5 ดาวภายในปี 2563 รุกหนักเส้นทางอเมริกาเหนือ ชูจุดแข็งเหนือคู่แข่ง ระยะบินถึงใน 12 ชั่วโมงจากมะนิลา หวังโกยลูกค้าตลาดเอเชียใช้บริการเพิ่ม เผยแผนสั่งเครื่องบิน 15 ลำประจำการ เสริมแกร่งบินไกล นางสาวดีน่า เมย์ ฟลอเรส รองประธานด้านบริหารรายได้ สายการบินฟิลิปปินส์ แอร์ไลน์ กล่าวว่าวางเป้าหมายเป็นสายการบินระดับ 5 ดาวภายในปี 2563 โดยระหว่างนี้เริ่มดำเนินการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้โดยสาร เช่น ปรับปรุงให้ที่นั่งในเที่ยวบินระยะใกล้ มีจอภาพสำหรับความบันเทิงระหว่างโดยสาร เพิ่มระยะพื้นที่วางขาระหว่างเบาะโดยสารเพิ่มขึ้น และให้บริการเต็มรูปแบบด้วยอาหารร้อนภายในเที่ยวบินทั้งหมด เป็นต้น ซึ่งจะทำคู่ขนานไปพร้อมกับการขยายเส้นทางภายในเอเชีย และเพิ่มฝูงบินใหม่ๆ ให้สอดรับกับเส้นทางที่เติบโตขึ้น ในปี 2561 มีแผนนำเครื่องบินประจำการเพิ่มอีก 15 ลำ จากที่มีอยู่แล้ว 88 ลำ ในจำนวนดังกล่าวมี ได้แก่ แอร์บัส เอ350 อยู่ 5 ลำ เป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง (Wide Body) ใช้รองรับการขยายเส้นทางระยะไกลสู่ภูมิภาคอเมริกา โดยเป็นสายการบินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายแรกที่บินตรงสู่ นิวยอร์ก เมืองในฝั่งตะวันตกของอเมริกา ด้วยการใช้กรุงมะนิลาเป็นศูนย์กลางการบิน (ฮับ) ระยะเวลาเดินทางราว 16 ชั่วโมง สำหรับเส้นทางอเมริกาฝั่งตะวันออกนั้น มีจุดเด่นที่การใช้ระยะเวลาที่ใกล้กว่าเพียง 12 ชั่วโมงข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ปัจจุบันมีเส้นทางที่ให้บริการอยู่แล้ว ได้แก่ ซานฟรานซิสโก, ลอสแองเจลิส และอีก 2 เมืองในแคนาดา ได้แก่ โตรอนโต และแวนคูเวอร์ อีกทั้งมีเส้นทาง ฮอนโนลูลู ในฮาวาย มลรัฐหนึ่งของสหรัฐที่อยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย “ฟิลิปปินส์ แอร์ไลน์ ถือเป็นสายการบินแห่งแรกของเอเชีย มีอายุกว่า 77 ปี การเติบโตครั้งนี้วางวิสัยทัศน์ก้าวขึ้นเป็นสายการบินระดับ 5 ดาว ที่พร้อมให้บริการเชื่อมต่อเส้นทางระยะไกลที่สะดวก ดังนั้นจึงไม่เพียงแต่ขยายเส้นทางจากมะนิลาไปยังอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเตรียมขยายเส้นทางจากมะนิลาให้ครอบคลุมทั้งเอเชีย เพื่อให้ลูกค้าเดินทางเชื่อมต่อสะดวกมากขึ้น” การขยายเส้นทางระยะใกล้ จะทยอยทดแทนฝูงบินเดิมคือ แอร์บัส เอ321 และ เอ320 ด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ เอ321 นีโอ ที่จะทยอยเข้ามาในปีหน้าก่อน 6 ลำ ซึ่งเส้นทางใหม่ล่าสุดคือ กรุงเทพฯ-เซบู เมืองใหญ่อันดับ 2 ของฟิลิปปินส์ ที่มีจุดเด่นเรื่องการเป็นเมืองเศรษฐกิจและมีแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลในจุดหมายเดียวกัน มีกลุ่มเป้าหมายที่ตลาดประชุมสัมมนา และนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เริ่มเที่ยวบินแรกแล้วตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ด้วยเครื่องแอร์บัส เอ321 ขนาด 199 ที่นั่ง เริ่มต้นให้บริการด้วยความถี่ 3 เที่ยว/สัปดาห์ ทั้งนี้ เส้นทางเชื่อมอาเซียนที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ เส้นทางจากมะนิลาไปยัง กรุงเทพฯ, สิงคโปร์, โฮจิมินห์, กัวลาลัมเปอร์, จาการ์ต้า, เดนปาซาร์ (บาหลี) ส่วนการใช้เซบูเป็นฮับนั้น นอกจากกรุงเทพฯ ที่เป็นเส้นทางล่าสุดแล้ว ยังมีเส้นทางเซบู-สิงคโปร์ ด้วย ขณะเดียวกันมีการขยายเส้นทางไปยังเอเชียเหนือแล้วได้แก่ โอซาก้า, นาโกย่า, โตเกียว ในญี่ปุ่น รวมถึงกรุงโซล ในเกาหลีใต้ด้วย ซึ่งสามารถเป็นจุดขายเส้นทางเชื่อมต่อให้ตลาดอาเซียนมาแวะต่อเครื่องที่มะนิลา เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายที่นิยมดังกล่าวด้วย นายเออร์วิน เอฟ บาลาเน่ หัวหน้าแผนกพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ กล่าวว่าปีที่ผ่านมาฟิลิปปินส์มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.8 ล้านคน แต่ในปี 2563 ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 12 ล้านคน ขณะที่ตลาดคนไทยไปฟิลิปปินส์ยังมีเพียง 4.4 หมื่นคนต่อปี แต่เชื่อว่าแนวโน้มการเดินทางของต่างชาติมายังฟิลิปปินส์จะเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศในกลุ่มอาเซียนเชื่อมโยงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการเดินทางเพิ่มขึ้น สำหรับตลาดใหม่ๆ ที่จะรุกหนักมากขึ้น คือ กลุ่มคนที่ต้องการท่องเที่ยวไปด้วยและเรียนภาษาอังกฤษไปด้วย โดยมีเป้าหมายในตลาดที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไทย และประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง เพราะฟิลิปปินส์มีจุดเด่นที่ประชากรกว่า 98% สื่อสารภาษาอังกฤษเป็นหลักและมีโรงเรียนสอนภาษาจำนวนมาก ขอบคุณข่าวจาก: bangkokbiznews.com
Person read: 2284
12 December 2017
เอ็มจี เปิดสายผลิตโรงงานแห่งใหม่ ดันไทยฐานส่งออกรถพวงมาลัยขวาปีหน้า เดินหน้าขยายตลาดเสริมสินค้าใหม่ ทั้งปิกอัพ พีพีวี รถพลังงานไฟฟ้า ส่ง “อาร์เอ็กซ์ 5อีวี” ทดสอบการใช้งานแบตเตอรี พร้อมเอ็มโอยู สวทช.ร่วมมือศึกษา ก่อนตัดสินใจยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด จัดพิธีเปิดสายการผลิตโรงงานแห่งใหม่ภายในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์น ซีบอร์ด 2 จังหวัดชลบุรี โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี อัครราชทูตที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูต สาธารรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ผู้บริหารเอสเอไอซี มอเตอร์ ประเทศจีน ผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี เข้าร่วมงาน นายสือ กั๋ว หย่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวว่าโรงงานแห่งใหม่ใช้เงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 437 ไร่ มีกำลังการผลิตสูงสุด 1 แสนคันต่อปี โดยเริ่มต้นผลิตรถเอสยูวี แซดเอส ซึ่งเป็นโกลบอล โมเดล ของเอ็มจี เป็นรุ่นแรก ทั้งนี้ โรงงานแห่งใหม่ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ของเอ็มจี ต่อจากจีน บริษัทแม่วางแผนให้เป็นฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวาเพื่อส่งออกไปยังตลาดที่ใช้พวงมาลัยขวาทั่วโลก ควบคู่ไปกับบริษัทแม่ที่จะผลิตรุ่นพวงมาลัยซ้าย คาดส่งออกครึ่งหลังปีหน้า นายธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการ กลุ่ม ซีพี และประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรมเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่าการส่งออกของโรงงานแห่งใหม่คาดว่าจะเริ่มต้นได้ในช่วงครึ่งหลังปี 2561 หลังจากดำเนินการผลิตต่างๆ ในโรงงานแห่งนี้เสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้ เอ็มจี เริ่มเข้ามาไทยในปี 2556 แต่เป็นการเช่าโรงงานสำเร็จรูปที่ชลบุรี รูปแบบการดำเนินการเป็นเพียงแค่การประกอบรถเท่านั้น แต่โรงแห่งใหม่ จะมีขอบข่ายที่มากกว่า โดยมีการผลิตชิ้นส่วนตัวถังปั๊มขึ้นรูป (stamping parts) และห้องสี “ซีพีรู้จักกับเอสเอไอซี มากว่า 30 ปี เราทำธุรกิจร่วมกัน ซึ่งการร่วมทุนก่อนหน้านี้ เป็นตัวอย่างความสำเร็จในการร่วมมือทางเศรษฐกิจไทยจีน และจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต” เสริมไลน์สินค้า นายสือ กล่าววว่า เอ็มจี ให้ความสำคัญกับตลาดเมืองไทยอย่างมาก นับตั้งแต่การเข้ามาทำธุรกิจในไทยเมื่อปี 2556 ถึงปัจจุบัน เห็นได้ว่ามีการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว มีรถจำหน่ายถึง 5 รุ่นหลักด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเอ็มจี 3 เอ็มจี 5 เอ็มจี 6 เอ็มจี จีเอส และล่าสุดคือ เอ็มจี แซดเอส ซึ่งเป็นอินเทอร์เน็ต คาร์ คันแรกในไทย เป็นการสานต่อแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทแม่ เอสเอไอซี กำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจไว้ 4 เรื่องหลักคือ 1.พลังงานทางเลือก เช่น พลังงานไฟฟ้า 2.อินเทอร์เน็ต คาร์ 3.คาร์ แชริ่ง และ 4.ออโตโนมัส หรือระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ซึ่งแผนการนี้จะส่งมาถึงไทยเช่นกัน โดยขณะนี้ได้เริ่มต้นแล้วกับ อินแทอร์เน็ต คาร์ การมุ่งมั่นทางด้านการส่งเสริมเทคโนโลยี สอดคล้องกับแนวนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลและที่ผ่านมา เอสเอไอซี ก็ได้รับการชักชวนจากรัฐบาลให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ หรือ อีอีซี รวมถึงการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี ในอีอีซี ไอ “เอสเอไอซี มองว่าการเข้ามาลงทุนในไทย ไม่ได้เป็นเพียงฐานการผลิต แต่จะเป็นการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี” นำเข้าอีวีศึกษาใช้งานก่อนเจรจารัฐ นายเฉิน หง ประธานกรรมการ เอสเอไอซี มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ประเทศจีน กล่าวว่าบริษัทสนใจที่จะทำตลาดรถพลังงานไฟฟ้า(อีวี) ในไทย ล่าสุดวานนี้ (8 ธ.ค.) ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ด้านการวิจัยและพัฒนารถยนต์สมัยใหม่ กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เพื่อศึกษารายละเอียดต่างๆ รวมถึงช่องทางการทำตลาดในอนาคต นายธนากร กล่าวว่าขณะนี้บริษัทได้นำเข้ารถยนต์พลังงานไฟฟ้า ยี่ห้อโรวี รุ่น อาร์เอ็กซ์ 5 ซึ่งเป็นอีกยี่ห้อในกลุ่มเอสเอไอซี เข้ามาทดสอบการใช้งานไนไทย เพื่อดูความสามารถในการใช้งานด้านต่างๆ โดยเฉพาะคุณสมบัติของแบตเตอรี่ กับสภาพอากาศและการใช้งานของไทย ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับ สวทช. หากพบว่าได้ผลที่น่าพอใจ จะนำรายละเอียดทั้งหมดไปหารือกับภาครัฐอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจว่าจะยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) หรือไม่ นายธนากร กล่าวว่ารถพลังงานไฟฟ้าเป็นทิศทางของอนาคต ที่โลกกำลังก้าวไป ขณะที่จีน ถือว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้อย่างมาก มีการใช้งานรถประเภทนี้อย่างแพร่หลาย โดยล่าสุดพบว่า รถพลังงานไฟฟ้าของโลกนั้น สัดส่วน 35% เป็นการใช้งานในประเทศจีน จึงทำให้มั่นใจว่าความแข็งแกร่งดังกล่าวของบริษัทแม่ จะทำให้การผลิตและจำหน่ายในไทย จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้ เงื่อนไขของบีโอไอ ระบุว่าให้ผู้ที่สนใจลงทุนผลิตรถพลังงานไฟฟ้า และปลั๊กอิน ไฮบริด ต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในปี 2561 ส่วนการลงทุนรถไฮบริด ต้องยื่นภายในวันที่ 31 ธ.ค.ปีนี้ “สมคิด”ย้ำไทยต้องเป็นศูนย์กลางอีวี นายสมคิด กล่าวว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามไทยจะต้องเตรียมความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต โดยเฉพาะกระแสของรถพลังงานไฟฟ้าที่จะมีบทบาทมากขึ้นแน่นอน ดังนั้นรัฐจึงต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออก โดยมีแนวทางส่งเสริมอย่างชัดเจน รวมถึง การตั้ง อีอีซี ไอ ก็เป็นหนึ่งในแผนการส่งเสริมเช่นกัน นายสมคิด กล่าวถึงการลงทุนครั้งใหม่ของเอสเอไอซีว่า เป็นการบ่งบอกถึงการให้ความสำคัญต่อประเทศไทย และสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างไทย จีน “ก่อนหน้านี้ผมเข้าไปเชื้อเชิญให้เขามาลงทุนในไทย และวันนี้เป็นโอกาสดีอีกครั้งที่เขาลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งเรายืนยันว่าคิดถูก เพราะอนาคตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทยจะเติบโตอีกมาก” เสริมตลาดปิกอัพ-พีพีวี นายเฉิน หง กล่าวว่า นอกจากรถพลังงานไฟฟ้า บริษัทยังมีแผนที่จะเสริมตลาดอื่นๆ ในอนาคต รวมถึงกลุ่มรถปิกอัพ ที่เป็นตลาดใหญ่ของไทยและรถเอ็มพีวี ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งแผนการขยายตลาดเป็นเพราะบริษัทมองว่าการทำธุรกิจในไทยประสบความสำเร็จอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการมีรถทำตลาดจำนวนมาก มีเครือข่ายการจำหน่ายและศูนย์บริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 87 แห่งในปัจจุบัน และยอดขายที่เติบโตต่อเนื่องเช่นกัน ปีนี้จะทำได้มากกว่า 1 หมื่นคัน ขอบคุณข่าวจาก : bangkokbiznews.com
Person read: 2329
12 December 2017
กรมการท่องเที่ยว วางแผนใช้เทคโนโลยี “เอไอ” ดึงข้อมูลโซเชียลมีเดียจัดระบบ “บิ๊กดาต้า-ดัชนีความพึงพอใจสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยว ป้อนหน่วยงานเกี่ยวข้องใช้ต่อยอด พัฒนา-เพิ่มขีดแข่งขัน นายอนันต์ วงศ์เบญจรัตน์ อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวว่า จากแนวคิดจัดทำดัชนีความพึงพอใจในสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นกลไกสร้างการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยวในการกำหนดคุณภาพสินค้าและบริการเตรียมหารือผู้เชี่ยวชาญและกลุ่มสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่มีความสามารถในเชิงการใช้เทคโนโลยี จัดทำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตรวจจับข้อมูลและเก็บสะสมความเห็นของนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยว, ธุรกิจบริการของไทย ในทุกหมวดหมู่ที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดีย เพื่อนำมาประมวลผลความพึงพอใจในรูปแบบการให้คะแนน (เรทติ้ง) สะท้อนคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยวและบริการนั้นๆ ที่มาจากความเห็นของนักท่องเที่ยวเอง ช่วง 6 เดือนจากนี้วางแผนศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ คาดใช้งบประมาณ 3-5 ล้านบาท ทดสอบระบบ เริ่มจากหมวดหมู่แหล่งท่องเที่ยวก่อน เพื่อให้ได้ผลในรูปแบบกราฟเรดาร์ (กราฟใยแมงมุม) ชี้จุดอ่อนและจุดแข็งชัดเจน แบบเดียวกับที่เวิลด์ อีโคโมมิก ฟอรัม (WEF) ใช้แสดงผล เมื่อระบบมีเสถียรภาพและตรวจทานแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือจึงเพิ่มการประมวลผลในหมวดอื่น วิธีนี้นอกจากจะได้ข้อมูลที่หลากหลายเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้ดี ยังช่วยประหยัดงบประมาณจากเดิมใช้วิธีเดินสำรวจความเห็นชาวต่างชาติ ใช้งบปีละไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท และใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ ขณะที่การใช้เทคโนโลยีจะมีประโยชน์ในด้านจัดเก็บเพราะเป็นแบบเรียลไทม์และสม่ำเสมอ จากการสำรวจความนิยมของโซเชียลเน็ตเวิร์คทั่วโลกพบสิ่งที่น่าสนใจคือ แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง เฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ยูทูบ มีถึง 7 ราย ติดใน 10 อันดับแรกที่มีประชากรใช้งานมากที่สุดในโลก ไม่น้อยหน้าจีนหรืออินเดีย การดึงคอมเมนท์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ จะสะท้อนความคิดเห็นและคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยวหรือบริการได้ตรงที่สุด ทั้งนี้ เมื่อได้ผลลัพธ์จะทำให้เห็นข้อบกพร่องหรือปัญหาของแหล่งท่องเที่ยวที่ชัดเจน ต่างจากเดิมที่กรมฯ อาจรู้ปัญหาแต่ไม่มีข้อมูลอ้างอิงเพื่อชักจูงให้เกิดการแก้ปัญหา หรือช่วยเหลือในการยกระดับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยว ยกตัวอย่าง หากพบว่าคุณภาพการประเมินแหล่งท่องเที่ยวประเภทน้ำตกแห่งหนึ่งต่ำมาก ก็จะนำผลดังกล่าวไปนำเสนอในงานสัมมนา และหาทางแก้ไขด้วยการเชิญทั้งเจ้าของพื้นที่ที่ได้รับการประเมินต่ำ และเจ้าของพื้นที่น้ำตกในลักษณะเดียวกันมารับฟังพร้อมกันเพื่อเป็นกรณีศึกษา “ปัญหาที่ผ่านมา กรมการท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวเอง แต่อยู่ภายใต้หน่วยงานต่างๆ อาจมีความเชี่ยวชาญด้านอื่น แต่ไม่รู้ว่าจะจัดระบบรองรับการท่องเที่ยวอย่างไร เช่น ถ้าเป็นบ่อน้ำพุร้อนควรมีจุดพักให้ร่มเงา การจัดห้องสุขาในแหล่งท่องเที่ยวควรเตรียมสำหรับผู้หญิงไว้มากกว่าผู้ชาย ฯลฯ นอกจากดัชนีจะทำให้ตื่นตัวแล้ว จะชี้ให้เห็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นประโยชน์ ตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวให้เกิดความพึงพอใจได้จริงด้วย” สำหรับเป้าหมายการใช้เทคโนโลยีในขั้นต่อไปต้องการพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่มีระบบจดจำหน้าตาของแหล่งท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ สินค้าท่องเที่ยว เพื่อดึงข้อมูลสิ่งที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาทันที เช่น เมื่อเปิดแอพพลิเคชั่นยกโทรศัพท์ถ่ายรูปเสาชิงช้า จะมีประวัติขึ้นมาพร้อมคะแนนรีวิว ปัจจุบันเริ่มมีผู้ให้บริการในหมวดหมู่สินค้าอื่นๆ ที่มาของข่าว : bangkokbiznews.com/
Person read: 2076
07 December 2017
“นิวเจน”เทคออฟ “โคราช-เชียงใหม่-ภูเก็ต” เปิดแผนดันโคราช “ฮับการบิน”สู่-ดอนเมือง-กระบี่-หาดใหญ่-จีนและเกาหลี รับดีมานด์นักท่องเที่ยวจีนเดินทางท่องเที่ยว โซนเขาใหญ่ วังน้ำเขียว และปากช่อง เจาะตลาเคนโคราช-จังหวัดใกล้เคียงบินตรงเกาหลี นายเจริญพงษ์ ศรประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวเจน แอร์เวย์ส จำกัด เปิดเผยว่าวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา สายการบินนิวเจน แอร์เวย์สได้เปิดเที่ยวบินไป-กลับ นครราชสีมา-เชียงใหม่ และเที่ยวบินไป-กลับ นครราชสีมา-ภูเก็ต โดยเที่ยวบินนครราชสีมา-เชียงใหม่ จะทำการบินในเวลา 08.00 - 09.25 น. เที่ยวบินขากลับเชียงใหม่-นครราชสีมา ทำการบินในเวลา 10.30-11.55 น. ส่วนเที่ยวบินนครราชสีมา-ภูเก็ต ทำการบินในเวลา 13.00-14.45 น. และเที่ยวบินกลับ ภูเก็ต-นครราชสีมา ทำการบินในเวลา 15.45-17.30 น. ซึ่งในการเปิดบินวันแรกนี้มีผู้โดยสารสนใจจองจำนวนมาก โดยการเปิดจำหน่ายตั๋วเครื่องบินในวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมามียอดการตอบรับดีเกินคาดมากกว่า 1,000 ที่นั่ง สาเหตุที่ได้รับการตอบรับดีน่าจะเป็นเพราะการเปิดบินเส้นทางใหม่ที่บินตรงทำให้ช่วยลดเวลาการเดินทางจากเดิมที่ต้องเดินทางมาขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง หลังจากที่พบว่ามีความต้องการของชาวนครราชสีมาในการเดินทางด้วยเครื่องบินค่อนข้างมาก ทางสายการบินนิวเจนแอร์เวย์ส จึงได้มีแผนที่จะขยายเส้นทางการบินเพิ่มในอนาคต โดยมีแผนที่จะขยายทั้งในเส้นทางในประเทศและต่างประเทศ สำหรับเส้นทางในประเทศคาดว่าจะขยายสู่เส้นทาง นครราชสีมา-หาดใหญ่ นครราชสีมา-กระบี่ และนครราชสีมา-กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ซึ่งเส้นทางดอนเมืองนั้นแม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ แต่ด้วยสภาพการจราจรในปัจจุบันติดขัดจากการขยายถนน “ช่วงเทศกาลที่มีการเดินทางออกต่างจังหวัดภาคอีสานต้องผ่านนครราชสีมา ทำให้มีการเรียกร้องให้เปิดเส้นทางบินเพื่อรองรับความต้องการจากปัญหาสภาพการจราจรที่ไม่เอื้ออำนวยนี้” นอกจากนี้สายการบินนิวเจน ยังได้หารือกับท่าอากาศยานนครราชสีมาขยายรันเวย์ให้ยาวขึ้น เพื่อรองรับเที่ยวบินต่างประเทศ โดยคาดว่าจะขยายเส้นทางการบิน นครราชสีมา-จีน และนครราชสีมา-เกาหลีใต้ (โซล) ซึ่งการขยายไปจีนนั้นนิวเจน แอร์เวย์สถือว่ามีประสบการณ์จากการให้บริการเที่ยวบินไปสู่ประเทศจีนถึง 37 เส้นทาง และยังเป็นสายการบินที่นักท่องเที่ยวจีนโหวตให้เป็นที่ชื่นชอบอันดับ 1 จึงมีข้อมูลความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนมายังนครราชสีมา เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวในโซนเขาใหญ่ วังน้ำเขียว และปากช่อง เป็นต้น ส่วนเส้นทาง นครราชสีมา-เกาหลีใต้ นั้นเพื่อรองรับความต้องการทั้งของชาวนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียงที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวยังเกาหลีใต้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากทุกๆ ภาคส่วน คาดเป็นสายการบิน ประจำจังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันนิวเจนแอร์เวย์ส ถือเป็นสายการบินเดียวที่ให้บริการเครื่องบินโดยสารที่สนามบินนครราชสีมา ขณะที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดขนาดใหญ่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับที่ 1 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือได้ว่าเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากกรุงเทพมหานครเท่านั้น "ความต้องการเดินทางทั้งของภาคธุรกิจและภาคการท่องเที่ยวด้วยเครื่องบินจึงมีอยู่มาก เราจึงมองเห็นศักยภาพและวางแผนที่จะใช้สนามบินนครราชสีมาเป็นฮับ ทางการบินในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือและขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ในอนาคต” ที่มาของข่าว : bangkokbiznews.com
Person read: 2208
07 December 2017
