ซีพีเอฟ เผย กำไร 9เดือนปีนี้ เฉียด 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 36%จากปีก่อน กิจการต่างประเทศหนุนกำไร รับอานิสงส์โรค ASF ดันราคาหมูเพิ่ม มั่นใจผลการดำเนินงานปีหน้ายังดีต่อเนื่อง วันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ รายงานกำไรประจำไตรมาส 3/2563 จำนวน 7,475 ล้านบาท เติบโต 23% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และกำไรสำหรับ 9 เดือนปี 2563 จำนวน 19,614 ล้านบาท เติบโต 36% จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษีและค่าเสื่อมราคา(EBITDA) จำนวน 61,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% จากปีก่อน ซึ่งเป็น EBITDA ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยหลักมาจากภาวะขาดแคลนสุกรในภูมิภาคจากการระบาดของโรค ASF (African Swine Fever) ที่ส่งผลให้ราคาตลาดอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อน ประกอบกับความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยดีขึ้นต่อเนื่องจากการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ “ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟที่ดีขึ้น ปัจจัยหลักมาจากการขาดแคลนสุกรในภูมิภาคเอเซีย เนื่องจากการระบาดของโรค ASF ที่ทำให้ปริมาณสุกรลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในเวียดนามและจีน ทำให้ระดับราคาสุกรสูงขึ้นจากปีก่อนอย่างผิดปกติ ทั้งยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร จากที่ยังไม่มีวัคซีน จึงต้องบริหารจัดการฟาร์มอย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานชีวภาพ น่าจะยังต้องใช้เวลา หากจัดการไม่ดีอาจเกิดโรคได้ “ นอกจากธุรกิจสุกรแล้ว ผลการดำเนินงานของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยก็มีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อน จากการที่บริษัทปรับรูปแบบและกลยุทธ์ในการทำธุรกิจที่ให้น้ำหนักกับการทำการตลาดภายในประเทศมากขึ้น มองว่าธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยและในต่างประเทศจะมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องจากนี้ไป “ปีหน้าบริษัทตั้งเป้าหมายมีกำไรที่ดีต่อเนื่อง จากการขยายธุรกิจและการเพิ่มปริมาณการผลิตในหลายประเทศ โดยคาดว่าราคาสุกรในปีหน้าน่าจะอ่อนตัวลงจากปีนี้แต่คงอยู่ในระดับที่สูง รวมทั้งบริษัทจะมีการรับรู้กำไรเพิ่มขึ้นจากธุรกิจสุกรในประเทศจีนที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้อนุมัติให้เข้าทำรายการเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่าจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดี” นายประสิทธิ์กล่าว เอฟเฟ็กต์โควิด ทุบรายได้ 7-Eleven ฉุดกำไร “CPALL” 9 เดือนวูบ 22.5% ซีพี-เทสโก้โลตัส ผงาดเบอร์ 1 ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว หวั่นเสียเปรียบอำนาจต่อรอง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-555038
Person read: 2039
13 November 2020
(Photo by Romeo GACAD / AFP) โควิดฉุดเศรษฐกิจ-กำลังซื้อไตรมาส 4 ส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจน “สินค้าไอที” ก็ไม่เว้น ยักษ์ค้าปลีก-ค้าส่ง หวัง “ช้อปดีมีคืน” ช่วยปลุกมู้ดจับจ่าย “เจ.ไอ.บี.” ชี้ดี-มานด์ “เวิร์กฟรอมโฮม” แผ่วปลายตลาดล่างออกอาการ ขอแค่ปิดยอดขายสิ้นปีทะลุ 9 พันล้านใกล้เคียงปีที่แล้ว “แอดไวซ์” หวั่นลากยาวข้ามปีเบนเข็มเจาะ “บีทูบี” แม้ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มสินค้าไอทีจะได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดกระแสเวิร์กฟรอมโฮม มีความต้องการซื้ออุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานและการเรียนที่บ้าน ส่งผลให้ยอดขายเติบโตอย่างชัดเจนในไตรมาส 2 และ 3 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการขายผ่านช่องทางออนไลน์ แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 4 ซึ่งโดยปกติเป็นช่วงที่ผู้บริโภคจับจ่ายซื้อสินค้า ถือเป็น “หน้าขาย” ไม่ต่างจากสินค้ากลุ่มอื่น ๆ แต่ในปีนี้กลับไม่คึกคักเท่าที่ควร ตลาดล่างออกอาการ นายสมยศ เชาวลิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของเครือข่ายร้านค้าปลีกสินค้าไอที ภายใต้แบรนด์ “เจ.ไอ.บี.” กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมตลาดไอทีในไตรมาส 4 ไม่คึกคักเท่าที่ควร ประกอบกับส่วนใหญ่ซื้อไปแล้วในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากกระแสเวิร์กฟรอมโฮมทำให้ยอดขายในไตรมาส 2 และ 3 ไปได้ดีจนมาแผ่วลงในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี โดยเฉพาะในกลุ่มล่างที่กำลังซื้อลดลงชัดเจน ขณะที่สินค้าที่เจาะตลาดกลุ่มบน เช่น คอมพิวเตอร์ ดีไอวาย และโน้ตบุ๊ก ยังคงมีการเติบโตได้ดี เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มบนและระดับกลางยังสามารถใช้จ่ายได้ ประกอบกับภาครัฐมีโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ออกมากระตุ้นการตัดสินใจซื้อเพิ่มเติม สำหรับบริษัทคาดว่าส่วนยอดขายปีนี้น่าจะทำได้ 9,000 ล้านบาท ลดลงจากเป้าหมายที่วางไว้เดิมช่วงต้นปี 10,000 ล้านบาท และน้อยกว่าปีที่แล้วที่ทำได้ 9,400 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปีบริษัทยังเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง ทั้งการขยายสาขาไปในทำเลใหม่ และรีโนเวตบางสาขา คาดว่าในสิ้นปีจะมี 153 แห่ง และเตรียมเพิ่มสินค้ากลุ่มน็อนคอมพิวเตอร์มากขึ้นในปีหน้า เช่น สินค้าที่รองรับเทคโนโลยี IOT และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายและยอดขาย “ช่วงโควิดที่ผ่านมา บริษัทปรับตัวหลายอย่างโดยหันมาโฟกัสการขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากต้องปิดร้านทำให้ยอดขายออนไลน์โตขึ้น ปัจจุบันมีสัดส่วนเป็น 20% ของยอดขายรวมจากตอนต้นปีมีสัดส่วนแค่ 13%” ค้าปลีกไอทีอ่อนแรง ด้านนายจักรกฤช วัชระศักดิ์ศิลป์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิตภัณฑ์ การขาย และการตลาด บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสินค้าไอที กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มแผ่วลงตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 เป็นต้นมา จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ผู้บริโภคกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ทำให้ความต้องการสินค้าไอทีลดลง ประกอบกับก่อนหน้านี้ได้ซื้อไปแล้วจำนวนมาก โดยประเมินว่าภาพรวมตลาดไอทีทั้งปีน่าจะเติบโตลดลงจากปีที่ผ่านมาจาก 2 ปัจจัย คือ กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง สะท้อนจากยอดขายและราคาเฉลี่ยต่อเครื่องของโน้ตบุ๊กที่ลดลงจาก 25,000 บาทขึ้นไปมาเป็นต่ำกว่า 25,000 บาทลงไปในครึ่งหลังของปี ขณะที่สินค้าบางกลุ่มขาดตลาดเนื่องจากในบางประเทศยังอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ ทำให้มีสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ สำหรับบริษัทเองประเมินว่า รายได้ในปีนี้จะเติบโตไม่ถึง 20% ตามเป้าที่วางไว้ หรือมีรายได้น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 12,000 ล้านบาท ส่วนทิศทางตลาดไอทีในปี 2564 ยังไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากผู้ผลิตสินค้ายังมีปัญหาการผลิต ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคก็จะยังไม่ฟื้นกลับมา แต่เทียบกับสินค้าอื่น ๆ แล้วเชื่อว่าสินค้าไอทีจะไม่ได้รับผลกระทบแรงมาก เพราะผู้บริโภคยังมีความต้องการใช้ “แอดไวซ์ฯ” ลุยต่อมุ่งบีทูบี นายจักรกฤช กล่าวต่อว่า บริษัทยังคงเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง โดยจะเปิดสาขาในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น รวมถึงขยายร้านโมเดลใหม่ที่มีพื้นที่จำหน่ายสินค้าและบริการรับซ่อมสินค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีทั้งหมด 350 สาขาทั่วประเทศ เป็นร้านของบริษัท 100 สาขา ที่เหลือเป็นแฟรนไชส์ 250 สาขา พร้อมกับขยายช่องทางขายผ่านออนไลน์และผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ “โซเชียลคอมเมิร์ซ” เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก เป็นต้น ตามด้วยอีมาร์เก็ตเพลซ เช่น ลาซาด้า ช้อปปี้ เป็นต้น และ “อีเทลเลอร์ออนไลน์” ของแอดไวซ์ฯที่มีระบบโลจิสติกส์เองและในปีหน้าจะขยายธุรกิจใหม่เจาะกลุ่มลูกค้าเชิงพาณิชย์มากขึ้น ทั้งกลุ่มองค์กร ภาครัฐ และเอกชน โดยตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มบีทูบีเฉลี่ยเดือนละ 30 ล้านบาท “รายได้หลักของไทยมาจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ถ้าทั้งสองธุรกิจนี้ไม่ฟื้นกลับมา ในแง่ของกำลังซื้อโดยรวมก็จะยังไม่ฟื้น แต่สำหรับตลาดไอทีเชื่อว่ายังมีดีมานด์เพราะกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ จะต้องลงทุนเพื่อเดินหน้าธุรกิจต่อ ทำให้ปีหน้าเราจะหันมาโฟกัสที่กลุ่มลูกค้าบีทูบีมากขึ้น” สินค้าขาดไม่พอขาย นายธีรวุธ ศุภพันธ์ภิญโญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หากโฟกัสเฉพาะสินค้ากลุ่มพรินเตอร์ ความต้องการของผู้บริโภคยังสูงจากกลุ่มคนที่เวิร์กฟรอมโฮม ประกอบกับโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ช่วยกระตุ้นตลาดให้ตื่นตัวแต่ติดปัญหากำลังการผลิตที่ประเทศต้นทางอย่างฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ไม่สามารถผลิตได้ 100% ทำให้สินค้าไม่พอจำหน่าย เช่นกันกับนางสาวเนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ตลาดไอทีช่วงโค้งท้ายปีได้รับอานิสงส์จากโควิด เพราะผู้บริโภคก้าวเข้าสู่ออนไลน์มากขึ้น ทำให้มีความต้องการสินค้าไอทีอยู่ และเชื่อว่าโครงการ “ช้อปดีมีคืน” จะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้คึกคัก ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-554699
Person read: 2154
13 November 2020
กระทรวงพลังงานชี้แจงกรณีมีกระแสข่าวการยกเลิกนโยบายเกี่ยวกับ ‘พลังงานชุมชน’ ว่าไม่เป็นความจริง เพราะปัจจุบันนโยบายกระทรวงพลังงานยังคงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานชุมชนอย่างต่อเนื่อง และเดินหน้าโรงไฟฟ้าชุมชนในรูปเบบที่เกิดประโยชน์กับเกษตรกรและชุมชนสูงสุด นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับประเด็นที่ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่จะมายกเลิกพลังงานชุมชน (และอาจหมายรวมถึงโรงไฟฟ้าชุมชน) ทั้งที่เป็นการกระจายโอกาสสู่ท้องถิ่น เกษตรกรสามารถมีส่วนร่วมในการผลิตไบโอแก๊ส นั้น ขอเรียนชี้แจงว่า “กระทรวงพลังงานไม่ได้มีนโยบายยกเลิกโครงการพลังงานชุมชนและโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนแต่อย่างใด จะเห็นได้จากตามแผนปฏิบัติราชการราย 5 ปี (พ.ศ. 2563 – พ.ศ.2565) ของกระทรวงพลังงานมีเรื่องการสร้างความยั่งยืนและเข้าถึงประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานที่สำคัญ” โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนในประเทศเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับทิศทางการส่งเสริมการนำแหล่งพลังงานในประเทศมาใช้ และส่งเสริมพลังงานสะอาด เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม รวมถึงยกระดับรายได้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแนวทางการพัฒนาที่สนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดการสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยเทคโนโลยีพลังงานที่เหมาะสม ผ่านการส่งเสริมการใช้ การลงทุนด้านพลังงานทดแทน ซึ่งก็รวมถึงโครงการผลิตก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) และชีวมวลรวมอยู่ด้วย และการอนุรักษ์พลังงานในชุมชน พร้อมเสริมสร้างศักยภาพและเตรียมความพร้อมให้กับส่วนท้องถิ่น ชุมชน และเครือข่ายภาคประชาชน นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนก็จะมีการเดินหน้าโครงการนำร่อง โดยมีการทบทวนหลักเกณ์ของโครงการเพื่อให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับเกษตรกรและชุมชนอย่างแท้จริงและมีความยั่งยืน ทั้งนี้ โดยมีแผนงานโครงการสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนด้านการส่งเสริมชุมชนที่ชัดเจน เช่น แผนงานโรงไฟฟ้าชุมชนนำร่อง สถานีพลังงานชุมชน โครงการเสริมสมรรถนะโครงการเตาชีวมวล โครงการโซลาร์สูบน้ำ โครงการโซลาร์อบแห้ง และกรอบทิศทางของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจะเน้นโครงการพลังงานชุมชน เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และสร้างอาชีพด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนในชุมชน เป็นต้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-521672
Person read: 2225
15 September 2020
ภาพ: ข่าวสด ปล่อยตัว นพ.เหวง โตจิราการ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ และนายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง แกนนำ นปช. ออกจากเรือนจำ พร้อมติดกำไลอีเอ็ม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายวันนี้ (15 ก.ย.) แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้แก่ นพ.เหวง โตจิราการ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ และนายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง ได้รับการปล่อยตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หลังเข้าเกณฑ์พักโทษ โดยติดกำไลอีเอ็ม ตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม นพ.เหวง อายุ 69 ปี นายวิระกานต์ อายุ 72 ปี และนายพงศ์พิเชษฐ์ อายุ 69 ปี ถูกศาลฎีกาสั่งลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา ในฐานความผิดมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง จากกรณีนำขบวนผู้ชุมนมหลายพันคนบุกบ้านสี่เสาเทเวศน์เมื่อปี 2550 และติดคุกมาแล้วเกือบ 3 เดือน แกนนำทั้งสาม ถือเป็นผู้สูงอายุและมีอาการป่วยต้องเข้ารับการรักษาสุขภาพ ขณะที่ นพ.เหวง มีปัญหาด้านสุขภาพเช่น อาการบ้านหมุนและปัญหาปวดฟัน รวมถึงอาการเกี่ยวกับต่อมลูกหมากและไส้เลื่อน ทั้งสามคนได้รับพระราชทานอภัยโทษ 1 ครั้ง และจะเข้าโครงการพักโทษผู้ต้องขังสูงอายุ พร้อมติดกำไลอีเอ็ม เพื่อปล่อยออกจากเรือนจำ นายวีระกานต์ มุสิกพงษ์ อดีตประธานนปช. ได้รับการปล่อยตัวเพราะได้รับพักโทษ จากกรณีชุมนุมหน้าบ้านป๋าเปรม pic.twitter.com/f7xla7VDBI — ข่าวสด (@KhaosodOnline) September 15, 2020 ก่อนหน้านี้ นายปลอดประสพ สุรัสวดี และ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ สองอดีตนักการเมืองได้รับการพักโทษ โดยต้องติดกำไลอีเอ็มนาน 1 ปี นอกจากนี้ ในช่วงสิ้นเดือนกันยายน มีรายงานว่า ผู้ต้องขังคนสำคัญ 3 คน ได้แก่ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นายพายัพ ปั้นเกตุ จะได้รับการอภัยโทษและเข้ารับการอบรมก่อนปล่อยตัวเช่นเดียวกัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-521643
Person read: 2287
15 September 2020
Photo by NICOLAS ASFOURI / AFP การเจรจาจีทูจีข้าวไทยกับจีน ล่าช้าจากหลายปัจจัย สต๊อกข้าวจีน ราคาข้าวไทย ขณะที่การส่งออกข้าวไทยเดือนกรกฎาคม 2563 เพิ่มขึ้นจากแอฟริกาหันมานำเข้าข้าวไทย ส่งผลให้เดือนสิงหาคมการส่งออกข้าวยังขยายตัว นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การเดินหน้าเจรจาสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับรัฐวิสาหกิจจีน คอฟโก้ เพื่อนำเข้าข้าวไทย 300,000 ตัน ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือจากสัญญาที่รัฐบาลลงนามไว้ 1 ล้านตัน โดยปัจจุบันได้ส่งมอบไปแล้ว 700,000 ตัน กรมฯ เดินหน้าเจรจาอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดของของโวิด-19 สถานการณ์สต๊อกข้าวของจีน รวมไปถึงราคาซื้อ-ขายข้าวไทย ที่ราคาข้าวไทยตอนนี้ยังสูง ส่งผลให้การเจรจาอาจจะล่าช้าอยู่บ้าง ซึ่งกรมฯ ก็พร้อมเดินหน้าเจรจาอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวไทยต่อไป ปัจจุบันจากรายงานข้อมูลของกรมศุลกากร ระบุว่า การส่งออกข้าวในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-กรกฎาคม) มีปริมาณ 3,295,046 ตัน โดยปริมาณส่งออกลดลง 32.9% และมีมูลค่า 69,470 ล้านบาท หรือ 2,222.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าลดลง 15.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มีการส่งออกปริมาณ 4,907,467 ตัน มูลค่า 81,847 ล้านบาท หรือ 2,596.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกข้าวในเดือนกรกฎาคม 2563 มีปริมาณ 409,451 ตัน ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 31.6% มีมูลค่า 7,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2563 ที่ส่งออกได้เพียง 311,166 ตัน มูลค่า 7,310 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากการส่งออก ข้าวขาวและข้าวนึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้นำเข้าโดยเฉพาะในแถบแอฟริกาได้หันมานำเข้าข้าวจากไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศอินเดียกำลังเผชิญกับการระบาดของเชื้อ COVID-19 อย่างหนัก ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานและอุปสรรคด้านลอจิสติกส์ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกที่ต้องชะลอลง ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2563 มีการส่งออกข้าวขาว ปริมาณ 164,041 ตัน เพิ่มขึ้น 34.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยส่วนใหญ่ส่งไปยังประเทศแองโกล่า แคเมอรูน ญี่ปุ่น โมซัมบิก เบนิน เป็นต้น ส่วนการส่งออกข้าวนึ่งมีปริมาณ 118,673 ตัน เพิ่มขึ้น 134.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่วนใหญ่ส่งไปตลาดประจำ ในแถบแอฟริกา เช่น แอฟริกาใต้ เบนิน แคเมอรูน เยเมน เป็นต้น สำหรับการส่งออกข้าวหอมมะลิ (ต้นข้าว) มีปริมาณ 58,464 ตัน ลดลง 23.6% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนซึ่งส่วนใหญ่ยังคงส่งไปยังตลาดประจำ เช่น สหรัฐฯ ฮ่องกง จีน แคนาดา สิงคโปร์ เป็นต้น รายงานจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุว่า การส่งออกข้าวไทยในเดือนสิงหาคม 2563 คาดว่าจะมีปริมาณส่งออกข้าวจะอยู่ที่ประมาณ 400,000-450,000 ตัน เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าในแถบแอฟริกายังคงมีความต้องการนำเข้าข้าวจากไทยทั้งข้าวขาวและข้าวนึ่ง เพราะทั้งอินเดีย และปากีสถานต่างประสบปัญหาด้านลอจิสติกส์ ซึ่งทำให้การส่งมอบล่าช้า ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับอานิสงส์แต่ก็เป็นปริมาณที่ไม่มากนัก ในส่วนของการส่งออกข้าวหอมมะลิมีแนวโน้มชะลอลงเนื่องจากประเทศผู้นำเข้าได้นำเข้าไปเป็นจำนวนมากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้มีสต็อกข้าวเพียงพอแล้ว ส่วนภาวะราคาข้าวของไทยในช่วงนี้ยังคงสูงกว่าประเทศคู่แข่งที่สำคัญ แม้ว่าค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง แต่เนื่องจากอุปทานข้าวในประเทศมีจำกัด และมีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยทำให้ราคาข้าวภายในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง จึงส่งผลให้ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้นและห่างจากประเทศคู่แข่งประมาณ 40-150 เหรียญสหรัฐฯ โดยเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563 สมาคมฯประกาศราคาข้าวขาว 5% ที่ 525 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่เว็บไซต์ Oryza.com รายงานราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน ที่ 485-489, 368-372 และ 393-397 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-521665
Person read: 2248
15 September 2020
คมนาคมออกสเปกคัดสรร “บิ๊กการบินพลเรือน” คนใหม่ หลัง “จุฬา สุขมานพ” ครบวาระ ก.ย.นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2563 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการกำกับสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการสรรหาและคัดเลือกผู้อำนวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญดังนี้ ในการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (ผอ.กพท.) ระบุให้คณะกรรมการกำกับสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสรรหาและคัดเลือก ผอ.กพท.ขึ้นมา 1 ชุด ประกอบไปด้วยกรรมการ 5 คน โดยให้มาจากคณะกรรมการกำกับฯ 2 คน, ผู้แทนจากคณะกรรมการการบินพลเรือน 1 คน, ผู้แทนจากกระทรวงคมนาคม 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหาร 1 คน และให้ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล กพท.เป็นเลขานุการ จุฬา สุขมานพ @เปิดสเปกคุณสมบัติ สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นผอ. กพท. ประกอบด้วย 1.มีสัญชาติไทย 2.อายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี แต่ไม่เกิน 65 ปี 3.สามารถปฏิบัติงานได้ตลอดเวลา 4.ไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม ดังนี้ เป็นบุคคลล้มละลายหรือล้มละลายทุจริต, เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ, เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุด เว้นแต่เป็นความผิดลหุโทษหรือกระทำการโดยประมาท เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการบริหารหรือจัดการของนิติบุคคลที่ประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับการบินพลเรือนทุกด้าน ,เป็นข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือราชการส่วนท้องถิ่น เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เว้นแต่พ้นจากตำแหน่งไม่น้อยกว่า 2 ปี เป็นหรือเคยเป็นกรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง เว้นแต่จะพ้นจากตำแหน่งไม่ร้อยกว่า 2 ปี เคยถูกถอดถอนจากตำแหน่งตาบบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของเอกชน เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง 5. มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สูงในด้านการบินและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในด้านกิจการการบินพลเรือนหรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ผอ.กพท. ยังต้องสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไป และเคยดำรงตำแหน่งหรือดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงานอื่นของรัฐ หรือหน่วยงานของเอกชนที่มีรายได้ต่อปีไม่น้อยกว่าที่คณะอนุกรรมการกำหนด โดย ผอ.กพท.จะมีวาระในตำแหน่ง 4 ปี ดำรงตำแหน่งติดต่อกันไม่เกิน 2 วาระ (8 ปี) และมีการประเมินผลการปฏิบัติงานทุกๆ 6 เดือน และประกาศฉบับนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป @”จุฬา” ชิงชัยต่ออีกวาระ ด้านนายจุฬา สุขมานพ ผอ.กพท. กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประกาศดังกล่าวไม่ได้ออกล่าช้า เพราะมีนัยยะอะไร แต่เนื่องจากประกาศดังกล่าวไม่ได้เป็นประกาศที่มีผลทางกฎหมายต่อประชาชน จึงทำให้ออกล่าช้า ส่วนตัวเองก็กำลังจะครบวาระการเป็น ผอ.กพท.ในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ คาดว่าจะลงสมัครเพื่อเป็น ผอ.กพท. อีกวาระหนึ่งแน่นอน แต่ในขณะที่มีรอยต่อของการบังคับใช้ประกาศฉบับใหม่ คณะกรรมการกำกับฯที่มี นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานจะต้องมีการจัดประชุมเพื่อหารือถึงการแก้ปัญหาดังกล่าวต่อไป ไปพลางก่อนหรือไม่นั้น ไม่ทราบ เพราะไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการกำกับดังกล่าว เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการเป็น ผอ.กพท. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-521644