กรุ๊ปเอ็ม (GroupM) บริษัทบริหารจัดการการลงทุนด้านสื่อระดับโลก คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาทั่วโลกปี 2561 มีมูลค่า 557,986 ล้านดอลลาร์ เติบโต 4.3% เมื่อพิจารณาทั่วโลก เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์จะโตขึ้น 0.4% ในปี 2560 และ 2.2% ในปี 2561 อย่างไรก็ดี ทีวีจะเสียส่วนแบ่งตลาด 1% ต่อปีทั้งในปีนี้และปีหน้า แต่สำหรับจีนกลับไม่เป็นเช่นนั้น โดยเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีของจีนจะขยายตัว 3% ในปีนี้ และ 4% ในปี 2561 และมีส่วนแบ่งตลาดแข็งแกร่งที่ 41% ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวคำนวณจากการโฆษณาผ่านเครื่องรับทีวีแบบดั้งเดิมเท่านั้น “เรารู้กันดีว่าผู้ชมยังคงใช้เวลามากมายดูทีวี แต่การทำเงินจากโฆษณากลับยากขึ้น เนื่องจากผู้ชมดูทีวีผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ สลับไปมาอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถหาวิธีวัดผลได้ทัน” อดัม สมิธ ผู้อำนวยการฝ่ายฟิวเจอร์ส กรุ๊ปเอ็ม กล่าว สำหรับเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล คาดว่าจะเติบโต 11.5% ในปี 2560 และ 11.3% ในปี 2561 ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดจะเพิ่มขึ้นจาก 34.1% ในปีนี้ เป็น 36.4% ในปีหน้า แต่หากไม่นับรวมประเทศจีน เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลทั่วโลกจะขยายตัวที่ 10.6% ในปีนี้ และ 10.5% ในปีหน้า ทั้งนี้ กรุ๊ปเอ็มเชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้ เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลจะแซงหน้าเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีใน 17 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ก จีน ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส ฮ่องกง ไอร์แลนด์ ฮังการี เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน และสหราชอาณาจักร จากการวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนที่แท้จริงในสหรัฐ กรุ๊ปเอ็มไม่เห็นด้วยกับแหล่งข้อมูลรายอื่นๆ ที่ระบุว่า เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลได้แซงหน้าสื่อทีวีไปแล้วในสหรัฐ โดยเชื่อว่าเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลในสหรัฐจะแซงหน้าสื่อทีวีได้ในปี 2563 เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 3 ของปีนี้ “กูเกิล” เปิดเผยว่าบริษัทมีรายได้จากโฆษณา 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วน เฟซบุ๊ค มีรายได้จากโฆษณา 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และเมื่อพิจารณาจากผลการศึกษาเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลทั่วโลกของกรุ๊ปเอ็ม รวมถึงข้อมูลที่ทั้งสองบริษัทเปิดเผยก่อนหน้านี้ ทำให้เชื่อว่า ทั้งสองบริษัทจะครองสัดส่วน 84% ของเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลทั้งหมดในปี 2560 (ไม่นับประเทศจีน) นอกจากนี้ กรุ๊ปเอ็มยังเชื่อว่า ทั้งสองบริษัทจะครองสัดส่วน 186% ของเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดในปี 2560 ซึ่งถือเป็นข่าวร้ายสำหรับระบบนิเวศสื่อดิจิทัล ขณะเดียวกัน อเมซอน ก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดที่มีผู้เล่นรายหลักเพียงไม่กี่ราย โดย กรุ๊ปเอ็ม เชื่อว่า รายได้จากโฆษณาที่ถูกค้นหาและปรากฏอยู่บนแพลตฟอร์มของ อเมซอน เมื่อรวมกับรายได้จากโฆษณานอกแพลตฟอร์มจะอยู่ที่หลักพันล้านต้นๆ ในขณะที่สื่อดิจิทัลเติบโตอย่างต่อเนื่อง การซื้อโฆษณาแบบ programmatic buying ก็มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย โดยเฉพาะในสหรัฐ พบว่างบโฆษณาผ่านโปรแกรมเมติค คิดเป็นสัดส่วนเพียง 20% ของเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล (ไม่นับรวมโซเชียลมีเดียต่างๆ) และไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามที่คาดหวัง ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับการบูรณาการห่วงโซ่อุปทานและความปลอดภัยของแบรนด์ ขณะที่ กรุ๊ปเอ็มยืนยันว่าผู้ให้บริการบุคคลที่สามต้องสามารถทำให้ผู้ชมเห็นโฆษณาและรักษาความปลอดภัยของแบรนด์ พาร์ทเนอร์โปรแกรมเมติคบางรายกลับไม่สนับสนุนการป้องกันผู้ชมจากโฆษณาที่มีความรุนแรง เรื่องเพศ หรือการเมืองแบบสุดโต่ง รวมถึงข่าวลวงต่างๆ รายงานของ กรุ๊ปเอ็ม เปิดเผยว่าลูกค้าจำนวนมากจึงหันไปใช้ช่องทางโฆษณาที่มีความปลอดภัยเท่านั้น แต่พบว่าเข้าถึงผู้ชมในวงจำกัดและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า บรรดานักโฆษณาจึงกังวลเกี่ยวกับอุปทานการโฆษณาผ่าน โปรแกรมเมติคที่ซบเซา ทั้งนี้ กรุ๊ปเอ็มสนับสนุนให้นำ “Ads.txt” มาใช้ในตลาด ซึ่งผู้เผยแพร่โฆษณาสามารถใช้ Ads.txt เพื่อประกาศรายชื่อบริษัทต่างๆ ที่ได้รับอนุญาตให้ขายพื้นที่โฆษณาของตน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ซื้อโฆษณาและเอเยนซี่ต่างๆ สามารถซื้อโฆษณาได้โดยตรง ทำให้ไม่ต้องอาศัยคนกลางและไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมอื่นๆ ภาวะที่ความสนใจของผู้บริโภคกระจัดกระจายไปตามแพลตฟอร์มต่างๆ นักโฆษณาจำนวนมากยังคงมองเห็นประโยชน์จากช่องทางดั้งเดิมอย่างสื่อนอกบ้าน ที่มีการให้ข้อมูลสินค้ามากขึ้น มีความเป็นดิจิทัล และมีประโยชน์หลายด้าน การผสานข้อมูลสถานที่เข้ากับพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย โซเชียลมีเดีย และพฤติกรรมการรับชม ส่งผลให้สื่อนอกบ้านครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 6.1% ในปี 2559 เป็น 6.2% ในปี 2560 และ 6.3% ในปี 2561 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2536 นอกจากสื่อดิจิทัลแล้ว “สื่อนอกบ้าน”เป็นเพียงสื่อเดียวที่มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนทางด้านสื่อวิทยุยังครองส่วนแบ่งตลาดไม่ต่างจากเดิม คือ 4.4% ในปีนี้ และ 4.3%ในปีหน้า เนื่องจากมีความยุ่งยากน้อยกว่า ทั้งยังมีการพัฒนาเนื้อหาและโซเชียลมีเดียด้วย ปี 2560 ถือเป็นปีที่ท้าทาย หลายแบรนด์ต่างต้องดิ้นรนในตลาดที่มีการแข่งขันสูงแต่อัตราการเติบโตต่ำ โดยถูกท้าทายให้ต้องนำเสนอแบรนด์ในระยะเวลาสั้นๆ ขณะที่ สื่อดั้งเดิมถูกท้าทายจากการที่ผู้ชมกระจายไปรับสื่ออื่นๆ และจากการแข่งขันกับสื่อดิจิทัลที่ครองตลาด บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างพยายามที่จะประสบความสำเร็จ ที่มาของข่าว : bangkokbiznews.com
Person read: 2270
07 December 2017
อยุธยาสร้างบ้าน เชื่อทิศทางเศรษฐกิจ นโยบายกระตุ้น การลงทุนรัฐ-เอกชนเพิ่ม ดันตลาดรับสร้างบ้านปีหน้าขยายตัว ตั้งเป้ารายได้โต 10% หลังปีนี้ซึม ลูกค้าชะลอการตัดสินใจดูภาวะเศรษฐกิจใน-นอกประเทศ นายธีร์ บุญวาสนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท อยุธยา สร้างบ้าน จำกัด ธุรกิจรับสร้างบ้านในสไตล์ รีสอร์ท “เอวายบี รีสอร์ท เฮาส์" เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านปีหน้าจะเติบโต จากปัจจัยบวกต่างๆ ทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งออกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีแรงส่งถึงปีหน้า การลงทุนของภาครัฐที่ยังคงต้องเร่งลงทุนตามแผน ภาคเอกชนมีความมั่นใจที่จะลงทุนมากขึ้น การบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อจิตวิทยาผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีที่ดินและมีงบประมาณอยู่แล้ว เหลือเพียงตัดสินใจสร้าง หากมีแบบบ้านที่เหมาะสม และมีความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจ ก็จะพร้อมที่จะสร้าง นอกจากนี้ พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป จะสนใจการสร้างบ้านโดยเน้นไลฟ์สไตล์ การอยู่อาศัยที่เหมาะสมกับตนเองเป็นหลักมากขึ้น มากกว่าขนาดพื้นที่ หรือความสวยงามภายนอก ดังนั้นจึงเชื่อมั่นและเลือกใช้บริการแบรนด์ที่ชื่นชอบและน่าเชื่อถือ รวมทั้งมีพฤติกรรมในการค้นหาข้อมูลการสร้างบ้านด้วยตัวเอง หรือผ่านทางคนใกล้ชิดที่มีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกัน ซึ่งบริษัทพบว่ากลุ่มคนใกล้ชิด เช่นเพื่อนในกลุ่มนี้ จะส่งผลและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจค่อนข้างสูง รองจากสมาชิกครอบครัว สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทปีหน้า จะเน้นการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างพื้นที่แห่งการพักผ่อน เพื่อการอยู่อาศัย โดยมี 3 แนวทางทำงานคือ 1.การสร้างเอกลักษณ์ของการออกแบบให้มีบรรยากาศพักผ่อน ทุกพื้นที่ใช้สอยเชื่อมโยงกับธรรมชาติ มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยร่วมสมัย 2.การพัฒนาและถ่ายทอดงานฝีมือช่าง และ 3. การสร้างระบบการทำงานที่มีคุณภาพและมาตรฐาน โดยตั้งเป้ารายได้ 176 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีนี้ที่คาดมีรายได้ 160 ล้านบาท “ปี 2560 แม้ว่าเน้นการทำตลาดเชิงรุก และเร่งการสร้างแบรนด์ให้เป็นรู้จัก ส่งผลให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่น สอบถามข้อมูลและใช้บริการมากขึ้น แต่ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ ส่งผลให้ลูกค้าหลายรายชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านไปเป็นปีหน้าแทน ทำให้ยอดรายได้ในปีนี้ไม่เติบโตอย่างที่คาดไว้” อย่างไรก็ตามพบว่ามีลูกค้าแสดงความสนใจในแบบบ้าน โดยขอเข้าชมผ่านทางช่องทางกิจกรรมของบริษัท เข้ารับคำปรึกษาโดยตรง ขอข้อมูลแบบและราคาทางเว็บไซต์ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยยอดผู้ติดตามหน้าเพจทางเฟซบุ๊คกว่า 1.2 แสนราย ที่มาข่าว :bangkokbiznews.com
Person read: 2972
25 November 2017
"นิสสัน ลีฟ" กับความหวังตลาดรรถไฟฟ้า จุดชี้วัดนวัตกรรมและความเป็นไปได้ นิสสัน มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่นเปิดตัว ’นิสสัน ลีฟ’ ใหม่ ที่งานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2017 ประเทศญี่ปุ่น ชูจุดขายรถยนต์ไฟฟ้า100เปอร์เซ็นต์ จอดรถอัตโนมัติ วิ่งได้ไกลขึ้นถึง400กิโลเมตร และระบบเซ็นเซอร์รอบตัวเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของคนเมือง คาดว่าจะทำตลาดในไทยปีหน้า พร้อมเปิดตัว’นิสสัน ไอเอ็มเอ็กซ์’รถครอสโอเวอร์ต้นแบบพลังงานไฟฟ้า ในงาน มุ่งเป้าตลาดรถขับเคลื่อนอัตโนมัติในอีก5ปี หลังจากที่หลายประเทศประกาศโรดแมปรยกเลิกใช้รถเครื่องยนต์สันดาปภายในหรือรถใช้น้ำมันและมุ่งสู่รถพลังงานไฟฟ้าเพื่อลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ประเด็นเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า(Electric Vehicle)ถูกยกระดับขึ้นมาเป็น'เรื่องจริงจัง'ในเวทีโลก กระทั่งแนวคิดของประเทศไทย4.0ก็ยังสนับสนุนธุรกิจแห่งอนาคตในพื้นที่ของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ซึ่งจะมองข้ามเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าไปมิได้ และล่าสุดเมื่อ’นิสสัน’ประกาศลุยตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว ด้วยการส่ง’นิสสัน ลีฟ’ตัวใหม่ที่เตรียมทำตลาดปี2018นี้ จึงเป็นสัญญาณที่สำคัญว่า นิสสันเอาจริงกับตลาดในประเทศไทย ท่ามกลางข้อสงสัยของบรรดาผู้เชี่ยวชาญว่า การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นจริงได้แค่ไหน บนท้องถนนที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไทย เปิดตัวนิสสัน ลีฟ วิ่งไกล400กิโลเมตรพร้อมระบบจอดรถอัจฉริยะ ในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2017 รถยนต์ไฟฟ้า’นิสสัน ลีฟ(Nissan Leaf)’ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก หลังจากที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นความหวังครั้งสำคัญของนิสสัน ที่ปรับเกมธุรกิจ เพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่กระแสแรงและคาดหวังว่าจะเป็นยานาพาหนะแห่งอนาคต โดยพัฒนาจากนิสสัน ลีฟปี2016เดิมทั้งด้านการออกแบบและสมรรถนะ รถขับเคลื่อนสองล้อคันนี้สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง400กิโลเมตรภายในการชาร์จไฟฟ้าครั้งเดียว ซึ่งได้รับการพัฒนาแบตเตอรี่ให้แน่นขึ้นโดยไม่กระทบกับพื้นที่ของรถ ขณะที่พัฒนาระบบการชาร์จแบบเร่งด่วน(Quick Charging)ทำให้รถสามารถวิ่งระยะทาง100กิโลเมตร หลังจากที่ชาร์จแบบเร่งด่วนในเวลาไม่ถึง10นาที มาพร้อมกับเซนเซอร์9ตัวและกล้อง12ตัวรอบคัน เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวของสิ่งกีดขวางและใช้สำหรับประสบการณ์การขัขี่ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ นิสสัน ลีฟยังพัฒนา’ระบบคันเร่งอัจฉริยะ(e-Pedal)’ที่ควบคุมความเร็วของรถ โดยไม่ต้องเหยียบเบรค เพียงถอนเท้าจากคันเร่ง รถจะชะลอและหยุดสนิทในที่สุด ป้องกันรถไหลเมื่อขึ้นเนินสูงในอาคารจอดรถหรือเมื่อขับขี่บนพื้นที่ค่อนข้างลื่นได้ ‘ระบบโปรไพล็อต(ProPILOT Mode)’สำหรับการขับขี่บนทางด่วนหรือเส้นทางที่ใช้ความเร็วต่อเนื่อง ระบบนี้จะควบคุมรถให้อยู่ในเลนและรักษาระยะห่างกับรถคันหน้าซึ่งสามารถปรับระดับที่ต้องการโดยที่ไม่ต้องเหยียบคันเร่งแต่อย่างใด เพียงใช้มือประคองพวงมาลัยเอาไว้เท่านั้น อีกไฮไลต์สำคัญคือระบบจอดรถโปรไพล็อต(ProPILOT Parking)ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถจอดรถได้ง่ายดาย เพียงกดปุ่มโปรไพล็อตค้างไว้และรถจะเคลื่อนที่เข้าที่จอดรถได้เอง โดยมีเซนเซอร์และกล้องรอบคันตรวจจับความเคลื่อนไหวและสิ่งกีดขวางระหว่างจอดรถ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับและชีวิตอื่นบนท้องถนน สิ่งที่เป็นลูกเล่นของรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้คือ การเชื่อมต่อ(Connected Service)ซึ่งผู้ใช้งานสามารถสั่งการและตรวจสอบรถของตนได้จากแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ซึ่งถือว่าตอบรับกับวิถีชิตคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี โดยในแอพจะบอกปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่แบบเรียลไทม์ ประวัติการขับขี่ซึ่งสามารถแชร์การใช้งานมากกว่า1คนขับได้ในกรณีรถขององค์กรหรือกรณีที่ต้องการแยกการตรวจสอบการเดินทางรายบุคคล ระบบยังเชื่อมต่อกับแผนที่ที่สามารถระบุพิกัดของสถานีชาร์จไฟที่ใกล้ที่สุด และ ช่วยวางแผนการเดินทางได้อีกด้วย มองตลาดรถไทยท้าทาย ยังอุบราคาขาย ผู้บริหารยันกรณีนิสสันญี่ปุ่นไม่กระทบไทย สำหรับความคาดหวังต่อนิสสัน ลีฟ มร. อันตวน บาร์เตส ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า”ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าถือว่าใหม่มากสำหรับประเทศไทย นิสสัน ลีฟ คือรุ่นแรกที่จะทำตลาดในประเทศไทย และเราจะพยายามอย่างหนักที่จะผลักดันธุรกิจของเราให้ตรงกับความคาดหวังขอลูกค้า ซึ่งน่าจะเหมาะกับลูกค้าที่ใช้ชีวิตบนท้องถนนนานๆในสภาพการจราจรที่ติดขัดอย่างกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ หรือเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งความเป็นจริงระยะทางที่ไม่ไกลนักรวมถึงผู้ที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่ายอดขายในช่วงแรกอาจจะยังไม่มาก แต่เชื่อว่าด้วยจุดขายของรถทีไร้มลพิษ(Zero Emission) ไม่มีเสียงดังรบกวน รวมถึงพลังของแรงบิดที่เต็มที่ตั้งแต่วินาทีแรกที่ใช้งาน น่าจะทำให้ผู้คนสนใจนิสสันลีฟมากขึ้น” ผู้บริหารของนิสสัน ยังไม่บอกช่วงเวลาที่จะทำตลาดในไทยรวมถึงราคาขายอย่างเป็นทางการ เนื่องจากอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ ซึ่งจะแถลงแผนการรุกธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยโดยเร็วที่สุดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ส่วนแผนธุรกิจในประเทศไทย มร.อันตวนกล่าวว่า”นิสสันมีความตั้งใจและเห็นศักยภาพของตลาดนี้ ยังมีรถยนต์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ที่จะเปิดตัว นอกจากนี้ ยังจะทำงานใกล้ชิดมากขึ้นกับเครือข่ายทั้งหมดที่มี นั่นคือพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ไปจนถึงดีลเลอร์ และส่วนงานบริการ ซึ่งจะต้องทำงานให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ส่วนศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของนิสสันในไทยก็ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อพัฒนาสินค้าที่เฉพาะเจาะจงความความต้องการของลูกค้า(Tailor Made)ให้มากขึ้นเพื่อตอบรับกับตลาดของประเทศไทยโดยเฉพาะด้วย” และกรณีประเด็นข่าวที่เกิดขึ้นกับแบรนด์นิสสันต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงล่าสุดกรณีปัญหาเอกสารรับรองของเจ้าหน้าที่ที่ประกอบรถยนต์ในการผลิต มร.อันตวนชี้แจงว่า”สำหรับลูกค้าของนิสสันไม่ต้องกังวลกับประเด็นข่าวที่เกิดขึ้นขณะนี้ ผมขออภัยต่อกรณีที่เกิดขึ้นทั้งกับลูกค้าของนิสสันและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ประเด็นที่เกิดขึ้นจำกัดเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่มีผลกระทบใดกับธุรกิจของนิสสันในประเทศไทยอย่างแน่นอน ปี2017ยังเป็นปีที่ดีของนิสสันและยอดขายก็ยังเติบโตน่าพอใจในประเทศไทยซึ่งคาดว่าจะแตะ7เปอร์เซ็นต์ในสิ้นปีนี้” นำร่อง’นิสสัน ไอเอ็มเอ็กซ์’ตั้งเป้าดันตลาดรถอัตโนมัติ และเป็นปกติของงานมอเตอร์โชว์ ที่ค่ายรถต้องเปิดตัวรถต้นแบบที่ทำให้ตลาดรถฮือฮา ในครั้งนี้นิสสันเปิดตัว รถนิสสัน ไอเอ็มเอ็กซ์ รถต้นแบบที่สะท้อนแนวคิดการขับเคลื่อนอัจฉริยะของนิสสัน(Nissan Intelligence Mobility) ที่ออกแบบเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างรถยนต์และผู้ใช้งานเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการใช้งาน โดยที่พัฒนาระบบโปรไพล็อต(ProPILOT)ไปอีกขั้นสู่การขับขี่อัตโนมัติ(Autonomous Driving)เต็มรูปแบบ เมื่อผู้โดยสารเลือกใช้งานโหมดนี้ พวงมาลัยจะถูกเก็บลงไปในแดชบอร์ดและปรับเอนเบาะทุกที่นั่งในรถ เพื่อให้ทุกคนบนรถได้ทำกิจกรรมร่วมกันโดยที่รถขับเคลื่อนไปได้เอง เมื่อปิดการใช้งาน พวงมาลัยก็จะกลับมา และเป็นโหมดผู้ขับขี่ควบคุม(Manual)ตามเดิม โดยออกแบบในลักษณะรถครอสโอเวอร์ หรือรถยันต์นั่งอเนกประสงค์เต็มรูปแบบ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสองตัวด้านหน้าและด้านหลังของรถ ขับเคลื่อนสี่ล้อ แรงบิดสูงถึง700นิวตันเมตรและกำลัง 320 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง600กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 1 ครั้ง การออกแบบภายนอกล้ำสมัย ปราดเปรียว ขณะที่ภายในห้องโดยสารโปร่งโล่ง นั่งสบาย ออกแบบเรียบแต่หรูล้ำสมัย ซึ่งนิสสันผนวกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence)มาใช้ควบคุมการทำงานของรถ ซึ่งระบบสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของตาและการขยับมือของผู้ขับสำหรับการสั่งการได้ มร. แดเนียลเล สคิลลาชี รองประธานบริหาร ฝ่ายการตลาดและการขายโกลเบิล ธุรกิจยานยนต์ปราศจากมลพิษของนิสสันกล่าวว่า”นีจะไม่ใช่แค่รถต้นแบบ นิสสันจะพัฒนาโอเดลไอเอ็มเอ็กซ์เพื่อทำตลาดอย่างแน่นอน และมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารของคนขับกับรถยนต์ รวมถึงปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมทั้งในระยะสั้นและระยะยาวด้วย” ดูเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นความหวังสำคัญของนิสสัน ซึ่งตั้งเป้าว่าภายในปี2022 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าทำตลาดทั้งโลกไม่ต่ำกว่า 12 รุ่น และ รถจะวิ่งได้ไกลถึง600กิโลเมตรซึ่งจะช่วยลดความกังวลสำคัญที่บรรดาผู้ใช้งานมีต่อรถประเภทนี้มาโดยตลอด นอกจากนี้ยังจะพัฒนาระบบการชารจไร้สาย(Wireless Charging)ซึ่งผู้ขับเพียงแต่จอดในจุดที่กำหนดในพื้นที่จอดรถ ก็สามารถชาร์จไฟได้ แม้ว่าจะใช้เวลานานกว่าที่8ชั่วโมงก็ตาม แต่ก็ถือว่าสะดวกสบายขึ้น แผนการพัฒนาระบบชาร์จนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและนิสสันต้องดูศักภาพของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าให้ชัดเจนก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป โดยยังไม่มีกำหนดในการทำตลาดส่วนนี้ โครงสร้างพื้นฐานและต้นทุน โจทย์ใหญ่ของรถอีวี อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาหนทางของรถยนต์ไฟฟ้าจากนี้ยังไม่ถือว่าราบรื่นนัก เพราะข้อจำกัดเรื่องของระยะทางที่ใช้เดินทางซึ่งในสภาวะการณ์จริงจะแตกต่างออกไปจากกระบวนการทดลองของผู้ผลิตรถยนต์ ประเด็นเรื่องของแบตเตอรี่ทั้งด้านขนาดและราคา ยังเป็นหัวข้อเร่งด่วนยังต้องอุดช่องโหว่ให้ได้ เพราะปัจจุบันยังมีต้นทุนที่สูง และขนาดให่ขึ้นตามความจุบองแบตเตอรี่ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของรถ ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายของการซ่อมบำรุง ค่าอะไหล่ และค่าบริการ ยังเป็นเรื่องที่ต้องตอบคำถามลูกค้าให้ได้ ในประเทศไทยยังไม่เคยมีการทำการตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในลักษณะนี้มาก่อน จึงถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ของนิสสันในการสร้างความมั่นใจและไว้วางใจ เพราะปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยยังแตกต่างจากญี่ปุ่นมาก รวมถึงพฤติกรรมการขับขี่บนท้องถนนของคนไทยที่สลับซับซ้อน รถยนต์ไฟฟ้าอาจทำตลาดได้ไม่ง่ายนัก จุดชี้วัดสำคัญหนีไม่พ้นราคาขายที่จะดึงดูดใจให้บรรดาผู้ชอบของใหม่ที่มีกำลังซื้อ(Early Adopter)ทั้งหลายจับจองเป็นเจ้าของเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก เพราะต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้ายังสูง ราคาสุดท้ายที่เคาะออกมา หลายฝ่ายจึงเชื่อว่าราคาจะมากกว่า1.5ล้านบาท ซึ่งราคานี้ถือเป็น’รถหรู’ได้เลย เป็นการบ้านที่ไม่เพียงแต่นิสสัน หากแต่ค่ายรถต่างๆที่ต้องการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า จะต้องคิดให้หนักว่าจะ’เดินหน้า’หรือจะ’รอดู’ เหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาของอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มาข่าว : bangkokbiznews.com
Person read: 2217
25 November 2017
ดร.อดิสร พาไปทำความรู้จักสุดยอดเทคโนโลยีสำหรับสอนให้หุ่นยนต์ฉลาดขึ้นและเรียนรู้ได้เอง ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่คอยรับคำสั่งตามที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้อย่างเดียว โรบอตหรือหุ่นยนต์ หนึ่งในเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ประเทศไทยกำลังผลักดันให้เกิดเป็นอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ หรือ Robot and Automation Industry ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ซึ่งเป็นมาตรการระยะยาวที่จะมีการปรับโครงสร้างด้านการผลิต ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรมรวมถึงภาคบริการของประเทศให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เกิดการสร้างตำแหน่งงานใหม่ที่มีคุณภาพ และสนับสนุนเศรษฐกิจภูมิภาคอย่างยั่งยืน ดังนั้น รัฐบาลวางแผนจัดตั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor of Innovation (EECi) ที่ครอบคลุมจังหวัด ฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง สำหรับอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ มีการวางเป้าหมายให้ใช้ในสายการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น และส่งเสริมการวิจัยด้านหุ่นยนต์ให้เข้มข้นมากขึ้นด้วย ปัจจุบันทั่วโลกก็มีแนวโน้มการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ที่มีขนาดเล็กลง เรียกว่า desktop robot ที่อาจจะมีแต่แขนแต่ทำงานได้หลากหลาย ที่สำคัญสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างเข้าขากัน เรียกว่า Cobot ดังนั้น แนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ การสอนให้หุ่นยนต์ฉลาดขึ้นและเรียนรู้ได้เอง ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่คอยรับคำสั่งตามที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้อย่างเดียว หรือเคลื่อนไหวกระตุก ไม่ราบรื่นเหมือนที่เรามักนำมาล้อเลียนกัน ล่าสุด มีบริษัทเกิดใหม่แห่งหนึ่งชื่อว่า Embodied Intelligence ก่อตั้งโดย Pieter Abbeel ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิง ได้คิดค้นวิจัยเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) มาใส่ในหุ่นยนต์ได้อย่างไร เพื่อทำให้หุ่นยนต์ฉลาดมากขึ้น สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่เสียเวลาในการป้อนคำสั่ง โดยทางบริษัทได้ใช้เทคนิคใหม่ๆ ด้านแมชชีนเลิร์นนิง ตัวอย่างเช่น Deep Reinforcement Learning Deep Imitation Learning และ Few-shot Learning ทั้งสามเทคนิคจะสามารถทำให้หุ่นยนต์เรียนรู้และร่วมงานกับมนุษย์ได้อย่างราบรื่น โดยวิธีการสอนของมนุษย์สามารถทำได้โดยอาศัยการควบคุมจากระยะไกล (Tele-operation) หรือแว่นตา Virtual Reality (VR) เหมือนที่สวมใส่ตอนเล่นเกมส์ เมื่อเราใส่แว่นตาวีอาร์ก็จะเสมือนเป็นหุ่นยนต์ตัวนั้น แขนของเราก็จะเสมือนแขนหุ่นยนต์ตัวนั้น ดังนั้น เราจะสอนมันโดยการทำงานให้เป็นตัวอย่าง เช่น สอนให้หยิบจับเครื่องมือ สอนให้เลือกหรือจัดเรียงสิ่งของ สอนให้ประกอบอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น เมื่อเราสอนเสร็จ หุ่นยนต์จะจดจำและสามารถทำงานตามที่ถูกสอนและดีขึ้นเรื่อยๆ จากการเรียนรู้ด้วยตัวมันเองโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งสามารถปรับเปลี่ยนไปทำงานอื่นๆ ได้ง่ายโดยการสอนใหม่อีกครั้ง ดังนั้น ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เราได้หลอมรวมมนุษย์กับจักรกลเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมเห็นว่า ประเทศไทยจะรุ่งในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ได้ เราต้องมุ่งวิจัยในเรื่องเหล่านี้ให้เร็วที่สุดครับ บทความโดย *ดร. อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ที่มาข่าว : bangkokbiznews.com
Person read: 2568
24 November 2017
สยามดิสคัฟเวอรี่-ดิ เอ็กซ์พลอราทอเรียม ถือเป็นการพลิกเกมครั้งสำคัญในวงการค้าปลีกประเทศไทยและระดับโลกของ “สยามพิวรรธน์” หลังสร้างปรากฏการณ์ปิดปรับปรุงศูนย์การค้าเดิมที่เปิดบริการมากว่า 18 ปี เปิดบริการคอนเซปต์ใหม่เมื่อปี 2559 นำเสนอการค้าปลีกรูปแบบ “ไฮบริดรีเทล” ที่ผสมผสานทั้งด้านสินค้าบริการ นวัตกรรม กิจกรรมต่างๆ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่ยุคมิลเลนเนียลส์ที่มุ่งการค้นหาจุดยืนที่แตกต่างของตนเอง แต่ก็ต้องการร่วมมีประสบการณ์ที่แปลกใหม่กับผู้อื่น นับเป็น “ไลฟ์สไตล์สเปเชียลตี้สโตร์” แห่งแรก ทุกพื้นที่ถูกออกแบบให้เปลี่ยนแปลงสินค้า บริการ และประสบการณ์ต่างๆ ที่ล้ำเทรนด์ได้ตลอดเวลา ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารโครงการสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ “ไอคอนสยาม” กล่าวว่า สยามพิวรรธน์มุ่งปฏิวัติวงการด้วยการนำเสนอคอนเซปต์แปลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในไทยหรือเป็นครั้งแรกในโลก คือจุดยืนทางการตลาดที่เป็น “จุดขาย” สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน และการพัฒนาโครงการต่างๆ เน้นสร้างคุณค่าและความสำเร็จผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจและผู้ประกอบการร้านค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน บทพิสูจน์กลยุทธ์ที่มาถูกทางของสยามพิวรรธน์สะท้อนผ่าน 3 รางวัลระดับโลกของ “สยามดิสคัฟเวอรี่-ดิ เอ็กซ์พลอราทอเรียม” ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศจากสมาคมศูนย์การค้าโลก (International Council of Shopping Centers) Gold Award สาขา Design and Development Excellence Renovations/Expansions สำหรับโครงการที่ได้รับคัดเลือกว่าออกแบบดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก และรางวัลชนะเลิศ Gold Award สาขา Marketing Positioning & Brand Awareness สำหรับโครงการที่ได้รับการคัดเลือกว่ามีการวางกลยุทธ์ทางการตลาดรวมถึงสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ให้กับโครงการได้ยอดเยี่ยมที่สุดในเอเชียแปซิฟิก และ รางวัล World Retail Awards part of the World Retail Congress Global Series สาขา Store Design of the Year2017 ชนะเลิศสำหรับโครงการที่ได้รับการคัดเลือกว่าออกแบบดีที่สุดในโลก "ปรากฏการณ์กวาด 3 รางวัลชนะเลิศภายในปีเดียวกันจากการแข่งขันที่มีหลายร้อยโครงการทั่วโลกของสยามดิสคัฟเวอรี่ เป็นการยอมรับจากทั่วโลกว่าผู้ประกอบการไทยไม่เป็นรองใคร เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการค้าปลีกไทยมีพลังใจนำเสนอประสบการณ์อันยอดเยี่ยมแก่คนไทยและผู้มาเยือนจากทั่วโลก" ชฎาทิพ กล่าวต่อว่า สยามดิสคัฟเวอรี่ ถูกพัฒนาตาม 4 กลยุทธ์หลักของสยามพิวรรธน์ กล่าวคือ สร้างสรรค์สิ่งใหม่และก้าวล้ำอยู่เสมอด้วยการสร้างต้นแบบการค้าปลีกแห่งอนาคต ภายใต้แนวคิดไม่เคยมีมาก่อนหรือเป็นครั้งแรกในโลกที่ฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ ของการค้าปลีกและศูนย์การค้า ตัวอย่างจากสยามดิสคัฟเวอรี่ คือ การสร้างต้นแบบไฮบริดรีเทลสโตร์ที่บริหารอารมณ์มากกว่าบริหารสินค้า พลิกวิธีการค้าปลีกในรูปแบบเดิมที่เคยจัดวางสินค้าตามประเภทและตามแบรนด์ นำเสนอด้วยการผสมผสานหลายกลุ่มสินค้าตามเรื่องราวและความสนใจของผู้คน ผนึกพันธมิตรต่อยอดธุรกิจ เน้นการทำงานร่วมกันระหว่างสยามพิวรรธน์และผู้ประกอบการร้านค้ากว่า 5,000 แบรนด์ สร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ กล้าฉีกกฎร่วมกัน!! เพื่อนำเสนอ “Open space” ที่ไม่ได้ดิสเพลย์สินค้าตามแบรนด์แต่นำเสนอตามความสนใจของลูกค้า มีการเปลี่ยนแปลงสินค้าใหม่ 30% ทุก 6-8 สัปดาห์ ทำให้ลูกค้ามีความเข้าใจ ตื่นเต้น สนุกสนานทุกครั้งที่มาเยือน ถือเป็นการปฏิวัติได้สำเร็จเพราะแบรนด์สินค้าให้ความร่วมมือจากความเชื่อมั่นในคอนเซปต์ที่สร้างขึ้นมา ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างเข้าใจและเข้าถึง สยามพิวรรธน์ก้าวข้ามการบริหารสินค้าไปสู่การบริหารจัดการอารมณ์และความต้องการของลูกค้า มุ่งสื่อสารกับลูกค้าเหมือนเพื่อนที่รู้ใจ นำทุกสิ่งที่ลูกค้าอยากทำ อยากเป็น และอยากได้ มาปรับเปลี่ยนให้ตรงตามความต้องการอย่างรวดเร็ว นำนวัตกรรมล้ำสมัยมาผสานในการค้าปลีก สร้างประสบการณ์แตกต่างที่ตรงใจ เช่น การพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่น ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล Connected Mobile Experiences (CMX) พร้อมด้วย Hyperlocation สื่อสารกับลูกค้าเสมือน “The Best Shopping Companion” ซึ่งลูกค้าจะได้รับ customized message ข้อมูลแนะนำสินค้าและโปรโมชั่นเฉพาะตน องค์ประกอบเหล่านี้ส่งผลผู้มาเยี่ยมเยือนและทำกิจกรรมต่างๆ ในสยามดิสคัฟเวอรี่เพิ่มขึ้นจากก่อนปรับโฉมถึง 50% ที่มาข่าว : bangkokbiznews.com
Person read: 2139
24 November 2017
อุตสาหกรรมค้าปลีกได้เปลี่ยนไปแล้ว ขณะนี้เป็นยุคของ ดิจิทัล เฟิร์ส รวมถึงมีการผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ หรือ ออมนิแชนแนล “พอล ศรีวรกุล” ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เอคอมเมิร์ซ กล่าว พร้อมกับชี้ว่า ทุกวันนี้ หลายแบรนด์กำลังก้าวเข้าสู่การทำธุรกิจแบบหลากหลายช่องทาง (Multi-Channel) พร้อมมีความต้องการโมเดลธุรกิจในแบบ “Business-to-All” (บีทูเอ) เขากล่าวว่า โมเดลธุรกิจแบบ บีทูซี เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งตลาดและอุตสาหกรรมการค้าปลีกในกลุ่มประเทศอาเซียน ทำให้แบรนด์ต่างๆ กำลังมองหา วิธีการทำธุรกิจแบบหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นแบบออนไลน์ หรือออฟไลน์ เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มธุรกิจ (บีทูบี) เช่น ร้านขายค้าเฉพาะอย่าง ร้านค้าที่ขายของต่อรัฐบาล (บีทูจี) และลูกจ้างบริษัท (บีทูอี) ดังนั้น การมีแค่เว็บไซต์อาจไม่เพียงพอ แบรนด์จึงเริ่มตระหนักถึงการให้บริการที่เชื่อมต่อจากหลากหลายช่องทางและความสำคัญของข้อมูลเพื่อที่จะอยู่รอดในอุตสาหกรรม อีกทางหนึ่ง ด้วยลูกค้าต้องการเข้าถึงแบรนด์โปรดของพวกเขาได้ทุกเวลา จากทุกๆ แพลตฟอร์ม ดังนั้นต้องมีความเชี่ยวชาญทางด้านอีคอมเมิร์ซ ข้อมูลและความชำนาญในตลาดท้องถิ่น เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าและก้าวสู่การเป็นธุรกิจแบบบิซิเนสทูออลล์ อาเซียนสุดตื่นตัว “ทอม ศรีวรกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม เอคอมเมิร์ซ กล่าวว่า ผู้ประกอบการต่างกำลังจับตามองกลุ่มผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากผู้บริโภคในภูมิภาคนี้แสดงถึงความสนใจต่อการช้อปปิ้งออนไลน์อย่างมาก ข้อมูลของกูเกิล และ เทมาเส็ก เผยว่า ภูมิภาคนี้จะมีอัตราการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์ที่สูงถึง 32% ปีต่อปี ในอีก 10 ปีข้างหน้า ด้วยอัตราการเติบโตดังกล่าวเป็นแรงจูงใจสำคัญทำให้ผู้เล่นรายยักษ์ใหญ่อย่างเจดีดอทคอม อเมซอน และอาลีบาบา เข้ามาขยายตลาด ดังนั้น คาดว่า ปี 2561 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะยิ่งมีความน่าตื่นเต้นจากการมาของทั้ง “เจดีดอทคอม” และ “อเมซอน” ซึ่งส่งผลดีทำให้ผู้บริโภคไทยได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์เหมือนกับอเมริกา หรือ ยุโรป และเป็นไปได้ที่จะได้เห็นค่าบริการเช่น โลจิสติกส์ราคาถูกลงกว่าเดิม “ตลาดจะเติบโตได้เร็วขึ้นสำคัญภาครัฐจะต้องเข้ามาสนับสนุน โดยเฉพาะมาตรการด้านภาษีสำหรับการทำการค้าข้ามแดน หากถูกลงได้จะยิ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการจับจ่าย” ด้านรูปแบบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไทยยังคงเป็นซีทูซี รองลงมาคือ บีทูซี และบีทูบีตามลำดับ ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการ นอกเหนือจากการค้าปลีกบนช่องทางปกติแล้ว แค่ปี 2560 เพียงปีเดียว ได้เห็นแบรนด์ชื่อดังอย่าง มาร์ส เนสท์เล่ และยูนิลีเวอร์ก็ได้จัดตั้งการบริการทางอีคอมเมิร์ซอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรุกหนักตลาดระดับภูมิภาค ส่วนของเอคอมเมิร์ซ มุ่งให้บริการแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภคออนไลน์ ตั้งแต่การจัดส่งสินค้าทดลอง รวบรวมข้อมูลของผู้บริโภคเพื่อขับเคลื่อนและแจกจ่ายการใช้จ่ายบนทุกๆ ช่องทาง รวมถึงเว็บไซต์ของแบรนด์เอง หรือมาร์เก็ตเพลสชั้นนำ ที่มาข่าวสาร : bangkokbiznews.com
Person read: 2138
23 November 2017
“เอ็นเนอร์ยี่ติงส์” สตาร์ทอัพในเครือเอ็นเซิร์ฟ กรุ๊ป สร้างมิติใหม่การบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าสมัยใหม่ ทั้งภายในบ้านและอาคารสำนักงาน ขานรับกระแสความแรงของอุตสาหกรรมโซลาร์รูฟท็อป ครั้งแรกในไทยกับการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าทดแทนระหว่างผู้ใช้ด้วยกันเองโดยตรงผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนและการชำระเงินโดยอัตโนมัติด้วยสกุลเงินบนโลกดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ “เอ็นเนอร์ยี่ติงส์” สตาร์ทอัพในเครือเอ็นเซิร์ฟ กรุ๊ป สร้างมิติใหม่การบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าสมัยใหม่ ทั้งภายในบ้านและอาคารสำนักงาน ขานรับกระแสความแรงของอุตสาหกรรมโซลาร์รูฟท็อป หวังสร้างเครือข่ายพลังงานโซลาร์เซลล์ นำร่องประเทศไทยก่อนไปออสเตรเลีย เกาหลีและยุโรป ธุรกิจพลังงานสะอาด โมเดลธุรกิจของเอ็นเนอร์ยี่ติงส์ คือ การแลกเปลี่ยนพลังงานสะอาดที่ผลิตได้อย่างอิสระ ไม่ผ่านตัวกลาง หรือสามารถขายให้กับเพื่อนบ้านหรือสมาชิกในระบบได้โดยตรง ขณะที่เป้าหมายหลักของบริษัท คือ การสร้างโครงข่ายผู้ใช้พลังงานสะอาดโดยมีทั้งผู้ใช้และผู้ผลิตกระจายอยู่ทั่วประเทศ "สภาพภูมิอากาศของไทยเหมาะลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ ถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่จะช่วยลดค่าไฟฟ้า ทั้งยังทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองได้อย่างดีในกรณีฉุกเฉินสายไฟเกิดขาดและไม่สามารถรับไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า นอกจากนี้หากมีการผลิตมากเกินที่จะใช้ก็ยังสามารถขายให้การไฟฟ้าในราคาที่ดีอีกด้วย” ฉันทกร จำศิลป์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ติงส์ จำกัด กล่าว ทีมงานยังพัฒนาแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ทำหน้าที่บันทึกและแสดงข้อมูลสถานการณ์หน่วยไฟฟ้าในเครือข่ายแบบ Near real-time รวมถึงปริมาณการแลกเปลี่ยนพลังงานสะอาดจากเพื่อนสมาชิก ข้อมูลจะถูกอัพเดทอัตโนมัติภายในระยะเวลาอันสั้น ผู้ใช้สามารถใช้แอพพลิเคชันควบคุมระบบทุกอย่าง รวมทั้งเลือกจำนวนหน่วยไฟฟ้าและเวลาในการซื้อขายได้ตามใจชอบ ฉันทกร อธิบายเพิ่มว่า ระบบนี้ผู้บริโภคจะสามารถขายไฟฟ้าให้กันเองได้ โดยจะมีอุปกรณ์ที่เป็น Power Control เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ ณ เวลาขณะนั้น ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใดขายราคาต่ำสุด ทำให้สามารถเลือกได้ว่าจะซื้อไฟจากรายใด เป็นการซื้อขายไฟฟ้าสองทาง จากเดิมผู้บริโภคต้องซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตทางเดียว ในอนาคตบริษัทจะขยายไปทำตลาดออสเตรเลีย เกาหลีและยุโรปด้วย อีกหนึ่งกลไกสำคัญของธุรกิจซื้อขายพลังงานไฟฟ้าระดับครัวเรือน คือ หน่วยกักเก็บพลังงานสำรองหรือแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นฝีมือการคิดค้นพัฒนาและออกแบบโดยวิศวกรและนักออกแบบผลิตภัณฑ์คนไทย แบตเตอรี่ระบบระบบ BMS (Battery Management System) สามารถควบคุมการอัดประจุแบบ CC/Cv ในแต่ละเซลล์ของแบตเตอรี่ เพื่อปรับเซลล์ที่มีความต่างศักย์เท่ากัน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น และมีอายุการในงานนานขึ้น บริษัทได้พัฒนาแบตเตอรี่ขนาดเล็กสำหรับกักเก็บพลังงานไฟฟ้าภายในบ้าน 2 สองรุ่น 3.2 และ 4.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้มีรูปทรงสวยงามและฟังก์ชันการใช้งานที่สามารถแสดงผลสถานะของอุปกรณ์แบบที่เข้าใจได้ง่าย สร้างเครือข่ายพลังมด ที่ผ่านมา การบริหารจัดการจะส่งไฟฟ้ามาจากหน่วยงานด้านการไฟฟ้า ส่งผ่านสายส่งไปยังผู้บริโภค ขณะที่เครือข่ายเอ็นเนอร์ยี่ติงส์นั้น ผู้บริโภคสามารถเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าทดแทนได้เองในรูปแบบใดก็ได้ทั้ง แสงแดด ลมหรืออื่นๆ เอ็นเนอร์ยี่ติงส์ เปรียบเสมือนกรีนเอ็นเนอร์ยี่ออฟติงส์ (Green Energy of Things) เชื่อมโยงระบบไมโครกริดย่อยๆ ภายในบ้านเข้าสู่โครงข่ายพลังงานของเครือข่ายสมาชิก ซึ่งจะได้รับการติดต่อนัดหมายจากวิศวกรเพื่อเข้าตรวจสอบ ออกแบบและติดตั้งระบบที่เหมาะกับลักษณะของอาคาร รวมถึงให้ความช่วยเหลือในการนำระบบขึ้นใช้งาน ทั้งนี้ บริษัทจะสนับสนุนการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมด ส่วนผลตอบแทนจากการซื้อขายพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้น จะแบ่งรายได้ระหว่างเจ้าของบ้านกับบริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดถึงสัดส่วนในแต่ละราย ซึ่งมีองค์ประกอบหลายอย่างแตกต่างกัน สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการกรีนเอ็นเนอร์ยี่ออฟติงส์ ในกรณีบ้านพักอาศัยควรจะมีค่าไฟอย่างน้อย 5,000 บาทต่อเดือน บริษัทจะลงทุน 1 ล้านบาทติดตั้งอุปกรณ์ ส่วนออฟฟิศควรจะมีค่าไฟอย่างน้อย 1 แสนบาทต่อเดือน บริษัทจะลงทุน 2-3 ล้านบาทติดตั้งอุปกรณ์ คาดว่าเบื้องต้นใช้งบ 5-10 ล้านบาทจากงบรวม 100 ล้านบาท ใช้เวลา 5-10 ปีคืนทุน โดยจะเปิดรับสมาชิกเข้าร่วมเครือข่ายได้อย่างเป็นทางการในปี 2561 ที่มาข่าวสาร : bangkokbiznews.com
Person read: 2206
23 November 2017