Person read: 2193
15 September 2020
นายกรัฐมนตรีลั่นพยายามแก้ไขปัญหาทุกมิติ เบิกจ่ายงบล่าช้า เพราะสถานการณ์ไม่ปกติ ขีดเส้นจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ – คนพิการ ไม่เกิน 22 กันยายนนี้ ขณะที่วีซ่ารูปแบบใหม่ โยนให้ ศบค.เคาะ แต่นักท่องเที่ยวต้อง state quarantine ทุกราย เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า รัฐบาลดูแลทั้งในส่วนที่เป็นปัญหาอุปสรรคจากข้อเรียกร้องของประชาชน ไม่ว่าการใช้จ่าย การเบิกจ่ายงบประมาณ พยายามจะแก้ไขในทุกมิติ เนื่องจากเป็นสถานการณ์ไม่ปกติในเวลานี้ อาจมีข้อติดขัดอยู่บ้างในวิธีการ หรือกลไกใหม่ๆ ที่ออกไป เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน เพราะรัฐบาลมุ่งหวังที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน โดยเฉพาะในช่วงนี้ให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องเงินผู้สูงอายุ และเบี้ยยังชีพคนพิการล่าช้านั้น ท่านก็ทราบดีถึงเหตุผล และได้ชี้แจงไปหลายครั้งแล้ว ยังมีหลายคนเอามาโยงกันว่าเงินไม่พอ ไม่มีเงินจ่าย มันไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องระบบการจ่าย เช่น ทะเบียนต่างๆ วันนี้จะเร่งรัดดำเนินการให้ได้โดยเร็วที่สุด จากเดิมที่มีกำหนด 22 กันยายนนี้ จะพยายามให้ทำตามกำหนด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนการออกวีซ่าให้นักท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ special tourist visa วันนี้ได้มีการหารือในเรื่องนี้ แต่ยังต้องรอฟัง ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) อีกครั้ง เพราะยังต้องรับฟังความคิดเห็นจากหลายส่วน แต่ยืนยันว่าจะต้องมี state quarantine ทุกคน กลุ่มพวกนี้มาอยู่ยาวทั้งการท่องเที่ยวและด้านสุขภาพ สามารถ ดำเนินการ state quarantine ได้อยู่แล้วใน alternative quarantine ซึ่งเป็นที่ที่เขากำหนดได้ ไม่แพร่ระบาดข้างนอก หรือในโรงพยาบาล hospital quarantine “ขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ในสิ่งที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือว่าระบบสาธารณสุขของไทยดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ดังนั้น ขอให้มั่นใจตรงนี้ จึงมีเพียงอย่างเดียวคือการร่วมมือ เรื่องการตรวจสอบ ติดตาม การตรวจแยก การคัดกรอง ข้อสำคัญคือการ์ดอย่าตก หลายกิจกรรมที่ผ่อนคลายไปให้แล้ว ก็เริ่มคลายความเข้มงวด คือเรื่องอันตรายที่เกิดขึ้น ถ้าไม่สามารถทำตามมาตรการต่างๆ เหล่านั้นได้ก็อย่ามาโทษรัฐบาล เพราะเป็นกรอบที่วางไว้อยู่แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนวันหยุดเพิ่มเติม ตนดำริไว้เฉยๆ แต่จะทำได้หรือไม่ยังต้องรอเวลา อย่าเพิ่งไปลือกันมากมาย และถ้าจะมีวันหยุดพิเศษต้องประกาศล่วงหน้าให้มีการวางแผนการเที่ยว ประกาศกระชั้นก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ขอให้ไปดูวันตุลาคม ธรรมดา วันหยุดนักขัตฤกษ์อยู่แล้ว ให้ไปดูตรงนั้นก่อน แต่ถ้าพิเศษจะบอกล่วงหน้า ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-521648
Person read: 2051
15 September 2020
โอนข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนสามัญมาบรรจุเป็นข้าราชการในพระองค์ฝ่ายพลเรือน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นพิเศษเฉพาะรายจำนวน 2 ราย ทั้งนี้ มีคำสั่งสำนักพระราชวังที่ 182 / 2563 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุมัติรับโอนข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนสามัญ มาบรรจุเป็นข้าราชการในพระองค์ฝ่ายพลเรือนและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นพิเศษเฉพาะรายจำนวน 2 ราย โดยอาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 6 มาตรา 14 มาตรา 15 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ 2560 ข้อ 12 ข้อ 13 ข้อ 15 แห่งระเบียบส่วนราชการในพระองค์ว่าด้วยการบริหารข้าราชบริพารในพระองค์ 2560 ข้อ 11 แห่งระเบียบส่วนราชการในพระองค์ว่าด้วยการบริหารข้าราชบริพาร ในพระองค์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2563 ข้อ 29 แห่งระเบียบส่วนราชการในพระองค์ว่าด้วยรถราชการและค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง 2560 และข้อ 4 แห่งระเบียบส่วนราชการในพระองค์ว่าด้วยรถราชการและค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งแก้ไขเพิ่มเติม 2563 จึงให้รับโอนข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนสามัญมาบรรจุเป็นข้าราชการในพระองค์ฝ่ายพลเรือนและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นพิเศษเฉพาะรายจำนวน 2 ราย ตามบัญชีแนบท้าย คือ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นรองเลขาพระราชวังระดับ 11 พันตำรวจเอกณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นรองเลขาธิการพระราชวังระดับ 11 ตั้งแต่ 30 กันยายน 2563 เป็นต้นไป โดย พลอากาศเอก สถิตพงษ์ สุขวิมล เลขาธิการพระราชวัง ลงนามในเอกสาร ดังกล่าว ลงวันที่ 12 กันยายน 2563 พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายทหาร-ตำรวจ ราชองครักษ์ 364 นาย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-521611
Person read: 2085
15 September 2020
ปลัดคลัง บวงสรวง “องค์ช้าง” สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง เชื่อช่วยไล่คนไม่ดีออกไป วันนี้ (15 ก.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ทำพิธีบวงสรวงองค์ช้างคู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง ที่ก่อนหน้านี้ ได้ส่งไปบูรณะซ่อมแซมที่กรมศิลปากร ตั้งแต่ปี 2557 ใช้เวลากว่า 5 ปี จึงนำกลับมาประจำที่กระทรวงการคลัง นายประสงค์ กล่าวว่า ช้างคู่อยู่กับกระทรวงการคลังมานาน ซึ่งการนำช้างกลับมาครั้งนี้ จะทำให้ข้าราชการมีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ให้มีความแข็งแกร่ง โดยหน้าที่ชองกระทรวงการคลัง ไม่ใช่เรื่องการจัดเก็บรายได้อย่างเดียว แต่ดูแลเรื่องความมั่นคงทางด้านการเงินการคลังด้วย “เมื่อช้างมาอยู่ ก็จะมีแต่อะไรดี ๆ เข้ามา ก็จะมีแต่คนดี ๆ เข้ามา แต่เรื่องดีไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับใจคน ซึ่งถ้าใครไม่ดีช้างก็จะไล่ออกไป” นายประสงค์กล่าว นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงการคลังยังได้กล่าวถึงกรณีมีกระแสที่ตกเป็นแคนดิเดต รมว.คลังคนใหม่ ว่า ไม่มีอะไร วันนี้ก็เป็นเพียงข้าราชการประจำ ขอทำงานข้าราชการประจำก่อน เมื่อถามว่า จะมารับตำแหน่งหลังเกษียณหรือไม่นั้น นายประสงค์ ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ผมแก่แล้ว” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-521620
Person read: 2078
15 September 2020
วันนี้ (15 กันยายน 2563) สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศเลือก บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์อย่างเป็นทางการ ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2564 – 2571 ทั้งนี้ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์รายเก่าที่บริหารสิทธิประโยชน์อย่างเป็นทางการของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยมา 4 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งสัญญาเดิมจะหมดลงในปี 2563 นี้ ในส่วนประกาศของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เรื่อง การยื่นข้อเสนอและการลงนามสัญญามอบสิทธิการจัดการด้านการขายและสิทธิประโยชน์ (Official Sponsorship Agency) ประจำปี พ.ศ. 2564 – 2571 ณ วันที่ 15 กันยายน 2563 มีเนื้อหาว่า สืบเนื่องจากประกาศของ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 ได้เปิดพิจารณาคัดเลือกผู้บริหารสิทธิประโยชน์อย่างเป็นทางการ ประจำปีพ.ศ. 2564 – 2571 โดยให้ผู้มีคุณสมบัติ และมีความสนใจเข้าร่วมพัฒนากีฬาฟุตบอลไทย นำเสนอแผนงานและเงื่อนไข พร้อมเอกสารยืนยันคุณสมบัติ ให้แก่คณะกรรมการได้พิจารณาภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 นั้น ในการนี้ มีผู้ยื่นข้อเสนอเป็นตัวแทนบริหารสิทธิประโยชน์อย่างเป็นทางการ จำนวน 2 ราย ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของสมาคม ได้พิจารณาการนำเสนอแผนงาน เงื่อนไข พร้อมเอกสารยืนยันคุณสมบัติของผู้ยื่นแล้ว ปรากฏว่า บริษัท แพลน บี มีเดียจำกัด (มหาชน) เป็นผู้มีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนและได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด จึงมีมติให้เป็นผู้ชนะการยื่นข้อเสนอเป็นตัวแทนบริหารสิทธิประโยชน์อย่างเป็นทางการของสมาคมและมีสิทธิจัดหาผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาฟุตบอลทีมชาติ การแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพ และกิจกรรมฟุตบอลอื่น ๆ ประจำปี พ.ศ. 2564 – 2571 รวมถึงสิทธิทั้งหลายตามประกาศ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาฟุตบอลของชาติต่อไป โดยสมาคมได้ลงนามในสัญญามอบสิทธิการจัดการด้านการขายและสิทธิประโยชน์ กับบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563 โดยสมาคมฯ จะนำสิทธิประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการแข่งขันกีฬาฟุตบอล มาใช้เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมและพัฒนากีฬาฟุตบอลของชาติต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/spinoff/sport/news-521614
Person read: 2064
15 September 2020
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ตั้งเป้าโกยธุรกรรมอิงดอกเบี้ยตัวใหม่ THOR คาดได้มาร์เก็ตแชร์ 1 ใน 3 ของธุรกรรมรวมในปี 64 เผยจับมือกสิกรไทยทำธุรกรรมร่วมกัน 800 ล้านบาท พร้อมเดินสายให้ความรู้ลูกค้า-เตรียมพร้อมงานหลังบ้าน นายเพา จาตกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริหารเงิน ธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มเผยแพร่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงใหม่ ที่เรียกว่า THOR (Thai Overnight Repurchase Rate) ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่คำนวณจากธุรกรรมกู้ยืมระยะข้ามคืนในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระหว่างธนาคาร เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 และธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เข้าทำสัญญาอนุพันธ์อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตัวใหม่ THOR เป็นธุรกรรมแรกของประเทศ ได้แก่ ธุรกรรมอนุพันธ์ Overnight Index Swap หรือ OIS ที่อ้างอิงกับ THOR ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมานั้น เป้าหมายถัดไป ธนาคารจะออกไปให้ความรู้เรื่องอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตัวใหม่ให้ลูกค้ารายต่อราย เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าเข้าใจ ด้วยความที่ THOR เป็นเรื่องใหม่ และเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาตลาดการเงินของไทย เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่มีความโปร่งใส เพราะ THOR ไม่ได้ใช้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้โควตราคา แต่อ้างอิงบนธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริง อีกทั้ง THOR เป็นดอกเบี้ยที่มีเสถียรภาพ ไม่ผันผวนมากนัก และยังสะท้อนสภาพคล่องที่แท้จริงของค่าเงินบาท และสะท้อนอัตราดอกเบี้ยที่ควรจะเป็นอีกด้วย ขณะเดียวกัน ธนาคารมีแผนจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะนำเอาอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง THOR มาใช้มากขึ้น เพิ่มเติมจากผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารมีอยู่แล้ว ทั้งธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตร หุ้นกู้ ตราสารอนุพันธ์ รวมถึงธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงิน ที่อ้างอิงกับ THOR “หลังจาก ธปท. ประกาศจะใช้ดอกเบี้ยตัวใหม่ ซีไอเอ็มบี ไทย เห็นโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาตลาดนี้ เราเตรียมความพร้อมและงานหลังบ้านทันที ทั้งความพร้อมของแบงก์ที่มีทั้งฝั่ง Treasury, Risk, Operations, Finance และ Legal เรียกได้ว่าเกี่ยวข้องกับเกือบทุกสายงานในแบงก์ หลังจากเราพร้อมแล้วจึงได้เริ่มเข้าไปโควตราคาครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 และโควตราคาต่อเนื่องถึง 2 เดือน จึงมีธนาคารกสิกรไทยเข้ามา hit ราคา และเกิดธุรกรรมแรก หลังจากนั้นได้เกิดธุรกรรมเกิดขึ้นอีก 2 ธุรกรรม ซึ่งธนาคารจะเข้าไปโควตราคาเรื่อยๆ เพราะเราถือว่าการพัฒนาตลาดเป็นหน้าที่หนึ่งของธนาคารอีกด้วย โดยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด 1 ใน 3 ของมูลค่าธุรกรรมในปี 2564” นายเพากล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-521609
Person read: 2041
15 September 2020
“ดุสิตธานี” ผนึกพันธมิตรเปิดตัวแพคเกจท่องเที่ยวสุดคุ้ม “พักอย่างมั่นใจ” กับโรงแรม-รีสอร์ตในเครือทั่วประเทศ พร้อมนำเสนอบริการที่เน้นความปลอดภัย-ความคุ้มค่าสูงสุด เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสบายใจและมั่นใจตลอดการเข้าพักในราคาเริ่มต้นคืนละไม่ถึง 1 พันบาท วันที่ 15 กันยายน 2563 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แพคเกจ “พักอย่างมั่นใจ” (Stay with Confidence) เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศและสร้างรายได้ให้กับชุมชน รวมทั้งยังได้มอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการเข้าพักให้กับลูกค้าของดุสิต ด้วยการจับมือกับพันธมิตรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เพื่อส่งมอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้า ทั้งนี้ แพคเกจจะเริ่มต้นที่ราคา 6,500 บาทสุทธิสำหรับ 2 คืน พร้อมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่านที่โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตทั้งในกรุงเทพฯ ,หัวหิน, เขาใหญ่ และพัทยา โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์ อื่นๆ ประกอบด้วย ประกันภัยการเดินทางสำหรับ 2 ท่าน โดยวิริยะประกันภัย โดย บมจ.วิริยะประกันภัย บัตรเติมน้ำมันบางจากมูลค่า 1,000 บาท ส่วนลดพิเศษ 1,500 บาท สำหรับการทำวิตามินบำบัด IV Therapy treatment และส่วนลดพิเศษ 1,000 บาท สำหรับการเสริมภูมิคุ้มกัน โดยศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล บริการโทรปรึกษาแพทย์ฟรี 1 ครั้ง ระหว่างการเข้าพัก โดย Bamrungrad @ Home Service Center ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มเติมจากแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่แต่ละโรงแรม “เมื่อจับคู่กับแคมเปญ “เราเที่ยวด้วยกัน” ของรัฐบาล ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในโครงการดังกล่าวสามารถจองแพคเกจนี้ ในราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 1,000 บาทต่อคืนต่อท่าน เนื่องจากรัฐจะสนับสนุน 40% ของราคาแพคเก็จ ทำให้ลูกค้าจ่ายในราคาเพียง 3,900 บาทต่อ 2 คืน 2 คน หรือคนละ 975 บาทต่อคืนเท่านั้น ไม่นับรวมความเพลิดเพลินและความคุ้มค่าไปกับที่พักพร้อมอาหารเช้า ส่วนลดเที่ยวบิน รถเช่า ประกันการเดินทาง บัตรเติมน้ำมันอีก 1,000 บาท และการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากๆ ” นางศุภจีกล่าว นอกจากนี้ ผู้เข้าพักยังสามารถเลือกแพคเกจขับรถเที่ยวเอง (Self-Drive) กับบัดเจ็ท ได้ในราคา 8,500 บาทสุทธิ พร้อมประกันภัยคุ้มครองเต็มรูปแบบ รวมไปถึงสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกันกับแพคเกจแรก ส่วนลูกค้าที่ต้องการพักที่โรงแรมและรีสอร์ทในภูเก็ต, กระบี่ และเชียงใหม่ สามารถจองแพคเกจบินและขับ (Fly and Drive) ได้ในราคา 10,000 บาทสุทธิ ซึ่งจะรวมสิทธิประโยชน์ข้างต้นแล้วเช่นกัน พร้อมรับบัตรกำนัลมูลค่า 1,000 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดเที่ยวบินกับสายการบินแอร์เอเชียอีกด้วย ขณะที่ผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงศรี จะได้รับส่วนลดพิเศษ 15% สำหรับการจองห้องพัก และสามารถอัพเกรดห้องพักประเภทถัดไปฟรี (ขึ้นอยู่กับจำนวนห้องว่าง) และส่วนลด 15% สำหรับอาหารและสปาระหว่างการเข้าพัก ส่วนสมาชิกดุสิตโกลด์รอยัลตี้โปรแกรม (Dusit Gold) ได้รับส่วนลด 20% สำหรับการจองห้องพักและสิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิกเต็มรูปแบบ ส่วนลูกค้า AIS จะได้รับส่วนลด 15% สำหรับการจองห้องพัก โดยดุสิตธานีจะเปิดให้จองแพคเกจตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป และสามารถใช้สำหรับการเข้าพักระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 31 มีนาคม 2564 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าวย้ำด้วยว่า โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตธานียังมุ่งเน้นให้บริการภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยของลูกค้า ด้วยการันตีภายใต้สัญลักษณ์ SHA หรือ Amazing Thailand Safety & Health Administration โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อีกทั้งยังมอบบริการ “ดุสิตแคร์” บริการตอบรับวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เน้นเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจและปลอดภัยที่จะเข้าใช้บริการ อาทิเช่น สามารถเข้าเช็คอินและเลือกรับอาหารเช้าในเวลาที่ลูกค้าสะดวก, บริการเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและของว่างฟรีในห้อง, วิธีการชำระเงินผ่านมือถือ, การฆ่าเชื้อความสะอาด เพิ่มระยะห่าง และลดการสัมผัส, บริการช้อปปิ้งส่วนตัวในการจัดหาอาหารหรือของฝากที่มีชื่อเสียง รวมถึงมอบชุดป้องกันส่วนบุคคลแบบพกพา เช่น เจลล้างมือและหน้ากาก ให้กับลูกค้าของโรงแรม โดยยังคงรักษามาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขภาพอย่างเข้มข้นเหมือนเช่นที่ผ่านมา ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-521597
Person read: 2049
15 September 2020
การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (15 ก.ย.63) ดัชนี SET Index ปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 1,278.54 จุด ปรับขึ้น +6.20 จุด หรือคิดเป็น +0.49% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 19,091 ล้านบาท เคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,274.62-1,279.79 จุด โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด ได้แก่ CPF AOT และ PTT ขณะที่ดัชนี SET50 ปรับขึ้น +4.02 จุด คิดเป็น +0.49% อยู่ที่ 822.45 จุด โดยมีมูลค่าซื้อขายรวม 8,840 ล้านบาท คิดเป็นราว 46.30% ของมูลค่าซื้อ-ขายในตลาด SET 10 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าซื้อ-ขายสูงสุด 1. CPF : 1,134.10 ล้านบาท ราคา +1.00 บาท (+3.45%) 2. AOT : 947.42 ล้านบาท ราคา +1.00 บาท (+1.72%) 3. PTT : 901.84 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 4. JMART : 794.51 ล้านบาท ราคา +1.30 บาท (+9.42%) 5. PTTEP : 660.32 ล้านบาท ราคา +1.75 บาท (+2.11%) 6. ASIAN : 557.94 ล้านบาท ราคา +0.50 บาท (+4.50%) 7. STGT : 549.11 ล้านบาท ราคา +0.75 บาท (+1.09%) 8. CBG : 419.40 ล้านบาท ราคา -0.50 บาท (-0.45%) 9. SUPER : 394.57 ล้านบาท ราคา +0.03 บาท (+3.61%) 10. OSP : 356.29 ล้านบาท ราคา -0.75 บาท (-2.01%) ดัชนี mai ปรับขึ้น +2.84 จุด หรือ +0.93% ในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ระดับ 309.71 จุด มูลค่าซื้อขาย 1062.44 ล้านบาท หมายเหตุ: ข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โปรดตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-521590
Person read: 2076
15 September 2020
ผู้บริหารเซ็นทรัล ปรับ “เซ็นทรัลกาดสวนแก้ว” เป็น “เซ็นทรัลเอาต์เล็ต” ชี้เล็งเห็นศักยภาพธุรกิจค้าปลีก รองรับผู้บริโภคภาคเหนือ วันที่ 15 กันยายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางณัฐธีรา จิราธิวัฒน์ บุญศรี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นศักยภาพของธุรกิจค้าปลีกทางภาคเหนือ จึงตัดสินใจเปลี่ยน “ห้างเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว” เป็น “ห้างเซ็นทรัลเอาต์เล็ต (CENTRAL OUTLET)” พร้อมวางโพซิชั่นให้เป็นจุดหมายใหม่ของนักช้อปในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรองรับผู้บริโภคทั้งชาวเชียงใหม่และจังหวัดอื่นๆ ในภาคเหนือ สำหรับไฮไลท์ที่จะเกิดขึ้น นางณัฐธีรา กล่าวว่า จะมีส่วนลดสูงสุดถึง 90% พร้อมยกทัพสินค้าทั้งแบรนด์ไทย อินเตอร์แบรนด์ ครบครันสินค้าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น สินค้าแฟชั่น, เครื่องสำอาง, ชุดชั้นใน, สินค้าสปอร์ต, อุปกรณ์เครื่องใช้ครัวเรือน รวมถึงสินค้าเด็ก “เชื่อว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการจับจ่าย เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ ให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น” นางณัฐธีรา กล่าว ก่อนหน้านี้ กลุ่มเซ็นทรัลรีเทล หรือ CRC ได้เปลี่ยน “ห้างโรบินสัน เมกาบางนา” เป็น “ห้างเซ็นทรัล เมกาบางนา” เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในย่านบางนา-ตราด โดยเปิดให้บริการในวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ เมื่อ 24 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ยังได้ประกาศปิด “ห้างเซ็นทรัลสาขาหาดใหญ่” ซึ่งเป็นห้างเซ็นทรัลสาขาแรกในภาคใต้ โดยเปิดให้บริการมากว่า 26 ปี (พ.ศ. 2537-2563) CRC ส่งห้าง “เซ็นทรัล เมกาบางนา” แทนที่ “โรบินสัน” เริ่ม 2 ก.ค. นี้ ปิดฉาก “เซ็นทรัลหาดใหญ่” สาขาแรกในภาคใต้ 24 สิงหาคมนี้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-521584