บาร์บีคิวพลาซ่า ต่อยอดสร้างแบรนด์นอกร้านอาหาร ให้ไลเซ่นส์มาสคอตบาร์บีกอน “แอนิเทค” ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าลิมิเต็ดเอดิชั่นชิมลาง 1 หมื่นชิ้น รับเทศกาลส่งมอบของขวัญปีใหม่ นางสาวบุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์ “บาร์บีคิวพลาซ่า” บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บาร์บีคิวพลาซ่าและแบรนด์สินค้าไอที “แอนิเทค” ได้มีความร่วมมือในลักษณะของการคอลลาบอเรชั่น (Collaboration) เป็นการจับมือข้ามธุรกิจครั้งแรก เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์กลยุทธ์การตลาดแนวใหม่ในธุรกิจร้านอาหารของเมืองไทย โดยผสานจุดแข็งของ 2 แบรนด์ ทั้งด้านความแข็งแกร่งของแบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่าและคาแรคเตอร์บาร์บีกอน ผนวกกับความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของแอนิเทค จัดทำผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้ าน คอลเล็คชั่น ลิมิเต็ด เอดิชั่น โดยบาร์บีคิวพลาซ่าเป็นผู้ให้ลิขสิทธิ์ (ไลเซนส์) ในการนำบาร์บีกอนไปใช้เป็นลวดลายบนเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นพิเศษที่มีแอนิเทคเป็นผู้ดูแลเรื่องการผลิตและบริการหลังการขายต่างๆ “ความสำเร็จของการสร้างการรับรู้ของแบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่าผ่าน คาแรคเตอร์ มาร์เก็ตติ้ง อย่างบาร์บีกอน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้บาร์บีกอนเป็นสินทรัพย์ หรือ asset ของแบรนด์ที่เข้ามาช่วยสื่อสารและเชื่อมโยงแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างดี" คาแรคเตอร์บาร์บีกอน ได้รับความนิยมสูง ด้วยความมีชีวิต เป็นมิตรเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย ทำหน้าที่เป็นตัวแทนส่งความสุขให้ผู้คนและส่งต่อจิตวิญญาณของแบรนด์ไปสู่ลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นปีนี้บริษัทจึงมุ่งต่อยอดคาแรคเตอร์บาร์บีกอนได้ออกไปสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่าในวงกว้างขึ้น เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าลายบาร์บีกอนสำหรับเป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่นี้ นายพิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์แอนิเทค กล่าวว่า การจับมือกับบาร์บีคิวพลาซ่าถือเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์แอนิเทคในการเปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเดิมแอนิเทคเน้นการทำตลาดสินค้าประเภทอุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์และไอทีเป็นหลัก ประเดิมด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ายอดนิยม ภายใต้ธีม “Anitech X Bar B Gon” ได้แก่ กาต้มน้ำไฟฟ้า เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องปั่นสมูทตี้ และเตาอบ 2 ชั้นขนาดเล็ก ผลิตจำนวนจำกัด 1 หมื่นชิ้น “นอกจากสร้างสีสันให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปลายปีและเพิ่มทางเลือกในการจับจ่าย ยังถือเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ ไลฟ์สไตล์ อิเล็คทรอนิกส์ของแบรนด์แอนิเทค ผสานเข้ากับแนวคิดของแบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่าเรื่องการสร้างความสุขผ่านมื้ออาหาร" การเปิดตัวครั้งนี้เตรียมงบการตลาด 30% ของยอดขายจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและสื่อสารการตลาด นอกจากนี้ได้วางกลยุทธ์จุดจำหน่ายครอบคลุมทุกพื้นที่ผ่านเครือข่ายของบาร์บีคิวพลาซ่าและแอนิเทค ได้แก่ หน้าแฟนเพจบาร์บีคิวพลาซ่า และการจำหน่ายผ่านหน้าร้านบาร์บีคิวพลาซ่า 19 สาขาหลักในกรุงเทพฯ วันที่ 2 ธ.ค.2560-15 ม.ค.2561 รวมถึงการจำหน่ายผ่านทางออนไลน์แบบเอ็กคลูซีฟบนเว็บไซต์และโมบายแอพพลิเคชั่น 11street อีคอมเมิร์ชแพลตฟอร์ม พรีออเดอร์วันที่ 21- 30 พ.ย.นี้ จำหน่ายเต็มรูปแบบวันที่ 1 ธ.ค. ส่วนจุดจำหน่ายเครือข่ายของแอนิเทค ครอบคลุมโมเดิร์นเทรดต่างๆ อาทิ บิ๊กซี พาวเวอร์บาย และบานาน่าไอที ที่มาข่าว : bangkokbiznews.com
Person read: 2291
22 November 2017
ด้านนายดารา โคสโรว์ชาฮิ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)ของอูเบอร์ แถลงว่า เพิ่งรับรู้เรื่องการถูกแฮกข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้ เบอร์ บริษัทให้บริการแอพพลิเคชันเรียกรถรับจ้าง เปิดเผยเมื่อวันอังคาร(21พ.ย.)ตามเวลาท้องถิ่นว่า บริษัทถูกจารกรรมข้อมูลโดยฝีมือแฮกเกอร์ 2 คนในช่วงปลายปี 2559 ส่งผลให้ลูกค้าจำนวน 57 ล้านคน ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัว รวมถึง ชื่อ แอดเดรสอีเมล และหมายเลขโทรศัพท์ แฮกเกอร์กลุ่มนี้ ยังเข้าถึงข้อมูลใบขับขี่ของผู้ขับขี่ประมาณ 6 แสนคนในสหรัฐ และเมื่อบริษัทเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้สาธารณชนรับรู้ บริษัทไม่ได้แจ้งเตือนให้เหยื่อ หรือผู้คุมกฏรับรู้ว่าบริษัทถูกแฮกข้อมูล ที่มาข่าว : bangkokbiznews.com
Person read: 2113
22 November 2017
แอร์เอเชียเตรียมทุ่มงบ 3,500 ล้านบาท อาเซียนยกระดับสู่สายการบินดิจิทัล ประเดิมอาคารผู้โดยสาร 4 สนามบินชางงี สิงคโปร์ เป็นท่าอากาศยานต้นแบบสายการบินราคาประหยัด นายโทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มสายการบินแอร์เอเชีย เปิดเผยว่าแอร์เอเชียวางแผนใช้งบลงทุน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3,500 ล้านบาทเพื่อพัฒนาให้เป็นสายการบินดิจิทัลราคาประหยัดในภูมิภาคอาเซียน อาทิไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย โดยประเดิมแห่งแรกที่สนามบินชางฮี ประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้การที่สายการบินแอร์เอเชียย้ายการให้บริการจากเทอร์มินอล 1 มาอยู่ที่เทอมินอล 4 สนามบินชางฮีถือเป็นก้าวสำคัญของแอร์เอเชียในการยกระดับสู่การเป็นสายการบินดิจิทัล โดยแอร์เอเชียได้เริ่มดำเนินการเข้าสู่กะบวนการดังกล่าวตั้งแต่ขั้นตอนก่อนการบิน ระหว่างการบิน และหลังการบิน เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ดีให้กับผู้โดยสารทุกท่าน ตัวอย่างเช่น บริการ “ROKKI” หรือ บริการ Wifi บนเครื่อง การซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน ‘Amazon of the Skies’ นิตยสารบนเครื่องบิน Travel 3Sixty รวมไปถึงบริการด้านการเงิน เช่น Big Pay และโปรแกรมสะสมแต้มการบิน เป็นต้น นอกจากนี้ แอร์เอเชียยังวางแผนที่จะทำงานร่วมกับบริษัท Palantir ในการพัฒนาระบบการเข้าถึงความปลอดภัยสำหรับนักเดินทางในการผ่านขั้นตอนศุลกากรให้รวดเร็ว ที่ท่าอากาศยานต่างๆ ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือของอาเซียนในการประสานการทำงานระหว่างหน่วยงานดูแลท่าอากาศยานและหน่วยงานภาครัฐ อีกทั้งจะพัฒนากระบวนการปฏิบัติการ ความปลอดภัย และการพาณิชย์ ของกลุ่มแอร์เอเชียเข้าด้วยกัน โดยใช้การบูรณาการข้อมูลผ่านแพลตฟอร์ม Skywise ที่พัฒนาขึ้นโดยแอร์บัส เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการดำเนินการธุรกิจ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง “ปัจจุบัน แอร์เอเชียทำงานอย่างใกล้ชิดกับท่าอากาศยานชางงี ในการก้าวเข้าสู่ท่าอากศยานที่ให้บริการผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวสอดคล้องไปด้วยดีกับโครงสร้างของสายการบินราคาประหยัดที่มุ่งเน้นความประหยัด และความมีประสิทธิภาพในการให้บริการผู้โดยสารรวมถึงยังเป็นการเพิ่มจำนวนผู้โดยสารให้กับท่าอากาศยานชางงีได้อีกด้วย และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการที่ท่าอากาศยานชางงีเข้าใจการทำงานของสายการบินราคาประหยัด” นายโทนี่ กล่าว สำหรับสายการบินแอร์เอเชีย ได้ย้ายการให้บริการจากอาคารผู้โดยสาร 1 (เทอมินอล 1) ไปยังอาคารผู้โดยสาร 4 (เทอมินอล 4) ตั้งแต่ 7 พ.ย. 2560 ซึ่งการให้บริการในรูปแบบใหม่ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการ โดยได้นำเครื่องคิออสเช็คอิน ที่จะช่วยเช็คอิน และพิมพ์ตั๋วโดยสาร พิมพ์ป้ายติดกระป๋า สัมภาระ เครื่องโหลดสัมภาระอัตโนมัติ ช่องทางศุลกากร และการเข้าสู่ประตูขึ้นเครื่องบิน ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีในการจดจำใบหน้าของผู้โดยสาร มาให้บริการ ทั้งนี้การเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้แอร์เอเชียได้รับประโยชน์จากการเติบโตของผู้โดยสาร รวมถึงการที่ท่าอากาศยานได้เตรียมความพร้อมในการเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง ทำให้จะมีผู้โดยสารมาใช้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสให้แอร์เอเชียสามารถที่จะขยายเส้นทางการบิน เพิ่มเส้นทางใหม่ๆ เข้าสู่ประเทศสิงคโปร์ได้มากขึ้นอีกด้วย สำหรับข้อมูลจากปีที่แล้ว 49% ของผู้โดยสาร ที่เดินทางเข้า-ออกในประเทศสิงคโปร์ เป็นผู้โดยสารที่เดินทางโดยสายการบินราคาประหยัด และกลุ่มสายการบินแอร์เอเชียถือเป็นสายการบินต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ ขนส่งผู้โดยสารจำนวนมากกว่า 1 ใน 8 ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด และเป็นสายการบินราคาประหยัดที่ใหญ่ที่สุดในเทอมินอล 4 ด้านแอร์เอเชีย สิงคโปร์เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2547 ในรูปแบบของการเป็นฐานปฎิบัติการบิน โดยเริ่มให้บริการในเส้นทางแรกคือ สิงคโปร์-กรุงเทพ วันละ 2 เที่ยวบิน ปัจจุบันสิงคโปร์เป็นฐานปฏิบัติการบินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ให้บริการ 40 เที่ยวบินต่อวัน 280 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยเที่ยวบินที่บินเข้า-ออก ประเทศสิงคโปร์ เป็นเส้นทางที่ให้บริการมาจากแอร์เอเชีย 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์ เชื่อมโยง 15 จุดหมายปลายทางทั่วอาเซียน ที่มาข่าว : posttoday.com
Person read: 2233
22 November 2017
ท่ามกลางธุรกิจดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ หรือ “ห้างสรรพสินค้า” ในหลายประเทศทั่วโลกทยอยปิดกิจการ สืบเนื่องจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจับจ่ายใช้สอยมุ่งสู่โลกการค้าออนไลน์มากขึ้น ขณะที่ประเทศไทยกลับสวนกระแส ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ “โรบินสัน” ที่มีเครือข่ายมากสุดด้วยจำนวน 44 แห่งทั่วประเทศ ยังคงเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การกุมบังเหียนของแม่ทัพใหม่ “วุฒิเกียรติ เตชะมงคลาวัฒน์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่า “ไทย” ยังเป็นตลาดศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนธุรกิจเติบโต วุฒิเกียรติ กล่าวว่า ตลาดประเทศไทยเป็นโอกาสธุรกิจที่ดีสำหรับโรบินสันที่มุ่งลงทุนระยะยาวต่อเนื่อง โดยมีทำเลยุทธศาสตร์ที่มีศักภาพสูงทั้งพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) แนวตะเข็บชายแดน และเมืองท่องเที่ยว “ธุรกิจห้างสรรพสินค้าไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งของระบบซัพพลายเชน อีกทั้งสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที สะท้อนจากอัตราการเติบโตและการขยายตัวทางธุรกิจสวนทางกระแสปิดตัวของห้างสรรพสินค้าในสหรัฐหรือประเทศอื่น” ทั้งนี้ ภายใต้ “วิชั่น 2020” โรบินสันวางเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มอย่างน้อย 9 แห่ง จากนี้ โดยจะมีสาขาให้บริการรวม 55 แห่ง ในสิ้นปี 2563 หรือเปิดเพิ่ม 3-4 สาขาต่อปี วางยุทธศาสตร์มุ่งตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่สุดของประเทศไทย การมุ่งหน้าตลาดจังหวัดมองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดี เพราะเป็นตลาดที่ “ไร้คู่แข่งทางตรง” มีระดับใกล้เคียงกัน คือ ไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่น บิ๊กซี หรือ เทสโก้ โลตัส แต่มีความแตกต่างกันทางด้านสินค้าและบริการอย่างชัดเจน ดังนั้นการเจาะตลาดที่แข่งขันต่ำ มีโอกาสของผลตอบแทนและการเติบโตที่ดีกว่า สอดรับนโยบายสำคัญของโรบินสันที่มุ่งลงทุนให้เกิดความมั่นคงและผลกำไร สนับสนุนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะคู่ค้า พร้อมกันนี้ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดค้าปลีกค่อนข้างซบเซา ทำให้โรบินสันชะลอการขยายสาขาจากอัตราเปิดใหม่สูง 5 สาขาต่อปีเหลือ 2-3 สาขาต่อปี แบะใช้จังหวะนี้ในการเรียนรู้ ศึกษาตลาดและลูกค้า ปรับระบบบริหารจัดการภายใน สร้างและทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เรียกว่า เตรียมความพร้อมธุรกิจ “วันนี้ โรบินสันมีความยืดหยุ่นสูงในการขยายสาขาต่อก้าวรุกเจาะกลุ่มกลาง-บนของแต่ละจังหวัดซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดของประเทศ” ปัจจุบันโรบินสันสาขาให้บริการ 44 แห่ง ภายใต้ธุรกิจ 4 รูปแบบ ประกอบด้วย โรบินสัน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ 44 สาขา ในจำนวนนี้ เป็น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ (ศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์) 19 สาขา นอกจากนี้มีธุรกิจแบรนด์แมเนจเม้นท์ รวม 6 แบรนด์ และห้างสรรพสินค้าโรบินส์ เวียดนาม 2 สาขา ทั้งนี้ “โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ มอลล์” ถูกวางเป็นหัวหอกในการขยายอาณาจักรโรบินสัน รองรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มีความต้องการสินค้าและบริการในวิถีคนเมือง สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า เป็นการปรับตัวจาก “Digital Disuption” ที่ร้านค้าปลีกแบบเดิมๆ ต้องปรับตัวให้ทันสถานการณ์และพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ มี 3 ขนาด เพื่อจับวางตามทำเลและตลาดได้อย่างเหมาะสม ได้แก่ ไซส์เอส “คอมแพ็ค” พื้นที่เฉลี่ย 3 หมื่นตร.ม.เจาะจังหวัดขนาดเล็ก อาทิ กำแพงเพชร ที่เตรียมเปิดบริการเดือน ธ.ค.นี้ ขณะที่จังหวัดขนาดใหญ่ขึ้นมา หรือระดับเมืองรอง ใช้ “ไซส์เอ็ม” พื้นที่เฉลี่ย 3.5 หมื่นตร.ม. อาทิ สกลนคร ร้อยเอ็ด มุกดาหาร แม่สอด จ.ตาก และ “ไซส์แอล” เจาะเมืองขนาดใหญ่ ด้วยพื้นที่บริการ 3.7 หมื่นตร.ม. เช่น สระบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ วุฒิเกียรติ กล่าวย้ำว่า ขนาดคอมแพ็คไซส์มีแนวโน้มขยายตัวสูงสามารถเปิดตลาดได้ทั้งจังหวัดขนาดเล็ก เมืองรอง รวมทั้ง “เปิดเพิ่ม” ในจังหวัดขนาดใหญ่ที่มีโรบินสันเปิดบริการอยู่แล้ว เช่น ชลบุรี ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงกระจายตัวในหลายพื้นที่ ในปีหน้าเตรียมเปิดโรบินสันอีก 1 แห่งย่านนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร โดยเป้าหมายสาขาให้บริการ 55 แห่งในสิ้นปี 2563 จำนวนนี้ กว่าครึ่งจะเป็น “โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ มอลล์” ประมาณ 25 สาขา จากสิ้นปีนี้จะมีสาขารวม 20 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้ โรบินสัน จะเปิด 2 สาขาใหม่ โรบินสัน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ “มหาชัย” และศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ กำแพงเพชร ส่งผลให้สิ้นปี โรบินสัน มีสาขารวม 46 แห่ง นับเป็นธุรกิจค้าปลีกที่มีสาขามากที่สุดครอบคลุมทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมีพื้นที่การให้บริการรวมมากกว่า 1.2 ล้านตร.ม. ที่มาข่าว : bangkokbiznews.com
Person read: 2197
21 November 2017
ESET ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ เผยผลสำรวจภัยคุกคามทางไซเบอร์กับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก หรือ ESET 2017 SMBs survey พบว่ากลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็กในประเทศไทยเสี่ยงต่อการเกิดข้อมูลรั่วไหลจากการโจมตีทางไซเบอร์ในรูปแบบการเข้ารหัสมากที่สุดในภูมิภาค ESET ส่งแบบสำรวจไปยังบริษัท 1,500 แห่ง ในจำนวนนี้มีบริษัทขนาดเล็กและกลางตอบกลับจำนวน 300 ราย กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ คือ สิงคโปร์, ฮ่องกง, อินเดีย, ไทยและญี่ปุ่น และจากการสำรวจพบว่า ธุรกิจขนาดกลางและเล็กในประเทศไทยประสบปัญหาข้อมูลรั่วไหลสู่ระบบไซเบอร์เป็นสัดส่วนสูง 92% เผยว่าปัญหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเข้ารหัส ส่วนญี่ปุ่นที่มีอัตราส่วนอยู่ที่ 72% อินเดีย 61% ฮ่องกง 57% และสิงคโปร์ 43% ปัจจุบันธุรกิจขนาดกลางและเล็กนำเอาวิธีการเข้ารหัสข้อมูลมาใช้เป็นมาตรการทางการป้องกันทางไซเบอร์ โดย 80% ได้ประยุกต์ใช้การเข้ารหัสข้อมูลส่วนบุคคล และอีก 73% เลือกที่จะเข้ารหัสข้อมูลที่ถูกส่งต่อออกไป แม้จะมีมาตรการด้านความปลอดภัยไซเบอร์อยู่แล้ว แต่จากความนิยมในการนำเอาแนวคิด Bring-Your-Own-Device (BYOD) หรือการนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้กับการทำงาน ทำให้กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็กควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่พนักงานของตัวเองในเรื่องของการป้องกันภัยทางไซเบอร์ที่สามารถโจมตีผ่านทางอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการทำงาน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการโจมตีได้ ESET ระบุว่า อัตราการปรับใช้เทคโนโลยีด้านดิจิทัลทั้งในกลุ่มของผู้ใช้ตามบ้านและองค์กรธุรกิจ ทำให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคกลายเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจในการก่ออาชญากรรมไซเบอร์ ธุรกิจขนาดเล็กอาจเป็นเป้าหมายกลุ่มใหม่สำหรับอาชญากรไซเบอร์ซึ่งอาจใช้เป็นทางผ่านไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดใหญ่กว่า ที่มาข่าว : blognone.com
Person read: 2156
20 November 2017
ตลาดอสังหาริมทรัพย์“แนวราบ” โปรดักท์ตอบโจทย์ความต้องการซื้ออยู่อาศัยจริง ยังมีทิศทางการเติบโตโดยเฉพาะในกลุ่ม“ไฮเอนด์”กำลังซื้อสูง ภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บริษัทเอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี กลับสู่ภาวะ“ฟื้นตัว”อย่างชัดเจน โดยเฉพาะตลาด แนวราบ ในกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมเซ็กเมนท์กลางถึงบน ทำเลใจกลางเมืองที่ระดับราคาขาย 4-9 ล้านบาทขึ้นไป ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้าครอบครัวเมืองเจนเนอเรชั่นใหม่ อายุไม่เกิน 35 ปี ที่มีรายได้ 8 หมื่นบาทต่อเดือน ทั้งรายได้ประจำและรายได้พิเศษ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำงานเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ พบว่าคนรุ่นใหม่ที่เดิมซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น หรือมีครอบครัว จะขยับมาซื้อที่อยู่อาศัยประเภท “ทาวน์โฮม” พื้นที่ใกล้เมือง ซึ่งเป็นดีมานด์การซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง สะท้อนจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าไฮเอนด์ทาวน์โฮม “บ้านกลางเมือง” ของเอพี ที่เป็นกลุ่มครอบครัวเมืองเจนเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งมีสัดส่วน 39% ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 70% ในไตรมาส 3 ปีนี้ ปัจจุบันภาพรวมตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น ทำเลในเมือง ช่วง 5 ปี ที่ผ่านมามี 34 โครงการ รวมมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท โดย“บ้านกลางเมือง” ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด 59% มูลค่า 1.77 หมื่นล้านบาท ล่าสุด เอพี เปิดตัวโครงการบ้านกลางเมือง โมเดลเทอราเรีย (Terraria) ไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น 18 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 152 ตร.ม. 2 ทำเลแรกใจกลางเมือง คือ สาทร-สุขสวัสดิ์ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท จำนวน 204 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท และ ลาดพร้าว-เสรีไทย มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท จำนวน 334 ยูนิต ราคาเริ่ม 4.29 ล้านบาท สำหรับไฮเอนด์ทาวน์โฮมแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” มีกว่า 10 โมเดล โดยศึกษาและพัฒนาพื้นที่ จากแนวคิดเรื่อง Design Thinking มาใช้ในการวิจัยและพัฒนาสินค้าที่อยู่อาศัยภายใต้วิธีคิดนวัตกรรมดีไซน์พื้นที่แห่งอนาคต (Innovation for Future Living) มีจุดเด่นคือ การออกแบบพื้นที่สีเขียว นำต้นไม้เข้ามาอยู่ในตัวอาคารในรูปแบบ Pocket Garden และการออกแบบพื้นที่รองรับการปรับเปลี่ยน (Design for Flexible Living) ตามความต้องการใช้พื้นที่ที่หลากหลาย “กลุ่มเป้าหมายหลักทาวน์โฮม ยังเป็นกลุ่มนิว เจน ที่เอพี มีความแข็งแกรงในตลาดดังกล่าว ด้วยดีไซน์ฟังก์ชั่นการใช้พื้นที่ปรับเปลี่ยนตามการใช้งานในอนาคต โดยยังคงรักษาฐานลูกค้านิว เจน และขยายกลุ่มใหม่เพิ่มเติม” ปีนี้เอพีตั้งเป้ายอดขายโครงการแนวราบไว้ที่ 1.36 หมื่นล้านบาท ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามียอดขายรวมกว่า 1.27 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยช่วง 2 เดือนสุดท้ายจะเปิดตัวโครงการแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ารวม 7,700 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่า 5,300 ล้านบาท และทาวน์โฮม 2 โครงการ คือ บ้านกลางกรุง เทอราเรีย มูลค่า 2,400 ล้านบาท มั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะทำยอดขายแนวราบได้ตามเป้าหมาย สำหรับโครงการแนวราบปี 2560 มีจำนวนทั้งสิ้น 22 โครงการ มูลค่า 2.49 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 1.25 หมื่นล้านบาท และบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 1.23 หมื่นล้านบาท ช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาตลาดแนวราบเอพี เติบโต 25% ขณะที่ 9 เดือน ขยายตัว 16% จากแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯตั้งแต่ปลายปีนี้ เชื่อว่าทิศทางแนวราบของบริษัทปีหน้ายังเติบโตได้ในระดับ 15% ต่อเนื่อง ปี 2560 เอพี เปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่ารวม 4.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 22 โครงการ มูลค่า 2.49 หมื่นล้านบาท และแนวสูง 3 โครงการ มูลค่า 2.41 หมื่นล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : bangkokbiznews.com
Person read: 2233
15 November 2017
Ford และ Zotye Auto ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนได้เซ็นสัญญาก่อตั้งบริษัทร่วมเพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในจีนที่นำสมัยและราคาหาซื้อได้ โดยบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ชื่อว่า Zotye Ford Automobile Co. ซึ่งสองบริษัทจะถือหุ้นคนละครึ่ง มีมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 756 ล้านดอลลาร์ หลังจากได้รับอนุญาตตั้งบริษัทแล้ว ทั้ง Ford และ Zotye จะตั้งโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัด Zhejiang โดยบริษัทร่วมซึ่งก่อตั้งโดยสองบริษัทนี้จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าป้อนให้ตลาดจีนโดยเฉพาะภายใต้แบรนด์ใหม่ สำหรับ Zotye เป็นบริษัทจีนซึ่งมีประสบการณ์ในระดับหนึ่งเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าระดับหนึ่ง โดยในปีนี้บริษัทขายรถยนต์ไฟฟ้าไปได้ทั้งหมดกว่า 22,500 คัน และการมีประสบการณ์เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดจีนจะมีประโยชน์มากเมื่อนำมาประกอบเข้ากับเทคโนโลยีของ Ford ซึ่งทาง Ford คาดหวังให้รถยนต์ที่วางจำหน่ายในจีนอย่างน้อย 70% เป็นรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2025 การร่วมก่อตั้งกับบริษัทรถยนต์ท้องถิ่นจะทำให้ Ford บรรลุเป้าหมายได้ไวขึ้น ขอบคุณข่าวจาก : blognone.com
Person read: 2400
13 November 2017
เดลต้าฯ จับมือ ม.เกษตรศาสตร์ เปิดสมาร์ทแล็บแห่งอนาคตและห้องเรียนอัจฉริยะ พื้นที่การเรียนรู้ที่จะช่วยพัฒนาการเรียนการสอนวิศวกรรมศาสตร์ ระบบออโตเมชั่น กระตุ้นการวิจัยต่อยอดนวัตกรรม ห้องสมาร์ทแล็บและห้องเรียนอัจฉริยะจะเป็นขุมพลังสร้างเมคเกอร์และนักสร้างสรรค์ สร้างเสริมประเทศไทยให้เป็นฮับการเกษตรและอาหาร 4.0 ของภูมิภาคโลกในอนาคต บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) ได้ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิด “สมาร์ทแล็บแห่งอนาคตและห้องเรียนอัจฉริยะ (Delta Industrial Automation SMART Laboratory)” พื้นที่การเรียนรู้ที่จะช่วยพัฒนาการเรียนการสอนวิศวกรรมศาสตร์ ระบบออโตเมชั่น กระตุ้นการวิจัยต่อยอดนวัตกรรม สนับสนุนเมคเกอร์และสตาร์ทอัพผู้ประกอบการใหม่ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เอื้อประโยชน์ต่อการนำประเทศสู่การปฏิรูปอาหารและเกษตร 4.0 นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการบริหาร เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า ประเทศไทยยังขาดแคลนบุคคลากรด้านระบบอัตโนมัติ 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มวิศวกรที่จะนำระบบ Industrial Automation (IA) ไปออกแบบปรับปรุงและพัฒนาระบบการผลิตสู่การเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร 4.0 2.กลุ่มที่จะบำรุงรักษา Industrial Automation (IA) และ 3.กลุ่มที่มีทักษะในการเป็นผู้ใช้ระบบ Industrial Automation (IA) โครงการ Delta IA Smart Lab ที่เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ร่วมมือกับหลายมหาวิทยาลัยโดย คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นับเป็นแห่งที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีออโตเมชั่น ส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรไทย ทักษะการศึกษายุคอุตสาหกรรม 4.0 สู่ไทยแลนด์ 4.0 และมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้พลังงานสะอาดและเพิ่มประสิทธิภาพเพื่ออนาคตที่ดีกว่า ให้นักศึกษาได้เปิดโลกทัศน์ซึ่งไม่เพียงเข้ามาเรียนรู้เท่านั้น แต่ส่งเสริมเยาวชนได้มีการคิดวิเคราะห์และดัดแปลง ต่อยอดองค์ความรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง...จากรุ่นสู่รุ่น ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การศึกษาในอนาคตจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน โดยนักศึกษาในวันนี้อีกไม่กี่ปีก็เข้าสู่ตลาดแรงงาน ต้องเผชิญกับแรงกดดัน ความท้าทาย เพราะฉะนั้นเพื่อเตรียมบุคลากรสำหรับอนาคต การศึกษาต้องตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยการศึกษาที่ว่านั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงการศึกษาที่จัดขึ้นเฉพาะบุคคล สามารถดึงจุดเด่น ความเก่งของแต่ละคนออกมา (bring the best in one’s talents) ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทางดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงเร็ว (information climates) ความรู้จะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าเอามาใช้ไม่เป็น ต้องเข้ากันได้กับระบบเดิม ต้องมีต้นทุนต่ำ (cost effective) และ ต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนาความเจริญของมนุษย์ เช่น เรื่องการเมือง เศรษฐศาสตร์ ศาสนา สาธารณสุข ไม่เพียงเท่านี้ กรอบความคิดของบุคลากรก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย อาทิ การให้ความสำคัญกับทักษะ (skill) มากกว่าเนื้อหา (content) , กระบวนการเรียนรู้มีความสำคัญมากกว่าหลักสูตร, บูรณาการความรู้กับชีวิตและการใช้ประโยชน์มีความสำคัญกว่าใบปริญญา, คิด สร้างสรรค์ วิเคราะห์และสังเคราะห์ได้ มีความสำคัญมากกว่าการท่องจำ และที่สำคัญคือ เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้และพัฒนา มีความสำคัญกว่าการเรียนในห้อง ดังนั้น สมาร์ทแล็บแห่งอนาคตและห้องเรียนอัจฉริยะ จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์การศึกษาในอนาคตได้เป็นอย่างดี เพราะนักศึกษาจะได้ฝึกการทำจริงมากกว่าแค่การท่องจำ กิจกรรมในงานเป็นเสวนาพิเศษ เรื่อง “Automation เพื่อนวัตกรรมอาหารและเกษตร 4.0”โดย นายเกษมสันต์ เครือธร ผจก.ภาคพื้นอาวุโสฝ่ายอินดัสเทรียล ออโตเมชั่น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับกระบวนการผลิตในโลกอนาคต คือ เทคโนโลยีออโตเมชัน หรือ Industrial Automation เป็นเทคโนโลยีที่ย้ายคนไปทำหน้าที่ควบคุมและบริหารข้อมูลที่ได้รับจากอุปกรณ์เครื่องจักรที่สื่อสารเชื่อมโยงกันได้ผ่านอินเตอร์เน็ตหรือไอโอทีสมาร์ทโฟน ทำให้เห็นภาพรวมว่าขณะนี้เครื่องจักรมีผลผลิตอย่างไร โรงงานใช้พลังงานไปเท่าไหร่ จุดไหนมีปัญหาที่ต้องแก้ไข เป็นต้น ระบบ Industrial Automation ประกอบด้วย 1.เครื่องจักรอัตโนมัติ (Automation Machine) 2.โรงงานอัตโนมัติ (Factory Automation) และ 3.กระบวนการผลิตอัตโนมัติ (Process Automation) สำหรับในสมาร์ทแล็บอัจฉริยะ แห่งนี้ ได้รับการออกแบบที่ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยี และเชื่อมต่อถึงกัน ประกอบด้วย 1.ชุดจำลองชุดขับมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจำนวน 3 ชุด (Operator Panel หรือ HMI) 2.ชุดจำลองชุดขับมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับผ่านแคนบัสจำนวน 3 ชุด (PLC) 3.ชุดจำลองชุดขับมอเตอร์เซอร์โวผ่านแคนบัสจำนวน 3 ชุด (VFD/Servo) 4. ชุดจำลองชุดขับมอเตอร์เซอร์โวผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจำนวน 3 ชุด (Motor) สามารถนำอุปกรณ์ทั้งหมดมาเชื่อมโยงข้อมูลของภาพรวมระบบออโตเมชั่นที่สมบูรณ์ ซึ่งแตกต่างจากห้องแล็บแบบเดิม ที่สอนแยกส่วนกัน ดร.พีรยุทธ์ ชาญเศรษฐิกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ความเจริญก้าวหน้าเพื่อยกระดับธุรกิจอุตสาหกรรมของไทยสู่ Industry 4.0 จำเป็นต้องรวมพลังภาครัฐ เอกชน และภาคการศึกษา เดลต้าฯเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำของโลกด้านโซลูชั่นการจัดการพลังงาน ระบบอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรม ระบบแสดงผลครบวงจร และระบบเครือข่าย นวัตกรรมการวิจัย และการพัฒนาที่ทันสมัย สู่ความเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ส่วนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นแหล่งรวมผู้เชียวชาญสาขาต่างๆและเป็นสถาบันการศึกษาที่บ่มเพาะบุคคลากรคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนปฎิรูปประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 จึงส่งเสริมให้นิสิตวิศวกรรมศาสตร์ สร้างสรรค์ประดิษฐ์ผลงานนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ สร้างเสริมให้นิสิตในปัจจุบันที่จะเป็นวิศวกรในอนาคต สามารถสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมอย่างไร้ขีดจำกัด ผศ.ชนะ รักษ์ศิริ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่าอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร มีความสำคัญยิ่งเนื่องด้วยการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ทุกภาคส่วนจึงฝากความหวังไว้ที่การเกษตรและอาหาร ซี่งจำเป็นต้องผลิตได้พอเพียงกับความต้องการที่มากขึ้นตาม ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อควบคุมผลผลิตทางการเกษตร ให้มีคุณภาพและสามารถผลิตได้อย่างยั่งยืน เทคโนโลยี Automation เป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในวงการเกษตรและอาหาร เพื่อลดแรงงานคน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและอัตราการผิดพลาดหรือความเสียหายลดลง ตัวอย่างเช่น เครื่องคัดแยกไข่เสียในตู้ฟักอัตโนมัติ, เครื่องคัดแยกเสาวรส ซึ่งต่อไปในอนาคตนวัตกรรมดังกล่าวจะเข้ามาไปส่วนสำคัญในทุกอุตสาหกรมของประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ยกตัวอย่าง เครื่องคัดแยกไข่เสียในตู้ฟักอัตโนมัติ (Non Hatched Smart Detection) มาจากการมองเห็นว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเนื้อไก่ที่สำคัญซึ่งสร้างรายได้แก่ประเทศมหาศาล แต่เกษตรกรยังขาดแคลนเทคโนโลยี ส่งผลให้ผลผลิตและคุณภาพยังไม่ดี ทั้งนี้หากใช้วิธีเดิมยกไข่ส่องกับไฟฉายด้วยสายตาในการคัดแยกไข่ จะขาดความแม่นยำที่จะทราบว่าไข่ใบใดเสียหายบ้าง ดังนั้นเราจึงสร้างเครื่องคัดแยกไข่เสียในตู้ฟักอัตโนมัติขึ้นมา โดยเมื่อนำไข่เข้าเครื่องตามปริมาณที่กำหนด เครื่องจะทำการประมวลผลภาพและคัดไข่ที่ไม่สามารถฟักออกมาให้อัตโนมัติอย่างแม่นยำ ลดข้อผิดพลาด ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรฟาร์มไก่มีผลกำไรมากขึ้นและเพิ่มคุณภาพของผลผลิต ดร.ชมาพร เจียรบุตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตผลเกษตรและอาหารที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก การพัฒนาการเกษตรและอาหาร 4.0 เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นครัวโลกและ Hub ด้านอาหารและเกษตร พร้อมนำประเทศไปสู่การพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืน คนไทยมีความกินดีอยู่ดี มีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งพาตนเองได้ ในการผลิตและการตรวจสอบอาหารในบ้านเรายังใช้แรงงานคนอยู่มาก ความล่าช้าทำให้การตรวจสอบคุณภาพของสินค้าไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้จะช่วยพัฒนาการเกษตรให้เป็นไปอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างเช่น นวัตกรรม เครื่องคัดแยกมะขามปนเปื้อนอัตโนมัติ (Non Hatched Smart Detection) ด้วยระบบรังสียูวีและการวิเคราะห์ภาพ เพื่อควบคุมคุณภาพของมะขามหวานให้ปราศจากสิ่งปนเปื้อนที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและยากที่จะกำจัดออกได้ทั้งหมด มะขามในห้างสรรพสินค้าและส่งออกต่างประเทศอาจเจอปัญหาหนอนและแมลงเจริญเติบโตอยู่ภายในถุงบรรจุภัณฑ์ ดังนั้นเครื่องคัดแยกมะขามปนเปื้อนอัตโนมัติจึงถูกคิดค้นขึ้น โดยใช้วิธีการประมวลผลด้วยภาพบนระบบปฏิบัติการ Windows ช่วยให้การคัดแยกมะขามปนเปื้อนมีความแม่นยำมากขึ้น ช่วยให้สินค้าถูกการตีกลับน้อยลง และช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวสินค้าและบริษัท ขอบคุณข้อมูลจาก : bangkokbiznews.com
Person read: 3202
13 November 2017
ผู้สื่อข่าว”ประชาชาติธุรกิจ”รายงานว่า มหกรรม 11.11 โกลบอล ช้อปปิ้ง เฟสติวัล 2017(11.11 Global Shopping Festival2017) หรือวันช้อปปิ้งคนโสด ได้จบลงแล้วในเวลา 24.00 น. โดยสามารถทำยอดขายได้ถึง1.68 แสนล้านหยวน หรือ 25,386 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 837,738 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 42.7% โดยเป็นมูลค่าการซื้อขายบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ผ่านอาลีเพย์ คิดเป็น 90% ของมูลค่าการซื้อขายโดยรวม เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 1.78 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 5.7แสนล้านบาท ซึ่งในปีนี้ทำมูลค่ายอดขายรวม (GMV – gross merchandise value)ทะลุ 120,700 ล้านหยวน หรือ 1.78หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในเวลา 13.09 น.ของวันนี้ และทำยอดขายครบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในนาทีที่ 2นาที 1วินาที เร็วกว่าปีที่ผ่านมาที่ใช้เวลา 4นาที 54 วินาที และมียอดขายครบ 1 หมื่นล้านหยวนในนาทีที่3นาที 1วินาที ขณะที่ปีที่แล้วทำได้ในเวลา 6 นาที 58 วินาที ขณะที่อัตราการสั่งซื้อสูงสุดในปีที่ ผ่านมาอยู่ที่ 175,000 ครั้งต่อวินาที (คำสั่งชำระเงิน 120,000 ครั้งต่อวินาที) แต่ปีนี้อยู่ที่ 325,000 ครั้งต่อวินาที (คำสั่งชำระเงิน 256,000 ครั้งต่อวินาที นับเป็นสถิติโลกใหม่ที่เกิดขึ้นภายในช่วง 39 นาทีแรกหลังเที่ยงคืน สำหรับมหกรรมดังกล่าวจัดขึ้นในปีนี้เป็นครั้งที่ 9 เริ่มครั้งแรกในปี 2552 ซึ่งครั้งนั้นทำยอดขายได้ 7.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 258 ล้านบาท ต่อมาได้ขยายจากงานลดราคาสินค้าออนไลน์ 24 ชั่วโมง มาเป็นมหกรรมช้อปปิ้ง และเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ระดับโลก ครอบคลุมระยะเวลารวม 24 วัน และสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมา มีการซื้อขายข้ามประเทศ ครอบคลุม 235 ประเทศทั่วโลก และ 37% ของผู้ซื้อทั้งหมด ซื้อสินค้าจากแบรนด์และผู้ขายระดับโลก สำหรับประเทศที่ขายสินค้าให้ประเทศจีนมากที่สุดในแง่มูลค่า ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และเยอรมันนี ขณะที่แบรนด์จากสหรัฐอเมริกาที่ทำมูลค่ายอดขายสูงสุด คือ แอปเปิล, ไนกี้, นิวบาลานซ์, เพลย์บอย และสเก็ตช์เชอร์ส ส่วนแบรนด์ยุโรปที่ทำมูลค่ายอดขายสูงสุด ได้แก่ ซีเมนส์, ฟิลิปส์, อาดิดาส, แจ็คโจนส์ และโอนลี่ ขอบคุณข้อมูลจาก : prachachat.net
Person read: 2144
13 November 2017
ปัจจุบัน ‘ไบค์ แชร์ริง’ ถือเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเทรนด์ดังกล่าวได้รับอิทธิพลมาจากโมเดลที่มีชื่อว่า ‘แชร์ริง อีโคโนมี’ หรืออาจเรียกเป็นภาษาไทยได้ว่า ‘เศรษฐกิจแบ่งปัน’ นั่นเอง โดยเทรนด์แชร์ริง อีโคโนมี หมายถึง โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เกิดจากตัวปัจเจกบุคคลสามารถให้ผู้อื่นยืมหรือเช่าสิ่งของของตน เช่น ไบค์ แชร์ริง หากตนเองไปทำงานในช่วงเช้าโดยใช้จักรยาน ซึ่งระหว่างวันตนเองไม่ได้ใช้จักรยานเลย ตนก็สามารถให้ผู้อื่นใช้บริการเช่าจักยานของตนได้ ถือเป็นการสร้างรายได้ที่ดีและกำลังเป็นที่นิยมในหลาย ๆ ประเทศในขณะนี้เลยก็ว่าได้ ล่าสุด โมไบค์ ผู้นำเทรนด์ด้านจักรยานสาธารณะอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ในประเทศจีน ร่วมมือกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เปิดให้บริการใช้จักรยานสาธารณะอัจฉริยะเป็นครั้งแรกกันอย่างฟรี ๆ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเดินทาง อีกทั้งบริการดังกล่าวยังใช้ง่ายและเป็นรูปแบบการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โมไบค์ หรือจักรยานสาธารณะอัจฉริยะ มีความล้ำสุดพิเศษกว่าจักรยานสาธารณะทั่ว ๆ ไป คือ ใช้ระบบ Internet of Things (IoT) ในการให้บริการ ตัวจักรยานมีระบบจีพีเอส (GPS) โดยผู้ใช้บริการสามารถค้นหาโมไบค์ที่ใกล้ที่สุด ทั้งการจองและปลดล็อก ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ตัวคันจักรยานทำจากเฟรมอลูมิเนียมมีน้ำหนักเบากันได้ทั้งน้ำและสนิม อีกทั้งยังขับเคลื่อนโดยไร้โซ่และยางไร้ลม ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้โมไบค์ ทนทานต่อการใช้งานถึง 4 ปี โดยที่ไม่ต้องซ่อม!!! สำหรับการใช้บริการเบื้องต้นได้เปิดให้ใช้บริการ ในวันที่ 6 พ.ย.2560 มีจุดบริการทั้งหมด 26 จุด จำนวนจักรยาน 360 คัน ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เท่านั้น ดังนั้นอย่านำออกนอกพื้นที่เด็ดขาด เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ค่อยเช็คการใช้งานแบบเรียลไทม์เพื่อป้องกันการศูนย์หาย บุคคลทั่วไปและนักศึกษาสามารถทำตามขั้นตอนเพื่อใช้บริการด้วยวิธีนี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : marketingoops.com
Person read: 2381
12 November 2017
การจราจรในกรุงเทพมหานครนั้นแสนสาหัส ยิ่งชั่วโมงเร่งด่วนไม่ต้องพูดถึงแทบจะไม่ขยับเอาซะเลย หนทางสุดท้ายของคนกทม. ก็คือต้องพึ่งวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างเพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ทันท่วงที แต่ทุกครั้งที่ใครหลายคนต้องใช้บริการวินมอเตอร์ไซด์มักจะเจอกับเหตุการณ์ค่าโดยสารบอกราคาเกินความเป็นจริง หรือราคาค่าโดยสารที่ไม่แน่นอน ยกตัวอย่างเช่น เคยนั่งจากต้นทางแยกอโศกมาปลายทางตึกแกรมมี่ 20 บาท แต่บางคันกลับเรียกเก็บ 25 บาท เป็นต้น แต่อย่างไรแล้ว เราที่เป็นผู้บริโกคในบางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ ต้องจำยอมไปโดยปริยาย แม้จะมีการร้องเรียนจากประชาชนในกทม.มาเป็นระยะ ๆ และได้มีการแก้ไขไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควร ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 2,053 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 12 – 14 กันยายน 2560 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 99% และความผิดพลาดไม่เกิน 4% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,406 กลุ่ม ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการให้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า เนื่องจากกรมการขนส่งทางบก ร่วมกับ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักเทศกิจ กรุงเทพมหานคร เปิดรับลงทะเบียนรถจักรยานยนต์สาธารณะ เป็นการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้าง โดยรถจักรยานยนต์ที่นำมาใช้จะต้องจดทะเบียนถูกต้อง (ป้ายเหลือง) ผู้ขับรถ เสื้อวิน บัตรประจำตัว และรถจะต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องและตรงกัน เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์หรือการปล่อยให้เช่าเสื้อวิน ทั้งนี้ หากพบการนำรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล (ป้ายดำ) มาใช้รับ-ส่งผู้โดยสาร ปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่งกายไม่ถูกต้องตามประกาศของกรมการขนส่งทางบก ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ไม่แสดงใบอนุญาตขับรถ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ระยะเวลา 3 ปี จุดที่น่าสนใจคือการที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่สามารถจอดรับผู้โดยสารได้เนื่องจากอยู่นอกพื้นที่ของตนเองทำให้เกิดปัญหาการปฏิเสธผู้โดยสารของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ในการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างประชาชนในกรุงเทพมหานครนั้นมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร ซึ่งผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการให้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ การจราจรในกรุงเทพมหานครนั้นแสนสาหัส ยิ่งชั่วโมงเร่งด่วนไม่ต้องพูดถึงแทบจะไม่ขยับเอาซะเลย หนทางสุดท้ายของคนกทม. ก็คือต้องพึ่งวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างเพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ทันท่วงที แต่ทุกครั้งที่ใครหลายคนต้องใช้บริการวินมอเตอร์ไซด์มักจะเจอกับเหตุการณ์ค่าโดยสารบอกราคาเกินความเป็นจริง หรือราคาค่าโดยสารที่ไม่แน่นอน ยกตัวอย่างเช่น เคยนั่งจากต้นทางแยกอโศกมาปลายทางตึกแกรมมี่ 20 บาท แต่บางคันกลับเรียกเก็บ 25 บาท เป็นต้น แต่อย่างไรแล้ว เราที่เป็นผู้บริโกคในบางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ ต้องจำยอมไปโดยปริยาย แม้จะมีการร้องเรียนจากประชาชนในกทม.มาเป็นระยะ ๆ และได้มีการแก้ไขไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควร ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 2,053 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 12 – 14 กันยายน 2560 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 99% และความผิดพลาดไม่เกิน 4% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,406 กลุ่ม ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการให้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า เนื่องจากกรมการขนส่งทางบก ร่วมกับ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักเทศกิจ กรุงเทพมหานคร เปิดรับลงทะเบียนรถจักรยานยนต์สาธารณะ เป็นการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้าง โดยรถจักรยานยนต์ที่นำมาใช้จะต้องจดทะเบียนถูกต้อง (ป้ายเหลือง) ผู้ขับรถ เสื้อวิน บัตรประจำตัว และรถจะต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องและตรงกัน เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์หรือการปล่อยให้เช่าเสื้อวิน ทั้งนี้ หากพบการนำรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล (ป้ายดำ) มาใช้รับ-ส่งผู้โดยสาร ปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่งกายไม่ถูกต้องตามประกาศของกรมการขนส่งทางบก ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ไม่แสดงใบอนุญาตขับรถ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ระยะเวลา 3 ปี จุดที่น่าสนใจคือการที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่สามารถจอดรับผู้โดยสารได้เนื่องจากอยู่นอกพื้นที่ของตนเองทำให้เกิดปัญหาการปฏิเสธผู้โดยสารของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ในการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างประชาชนในกรุงเทพมหานครนั้นมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร ซึ่งผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการให้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ ขอบคุณบทความจาก : daily.rabbit.co.th