Person read: 2155
15 September 2020
รุกหนัก - แอลเอ เตรียมเปิดตัวจักรยานไฟฟ้าไลน์อัพใหม่ เน้นชูจุดขายด้านคุณภาพจากการออกแบบและผลิตเอง รวมถึงความหลากหลายของสินค้า “แอลเอ” มั่นใจเทรนด์จักรยานไฟฟ้ามาแน่ ลั่นขอลุยปลุกตลาดรอบใหม่เตรียมส่งทัพจักรยานไฟฟ้าออกแบบ-ผลิตเองลงตลาดปี 2564 พร้อมอาศัยโนว์ฮาวฐานะผู้ผลิตส่งออกหนุนจุดขาย ด้านคุณภาพ-บริการหลังการขาย รับมือคลื่นสินค้าจีน ตั้งเป้าเจาะลูกค้าระดับกลาง นายสุรสิทธิ์ ติยะวัชรพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอล เอ ไบซิเคิ้ล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายจักรยานแบรนด์ “แอลเอ” เปิดเผยถึงสถานการณ์ของตลาดจักรยานในภาพรวมกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาตลาดจักรยานผันผวนสูง โดยในช่วงปี 2558-2559 จักรยานได้รับความนิยมสูงมากจนถึงกระทั่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดจักรยานในประเทศซบเซาลง เนื่องจากธุรกิจจักรยานให้เช่าในจีนเสื่อมความนิยมลง ทำให้ยอดสั่งซื้อทั่วโลกลดลง ขณะเดียวกัน คลื่นจักรยานจากจีนจำนวนมากถูกส่งออกมาขายยังประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยในราคาถูก กระทบกับผู้ผลิตในประเทศและบริษัทอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ปีนี้ตลาดเริ่มกลับฟื้นตัวขึ้นมาและมีดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังผู้บริโภคในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐ และยุโรป หันมาเดินทางด้วยจักรยานเพราะตอบโจทย์การเว้นระยะห่าง โดยเฉพาะจักรยานไฟฟ้าที่เป็นเทรนด์มาแรง นอกจากตอบโจทย์การเดินทางแล้วยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้บริโภคในหลายประเทศสนใจและเชื่อว่ากระแสนี้จะช่วยสร้างดีมานด์จักรยานไฟฟ้าในไทยด้วยเช่นกัน สำหรับทิศทางของบริษัทจากนี้ไปได้วางกลยุทธ์เพื่อชิงความได้เปรียบรองรับกระแสจักรยานไฟฟ้า โดยได้เตรียมเปิดตัวจักรยานไฟฟ้าไลน์อัพใหม่ในปี 2564 ที่จะถึงนี้ เน้นชูจุดขายด้านคุณภาพจากการออกแบบและผลิตเองเกือบ 100% ยกเว้นเพียงมอเตอร์และแบตเตอรี่เท่านั้น รวมถึงความหลากหลายของสินค้า พร้อมกับบริการหลังการขายเต็มรูปแบบทั้งการรับประกันสินค้าและบริการซ่อมที่ถือเป็นเรื่องสำคัญของจักรยานไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยสร้างความแตกต่างจากจักรยานนำเข้าจากจีนที่ไม่มีทั้ง 2 บริการนี้ได้ ขณะเดียวกัน ก็จะอาศัยความเชี่ยวชาญของโรงงานในฐานะที่เป็นผู้รับจ้างผลิตจักรยานไฟฟ้าและส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและยุโรป รวมถึงการหาซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนทั้งมอเตอร์และแบตเตอรี่ในราคาเหมาะสมมาชดเชยกับอัตราภาษีนำเข้าที่ค่อนข้างสูง โดยวางราคาสินค้าในระดับประมาณ 3 หมื่นบาทเพื่อจับผู้บริโภคระดับกลาง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจักรยานไฟฟ้ายังมีข้อจำกัดหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาษีนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่ที่ต้องเสียในอัตราสูงถึง 35-40% ทำให้ราคาจักรยานสูงหรือระดับราคาประมาณ 2 หมื่นบาท ทำให้ผู้บริโภคจับต้องได้ยาก, การมีจักรยานไฟฟ้านำเข้าจากจีนมาขายในราคาต่ำ รวมถึงความไม่ชัดเจนทางกฎหมายว่าการขับขี่จักรยานไฟฟ้าจะต้องมีใบอนุญาตหรือไม่ ทำให้เกิดปัญหาด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ดังนั้น การปลุกตลาดอาจจะต้องใช้เวลาอีกสัก 2-3 ปีที่กระแสความนิยมจะมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็จะเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในธุรกิจรับจ้างผลิตจักรยานไฟฟ้าส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ช่องว่างที่เกิดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ทำให้ซัพพลายเออร์หลาย ๆ รายต้องเร่งหาแหล่งผลิตที่อยู่นอกประเทศจีน เพื่อเข้ามารองรับดีมานด์ดังกล่าวโดยบริษัทมีแผนจะให้ความสำคัญกับการเข้าร่วมงานแฟร์ด้านอุตสาหกรรมจักรยานในประเทศต่าง ๆ มากขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องรอให้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายก่อน “ตอนนี้ในแง่ของการส่งออกจักรยานไฟฟ้ามีแนวโน้มดีมาก โดยเฉพาะการมีโอกาสส่งออกไปยุโรปและอเมริกา ประกอบกับบริษัทได้รับสิทธิส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ จึงได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าแบตฯ คาดว่าปีหน้าตัวเลขการส่งออกจักรยานไฟฟ้าจะมีสัดส่วนมากขึ้น อาจมากถึง 60% ของการส่งออกทั้งหมดของบริษัท” นายสุรสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ส่วนจักรยานธรรมดาตลาดในประเทศก็ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าจักรยานในลักษณะตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงจักรยานเลียนแบบจากจีนที่นำเข้ามาขายในราคาถูกกว่ารุ่นเดียวกันของบริษัทถึงระดับ 1,000 บาท ซึ่งกระทบกับโครงสร้างราคาสินค้าในตลาด เนื่องจากปัจจุบันการนำเข้าจักรยานจากจีนไม่ต้องเสียภาษีตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนฉบับใหม่ 2560 โดยจักรยานสองล้อสำหรับแข่งขัน จักรยานเด็ก และจักรยานสองล้ออื่น ๆ ได้รับการยกเว้นอากรนำเข้า บริษัทจึงต้องรับมือด้วยการย้ำจุดแข็งในแง่ของคุณภาพและการบริการ รวมถึงชูไลน์อัพจักรยานที่เป็นลายแคแร็กเตอร์การ์ตูนมาทำตลาด เช่น เฮลโลคิตตี้ ซึ่งบริษัทถือลิขสิทธิ์ผลิตแต่เพียงผู้เดียวในไทยและอาเซียนผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลเน็ตเวิร์ก ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-521477
Person read: 1988
15 September 2020
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ในวาระ 2-3 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 16-17 กันยายนนี้ 1 ในไฮไลต์หนีไม่พ้น “งบกองทัพ” แม้กองทัพเรือจะถอยทัพ ผลักดันประเด็นร้อนเรือดำน้ำไปแล้ว แต่งบกองทัพในก้อนเงินงบประมาณ 2564 ยังถูกตัดงบมากที่สุดในบรรดา หน่วยขอรับงบประมาณ 28 หน่วยงาน สูงถึง 7,788,500,000 บาท จากที่ขอไปตอนต้น 115,528,646,800 บาท เหลือ 107,740,146,800 บาท แกะไส้ในงบกองทัพ ที่ถูกตัดไปแบ่งได้ดังนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถูกตัดงบลงทุกแผนงาน โดยแผนงานของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมที่ถูกตัดงบไป อาทิ แผนงานพื้นฐานด้านความมั่นคง ซึ่งมีผลผลิต คือ การดำรงสภาพความพร้อมในการป้องกันประเทศ ทั้งค่าสาธารณูปโภค งบลงทุนในค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง แผนงานการสนับสนุนการถวายความปลอดภัยสถาบันพระมหากษัตริย์และปฏิบัติตามพระราชประสงค์ แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ และความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ แผนงานยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนด้านความมั่นคง รวมทั้งหมดจากที่ขอไป 5,750,152,100 บาท ถูกตัดไป 215,000,000 บาท เหลือ 5,535,152,100 บาท – ขณะที่ “กองทัพบก” เป็นเหล่าทัพที่ของบมากที่สุด คือ 48,708,933,500 บาท แต่ถูกหั่นงบทิ้งไป 1,667,000,000 บาท เหลือ 47,041,933,500 ขีดเส้นใต้งบกองทัพบกที่ถูกตัด เช่น แผนงานพื้นฐานด้านความมั่นคง ของบไว้ 14,919,604,800 บาท ถูกตัดไป 211,000,000 บาท เหลือ 14,708,604,800 บาท ซึ่งในแผนงานดังกล่าวแบ่งเป็นงบครุภัณฑ์ งบลงทุนก่อสร้าง ปรับปรุงอาคารสถานที่ต่างๆ ในกองทัพ ขณะที่การจัดซื้ออาวุธ อยู่ในแผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ และความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทกุ มิติ ของบไว้ 29,784,672,200 บาท แต่ถูกตัดไป 1,456,000,000 บาท เหลือ 28,328,672,200 บาท ในเงินก้อนนี้รวมถึงโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ ขอไป 3,131,611,000 บาท ถูกตัดไป 250,133,000 บาท เหลือ 2,881,478,000 บาท ข้ามฝั่งมากองทัพเรือ ที่มีประเด็นเรื่องงบจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ซึ่งที่สุดแล้วต้องถอยลอขอใช้งบไหม่ในงบประมาณปี 2565 ซึ่งครั้งนี้ของบไว้ 23,906,810,900 บาท แต่ถูกตัดไป 4,725,000,000 เหลือ 19,181,810,900 บาท แผนงานที่ถูกตัดงบไป คือ แผนงานพื้นฐานด้านความมั่นคง ขอไว้ 4,325,524,000 บาท ถูกลดไป 17,520,000 เหลือ 4,308,004,000 บาท ในส่วนแผนงาน : แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ และความพร้อม เผชิญภัยคุกคามทุกมิติ ขอไว้ 19,253,972,600 บาท ถูกตัดไป 4,677,074,900 เหลือ 14,576,897,700 ในงบก้อนนี้โฟกัสไปที่โครงการเสริมสร้างกำลังกองทัพที่ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ถูกขอไป 9,006,411,900 แต่ถูกปรับลด 4,625,000,000 แน่นอนว่าหนึ่งในนั้น “มันคืองบผูกพันจัดซื้อเรือดำน้ำ” ที่ถูกแขวนเอาไว้ นอกจากนี้ “กองทัพเรือ” ยังถูกตัด งบแผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไปอีก 30,405,100 บาท จากที่ขอไป 268,934,900 บาท มาถึง “กองทัพอากาศ” ของบไปทั้งสิ้น 26,940,076,200 บาท ถูกปรับลดไป 986,500,000 บาท เหลือ 25,953,576,200 บาท แผนที่ถูกลดคือ แผนงานพื้นฐานด้านความมั่นคง ของบไป 5,192,471,100 บาท ถูกตัดไป 91,582,900 บาท เหลือ 5,100,888,200 บาท ขณะที่แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ และความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ ขอไป 21,655,925,200 ถูกตัดไป 894,917,100 ลดเหลือ 20,761,008,100 บาท ในเม็ดเงินก้อนนี้ โครงการเสริมสร้างยุทโธปกรณ์ ถูกตัด 124,917,100 บาท และโครงการเสริมสร้างกําลังกองทัพทีผูกพันข้ามปีงบประมาณ 670,000,000 บาท ส่วนหน่วยงานอื่นของกองทัพ คือ กองบัญชาการกองทัพไทย ของบไว้ 9,626,078,200 บาท ถูกตัด 180,000,000 บาท เหลือ 9,446,078,200 บาท ถูกตัดงบไปทั้ง แผนงานพื้นฐานด้านความมั่นคง แผนงานยุทธศาสตร์ปองกันและแก้ไขปัญหา ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการก่อการร้าย แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ และความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ และแผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ของบไว้ 596,595,900 บาท ถูกปรับลด 15,000,000 บาท เหลือ 581,595,900 บาท สรุปแล้วงบกองทัพถูกลดไป 7,788,500,000 บาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-521455
Person read: 2138
15 September 2020
Photo by ANTHONY WALLACE / AFP เอดีบี เปิดรายงาน Asian Development Outlook 2020 Update วันนี้ (15 กันยายน 2563) ว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย คาดว่าจะหดตัวในปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบหกทศวรรษ หรือตั้งแต่ปี 2503 (ต้นทศวรรษ 1960s) ที่ร้อยละ 0.7 แต่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวในปีหน้าที่ร้อยละ 6.8 เนื่องจากภูมิภาคเริ่มฟื้นตัวจากหายนะทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส (COVID- 19) ในรายงานได้คาดการณ์การฟื้นตัวแบบรูปตัว “L” แทนที่จะเป็นตัว “V” และคาดว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคจะติดลบถึง 3 ไตรมาสในปี 2563 “ภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกคาดว่าจะเผชิญกับการเติบโตที่ยากลำบากในช่วงที่เหลือของปี 2563” นายยาซูยูกิ ซาวาดะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอดีบี กล่าว “ภัยคุกคามทางเศรษฐกิจอันเกิดจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ยังคงส่งผลกระทบ เนื่องจากการระบาดครั้งแรกที่ขยายออกไปหรือการระบาดซ้ำ ๆ อาจกระตุ้นให้มีการควบคุมการแพร่ระบาดเพิ่มเติม Photo by Noel CELIS / AFP ดังนั้น มาตรการที่ต่อเนื่องและการร่วมมือกัน เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด โดยลำดับความสำคัญของนโยบายไปที่การปกป้องชีวิตและการดำรงชีวิตของกลุ่มที่เปราะบางที่สุด จะทำให้พวกเขามั่นใจว่าสามารถกลับมาทำงานได้อย่างปลอดภัย และสามารถเริ่มต้นกิจกรรมทางธุรกิจได้ และนี่จะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทุกภาคส่วน และมีการเติบโตอย่างยั่งยืนในที่สุด” สาเหตุหลักของเศรษฐกิจที่หดตัวลงมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และความขัดแย้งด้านการค้าและเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อในปีนี้จนถึงปีหน้า รัฐบาลในแถบนี้ได้ใช้เงินทั้งหมด 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 15% เมื่อเทียบกับตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP) ในแถบเอเชีย เพื่อฟื้นเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ จีนเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ตัวเลขเศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการคาดการณ์ว่าปลายปีนี้จะขยายตัวขึ้น 1.8% และ 7.7% ในปีหน้า อย่างไรก็ตาม อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการปิดประเทศอย่างเคร่งครัด ตัวเลขจีดีพีหดตัวลงถึง -23.9% ในไตรมาสแรกของปี และคาดว่าจะหดตัวลงอีก 9% ตลอดทั้งปี เอดีบีรายงานเกี่ยวกับประเทศไทย แม้ว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ดี แต่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าว ส่งผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยรายงาน ADO ล่าสุดในวันนี้ คาดว่า GDP ในปีนี้จะหดตัวที่ร้อยละ 8.0 ซึ่งหดตัวมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายนที่หดตัวร้อยละ 4.8 สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.5 ปรับเพิ่มจากร้อยละ 2.5 ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายน อัตราเงินเฟ้อของไทยคาดว่าจะติดลบในปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 1.6 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะงักงัน การหดตัวสูงของราคาพลังงาน และเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ รวมถึงมาตรการรัฐบาลที่ช่วยลดค่าสาธารณูปโภคด้วย ก่อนจะปรับตัวเป็นบวกที่ร้อยละ 0.8 ในปีหน้า สำหรับปัจจัยเสี่ยงภายนอกยังคงเป็นสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในทั่วโลก การกีดกันทางการค้า และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่วนปัจจัยเสี่ยงภายใน ได้แก่ การกลับมาระบาดซ้ำของ COVID-19 ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือน Photo by Hector RETAMAL / AFP Photo by Hector RETAMAL / AFP ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/world-news/news-521499
Person read: 2074
15 September 2020
กองทุนรัฐบาลญี่ปุ่นตาโตจีบร่วมทุน “ศรีฟ้าเบเกอรี่” เมืองกาญจน์ หลังสร้างปรากฏการณ์ผลิต “ชีสเค้ก” สูตรเด็ดจาก “บริษัท GOYO FOODS” ญี่ปุ่น ส่งขายร้านเซเว่นฯทั่วประเทศ 24,000 ชิ้นต่อวัน คนตามล่าหาซื้อกันไม่พอขาย ทำวงการเบเกอรี่ญี่ปุ่นตะลึง หลายรายสนใจเข้ามาลงทุนขยายตลาดในไทย ด้าน “ศรีฟ้า” เผยตั้งเป้าอีก 5 ปี ผงาดขึ้น top 3 วงการเบเกอรี่ไทย พร้อมนำโรงงานผลิตแป้งโดจ์ “อาร์ต ออฟ เบคกิ้ง” ที่ผนึกกับยักษ์ “เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป” ประกาศท้ารบชิงส่วนแบ่งตลาดในภูมิภาคอาเซียน นายพีรวัส เจนตระกูลโรจน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ศรีฟ้า โฟรเซนฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเบเกอรี่ ทองม้วน และโฟรเซน ภายใต้แบรนด์ศรีฟ้าและสุธีรา จ.กาญจนบุรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ยอดขายชีสเค้กซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ร่วมพัฒนาสูตรกับบริษัท GOYO FOODS จากญี่ปุ่นเพิ่งวางขายในร้านเซเว่นฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 ยอดขายแรงเกินคาด จากที่คาดการณ์ไว้เพียง 5,000-6,000 ชิ้นต่อวัน พุ่งขึ้นไปมากกว่า 24,000 ชิ้นต่อวัน คาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้ยอดขายรวมของบริษัทน่าจะดีกว่าปี 2562 กว่า 10% แม้ช่วงไตรมาส 2 ยอดขายตกไป 40% แต่ยอดขายชีสเค้กที่พุ่งขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถครอบคลุมรายได้ที่สูญเสียไป ทั้งนี้ ก่อนสถานการณ์โควิด-19 ตั้งเป้ายอดขายปี 2563 ไว้ที่ 800 ล้านบาท “ชีสเค้กถือว่าประสบผลสำเร็จเกินขาด และถือเป็นสินค้ารายการเดียวที่ทำรายได้สูงที่สุดกว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่เคยผลิตมาจากสินค้าทั้งหมด 500 กว่าตัว ถือเป็นประวัติศาสตร์ของบริษัทศรีฟ้าฯที่ดำเนินธุรกิจทำขนมมา 30 กว่าปี ผมว่าตัวนี้น่าจะมีรายได้ 20% ของรายได้รวม นอกจากนี้ บริษัทศรีฟ้าฯมีรายได้จากการรับจ้างผลิต (OEM) สินค้าและคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้แบรนด์ผู้ว่าจ้างทุกเดือน เช่น เทสโก้ โลตัส แม็คโคร และไมเนอร์ ฟู้ด ฯลฯ” โรงงานแป้งโดจ์ชะงัก วิศวกรมาไม่ได้ ส่วนโรงงานในเครือบริษัท อาร์ต ออฟ เบคกิ้ง ซึ่งร่วมทุนกับบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ทำโรงงานผลิตโฟรเซนโดจ์ และสินค้ากลุ่มเบเกอรี่อบสดและแซนด์วิชพร้อมรับประทาน บริษัทศรีฟ้าฯลงทุนไป 150 ล้านบาท เพิ่งเปิดดำเนินการเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เดิมคาดการณ์จะมีรายได้ปีนี้ประมาณ 400 ล้านบาท แต่มาเจอโควิด-19 ส่งผลให้เครื่องจักร 2 ตัวที่ซื้อมาจากยุโรปติดตั้งแล้ว แต่วิศวกรที่จะมาสอนการใช้เครื่องยังบินมาไม่ได้ ทั้งที่มีลูกค้ารออยู่แล้ว ทำให้โรงงานที่มีไลน์ผลิตหลัก ๆ อยู่ 3 ไลน์ แต่สามารถเดินเครื่องได้เพียง 1 ไลน์ ต้องสูญเสียรายได้ไปกว่า 4 เดือน ตกเดือนละประมาณ 6-7 ล้านบาท “เรายังรอความชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะต้องขออนุญาตยังไงให้วิศวกรเข้ามา ใช้ใบรับรองอะไรบ้าง ต้องกักตัว 14 วันหรือไม่ เราคุยกับหุ้นส่วนบอกเรื่องที่จะให้วิศวกรเข้ามาทันทีที่สามารถทำได้ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถทำได้สะดวก เป็นหนึ่งในความเครียด เพราะเราลงทุนไปแล้ว จากกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ระยอง ทำให้นโยบายที่จะให้นักธุรกิจต่างชาติเดินทางเข้ามาได้ต้องถูกชะลอช้าออกไป 5 ปีตั้งเป้า Top 3 เบเกอรี่ไทย นอกจากนี้ ภายใน 5 ปีตนและนายวิเชียร เจนตระกูลโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทศรีฟ้าฯตั้งเป้าจะขึ้นไปยืนอยู่อันดับ 1 ใน 3 ของอุตสาหกรรมผลิตเบเกอรี่ของประเทศไทย ด้วยยอดขายรวม 2 โรงงาน ประมาณ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทศรีฟ้าฯประมาณ 800 ล้านบาท และบริษัท อาร์ต ออฟ เบคกิ้ง จำกัด ประมาณ 1,200 ล้านบาท “จริง ๆ ผมมองตั้งแต่สร้างอาร์ต ออฟ เบคกิ้ง เพราะเครื่องจักรมีกำลังการผลิตสูงมากกว่าศรีฟ้า 6-7 เท่า ยกตัวอย่างครัวซองต์ชิ้นเล็ก ผลิตได้ 10,000 ชิ้นต่อชั่วโมง ดังนั้น ภายใน 12 ชั่วโมงต่อวัน ผลิตได้ 120,000 ชิ้นต่อวัน, แผ่นแป้งตอร์ติญ่า (Tortillas) ผลิตได้ 6,500 แผ่นต่อชั่วโมง ผลิตได้เกินความต้องการบริโภคในประเทศไทย พร้อมขึ้นไปเทียบชั้นกับผู้ผลิตในระดับภูมิภาค บริษัทจะเริ่มแผนพัฒนาธุรกิจร่วมกับคู่ค้าจากนานาประเทศทันทีที่สถานการณ์อำนวย เรามีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยต่อหน่วยต่ำ ใช้แรงงานคนน้อยมาก ทำให้ราคาสินค้าอยู่ในจุดที่สามารถแข่งขันได้ โดยกำลังการผลิตหลักจะป้อนให้ บมจ.ไมเนอร์ฯ 40% ส่วนกำลังผลิตอีก 60% จะไปขายลูกค้าข้างนอก” ส่งออกชะลอพุ่งเป้าตลาดใน นายพีรวัสกล่าวต่อไปว่า หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้บริษัทปรับเปลี่ยนพลวัตโฟกัสกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2563 ไปถึงปี 2564 มุ่งเน้นทำตลาดภายในประเทศมากขึ้น พัฒนาสินค้าที่ดีและอยู่ในกระแส ตั้งราคาให้เป็นมิตรและเลือกช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง “แนวโน้มการบริโภคเบเกอรี่ของคนไทยยังเพิ่มขึ้นอีก คนต่างจังหวัดเริ่มบริโภคแซนด์วิช คนภาคอีสานและภาคใต้เริ่มบริโภคแป้งสาลีเป็นอาหารหลัก” ขณะที่ตลาดส่งออกยังไม่ค่อยแน่นอน เช่น บางประเทศที่ส่งออกยังมีโควิดระบาด การบริโภคน้อย เช่น ทองม้วนแบรนด์สุธีราส่งออกไปตลาดจีนมา 10 ปีแล้ว ช่วงโควิด-19 ออร์เดอร์หาย แต่ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น จีนเริ่มสั่งออร์เดอร์เข้ามา ส่วนตลาดสายการบินในญี่ปุ่นหายไปเลย เนื่องจากลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทฟู้ดเซอร์วิสที่ขายวัตถุดิบอาหารให้กับสายการบินที่ประเทศญี่ปุ่นหยุดการสั่งซื้อตั้งแต่เกิดโควิด ขยายสาขา-แตะเบรกเข้า ตลท. นายพีรวัสกล่าวต่อไปว่า การขยายสาขาร้านศรีฟ้าเบเกอรี่ ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เพิ่มยอดขายตลาดภายในประเทศช่วงโควิดที่รอดมาได้ส่วนหนึ่ง เพราะยอดขายสาขานำเงินสดมาให้ถึงจะติดลบแต่ยังขายได้ ปัจจุบันมี 8 สาขา ท่าเรือ กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี ศูนย์ของฝากท่าม่วง ศาลายา วังสารภี และสาขาพลับพลาไชย กทม.ถือเป็นสาขาใหม่สาขาแรกที่ กทม.เพิ่งเปิดเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2563 ทั้งนี้ การเลือกทำเลเปิดสาขาเน้นขายคนในชุมชนทำสินค้าคุณภาพดี ราคาย่อมเยา ส่วนร้านสุธีราที่เปิดขายทองม้วน 3 สาขา ได้แก่ บริเวณวันนิมมาน จ.เชียงใหม่, เดอะมาร์เก็ต ข้างบิ๊กซี ราชประสงค์ และเอเชียทีค ตอนนี้ปิดไป 2 สาขา เหลือเชียงใหม่เพียงสาขาเดียว เพราะเป้าหมายของร้านสุธีราเป็นลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งจีน เกาหลี ตะวันออกกลาง แต่พอโควิดมาไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนแผนการเปิดขายแฟรนไชส์ยังมีความตั้งใจจะเปิดอยู่ แต่ขอพักไว้ก่อน รวมถึงแผนการนำบริษัทศรีฟ้าฯเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ชะลอออกไปก่อน รอช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพราะสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์โรคโควิด-19 ตอนนี้ไม่ดี และบริษัทต้องปรับปรุงเรื่องอัตรากำไรให้จูงใจนักลงทุน “ตอนนี้การวางแผนดำเนินธุรกิจผมว่ามองยาวไม่สำคัญเท่ากับมองสั้นแล้วแก้ปัญหา ปรับตัวได้เร็ว การดำเนินธุรกิจวันนี้ต้องวางแผนปีต่อปี ทั้งโรคระบาด เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไว ผมว่าการวางแผนระยะยาวหมดยุคแล้ว ถ้ามองยาว ๆ ต้องมองภาพใหญ่ว่าเราจะไปยืนอยู่ตรงจุดไหนของอุตสาหกรรม” แง้มกองทุนญี่ปุ่นจีบซื้อหุ้น นายพีรวัสกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาหลังจากร่วมพัฒนาสูตรชีสเค้กกับบริษัท GOYO FOODS จากเมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ทำให้มีบริษัทเบเกอรี่ในญี่ปุ่นรายอื่น ๆ สนใจมาร่วมลงทุนกับบริษัทศรีฟ้าฯ โดยเมื่อช่วงปลายปี 2562 มีกองทุนของรัฐบาลญี่ปุ่นมาคุยอยากจะมาซื้อหุ้นของบริษัทเพื่อมาขยายตลาดในประเทศไทย โดยมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพมากจึงอยากหาพาร์ตเนอร์ในประเทศไทย เพราะการส่งสินค้ามาจากญี่ปุ่นต้นทุนสูงสู้ราคาไม่ได้ โดยทางกองทุนญี่ปุ่นเสนอเงินลงทุนให้ตั้งโรงงานผลิตขึ้นมาใหม่อีก 1 โรง เพราะบริษัทบอกตอนนี้กำลังการผลิตของโรงงานเต็มที่แล้ว และอยากมาเยี่ยมชมโรงงานของศรีฟ้าฯในประเทศไทยมาก แต่ติดเรื่องโควิดยังเดินทางมาไม่ได้ “ล่าสุดผมเพิ่งคุยกับทางกองทุนญี่ปุ่นเมื่อเดือนที่ผ่านมา ทางญี่ปุ่นบอกอยากได้พาร์ตเนอร์ที่สามารถเป็น production hub ให้กับบริษัทผลิตขนมในญี่ปุ่น หากบริษัทญี่ปุ่นรายไหนอยากทำตลาดในประเทศไทยสามารถมาคุยกับเราได้เลย ให้เราผลิตและทำตลาดให้” นายพีรวัสกล่าว Q4 เร่งเสริมประสิทธิภาพโรงงาน สำหรับปี 2563 ไม่มีแผนการลงทุนใหญ่ เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมาได้ใช้เงินลงทุนไปค่อนข้างมาก ในส่วนบริษัทศรีฟ้าฯมีการซื้ออุปกรณ์มาเสริมความสามารถในการผลิตประมาณ 40 ล้านบาท และรีโนเวตสาขาของศรีฟ้าเบเกอรี่ประมาณ 10 กว่าล้านบาท รวมกันปี 2562 ใช้เงินไปประมาณ 200 กว่าล้านบาท ปีนี้บริษัทวางแผนใช้ประโยชน์และดูแลการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และรักษาคุณภาพกับลูกค้าที่ค้าขายในปัจจุบันให้ได้มากที่สุด อนึ่ง บริษัท ศรีฟ้า โฟรเซนฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเบเกอรี่ ทองม้วน และโฟรเซน ภายใต้แบรนด์ศรีฟ้าและสุธีรา จังหวัดกาญจนบุรี ดำเนินกิจการมา 34 ปี และเมื่อปี 2562 ได้ร่วมทุนกับบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทอาร์ต ออฟ เบคกิ้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ด้วยทุนจดทะเบียน 310,000,000 บาท ตั้งโรงงานผลิตโฟรเซนโดจ์ที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 ได้เซ็นสัญญากับบริษัท GOYO FOODS ผู้ผลิตชีสเค้กต้นตำรับจากเมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น แต่งตั้งบริษัทศรีฟ้าฯให้เป็นผู้ผลิตเบเกอรี่ของบริษัทแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-521463
Person read: 3913
15 September 2020
เปิดเงื่อนไข และวิธีสมัครกู้เงิน “สินเชื่อเสริมพลังฐานราก” หลังจาก ธนาคารออมสิน เปิดให้ประชาชนเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ วงเงินสูงสุด 50,000 บาท โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน หลังจาก ครม. มีมติเห็นชอบวงเงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยยังมีวงเงินสินเชื่อเหลืออยู่ราว 1.8 หมื่นล้านบาท ธนาคารออมสิน จึงได้ปรับปรุงโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก ซึ่งทำให้มีหลักเกณฑ์ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับบุคคลทั่วไป โครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก จะปล่อยเงินกู้วงเงินสูงสุด 5 หมื่นบาท ต่อราย โดยคิดดอกเบี้ยที่อัตรา 0.35% ต่อเดือน (flat rate) โดยมีระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 3 ปี และไม่ต้องชำระเงินต้น-ดอกเบี้ย ในช่วง 6 เดือนแรก เงื่อนไขกู้เงิน ใครมีสิทธิ์กู้บ้าง: ผู้มีรายได้ประจำ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และบุคคลในครอบครัว ผู้มีรายได้ประจำ อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 60 ปี ผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ ต้องไม่เกิน 70 ปี สัญชาติไทย มีถิ่นที่อยู่แน่นอนที่สามารถติดต่อได้ ไม่เป็นลูกจ้าง หรือ พนักงานธนาคารออมสิน ไม่เป็นผู้ที่ได้รับรายได้ประจำจากหน่วยงานภาครัฐ-รัฐวิสาหกิจ วัถตุประสงค์ของการกู้เงิน: เพื่อดำรงชีพ เพื่อลงทุน หรือหมุนเวียนในกิจการ วงเงินกู้: สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระ: สูงสุดไม่เกิน 3 ปี การชำระหนี้: ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน หลักประกัน: ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ หรือบุคคลค้ำประกัน วิธีสมัครขอสินเชื่อพลังฐานราก ลงทะเบียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของธนาคารออมสิน และทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้ โดยเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ดังนี้ 1. สำหรับ ผู้ประกอบการรายย่อย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน ใบเปลี่ยนชื่อสกุล (ถ้ามี) ของผู้กู้และคู่สมรส เอกสารแสดงสถานภาพ เช่น สำเนาใบสำคัญการสมรส (ถ้ามี) สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกธนาคารออมสิน / บัญชีเงินฝากพื้นฐาน เอกสารแสดงรายได้เดือนล่าสุด เช่น บัญชีรายรับ-รายจ่าย ประมาณการรายได้ เป็นต้น ไม่ต้องตรวจกิจการ 2. สำหรับ ผู้มีรายได้ประจำ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน ใบเปลี่ยนชื่อสกุล (ถ้ามี) ของผู้กู้และคู่สมรส เอกสารแสดงสถานภาพ เช่น สำเนาใบสำคัญการสมรส (ถ้ามี) สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกธนาคารออมสิน / บัญชีเงินฝากพื้นฐาน เอกสารแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน / หลักฐานการรับเงินเดือน เดือนล่าสุด เอกสารแสดงการเดินบัญชี (Statement) เดือนล่าสุด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-521448
Person read: 1994
15 September 2020
อัดงบฯ กลางปี - กทม.เพิ่มงบฯกลางปี'63 พัฒนาโครงการสำคัญทั้งด้านโยธา สาธารณสุข การศึกษา ระบายน้ำ การจราจร เช่น ปรับปรุงทางต่างระดับรัชวิภา รายได้พลาดเป้า “กทม.” ดึงเงินสะสมจ่ายขาด วงเงิน 2,570 ล้าน ให้ 8 สำนัก 13 เขต เดินหน้าพัฒนาโครงการสำคัญ ทั้งด้านโยธา จราจร การศึกษา ระบายน้ำ สาธารณสุข ลุยซ่อมสร้างถนน-อุโมงค์-สะพานทั่วกรุง ผุดอาคารจอดรถใต้ดินบริเวณสนามม้านางเลิ้งเก่า ขนาด 3 ชั้น จอดได้ 600-700 คัน รองรับประชาชน นักท่องเที่ยว แหล่งข่าวจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปี 2563 คาดการณ์ว่าจะจัดเก็บรายได้ 68,000 ล้านบาท ลดลง 15,000 ล้านบาท จากประมาณการเดิม 83,000 ล้านบาท แยกเป็นรายได้ที่ กทม.จัดเก็บเอง 10,500 ล้านบาท และส่วนราชการอื่นจัดเก็บให้ 57,500 ล้านบาท เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี มีการระบาดของโรคโควิด-19 และเลื่อนจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไปถึงเดือน ต.ค.นี้ และปรับลดอัตราจัดเก็บลง 90% ทำให้ กทม.มีรายได้ลดลง “การประมาณการรายได้ต้องทำล่วงหน้า 2 ปี ซึ่งของปี 2563 ทำข้อมูลตั้งแต่ปี 2561 ภายใต้เงื่อนไขว่าจะมีรายได้จากภาษีที่ดินและเป็นสถานการณ์ปกติ ขณะนี้เก็บภาษีที่ดินได้แล้ว 1,100 ล้านบาท ภาษีโรงเรือนที่เก็บย้อนหลังอีก 1,500 ล้านบาท ภาษีอื่น ๆ เช่น ภาษีป้ายก็ลดเหลือ 800 ล้านบาท จากเป้าเดิม 1,000 ล้านบาท” ดึงเงินสะสมมาใช้ 2.5 พันล้าน แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ปัจจุบัน กทม.นำเงินสะสมที่กันสำรองไว้ใช้จ่ายตามกฎหมายมีอยู่ 38,131.23 ล้านบาท เพื่อขอจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมปี 2563 จำนวน 2,570.06 ล้านบาท ซึ่งสภา กทม.อนุมัติและออกเป็นข้อบัญญัติ กทม. และมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจาก กทม.มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการโยธาและระบบจราจร ด้านการศึกษา ด้านการระบายน้ำ บำบัดน้ำเสีย และแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ด้านสาธารณสุข และด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ส่งเสริมความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง จัดสรรให้ 8 สำนัก 13 เขต สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณ จำแนกเป็น 1.สำนักการแพทย์ 117.52 ล้านบาท 2.สำนักอนามัย 23.54 ล้านบาท 3.สำนักการศึกษา 236.06 ล้านบาท 4.สำนักการโยธา 894.58 ล้านบาท 5.สำนักการระบายน้ำ 152.5 ล้านบาท 6.สำนักเทศกิจ 39.7 ล้านบาท 7.สำนักการจราจรและขนส่ง 313.76 ล้านบาท 8.สำนักสิ่งแวดล้อม 337.91 ล้านบาท 9.สำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว 98.91 ล้านบาท 10.สำนักพัฒนาสังคม 21.69 ล้านบาท ยังจัดสรรให้สำนักงานเขต 13 เขต ได้แก่ เขตพระนคร 25.98 ล้านบาท บางเขน 11.93 ล้านบาท มีนบุรี 63.58 ล้านบาท ลาดกระบัง 44.63 ล้านบาท หนองจอก 23.13 ล้านบาท บางขุนเทียน 46.75 ล้านบาท ลาดพร้าว 8.37 ล้านบาท ดินแดง 11.61 ล้านบาท บางแค 26.33 ล้านบาท คันนายาว 9.49 ล้านบาท คลองสามวา 31.77 ล้านบาท ทุ่งครุ 27.42 ล้านบาท และบางบอน 2.82 ล้านบาท “โครงการสำคัญ เช่น สำนักการระบายน้ำ มีแผนงานจัดการระบายน้ำและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม 110.9 ล้านบาท สำนักสิ่งแวดล้อม มีงานรักษาความสะอาด 170.07 ล้านบาท การจัดมูลฝอย 70 ล้านบาท จัดการมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล 100 ล้านบาท” การก่อสร้างอาคารจอดรถใต้ดิน บริเวณสนามม้านางเลิ้งเดิม ซ่อมสร้างถนน-สะพาน 894 ล้าน แหล่งข่าวจากสำนักการโยธากล่าวเพิ่มเติมว่า งบประมาณ 894 ล้านบาท ที่ได้รับเพิ่มเติม มีโครงการก่อสร้างสำคัญ เช่น งานวิศวกรรมทาง วงเงิน 245.06 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสำรวจออกแบบก่อสร้างถนน สะพาน สิ่งสาธารณประโยชน์ ปรับปรุงซ่อมแซมบูรณะสะพานให้สะดวกปลอดภัยในการคมนาคม เช่น ปรับปรุงอุโมงค์ทางลอดแยกบางพลัด วงเงิน 94 ล้านบาท ปรับปรุงทางต่างระดับรัชวิภา วงเงิน 40.66 ล้านบาท ปรับปรุงสะพานข้ามทางแยกถนนพุทธมณฑลสาย 1 วงเงิน 7.8 ล้านบาท บริเวณแยกถนนพุทธมณฑลสาย 3 วงเงิน 12.9 ล้านบาท ปรับปรุงผิวจราจรพร้อมรอยต่อทางคู่ขนานลอยฟ้า 80 ล้านบาท งานโครงการก่อสร้างและบูรณะ วงเงิน 261.02 ล้านบาท เช่น ปรับปรุงผิวจราจรคันหินและทางเท้าถนนเพชรบุรี ช่วงยมราช-คลองแสนแสบ วงเงิน 81.68 ล้านบาท ปรับปรุงถนนเลียบคลองมอญช่วงคลองลำปลาทิว-ถนนทับยาว วงเงิน 111.23 ล้านบาท ปรับปรุงจุดกลับรถถนนราษฎร์อุทิศบริเวณโรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน วงเงิน 8.6 ล้านบาท ปรับปรุงผิวจราจรถนนพระรามที่ 3 ช่วงถนนเจริญกรุงถึงถนนเจริญราษฎร์ และปรับปรุงสะพานข้ามคลอง 5 แห่ง วงเงิน 59.45 ล้านบาท เป็นต้น สร้างที่จอดรถใต้ดินนางเลิ้ง ยังมีโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถใต้ดินและการก่อสร้างถังเก็บน้ำดิบใต้ดิน พื้นที่เขตพระราชฐาน 901 แลนด์ หรือนางเลิ้ง ทางด้านถนนสวรรคโลก จะผูกพันปี 2563-2565 มีค่าก่อสร้าง 1,965 ล้านบาท ในปี 2563 ได้รับ 388.5 ล้านบาท ปี 2564 จำนวน 792.75 ล้านบาท และปี 2565 จำนวน 783.75 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างออกแบบ เป็นอาคารจอดรถใต้ดินขนาด 3 ชั้น สามารถจอดได้ประมาณ 600-700 คัน คาดว่าจะเริ่มสร้างในปี 2564 แล้วเสร็จในปี 2566 เพื่อให้มีที่จอดรถอย่างเพียงพอและเหมาะสมในการใช้พื้นที่ดังกล่าว รายงานข่าวแจ้งว่า หลังสนามม้านางเลิ้ง ขนาดพื้นที่ 200 ไร่ ผู้เช่าเดิมได้ส่งคืนให้สำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์แล้ว ปัจจุบันกำลังล้อมรั้วเพื่อปรับปรุงพื้นที่ใหม่ มีหลายหน่วยงานที่กำลังดำเนินการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ในเบื้องต้นจะสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 9 พร้อมพื้นที่สวนสาธารณะให้ประชาชนใช้บริการ รวมถึงพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว จะมีก่อสร้างถนนภายในโครงการคล้ายกับสวนลุมพินี แต่จะมีการบริหารจัดการที่ดีกว่า ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-521444
Person read: 2050
15 September 2020
สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง คลังเคาะระฆังลงทุน “ซีเนียร์คอมเพล็กซ์-บ้านข้าราชการ” เฟสแรกกว่า 3 พันล้านบาท พร้อมสแกนที่ราชพัสดุทั่วประเทศเตรียมขยายโครงการ ดึง 3 แบงก์รัฐร่วมสนับสนุนสินเชื่อ “ธอส.” ยันปล่อยกู้ทั้ง “ผู้ซื้อ-ดีเวลอปเปอร์”ชูรายย่อยผ่อนต่ำ 3 ปีแรกแค่ 4.4 พันบาทต่อเดือน ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.12% ต่อปี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง โครงการบูรณาการสวัสดิการที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามา-ธนารักษ์ (ซีเนียร์คอมเพล็กซ์) และบ้านพักข้าราชการ ประจำปีงบประมาณ 2563 จำนวน 5 โครงการ รวมมูลค่าลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท สำหรับโครงการที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามา-ธนารักษ์ ได้ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินการขึ้นที่ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ บนที่ราชพัสดุเนื้อที่ 20 ไร่ ซึ่งจะสร้างจำนวน 900 ยูนิต (ห้อง) ยูนิตละ 2 ล้านบาท เพื่อให้สิทธิผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเข้าพักอาศัย พร้อมมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับสังคมสูงวัย เริ่มเปิดจองวันที่ 8 พ.ย.นี้ ผ่านเว็บไซต์กรมธนารักษ์ และในพื้นที่โครงการ ทั้งนี้ จะเริ่มก่อสร้างได้ต้นปี 2564 เข้าอยู่อาศัยได้ปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 ที่เหลือเป็นโครงการพัฒนาบ้านพักราชการและลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐอีก 4 โครงการ โดย 2 โครงการแรกอยู่ต่างจังหวัด ได้แก่ โครงการบ้านสวัสดิการกรมธนารักษ์บนที่ราชพัสดุ ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เนื้อที่ 31 ไร่ โดยสร้างเป็นบ้านเดี่ยว 80 หลัง ราคา 2 ล้านบาท และโครงการบ้านสวัสดิการในพื้นที่ จ.ชลบุรี บนที่ราชพัสดุ ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เนื้อที่ 46 ไร่ ซึ่งได้เปิดให้จองแล้ว ส่วนอีก 2 โครงการ เป็นการบูรณาการสวัสดิการที่พักอาศัยกับสถานที่ทำงานและศูนย์บริการของข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งธนารักษ์ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สร้างอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) ทำเลทอง ใจกลางกรุงเทพฯ 2 แห่ง คือ ย่านใกล้กับรถไฟฟ้าสถานีบางจาก และย่านใกล้กับรถไฟฟ้าสถานีช่องนนทรี แห่งละ 78 ห้อง ราคาห้องละ 999,999 บาท ซึ่งจะเริ่มเปิดจองในวันที่ 1 ก.ย.นี้ นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างสำรวจพื้นที่ราชพัสดุทั่วประเทศ เพื่อนำมาจัดทำโครงการที่พักอาศัยผู้สูงอายุเฟสต่อไปให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เบื้องต้นได้สำรวจพื้นที่ในจังหวัดใหญ่ ๆ ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา เชียงใหม่ เชียงราย และสงขลา เพื่อดำเนินการก่อสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งรูปแบบการก่อสร้างจะมีขนาดเล็กกว่าโครงการเฟสแรก โดยจะเริ่มทยอยทำบันทึกข้อตกลงได้ในปี 2654 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธอส.จะปล่อยสินเชื่อให้กับรายย่อยที่จะจองซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการดังกล่าว วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท รวมถึงปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่กรมธนารักษ์คัดเลือกมาก่อสร้างโครงการอีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงิน 3,000 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อที่ปล่อยให้กับรายย่อยในปีแรก คิดอัตราดอกเบี้ย 2.85% ต่อปี ปีที่ 2 คิดอัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี และปีที่ 3 คิดอัตราดอกเบี้ย 3.50% ต่อปี หรือเฉลี่ย 3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ย 3.12% ต่อปี ซึ่งจะทำให้ในช่วง 1-3 ปีแรก ผู้กู้ในโครงการนี้มีภาระผ่อนชำระต่อเดือนเพียง 4,400 บาท ส่วนปีที่ 4-5 ผ่อนชำระเดือนละ 5,500 บาท และปีที่ 6 เป็นต้นไป ผ่อนชำระเดือนละ 6,100 บาท โดยมีระยะเวลาการผ่อนชำระ 30 ปี ส่วนสินเชื่อที่ปล่อยให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯใน 1 ปีแรก จะคิดอัตราดอกเบี้ย 4% ปีที่ 2 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MLR-1 หรือเท่ากับ 4.75% โดยมีระยะเวลาการผ่อนชำระ 5 ปี ทั้งนี้ นอกจาก ธอส.ที่ปล่อยกู้ใน 2 โครงการนี้แล้ว ยังมีธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทยที่จะเข้ามาร่วมด้วย แต่ในรายละเอียดยังต้องไปหารือกันอีกครั้งก่อน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-507686
Person read: 2120
19 August 2020
จากการที่เด็กนักเรียนโรงเรียนต่างๆ หลายจังหวัด ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ด้วยการชู 3 นิ้วระหว่างเคารพธงชาติ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านอำนาจเผด็จการนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ได้ออกหนังสือ “ด่วนที่สุด” ถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)ทั่ว เรื่องการชุมนุมของนักเรียนในสถานศึกษา หนังสือดังกล่าว มีเนื้อหาว่า ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณามีมตีให้รับฟังความเห็นของนักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน และประชาชน สภาผู้แทนราษฎรได้จัดประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 ซึ่งที่ประชุมห็นว่าเพื่อเป็นการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 รับรองไว้ จึงขอความอนุเคราะห์พิจารณาสั่งการให้สถานศึกษาในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเปิดพื้นที่ให้สถานศึกษาดำเนินกิจกรรมในการแสดงความคิดเห็นภายได้หลักการและเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด โดยขอให้ผู้บริหารโรงเรียนคำนึงถึงการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและความปลอดภัยของนักเรียนโดยมิให้มีบุคคลภายนอกเข้าร่วมชุมนุม นั้น ในการนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ขอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการให้โรงเรียนในสังกัด เปิดพื้นที่ให้สถานศึกษาดำเนินกิจกรรมในการแสดงความคิดเห็นภายใต้หลักการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด โดยขอให้ผู้บริหารโรงเรียนคำนึงถึงการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและปลอดภัยของนักเรียนโดยไม่ให้มีบุคคลภายนอกเข้าร่วมชุมนุม โรงเรียนทั่วประเทศเดือด ชูสามนิ้ว-ผูกโบว์ขาว ไม่เอาเผด็จการ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/education/news-507860
Person read: 2119
19 August 2020
ครม. อนุมัติกฎกระทรวงออก-ต่อใบขับขี่ “รถยนต์-บิ๊กไบก์” ใหม่ เพิ่มสภาวะโรคเสี่ยง-ต้องผ่านการทดสอบ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ส.ค.2563 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. ….ที่แก้ไขเพิ่มเติมจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. …. ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ครม.เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. 2548 เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ รวมทั้งการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ รวมทั้งเพิ่มเติมข้อกำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะขับรถจักรยานยนต์ที่มีกำลังสูง (Big bike) ต้องผ่านการอบรมและทดสอบการขับรถตามที่อธิบดีประกาศกำหนดเป็นการเพิ่มเติม อันจะส่งผลให้สามารถช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน สร้างความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่และประชาชนผู้ใช้ถนนมิให้เกิดการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน และมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. 2548 2. ปรับปรุงเอกสารหลักฐานประกอบคำขอรับใบอนุญาตขับรถ 3. กำหนดเพิ่มเติมให้ใบรับรองแพทย์ที่จะนำมาใช้ประกอบการขอหรือต่อใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลต้องแสดงให้เห็นว่า ผู้ขอนอกจากไม่มีโรคประจำตัวแล้วยังไม่มีสภาวะของโรคที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่า อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ 4. กำหนดให้การขอต่อใบอนุญาตขับรถทุกกรณีต้องใช้ใบรับรองแพทย์ โดยใบรับรองแพทย์มีอายุใช้ได้ตามที่แพทย์ผู้รับรองกำหนด แต่หากแพทย์ไม่ได้กำหนดอายุไว้ ให้ใช้ได้ไม่เกิน 1เดือน นับแต่วันที่ออกใบรับรองแพทย์ 5. เพิ่มเติมอำนาจนายทะเบียนในการสั่งให้ผู้ขอรับหรือขอต่อใบอนุญาตขับรถต้องเข้ารับ การตรวจ และนำใบรับรองแพทย์มายืนยันความเหมาะสมในการขับรถเป็นหลักฐานประกอบการดำเนินการ 6. ยกเลิกการใช้บัตรอื่นที่ใช้แทนบัตรประจำตัวประชาชนภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน ภาพถ่ายบัตรอื่นที่ใช้แทนบัตรประจำตัวประชาชนและภาพถ่ายหรือสำเนาทะเบียนบ้านเป็นหลักฐานประกอบ คำขอรับใบอนุญาตขับรถ 7. เพิ่มเติมให้สามารถนำหลักฐานที่ออกโดยหน่วยงานที่กรมการขนส่งทางบกมอบหมายให้ดำเนินการอบรมมาใช้ประกอบการขอรับใบอนุญาตขับรถได้ 8. เพิ่มเติมข้อกำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะขับรถจักรยานยนต์ที่มีกำลังสูง (Big bike) ต้องผ่านการอบรมและทดสอบการขับรถตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีเป็นการเพิ่มเติม 9. กำหนดให้ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถของรถประเภทเดียวกันกับที่ขอรับใบอนุญาตซึ่งรัฐบาลของประเทศอื่นออกให้ต้องยังไม่สิ้นอายุ 10. เพิ่มเติมกรณีผู้ขอเป็นแรงงานต่างด้าวที่มีมติคณะรัฐมนตรีให้อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ ไม่มีสิทธิขอรับใบอนุญาตขับรถชนิดส่วนบุคคล 5 ปี นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) เปิดเผย”ประชาชาติธุรกิจ”ว่า ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ใน 120 วัน หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมี 2 เรื่องใหม่ที่เพิ่มเติม คือ 1.การเพิ่มสภาวะโรคที่เสี่ยงต่อการขับขี่รถยนต์ โดยจะหารือกับแพทย์สภากำหนดโรคเพื่อใส่ไว้ในกฎกระทรวงและผู้ที่จะมาต่อใบอนุญาตหรือขอออกใบอนุญาตจะต้องมีใบรับรองแพทย์จากโรคดังกล่าวด้วย และ2.เรื่องการกำหนดหลักสูตร หลักเกรณฑ์การทดสอบผู้ขับขี่บิ๊กไบก์ที่มีความจุตั้งแต่ขนาด 400 ซีซีขึ้นไป ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-507835