Person read: 2233
12 November 2017
ในอดีต “น้ำมัน” นอกจากเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของโลก ยังเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก บริษัทน้ำมันหรือประเทศที่มีแหล่งน้ำมันกลายเป็นประเทศร่ำรวยแบบที่เรียกว่า “เศรษฐีน้ำมัน” ขณะที่บรรดาบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ ก็ติดทำเนียบบริษัทที่มีมูลค่าอันดับต้น ๆ ของโลก แต่จากทิศทางราคาน้ำมันขาลงช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ด้วยปัญหาซัพพลายล้น เพราะการเกิดขึ้นของ “เชลออยล์” รวมทั้งการให้ความสำคัญกับปัญหาภาวะ “โลกร้อน” ส่งผลให้นานาประเทศมุ่งเน้นการใช้ “พลังงานทางเลือก” ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล และอื่น ๆประกอบกับทิศทางใหม่ของโลกยุค 4.0 ทำให้ความสำคัญของ “น้ำมัน” น้อยกว่า “ข้อมูล” ทำให้ธุรกิจน้ำมันอาจไม่ใช่ผู้กุมชะตาอุตสาหกรรมโลกอีกต่อไป และหนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนคือ ตอนนี้เกิดปรากฏการณ์หลายประเทศทั่วโลกทยอยประกาศนโยบายเลิกใช้รถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปที่พาเหรดกันออกมาประกาศเส้นตายเลิกจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในช่วงปี 2030-2040 เช่นที่ “เยอรมนี” ได้ใช้มาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้ค่ายรถยนต์ยุติการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน และหันมาส่งเสริมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถพลังงานที่ไม่ปล่อยมลพิษแทนภายในปี 2030 ขณะที่ “ฝรั่งเศส” และ “อังกฤษ” ตั้งเป้าห้ามการซื้อขายรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2040 รวมถึง “จีน” ตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก รวมทั้ง “อินเดีย” ตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 อุตสาหกรรมยานยนต์จะผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเท่านั้น ขณะเดียวกัน ค่ายรถยนต์ทั่วโลกก็เร่งปรับเปลี่ยนสู่การพัฒนา “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” ไปจนถึง “รถยนต์ไร้คนขับ” พร้อมกับพัฒนาการของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ดังนั้น เวลานี้ประเทศที่เศรษฐกิจพึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก อย่างซาอุดีอาระเบีย และอีกหลายประเทศ จึงกำลังเผชิญความยากลำบาก และพยายามสร้างอุตสาหกรรมใหม่มาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทดแทนการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันอย่างเดียว ซึ่งหลายประเทศก็หันมาพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากขึ้น เช่นเดียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่น้ำมันทั้งหลายก็ดิ้นปรับตัว เพื่อหา New S- curve ในการสร้างความอยู่รอดและความมั่นคงให้กับกิจการ เช่น ยักษ์พลังงานของไทย อย่าง ปตท. “เทวินทร์ วงศ์วานิช” ระบุว่า โอกาสการเติบโตก้าวกระโดดของ ปตท.อยู่ที่การค้นหาโอกาสและสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ยุคอนาคต ทั้งการลงทุนในสตาร์ตอัพด้านโรโบติก รวมถึงลงทุนในกองทุนด้านเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นลงทุนในนวัตกรรมการผลิตพลังงานด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมกับเพิ่มบทบาทธุรกิจ “น็อนออยล์” ที่ทำให้ปั๊ม ปตท.เป็นมากกว่าสถานีบริการน้ำมัน และไม่ใช่แค่ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ หรือร้านอาหารเท่านั้น เพราะต่อจากนี้จะเห็นบริการอื่น ๆ เข้ามาไว้ในสถานีบริการน้ำมันจนกลายเป็น “คอมมิวนิตี้” หรือการรุกเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม รวมถึงใช้พื้นที่ศูนย์ “FIT Auto” ในปั๊มเป็นจุดรับส่งพัสดุรองรับการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซตามเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะที่ “บางจาก” แม้ที่ผ่านมาจะให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทนไม่น้อย “ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช” บอกว่า ธุรกิจแห่งอนาคตที่บางจากให้ความสนใจก็คือ “แบตเตอรี่” ไม่ใช่การลงทุนผลิตแบตเตอรี่ แต่ไปลงทุนต้นน้ำของแบตเตอรี่ คือการร่วมลงทุนในเหมืองแร่ “ลิเทียม” ในอาร์เจนตินา และสหรัฐอเมริกา และอีกหนึ่งธุรกิจใหม่ของบางจากคือ “ธุรกิจชีวภาพ” ที่ล่าสุดได้จับมือกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น (KSL) จัดตั้ง “เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น” กลายเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพ หมายถึง “เอทานอล” ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แต่ไม่ใช่เพื่อผลิตน้ำมันไบโอดีเซล แต่เป้าหมายคือ การสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจไบโอฟาร์มาซูติคอล รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เสริมความงาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทรานส์ฟอร์เมชั่นรับมือกับโลกยุค 4.0 ของภาคธุรกิจต่าง ๆ ใน “อาเซียน 100” หนังสือฉบับพิเศษประจำปีที่แจกฟรี ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับ 16 พ.ย.นี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : prachachat.net
Person read: 2254
06 November 2017
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์อันทันสมัย มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับโลกไร้พรมแดน หลายอย่างทำให้ความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในตลาดเกิดขึ้นเสมอ รวมทั้งความสามารถของทางการที่เป็นผู้ควบคุมดูแลกฎระเบียบทางการเงิน สำหรับธุรกรรมการโอนเงินที่เกิดขึ้นในประเทศหรือระหว่างประเทศ การหักกลบลบหนี้หรือการชำระหนี้จากการซื้อขายสินค้าและบริการที่ผ่านการหักบัญชีการเงินทั้ง 2 ข้าง แทนการใช้เงินสด ในโลกสมัยใหม่ที่เกิดธุรกรรมการหักบัญชีชำระหนี้ระหว่างสมาชิก ข้างหนึ่งอาจจะอยู่ในประเทศไทย และอีกข้างหนึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องอยู่ในประเทศไทย เช่นกรณีใช้แอปผ่านมือถือที่สามารถเบิกจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากในธนาคาร เพียงแค่เปิดกล้องส่องรหัสภาพ หรือคิวอาร์โค้ด QR code เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างทั้งสองข้างให้ตรงกัน ก็สามารถซื้อสินค้าหรือบริการโดยการหักเงินในบัญชีผ่านโทรศัพท์มือถือได้ นอกเหนือจากการหักบัญชีด้วยระบบพร้อมเพย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังมีความภูมิใจ เพราะถ้าผู้คนส่วนใหญ่เปิดบัญชีเช่นว่านี้กับธนาคารที่ให้บริการชนิดนี้ ความจำเป็นที่จะต้องใช้ธนบัตรก็จะลดลงเป็นจำนวนมาก ทำให้ประหยัดกระดาษและค่าพิมพ์ธนบัตรลงไปได้เป็นจำนวนมาก ขณะที่ทางการไทยยังลังเลในการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของไทยสามารถออกคิวอาร์โค้ด ให้กับลูกค้าของไทยได้นั้น บริษัทหลายบริษัทในประเทศจีนได้มีบริการการรับชำระเงินที่เรียกว่า อาลีเพย์ หรือ Alipay สามารถเป็นสมาชิกเพื่อรับเลขรหัส แล้วใช้มือถือเปิดกล้องส่องภาพหรือคิวอาร์โค้ดที่ปิดแสดงไว้ในตัวสินค้า ก็สามารถรับสินค้าหรือบริการโดยการหักเงินจากบัญชีธนาคารได้เลย แทนที่จะต้องใช้บัตรไปกดรหัสกับเครื่องเอทีเอ็มหรือเครื่องเบิกเงินหรือโอนเงินอัตโนมัติ ต่อไปนอกจากการใช้ธนบัตรจะลดลงอย่างมากแล้ว อาจจะถึงขั้นยกเลิกการใช้ธนบัตรเลยก็ได้ เช่น ที่ประเทศสวีเดนและประเทศสแกนดิเนเวียอื่น ๆ ในขณะที่อาลีเพย์หรือ Alipay สามารถสแกนชำระเงินได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์กลางอยู่ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ หรือร้านค้าปลีกอื่น ๆ ในต่างจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ต้องขออนุญาตหรือการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยแต่อย่างใด เขาก็สามารถทำได้ แต่ในกรณีสถาบันการเงินของไทย เช่น ธนาคารพาณิชย์ไม่อาจจะทำได้ จึงเกิดความลักลั่น ในการแข่งขันบริการทางการเงิน ขณะเดียวกันทางกรมสรรพากรก็ไม่สามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ เพราะอาลีเพย์ก็ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ทางกรมสรรพากรก็กำลังหาทางอุดช่องโหว่เช่นว่านี้อยู่ แต่จะทำได้มากน้อยเพียงใดก็ต้องคอยดูต่อไป หากไม่สามารถอุดช่องโหว่ในการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งปกติผู้ขายต้องหักภาษีมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าการขายสินค้าและบริการนำส่งสรรพากรทุกเดือน แต่การซื้อขายผ่านทางอาลีเพย์ยังไม่มีกฎระเบียบวิธีปฏิบัติและการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างไร อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การขยายตัวของ “เงินอิเล็กทรอนิกส์” ผ่านทางโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า บิตคอยน์ หรือ bitcoins ที่ยังคงขยายตัวอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้บิตคอยน์มีมูลค่ากว่า 6,136.20 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 204,090.18 บาท ในเวลา 15.21 น. ของวันที่ 30 ตุลาคม 2560 สำหรับการขยายตัวของการซื้อขายและราคาของบิตคอยน์นั้น น่าจะมีอันตรายมากกว่าการซื้อขายสินค้าผ่านตลาดการเงินอิเล็กทรอนิกส์อย่างอาลีเพย์ ที่รัฐบาลจะไม่ได้ภาษีมูลค่าเพิ่มและธนาคารไม่ได้ค่าธรรมเนียมการชำระเงินหรือการโอนเงิน เมื่อธุรกรรมเช่นว่าทั้งค่าธรรมเนียมในการโอนเงินและการชำระเงิน ซึ่งเป็นรายได้สำคัญของธนาคารพาณิชย์นอกเหนือจากการค้ำประกันต่าง ๆ ก็จะลดลง นอกเหนือไปจากการระดมทุนผ่านทางตลาดทุนมีมากขึ้น ทดแทนการกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารพาณิชย์ แต่การลงทุนซื้อเงินอิเล็กทรอนิกส์อย่างบิตคอยน์ เป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไรคล้าย ๆ การลงทุนซื้อแชร์ อันเป็นการฉ้อโกงประชาชนเช่นเดียวกับการซื้อแชร์แม่ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อน เมื่อราคาบิตคอยน์ซึ่งเริ่มต้นด้วยราคา 1 ดอลลาร์ ซื้อขายกันไปมาราคาพุ่งสูงขึ้นจนถึงกว่า 6,000 เหรียญสหรัฐหรือ 2 แสนกว่าบาท ย่อมเป็นของธรรมดาที่วันหนึ่งก็จะถึงจุดสูงสุด และเมื่อผู้คนที่เกี่ยวข้องคิดว่าเป็นราคาสูงสุดแล้ว ทุกคนก็จะแย่งกันเทขาย ถึงตอนนั้นก็อาจจะมีแต่คนเสนอขายแต่ไม่มีคนรับซื้อ หรือมีคนรับซื้อน้อยกว่าคนขาย ราคาของบิตคอยน์ก็จะร่วงลงอย่างรวดเร็ว ขาขึ้นเหมือนขึ้นบันได แต่ขาลงอาจจะเหมือนลงลิฟต์หรือกระโดดลงทางหน้าต่าง การที่ทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนออกกฎหมายห้ามไม่ให้มีการซื้อขายบิตคอยน์ในประเทศจีน น่าจะเป็นสัญญาณเตือนภัยเป็นอย่างดี เพราะถ้าตลาดจีนหยุดซื้อขายเพราะผิดกฎหมาย ก็หมายความว่าความต้องการซื้อบิตคอยน์ส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นส่วนมากก็ได้ไม่มีใครทราบได้หายไปจากตลาด ความเสี่ยงย่อมเกิดขึ้นอย่างมหาศาล เพียงแต่รอสัญญาณว่าผู้ถือบิตคอยน์ในตลาดจีนจะทุ่มขายออกมาเมื่อใด หรือแม้แต่จะมีข่าวลือที่อัปมงคลเกิดขึ้นเมื่อใดจนเกิดความแตกตื่น ก็จะมีการเทขายออกมา ดังนั้นการที่ทางการจีนออกกฎหมายห้ามการซื้อขายบิตคอยน์จึงเป็นมาตรการที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรเสียในอนาคตก็จะเกิดปรากฏการณ์ในทางตรงกันข้ามกับช่วงขาขึ้นซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ราคาบิตคอยน์ได้ถีบตัวสูงขึ้นไปถึง 6,000 เท่าแล้ว ก็เพียงแต่รอคอยว่าฟองสบู่บิตคอยน์จะระเบิดหรือจะแตกเมื่อใด สำหรับประเทศไทยเรา เนื่องจากเราไม่ได้ห้ามการซื้อขายเสียตั้งแต่ต้น ดังนั้น เราจึงไม่มีข้อมูลจำนวนบิตคอยน์ ที่ถืออยู่ในมือคนไทยว่ามีอยู่เท่าใด ถ้าเกิดกรณีฟองสบู่บิตคอยน์แตก จำนวนเงินที่ผู้ถือบิตคอยน์จะขาดทุนมีมากน้อยเพียงใด และจะกระทบต่อตลาดเงินตราต่างประเทศเพียงใด จะกระทบค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐเท่าใด และอาจจะเกิดวิกฤตการณ์การไหลออกของเงินตราต่างประเทศ จนอาจจะกระทบทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ ถ้าธนาคารพยายามพยุงค่าเงินบาทเช่นเดียวกับกรณีเกิดวิกฤตการณ์ “ต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 ก็ได้ แต่ที่ยังอุ่นใจก็เพราะดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการชำระเงินยังเกินดุลอยู่ ขณะเดียวกันฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศก็ยังเกินดุลอยู่ การโจมตีค่าเงินบาทโดยกองทุนตรึงมูลค่าหรือ Hedge Funds อย่างปี 2540 ก็คงจะไม่เกิด เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยมีประสบการณ์แล้ว คงฉลาดพอที่จะป้องกันตัวเองได้ แม้ว่าขณะนี้การดำเนินนโยบายการเงินหรือนโยบายดอกเบี้ยที่ไม่สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศ เป็นเหตุให้เงินตราต่างประเทศไหลเข้ามาหากำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องขาดทุนจากการชะลอการแข็งค่าของเงินบาท โดยการเอาเงินบาทออกมาซื้อดอลลาร์เก็บ แล้วออกพันธบัตรมาดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินกลับไปด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้นำเงินทุนสำรองที่เป็นเงินดอลลาร์ไปซื้อพันธบัตรดอกเบี้ยถูก ๆ ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทำให้งบดุลของธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงตัวเลขขาดทุนทุกไตรมาส แต่ทำกำไรให้กับกองทุนในต่างประเทศ ที่ทำการหากำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินบาทและดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า arbitrage นั่นเอง การที่เงินจะไหลเข้าหรือไหลออกสุทธิ ย่อมเกิดจากมีส่วนต่างจากผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยระหว่างเงินตราต่างประเทศกับเงินบาท ความคล่องตัวและต้นทุนค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมในการโอนเงินหรือการชำระเงิน การที่การจ่ายเงินผ่านระบบ Alipay ของจีน ขยายตัวผ่านเครือข่ายของร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ๆ ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก ก็คงจะทำอะไรมากไม่ได้ นอกเสียจากทางการจะปลดปล่อยให้สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์ของเรามีเสรีภาพในการเสนอบริการทำนองเดียวกันกับอาลีเพย์ เพื่อจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตลาด เพื่อจะได้แบ่งค่าธรรมเนียมที่อาลีเพย์ได้รับอย่างไม่มีคู่แข่งมาเป็นของสถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ไทยบ้าง เพราะการเปิดระบบคิวอาร์โค้ดให้สถาบันการเงินของเราทำได้ น่าจะเป็นทางหนึ่งเพื่อความอยู่รอดของสถาบันการเงินด้วย แทนที่จะมุ่งควบคุมแต่ในสิ่งที่ไม่จำเป็นอย่างเดียว ขอบคุณข้อมูลจาก : prachachat.net
Person read: 2441
06 November 2017
ยอมรับแล้ว! คสช.ชี้ปริมาณน้ำปีนี้ใกล้เคียงปี 54 เกิดน้ำท่วมใหญ่ ชี้เหตุผลพวงพายุหลายลูก ชี้รัฐบาลมีแผนบริหารจัดการดี เผยทบ.ส่งกำลังพล31กองร้อย ดูแลพื้นที่รับผลกระทบ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช. )กล่าวชี้แจงถึง ปริมาณน้ำที่มีค่อนข้างมากในปีนี้ ว่า สืบเนื่องจากประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน ตาลัส เซินกา พายุไต้ฝุ่นทกซูรี และพายุดีเปรสชั่น เมื่อเปรียบกับ ณ เวลาเดียวกัน ในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ เมื่อปี 2554 มีปริมาณน้ำฝนรวมสะสม ที่ 1,798 มิลลิเมตร ในทางสถิตินับว่ามีปริมาณใกล้เคียงกัน แต่ด้วยรัฐบาลได้พยายามบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมมาก่อนหน้านั้น ตามห้วงเวลาตั้งแต่ในช่วงก่อนน้ำมา และระหว่างน้ำมา เช่น การพัฒนาเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำ แก้มลิง ตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งประเทศ การวางแผนเวลาการระบายน้ำฤดูฝน การบริหารระดับน้ำในเขื่อนให้มีระดับเหมาะสม การวางวางแผนใช้พื้นที่ทุ่งรับน้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เช่น การกำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำในพื้นที่ต่างๆ พ.อ.วินธัย กล่าวว่า นอกจากนี้มีการเตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ และเครื่องจักรกลต่างๆ โดยกรมชลประทาน กระทรวงเกษตร ซึ่งทั้งหมดได้มีการคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนนั้น โดยพยายามไม่ให้น้ำขยายวงกว้างมากขึ้น โดยในส่วนพื้นที่สุดวิสัยที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลได้มีแผนการดูแลเยียวยาไว้แล้วตามความเหมาะสม อย่างดีที่สุด โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้มีสั่งการกำชับผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ดูแลให้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พ.อ.วินธัย สุวารี กล่าวอีกว่า จากการติดตามข่าวสภาพอากาศ และ การแจ้งเตือนจากหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ผ่านมา ในส่วนกองทัพบก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ( ผบ.ทบ.) ได้ให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า ปัจจุบันทุกหน่วยอยู่ในขั้นระหว่างการให้ความช่วยเหลือ ร่วมกับหน่วยงานรัฐในพื้นที่ ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาในทุกระดับ จะได้มีการติดตามและกำกับดูแลการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด โดยในภาพรวมขณะนี้ทาง ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก (ศบภ.ทบ.) ได้ส่งกำลังพลจำนวน 31 กองร้อยช่วยเหลือ ประชาชนเข้าปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทั้ง 22 จังหวัด ในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย ทาง ศบภ.ทบ. ส่วนกลางได้มีการเตรียมการที่จะสนับสนุนเพิ่มเติม ในเรื่องจำเป็นต่างๆ เอาไว้ ทั้งเรื่องคน และ เครื่องมือต่างๆ ไว้คอยเสริม กรณีจำเป็น หรือเมื่อมีการร้องขอเข้ามา ที่มาข้อมูล : bangkokbiznews.com
Person read: 2067
29 October 2017
สำหรับคนที่เคยฝันว่าอยากจะได้หน้าจอ Dell Canvas มาใช้งานแล้วล่ะก็ นี่ก็คงเป็นข่าวดีแน่นอน เพราะว่าล่าสุดทาง เดลล์ ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว Dell Canvas ผืนผ้าใบดิจิตอลอัจฉริยะ ที่พร้อมจะตอบสนองการใช้งานของทั้ง ผู้พัฒนาคอนเทนท์ (Content Developers) ไปจนถึง นักออกแบบ (Designer) และ ศิลปิน (Artist) ด้วย หน้าจอแบบสัมผัส (Touchscreen) กว้างขนาด 27 นิ้ว ความคมชัดระดับ QHD (2,560x1,440) เคลือบจอด้วยสารกันแสงสะท้อน ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุด้วยกระจกแบบ Gorilla Glass จดจำจุดสัมผัสบนหน้าจอสูงถึง 20 จุด (Touch Recognition) ขาตั้งจอที่สามารถปรับได้ตามความต้องการ ปากกาที่มีความแม่นยำสูง สามารถใช้งานสองมือพร้อมกันได้ รองรับฟีเจอร์อัพเดทใหม่ของ Windows 10 Creator ด้วยศักยภาพของ "สมาร์ทเวิร์คสเปซรูปแบบใหม่" ที่เพิ่มขนาดของหน้าจอให้กว้างและคมชัดขึ้น รวมถึงปากกาดิจิทัลที่มีความแม่นยำสูง และขาตั้งที่ปรับระดับได้ตามต้องการ ช่วยให้การสร้างสรรค์ผลงานบนดิจิตอลสามารถทำได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ เสมือนกับการวาดบนพื้นกระดาษจริงๆ เชื่อว่าหลายๆ คนคงอย่างจะเป็นเจ้าของเจ้าเครื่องนี้แล้วใช่ไหม? คงต้องอดใจรออีกซักนิดหนึ่ง เพราะทาง Dell ยังไม่ได้ออกมาประกาศราคาขายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ถึงอย่างนั้นเราก็ได้ไปหาราคาที่ขายในสหรัฐมาให้ทุกคนด้วยนะ ซึ่งเจ้า Dell Canvas ตัวนี้ มีราคาเริ่มต้นที่ 1,799 USD (ประมาณ 61,000 บาท) ส่วนในไทยจะขายราคาเท่าไรนั้น คงต้องรอลุ้นกันอีกที ที่มา: news.thaiware.com