Person read: 2107
19 August 2020
วันที่ 18 สิงหาคม 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ลักษณะการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยที่คณะกรรมการการแพทย์จะพิจารณาให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงการกำหนดลักษณะการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ที่คณะกรรมการการแพทย์จะพิจารณาให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป สำหรับสาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ ระบุไว้เกี่ยวกับลักษณะการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยตามข้อ 5 ของกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. 2563 ให้มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ (1) การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยตามประกาศกระทรวงแรงงานว่าด้วยลักษณะการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอย่างอื่นซึ่งรุนแรงหรือเรื้อรังและ (ก) มีการรักษาที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนเช่นมีการผ่าตัดหลายครั้งหรือต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือ (ข) มีภาวะแทรกซ้อนซึ่งทำให้ระยะเวลาการรักษาพยาบาลยาวนานขึ้นหรือผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้น (2) การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอย่างอื่นตามความเห็นของคณะกรรมการการแพทย์ ทั้งนี้ ลักษณะการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยตามข้อ 6 ของกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. 2563 ต้องมีลักษณะตามข้อ 3 และมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (1) มีบาดแผลผิวหนังไหม้ในระดับลึกถึงหนังแท้ตั้งแต่ร้อยละยี่สิบห้าของพื้นที่ผิวของร่างกาย (2) ผลการรักษาพยาบาลลูกจ้างเสียชีวิต (3) มีลักษณะการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเข้าข่ายตามกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. 2563 ข้อ 3 (1)- (7) ไม่น้อยกว่าสามข้อ (4) มีการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอย่างอื่นตามความเห็นของคณะกรรมการการแพทย์โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-507785
Person read: 2048
19 August 2020
วันนี้ (18 สิงหาคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งมีวาระที่สำคัญหลายเรื่อง “ประชาชาติธุรกิจออนไลน์” สรุปวาระสำคัญเกี่ยวกับการ “แต่งตั้ง-โยกย้าย” ดังนี้ (เรื่องที่ 26-38) 26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายบรรเจิด เดชาศิลปชัยกุล เภสัชกรเชี่ยวชาญ (ด้านเภสัชสาธารณสุข) กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง นักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ (ด้านอาหารและยา) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายสมคิด อุ่นเสมาธรรม นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 28. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ รวม 5 คน แทนผู้ที่ลาออกและแต่งตั้งเพิ่มเติม ดังนี้ 1. นายพงศ์บุณย์ ปองทอง (ผู้แทน ทส.) ประธานกรรมการ 2. นายอุดม ฐิตวัฒนะสกุล กรรมการ 3. นายนำชัย แสนสุภา กรรมการ 4. พลตำรวจตรี วิวัฒน์ ชัยสังฆะ กรรมการ 5. ร้อยตำรวจโทหญิง ศรัณย์กร เลิศโอภาส (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) กรรมการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป โดยให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนหรือให้เป็นกรรมการเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว 29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงแรงงาน) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ดังนี้ 1. นางธิวัลรัตน์ อังกินันท์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 2. นายสุเทพ ชิตยวงษ์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 3. นายภาคิน สมมิตรธนกุล ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป 30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้ 1. นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 2. นายจักษ์ พันธ์ชูเพชร ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป 31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการคลัง) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 1 ราย ดังนี้ นายเอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระกรวงการคลัง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป 32. เรื่อง ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่ง 1 ปี ในวันที่ 21 และ 29 สิงหาคม 2563 ให้คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ จำนวน 10 ราย ดังนี้ 1. นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ 2. นายทวี สุระบาล 3. นายทศพล เพ็งส้ม 4. นายธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา 5. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ 6. นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ 7. นายอภิวัฒน์ ขันทอง 8. นายชื่นชอบ คงอุดม 9. นายสุทธิชัย จรูญเนตร 10. นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ (หมายเหตุ : ลำดับที่ 1.-8. ครบวาระวันที่ 21 สิงหาคม 2563 ลำดับที่ 9. และ 10. ครบวาระวันที่ 29 สิงหาคม 2563) 33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดี (นักบริหารสูง) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง แทนตำแหน่งที่จะว่าง เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งเดิมจะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้ 1. นายธานี ทองภักดี เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง 2. นายชุตินทร คงศักดิ์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง 3. นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง 4. นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสารนิเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป 35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง นายสิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง (ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 36. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้ง นายอนุชา บูรพชัยศรี ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป 37. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมชลประทาน ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 38. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงพลังงาน) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอการแต่งตั้ง นายกวิน ทังสุพานิช เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-507801
Person read: 2035
19 August 2020
รายงานข่าวจากธุรกิจร้านอาหาร เปิดเผยว่า ได้รับอีเมล์แจ้งจากผู้ให้บริการรับส่งอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ “ฟู้ดแพนด้า” (FoodPanda)ว่า จะมีการปรับเปลี่ยนค่าคอมมิชชั่นในส่วนของสัญญาที่จะปรับเป็น 35% ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 เป็นต้นไป แหล่งข่าวในธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม กล่าวกับ ”ประชาชาติธุรกิจ” ว่าความนิยมในการใช้บริการฟู้ดดีลิเวอรี่ ยังคงมีอยู่ว่าจะลดลงเทียบกับช่วงที่มีมาตรกดารล็อกดาวน์ ซึ่งจะเป็นนิวนอร์มัลสำหรับผู้บริโภคทำให้ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ ต้องมีบริการเหล่านี้ เป็นทางเลือก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีกันครบ ทั้งแกร็บ, ฟู้ดแพนด้า, เก็ท หรือโกเจ็ก เป็นต้น ซึ่งแต่ละผู้ให้บริการมีการเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นจากร้านค้าในอัตราใกล้เคียงกัน “เดิมทั้งแกร็บ และฟู้ดแพนด้า เก็บค่าคอมมิชชั่นในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ที่ 20% เชื่อว่าเมื่อฟู้ดแพนด้าปรับขึ้นมาเป็น 35% เจ้าอื่นก็จะปรับขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วน่าจะอยู่ที่ 30% แต่ในแง่โปรโมชั่น ทั้งแกร็บ และฟู้ดแพนด้าก็มีการอัดโปรโมชั่นกันหนักมาก เช่น ในเดือน ก.ค. มีโปรโมชั่นลด 80 บาท สำหรับลูกค้าใหม่ และซื้อ 1 แถม 1 ในการสั่งเครื่องดื่มกับบางร้าน” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-507778
Person read: 2043
19 August 2020
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (18/8) ที่ระดับ 31.12/14 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดในวันจันทร์ (17/8) ที่ระดับ 31.19/21 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าเทียบค่าเงินสกุลหลัก หลังจากนักลงทุนยังคงกังวลว่า นโยบายทางการคลังที่รัฐสภาสหรัฐออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วดังที่คาด และนักลงทุนยังคงมีความกังวลในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หลังจากเลื่อนการเจรจาเพื่อทบทวนข้อตกลงการค้าเฟสแรก ซึ่งเดิมกำหนดไว้วันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา และยังไม่ได้กำหนดวันใหม่ รวมไปถึงประเด็นทางการเมืองของสหรัฐเอง ที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐยังคงน่ากังวล แม้จะมีคนเสนอให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผ่านทางไปรษณีย์ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามที่จะคัดค้านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยวิธีนี้ ในส่วนของค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ แม้ว่าเมื่อวาน (17/8) ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าทะลุระดับ 31.20 หลังจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยดัชนีผลิตภัณพ์มวลรวมภายในประเทศของไทยประจำไตรมาสที่ 2/2563 ออกมาที่หดตัวร้อยละ 12.2 เทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งถือว่าหดตัวมากที่สุดในรอบ 22 ปี อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวถือว่าลดลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ร้อยละ 13.3 จึงทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวในระยะสั้น และรอปัจจัยใหม่เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทต่อไป ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 31.13-31.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 31.14/15 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (18/8) ที่ระดับ 1.1889/92 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (17/8) ที่ระดับ 1.1834/37 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากอ่อนค่าของดอลลาร์ และดุลการค้าที่เกินดุลเมื่อเทียบกับสหรัฐ ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยุ่ในกรอบระหว่าง 1.1864-1.1915 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1905/08 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (18/8) ที่ระดับ 105.75/78 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (17/8) ที่ระดับ 106.45/47 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินเยนแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐจากปัจจัยความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่ยังคงไม่มีความคืบหน้าหลังจากเลื่อนการเจรจาออกไปอย่างไม่มีกำหนด ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 105.38-106.06 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 105.55/61 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานจำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้างสหรัฐเดือนกรกฎาคม (18/8), รายงานใบอนุญาตก่อสร้างบ้านสหรัฐ (18/8), ดุลการค้าญี่ปุ่นเดือนกรกฎาคม (19/8), ดัชนีราคาผู้บริโภคสหราชอาณาจักรเดือนกรกฎาคม (19/8), ดัชนีราคาผู้ผลิตสหราชอาณาจักร (19/8), ดัชนีราคาผู้บริโภคสหภาพยุโรปเดือนกรกฎาคม (19/8), อัตราดอกเบี้ยนโยบายจีน (20/8), ดัชนีภาคการผลิตโดยธนาคารกลางรัฐฟิลาเดลเฟีย-สหรัฐ (20/8), จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสหรัฐ (20/8), ดัชนีราคาผู้บริโภคญี่ปุ่นเดือนกรกฎาคม (21/8), ยอดค้าปลีกสหราชอาณาจักรเดือนกรกฎาคม (21/8), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเยอรมันเดือนสิงหาคม (21/8), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสหภาพยุโรปเดือนสิงหาคม (21/8), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสหราชอาณาจักรเดือนสิงหาคม (21/8), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสหรัฐเดือนสิงหาคม (21/8), ยอดขายบ้านมือสองสหรัฐเดือนกรกฎาคม (21/8), ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหภาพยุโรปเดือนสิงหาคม (21/8) สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ +0.55/+0.75 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ +3.70/+5.30 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-507693
Person read: 2026
19 August 2020
ภาพทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันโครงการจัดเช่ารถยนต์ตรวจการณ์จำนวน 36 คัน สำหรับนำมาใช้ในราชการของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นรายการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ 5 ปี จากปี 2563-2567 โดยให้เพิ่มวงเงินจาก 39.5 ล้านบาท เป็น 49.61 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลที่ต้องขอเพิ่มวงเงินในครั้งนี้ทางกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า หลังจากที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้รับจัดสรรงบประมาณวงเงิน 39.50 ล้านบาท เพื่อเช่ารถยนต์ตรวจการณ์ชนิด 5 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 4 จังหวะ ขนาดกระบอกสูบไม่น้อยกว่า 3,000 ซีซี จำนวน 36 คัน ทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์หรืออี-บิดดิ้ง มาแล้ว 2 ครั้ง ปรากฏว่าไม่มีผู้มายื่นข้อเสนอ ทั้งนี้ทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้สืบราคาจากบริษัทผู้ให้เช่ารถในท้องตลาดพบว่า งบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับเช่ารถ 21,100 บาท/คัน/เดือน ต่ำกว่าราคาค่าเช่าในท้องตลาดที่ปัจจุบันมีราคาประมาณ 26,500-28,800 บาท/คัน/เดือน จึงมีความจำเป็นต้องขอเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าจากที่ ครม.อนุมัติไว้เดิม โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรายงานด้วยว่า ได้ดำเนินการประกวดราคาโครงการเช่ารถยนต์ตรวจการณ์ในครั้งที่ 3 เรียบร้อยแล้ว ในอัตราค่าเช่า 26,500 บาท/คัน/เดือน รวมเป็นเงิน 49.61 ล้านบาท โดยมีผู้ยื่นข้อเสนอถูกต้องตามเงื่อนไขที่กำหนด ดังนั้นคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ จึงมีมติให้เช่ารถยนต์ตรวจการณ์ดังกล่าว รวมระยะเวลาเช่า 52 เดือน ที่อัตราค่าเช่าคันละ 25,800 บาท/คัน/เดือน รวมเป็นเงิน 48.30 ล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-507762
Person read: 1942
19 August 2020
Photo by Jonathan KLEIN /AFP) ครม.อนุมัติวงเงินเพิ่มเติมโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง 2,347.90 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้ความต้องการการใช้ยางพาราในตลาดโลกลดลงอย่างมาก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อราคายางพาราในประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่ม เพื่อจ่ายค่าชดเชยส่วนต่าง (ระหว่างราคาประกัน-ราคาอ้างอิง) ที่เพิ่มขึ้น ครม.จึงอนุมัติวงเงินงบประมาณเพิ่มเติมโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 จำนวน 2,347.90 ล้านบาท จากเดิมที่ ครม. เคยอนุมัติไปแล้ว เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 วงเงิน 24,000 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนจาก ธ.ก.ส. สำรองจ่ายไปก่อน และขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป น.ส.รัชดา กล่าวว่า ส่วนเรื่องสถานการณ์ราคายางพารานั้น นายกรัฐมนตรีได้ติดตามราคาในตลาดโลกและราคาในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคายางในประเทศมีแนวโน้มขยับตัวเพิ่มขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะความต้องการในตลาดโลกที่ลดลงเนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 รัฐบาลได้มุ่งมั่นส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ โดยเน้นที่ส่วนราชการเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ และออกมาตรการจูงใจให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นทดแทน เพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางและลดปริมาณการผลิตยางพาราออกสู่ตลาด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-507748
Person read: 2000
19 August 2020
ครม.อนุมัติโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 63/64 และมาตรการเสริม ช่วยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กว่า 4.5 แสนรายทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2563/64 วงเงินรวม 1,913.11 ล้านบาท และอนุมัติมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2563/64 รวม 5 มาตรการ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 4.5 แสนราย ให้มีรายได้ที่แน่นอน ครอบคลุมต้นทุนและค่าขนส่งในช่วงที่ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตกต่ำ และใช้กลไกตลาดในการสร้างเสถียรภาพราคาในระยะยาวอย่างยั่งยืน รายละเอียดของการอนุมัติ มีดังนี้ 1.โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2563/64 วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,913.11 ล้านบาท โดยประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ณ ความชื้นร้อยละ 14.5 ราคากิโลกรัมละ 8.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศและไม่ซ้ำแปลง กำหนดช่วงเวลาการเพาะปลูกระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2563 – 31 พฤษภาคม 2564 แต่มีข้อยกเว้น คือ หากเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่แจ้งขึ้นทะเบียนเพาะปลูกเพื่อผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ สำหรับการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างงวดแรก รัฐบาลจะเริ่มจ่ายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 และจะจ่ายต่อไปในทุกวันที่ 20 ของเดือน จนถึงวันสิ้นสุดการจ่ายเงินชดเชยงวดสุดท้ายเดือนตุลาคม 2564 โดยให้ใช้แหล่งเงินทุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และรัฐบาลจะชำระคืนตามที่จ่ายจริงภายใน 1 ปี ทั้งนี้ ระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2563 ถึง 30 เมษายน 2565 สำหรับผลการดำเนินโครงการประกันรายได้ปี 2562/63 ข้อมูล ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2563 ธ.ก.ส. ได้จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกรแล้ว 7 ครั้ง จำนวน 207,796 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 45.97 ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งหมด 452,000 ราย รวมเป็นเงิน 606.30 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.05 ของวงเงินจ่ายขาดทั้งหมด (จำนวน 1,552.78 ล้านบาท) คงเหลืองบประมาณจ่ายขาด 946.48 ล้านบาท 2.มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2563/64 รวม 5 มาตรการ คือ 1.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2563/64 วงเงิน 45 ล้านบาท เป็นการสนับสนุนสินเชื่อแก่สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการรวบรวมรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกร ซึ่งจะช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกมามาก วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนจาก ธ.ก.ส. คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ร้อยละ 1 ต่อปี และรัฐบาลจะเป็นผู้ชดเชยดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน 12 เดือน คิดเป็นงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยรวม 45 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 – 30 มิถุนายน 2565 2.โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต๊อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีการผลิต 2563/64 ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันกับปีที่ผ่าน วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ตามระยะเวลาที่เก็บสต๊อกไว้ 60 – 120 วัน คิดเป็นงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยรวม 15 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) 3.การบริหารจัดการการนำเข้า โดยกำหนดช่วงเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สำหรับผู้นำเข้าทั่วไป การควบคุมการขนย้ายในพื้นที่ติดชายแดนเพื่อนบ้าน การกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1 : 3 และการตรวจสอบการรับรอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน 4.การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยกำหนดให้ผู้รับซื้อแสดงราคา ณ จุดรับซื้อที่ความชื้นร้อยละ 14.5 และร้อยละ 30 พร้อมแสดงตารางการเพิ่ม-ลด ราคาตามร้อยละความชื้น และกำหนดให้ใช้เครื่องชั่งน้ำหนัก เครื่องวัดความชื้น ที่มีมาตรฐาน และ 5.การดูแลความสมดุล โดยแจ้งปริมาณการครอบครอง การนำเข้า สถานที่เก็บและการตรวจสอบสต๊อก น.ส.รัชดา กล่าวว่า เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพและผู้เข้าร่วมโครงการได้รับประโยชน์สูงสุด ที่ประชุม ครม. ได้มอบหมายให้ กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการเพิ่มเติม คือ 1.กำหนดให้เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2563/64 จะต้องเป็นเกษตรกรที่มีเอกสารสิทธิในที่ดิน หรือหนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์ในที่ดิน หรือมีหนังสือสัญญาเช่าที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ และ 2.กำหนดหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อของโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2563/64 ให้สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนรับซื้อหรือรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉพาะรายที่มีเอกสารสิทธิในที่ดิน หรือหนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์ในที่ดิน หรือหนังสือสัญญาเช่าที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-507743