Person read: 2478
10 October 2017
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 6 ต.ค.60 นี้ กรรมการ กสทช เปิดเผยว่า ในวันที่ 6 ต.ค.60 นี้ กรรมการ กสทช.ชุดปัจจุบัน ได้ทำงานครบวาระ 6 ปี โดย พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ ทำให้ต้องพ้นสภาพการเป็นประธาน กสทช. ดังนั้นกรรมการ กสทช. ที่เหลือ 7 คนต้องทำหน้าที่ไปจนกว่าจะสรรหากรรมการชุดใหม่ และต้องเลือก 1 ใน 7 คนปฏิบัติหน้าที่ประธาน กสทช. ทั้งนี้ สำนักงาน กสทช.ต้องเตรียมร่างกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการประมูลคลื่นความถี่ ทั้งคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ ที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในเดือน ก.ย.61 ซึ่ง กสทช.จะต้องเปิดประมูลก่อนที่สัญญาสัมปทานจะสิ้นสุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเยียวยาเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ และ 2600 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งคาดว่า การร่างกฎเกณฑ์จะแล้วเสร็จในต้นปี 61. ที่มา: www.thairath.co.th
Person read: 2160
05 October 2017
สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่กำลังให้ความสนใจกับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย หรือ Wireless Charging ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเติมพลังงานให้กับแบตเตอรี่เพียงวางสมาร์ทโฟนลงบน Wireless Charging Pad และค่ายรถยนต์ BMW ก็ได้นำเทคโนโลยี Wireless Charging มาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองเป็นบริษัทแรกของโลก Wireless Charging Pad สำหรับรถยนต์ของ BMW มีขนาดใหญ่กว่าของสมาร์ทโฟนหลายเท่า ใช้ไฟขนาด 220 โวลต์ อัตราการชาร์จสูงสุด 3.2 กิโลวัตต์ วิธีการชาร์จให้ควบคุมรถยนต์ผ่านระบบ iDrive ไปตามเส้นสีน้ำเงินบนจอแสดงผล และเมื่อปรากฎวงกลมสีเขียว แสดงว่ารถยนต์ได้มาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว หลังจากนั้น Wireless Charging Pad จะเริ่มชาร์จแบตเตอรี่ให้กับรถยนต์โดยอัตโนมัติ และเจ้าของรถก็สามารถดับเครื่องยนต์ได้ทันที BMW เริ่มนำเทคโนโลยี Wireless Charging มาใช้กับรุ่น 530e iPerformance เป็นรุ่นแรก โดยใช้เวลาในการชาร์จ 3.5 ชั่วโมง ที่มา: www.flashfly.net
Person read: 2648
03 October 2017
บอลลูนอินเทอร์เน็ต Project Loon อาจได้เข้าไปช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยจากพายุใน เปอร์โตริโก Project Loon เป็นความคิดริเริ่มของ Alphabet's X lab ในการใช้บอลลูนที่ลอยอยู่บนฟ้า (High-altitude helium balloons บอลลูนแบบบรรจุก๊าซฮีเลียม และลอยสูงที่ระดับชั้นบรรยากาศ Stratosphere) เพื่อการกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตในบริเวณใดๆ ของโลก ในรูปแบบของสัญญาณ Wi-Fi และในตอนนี้ทาง X lab ก็ได้มีแนวคิดที่จะนำบอลลูนอินเทอร์เน็ต ไปใช้งานในประเทศ เปอร์โตริโก ซึ่งได้รับภัยพิบัติจากพายุเฮอริเคนมาเรีย โดยมีการโพสต์ข้อความผ่านทวีตเตอร์ของทาง X lab ว่า "ทีมงานของ Project Loon พบว่ามีความเป็นไปได้ ที่เราจะทำให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของ เปอร์โตริโก กลับมาอีกครั้ง" เปอร์โตริโก้ ประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กมีประชากรอาศัยอยู่ราวๆ 3.5 ล้านคน และได้รับความเสียหายอย่างหนักจากพายุเฮอริเคนมาเรีย ทำให้ในหลายๆ พื้นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ และประชากรกว่าครึ่งไม่มีน้ำสะอาดให้ใช้ และพายุได้สร้างความเสียหายอย่างหนักกับโครงสร้างการสื่อสารของประเทศ โดยกว่า 90% ของเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้ประชาชนไม่สามารถคิดต่อกับเพื่อน หรือญาติพี่น้อง และการนำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เข้าไปยังพื้นที่ที่ได้รับภัยพิบัติ นั้นเป็นการกิจสำคัญของ Project Loon โดยได้เคยมีการนำบอลลูนไปลองใช้งานแล้วในประเทศ นิวซีแลนด์, บราซิล และยังได้มีความร่วมมือเพื่อทำการทดลองใช้งานในหลายๆ ประเทศ รวมถึง อินโดนีเซีย และ ศรีลังกา เพื่อการสร้างเครือข่ายสัญญาณ 4G LTE ด้วยบอลลูน แต่อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมานั้น Project Loon ยังไม่เคยรับมือเคสภัยพิบัติที่มีสเกลใหญ่ระดับ เปอร์โตริโก และยังไม่ชัดเจนว่าจะสามารถขยายขีดความสามารถของ Project Loon ให้ตอบสนองความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างครอบคลุมทั้งเกาะของประเทศ เปอร์โตริโก หรือไม่ ที่มา : www.theverge.com
Person read: 2184
03 October 2017
“บิ๊กตู่” พร้อมเปลี่ยนตัวเอง ชี้ประเทศเสียเวลามามากแล้ว เผยรัฐบาลสร้างนักรบไซเบอร์ให้ได้ 1,000 คน ปีหน้า เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 21 กันยายน ที่อิมแพค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ดิจิทัลกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย 4.0” ในงาน “Digital Thailand Big Bang 2017” ซึ่งจัดโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่งที่อยากฝากไว้คือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความมั่นคงและปลอดภัย เชื่อมั่นในการเดินหน้าดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงอนาคต โดยเมื่อโลกเปลี่ยนเราจึงต้องปรับ คนจะต้องปรับตัวไปด้วย และนายกรัฐมนตรีเองก็ต้องปรับเปลี่ยนเช่นกัน ถ้าทุกคนไม่ปรับเปลี่ยนตัวเองทุกอย่างจะเดินหน้าไปไม่ได้ โดยเฉพาะการจะไปสู่วิสัยทัศน์ของชาติเรื่องความมั่นคง มั่งคั่ง และยังยืน ทั้งนี้ ดิจิทัลจะเป็นตัวเร่งการขับเคลื่อนประเทศตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามผลักดันประเทศให้เดินหน้าโดยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ให้ทุกคนเข้าถึงอย่างทั่วถึง วันนี้เรากำลังเดินหน้าประเทศด้วยการปฏิรูป เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศของเรา จึงต้องใช้ระบบ digital ให้เกิดประโยชน์ สิ่งที่ทำในวันนี้คือต้องลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสของประชาชน ที่ผ่านมาเราเสียเวลากันมามากแล้ว ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่เราเร่งสปีดได้ด้วยการร่วมมือกัน “เราต้องช่วยกันแก้วาทกรรม ทำอย่างไรเราถึงจะลดความเหลื่อมล้ำให้เกิดความเป็นธรรม และการเข้าถึงได้การกระจายรายได้อาชีพ ซึ่งคำเหล่านี้ล้วนเป็นวาทกรรม เราต้องแก้ไขให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น อย่างที่บอกว่าการผูกขาด เอื้อประโยชน์ พ่อค้าคนกลางหรือนายทุน ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้วยกันทั้งสิ้น ทุกคนจะต้องเข้มแข็งและพัฒนาตัวเอง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้เหมือนเรากำลังปรับปรุงบ้านของเรา ระยะแรกอาจมีปัญหาบ้าง เพราะเรากำลังพลิกฟื้น ต้องทำให้มีปัญหาน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย อย่าเพิ่งติเรือทั้งโกลน ติโขนยังไม่ทรงเครื่อง วันนี้กำลังเดินหน้า พาประเทศไปข้างหน้า ส่วนตัวอยากเห็นไทยให้มีความพร้อมทุกด้านเหมือนทุกคน ให้อยู่ดีกินดี เกษตรกรรมรุ่นใหม่มีนวัตกรรมใช้ประโยชน์จากดิจิทัลให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มผลผลิต รวมถึงการบริหารจัดการที่ดีพร้อม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ที่สำคัญในยุคนี้คือการสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่มีพรมแดน กระทรวงดิจิทัล ก็ได้จัดทำความร่วมมือกับหลายองค์กร แต่ก็ขอฝากทุกคนให้ช่วยกันดูแล ขณะที่รัฐบาลกำลังสร้างนักรบไซเบอร์ 1,000 คนในปีหน้า เพื่อเฝ้าระวัง รักษาความปลอดภัย แก้ปัญหาหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ ทั้งหมดเพื่อพลิกโฉมประเทศไทยให้ดีขึ้นในทุกมิติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า โครงการเน็ตประชารัฐจะสามารถขจัดความยากจนจากประเทศไทยได้ เหมือนกับการให้อินเตอร์เน็ตแก่ชาวนา คล้ายรัฐบาลหาแหล่งน้ำ ปลา และปล่อยปลาตัวเล็กให้ ซึ่งถือเป็นการลงทุนเพื่อที่จะขยายไปหาปลาตัวใหญ่ โดยทุกคนจะมีเป็ดตกปลาอย่างทั่วถึง สามารถตกปลามากินกันได้ทุกคน ตามขีดความสามารถของแต่ละคน ดังนั้น เราต้องสร้างฐานราก ตั้งแต่ระดับชุมชน ท้องถิ่นจังหวัด ภาค เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมา ไม่ใช่สร้างแหล่งน้ำให้เฉพาะผู้มีสตางค์อย่างที่มีการอ้าง ที่มา: มติชนออนไลน์
Person read: 2165
26 September 2017
“แฟมิลี่มาร์ท, ลอว์สัน และเซเว่นอีเลฟเว่น” 3 ร้านค้าสะดวกซื้อชั้นนำในญี่ปุ่น แข่งกันติดตั้ง “ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ” ภายใต้โลโก้ร้าน ตามอาคารสำนักงาน, สนามบิน และสถานีรถไฟทั่วประเทศ เป็นการเปิดช่องทางใหม่ในการเข้าถึงผู้บริโภค ตั้งเป้าแข่งกัน ผุดอีกนับพันตู้ภายในช่วง 2 ปีข้างหน้า สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า เมื่อการขยายธุรกิจร้านค้าปลีกด้วยการเปิดสาขาใหม่ ๆ เพิ่ม เริ่มมาถึงจุดอิ่มตัว บรรดาผู้นำในตลาดร้านค้าสะดวกซื้อของญี่ปุ่น ได้แก่ แฟมิลี่มาร์ท, ลอว์สัน และเซเว่นอีเลฟเว่น ต่างก็จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ใหม่ในการแข่งขันและต่อยอดธุรกิจออกไป ทำให้เกิดกระแสล่าสุดของการเปิดพื้นที่แข่งขันค้าปลีก นั่นคือ การนำ “ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ” ที่ติดชื่อแบรนด์และโลโก้ของแต่ละร้าน ไปติดตั้งตามอาคารสำนักงานและจุดต่าง ๆ ที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก เช่น สนามบินและสถานีรถไฟ ตู้จำหน่ายอัตโนมัติของ “แฟมิลี่มาร์ท” ในสนามบิน “แฟมิลี่มาร์ทและลอว์สัน” นับเป็น 2 รายแรก ที่ขยับตัวก่อน โดยก่อนหน้านี้ ทางร้านได้ทดลองรูปแบบร้าน “มินิ” หรือ “ไมโคร” ที่ไม่ต้องมีพนักงานประจำร้านและลูกค้าจำเป็นต้องบริการตนเองในการจับจ่ายซื้อของ ยกตัวอย่าง “ร้านลอว์สัน” ขนาดไมโคร ที่เข้าไปเปิดในอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว เป็นร้านลักษณะ คือ บริการตนเอง ลูกค้าสามารถหยิบสินค้าจากชั้นวาง นำมาสแกนราคาที่จุดชำระเงิน แล้วหักเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านบัตร ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ “เซเว่นอีเลฟเว่น” เอง ก็มีแผนจะทำร้านบริการตนเองในลักษณะเดียวกันนี้ในอนาคตอันใกล้ ร้านขนาดไมโครของ “ลอว์สัน” มีทั้งตู้จำหน่ายอัตโนมัติ และ ระบบชำระเงินแบบบริการตนเอง ส่วนแผนติดตั้ง “ตู้จำหน่ายอัตโนมัติ” ภายใต้แบรนด์ “เซเว่นอีเลฟเว่น” ... นายยูกิ โทดะ โฆษกของบริษัท เปิดเผยว่า จะคัดสรรสินค้าบางส่วนที่มีจำหน่ายในร้านแบบปกติของ 7-11 และเป็นสินค้าคุณภาพสูง เช่นเดียวกับที่จำหน่ายในร้าน มาจำหน่ายผ่านตู้อัตโนมัติเหล่านี้ “เซเว่นอีเลฟเว่น” ประเทศญี่ปุ่น มีแผนจะติดตั้ง “ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ” เพื่อให้บริการลูกค้าจำนวน 500 ตู้ ภายในสิ้นเดือน ก.พ. 2562 ขณะที่ “แฟมิลี่มาร์ท” มีแผนขยายจำนวนตู้ให้บริการจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติให้ครบ 3,000 ตู้ ภายในกรอบเวลาเดียวกัน ส่วน “ลอว์สัน” เปิดเผยว่า จะมีตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ จำนวน 1,000 ตู้ ภายในสิ้นเดือน ก.พ. ปีหน้า (2561) ในสมรภูมิการแข่งขันด้าน “ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ” ของบรรดาร้านค้าสะดวกซื้อของญี่ปุ่นนั้น “แฟมิลี่มาร์ท” ถือเป็นผู้บุกเบิกตลาดรายแรก ปัจจุบัน มีตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติของ “แฟมิลี่มาร์ท” ตั้งอยู่ตามอาคารสำนักงานหลายแห่งทั่วประเทศ จำนวนมากกว่า 2,100 ตู้ ตู้เหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อการจำหน่ายอาหารสดและอาหารสำเร็จรูปพร้อมบริโภคได้ด้วย อาหารพวกสลัดและอาหารกล่อง (เบนโตะ) ประเภทข้าวกลางวัน พร้อมรับประทาน เมื่อจำหน่ายออกมาจากตู้อัตโนมัติจะยังคงสภาพที่ดี และกล่องจะไม่หล่นลงมาหน้าคว่ำ หรือ พลิกหงาย เป็นอันขาด ปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีร้านค้าสะดวกซื้อจำนวนมากกว่า 55,000 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่ระยะหลัง ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อัตราการเปิดตัวของสาขาใหม่ ๆ เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่า ตลาดอาจจะเริ่มถึง “จุดอิ่มตัว” แล้ว นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่ช่วยเสริมกระแสการบุกตลาดด้วยตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติของบรรดาร้านค้าสะดวกซื้อ ก็คือ “ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน” ทำให้ตู้อัตโนมัติ และร้านประเภท “บริการตนเอง” เป็นทั้งทางเลือกและทางออกที่ดี สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ ที่มา: m.thansettakij.com
Person read: 2597
25 September 2017
ยิ่งนับวันเทคโนโลยีก็ดูจะก้าวไปไกลมากขึ้น ล่าสุดกับยานพาหนะสุดล้ำที่สามารถเปลี่ยนจากรถยนต์เป็นเครื่องบินได้ภายใน 3 นาที โดยหากมีเชื้อเพลิงเต็มถัง สามารถเดินทางได้ 310 ไมล์บนถนน หรือ 430 ไมล์ในอากาศ โดยหากเป็นรถยนต์ สามารถทำความเร็วได้สูงสุดที่ 100 ไมล์/ชั่วโมง และหากเป็นเครื่องบิน สามารถทำความเร็วได้สูงสุดที่ 224 ไมล์/ชั่วโมง ทั้งยังจอดได้ในโรงจอดรถปกติ และเติมเชื้อเพลิงได้ที่สถานีบริการน้ำมันทั่วไปอีกด้วย โดยเทคโนโลยีชิ้นนี้เป็นผลงานของบริษัทแอโรโมบิล ซึ่งคาดว่าจะขายยานพาหนะชิ้นนี้ในราคา 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 52.9 ล้านบาท และจะเปิดให้พรีออเดอร์อย่างเป็นทางการในปีนี้ ทีี่มา: www.prachachat.net
Person read: 2168
21 September 2017
ทองไทยเปิดตลาด ราคาปรับขึ้น 50 บาท ส่งผลให้ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 20,450 ขายออกบาทละ 20,550 ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 20,087 ขายออกบาทละ 21,050 บาท วันที่ 20 ก.ย. 2560 สมาคมค้าทองคำประกาศราคาทองไทย เปิดตลาดครั้งที่ 1 เวลา 09.28 น. ราคาปรับขึ้น 50 บาท โดยทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 20,450 ขายออกบาทละ 20,550 ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 20,087 ขายออกบาทละ 21,050 บาท ที่มา: www.thairath.co.th
Person read: 2134
21 September 2017
ราคาน้ำมันดิบคาดจะทรงตัว หลังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่คาดจะปรับลดลง ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 48-53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 52-57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (18 – 22 ก.ย. 60) ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้คาดจะทรงตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า หลังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ที่คาดว่าจะปรับลดลงจากโรงกลั่นน้ำมันดิบในสหรัฐ ที่คาดว่าจะเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตอีกครั้งหลังผลกระทบของน้ำท่วมเริ่มเบาบางลง นอกจากนี้ ราคายังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดิบส่วนเกินที่มีแนวโน้มปรับลดลง หลังความต้องการใช้น้ำมันยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่อง รวมถึงผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปคยังคงเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะขยายระยะเวลาของการปรับลดออกไปจากเดิมที่สิ้นสุดในเดือน มี.ค. 61 อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากปริมาณการผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น หลังผู้ผลิตทั้งบนบกและบริเวณอ่าวเม็กซิโกสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้: ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ มีแนวโน้มจะปรับลดลง หลังโรงกลั่นในสหรัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ Harvey ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนส.ค. ที่ผ่านมา เริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้ง โดยล่าสุด โรงกลั่น Motiva กำลังการผลิต 603,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ สามารถกลับมาดำเนินการกลั่นได้ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ ( EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังหรัฐ ปรับเพิ่มขึ้นราว 9 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 468.2 ล้านบาร์เรล เนื่องจากตัวเลขสะท้อนถึงความต้องการใช้น้ำมันที่ปรับลดลงในช่วงพายุ Harvey ปริมาณน้ำมันดิบส่วนเกินในตลาดโลกคาดจะปรับลดลง หลังความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นและผู้ผลิตน้ำมันดิบกลุ่มโอเปคและนอกโอเปคยังคงเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (OECD commercial stocks) ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3,016 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5 ปีเพียง 190 ล้านบาร์เรล โดยในรายงานล่าสุดของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ทำการปรับเพิ่มความต้องการใช้น้ำมันในปีนี้เพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลต่อวันมาอยู่ที่ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ ผู้ผลิตในกลุ่มโอเปคเพิ่มความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตมากขึ้นจาก 75% ในเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 82% สำหรับผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปคความร่วมมือปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 119% ในเดือนเดียวกัน ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มสูงกว่าระดับ 100% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการปรับลดกำลังการผลิตมา ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น หลังแท่นขุนเจาะน้ำมันดิบในพื้นที่อ่าวเม็กซิโกที่ได้รับผลกระทบจากพายุ Harvey ทยอยปรับเพิ่มกำลังการผลิต โดยล่าสุด EIA รายงานกำลังการผลิตน้ำมันดิบ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 8 ก.ย. 60 ปรับเพิ่มขึ้น 572,000 บาร์เรลต่อวัน มาสู่ระดับ 35 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ยังต้องจับตาจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากแท่นขุดเจาะในแหล่งผลิต Eagle Ford เริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้ง หลังต้องหยุดดำเนินการเนื่องจากผลกระทบของพายุ Harvey จับตาการประชุมระหว่างผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปคในวันที่ 22 ก.ย. ว่าจะมีการออกมาตรการสำหรับการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมจากเดิมหรือไม่ โดยล่าสุดรัฐมนตรีของคูเวตกล่าวว่ากลุ่มผู้ผลิตอยู่ระหว่างการชักชวนผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปคเพิ่มเติมสำหรับการเข้าร่วมข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิต อาทิเช่น ประเทศโคลัมเบีย ยูกันดา และซูดานใต้ นอกจากนี้ หากผู้ผลิตไม่สามารถตกลงที่จะขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมเดือน พ.ย. ได้ จะมีการจัดการประชุมฉุกเฉินขึ้นในช่วงกลางเดือน มี.ค. 61 เพื่อพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าวต่อไป ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีภาคการผลิตและภาคการบริโภคสหรัฐ ดัชนีภาคการผลิตและภาคการบริโภคยูโรโซน และดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซน สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (11 – 15 ก.ย. 60) ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 2.41 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 49.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 1.84 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 55.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 53.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังโรงกลั่นในสหรัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ Harvey เริ่มทยอยกลับมาดำเนินการอีกครั้ง ส่งผลให้ความต้องการใช้ต้องการใช้น้ำมันในประเทศฟื้นตัว นอกจากนี้ ยังได้รับแรงหนุนจากความเป็นได้ที่ผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปคจะขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิต หลังผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง ซาอุดิระเบีย และรัสเซีย แสดงท่าทีสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ที่มา: www.bangkokbiznews.com