Person read: 2021
19 August 2020
วันที่ 18 สิงหาคม 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่องปลดจำเลยจากการล้มละลายหลายรายการ ทั้งตัวบุคคล และนิติบุคคล โดยมีบุคคลนามสกุลดังที่ได้รับการปลดจากการล้มละลาย น่าสนใจหลายราย อาทิ 1.นางสาวบุญมี วงษ์สุวรรณ คดีหมายเลขแดงที่ ล.790/2557 กองบังคับคดีล้มละลาย 5 กรมบังคับคดี 2.นายสามารถ พงษ์พานิช คดีหมายเลขแดงที่ ล.1411/2557 กองบังคับคดีล้มละลาย 6 กรมบังคับคดี และ 3.นางวรนุช อมาตยกุล คดีหมายเลขแดงที่ 356/2557 กองบังคับคดีล้มละลาย 6 กรมบังคับคดี ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกา “พระราชทานอภัยโทษ 2563” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-507710
Person read: 2303
19 August 2020
ครม.มีมติเห็นชอบโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 63/64 กว่า 9,789 ล้านบาท และมาตรการคู่ขนานทั้งใช้-ไม่ใช่งบประมาณ ขยายจ่ายเยียวยากำจัดโรคใบด่างทุกพื้นที่ 56 จังหวัด เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติโครงการและมาตรการเพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในช่วงที่ราคาตกต่ำ ครอบคลุมเกษตรกรจำนวนกว่า 5.3 แสนครัวเรือนทั่วประเทศ รายละเอียดดังนี้ 1.โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 2563/64 วงเงินรวม 9,789.98 ล้านบาท เป็นการประกันรายได้หัวมันสำปะหลังสด เชื้อแป้ง 25% ราคากิโลกรัมละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน ในพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศและไม่ซ้ำแปลง ซึ่งต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนปลูกมันสำปะหลังปี 2563/64 กับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่ 1 เมษายน 2563 – 31 มีนาคม 2564 สำหรับการจ่ายเงินงวดแรก รัฐบาลจะเริ่มจ่ายในวันที่ 1 ธันวาคม 2563 และจะจ่ายต่อไปในทุกวันที่ 1 ของเดือน โดยใช้แหล่งเงินทุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และรัฐบาลจะชำระคืนตามที่จ่ายจริงภายใน 2 ปี ทั้งนี้ ระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 – 31 พฤษภาคม 2565 สำหรับผลการดำเนินโครงการประกันรายได้ ปี 2562/63 ข้อมูล ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2563 ธ.ก.ส. ได้มีการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างแก่เกษตรกรไปแล้วรวม 8 ครั้ง จำนวน 535,759 ครัวเรือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 6,836.97 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 69.13 ของวงเงินชดเชยทั้งหมด คงเหลืองบประมาณอีก 3,053.97 ล้านบาท ซึ่งจะสิ้นสุดการจ่ายเงินชดเชยงวดสุดท้ายเดือนพฤศจิกายน 2563 น.ส.รัชดากล่าวว่า นอกจากนี้ครม.ยังเห็นชอบมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง ปี 2563/64 ซึ่งเป็นมาตรการเสริมที่ดำเนินการควบคู่กันไประหว่างโครงการประกันรายได้ และการบริหารปริมาณสินค้าเกษตรให้ตรงกับความต้องการของตลาด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป็นการดึงอุปทานออกจากตลาดและเพิ่มช่องทางเลือก เสริมสร้างความเข้มแข็ง และเพิ่มอำนาจต่อรองในการจำหน่ายมันสำปะหลังของเกษตรกร ประกอบด้วยมาตรการที่ใช้เงินงบประมาณและไม่ใช้เงินงบประมาณ ดังนี้ มาตรการที่ใช้เงินงบประมาณ วงเงินรวม 114 ล้านบาท จำนวน 2 โครงการ คือ 1.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง วงเงิน 69 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. เป็นผู้ออกสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนในการพัฒนาการผลิตของเกษตรกรด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม วงเงินสินเชื่อรวม 1,150 ล้านบาท ให้เกษตรกู้รายละไม่เกิน 230,000 บาท จำนวน 5,000 ราย ชำระคืนไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันกู้ คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.50 ต่อปี โดยเกษตรกรผู้กู้จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 3.50 ต่อปี ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 3 ต่อปี รัฐจะเป็นผู้ชดเชยให้ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 24 เดือน (ไม่เกินวันที่ 30 กันยายน 2566) คิดเป็นวงเงินอัตราดอกเบี้ยที่รัฐชดเชยรวม 69 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 31 ตุลาคม 2566 และ 2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร วงเงิน 45 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. จะเป็นผู้ออกสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรที่มีการประกอบธุรกิจมันสำปะหลังเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อหัวมันสำปะหลังสด มันสำปะหลังเส้น วงเงินสินเชื่อรวม 1,500 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 3 ต่อปี รัฐบาลจะเป็นผู้ชดเชยให้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน (ไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2565) คิดเป็นวงเงินอัตราดอกเบี้ยที่รัฐชดเชยรวม 45 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 มิถุนายน 2565 มาตรการที่ไม่ใช้เงินงบประมาณเพิ่มเติม คือ (1) โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต๊อกมันสำปะหลัง เพื่อสนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการแปรรูปมันสำปะหลัง (ลานมัน/โรงแป้ง) ที่เข้าร่วมโครงการฯ เก็บสต๊อก เพื่อดูดซับผลผลิตในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก โดยตั้งเป้าหมายวงเงินสินเชื่อรวม 15,000 ล้านบาท รัฐบาลจะเป็นผู้ชดเชยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ตามระยะเวลาที่เก็บสต๊อกไว้ตั้งแต่ 60 – 180 วัน คิดเป็นวงเงินอัตราดอกเบี้ยที่รัฐชดเชยรวม 225 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และ (2) มาตรการบริหารจัดการการนำเข้าและส่งออก โดยให้กรมการค้าต่างประเทศกำกับดูแลการส่งออกและนำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์อย่างจริงจัง ด้วยการตรวจสอบคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานและลงโทษผู้กระทำผิดตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด น.ส.รัชดากล่าวว่า ครม.ยังได้อนุมัติแนวทางแก้ไขปัญหาโครงการป้องกันและการกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง โดยปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการที่ ครม. ได้อนุมัติไปแล้ว เมื่อ 24 กันยายน 2562 ใน 2 ประเด็น คือ 1.ให้ขยายพื้นที่ดำเนินโครงการฯ จากเดิมที่กำหนดไว้ 11 จังหวัด ปรับเป็น ให้ดำเนินการโครงการฯ ในทุกจังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งมีอยู่ 50 จังหวัดทั่วประเทศ และ 2.การจ่ายเงินชดเชย จากเดิม ที่จ่ายให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร เฉพาะพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์เท่านั้น ปรับเป็น จ่ายให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรทุกพื้นที่ที่มีการทำลายแปลงมันสำปะหลัง ทั้งพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์และไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดยใช้งบประมาณเดิม จำนวน 234.26 ล้านบาท ตามที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-507724
Person read: 2000
19 August 2020
สรุปการซื้อขายหุ้นไทยวันนี้ (18 ส.ค.) ดัชนี SET Index ปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,330.11 จุด ปรับขึ้น +9.20 จุด หรือคิดเป็น +0.70% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 50,856 ล้านบาท โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,321.07-1,330.40 จุด โดย CPALL STGT และ KBANK มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดตลอดวันนี้ ขณะที่ดัชนี SET50 ปรับขึ้น +6.61 จุด หรือ +0.77% อยู่ที่ 867.86 จุด โดยมีมูลค่าซื้อขายรวม 28,277 ล้านบาท (คิดเป็นราว 55.60% ของ SET) 10 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าซื้อ-ขายสูงสุดประจำวันนี้ 1. CPALL ซื้อขาย 4,077.17 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.50 บาท (-0.77%) 2. STGT ซื้อขาย 3,766.27 ล้านบาท ราคาหุ้น +9.50 บาท (+14.50%) 3. KBANK ซื้อขาย 1,656.50 ล้านบาท ราคาหุ้น +1.50 บาท (+1.71%) 4. CRC ซื้อขาย 1,559.66 ล้านบาท ราคาหุ้น +1.25 บาท (+4.27%) 5. AOT ซื้อขาย 1,448.65 ล้านบาท ราคาหุ้น +1.00 บาท (+1.84%) 6. PTT ซื้อขาย 1,215.26 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 7. ADVANC ซื้อขาย 1,132.95 ล้านบาท ราคาหุ้น +0.50 บาท (+0.26%) 8. MINT ซื้อขาย 1,073.20 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.10 บาท (-0.48%) 9. GULF ซื้อขาย 1,004.00 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 10. NER ซื้อขาย 804.70 ล้านบาท ราคาหุ้น +0.14 บาท (+4.22%) ส่วนตลาด mai ปรับขึ้น +0.82 จุด หรือ +0.27% ในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ระดับ 304.63 จุด มูลค่าซื้อขาย 7252.02 ล้านบาท ขอบคุษข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-507709
Person read: 1934
19 August 2020
จากกรณีที่มีพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บไบค์ (ให้บริการด้วยรถจักรยานยนต์) ในเขตกรุงเทพฯ รวมตัวกัน ณ อาคารธนภูมิถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย โดยขอเข้าพบผู้บริหารเพื่อยื่นข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับงาน เมื่อ 10 ส.ค.2563 ที่ผ่านมา ล่าสุด (17 สิงหาคม 2563) แกร็บ ประเทศไทย ได้ออกจดหมายชี้แจงพาร์ทเนอร์คนขับถึงประเด็นต่างๆ โดยระบุว่า บริษัทให้ความสำคัญกับประเด็น “ความปลอดภัย” และ “คุณภาพ” ในการให้บริการ ทั้งต่อผู้ใช้บริการและพาร์ทเนอร์คนขับ และว่ากฎระเบียบบางข้ออาจไม่เป็นที่พอใจของพาร์ทเนอร์คนขับบางกลุ่ม บริษัทรับทราบและเข้าใจถึงประเด็นปัญหา หรือข้อจำกัดบางประการที่เกิดขึ้นจึงพิจารณาทบทวน และปรับเปลี่ยนข้อกำหนด หรือหลักปฎิบัติบางประการ โดยยังยึดถือความปลอดภัย และคุณภาพเป็นสำคัญ ดังนี้ ประเด็นการแบ่งพื้นที่และการรับงานของพาร์ทเนอร์คนขับในกรุงเทพฯ และปริมณฑล “แกร็บ” ยกเลิกการแบ่งเขตพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และปทุมธานี โดยรวมทั้ง 3 จังหวัดให้อยู่ในพื้นที่เดียวกันเหมือนเดิม และจะไม่แบ่งเขตอีกหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาในเชิงเทคนิคได้ ขณะเดียวกันได้ปรับปรุงระบบเพื่อให้พาร์ทเนอร์คนขับในกรุงเทพฯ ที่ให้บริการอยู่ในพื้นที่รอยต่อกับจังหวัดใกล้เคียง เช่น นครปฐม และพัทยา เลือกเปิด-ปิดการรับงานหรือเลือกประเภทการให้บริการได้ คาดว่าจะเสร็จใน ส.ค.นี้ ส่วนการปรับรูปแบบการจัดส่งพัสดุผ่านบริการ “แกร็บ เอ็กซ์เพรส” (GrabExpress) ได้ปรับรูปแบบบริการ โดยเสนอ 2 ทางเลือกให้ผู้ใช้ คือ 1.จัดส่งพัสดุแบบต้องการกระเป๋า และ 2.จัดส่งพัสดุแบบไม่ต้องการกระเป๋า เริ่มให้บริการ 24 ส.ค.เป็นต้นไป โดยแกร็บ ชี้แจงสาเหตุที่กำหนดให้พาร์ทเนอร์คนขับต้องมีกระเป๋า ก็เพื่อบรรจุและจัดเก็บพัสดุให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า และส่งเสริมความปลอดภัยระหว่างการขับรถ ประเด็นด้านความคุ้มครองระหว่างการรับงานนั้น แกร็บยืนยันว่าให้สิทธิประโยชน์ด้านประกันอุบัติเหตุสูงที่สุดและครอบคลุมจำนวนคนขับมากที่สุด เมื่อเทียบกับแอปพลิเคชันอื่น โดยคุ้มครองพาร์ทเนอร์คนขับทุกคน ไม่มีการจำกัดระดับด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 50,000 บาท เมื่อเกิดอุบัติเหตุ และสูงสุด 200,000 บาทเมื่อเสียชีวิต สำหรับประเด็นด้านระบบรับงานจัดส่งอาหารแบบจัดส่งหลายจุด หรือ “งานแบช” นั้นที่ผ่านมาได้พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเวลาที่มีจำนวนผู้สั่งอาหารมากกว่าจำนวนคนขับ โดยเปิดให้พาร์ทเนอร์คนขับส่งอาหารได้หลายงานในเส้นทางเดียวกัน แต่จากข้อกังวลที่เกิดขึ้น แกร็บได้ริเริ่มโครงการประสานงานให้ร้านอาหารเริ่มเตรียมอาหารก่อนที่พาร์ทเนอร์คนขับจะเดินทางไปถึง เพื่อย่นระยะเวลาในการรอ และจัดส่งไปถึงมือลูกค้า “แกร็บ” ยังชี้แจงเกี่ยวกับการระงับสัญญาณการให้บริการ (หรือการแบน) และศูนย์บริการลูกค้าด้วยว่าเป็นนโยบายด้านคุณภาพและความปลอดภัย จึงต้องมีการแบนพาร์ทเนอร์คนขับหากได้รับข้อร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม หรือกระทำผิดหลักปฏิบัติ และจรรยาบรรณ ซึ่งพาร์ทเนอร์คนขับยื่นอุทธรณ์ได้ตลอดเวลา โดยบริษัทจะเร่งขั้นตอนการตรวจสอบให้เร็วขึ้น ส่วนศูนย์บริการลูกค้า (Call Center) ได้จัดให้มีช่องทางติดต่อนอกเวลาทำการ เช่น สายด่วน (02-0212530) กรณีฉุกเฉิน หรือมีอุบัติเหตุ หรือผ่าน “ศูนย์ช่วยเหลือ” ในแอปพลิเคชันคนขับ นอกจาก 5 ประเด็นข้างต้น ยังวางแผนปรับปรุงการติดต่อสื่อสารกับพาร์ทเนอร์คนขับ อาทิ การใช้กลุ่ม Facebook และการจัดประชุมเพื่อพบปะพูดคุยกับกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นช่องทางในการสร้างความเข้าใจ รับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะในรูปแบบที่สร้างสรรค์ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง และการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคม ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/ict/news-507689
Person read: 1988
19 August 2020
แฟ้มภาพ กรุงไทยประเมิน พิษโควิด-19 ฉุดรายได้ดีลเลอร์รถยนต์หดตัว 25% คาดยอดขายทั้งปี 6.2 แสนคัน หดตัว 38.2% คาดผู้ประกอบการราว 1 ใน 3 มีโอกาสเผชิญหน้ากับภาวะกำไรติดลบ แนะธุรกิจดีลเลอร์ปรับรูปแบบการขาย-บริการเข้าสู่ระบบดิจิทัล ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ของไทยในปี 2563 ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวรุนแรง (Deep Recession) ที่ 9.1% และฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก โดยยอดขายรถยนต์ในประเทศในครึ่งแรกของปี 2563 อยู่ที่เพียง 330,000 คัน หดตัว 37.5% ประเมินว่ายอดขายทั้งปี จะอยู่ที่ 620,000 คัน หรือหดตัวถึง 38.2% ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจตัวแทนจัดจำหน่ายรถยนต์มือหนึ่ง (ดีลเลอร์) ที่พึ่งพารายได้ส่วนใหญ่เกือบ 85% มาจากการขายรถยนต์ “รายได้ของธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ในภาพรวม มีแนวโน้มลดลง 25% เทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี ต้นทุนและค่าใช้จ่ายทั้งหมดของดีลเลอร์ไม่สามารถปรับลงได้เท่ากับรายได้ที่หายไป ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของผู้ประกอบการมีแนวโน้มแย่ลง จากกำไรที่ 1-1.2% ในช่วงปี 2560-2562 เป็นติดลบ 4.8% ในปี 2563 นอกจากนี้ คาดว่าสัดส่วนของผู้ประกอบการที่มีกำไรสุทธิติดลบ จะเพิ่มขึ้นจาก 24% ในปีที่ผ่านมา เป็น 36% ในปีนี้ โดยกว่าสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะกลับมาอยู่ในช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 หรือที่ประมาณ 1 ล้านคัน จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี” ดร.มานะ นิมิตรวานิช ผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวอย่างรุนแรงที่เข้ามาฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้ว ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ซึ่งเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิม (Brick and Mortar) กำลังเผชิญกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยคาดการณ์ได้ว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเข้าไปยังโชว์รูมน้อยลง การปิดการขายจึงจะยากขึ้นกว่าเดิม ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์เป็นอย่างมาก ผู้ประกอบการควรรักษาฐานลูกค้าเดิมอย่างต่อเนื่อง ทำการตลาดเชิงรุกเพื่อรองรับกับ Pent Up Demand ที่อาจกลับมาหลังการแพร่ระบาดคลี่คลาย รวมทั้งนำกลยุทธ์ของดีลเลอร์ในต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะการยกระดับการขายและบริการเข้าสู่ระบบดิจิทัล (Digitalize) ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในระยะยาว “กลยุทธ์ที่ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ควรทำทันที คือ การรักษาความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าเดิมตลอดช่วงของการล็อกดาวน์ และการทำตลาดเชิงรุกในการหากลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ในช่วงหลังคลายล็อกดาวน์ ส่วนในระยะยาวนั้น เราแนะนำให้ผู้ประกอบการปรับแนวทางการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะการนำขั้นตอนการขายและบริการเข้าสู่ระบบดิจิทัล เช่น การแสดงหรือรีวิวรถยนต์ในช่องทางออนไลน์ที่มีความคมชัดสูง การนัดทดลองขับ (Test-drive) ณ ที่พักอาศัยของผู้บริโภคผ่าน Application ไปจนถึงการเพิ่มช่องทางการขายแบบ Omni-channel ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดในยุค New Normal เห็นได้ชัดจากยอดขายของบริษัทที่ใช้ช่องทางออนไลน์เป็นหลักอย่าง Tesla ที่ติดลบเพียง 5% ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เทียบกับค่ายรถยนต์อื่น ๆ ในสหรัฐฯ อย่าง Ford และ GM ที่ลดลงมากกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน” ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-507666
Person read: 1909
19 August 2020
หนึ่งในมหากาพย์ของตลาดหุ้นไทย คงมีเรื่องราวของ “วินด์ เอนเนอร์ยี่” รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน บริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ “WEH” แห่งนี้มีตำนาน ผ่านตัวละคร “นพพร ศุภพิพัฒน์” สู่ “ณพ ณรงค์เดช” ย้อนอดีตมหากาพย์นี้ด้วยการทำความเข้าใจในตัวละครสำคัญ ผ่านเส้นทางชีวิตของ “นพพร ศุภพิพัฒน์” หรือ “เสี่ยนิค” ที่โลดโผนโจนทะยานอย่างเหลือเชื่อที่สุด อาชีพแรกของเขาคือการเป็น “นักลงทุน” ในตลาดหุ้น ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เวลาต่อมาเขาได้เข้ามาลงทุนในธุรกิจพลังงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่กลุ่มทุนต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ต้องการเข้ามาในสนามนี้ด้วยผลตอบแทนการลงทุนที่น่าดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง แต่ธุรกิจนี้อยู่ภายใต้สัมปทานจากภาครัฐ ใครที่ต้องการจะเข้ามาในสนามนี้ต้องยอมรับว่านอกจาก “เก่งงาน” แล้วยังต้อง “เก่งคน” อีกด้วย โดยเฉพาะการเข้าหาผู้ที่ถือครองสัมปทาน โดยเฉพาะการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) “นพพร” วัย 30 ปีที่ไม่เคยอยู่ในแวดวงธุรกิจพลังงานมาก่อน เข้ามาในสนามนี้คงจะต้องมีความมั่นใจใน “คอนเน็กชั่นระดับสูง” ในกลางปี 2550 นพพร ได้เริ่มต้นลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือกโดยเปิดบริษัทภายใต้ชื่อ “บริษัท เขาค้อ พลังงานลม จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ “บริษัท ซัสเทนเอเบิลเอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” เป็นผู้ริเริ่มการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานลมเป็นรายแรก ๆ ของไทย ส่วนผู้ให้การสนับสนุนด้านการเงินก็คือ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) ที่มี นายประเดช กิตติอิสรานนท์ อดีตวิศวกรของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ นายสวาสดิ์ ปุ้ยพันธวงศ์ อดีตผู้ว่าการ กฟภ. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คอนเน็กชั่นในแวดวงราชการของ “ประเดช” มีส่วนผลักดันให้บริษัท ซัสเทนเอเบิลเอนเนอยีฯ ขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งได้รับสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. จำนวน 60 เมกะวัตต์ หลังการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมาสู่ยุคของรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งมีรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคนใหม่ คือ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ธุรกิจของ “นพพร” ก็ไม่สะเทือนแต่อย่างไร บ่งบอกถึง “เครือข่าย” ทางการเมืองที่กว้างขวางของเขาได้อย่างดี เดือน ก.พ. 2552 บริษัท ราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ได้เข้ามาลงทุนในบริษัท ซัสเทนเอเบิลเอนเนอยี่ฯ ของ “นพพร” “นพพร” ได้จัดตั้งบริษัท วินด์เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ขึ้นในเวลานั้น เพื่อเตรียมพร้อมที่จะขยายกิจการให้เร็วที่สุดเพื่อเป็น Energy Tycoon คนใหม่ของไทย การที่ “พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช” หรือ เสธ.อู้ ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา และกรรมการใน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.มานั่งเป็นกรรมการในบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าความเครือข่ายของเขาไม่ธรรมดา “นพพร” ติดอันดับมหาเศรษฐีของไทย ลำดับที่ 31 ในปี 2557 ถือครองมูลค่าทรัพย์สิน 26,076 ล้านบาท จากการถือครองหุ้นกว่า 2 ใน 3 ของวินด์ เอนเนอร์ยี่ ขณะที่ “ประเดช กิตติอิสรานนท์” ผู้ร่วมก่อตั้งติดอันดับที่ 44 ของประเทศไทยในปีเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นชื่อ “นพพร” ปรากฏเป็นบุคคลที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกหมายจับ ตามคำแถลงของ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าตำรวจอยู่ระหว่างพิจารณาออกหมายจับ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง “ในคดีเป็นผู้จ้างงานกลุ่มผู้มีอิทธิพลนำตัว นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ผู้เสียหายมาเจรจาตกลงให้ลดหนี้ให้กับตนเอง จากยอดหนี้ 120 ล้านบาท ให้เหลือเพียง 20 ล้านบาท โดยให้ค่าตอบแทนเป็นเงินร้อยละ 10 ของยอดหนี้ที่ลดได้ ซึ่งในระหว่างการเจรจามีการข่มขู่ผู้เสียหายโดยการแอบอ้างเบื้องสูง” คำสั่งจับกุมเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2557 โดยศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติออกหมายจับ นายนพพร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพเลขที่ 138/2557 ลงวันที่ 1 ธ.