Person read: 2253
19 September 2017
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเดินเครื่องระบบสูบน้ำอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่ออย่างเป็นทางการ เวลา 14.30 น. ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ 6 เขตของกรุงเทพฯ วันนี้ (6 ก.ย.2560) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดใช้อุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่ออย่างเป็นทางการในเวลา 14.30 น. โดยใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี งบประมาณ 2,400 ล้านบาท เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ ในช่วงฤดูฝนปีนี้ อุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ กว้างกว่า 5 เมตร ความยาว 6.4 กิโลเมตร ต้นทางเป็นอาคารรับน้ำ ตั้งอยู่ที่บริเวณถนนรัชดาภิเษก อาคารรับน้ำวิภาวดีรังสิต อาคารรับน้ำกำแพงเพชร และอาคารสถานีสูบน้ำเกียกกาย โดยจะดึงน้ำจากอาคารรับน้ำในจุดต่างๆ มารวมไว้ภายในบ่อรับน้ำขนาดใหญ่ที่มีความลึก 40 เมตร ก่อนเข้าเครื่องสูบน้ำ 6 เครื่อง มีกำลังสูบ 60 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา อุโมงค์แห่งนี้สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนได้ไม่น้อยกว่า 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมขังใน 6 พื้นที่ ครอบคลุม 56 ตารางกิโลเมตร ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนรัชดาภิเษก ถนนลาดพร้าว ถนนกำแพงเพชร และถนนสามเสน ขณะที่วันนี้ กรุงเทพฯ มีฝนตกลงมา โดยสำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร รายงานเมื่อเวลา 13.30 น. ว่า มีฝนตกหนักในพื้นทั้งฝั่งพระนครและธนบุรี และมีน้ำท่วมขังถนน 2 สาย คือถนนรัชดาภิเษก บรืเวณซอย 32 และถนนกำแพงเพชร 3 บริเวณหน้าสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ที่มา : http://news.thaipbs.or.th
Person read: 2249
09 September 2017
โรงแรมไทยไม่ธรรมดาติด1ใน10“บ้านต้นไม้ยอดเยี่ยม2017” ครองใจนทท.ใกล้ชิดธรรมชาติ จากผลสำรวจของHotels.com วันนี้( 6 ก.ย.60) เว็บไซต์ Hotels.com ได้เผย 10 โรงแรมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในหมวดหมู่ “บ้านต้นไม้ยอดเยี่ยม” 2017 โดย "โรงแรม กีมาลา ภูเก็ต" ประเทศไทย ได้รับเลือกให้ติด 1 ใน 10 จากนักท่องเที่ยวที่เคยเข้าพักจริง โดยนักท่องเที่ยวให้เหตุผลว่า โรงแรมแห่งนี้สามารถลงไปแช่น้ำในสระว่ายน้ำ ที่ติดกับขอบหน้าผา แบบอินฟินิตี้ขนาด 30 เมตร มีบ้านต้นไม้แบบรังนกที่สวยงาม ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองภูเก็ตเพียง 40 นาทีเท่านั้น โรงแรมกีมาลา เป็นวิลล่าที่เปรียบเสมือนดินแดนมหัศจรรย์ที่น่าหลงใหล สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันน่าทึ่งของธรรมชาติโดยรอบได้อย่างลงตัว ความสวยงามของหาดทรายขาว พระอาทิตย์ตกดิน รวมไปถึงบริการสปาทรีทเม้นท์ ปิกนิกเคล้าไปกับแชมเปญ และจิบค็อกเทลยามเย็นอย่างผ่อนคลาย นี่คือมนต์สเน่ห์ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลงไหล เป็นการตอบโจทย์การท่องเที่ยวแบบใกล้ชิดธรรมชาติ และทำให้นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยทุกครั้งที่มีโอกาส ส่วนอันดับ 2 ที่ได้รับเลือก คือ โรงแรมใน เม็กซิโก ที่สามารถแกว่งไกวชิงช้าบนต้นไม้เหนือท้องทะเล พักผ่อนแบบส่วนตัว บนวิลล่าที่สวยงาม , อันดับ 3 คือ โฟร์ซีซั่นรีสอร์ท - คอสตาริกา ชีวิตสุดหรูริมชายหาด หมู่เกาะคอสตาริกา ที่พักตั้งอยู่สูงจากพื้นดินถึง 320 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล แม้จะไม่ใช่บ้านต้นไม้แบบเต็มตัว แต่อยู่ท่ามกลางร่มเงาป่าไม้ที่เขียวชอุ่ม , อันดับ 4 คือ ทรี โฮเทล ประเทศ สวีเดน : พักผ่อนอย่างมีสไตล์บนท้องฟ้า มีห้องพักแบบลูกบาศก์ติดกระจก รังนก หรือยูเอฟโอ เป็นความแปลกใหม่เพื่อนักท่องเที่ยว อันดับ อ่าวเพลทเทนเบิร์ก - แอฟริกาใต้ ที่ซ่อนตัวลึกลับท่ามกลางป่าไม้ ,อันดับ6. เกาะเตียวมัน - มาเลเชีย ชีวิตสุดหรูบนหมู่เกาะมาเลเซีย มีสะพานทอดยาวไปในทะเลจีนใต้ ทำให้ผู้เข้าพักสามารถเดินชมทัศนียภาพท่ามกลางธรรมชาติ ,อันดับ7 รีสอร์ท ที่ นิการากัว ความหรูหราบนต้นไม้ผนวกกับโยคะเท้าเปล่า ,อันดับ8 รีสอร์ทกลางป่า ในออสเตรเลีย ,อันดับ 9 ทรีเฮาท์ - สหรัฐอเมริกา การผจญภัยในอาร์คันซอ และ อันดับ10 สปา ในออสเตรเลีย : ผ่อนคลายความวุ่นวายในป่าฝน ขอบคุณข้อมูลจาก : tnnthailand.com
Person read: 2493
09 September 2017
ธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมธนาคารไทยและสมาคมการค้าผู้ให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ไทย ประกาศมาตรฐานการชำระเงินผ่าน QR Code ที่เป็นแพลตฟอร์มแบบเปิด สามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเจาะกลุ่มตลาดกลางและตลาดล่างให้ชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น เพิ่มความมั่นคงปลอดภัยในการทำธุรกรรม และลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐในการจัดการธนบัตร ทั่วโลกเปลี่ยนพฤติกรรมจากเงินสดไปเป็น QR Code มากขึ้น พฤติกรรมการชำระเงินของคนทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากการใช้เงินสดเป็นแบบ “ไม่ใช้เงินสด” มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชำระเงินผ่าน QR Code เนื่องจากง่ายและสะดวกสบายต่อทั้งผู้ชำระเงินและผู้รับเงิน ที่สำคัญคือร้านค้าทั่วไปสามารถใช้งานได้โดยลงทุนน้อยมากหรือแทบไม่ต้องลงทุนเลย ในขณะที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูงกว่าการชำระเงินผ่านเงินสด ผลสำรวจการเลือกบริการชำระเงินในประเทศจีนจาก Survey of Consumers โดย FT Confidential Research พบว่าประชาชนจีนเลือกใช้ Alipay ซึ่งเป็นการชำระเงินผ่าน QR Code เป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยเงินสด และบัตรเดรดิต ที่น่าสนใจคือบางจังหวัดมีอัตราผู้ที่ใช้ Alipay มากกว่าเมืองหลวงหรือจังหวัดใหญ่ๆ ในประเทศเสียอีก เนื่องจากเป็นการชำระเงินที่บุคคลทั่วไปและผู้สูงอายุที่ไม่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีสามารถเข้าถึงได้ง่าย “การใช้เงินสดเป็นภาระหนักสำหรับธนาคารและรัฐ เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งเรื่องการขนส่ง การพิมพ์ธนบัตร การคัดแยกธนบัตรเพื่อทำลาย การนับเงิน ซึ่งถ้าเราสามารถเปลี่ยนมาใช้การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้เพิ่มขึ้น 10% จะสามารถช่วยประเทศชาติประหยัดลงได้ถึงหลายหมื่นล้านบาท” — คุณยศ กิมสวัสดิ์ ประธานสำนักระบบการชำระเงิน สมาคมธนาคารไทยระบุถึงข้อเสียของการใช้เงินสด QR Code มาตรฐานเดียวกัน ใช้ร่วมกันได้ทุกธนาคารและบัตรเครดิต คุณบัญชา มนูญกุลชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเทคโนโลยีการเงิน จากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจงว่า การชำระเงินผ่าน QR Code ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการชำระเงินของร้านค้าทั้งแบบ Physical และแบบ Online ในอนาคาต เนื่องจากช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการให้บริการของร้านค้า ลดการใช้เงินสด และไม่มีภาระในการติดตั้งเครื่องอ่านบัตรใดๆ อย่างไรก็ตาม การที่แต่ละธนาคารหรือผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะใช้ QR Code ที่แตกต่างกันย่อมก่อให้เกิดความยุ่งยากและสับสน ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาคมการค้าผู้ให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ไทย จึงได้ร่วมมือกับธนาคารและผู้ให้บริการ e-Wallet และบัตรเดบิต/เครดิต เพื่อกำหนด QR Code ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยนำมาตรฐาน EMVCo ที่ผู้ให้บริการบัตรเครดิตทั่วโลกต่างยอมรับมาปรับใช้ เพื่อให้รองรับ Sources of Funds ได้หลากหลาย และสามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ “QR Code Payment จะเป็นเครื่องมือชำระเงินที่สำคัญในการเจาะกลุ่มตลาดกลางและตลาดล่าง เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ สามารถใช้ร่วมกับพร้อมเพย์ได้ทันที ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องรับบัตร (EDC) ที่มีราคาสูง ที่สำคัญคือเงินเข้าบัญชีทันที ทำให้สามารถใช้จ่ายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น” — คุณบัญชากล่าว QR Code ใช้ในงานชำระเงินได้อย่างไร QR Code คือรหัสชนิดหนึ่งที่ถูกพัฒนามาจาก Barcode แต่ใช้งานได้ง่ายกว่าและเก็บข้อมูลได้มากกว่า ซึ่งปัจจุบันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เช่น ใช้เก็บเว็บไวต์ของบริษัทเพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าดูข้อมูลต่างๆ ได้สะดวก หรือใช้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการที่ร้านค้าทั่วไปและร้านค้าออนไลน์ ควบคู่กับการใช้แอพพลิเคชันบนอุปกรณ์พกพา เป็นต้น สำหรับประเทศไทยเอง ได้พัฒนาการชำระเงินผ่าน QR Code ให้สามารถเชื่อมต่อกับบัตรเดบิต บัตรเครดิต บัญชีเงินฝากธนาคาร บัญชี e-Wallet และพร้อมเพย์ เพื่อเพิ่มทางเลือกและความสะดวกในการชำระเงินแก่ประชาชน ไม่ต้องพกบัตรติดตัว ลดการใช้เงินสด หรือขอเลขบัญชีของร้านค้าเพื่อโอนเงินอีกต่อไป สำหรับร้านค้าทั่วไปและร้านค้าออนไลน์สามารถเลือกใช้ QR Code ได้ 2 แบบ คือ Static QR Code: ร้านค้าสามารถพิมพ์และติด QR Code ไว้ที่แคชเชียร์หรือที่ตัวสินค้าได้ตลอดจนกว่าข้อมูลการชำระเงินจะเปลี่ยนไป โดยร้านค้าอาจเป็นผู้กำหนดราคาให้ลูกค้าชำระเงินตามที่ระบุ หรือลูกค้าเป็นผู้ใส่จำนวนเงินเองก็ได้ Dynamic QR Code: การทำธุรกรรมแต่ละครั้งจะใช้ QR Code ที่แตกต่างกัน เช่น การระบุราคารวมของสินค้าโดยลูกค้าไม่ต้องใส่จำนวนเงิน กรณีนี้ QR Code จะถูกสร้างขึ้นจากแอพพลิเคชันบนอุปกรณ์พกพาของร้านค้านั้นๆ ง่าย สะดวก รวดเร็ว และมั่นคงปลอดภัยกว่าการใช้เงินสด หรับประชาชนทั่วไป การชำระเงินผ่าน QR Code โดยใช้มาตรฐานเดียวกันช่วยให้สามารถซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น ไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรหลายใบ และไม่ต้องกลัวว่าร้านค้าจะแอบขโมยข้อมูลบัตรเครดิต/เดบิต หรือข้อมูลบัญชีธนาคารของตนอีกด้วย ในขณะที่ทางร้านค้าเอง QR Code จะเข้ามาช่วยเพิ่มช่องทางการชำระเงิน ขยายฐานลูกค้า ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่นิยมทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ ที่สำคัญคือเงินจะเข้าบัญชีโดยตรง ไม่ตกหล่นสูญหาย ไม่ต้องกลัวถูกพนักงานขโมยและไม่ต้องกังวลเรื่องธนบัตรปลอม ในภาพรวม การใช้ QR Code มาตรฐานเดียวกันยังช่วยลดต้นทุนการพัฒนาระบบเพื่อรองรับการใช้ QR Code ที่แตกต่างกัน และช่วยลดการใช้เงินสด ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการจัดการเงินสดของประเทศลดลงอีกด้วย ดูตัวอย่างการชำระเงินผ่าน QR Code ได้จากวิดีโอด้านล่าง “พวกเราสามัคคีกันใช้มาตรฐานเดียวกัน เพื่อสร้าง Ecosystem และศักยภาพการแข่งขันของระบบการเงินไทยที่ดีและยั่งยืน เพื่อประโยชน์ต่อทุกคนในระบบ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร ผู้ให้บริการบัตรและ e-Wallet ร้านค้า และผู้บริโภค ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” — คุณบัญชาสรุป กำลังทดสอบมาตรฐาน QR Code เตรียมใช้งานจริงเป็นวงกว้างในไตรมาสที่ 4 คุณบัญชาระบุว่า ตอนนี้มาตรฐาน QR Code ทำเสร็จ พร้อมใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายธนาคารในประเทศไทยกำลังทดสอบการใช้ QR Code ร่วมกันอยู่ เพื่อให้มั่นใจว่า ไม่ว่าจะใช้แอพพลิเคชัน Mobile Banking ของธนาคารใด ก็สามารถอ่าน QR Code ได้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงกำหนดกฎกติกา มารยาท และโปรโตคอลในการรับส่งข้อมูลร่วมกัน ซึ่งคาดว่าประมาณเดือนกันยายนจะเริ่มให้ร้านค้าต่างๆ เข้ามาร่วมทดสอบ และจะพร้อมใช้งานจริงร่วมกับพร้อมเพย์เป็นอันดับแรกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2017 หลังจากนั้นจะพัฒนาต่อยอดให้สามารถใช้งานร่วมกับบัญชี e-Wallet, บัตรเครดิต และบัตรเดบิต ต่อไป “ในช่วงการทดสอบนี้ พวกเรายังให้ความรู้แก่ธนาคาร สาขา Call Center และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อให้พร้อมทำความเข้าใจแก่ลูกค้า และสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง” — คุณบัญชากล่าวเสริม ที่มา : techtalkthai.com
Person read: 2805
04 September 2017
ร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่บริการอัจฉริยะ ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ หรือ Government Smart Kiosk ไปกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA (อีจีเอ) ขยายพื้นที่ติดตั้งมาถึงจังหวัดชลบุรีแล้ว ช่วยย่นระยะเวลาติดต่อราชการไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่หรือนักท่องเที่ยว ก็ใช้บริการกันฟรีๆ รู้ทุกข้อมูลส่วนบุคคลได้ง่ายๆ ด้วยบัตรประชาชน (Smart Card) เพียงใบเดียว เช็คได้ทุกสิทธิ์ รู้ทุกสวัสดิการรัฐ พร้อมแล้ววันนี้ ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ หนึ่งในบริการสำคัญภายใต้โครงการ ‘GovChannel ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน’ เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐสะดวกรวดเร็วขึ้น ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ โดยมีสาระสำคัญ คือ (ข้อ ๓.) ให้ส่วนราชการต่างๆ ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลและบริการในรูปแบบดิจิทัลมาเผยแพร่และให้บริการผ่านโครงการ GovChannel ในช่องทางต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดการรับรู้ในวงกว้างและใช้บริการได้อย่างทั่วถึง EGA จึงเร่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการ GovChannel ไปยังส่วนราชการ และประชาชนทุกภูมิภาค ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลและการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐร่วมกัน พร้อมกันนี้จึงได้จัดงานสัมมนา “GovChannel Roadshow 2017 : Digital Local Government ขับเคลื่อนราชการทันสมัย บริการประชาชนรวดเร็ว ทันใจ” ผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานประกันสังคม มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ซึ่งล่าสุดจัดขึ้นที่ “จังหวัดชลบุรี Smart City แห่งภาคตะวันออก” นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประธานในพิธีฯ เปิดเผยว่า ภาครัฐเร่งผลักดันโครงการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเดินหน้าการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ความมั่งคั่งในบริบทที่ทันสมัยและยั่งยืน ดังนั้นการร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยให้มีบริการภาครัฐและการติดต่อราชการง่ายขึ้นผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากสะดวก ประหยัดเวลา ลดสำเนากระดาษ หมดความยุ่งยากด้านเอกสารแล้ว นับเป็นการบริหารจัดการภาครัฐมิติใหม่ ที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง การขับเคลื่อน Digital Local Government เป็นการผลักดันนโยบายแผนงานไปสู่ภาคปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านทักษะดิจิทัลให้กับหน่วยงานราชการระดับจังหวัดให้เติบโตและแข็งแกร่งไปพร้อมกัน สามารถนำพาประเทศสู่ Thailand 4.0 ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้อย่างยั่งยืน ด้าน นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวถึงผลสำเร็จของการจัดงานครั้งนี้ว่า นับเป็นการสร้างโอกาสแห่งอนาคตในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมนำพาไปสู่การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลดิจิทัลด้วยการสร้างความเชื่อมโยงแบบรวมศูนย์ โดย “GovChannel ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน” เป็นโครงการที่ช่วยสร้างราษฎร์ เสริมรัฐได้ชัดเจนที่สุด เนื่องจากเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงบริการภาครัฐสำหรับประชาชน ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วน ในการนำบริการดิจิทัลของแต่ละหน่วยงานมารวมกันเพื่อบริการประชาชน ณ จุดเดียว สามารถตอบคำถามได้ว่า ประชาชนได้อะไรจากรัฐบาลดิจิทัล? ได้อย่างแท้จริง สามารถอำนวยความสะดวกด้านข้อมูลและการบริการแก่ประชาชนแบบออนไลน์ 24 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ www.govchannel.go.th สำหรับจังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดที่มีโครงการนำร่องสู่ Smart City ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน รวมถึงมีการนำเทคโนโลยี iOT (Internet of Things) เข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวจังหวัดชลบุรีเพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่สังคมอัจฉริยะ สมกับเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวที่สำคัญอันดับต้นๆ ของประเทศ EGA จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและเลือกจัดกิจกรรม Roadshow ปี 2560 นี้ขึ้น โดยนำบริการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้ชาวชลบุรีอย่างจุใจ อาทิ แอปพลิเคชัน GNews แอปฯ แจ้งข้อมูลข่าวสารบริการภาครัฐเวอร์ชันใหม่มาช่วยให้ประชาชนไม่พลาดทุกข้อมูลข่าวสารภาครัฐได้อย่างทันการณ์ แม่นยำ เชื่อถือได้ และ ภาษีไปไหน? (Thailand Government Spending) ระบบสืบค้นข้อมูลการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในรูปแบบเว็บไซต์ govspending.data.go.th ที่จะช่วยให้ทราบว่าภาครัฐนำภาษีไปใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศอย่างไรบ้าง เป็นต้น นอกจากนี้ได้นำ ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ มาติดตั้งเพื่อให้บริการประชาชนแบบ Self-service แล้วที่บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สาขาชลบุรี โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลและสวัสดิการรัฐ เช่น สิทธิประกันสังคม, ตรวจสอบเงินสะสมชราภาพ, ข้อมูลผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา, บัญชีสินเชื่อในเครดิตบูโรแบบสรุป, สิทธิ์การรับเบี้ยคนพิการ และระบบตรวจสอบข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า จังหวัดชลบุรี มีการดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “ชลบุรีน่าอยู่คู่เศรษฐกิจชั้นนำ อุตสาหกรรมสะอาด ท่องเที่ยวนานาชาติ ประตูสู่เศรษฐกิจโลก” โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาพัฒนาจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมีความพร้อมที่จะก้าวสู่ Smart City อย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งระบบขนส่งสาธารณะ การจราจร พลังงาน เศรษฐกิจ ชุมชน นวัตกรรม การท่องเที่ยว และการบริหารจัดการเมืองแบบอัจฉริยะ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในฐานะจังหวัดต้นแบบเมืองอัจฉริยะของประเทศจึงเร่งเดินหน้าอย่างเต็มที่และจริงจัง เพื่อให้ชาวชลบุรีสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ง่ายขึ้น ดังนั้น จังหวัดชลบุรีจึงมีความยินดีที่ได้ร่วมจัดงานสัมมนา Digital Local Government ราชการทันสมัย บริการประชาชนรวดเร็ว ทันใจ ในครั้งนี้ และเชื่อมั่นว่าโครงการ GovChannel ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ชาวจังหวัดชลบุรี สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการดิจิทัลภาครัฐ และบริการสาธารณะอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม รวมถึงเป็นแรงผลักดันให้ ก้าวสู่โมเดล Chonburi : Digital Local Government เพื่อเสริมรากฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของจังหวัดสามารถยกระดับรายได้ต่อหัวคนชุมชนสูงขึ้นในอนาคต ที่มา : techtalkthai.com
Person read: 2223
28 August 2017