ค. 2557 ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และจ้างวานใช้ให้ผู้อื่นกระทำการร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หลังเกิดข่าวดังกล่าวผลกระทบได้ส่งมาถึงวินด์ เอนเนอร์ยี่ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช หรือ เสธ.อู้ ประกาศลาออกจากกรรมการบริษัท นอกจากนี้ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ยังได้ถูกออกหมายจับโดยศาลอาญากรุงเทพใต้ ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 ด้วยคดีหมายเลขดำ ที่ อ.3757/2559 ที่บริษัท เคพีเอ็น เอนเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง นายนพพร ศุภพิพัฒน์ กับพวกรวม 3 คน ในความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้าง ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ลงบัญชีเป็นเท็จ และความผิดฐานฟอกเงิน เพื่อสอบปากคำให้การจำเลย และตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันสืบพยาน เนื่องจากนายนพพร จำเลยที่ 1 ไม่มาศาลตามกำหนดนัด ศาลอาญากรุงเทพใต้จึงได้ออกหมายจับ หลังไม่มาปรากฏตัวต่อศาล ถึงตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่ เบาะแสสุดท้ายน่าจะเป็นประเทศฝรั่งเศส ท่ามกลางสถานการณ์ที่เข้าขั้นวิกฤตของ วินด์ เอนเนอร์ยี่ ทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่รายเดียว ควานหานักลงทุนรายใหม่มาแทน “นพพร” เพื่อให้วินด์ เอนเนอร์ยี่ ยังเดินต่อไปได้ ไม่ให้การบริหารเสียหายจนกลายเป็นหนี้สูญก้อนใหญ่ของธนาคาร “ณพ ณรงค์เดช” ทายาทเครือเคพีเอ็น ที่ได้มีโอกาสเยี่ยมชมโครงการของวินด์ เอนเนอร์ยี่ มีความสนใจในการเป็น “เจ้าของคนใหม่” เพื่อชุบชีวิตทางธุรกิจให้ฟื้นกลับมา แม้อาจยังมองไม่เห็นอุปสรรคและปัญหาทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ก็ตาม ด้วยการสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มองเห็นศักยภาพของความเป็น “ณพ ณรงค์เดช” ในการเข้ามาฟื้นฟูวินด์ เอ็นเนอร์ยี่ สามารถหาผู้สนับสนุนด้านการเงิน เข้าซื้อหุ้นต่อจาก นายนพพรได้ทั้งหมด เพื่อเข้ามาบริหารให้กิจการของวินด์ เอนเนอร์ยี่ สามารถเดินต่อไปได้ “ณพ ณรงค์เดช” อายุ 47 ปี เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 3 คนของ ดร.เกษม และคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช (เสียชีวิตไปแล้ว) จบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท 2 ด้านบริหารธุรกิจและการเงิน จากมหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ ประเทศอังกฤษ สมรสกับ “พอฤทัย บุณยะจินดา” ลูกสาวของอดีตอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.พจน์ และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ทีมงานของเขาได้เข้าทำการศึกษากิจการ (Due Diligence) จนพบว่าวินด์ เอนเนอร์ยี่ มีผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เข้าซื้อหุ้นนอกตลาดก่อนที่จะไอพีโอหรือ OTC มากกว่า 200 ราย ซึ่งเมื่อเปิดรายชื่อผู้ถือหุ้นออกมาพบว่า มีทั้งผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนชื่อดังและนักลงทุนรายใหญ่เข้าถือหุ้น บ่งบอกว่ามีผู้ที่สนใจในธุรกิจดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ในที่สุด ณพ ณรงค์เดช ก็ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเขายังคงทีมผู้บริหารชุดเดิมเอาไว้ทั้งหมด ขณะเดียวกันกลุ่มของ “ประเดช กิตติอิสรนันท์” ก็ยัคงมีหุ้นในวินด์ เอนเนอร์ยี่ สัดส่วนประมาณ 30% ความท้าทายที่รอเขาอยู่ คือการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นตามที่นักลงทุนคาดหวัง ภารกิจดังกล่าวไม่ได้ง่ายนัก เพราะโครงสร้างธุรกิจของวิน เอนเนอร์ยี่ ไม่ได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ก.ล.ต. เนื่องจากเกณฑ์ของการเป็น Holding Company ที่จะเข้าตลาดหุันจะต้องถือหุ้นในบริษัทลูกมากกว่า 51% แต่สองโครงการ Wind Farm แรก วินด์ฯถือหุ้นเพียง 46% ส่งผลให้การระดมทุนไอพีโอต้องถูกเลื่อนออกไปเพราะต้องรอให้เกิดโครงการที่สามขึ้น และต้องรอให้มีการจ่ายไฟเข้าระบบจริงหรือ COD ครบสองปีถึงจะผ่านเกณฑ์ในการเข้าตลาด mai และสามปีถึงจะเข้าไปตลาด SET ซึ่งมูลค่าธุรกิจของวินด์ฯ เหมาะสมกระดานหลักมากกว่า บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำหันลมผลิตไฟฟ้าจำนวน 270 ต้น มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 717 เมกะวัตต์ กระจายอยู่ในสองจังหวัดคือนครราชสีมา และชัยภูมิ ขนาดพื้นที่รวม 850 ตารางกิโลเมตร (ขนาดประเทศสิงคโปร์ 721.5 ตารางกิโลเมตร) ถือว่าใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่าปี 2561 มีรายได้รวม 1,623.94 ล้านบาท กำไรสุทธิ 954.35 ล้านบาท สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท โดยรายได้และกำไรของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2559 ที่ยังมีรายได้เพียง 794.78 ล้านบาท จากศักยภาพของบริษัทฯ มีความพร้อมในการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ค่อนข้างมาก หากสามารถก้าวผ่านความขัดแย้งระหว่างผู้ถือหุ้นเดิมกับผู้ถือหุ้นใหม่ที่เกิดขึ้นในอดีตได้ และคดีความต่าง ๆ ที่รุมเร้ามาหลายปี ซึ่งน่าจะกำลังคลี่คลายไปในทิศทางที่เป็นบวก หากวินด์ เอนเนอร์ยี่ สามารถเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้ภายในต้นปีหน้า (2564) จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยให้มากขึ้นในสายตานักลงทุนต่างชาติ เพราะธุรกิจของวินด์ เอนเนอร์ยี่ คือหนึ่งใน New Normal ของอุตสาหกรรมพลังงาน “ณพ ณรงค์เดช” ประกาศวิสัยทัศน์ “วินด์ เอนเนอร์ยี่” ให้เป็นบริษัทในระดับโลก เป็นหนึ่งในห้าของผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producers : IPPs) รายใหญ่ของโลกให้สำเร็จภายในทศวรรษหน้า…ต้องรอพิสูจน์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-507585
Person read: 1928
19 August 2020
“เมืองกาญจน์” สุดฮอต ! เผยอัตราเข้าพักโรงแรมช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์พุ่งแตะ 100% นักท่องเที่ยวล้นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ จังหวัด-ททท.เตรียมปั้นเส้นทางน้ำนิวนอร์มอล ดูดกลุ่ม “ลักเซอรี่” เข้าจังหวัดทดแทนรายได้สูญช่วงโควิด พร้อมดันท่องเที่ยว “เชิงสุขภาพ-ชุมชน-กีฬา” นายบวรศักดิ์ วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี และนางปิยพัชร์วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี ร่วมกันเปิดเผยว่า หลังจากการคลายล็อกดาวน์พรมแดนจังหวัดที่ปิดต่อเนื่องยาวนานเกือบ 4 เดือน จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่จังหวัดกาญจนบุรีได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์โรงแรมที่พักหลายแห่งมีอัตราการเข้าพักถึง 100% และจำนวนที่พักที่เปิดให้บริการส่วนใหญ่ก็มีอัตราการเข้าพักระหว่าง 95-100% ทั้งนี้ คาดว่าในภาพรวมน่าจะมีอัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยทั้งจังหวัดมากกว่า 60% เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาแหล่งท่องเที่ยวประเภทอุทยานธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ และแหล่งท่องเที่ยวแม่เหล็กต่าง ๆ ในหลายอำเภอ อาทิ ไทรโยค ศรีสวัสดิ์ ทองผาภูมิ สังขละบุรี ฯลฯ มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจอย่างหนาแน่นจนจังหวัดต้องจัดเจ้าหน้าที่ดูแลการเว้นระยะห่างและสุขอนามัยของประชาชนที่เดินทางมาท่องเที่ยว “นับตั้งแต่กลับมาเปิดชายแดนจังหวัดตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จังหวัดกาญจนบุรีก็ได้รับความนิยมอย่างมากในวันหยุดสุดสัปดาห์จนทำให้รถติดในพื้นที่แม่เหล็กและมีนักท่องเที่ยวเดินทางต่อเนื่องเป็นระยะในวันธรรมดา จนปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาใกล้เคียงกับช่วงเวลาปกติ คาดว่านอกจากความอัดอั้นของประชาชน ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากโปรโมชั่นที่ผู้ประกอบการโรงแรมที่พักเร่งผลักดันออกมาอย่างเต็มที่” โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยในจังหวัดภาคกลางและจังหวัดใกล้เคียงที่ขับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์มาท่องเที่ยว ซึ่งจังหวัดเปิดให้เข้าท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติได้แล้ว แต่ยังจำกัดพื้นที่และไม่อนุญาตให้ลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำสาธารณะ เพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ นายบวรศักดิ์กล่าวว่า การปิดพรมแดนกว่า 4 เดือนทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีของจังหวัดกาญจนบุรีลดลงหลังทำงานร่วมกับ ททท.สำนักงานกาญจนบุรีจึงเห็นตรงกันว่ากาญจนบุรีควรจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ทางใต้ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักเพื่อจับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นหรือกลุ่มลักเซอรี่ โดยครอบคลุมทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบผจญภัย ชอบถ่ายรูป และเช็กอินตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆทาง ททท.จึงเตรียมจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวทางน้ำใหม่ภายใต้นิวนอร์มอล ผนวกการเดินทางด้วยแพเข้ากับเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตใกล้สายน้ำผ่านจุดท่องเที่ยวอันซีนต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นประตูเรือสัญจร วัดมโนธรรมมาราม กระชังปลา สุสานเจ้าแม่วังหีบฯลฯ โดยจะเร่งนำผู้ประกอบการที่ได้รับมาตรฐานสุขอนามัยสำหรับนักท่องเที่ยวหรือ SHA เข้าสู่เส้นทางนิวนอร์มอล และนอกจากเส้นทางทางน้ำแล้วยังมีเส้นทางสุขภาพและเวลเนส เส้นทางท่องเที่ยวชุมชน รวมถึงเส้นทางเกี่ยวกับกีฬาทางน้ำอย่างแพดเดิลบอร์ดที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในระยะหลังของจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีการพูดคุยถึงการเชื่อมโย้งเส้นทางท่องเที่ยว3 จังหวัด คือ กาญจนบุรี สมุทรสงคราม และเพชรบุรีสำหรับกิจกรรมไมซ์ในพื้นที่นั้น นายบวรศักดิ์กล่าวว่า ช่วงหลังโควิด-19 ถือเป็นโอกาสดีของจังหวัดกาญจนบุรีที่ไม่ได้มีสถานที่จัดประชุมขนาดใหญ่ ส่วนมากมักมีขีดความสามารถในการรองรับไม่เกิน 200 คน กลายเป็นตัวเลือกที่ดีและมีศักยภาพที่ตรงกับผู้ที่ต้องการจัดประชุมสัมมนาในยุคหลังโควิด-19 ทั้งนี้ ในปี 2562 ที่ผ่านมา จังหวัดกาญจนบุรีมีผู้เยี่ยมเยือนทั้งหมดกว่า 9.6 ล้านคน โดยเป็นนักท่องเที่ยวไทยกว่า 95% และนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 5% ซึ่งส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป สร้างรายได้ให้จังหวัดกาญจนบุรีราว 2.9 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา ส่วนจำนวนโรงแรมที่พักในกาญจนบุรีมีมากกว่า 600 แห่ง แต่เป็นโรงแรมที่พักที่จดทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย 200 แห่ง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-506456
Person read: 1986
17 August 2020
ตำรวจ 4 กองร้อยตรึงกำลังแน่นรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รับมือ 2 ม็อบเยาวชนปลดแอกและม็อบศปอส.ชุมนุมเย็นนี้ กำชับทั้ง 2 กลุ่มปฏิบัติตามกฎหมายเคร่งครัด เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 16 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หลังกลุ่มคณะประชาชนปลดแอกนัดชุมนุมใหญ่ เพื่อย้ำ 3 ข้อเรียกร้อง กับ 2 จุดยืน ซึ่งจะเริ่มขึ้นในเวลา 15.00 น. ในส่วนของการดูแลรักษาความปลอดภัย ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 กองร้อยๆ ละ 150 คน รวมทั้งหมด 600 นาย พร้อมตำรวจชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบ ลงพื้นที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ตั้งแต่บ่ายโมงไปจนจบสถานการณ์ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวาย และป้องกันบุคคลที่ 3 เข้ามาสร้างความวุ่นวาย โดยสน.ชนะสงคราม จะรับผิดชอบพื้นที่ฝั่งร้านแมคโดนัล ของกลุ่มที่ใช้ชื่อว่าเลือกข้างประชาธิปไตย โดยช่วงเช้าที่ผ่านมา พ.ต.ท.ปิติพันธ์ กฤดากร ณ อยุธยา รองผู้กำกับการ สน.ชนะสงคราม มาทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ชุมนุม ให้ชุมนุมอย่างสงบ และอนุญาตให้ชุมนุมบนทางเท้าเท่านั้น ซึ่งวันนี้ส่วนของสน.ชนะสงครามได้จัดกำลัง 2 กองร้อยดูแลความเรียบร้อย และกลุ่มนี้ขออนุญาตชุมนุมไว้ 10.00-15.00น. ก่อนจะไปรวมกับกลุ่มคณะประชาชนปลดแอก ขณะที่ พ.ต.อ.อิทธิพล พงษ์ธร ผกก.สน.สำราญราษฎร์ เปิดเผยว่า ส่วนของสน.สำราญราษฎร์ จะดูแลรับผิดชอบพื้นที่ถนนในวงเวียน และตัวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รวมถึงบริเวณหน้าร้านอาหารเทวาลัย ศรแดง ซึ่งเป็นจุดที่กลุ่มที่ใช้ชื่อว่า ‘ศูนย์กลางประสานงานนักศึกษาอาชีวะประชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศอปส.’ จัดกิจกรรมแสดงจุดยืนและสังเกตการณ์ชุมนุมของกลุ่มคณะประชาชนปลดแอก ซึ่งทางกลุ่มฯ ขอนุญาตจัดกิจกรรมไว้แล้วจนถึงเที่ยงคืน ส่วนการเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อมาดูแลความสงบเรียบร้อย จัดกำลังเกินกว่า 1 กองร้อยไว้แล้ว และเบื้องต้น ไม่กังวลเรื่องการเผชิญหน้ากันของทั้ง 2 ฝ่าย เพราะทางมวลชนทราบดีอยู่แล้ว ทั้งนี้กำชับกับทางกลุ่มให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และยังในขณะนี้ยังไม่มีการข่าวการสร้างความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น โดยตำรวจก็จะดูแลความสงบเรียบร้อยตามปกติ ซึ่งขณะนี้ตำรวจนำแผงเหล็กมากั้นริมทางเท้ารอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และตัวของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รวมถึงนำรถเครื่องขยายเสียงมาเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ที่มา ; ข่าวสด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-506504
Person read: 2067
17 August 2020
เมื่อวันที่ 16 ส.ค. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์ลักษณะอากาศทั่วไป 24 ชั่วโมงข้างหน้า ระบุว่า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลาง ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทยและอ่าวไทย เริ่มมีกำลังอ่อนลง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในบริเวณทางด้านตะวันออกของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ฝุ่นละอองขนาดเล็ก เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่อง ดังนั้นการเกิดหรือการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควัน ไม่มีหรือมีน้อย พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันนี้ ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดพะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดอุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ และนครพนม อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 27-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ภาคกลาง เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา และสมุทรสงคราม อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ภาคตะวันออก เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตขึ้นมา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดกระบี่ลงไป ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/general/news-506452
Person read: 1904
17 August 2020
Photo by Raul ARBOLEDA/AFP รมว. แรงงาน ผงะตกงาน 8 ล้านคน ไม่มีจริง โชว์แพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” จ้าง 4 แสนคน ภายในเดือนนี้ วันที่ 16 สิงหาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และรองหัวหน้าพรรคพลังประรัฐ กล่าวถึง ความเดือดร้อนแรงงานในและนอกระบบจากวิกฤติโควิด-19 ปัญหาคนว่างงาน เป็นเรื่องที่ ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมท่านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความห่วงใยเป็นอย่างมากและ ที่ผ่านมาได้ท่านได้เร่งรัดแก้ไขตามกลไกลต่างๆของกระทรวง “เรื่องคนตกงานที่มีการกล่าวว่ามีมากถึง 8 ล้านคน ขอชี้แจงว่าตัวเลขดังกล่าวไม่มีหลักฐานอ้างอิง ผมในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือหัวหน้าผู้รับใช้แรงงาน มีความจำเป็นที่ต้องยึดถือตัวเลขจากระบบเพราะจากข้อมูลแรงงานที่อยู่ในระบบผู้ประกันตนนั้นมีทั้งหมดตามมาตรา 33-39-40 มีประมาณ 16.3 ล้านคน และช่วงโควิด ผู้ที่ประกันตนในระบบประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมได้รับชดเชยเงิน จากการว่างงานจริงๆ จ่ายเงินจำนวน 714 ,268 คน วงเงิน 17,224 ล้านบาท” ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงาน ได้ออกมาตรการช่วยผู้ประกอบการต่างๆในช่วงเดือนมี.ค. – ก.ค. ที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หนักๆทำให้ รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนคนไทย จึงให้กิจการที่เป็นที่สุ่มเสี่ยงปิดชั่วคราว และ ทางประกันสังคมก็จ่ายชดเชย 62% จำนวน 90 วัน เป็นจำนวน 9 แสนกว่าคน ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆผ่านกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรกรณ์ กระทรวงกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานทั้งในระบบและนอกระบน อาทิ โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการจ้างงานของรัฐ ที่มีการจ้างแล้ว 209 ,930 คน จากเป้าหมาย 410,415 คน โดยเฉพาะกระทรวงแรงงาน เตรียมใช้งบประมาณปี 2564 จ้างงานเพิ่มอีก 5,000 คน และที่ผ่านมาทางกระทรวงแรงงานได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ มีหลักประกันที่ 3% ต่อปี ให้ผู้ประกอบการหรือ (soft loan) วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อรักษาผู้ใช้แรงงาน ให้คงมีงานทำ โดยตนจะเข้าไปเร่งรัดให้มีการปล่อยสินเชื่อให้รวดเร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่ผ่านมาได้มีการอนุมัติจำนวน 63 รายสามารถรักษาการจ้างงานได้ 8,158 คน คิดเป็นวงเงิน 387 ล้านบาท รวมทั้งจะผลักดันศูนย์การงานแห่งชาติ ที่ตัวเองเป็นประธานนั่งกำกับด้วยตัวเอง เพื่อจัดหาตลาดงาน และจับคู่ตำแหน่งต่างๆที่เหมาะสมให้แก่พี่น้องประชาชน ซึ่งได้สั่งการให้หน่วยงานจัดหางานทุกจังหวัด ดำเนินภารกิจนี้อย่างเร่งด่วน สำหรับเรื่องดิจิตอลแพลตฟอร์มแบบ One-stop platform ที่ชื่อ “ไทยมีงานทํา” ซึ่งใช้งบประมาณจาก พรก.เงินกู้4 แสนล้านบาทเพื่อรองรับแรงงาน 400,000 ตำแหน่ง เป็นช่องทางยกระดับ ปรับทักษะให้แรงงานเพื่อเข้าสู่อาชีพที่ประชาชนสนใจคาดว่าจะเปิดให้บริหารสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ “การเปิดตลาดแรงงานในต่างประเทศ โดยผมได้นัดหมายพูดคุยกับสมาคมส่งคนงานไปต่างประเทศ เพื่อทราบว่ามีจำนวนต้องการเท่าไหร่ อะไรที่ติดขัดทำอย่างไรให้กระทรวงแรงงานช่วยอะไรตรงไหนบ้าง เพื่อที่หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย อาทิ ไต้หวั่น ญี่ปุ่น อิสราเอล เกาหลีใต้” ทั้งนี้ รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชน และเร่งสร้างงาน ฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการจ้างงานมาอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนเป็นการถอดเครื่องช่วยหายใจในห้อง ICU เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาให้หายขาด ดังนั้นข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำเสนอต้องขอบคุณมากๆแต่อาจเป็นด้านเดียว ที่ยังไม่ครบถ้วน ทั้งที่เหรียญนั้นมีสองด้านเสมอ ดังนั้นการแก้ปัญหาเรื่องนี้จึงจำเป็นต้องต้องมานั่งคุยกันแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเพื่อให้ตั้งต้นตรงกัน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-506484
Person read: 1922
17 August 2020
นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์แห่งแรกของไทยจ่อนำร่องในพื้นที่ EEC ส.อ.ท.หารือสมาชิก 45 กลุ่มอุตสาหกรรมแก้กฎรับนักโทษเข้าทำงาน หวังให้โอกาสสร้างอาชีพได้แรงงานราคาถูก “กนอ.” รับลูกใช้เกณฑ์การตั้งเหมือนนิคมทั่วไป 2-3 ปี คาดใช้พื้นที่กรมราชทัณฑ์เอง ล่าสุดตั้ง “วิบูลย์ กรมดิษฐ์” เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการ หลังพบใช้บริการผู้ต้องขังอยู่แล้ว เชื่อดันโครงการให้สำเร็จไม่ยาก นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ส.อ.ท.ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ได้เริ่มหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงยุติธรรม ตัวแทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย ถึงวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีปัญหาเรื่องของจำนวนนักโทษที่พ้นโทษแล้ว อัตรากลับเข้ามาอีกจำนวนมาก ดังนั้น แนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าวจะต้องเริ่มด้วยการฝึกอาชีพให้กับกลุ่มนักโทษเหล่านี้ “สิ่งแรกที่ต้องดำเนินการ เบื้องต้น ส.อ.ท.จะหารือกับ 45 กลุ่มอุตสาหกรรมสมาชิกก่อนว่า มีกลุ่มใดยังขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก และยังไม่สามารถหาแรงงานเข้ามาเสริมได้ มีจำนวนเท่าไร” ส่วนพื้นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์คาดว่าจะต้องใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งอาจจำเป็นต้องนำร่องในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) และให้อุตสาหกรรมในพื้นที่เหล่านี้ยินยอมและยอมรับบุคคลที่ผ่านการฝึกจากนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์เข้าทำงาน หากโครงการดังกล่าวสำเร็จ นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์จะเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้จะมีเพียงพื้นที่บางแห่งอย่างใน จ.กาญจนบุรี หรือใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เป็นเพียงสถานที่ฝึกอบรมอาชีพเท่านั้น ดังนั้น หากตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมได้ ผลที่จะได้คือการได้แรงงานค่าแรงไม่สูงและผ่านการฝึกอาชีพมาแล้ว “ปัญหาหลักคือการรับสมัครงานของบริษัทจะมีการกรอกข้อมูลส่วนตัว เรื่องของการมีคดีการถูกจำคุกมาก่อนหรือไม่ เรื่องนี้มันจึงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้นักโทษเหล่านี้ เขาไม่สามารถมาทำงานได้ แต่เมื่อเกิดนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ขึ้นมา เราต้องคุยกับทุกอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานจำนวนมาก และยังหาแรงงานไม่ได้ ให้เขาให้โอกาสคนเหล่านี้ ซึ่งจะถือเป็นการนำร่องก่อน อาจต้องมีการแก้กฎระเบียบบางอย่างในการรับสมัครงาน แต่สำหรับเอกชนบางแห่งที่เขามีกฎระเบียบเรื่องนี้เข้ม เราก็ไม่บังคับเพราะเป็นสิทธิของเขา” นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์เป็นนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ต้องการแก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ ส่วนของ กนอ.จะมีหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม โดยหากพื้นที่เหมาะสมแล้วจะต้องดำเนินการตามกระบวนการเหมือนตั้งนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป คือ เลือกพื้นที่ ทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) กำหนดวัตถุประสงค์ เคลียร์พื้นที่ ก่อสร้าง ซึ่งก็จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี โดยพื้นที่เหมาะสมในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์นั้นสามารถทำได้ทั่วประเทศ อยู่ที่ว่ากรมราชทัณฑ์มีพื้นที่ที่ใดพร้อมบ้าง ซึ่งก็จะใช้พื้นที่นั้นเป็นตัวตั้ง ล่าสุดรายงานระบุว่า นายสมศักดิ์ได้เซ็นหนังสือคำสั่งแต่งตั้ง นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์เพิ่มเติม เนื่องจากอมตะฯเป็นผู้นำด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอันดับ 1ของประเทศ และที่ผ่านมา นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ทั้งที่ชลบุรีและระยอง ใช้บริการผู้ต้องขังอยู่แล้ว โดยอมตะฯสามารถสร้างนิคมอุตสาหกรรมให้มีมาตรฐาน เชี่ยวชาญในการวางโครงสร้าง ระบบการจัดการ รวมถึงการหาลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ เพื่อใช้บริการผู้ต้องขังเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังมีแผนที่จะให้มหาวิทยาลัยมาศึกษาการบริหารจัดการต่าง ๆ เพื่อหาข้อบกพร่องร่วมกัน และจะกำหนดเกณฑ์คัดเลือกผู้ต้องขัง ซึ่งต้องเป็นนักโทษชั้นดีเยี่ยม กำหนดพ้นโทษไม่เกิน 2 ปี ปัจจุบันมีจำนวนประมาณ67,000 ราย แต่ช่วงเริ่มโครงการคัดเลือกเข้าร่วมประมาณ 3,000 คนก่อน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-506429
Person read: 2156
17 August 2020
กลุ่มศอปส. สังเกตการณ์ม็อบเยาวชนปลดแอก ประกาศเงื่อนไข 3 ข้อ ทำผิดเก็บภาพ-คลิปส่งตร.ดำเนินคดี เจ้าหน้าที่จัดกำลังดูแลเข้ม. เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 16 ส.ค. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน กลุ่มศูนย์กลางประสานงานนักศึกษาอาชีวะประชาชน ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (ศอปส.) จัดชุมนุมเฝ้าสังเกตการณ์ การจัดชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันช่วงบ่ายวันนี้ จุดประสงค์เพื่อเฝ้าดูว่ากลุ่มบุคคลที่แแอบอ้างประชาธิปไตย พยายามแยก สถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากระบบการปกครอง แบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยใช้การการก้าวล่วงต่อสถาบันฯ อย่างรุนแรงฉะนั้น หากจะมีการเคลื่อนไหวในรูปแบบใดๆ ก็ตามทางศูนย์ศอปส. และประชาชนจะมิคัดค้านหรือตอบโต้ด้วยประการใดๆ หากแต่สถานการณ์การปราศรัยในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ผ่านมานั้น เกินขอบเขตที่นักศึกษาพึงกระทำดังนั้นทางศูนย์ศอปส. จึงเห็นควรในความคิดเห็นที่ประชาชนและนักศึกษา อาชีวะ จึงมีมติและเห็นควรว่าให้ตักเตือนจับตากับผู้ชุมนุม ที่นัดรวมตัวกันในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด การประชุมของตัวแทนกลุ่มต่างๆ รวม 21 กลุ่ม เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2563 เห็นสอดคล้องกันว่าควรเข้าร่วมสังเกตการณ์ ในวันที่ 16 ส.ค.นี้ด้วย ภายใต้เงื่อนไขดังนี้ 1.เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยแนวทางสันติวิธี 2.ถ้ามีการกระทำที่พาดพิงต่อสถาบันฯ เกิดขึ้น ซึ่งจะมีมวลชนส่วนหนึ่งเข้าร่วมการชุมนุม จะเก็บหลักฐานทั้งภาพและเสียงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการต่อไป ในวันรุ่งขึ้น (วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563) โดยเข้ายื่นหนังสือต่อผบ.ต.ร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 13.00 น. พร้อมรายละเอียดอื่นๆ ที่จะเปิดเผยต่อสังคมต่อไป 3.สำหรับประชาชนที่จะเข้าร่วมสังเกตการณ์ ทางกลุ่มฯศูนย์ศอปส.จะดูแลความปลอดภัยเข้าอย่างใกล้ชิด โดยกลุ่มผู้ชุมนุมศอปส. รวมตัวกันอยู่ที่บริเวณ หน้าซอยดำเนินกลางใต้ ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านแมคโดนัล ซึ่งเป็นจุดที่คาดว่ากลุ่มเยาวชนปลดแอก จะมารวมตัวกัน เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่จัดกำลังทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเทศกิจดูแลความเรียบร้อย ที่มา ; ข่าวสด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-506476
Person read: 2213
17 August 2020
เศรษฐกิจติดบ้าน-everything at home เทรนด์ที่กำลังมาแรงในยุคชีวิตแบบปกติใหม่ (new normal) ล่าสุด เอสซีจีสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงล็อกดาวน์ระหว่างวิกฤตโควิด-19 พบว่านอกจากการทำงานที่บ้าน ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังหากิจกรรมยามว่างมาทำแก้เบื่อช่วงกักตัว อาทิ ทำอาหาร ออกกำลังกาย ดูหนัง เล่นเกม รวมถึงเจ้าของบ้านส่วนใหญ่ต้องการปรับพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้เป็นสัดส่วนขึ้น “เจือ คุปติทัฬหิ” Consult and Design Solution Business Lead เอสซีจี ระบุว่า พฤติกรรมการอยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ไลฟ์สไตล์แบบ new normal มี 5 อันดับพื้นที่บ้านที่มีการใช้งานสูงที่สุดในช่วงล็อกดาวน์ คือ “ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องทานอาหาร ห้องน้ำ” และพื้นที่รอบบ้าน เช่นสวน หรือพื้นที่ระเบียงนอกบ้าน นำมาสู่ 5 ไอเดียในการปรับบ้าน ดังนี้ เจือ คุปติทัฬหิ 1.บ้านคือออฟฟิศหลังใหม่ (home as a new office) สามารถปรับได้ 2 รูปแบบ จัดระเบียบห้องนอนสร้างมุมทำงานขึ้นมาใหม่ โดยใช้พื้นที่ว่างภายในบ้าน แนะนำจัดวางโต๊ะทำงานบริเวณที่มีแสงธรรมชาติเข้าถึง ติดตั้งไม้ระแนงเพื่อช่วยกรองแสงและลดความร้อน เสริมฟังก์ชั่นด้วยการติดตั้งแผ่นวัสดุ Cylence รุ่น Zoundblock ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันเสียงโดยเฉพาะ และสามารถติดตั้งแผ่นดูดซับเสียง Cylence รุ่น Zandera สำเร็จรูปติดตั้งไม่ยาก 2.มุมสงบในการพักผ่อน (sanctuary-like space) เช่น มุมจิบกาแฟชิล ๆ พร้อมต้นไม้เล็ก ๆ สร้างเป็นมุมโปรดในบ้าน หรือจัดสวนพักผ่อนเล็ก ๆ นอกบ้านโดยใช้บล็อก-กระเบื้องปูพื้นหรือไม้สังเคราะห์ จัดเรียงลวดลายสวย ๆ เสริมด้วยชุดโต๊ะ-เก้าอี้ไว้นั่งพักผ่อน สำหรับมุมออกกำลังกายเบา ๆ เช่น โยคะ เต้นแอโรบิก 3.พื้นที่สีเขียว แหล่งโอเอซิสของบ้าน (greenery space : an oasis at home) ช่วยเติมความสดชื่น สร้างบรรยากาศบ้านให้ร่มรื่น โดยนำกระถางต้นไม้เล็ก ๆ มาตกแต่งตามมุมต่าง ๆ เน้นไม้ประดับที่ดูแลง่าย ชอบแสงรำไร ช่วยดักผุ่นและฟอกอากาศให้กับบ้าน เช่น ต้นลิ้นมังกร ยางอินเดีย เบญจมาศ พลูด่าง เป็นต้น 4.บ้านสะอาดและปลอดเชื้อโรค (home hygiene and sanitization) โดยใช้นวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์และของใช้ภายในบ้านที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานทันสมัย ใช้งานโดยไม่ต้องใช้มือสัมผัส (touchless) อาทิ นวัตกรรมสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำระบบเซ็นเซอร์คอตโต้ เป็นต้น 5.พื้นที่ใหม่สำหรับฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ (new spaces for new functions) ได้แก่ ต่อเติมโรงจอดรถ สามารถติดตั้ง 2 รูปแบบ คือ แบบมีโครงสร้างเหล็กรองรับและแบบระบบกันสาดยื่นจากตัวบ้าน วัสดุหลังคาเลือกใช้ได้ทั้งแบบทึบและแผ่นโปร่งแสง อีกฟังก์ชั่นคือห้องครัว เพิ่มพื้นที่ใช้สอยด้วยการต่อเติมเคาน์เตอร์ครัว ปูเคาน์เตอร์ท็อปด้วยกระเบื้องเพื่อไว้รับประทานอาหาร หรือนั่งชิลยามว่าง ช่วยเพิ่มบรรยากาศให้สวยขึ้นได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/property/news-498175
Person read: 2389
30 July 2020
Photo by Mladen ANTONOV / AFP นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการท่องเที่ยว “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่เปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ เราเที่ยวด้วยกัน.com ว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ค.63 ณ เวลา 21.00 น. มีผู้เข้ามาลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการรวม 4.65 ล้านคน และลงทะเบียนสำเร็จแล้ว 4.40 ล้านคน ซึ่งขณะนี้กำลังทยอยแจ้งผลทาง sms ขณะที่การจองโรงแรม ที่เปิดให้ผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จ เข้าไปใช้สิทธิจองที่พัก เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ล่าสุด ผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จ เข้าไปใช้สิทธิจองโรงแรมแล้ว 285,530 สิทธิ จากจำนวนสิทธิที่กำหนดไว้ไม่เกิน 5 ล้านสิทธิ โดยมีการจองแล้วชำระเงินให้กับโรงแรม 282,409 ห้อง พร้อมกันนี้ มีประชาชนเดินทางออกไปท่องเที่ยวตามที่ได้ลงทะเบีบนและจองโรงแรมไว้ ซึ่งมีการ check in ในโรงแรมสะสมกว่า 55,177 ห้อง และมีการ check out แล้ว 50,605 ห้อง ทั้งนี้ ได้มีผู้ประกอบโรงแรมประสงค์เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันกว่า 6,684 แห่ง ร้านอาหารเข้าร่วมโครงการกว่า 58,744 ร้าน และสถานที่ท่องเที่ยวเข้าร่วมโครงการกว่า 1,590 แห่ง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/tourism/news-498172
Person read: 2078
30 July 2020
พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ หรือ "หมอปุย" บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS มีมติแต่งตั้ง “หมอปุย” พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ เป็นประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BDMS แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา มีมติแต่งตั้ง พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. 2563 และตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ โดยมีจะเริ่มที่ผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีมติแต่งตั้ง นางนฤมล น้อยอ่ำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน ให้ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้้อำนวยการใหญ่อาวุโส เพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ หรือ “หมอปุย” เป็นลูกสาวของ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ หรือ “หมอเสริฐ” อดีตประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด โดยทั้งคู่ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งใน BDMS และ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2562 หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลงโทษปรับ 499.45 ล้านบาท กรณีสร้างราคาหุ้น BA “หมอเสริฐ” ล้มดีลเทคโอเวอร์ “บำรุงราษฏร์” ไม่สนหุ้น “บินไทย” ทำอู่ตะเภาสนุกกว่าเยอะ “หมอเสริฐ” กุมไลเซนส์ประกัน แต่ไม่บุกตลาดเอง ชี้ไม่ชำนาญ-ไม่ถนัด ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-498153
Person read: 1949
30 July 2020
กระตุ้น - หอการค้าเชียงใหม่เตรียมจัดกิจกรรมกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายในย่านไนท์บาซาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่เดินหน้าปลุกการค้าย่านไนท์บาซาร์ ดีเดย์ 1 สิงหาคม 2563 ดึงผู้ประกอบการเปิดร้านค้า-โรงแรมสู้สถานการณ์โควิด-19 จับมือ สสว.และหอการค้าไทยจัดงานแสดงสินค้า “Chiang Mai Local Food Fair 2020” แบบ new normal จำนวน 300 บูท และธงฟ้าราคาประหยัดในพื้นที่ตลาดอนุสาร ระหว่างวันที่ 27-30 สิงหาคม 2563 ดึงกำลังซื้อท้องถิ่น-นักท่องเที่ยวภายในประเทศจับจ่ายกระตุ้น คาดเงินสะพัดในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท นายวโรดม ปิฏกานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ได้รับผลกระทบอย่างสูง และทำให้ผู้ประกอบการในระดับ SMEs และรายย่อยขาดรายได้หมุนเวียน หอการค้าฯจึงประเมินสถานการณ์ว่าจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวและฟื้นบรรยากาศการค้าขายในพื้นที่ให้เกิดขึ้น โดยได้ประสานผู้ประกอบการให้มีการกลับมาเปิดร้านค้า และกิจการในย่านการค้าสำคัญของพื้นที่คือบริเวณไนท์บาซาร์ทั้งหมด ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกประมาณ 2,000 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 ทั้งนี้ การกลับมาเปิดครั้งนี้จะอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดตามมาตรการของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่อย่างเคร่งครัด นอกจากนั้น หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ยังได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และหอการค้าไทย จัดงาน “Chiang Mai Local Food Fair 2020” งานแสดงสินค้าวิถีใหม่ new normal ระหว่างวันที่ 27-30 สิงหาคม 2563 ณ ตลาดอนุสาร เชียงใหม่ โดยเน้นผู้ประกอบการการค้า SMEs ในพื้นที่จำนวน 300 กิจการมาออกบูทในงานแบ่งเป็นด้านอาหาร-street food สินค้าเกษตร เกษตรแปรรูป สินค้าที่มีความโดดเด่น งานหัตถกรรม สินค้าธงฟ้าราคาประหยัด เป็นต้น โดยภายในงานดังกล่าวยังมีกิจกรรมด้านการจับคู่ธุรกิจ 100 คู่ การจัดกิจกรรมบันเทิงบนเวที การสัมมนาให้ความรู้กับผู้ประกอบการในหัวข้อ “กลยุทธ์ตลาดออนไลน์รับมือกับพฤติกรรมลูกค้ายุค new normal” ในวันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563 ณ หอประชุม NSP RICE GRAIN AUDITORIUM อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จ.เชียงใหม่) โดยคุณภูวเรศน์ ทรายสมุทร Co-founder & Digital Strategy Consult Nextdigital และจะมีการแถลงข่าวในวันที่ 3 สิงหาคม 2563 นี้ ณ บ้านโบราณเชียงใหม่ ย่านไนท์บาซาร์ โดยหอการค้าประเมินว่าจะมีเงินสะพัดในระหว่างการจัดงานและต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท นายวโรดมกล่าวต่อว่า หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่มีแผนงานที่จะกระตุ้นย่านการค้าสำคัญในพื้นที่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้หมุนเวียนเพิ่มขึ้นในอนาคตอีก ได้แก่ ย่านนิมมานเหมินท์ ย่านอำเภอหางดง ย่านอำเภอสันกำแพง เป็นต้น หากผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่สนใจร่วมกิจกรรม หรือสมัครร่วมออกบูท ทั้งนี้ ต้องสมัครเป็นสมาชิกของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) หรือหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดการร่วมกิจกรรมการแสดงสินค้าได้ที่หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ โทร.0-5310-5038 Email : cmchamber1977@gmail.com ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-498160
Person read: 1932
30 July 2020
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า วันที่ 30 ก.ค. 2563 บมจ.ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี (SICT) จดทะเบียนและเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก โดยพบว่าราคาเปิด (Open Price) ปรับขึ้นสูงกว่าราคาจองซื้อ (IPO) 200% ที่ 4.14 บาท จากราคา IPO ที่ 1.38 บาท ทั้งนี้ SICT ประกอบธุรกิจวิจัยและพัฒนาเพื่อออกแบบและส่งมอบวงจรรวม หรือไมโครชิป ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์ระบบ RFID ที่ถูกใช้ในอุปกรณ์เก็บข้อมูลหรือวัตถุขึ้นทะเบียนต่างๆ ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ เช่น บัตรผ่านเข้าออกสถานที่ กุญแจรถยนต์ ป้ายหรือแคปซูลขนาดเล็กที่ติดหรือฉีดฝังในตัวสัตว์เพื่อบันทึกข้อมูล โดยการว่าจ้างผลิตเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้า ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SIC” ก่อนหน้านี้ นายมานพ ธรรมสิริอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SICT กล่าวว่า บริษัทวางแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายธุรกิจ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการทั่วไป ขณะที่ นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท. เผยว่า ยังมีหลายธุรกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวได้ดีหลังวิกฤตโควิด-19 หรือได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาด อาทิ ธุรกิจบนช่องทางออนไลน์ ธุรกิจเทคโนโลยี ฯลฯ ซึ่งได้หารือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเตรียมความพร้อมระดมทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ 33 บริษัทต่อคิวระดมทุนตลาดหุ้น อานิสงส์คลายล็อกดาวน์ ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-498157
Person read: 1989
30 July 2020
ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (30 ก.ค.) ดัชนี SET Index เปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,345.16 จุด ปรับขึ้น +6.81 จุด หรือคิดเป็น +0.51% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 2,771 ล้านบาท ณ เวลา 10:00:24 น. ขณะที่ดัชนี SET50 ปรับขึ้น +3.51 จุด หรือ +0.40% อยู่ที่ 874.92 จุด โดยมีมูลค่าซื้อขายรวม 1,283 ล้านบาท (คิดเป็นราว 46.30% ของ SET) หุ้นเทคฯ หน้าใหม่ ‘SICT’ เทรดวันแรกราคาพุ่ง 200% 10 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าซื้อ-ขายโดดเด่นที่สุด ได้แก่ 1. KCE ซื้อขาย 391.29 ล้านบาท ราคาหุ้น +1.00 (+3.45%) 2. DELTA ซื้อขาย 247.96 ล้านบาท ราคาหุ้น +15.50 (+14.98%) 3. CPALL ซื้อขาย 177.95 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 4. SAWAD ซื้อขาย 102.50 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 5. OSP ซื้อขาย 93.37 ล้านบาท ราคาหุ้น +1.00 (+2.27%) 6. MTC ซื้อขาย 92.28 ล้านบาท ราคาหุ้น -1.00 (-2.04%) 7. MINT ซื้อขาย 73.88 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.20 (-1.06%) 8. HANA ซื้อขาย 57.45 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 9. BBL ซื้อขาย 56.82 ล้านบาท ราคาหุ้น +0.50 (+0.50%) 10. STA ซื้อขาย 55.82 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนตลาด mai ปรับขึ้น +1.69 จุด หรือ +0.56% ในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ระดับ 304.57 จุด มูลค่าซื้อขาย 178.35 ล้านบาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-498154
Person read: 2047
30 July 2020
Photo by STR/AFP ราคาทองวันนี้ (30 ก.ค.) ปรับขึ้น 50 บาท เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวานนี้ โดยทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ มีราคารับซื้ออยู่ที่บาทละ 29,000 บาท ขายออกที่ราคาบาทละ 29,100 บาท ตามข้อมูลล่าสุด จากเว็บไซต์ของ สมาคมค้าทองคำ เมื่อเวลา 9:29 น. ที่ผ่านมา ขณะที่ ราคาทองรูปพรรณ 96.5% รับซื้ออยู่ที่ราคาบาทละ 28,470.48 บาท และขายออกที่ราคา 29,600 บาท ส่วนราคาทองคำโลก หรือ Gold Spot อยู่ที่ 1,963.00 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เดือนเดียวทองพุ่ง 2 พัน อานิสงส์บาทอ่อน ดันราคาในประเทศ บทวิเคราะห์ ราคาทองคำวันนี้ (30 ก.ค. 2563) โดย YLG Bullion สรุปราคาซื้อ-ขายทองคำในประเทศไทย ล่าสุด ประจำวันที่ 30 ก.ค. 2563 ประกาศราคาซื้อ-ขายทองคำในประเทศไทย ครั้งที่ 1 ทองแท่ง • รับซื้อ บาทละ 29,000 บาท • ขายออก บาทละ 29,100 บาท ทองรูปพรรณ • รับซื้อ บาทละ 28,470.48 บาท • ขายออก บาทละ 29,600 บาท ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-498136
Person read: 2059
30 July 2020
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (30 ก.ค.) ที่ระดับ 31.41 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 31.44 บาทต่อดอลลาร์ กรอบเงินบาทวันนี้ 31.35-31.55 บาทต่อดอลลาร์ โดยคืนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวขึ้นจากนโยบานการเงินที่ผ่อนคลาย ดัชนี S&P 500 ปรับตัวบวก 1.2% สวนทางกับ Stoxx Europe 600 ของยุโรปที่ปรับตัวลดลง 0.1% จากแรงต้านของเงินยูโร (EUR) และค่าเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ที่แข็งค่า ซึ่งความเคลื่อนไหวของตลาดเงินล่าสุดคือ ภาพการอ่อนค่าของดอลลาร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ทั่วโลกทรงตัว หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) มีมติ “คง” ดอกเบี้ย และให้มุมมองที่ผ่อนคลาย ตามที่ตลาดข้างไว้ทั้งหมด โดยคาดว่านโยบายการเงินที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้มี 2 เรื่องคือการใช้เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย (Average Inflation Targeting) และดอกเบี้ยคงที่ (Yield Curve Control) แต่ทั้งหมดคาดว่าจะมีการพูดถึงในช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป ส่งผลให้ดอลลาร์ (DXY) ร่วงลง 0.45% แตะระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่พฤษภาคม 2018 ส่วนในฝั่งเงินบาท แม้จะถูกกดดันจากแรงขายทองคำ และการอ่อนค่าของดอลลาร์ แต่ก็ปรับตัวแข็งค่าช้า เนื่องจากมีแรงซื้อดอลลาร์จากผู้นำเข้าประคองอยู่ “ในวันนี้ เชื่อว่านักลงทุนจะจับตาตัวเลขจีดีพีเยอรมนีไตรมาสที่สอง ซึ่งคาดว่าจะหดตัว 9.0% จากไตรมาสก่อน พร้อมกันกับจีดีพีสหรัฐที่คาดว่าจะหดตัวถึง 34% (ปรับเป็นรายปี) ถ้าภาพเศรษฐกิจแย่ไปกว่านี้ ก็อาจเห็นนักลงทุนกลับไปถือดอลลาร์ได้” ดร.จิติพลกล่าว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/finance/news-498134
Person read: 2031
30 July 2020